คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #77 : Chapter 72 :: One Shot (Part 1)
Chapter 72
One Shot (Part 1)
“นี่”
มินซอกเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา ทั้งคู่สบตากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรต่อแม้กระทั่งคนที่เริ่มเป็นฝ่ายเข้าหาอย่างแบคฮยอน เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อน ๆ เมื่อคนตรงหน้าแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่ได้อยากคุยด้วย ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
แบคฮยอนนั่งลงบนม้านั่งไม้ข้างคนที่กำลังนั่งถักนิตติ้งอยู่ เขาเว้นระยะห่างไว้พอสมควร ซึ่งมันก็ดีเหมือนกันที่มินซอกวางของคั่นเอาไว้อยู่แล้วก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มถอนหายใจพรูเพื่อรวบรวมความกล้า ถูกต้องแล้ว ทุกครั้งที่แบคฮยอนพยายามเข้าหามินซอกมันต้องใช้ความกล้าพอสมควร
“ถักให้ใครเหรอ”
“อึนจี”
“...”
แบคฮยอนชะงักไปทันทีขณะที่คนข้าง ๆ ยังคงสนใจอยู่กับไหมพรมในมือ เด็กหนุ่มกำลังกดดันกับความอึดอัดที่แทรกตัวเข้ามาทุกจังหวะหายใจ ถ้าถามว่าทำไมถึงต้องพยายามเข้าหาคน ๆ นี้ทั้งที่อีกฝ่ายก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการผูกมิตรกับเขา ก็คงตอบง่าย ๆ ว่าบยอนแบคฮยอนไม่อยากเป็นคนแปลกหน้าสำหรับคิมมินซอกเพียงแค่มีเรื่องไม่เข้าใจกัน
การที่ต่างคนต่างอยู่เหมือนอย่างที่คนอื่น ๆ เป็นมันก็ไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ได้ดีในความคิดของเขา ทุกคนที่นี่ไม่ได้สนิทกัน แต่ละคนเลือกปฏิบัติกับคนที่เขาพอใจ สังเกตได้ง่าย ๆ เช่นลู่หานกับจงอิน และลู่หานกับชานยอล
“ฉันว่าเธอต้องชอบแน่ ๆ”
“นายรู้ด้วยเหรอว่าคนที่ตายแล้วจะคิดยังไง”
เป็นอีกครั้งที่จุกกับคำพูดของคนข้าง ๆ ถ้ามีใครสักคนยืนอยู่ตรงนี้เขาคงถูกตะโกนใส่หน้าว่าไอ้โง่ เวลาไม่กี่วิที่ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ราวกับเป็นตัวเลือกให้แบคฮยอนหยุดความตั้งใจแล้วเดินออกไปจากตรงนี้ซะ ถ้าทำแบบนั้นแน่นอนว่าทุกอย่างมันจะต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ใช่ว่าการที่เขาพยายามอยู่มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากไปกว่านี้ อย่างเก่งก็ทำได้แค่ให้มินซอกหันมามองเขาด้วยแววตาที่เอาไว้มองคนแปลกหน้าเท่านั้นแหละ แบคฮยอนใช้เวลาตั้งหลักใหม่อยู่ราว ๆ หนึ่งนาที มันไม่มากและไม่น้อยเกินไปสำหรับคนที่เอาแต่สนใจอยู่กับไหมพรม
“ฉันไม่รู้หรอก” มือของมินซอกหยุดไป เขาเงยหน้าขึ้นก่อนจะพบว่าแบคฮยอนเองกำลังจ้องหน้าเขาอยู่ “แต่ถ้าฉันเป็นอึนจีก็คงดีใจแน่ ๆ”
“เหรอ นายยังไม่รู้จักยัยนั่นดีเลยด้วยซ้ำ”
“...”
“ผู้หญิงอย่างจองอึนจีไม่ชอบอะไรแบบนี้หรอก” พูดจบก็ก้มหน้าลง แต่คราวนี้แบคฮยอนกลับไม่รู้สึกโกรธคนข้าง ๆ เลยสักนิดที่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแบบนี้กับเขา
“...” มินซอกเบิกตาโพลงเมื่อจู่ ๆ คนข้าง ๆ ก็เข้ามากอดเขาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว มันคือสิ่งที่เด็กหนุ่มไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้น หรือจริง ๆ แล้วเขาเคยคิดว่ามันเป็นสิ่งที่แบคฮยอนคงไม่กล้าทำ รู้สึกได้ถึงใบหน้าของใครอีกคนที่ทาบลงกับไหล่ วงแขนนี้กระชับกอดแน่นยิ่งขึ้นราวกับจะบอกว่าบยอนแบคฮยอนก็รู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้ไม่ต่างจากเขาเลย
“ใช่ ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอึนจีเลยสักอย่าง” แบคฮยอนเองก็ตกใจกับสิ่งที่เขากำลังทำลงไป แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะผละออก สิ่งที่ทำอยู่เหมือนกับเชือกที่เขาพยายามผูกมินซอกเอาไว้ไม่ให้เดินหนีไปเหมือนกับทุกครั้ง “นายคงโกรธฉันเหมือนกับที่เทาโกรธ”
“...”
“นายจะเกลียดฉันมากกว่าเดิมเพราะเหตุผลนี้หรือเปล่ามินซอก?”
คนถูกถามนิ่งไป เขาไม่ได้หันเข้าหาอีกฝ่ายเพื่อดูว่าตอนนี้บยอนแบคฮยอนกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ และมันคงเดาไม่ยากนัก “ฉันไม่เคยพูดว่าเกลียดนาย”
“ไม่เคยพูด...แต่เคยคิดใช่ไหม”
“คิดว่าฉันจะตอบในสิ่งที่นายอยากได้ยินงั้นเหรอ”
“ใช่ ฉันกำลังหวังอย่างนั้น หวังว่านายจะตอบว่าไม่”
“ไร้สาระน่ะ ปล่อยได้แล้ว” เด็กหนุ่มแกะมืออีกคนออกแต่แบคฮยอนกลับกระชับกอดแน่นยิ่งขึ้น
มินซอกจงใจให้คนข้าง ๆ ได้ยินเสียงถอนหายใจของเขา บยอนแบคฮยอนไม่เคยเหนื่อยที่ต้องพยายามเข้าหาคนที่จูนกันไม่ติดหรือไง ขนาดเขาเองยังรู้สึกเหนื่อยแทน มันอึดอัดน่ารำคาญไปหมด แม้กระทั่งการโต้ตอบบทสนทนาอย่างเมื่อครู่นี้ ทำไมต้องพยายามทั้งที่ก็รู้ดีว่ามันเปล่าประโยชน์
“ฉันกับลู่หานไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“...”
“ช่วยฟังหน่อยนะ ฉันอยากให้นายมองฉันใหม่” แบคฮยอนยังคงซบหน้าอยู่กับไหล่อีกคน ทั้งที่เรียบเรียงคำพูดมาซะดิบดีแต่พอมีโอกาสจริง ๆ กลับลนไปหมด “นายอาจจะเชื่อในสิ่งที่นายเห็น แต่ว่ามันไม่มีอะไรมากเกินกว่านั้นจริง ๆ”
“ขอโทษนะ เพื่ออะไร?”
“นายอาจจะโกรธลู่หานที่หักหลังนายแบบนั้น แล้วก็ไม่ชอบหน้าฉันตั้งแต่แรก” แบคฮยอนหลับตาแน่นแล้วหายใจเข้าลึก ๆ “แต่ฉันไม่เคยรู้เรื่องนายกับลู่หานเลยจริง ๆ”
“รู้ไปก็เท่านั้น ทุกอย่างมันจบแล้ว” มินซอกพูดเสียงเรียบ เขาไม่ได้ตกใจสักเท่าไหร่กับเรื่องที่แบคฮยอนรู้เรื่องนี้ แต่ประโยคเมื่อครู่มันก็คิดอะไรไปมากกว่าการแก้ตัวไม่ได้
“เดี๋ยวสิ ให้ฉันอธิบายให้นายฟังก่อน”
“พอเถอะ มันไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก ทั้งกับเขาแล้วก็นาย” มินซอกทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า และสิ่งที่เขาเห็นก็คือกำแพงไม้บ้านหลังแรก “ต่อให้ไม่มีนาย ฉันกับเขาก็ไปไม่รอดอยู่ดี”
“...”
“เขาไม่เคยทำให้ฉันเชื่อใจได้ ส่วนฉันก็ไม่เคยไว้ใจเขา เราสองคนแค่คิดเหมือนกันแต่ไปกันไม่ได้” มินซอกนิ่งไปครู่หนึ่ง มันไม่จำเป็นเลยสักนิดที่จะพูดเรื่องนี้ให้แบคฮยอนฟัง คนที่คิดว่าเป็นคนสุดท้ายที่จะได้รับรู้เรื่องราวของเขา “อย่าพยายามประติดประต่อฉันเข้ากับลู่หานอีกเลย ฉันก็เด็กเกินไปกับเรื่องความรัก ส่วนเขาก็โง่ชอบทำอะไรไม่คิด นายอาจจะคิดว่าฉันควรอยู่กับเขา แต่นั่นมันคือสิ่งที่นายคิดว่าควรจะเป็น”
“...”
“ไม่เคยเจ็บจนยืนอยู่ที่เดิมไม่ไหวหรือไง”
‘คุณต้องการคำตอบแบบไหนเหรอครับ?’
“เคยสิ...” เด็กหนุ่มนิ่งไปทันทีที่คำพูดของใครอีกคนผุดเข้ามาในหัว “ขอโทษนะมินซอก” แบคฮยอนกระชับกอดแน่นยิ่งขึ้น รู้สึกผิดที่พูดแบบนั้นออกไป เขาคิดแค่ว่าจะทำยังไงมินซอกกับลู่หานถึงจะเข้าใจกัน พอถึงตอนนั้นเรื่องราวระหว่างเขากับมินซอกมันอาจจะดีขึ้นก็ได้ แต่แบคฮยอนคิดผิด...เขาไม่เคยนึกถึงว่าคนที่ถูกทำร้ายจิตใจจะเจ็บปวดมากแค่ไหน
เพราะการที่จะกลับไปรู้สึกเหมือนเดิมมันไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกอย่างต้องใช้เวลา เหมือนกับความรู้สึกของบยอนแบคฮยอนที่มีต่อปาร์คชานยอล...
เราสองคนต่างก็ต้องการเวลา...
“งั้นฉันจะอยู่ตรงนี้กับนายเอง อย่าไล่ฉันอีกเลยนะมินซอก”
ทุกคนต่างวางของและละความสนใจจากสิ่งที่ทำอยู่แล้วออกมาหน้าบ้านเมื่อได้ยินเสียงบีบแตรรถ อี้ฟานจะปรบมือสองครั้งเป็นเชิงเรียกให้ทุกคนมารวมกันที่หน้ากองไฟในขณะที่ลู่หานยังคงพูดไม่หยุด
“เราปล่อยไว้แบบนั้นไม่ได้นะเว้ยอี้ฟาน”
“ผมรู้ แต่ที่คุณบอกให้ผมกลับรถเพื่อบุกเข้าไปกันทั้งอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่อง”
“แล้วจะให้ทำยังไง? ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าไอ้จงอินโดนกระทืบ จากสภาพคิดว่าพวกมันคงไม่ปล่อยมันไว้นานหรอก มีกลับไปยำตีนต่อแน่ ๆ”
“ช่วยใจเย็นหน่อยได้ไหมครับ ผมบอกคุณมาตลอดทั้งทางแล้วว่าเราทุกคนต้องคุยกัน?” น้ำเสียงของชานยอลแม้จะเรียบเฉยแต่ก็พอดูออกว่าตอนนี้เขากำลังหงุดหงิดเสียงลู่หานเต็มที ผู้ชายคนนี้เอาแต่พูดไม่หยุดตั้งแต่อยู่ในรถ ดึงดันจะกลับไปลุยในค่ายให้ได้
“เย็นอะไรอีก นี่กูร้อนจนไฟลุกแล้วเนี่ย” ลู่หานยีหัวตัวเองแรง ๆ แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนคนอื่น ๆ ก็กระจายกันหาที่นั่ง บางคนก็ยืน จงแดเข้ามาจุดไฟตรงกลางเพื่อให้ความอบอุ่น
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?” ครูสาวถามเมื่อเห็นว่าทั้งสามหนุ่มมีท่าทีลำบากใจ อี้ฟานหันไปมองหน้าชานยอลก่อนจะพยักหน้าอย่างรู้กัน
“ที่นั่นไม่ปลอดภัยแล้ว” ทุกคนมีสีหน้าไม่ต่างกันหลังจากได้ยินคำพูดจากปากอี้ฟาน
“หมายความว่ายังไงที่บอกว่าไม่ปลอดภัยแล้ว?” ซีวอนถาม
“หมายความว่าที่นั่น ‘เคย’ ปลอดภัยไง ไม่ดิ ต้องเรียกว่าไอ้จงอินมันคิดไปเองว่าปลอดภัย” จนถึงตอนนี้ลู่หานก็ยังไม่สงบ อี้ชิงวางมือลงบนหน้าขาอีกคนเป็นเชิงบอกให้ใจเย็นหน่อย เพราะตอนนี้ทุกคนต่างรอฟังว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงมากกว่าการที่จะมานั่งดูลู่หานแสดงอาการหงุดหงิดแล้วพาลแบบนี้
“ตอนที่เราไปถึง จงอินกำลังถูกพวกทหารรุมซ้อมน่ะ” อี้ฟานไม่เสียเวลาไปกว่านี้ เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายว่ารู้เห็นมาได้ยังไงเพราะยังมีสิ่งสำคัญกว่านั้น “ผมเรียกพวกคุณมาเพราะอยากให้ลงความเห็นกันว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้ดี”
“บุกไงบุก! ทำเหมือนตอนค่ายพวกนัมจุน กับตอนไปช่วยนายออกมาจากผับ” ลู่หานโพล่งขึ้นมาพร้อมกับสะกิดแขนอี้ฟานแต่จากที่เห็นน่าจะเรียกว่าผลักมากกว่า “ยิงให้เกลี้ยง”
“คุณควรแยกความจริงกับจินตนาการให้ออกก่อนนะครับ เพราะสิ่งที่คุณคิดคือการบุกเข้าไปในค่ายแล้วยิงทุกคนเพื่อช่วยจงอินกับเซฮุน แต่คุณนึกถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหรือเปล่า? ถ้าเป็นอย่างนั้นคนบริสุทธิ์ที่อาศัยอยู่ในนั้นจะเป็นยังไง?” ชานยอลมองอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจัง ทั้งที่ตั้งใจว่าจะนั่งฟังอยู่เฉย ๆ แต่พอเห็นลู่หานสติแตกแล้วก็ทนไม่ไหว “และในความเป็นจริงคุณคิดว่ามันง่ายแบบนั้นเหรอครับ? จริงอยู่ที่คุณเคยผ่านมันมาแล้วหลายครั้ง แต่คุณจะรู้ได้ยังไงว่าคราวนี้คุณจะไม่พลาด?” ตอนนี้ชานยอลกับลู่หานกำลังสู้กันทางสายตา คนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากันเมื่อสองคนนี้ลับริมฝีปากกันอีกแล้ว “เผลอ ๆ คุณอาจถูกปืนจ่อหัวตั้งแต่วินาทีแรกที่กระโดดข้ามรั้วเข้าไปในนั้นก็ได้”
ทุกคนนิ่งไปหลังจากที่ชานยอลพูดจบ ลู่หานกำหมัดแน่น คิ้วทั้งสองข้างที่ขมวดเข้าหากันเป็นสิ่งบ่งบอกได้ดีว่าตอนนี้เขากำลังหงุดหงิดมากกับการที่ถูกหักหน้าโดยใครอีกคน จงแดมองทั้งคู่สลับกันไปมาก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ
“ไม่เอาน่า ลู่หานเขาก็แค่เป็นห่วงเพื่อนน่ะครับ” จงแดลูบหลังคนตัวสูงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “เรามาคุยกันต่อดีกว่า พวกคุณคิดไว้แล้วหรือยังว่าจะเอายังไง?”
“ถ้าบอกว่าจงอินโดนซ้อม แล้วเซฮุนล่ะ?” ในเมื่อไม่มีคนถามเรื่องนี้โดคยองซูก็เลยเลือกที่จะถาม
“เราไม่เจอเซฮุน”
“ว่าไงนะ?” แบคฮยอนเบิกตากว้าง
“ไม่เจอตั้งแต่วันที่ไปครั้งแรก วันนี้ก็ไม่เจอ ส่วนเรื่องไอ้จงอินถูกซ้อม ถ้าเป็นเพราะมันปากหมาก็อาจจะไม่แปลก แต่ไอ้พวกระยำนั่นมันทำร้ายคนแก่ที่คิดจะเข้าไปช่วยไอ้จงอินด้วยแบบนี้จะให้คิดยังไง?” ลู่หานอธิบาย เขาเข้าใจว่าเหตุผลการไปบุกที่นั่นมันยังมีไม่มากพอในมุมมองของคนที่ไม่ได้เห็นมันกับตา
“อี้ฟาน?” กาฮีมองหน้าคนอายุมากที่สุดซึ่งนั่งใช้ความคิดอยู่ฝั่งตรงข้าม ร่างสูงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้น
“ผมต้องบอกก่อนว่าสภาพที่นั่นเป็นยังไงบ้าง” อี้ฟานเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “ทหารทุกคนมี M16 อยู่ในมือ พวกเขายืนเฝ้าอยู่ตามจุด เพราะฉะนั้นการแอบเข้าไปเหมือนที่ลู่หานคิดไว้มันคงเป็นเรื่องยาก”
“แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเลย” ลู่หานยังคงเชื่อว่าวิธีของเขามันเข้าท่า “ฉันมีปัญญาหาทางเข้าไปได้แล้วกัน ขอแค่บอกมาว่าต้องทำอะไรบ้าง”
ไม่บ่อยนักที่พวกเขาจะเห็นลู่หานจริงจังขนาดนี้ แต่ถ้าเป็นเรื่องความเป็นความตายเมื่อไหร่แน่นอนว่าเขาไม่เคยปล่อยให้มันเป็นไปโดยที่ไม่ทำอะไรสักอย่าง และครั้งนี้ก็เช่นกัน
“ที่ผมกังวลมันไม่ใช่แค่เรื่องนั้น คราวนี้ไม่ใช่แค่จงอินกับเซฮุนที่ตกอยู่ในอันตราย แต่มันหมายถึงเราทุกคนที่จะเข้าไปด้วย” อี้ฟานพูดถูก ตั้งแต่เกิดเรื่องมามากมายทั้งเฉียดตายและรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ มันเหมือนกับเส้นด้ายบาง ๆ ที่พร้อมจะขาดได้ทุกเมื่อ ถ้าเข้าไปในนั้นพวกเขาอาจจะต้องพบเจอกับความสูญเสียอีกครั้ง
“คุณจะไปช่วยพวกเขาหรือเปล่าครับ...” เสียงของซูโฮแผ่วเบา เด็กคนนั้นยืนอยู่ข้างพ่อของเขาพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ครับ ผมจะไป” อี้ฟานยิ้มบาง ๆ เพื่อให้เด็กหนุ่มสบายใจ “ตอนที่ผมกำลังจะโดนยิงหน้าผับจงอินเป็นหนึ่งในนั้นที่เข้าไปช่วยผม ถ้ามีทางไหนช่วยเขาออกมาได้แน่นอนว่าผมจะทำ” ร่างสูงหันเข้าหาคนอื่น ๆ ที่กำลังมองหน้าเขาอยู่
“ไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นด้วยกับลู่หาน แต่เราต้องวางแผนกันให้ดีถ้าไม่อยากเสียใครไปอีก” ชานยอลมองไปทางอีกคนที่ดูเหมือนว่าจะสงบลงไปบ้างแล้วหลังจากได้ฟังเหตุผลจากปากเขา “เราจะต้องกลับมาทุกคนแทนที่จะเสียใครไปเพื่อช่วยสองคนนั้นกลับมา”
“ผมเห็นด้วยกับชานยอล” จงแดยกมือขึ้น
“งั้นก็บอกมาเลยว่าจะต้องทำไงบ้าง” ลู่หานพร้อมที่จะทำตามทุกอย่าง ขอแค่ได้เข้าไปช่วยจงอินกับเซฮุนก็พอ
“คุณว่าไง?” อี้ฟานหันไปถามคนตัวสูงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ชานยอลนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
“แผนของผมมันอาจจะดิบไปหน่อย แต่มันจะทำให้เราเข้าไปในนั้นง่ายขึ้น ถ้ามีใครคิดว่ามันไม่เข้าท่าก็แย้งได้เลยนะครับ” ไม่มีใครพูดอะไร บางคนพยักหน้ารับเพื่อให้อีกฝ่ายเล่าถึงแผนการต่อ “ก่อนอื่นต้องมีคนที่คอยดูลาดเลาอยู่ข้างนอก ถ้าเกิดมีเหตุสุดวิสัยจริง ๆ ผมคิดว่าการซุ่มยิงจากที่สูงมันคงช่วยคนที่เหลือได้” ชานยอลหันไปทางคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้นัก สายตาที่มองมานั้นมินซอกเข้าใจดี
“ผมจะทำ”
“ขอบคุณครับ” ร่างสูงยิ้มบาง ๆ ลู่หานไม่ได้แย้งหลังจากรับรู้ว่ามินซอกเป็นคนแรกที่อาสารับหน้าที่นี้ เขาสองคนได้เพียงแค่สบตากันเท่านั้น และสุดท้ายคนตัวเล็กก็หลบสายตาไปก่อน
“ถ้าจะให้ลู่หานแอบปีนรั้วเข้าไป เราก็ต้องมีคนดึงความสนใจพวกมัน”
“ดึงความสนใจนี่คือยังไง? ปาหินไปอีกทางเหมือนในหนังน่ะเหรอ?” ซีวอนถามแล้วชานยอลก็ส่ายหน้า
“ผมหมายถึงคนที่จะเข้าไปในนั้นได้โดยไม่ถูกสงสัย”
“...”
“ในฐานะผู้รอดชีวิต”
ทุกคนมองชานยอลเป็นตาเดียวกัน ถึงจะได้ฟังแผนการแล้วแต่ยอมรับเถอะว่าทุกคนกำลังกลัวกับหน้าที่นี้ ถ้าบอกว่าในค่ายทหารมันเลวร้าย การเข้าไปที่นั่นทางประตูหน้ามันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่
“หมายความว่าให้เข้าไปในนั้นเหมือนที่จงอินกับเซฮุนทำน่ะเหรอคะ?”
“ครับ” ชานยอลประสานมือไว้ตรงหน้าขา “และต้องเข้าไปข้างในแบบคนไม่รู้อะไรสักอย่าง ต้องไม่รู้ว่าข้างในมีศูนย์วิจัย ไม่รู้ว่ามีผู้รอดชีวิต สิ่งเดียวที่รู้คือต้องการความช่วยเหลือ”
“งั้นฉันไปเองค่ะ”
“ไม่ได้” อี้ชิงโพล่งขึ้นมาทันทีที่กาฮีเสนอตัว “คุณเป็นผู้หญิง” เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เธอเข้าใจได้ยังไง บุรุษพยาบาลหนุ่มหันไปอธิบายให้ลู่หานฟัง คนที่จะช่วยอธิบายคำพูดของเขาให้ทุกคนฟังได้
“อี้ชิงบอกว่าผู้หญิงทุกคนบนโลกไม่ควรเข้าไปในที่อันตรายแบบนั้น ถ้าพวกทหารในค่ายซ้อมไอ้จงอินจนน่วม มันก็บอกได้แล้วว่าสภาพจิตใจของพวกมันไม่ได้พร้อมที่จะทำดีกับทุกคน”
“...”
“ต่อให้เป็นผู้พิทักษ์สันติราช รั้วของชาติ หรือบาทหลวง ถ้าอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความกระหายแบบนี้เชื่อเหอะว่าคุณไม่รอดแน่ ๆ คนเราถ้ายังไม่ตายยังไงก็ต้องมีความต้องการทางเพศ เพราะงั้นคุณไม่เหมาะกับหน้าที่นี้” หลังจากที่ลู่หานพูดจบครูสาวก็หันไปมองอี้ชิงที่กำลังแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขากำลังเป็นกังวลกับเรื่องนี้ กับประสบการณ์ฝันร้ายที่เคยพบเจอแน่นอนว่าเขาไม่สามารถลืมมันไปได้เลย
“นี่ก็ไปไม่ได้ด้วย เพราะมันเคยเห็นหน้าฉันแล้ว” ลู่หานพูดทันทีที่นึกถึงวันแรกที่ได้เจอทหารคนนั้น
“งั้นผมไปเอง” อี้ฟานเสนอตัว
“ถ้าผมเป็นทหารที่นั่น ผมคงสงสัยในตัวคุณพอสมควร” ชานยอลมองหน้าอีกฝ่าย “คุณไม่ดูเหมือนคนเอาตัวไม่รอด”
“...”
“งั้นผมได้ใช่ไหม?” ทุกคนหันไปทางแบคฮยอนเป็นตาเดียวกัน “ถ้าเป็นผมที่เข้าไปในนั้นด้วยเหตุผลที่ว่าเพิ่งสูญเสียครอบครัวไป” แววตาของเด็กหนุ่มแน่วแน่ ไม่มีแล้วบยอนแบคฮยอนที่เคยกลัวการต่อสู้กับโลกใบนี้
ชานยอลสบตากับคนตัวเล็ก รู้ว่าเด็กคนนั้นกำลังอยากบอกอะไรผ่านแววตาคู่นั้น เหมือนกับว่าต้องการให้เขาเชื่อใจ เขาไม่คิดว่าแบคฮยอนจะเป็นคนอาสารับหน้าที่นี้ และมันทำให้เขาค่อนข้างที่จะลำบากใจ ถึงจะบอกว่าต้องการคนที่ดูปกติไม่น่าสงสัย แต่ก็อดเป็นห่วงแบคฮยอนไม่ได้อยู่ดี
“ครับ แบคฮยอนเป็นคนรับหน้าที่นี้ ต่อไปเรามาวางแผนกันว่าจะเข้าไปช่วยจงอินยังไง”
“คยองซู ผมขอสมุดวาดรูปคุณได้ไหม?” พอได้ยินอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็เดินอ้อมไปหาอี้ฟานก่อนจะยื่นสมุดพร้อมดินสอให้ ร่างสูงใช้เวลาร่างมันอยู่ไม่นาน แค่ครู่เดียวก็ออกมาเป็นรูปแผนที่ “แบบคร่าว ๆ”
“ผมต้องทำอะไรบ้าง?” แบคฮยอนถาม
“ทำตัวเป็นเด็กหลงเข้าไปเพื่อดึงความสนใจคนในนั้น มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่จะสนใจกับสิ่งใหม่ ๆ อยู่แล้ว พวกทหารจะใช้เวลามองคุณสามวิเป็นอย่างต่ำ พอถึงตอนนั้นก็ให้ลู่หานหาจังหวะเข้าไป” ซีวอนลูบคางพลางมองไปยังหนุ่มไฟแรงที่วางแผนออกมาเป็นฉาก ๆ
“พอเข้าไปได้คุณก็ต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิมเลยสิแบบนี้ ถ้าในนั้นมีทหารยืนเฝ้ายามตลอด แล้วคุณจะหาทางเข้าไปได้ยังไงกัน?” จงแดหันไปทางลู่หานที่กำลังนั่งตั้งใจฟัง
“ไม่หรอก ฉันมีแผนแล้ว” เขาตอบทั้งที่ไม่หันไปมองหน้าอีกฝ่าย
“จงแด ยาสลบของคุณยังมีเหลืออยู่บ้างไหม?” อี้ฟานหันไปถามแล้วเจ้าหน้าที่หนุ่มก็พยักหน้า
“เหลือพอสมควรเลย คุณจะเอาแบบสัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่ล่ะ”
“เดี๋ยวผมจะบอกคุณอีกที”
“ส่วนผมจะเข้าไปพร้อมกับลู่หานเอง” แทบจะทุกคนที่เลิกคิ้วมองปาร์คชานยอล “ผมรู้ว่าเข้าไปคนเดียวมันสะดวกกว่าเป็นไหน ๆ แต่ถ้าเราทำงานกันเป็นทีม ผมว่ามันต้องออกมาดีกว่าแน่นอน” ชานยอลมองไปทางลู่หานที่ขมวดคิ้วส่ายหน้ารัว ๆ
“ถามกูก่อนไหมครับว่ากูสะดวกหรือเปล่า”
“แต่ผมสะดวก”
“ห่า”
ตุ่บ!
ทุกคนเงยหน้าขึ้นเมื่อจู่ ๆ ก็มีใครคนหนึ่งโยนเป้สีดำไม่ได้รูดซิปลงบนพื้นจนปืนและแม็กกาซีนกระจายออกมา พอหันไปทางด้านข้างก็พบสีหน้าเรียบเฉยของหวงจื่อเทาที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก
“ผมลุยด้วย”
กึ่ก...
ชายหนุ่มชุดกาวน์ยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องทดลองส่วนนอก ข้างในนั้นมีนักวิทยาศาสตร์ผู้ซึ่งเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนกำลังจัดการกับร่างชายแก่ที่เพิ่งเปลี่ยนไปเป็นผีดิบหลังจากถูกฉีดยาที่พวกเขาใช้เวลาร่วมอาทิตย์ในการค้นคว้าทดลองหาทางแก้
ใช่...ผลลัพธ์ครั้งนี้ก็เป็นศูนย์
อีทงเฮลอบถอนหายใจก่อนจะก้มหน้าเขียนบันทึกการทดลองลงในแฟ้มสีเข้ม ทั้งที่คิดว่ามันน่าจะได้ผลแล้วแต่ก็พลาดเหมือนกับทุกครั้ง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นก่อนจะหันไปมองมือใหญ่ที่วางอยู่บนไหล่เขา แค่ครู่เดียวอีทงเฮก็ทำมือปัด ๆ เป็นเชิงบอกให้อีกคนเอามือออก
“ทำรังเกียจไป จินฮยอกต่างหากที่ลงมือกับตาแก่นั่น”
“พี่ควรเข้าห้องฆ่าเชื้ออีกรอบ” ทงเฮพูดเสียงเรียบก่อนจะก้มหน้าลงเขียนบันทึกต่อ ชายหนุ่มตัวสูงยกยิ้มพลางส่ายหน้าหน่าย ๆ มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนจะพร้อมใจกันทำหน้ามึนตึงในสถานการณ์สิ้นหวังสุดกู่แบบนี้
“คนต่อไปนายจะลงมือเองหรือเปล่า?”
“อย่าใช้คำว่าลงมือ” ชายหนุ่มหันกลับไปข้างหลังขณะถอดถุงมือยางสีขาวออก เขาเห็นว่าอีทงเฮนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเลื่อนไปหยุดอยู่หน้าจอมอนิเตอร์พร้อมกับใส่พาสเวิร์ดเข้าไปในระบบ
“ทำไม? มันทำให้นายรู้สึกเหมือนเป็นฆาตกรหรือไง?” พูดจบก็แค่นยิ้มเล็กน้อย เขารู้ว่าหมอนั่นกำลังโมโหแต่นั่นแหละคือจุดประสงค์ของเขา “ผ่อนคลายหน่อย”
“เช่นอะไรดีล่ะ นั่งจิบเบียร์เย็น ๆ หน้าศูนย์วิจัย มองประตูทางเข้าที่เปิดรับเหยื่อเข้ามาเรื่อย ๆ แล้วหันไปชนแก้วกับพี่น่ะเหรอ?” ควอนซังอูหัวเราะ เขาพิงกับผนังสีขาวพลางกอดอกมองนักวิทยาศาสตร์รุ่นน้องที่ไม่ค่อยได้พูดคุยกันนักถ้าเทียบกับชเวจินฮยอกที่ยังคงยุ่งอยู่กับศพในห้องทดลอง
“เห็นไหม นายก็เรียกคนพวกนั้นว่าเหยื่อ”
“...”
“ยอมรับเถอะ เรามันก็ไม่ต่างอะไรไปจากพวกฆาตกรในคุกหรอก”
มือทั้งสองข้างวางอยู่บนแป้นคีย์บอร์ด เขาไม่ได้ออกแรงกดปุ่มลงไปขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กับหน้าต่างข้อมูลพร้อมกับรูปภาพสมองที่ตายแล้วของชายแก่เมื่อครู่ แต่ถึงอย่างนั้นในหัวของเขากลับกำลังคิดไปถึงเรื่องอื่น
เสียงประตูเปิดออก ตอนนี้ทหารสองนายกำลังเข้าไปในห้องทดลองพร้อมกับเตียงเหล็ก ศพชายแก่ถูกช้อนขึ้นวาง แค่ครู่เดียวเท่านั้นก็ถูกเข็นออกไป
“ฉันว่าเด็กคนนั้นทนได้อีกไม่กี่เข็มหรอก” อีทงเฮรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงใคร และหมอนั่นก็ไม่ได้พูดผิด พวกเขาทั้งสามคนต่างรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไรหลังจากผ่านการทดลองมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
“พี่อย่าพูดแบบนั้นสิ มีอย่างที่ไหนพูดตัดกำลังใจตัวเองอยู่ได้” ชเวจินฮยอกถอดผ้าปิดปากตามด้วยถุงมือยางก่อนจะขมวดคิ้วมองรุ่นพี่ที่กำลังยิ้มพอใจขณะมองใครอีกคนที่นั่งอยู่หน้าจอมอนิเตอร์
“แล้วฉันพูดผิดหรือไง?”
“ผิดตั้งแต่พี่เลือกเป็นนักวิทยาศาสตร์แล้ว เคยได้ยินไหมว่าความรู้ที่แท้จริงเกิดจากประสบการณ์ ถึงจะทดลองพลาดนับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความหวังนี่ครับ” บ่นจบก็ส่ายหน้าเบา ๆ “นายอย่าไปฟังเขาเลย ไปพักเถอะ” ประโยคหลังพูดกับคนที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ เขาวางมือลงบนไหล่ทงเฮก่อนจะตบเบา ๆ
“ไม่เป็นไร นายไปเถอะ”
“เอางั้นเหรอ? ถ้าไม่ไหวก็พักนะ พรุ่งนี้เริ่มกันใหม่” พูดจบก็เดินออกไปพร้อมกับรุ่นพี่อีกคน
เสียงสวิซต์ดังมาก่อนแสงไฟจะดับไป ตอนนี้สิ่งที่ให้ความสว่างในห้องกว้างคือจอมอนิเตอร์ที่เปิดทิ้งเอาไว้เท่านั้น ทุกอย่างเข้าสู่ความเงียบและปล่อยให้เรื่องเมื่อครู่กลับเข้ามาวนเวียนอยู่ในหัว
ในครั้งแรกที่เริ่มทดลอง ตอนนั้นอีทงเฮจำได้ดีว่าประหม่ามากแค่ไหน มือของเขาสั่น ตอนที่เห็นผู้ป่วยพยายามขืนตัวออกจากเก้าอี้ที่ขึงข้อมือทั้งสองข้างไว้ด้วยเชือกหนังเส้นใหญ่ ริมฝีปากที่อ้ากว้าง เลือดสีสดที่เยิ้มตามซอกฟันและสายตาที่มองมาราวกับว่าจะฆ่าเขาให้ได้ วันนั้นในห้องทดลองวุ่นวาย เกิดความโกลาหลจนยากที่จะหยุดยั้ง พวกเขาไม่มีความรู้เรื่องการฆ่าพวกผีดิบและในเหตุการณ์นั้นทำให้สูญเสียนักวิทยาศาสตร์อาวุโสที่เขาเคารพไปหนึ่งคน
ทงเฮเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ เสียงเอี๊ยดอ๊าดของมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำลายความเงียบในห้องกว้างที่เคยเรียกมันว่าความหวัง เปลือกตาปิดลงแล้วให้ลมหายใจผ่อนเข้าออกเป็นจังหวะ มันเป็นวิธีเดียวที่จะยืดเวลาให้เขาเดินไปไหนมาไหนได้โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการหลับนอน
‘ฉันว่าเด็กคนนั้นทนได้อีกไม่กี่เข็มหรอก’
โอเซฮุนไม่ได้พิเศษไปกว่าใคร ในทีแรกเด็กคนนั้นแสดงท่าทีเหมือนกับคนอื่น ๆ ไม่มีผิด ทั้งต่อต้าน แสดงออกถึงความหวาดกลัวไปจนถึงร้องขอความเห็นใจจากเขา แต่สิ่งที่ทำให้อีทงเฮรู้สึกไม่ดีแบบนี้อาจเป็นเพราะช่วงหลัง ๆ เด็กคนนั้นแทบจะไม่ปริปากพูดเลยล่ะมั้ง
บางทีถ้าโอเซฮุนขอความเห็นใจหรือแสดงท่าทีรังเกียจเขามันอาจจะดีกว่านี้ เมื่อสี่ชั่วโมงที่แล้วเขาเข้าไปหาเด็กคนนั้นเหมือนกับทุกวัน และก็เหมือนเดิม...เซฮุนเอาแต่นอนนิ่ง ๆ แล้วเหม่อลอยไปอย่างไร้จุดหมาย แม้ว่าเขาจะถามอาการหรือหาข้าวหาน้ำไปให้กินเด็กคนนั้นก็ยังเฉย
มีสิ่งหนึ่งที่อยากรู้แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบ นั่นก็คือเรื่องที่เซฮุนคอยถามเขาอยู่ทุกวันว่าวันนี้วันที่เท่าไหร่แล้ว? ทุกครั้งที่ตอบอีทงเฮมักจะถามกลับไปเสมอว่า ‘ถามทำไม?’ แต่เด็กคนนั้นก็ไม่เคยตอบ บางทีเซฮุนอาจจะอยากรู้ว่าเข้ามาอยู่ที่นี่ได้กี่วันแล้ว หรือถ้าแย่หน่อยก็อาจจะนับรอวันตายของตัวเอง
ชายหนุ่มมองไปยังนาฬิกาซึ่งบอกวันที่และเวลาปัจจุบัน เป็นอีกครั้งที่อีทงเฮลอบถอนหายใจกับความหวังที่ริบหรี่เข้าไปทุกที เขาจะต้องอดหลับอดนอนไปอีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี ผลการทดลองถึงจะสำเร็จ?
“สิบสามมกราคมแล้วสินะ...”
เช้าวันรุ่งขึ้น
อี้ฟานขับรถไปจอดข้างทางซึ่งมีโพรงไม้บังเอาไว้ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังเตรียมตัวพร้อมสำหรับหน้าที่ของตัวเอง การจอดในที่แจ้งมันคงไม่ดีเท่าไหร่หากว่ามีคนผ่านมาแล้วเห็นรถคันหนึ่งจอดทิ้งอยู่ข้างทาง
ตอนนี้ลู่หานออกไปดูลาดเลาข้างถนน ส่วนเทาหลังจากสวมเสื้อเวสไซราสเสร็จแล้วก็เดินไปคุกเข่าอยู่ใต้ต้นไม้เพื่อเป็นฐานให้มินซอกได้ปีนขึ้นไปข้างบน
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ผมอยากให้พวกคุณใจเย็นเข้าไว้” อี้ฟานบอกก่อนจะยื่นกระเป๋าเป้ให้แบคฮยอน ข้างในมีเพียงแค่เสื้อผ้าหนึ่งชุดกับน้ำดื่มครึ่งขวดเท่านั้น “อย่าตื่นตูม”
“ครับ” แบคฮยอนพยักหน้าก่อนจะหันไปทางชานยอลที่ยืนมองเขาอยู่ สบตากันได้ครู่เดียวร่างสูงก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาคนตัวเล็กก่อน เขาเห็นว่าแววตาของเด็กคนนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ถึงอย่างนั้นบยอนแบคฮยอนก็ไม่ได้ออกปากขอเปลี่ยนหน้าที่นี้กับใคร
“แทงเข้าที่ขา แล้วบิด” ชานยอลวางมีดพับลงบนมืออีกคน เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นก่อนจะพยักหน้ารับ “ผมรู้ว่าคุณทำได้”
“คุณก็เหมือนกัน”
ร่างสูงยิ้มบาง ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมา ถึงจะดูประหม่าอยู่บ้างแต่สุดท้ายชานยอลก็วางมือลงบนไหล่อีกฝ่าย วูบหนึ่งแบคฮยอนคิดไปว่าบางทีมันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่กับทุกคน แต่ถ้าผลลัพธ์ของเรื่องนี้มันจะจบด้วยความตาย เขาก็อยากทำในสิ่งที่ถูกต้องสักครั้งในชีวิต
“เป็นยังไงบ้างมินซอก?”
“ตอนนี้คนกำลังทยอยกันไปใน...ไม่รู้เรียกว่าบ้านได้ไหม แต่มันหลังใหญ่มาก ตรงนั้นน่ะหลังคาสีดำ”
“แล้วมีอะไรอีก รอบข้างมีทหารหรือเปล่า?”
“มีครับ แต่ไม่มาก เพราะทหารบางส่วนก็เข้าไปในบ้านหลังนั้นพร้อมกับคนอื่น ๆ เหมือนกัน”
“เอาล่ะ มันคือโอกาสทองที่เราจะเข้าไปในนั้น” อี้ฟานหันไปหาเพื่อนร่วมทาง และพวกเขาก็พยักหน้ารับ “อย่าเพิ่งยิงจนกว่าคนของเราจะโดนไล่ต้อนนะ” เงยหน้าขึ้นไปสั่งการเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะชักปืนยาสลบออกมา
อี้ฟาน ชานยอล ลู่หานและเทาแยกไปทางรั้วด้านข้าง ตอนนี้เหลือเพียงแบคฮยอนกับมินซอกที่ยังคงอยู่ที่เดิม เด็กหนุ่มยืนนิ่ง เขากำลังหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อรวบรวมความกล้า
“กลัวเหรอ” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นไปบนต้นไม้ มินซอกพูดกับเขาขณะตั้งปืนส่องลำกล้องไปทั่วค่ายทหาร “พวกนั้นไม่น่ากลัวเท่าฉันหรอก ไปได้แล้ว”
มินซอกละมือออกมาแล้วก้มลงไปสบตากับใครอีกคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิม แบคฮยอนยิ้มแล้วพยักหน้า คนบนต้นไม้มองตามอีกฝ่ายอยู่แค่ครู่เดียวก็หันกลับไปสนใจลำกล้องอีกครั้ง
ครืด...
“ข...ขอโทษครับ” ทันทีที่ประตูเปิดออกนายทหารก็มองไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนกอดกระเป๋าเป้ไว้แนบอก ชายหนุ่มในชุดลายพรางหิมะมองอีกฝ่ายหัวจรดเท้า พอเห็นแบบนั้นแบคฮยอนเลยคิดว่าควรทำอะไรสักอย่าง “พอจะมีอาหารให้ผมบ้างไหม...ผมไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้ว...”
“มาจากไหนเนี่ยไอ้หนู?”
“ผมมาจากอีกเมือง กลุ่มของผมโดนพวกมันกัดตายหมดเหลือผมอยู่แค่คนเดียว” ถึงจะฟังดูแปลก ๆ แต่จากสภาพเด็กคนนี้แล้วก็ไม่น่าจะมีพิษมีภัยอะไร แถมมาคนเดียวอีกด้วย ได้แต่คิดในใจว่าถ้าเก็บไอ้เด็กนี่เอาไว้ใช้แรงงานในค่ายก็คงดี
“เข้ามาสิ ถึงเวลากินข้าวเช้าพอดี” แบคฮยอนยิ้มกว้างแล้วโค้งหัวเต็มองศา เด็กหนุ่มเดินตามทหารเข้าไปพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบ ๆ ตอนนี้เขาเข้ามาแล้ว...ใจเย็นไว้แบคฮยอน อย่าตื่นตูม
อี้ฟานละกล้องส่องทางไกลลง เป็นอย่างที่ชานยอลคาดไว้ไม่มีผิดว่าพวกทหารที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างทางกำลังหันไปให้ความสนใจผู้มาใหม่ ทั้งสี่คนยืนอยู่บนลังไม้ที่ถูกลากออกมาทิ้งข้างถังขยะ มันเป็นความโชคดีของพวกเขาในความสะเพร่าของคนในค่ายนั้น
“เราต้องรีบลงไป” ชายหนุ่มหันไปหาคนข้าง ๆ แล้วลู่หานก็พยักหน้ารับ ร่างโปร่งปีนข้ามรั้วไปอย่างง่ายดายและตามด้วยชานยอล ส่วนอี้ฟานกับเทาจะรออยู่ตรงนี้ สองหนุ่มเงยหน้าขึ้นก่อนจะพยักหน้าให้คนที่เหลืออย่างรู้กัน ลู่หานวิ่งเลียบไปตามกำแพงบ้านก่อนจะดึงมีดพกออกมาถือไว้
“มึงรออยู่ตรงนี้เดี๋ยวกูออกไปก่อน ถ้าถูกจับจะได้ไม่โดนพร้อมกัน” เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นด้วยกับความคิดของลู่หาน ชานยอลไม่ได้ตอบอะไรจนกระทั่งลู่หานแยกตัวออกไปก่อน เขายืนดูท่าทีแค่ครู่เดียว ไม่ถึงสิบวิเลยด้วยซ้ำก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงคน ซึ่งประโยคนั้นมันจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากว่าลู่หานถูกจับได้แล้ว
ชานยอลโผล่หน้าออกไปเล็กน้อย ใช่อย่างที่คิดจริง ๆ ตอนนี้มีทหารนายหนึ่งตั้งปืนกลเตรียมพร้อมที่จะเหนี่ยวไกใส่คนที่กำลังยกมือขึ้นอย่างช้า ๆ พอเห็นแบบนั้นแล้วก็หัวเสียไม่น้อย บางทีเขาอาจจะคาดหวังกับผู้ชายคนนั้นสูงมากเกินไป
“อย่าขยับ”
“ก็ยืนเฉย ๆ แล้วนี่ไง” ลู่หานพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ เขาไม่ได้แสดงท่าทีว่ากลัวอีกฝ่ายเลยสักนิด ทหารมองหน้าชายหนุ่มอย่างหยั่งเชิง ถ้าเกิดไอ้หน้าหวานนี่ขยับเขาอาจจะต้องลงไม้ลงมือกับมันสักหน่อย
ลู่หานกลอกตาไปทางด้านขวา ตามสัญชาติญาณเขามั่นใจว่าไอ้หอกนี่ต้องอยากรู้ว่าข้างหลังมันมีอะไร จังหวะนั้นเองที่ทหารหันกลับไปลู่หานก็ซัดหน้าอีกฝ่ายอย่างแรงก่อนจะเข้าไปล็อกคออีกฝ่ายจากข้างหลังแล้วใช้มืออีกข้างปิดปากเอาไว้ โชคดีที่ขนาดตัวไอ้เวรนี่ไม่โตไปกว่าเขานักเพราะฉะนั้นมันเลยง่ายขึ้นมาหน่อย
“ชู่วววว์...” กระซิบเบา ๆ ก่อนที่คนตรงหน้าจะหมดสติไป ลู่หานมองออกไปข้างนอก เขาต้องเร่งมือหน่อยถ้าหากไม่อยากโดน M16 จากเหล่าทหารรัวใส่จนพรุน “เฮ้ย!”
“ชู่วววว์...” เขาแทบจะช็อกตายตอนที่ถูกสะกิดจากข้างหลัง ที่ไหนได้คือพ่อยอดชายจอมหายนะนามว่าปาร์คชานยอลนี่เอง มึงมาแบบนี้ไม่ฆ่ากูเลยล่ะห่า ยังมีหน้าเอานิ้วแตะปากตัวเองทำหล่ออีก ที่กูจะแหกปากก็เพราะมึงเนี่ย
“ช่วยกูหน่อย” เดี๋ยวเหอะมึง ถ้ากลับอุทยานเมื่อไหร่กูจะด่าชนิดที่ว่าปลุกโคตรเหง้ามึงมานั่งฟังด้วยเลยคอยดู
ทั้งคู่ช่วยกันลากทหารหมดสติไปทางหลังบ้าน จังหวะนั้นก็เห็นอี้ฟานกระโดดตามลงมาพร้อมกับปืนยิงยาสลบ ส่วนลู่หานกำลังแลกชุดตัวเองกับชุดทหาร ตอนนี้เหลือเพียงแค่เทาที่ยืนสแตนด์บายอยู่รั้วทางด้านนอก เหลือเพียงแค่ส่งสัญญาณมาเท่านั้นเขาก็พร้อมที่จะเข้าไปช่วย
“เอาล่ะ ทางสะดวก” ลู่หานยืนวอร์มร่างกายหลังจากเปลี่ยนเป็นชุดลายพรางหิมะเรียบร้อยแล้ว นี่คือแผนที่เขาได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ “กูจะเข้าไปก่อน ช่วยไอ้จงอินเสร็จแล้วค่อยว่ากันอีกที ส่วนตอนนี้ดูแบคฮยอนกับไอ้ห่านี่ไว้ ถ้ามันตื่นมาแล้วร้องให้เอานิ้วหัวแม่ตีนอุดปากมัน เคนะ?”
สองหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร ซึ่งก็ขอบคุณมากที่ทำให้กูยืนเก้อแบบนี้ ลู่หานเดินออกมาข้างนอก เขาเกร็งเล็กน้อยกับการที่ต้องเนียนทำตัวเป็นคนที่นี่ แต่ก็แค่ห้าวิเท่านั้นแหละ พอเห็นว่าพวกทหารที่เขาเพิ่งเดินผ่านไม่ได้สนใจเลยสักนิดเจ้าตัวเลยเหิมเกริม เดินชิลแม่งเลยครับ
“เฮ้ย” ทหารหนุ่มขมวดคิ้วมองคนข้าง ๆ ที่หน้าตาไม่คุ้นเลยสักนิด “วันนี้อากาศดีนะ”
“ดียังไง นี่หนาวจะตายห่าแล้ว” ทหารสวนกลับไปพร้อมกับแววตาที่เขาสามารถรู้ได้เองว่าไอ้หอกนี่กำลังด่าเขาในใจ แต่นั่นมันไม่ใช่ปัญหา
“เออ หนาวจริง หนาวจนแม่คะนิ้งลงไข่”
“อะไรของมึง นี่ไม่ต้องเฝ้าเวรไงวะ? หรือว่าออกมากินข้าว?”
“ไม่อ่ะ นี่กูได้คำสั่งมาว่าให้ไปกระทืบไอ้เชี่ยนั่น ชื่อไรนะ? ที่มันโดนรุมตีนเมื่อวาน”
“หือ? ไอ้คนนั้นน่ะนะ? กูไม่รู้จักชื่อมันหรอก” ทหารหนุ่มปฏิเสธ หน้าที่ของเขาก็แค่เฝ้าเวรเท่านั้น ไม่ได้ไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่นี่จนรู้จักกันเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนอย่างทหารบางนาย
“อ้าว แล้วกูจะไปตื้บมันได้ไงล่ะทีนี้?”
“มึงยังจะไปทำมันอีกเหรอ นั่นก็โดนไปกี่รอบแล้วก็ไม่รู้ สงสารมันเถอะ” ทหารส่ายหน้าหน่าย ๆ เขาเห็นทุกครั้งที่พวกทหารกลุ่มนั้นเข้าไปเล่นงานมัน
“ทำไมวะ”
“เมื่อตอนเช้าก็โดนไปแล้วรอบนึง ว่าแต่ใครบอกให้มึงมาจัดการมันล่ะ” ลู่หานกลอกตาไปมาเมื่อโดนยิงคำถามนี้ เขายิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะชี้โบ้ชี้เบ้ไปมั่ว
“ลูกพี่กูเองแหละ”
“ลูกพี่?”
“ใช่ ลูกพี่กู” ลู่หานทำตาปริบ ๆ เชื่อเถอะครับนี่กูยิ้มจนเหงือกแห้งแล้ว “มันอยู่บ้านหลังไหนวะกูจะได้ไปจัด ถ้าลูกพี่ไม่เห็นคราบเลือดมันบนตีนกูนี่มีชิบหายอ่ะ”
“ลูกพี่มึงไม่ได้บอกหรือไงว่ามันอยู่บ้านหลังไหน”
“ไม่ว่ะ กูเฝ้าอยู่ทางนั้นจะไปเห็นได้ไงว่ามันอยู่ตรงไหน อย่าว่างู้นงี้เลยนะ ขอบ่นทีเหอะ อัดอั้นมานาน” ลู่หานวางปืนลงแล้วขยับเข้าไปใกล้ ๆ อีกฝ่าย และดูเหมือนว่าตอนนี้คนข้าง ๆ จะคล้อยตามแล้ว
“อะไรวะ”
“มึงเข้าใจอารมณ์ตอนเพิ่งเป็นทหารใหม่ ๆ ได้ใช่ป่ะวะ ไหนจะพวกครูฝึก ไหนจะพวกขี้กร่าง เห็นกูตัวเตี้ยหน่อยก็รุมแกล้งจังเลย เมื่อวานก็ไล่กูถอดเสื้อคลานบนหิมะ หัวนมกูแข็งปั่กแค่ไหนมึงจินตนาการไม่ออกหรอก” ลู่หานปั้นหน้าจริงจังทำเอาคนได้ฟังขมวดคิ้วมุ่น
“เอาจริงดิ มันขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“ยิ่งกว่านั้นอีกแต่กูอายที่จะเล่า แต่รวม ๆ แล้วคือถ้ากูไม่ไปกระทืบมันนะ...” ลู่หานทำท่าปาดคอตัวเอง
“ทางนั้น ตรงที่มีถังขยะสีดำวางอยู่ข้างหน้า มึงรีบไปเหอะ” เห็นแล้วก็สมเพชเลยชี้ทางสว่างให้ เขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายที่จะทนเห็นเพื่อนทหารด้วยกันโดนแกล้ง เพราะตอนเป็นทหารเกณฑ์เขาก็โดนมาไม่ใช่น้อย ๆ
พอได้ยินแบบนั้นลู่หานก็ยิ้มกว้าง เกินความคาดหมายเอาไว้เสียอีก เขาก้มลงเก็บปืนก่อนจะลุกขึ้นมาหลังอีกฝ่ายอั่ก ๆ เป็นเชิงขอบคุณ
“ขอบใจมากนะเว้ย ถ้ารอดไปได้กูจะสวดมนต์อวยพรให้มึงไม่ตาย”
พูดจบก็รีบวิ่งไปทางด้านขวา ทหารหนุ่มหรี่ตามองไอ้เตี้ยคนนั้นที่จู่ ๆ ก็หยุดวิ่งแล้วยืดอกเดินต่อ เขาส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วหันกลับไปยืนเหมือนอย่างที่เคย
ลู่หานเลียริมฝีปาก หันซ้ายขวาอยู่ในทีก่อนจะหลุบตามองลูกบิด เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกว่าการเกิดมาเป็นโจรกระจอกนี่มันดีจริง ๆ อย่างน้อยเขาก็ได้ใช้สกิลนี้ในเวลาคับขัน
ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วเอาลวดแข็งออกมาสองเส้น โชคดีที่เขาไม่ลืมเอามาด้วยตอนแลกชุดกับไอ้หอกนั่น ก้มตัวลงเล็กน้อยแล้วผิวปากกลบเกลื่อน พอเห็นว่ามีทหารกำลังมองมาทางนี้เลยตีเนียนพยักหน้าให้พร้อมกับทำท่าสับศอกประกอบเป็นเชิงบอกว่าเดี๋ยวพี่จะเข้าไปตื้บไอ้หอกที่อยู่ข้างในนี้เอง
ใช้เวลาไม่นานนักลูกบิดก็เปิดออกได้ ลู่หานซี๊ดปากก่อนจะถอนหายใจหนัก ๆ หวังว่าเพื่อนรักของเขาจะนั่งทำหน้าดำอยู่ข้างในแทนที่จะนอนอาบเลือดอย่างน่าสมเพช เอาเถอะ ในที่สุดเขาก็ผ่านภารกิจแรกแล้ว
“เชี่ย!”
ลู่หานก้มหัวลงพร้อมกับยกมือขึ้นบังเมื่อจู่ ๆ ก็มีบางอย่างลอยผ่านหน้าไปอย่างเฉียดฉิว พอหันไปก็เห็นว่าใครคนหนึ่งกำลังพยายามยืนทรงตัวพร้อมกับถือลิ้นชักไม้เอาไว้
“ไอ้จงอิน?”
“...นั่นใคร?” เพราะความมืดในห้องเก็บของเลยทำให้เขามองเห็นอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเท่าที่ควร เพราะแสงสว่างตอนประตูเปิดนั่นแหละเลยทำให้รู้ว่าผู้มาใหม่เป็นทหาร แน่นอนว่าทุกคนที่ใส่ชุดลายพรางคือศัตรูของเขา
“พ่อมึงไงห่า”
“...ไอ้ลู่หาน?” จงอินทิ้งลิ้นชักลงพื้นก่อนจะเข้าไปกอดเพื่อนซี้จนเซไปทางด้านหลัง
“เฮ้ย! ถอยออกไปเลยมึง ขนลุกชิบหาย!”
“เข้ามาได้ไงวะ?” ร่างหนาผละตัวออกก่อนจะเบาเสียงลงเมื่อพบว่ามีเงาใครคนหนึ่งเดินผ่านไป
“เดี๋ยว” ลู่หานพูดเบา ๆ ก่อนจะหันไปข้างหลัง “ไม่ต้องร้อง!!! ต่อให้กราบตีนกูก็ไม่ออมมือหรอก!!!” ลู่หานตะโกนเสียงดังพร้อมกับเตะผนังไม้อย่างแรงแสดงละครสมจริงจนกระทั่งคนที่อยู่ข้างนอกเดินผ่านไป
“มันไปแล้ว” จงอินยืนมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาเรียบเฉย
“เออ ไม่ใช่แค่กูที่มา อี้ฟาน ชานยอล ไอ้เทา...”
“เรื่องนั้นไว้ทีหลัง ตอนนี้กูต้องไปช่วยเซฮุนก่อน” จงอินเดินไปหยุดอยู่ข้างผนังไม้ก่อนจะมองทะลุช่องว่างออกไปสังเกตการณ์
“เออ แล้วเด็กกรงหมาอยู่ไหนวะ?”
“ศูนย์วิจัย กูคิดว่าตอนนี้พวกมันคงทำเรื่องไม่ดีอยู่” นัยน์ตาคมยังคงจับจ้องอยู่กับทหารที่เดินเพ่นพ่านอยู่ละแวกนี้
“ชิบหายเอ้ย! เป็นไงละครับเป็นไง ดิ้นอยากมากันนักใช่ไหม ควาย กระบือแบบแพ็คคู่ ไม่เคยเข็ดไม่เคยจำ”
“นี่มันใช่เวลาที่มึงจะมาด่ากูเหรอ ถ้ารอดกลับไปได้กูจะกราบตีนมึงงาม ๆ สักสามทีเลยดีเปล่า?”
“ดี ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น คืนคำเจอบาทาลูบพักตร์” ลู่หานชี้หน้าคาดโทษคนเป็นเพื่อนแต่ก็ต้องชะงักไปครู่หนึ่ง พอเบ้าหน้ามันอยู่ใกล้แสงสว่างแล้วก็แทบตกใจ “เยด นี่มึงโดนซ้อมหรือรถถังเหยียบหน้าเนี่ย อย่าเดินผ่านกระจกนะเดี๋ยวมีช็อก กูขอเตือนเลย” ลู่หานขมวดคิ้วพลางส่ายหน้าช้า ๆ
“ช่วงที่กูไม่อยู่มึงคงเหงาปากมากสินะ” จงอินมองอีกฝ่ายด้วยสายตาระอา
“ที่สุดอ่ะ มึงไม่รู้หรอกว่าคนที่นั่นแม่งอมทุกข์กันแค่ไหน กูอึดอัดไม่รู้จะคุยกับใคร หันหน้าไปทางไหนทุกคนก็เดินหนีหมด มีแค่มึงคนเดียวที่รับฟังกู”
“เออ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน แผนว่าไง?”
“ตอนนี้คิดแค่ว่าจะพามึงไปหาพวกอี้ฟานที่อยู่ด้านหลัง”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”
“ไม่รู้อ่ะ ยังไม่ได้คิด”
“...”
ทั้งคู่หันมามองหน้ากันท่ามกลางความว่างเปล่าและเสียงกาที่บินอยู่บนหัว จงอินตบหน้าผากตัวเองแล้วเอนหลังพิงกับผนังก่อนจะชำเลืองมองเพื่อนที่แฝงตัวเข้ามาเป็นทหารซะดิบดี
“มึงถ่อหน้าเข้ามาในนี้ทั้งที่ไม่มีแผนเนี่ยนะ กูจะบ้า อี้ฟานกับชานยอลปล่อยมึงมาได้ไงวะ?”
“เหย ของแบบนี้มันไม่ต้องเตรียมหรอกห่า คนเรียนจบมาทำงานไม่ตรงสายก็มีเยอะแยะไป แล้วที่วางแผนไว้ใช่ว่าจะลงรอยทุกอย่าง มึงเชื่อดิเดี๋ยวก็ไหลไปตามน้ำ” จงอินแค่นหัวเราะในลำคอกับคำแถของเพื่อนซี้
“งั้นบอกมาว่ามึงจะพากูออกไปได้ยังไง?” จงอินอ้าแขนออกกว้างพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ห้องเก็บของที่ไม่มีทางไหนออกได้เลยนอกจากประตู
“มันจะไปยากอะไรวะ ก็แค่เดินออกไป”
“เดินที่หน้า”
“กูเข้ามาได้ก็ต้องพามึงออกไปได้ ช่วยดูหน่อยครับว่าอยู่กับใคร”
“โจรขี้กากคนนึงที่คิดว่าตัวเองเก่งนักหนา”
“เดี๋ยวมึงจะได้เป็นอีกคนที่คิดว่ากูเก่ง มานี่มา” ลู่หานกระดิกนิ้วเรียก จงอินถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปหาเพื่อนอีกครั้ง “เราต้องแสดงละครกันหน่อย อาจจะมีฉากบู๊ เตะต่อยบ้าง กูจะทำเบา ๆ มึงก็ตีเนียนทำเป็นเจ็บจริงแล้วกันเคป่ะวะ”
“มึงจะเตะกูโชว์พวกมันว่างั้น แบบนั้นจะไม่เด่นเกินไปเหรอวะ?”
“เปล่าเว้ย กูแค่จะเตะตอนที่พวกมันสงสัยแค่นั้นแหละ มึงไม่ต้องกลัว”
“กูกลัวโดนยิงตายคู่ก่อนได้ไปช่วยเซฮุนน่ะ มึงไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าจะทำได้?” จงอินผลักหัวคนเป็นเพื่อนเบา ๆ ลู่หานถอนหายใจแล้วมองหน้าเพื่อน
"ฟังนะ...กูไม่เคยเอาผู้หญิงสองคนพร้อมกันมาก่อน แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริงมึงเชื่อเถอะว่ากูรับมือกับมันได้" นั่นหมายความว่าลู่หานผู้นี้สามารถผ่านอุปสรรคทุกสิ่งอันบนโลกใบนี้ได้แน่นอน
“ถุ้ย”
“เทพสัดอ่ะกู”
ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายที่ทุกคนบุกเข้ามาช่วยเขาถึงที่นี่ สงสัยว่าลู่หานรู้ได้ยังไงว่าเขาอยู่ส่วนไหนของค่ายทหารแต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมาถามในเรื่องที่อยากรู้ แต่สิ่งหนึ่งที่คิมจงอินรู้ในตอนนี้ก็คือความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อทุกคน กับการที่ยังมีคนเป็นห่วงและพร้อมจะยื่นมือเข้ามาช่วยเวลาที่เขาลำบากนี่มันดีมากจริง ๆ
“ขอบใจที่มา”
“เออ”
ไม่มีใครพูดอะไรอีก พวกเขาต่างรู้สึกแปลก ๆ กับการที่ต้องพูดคำซึ้งทั้งที่ปกติมักจะสาดคำพูดหยาบ ๆ ใส่กันอยู่เสมอ จงอินกอดคอคนข้าง ๆ เข้ามา ลู่หานเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มมองหน้าเพื่อนซี้แล้วกอดคอตอบเช่นกัน
“พร้อมยัง?”
“กูพร้อมตั้งแต่เมื่อวานละ”
“งั้นลุย จะไม่มีการอยู่ให้เลือดเพื่อช่วยใครหน้าไหนอีกแล้ว”
TBC
ขอโทษนะคะ ช่วยดับไฟที่กำลังลนดากดิฉันทีค่ะ พี่ลู่จะพาจงอินออกไปได้จริง ๆ ป่ะเนี่ย นางไปเอาความมั่นใจมาจากไหน แล้วถ้าเจอพวกอี้ฟานแล้วจะวางแผนยังไงต่อ จะเข้าไปในศูนย์วิจัยได้เหรอ ยากอยู่นะเนี่ย เซฮุนรอหน่อยนะ!!!
(พื้นที่โฆษณา)
เปิดโอนฟิคซอมบี้ซีซั่น 2 พร้อมรีปริ๊นท์ซีซั่น 1 จ้า >> http://t.co/0rr5IpfULe
เสื้อซอมบี้ลายใหม่รายละเอียดข้างในนี้จ้า >> https://t.co/VMKYIPZnAG
เล่นเกมชิงโปสเตอร์ฟิคซอมบี้อ่านกติกาในนี้ค่า >> http://t.co/6Gb7TY30uX
ความคิดเห็น