คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #74 : Chapter 69 :: Wheelchair
Chapter 69
Wheelchair (Start Season 3)
“เป็นไงบ้าง?”
“อะไรที่ว่าเป็นไง?”
“ที่ค่ายนั้นไง มันโอเคหรือเปล่า?”
“เออ เดี๋ยวก่อน”
ลู่หานยกมือขึ้นเป็นเชิงขอเวลาเมื่อแบคฮยอนเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นออกมาต้อนรับเขาถึงรถ พอมองไปยังเบื้องหน้าก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังมองมาทางนี้ และแน่นอนว่าแววตาของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยคำถาม ลู่หานสามารถจินตนาการได้เป็นฉาก ๆ กับคำถามที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
ชายหนุ่มหยัดตัวนั่งลงข้าง ๆ อี้ชิง เขาหลุบตาลงมองท่อนฟืนที่กำลังมอดไหม้ในกองไฟขณะเรียบเรียงคำพูดเพื่อที่จะตอบคำถามของคนที่รออยู่ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียว แต่มันก็ดีที่ตรงนี้มีเพียงแค่อี้ฟาน ชานยอล อี้ชิง จงแดและแบคฮยอน ส่วนคนที่เหลือน่าจะอยู่ในบ้าน หรือไม่ก็อยู่ที่ไหนสักแห่งซึ่งคนธรรมดาอย่างลู่หานไม่สามารถล่วงรู้ได้
“สองคนนั้นเข้าไปได้โดยสวัสดิภาพใช่ไหม?” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบอี้ฟานเลยถามย้ำอีกครั้ง ลู่หานเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย เสียเวลาคิดไปอยู่หลายวินาทีแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยักหน้าช้า ๆ และแน่นอนว่ามันไม่ได้ทำให้คนรอคำตอบหายแคลงใจไปได้เลย
“พูดอะไรหน่อยสิอย่าเอาแต่พยักหน้า สรุปปลอดภัยใช่ไหม? แล้วเขาสองคนบอกหรือเปล่าว่าจะกลับมาเมื่อไหร่?” เป็นแบคฮยอนที่กระตุ้นอีกคน ลู่หานถอนหายใจ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้ความอึดอัดในการพูดเรื่องนี้มันคืออะไร ทั้งที่ก็เห็น ๆ อยู่ว่าสองคนนั้นเดินเข้าไปในค่ายโดยที่ไม่มีใครเอาปืนจ่อหัวอย่างที่คาดคิดเอาไว้
“น่าจะ”
“หมายความว่ายังไงที่บอกว่าน่าจะ?” ชานยอลถามเสียงเรียบ
“ก็คือ ‘น่าจะ’ ไง”
“คุณพูดเหมือนไม่ได้เห็นกับตาว่าเห็นเขาสองคนเข้าไป”
“เห็นน่ะเห็นอยู่แล้ว” ลู่หานเริ่มฉุนขึ้นมาหน่อย ๆ นาทีนี้เขารู้สึกเหมือนทุกอย่างย้อนกลับไปที่บ้านพักหลังนั้น ตอนที่เขากำลังกดดันให้ปาร์คชานยอลยอมรับว่าไม่ได้เห็นอี้ฟานโดนยิงตายกับตา และครั้งนี้เขาก็รู้สึกได้ว่าถึงคราวที่หมอนั่นกำลังจะเอาคืน
“คุณน่าจะพูดให้เคลียร์ตั้งแต่แรก”
“แล้วนี่ไม่เคลียร์ตรงไหน? จะหาเรื่องเหรอครับหื้ม?” ลู่หานแค่นยิ้มมองอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่ถึงอย่างนั้นปาร์คชานยอลก็ไม่ได้แสดงท่าทีต่างไปจากเดิม
“ขอล่ะลู่หาน” สุดท้ายก็ถูกปรามด้วยอี้ฟานเจ้าเก่า เขาเพียงแค่ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระแล้วหันไปอีกทาง ถ้าเกิดคนอื่นเป็นฝ่ายถามก็อาจจะยอมตอบดี ๆ ก็ได้ นี่ไม่ได้อคตินะ แต่คำถามของมันชวนให้ตอบกวนตีนจริง ๆ นี่หว่า “แล้วในค่ายนั้นเป็นยังไงบ้าง”
ลู่หานหยุดกึกแล้วปล่อยให้ความเงียบทำงาน นี่แหละคือประเด็นหลักที่เขาไม่รู้ว่าจะตอบทุกคนยังไงหลังจากขับรถเข้ามาในอุทยานแล้ว เพราะตอนไปส่งมันสองคนก็เสือกซึนขับหนีออกมาก่อนเลยไม่รู้ว่าสภาพในนั้นเป็นยังไงบ้าง ถึงจะเคยได้ยินไอ้จงอินเล่าปากเปล่าแล้วก็เถอะ
ทุกคนไม่เว้นแม้แต่อี้ชิงกำลังจ้องหน้าอีกฝ่ายระหว่างรอคำตอบ ลู่หานไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตากับใคร บางทีผู้ชายคนนี้อาจจะใช้เวลามากเกินไปสำหรับการตอบคำถามง่าย ๆ ข้อนี้ พอเห็นเจ้าตัวไม่ตอบคำถามแบคฮยอนเลยปาหิมะใส่เบา ๆ เป็นการเรียกสติ
“ฉันไม่ได้เข้าไปส่งมันถึงข้างใน” คำตอบของลู่หานทำเอาหลายคนอึ้ง และคนที่แสดงออกอย่างชัดเจนที่สุดก็คือแบคฮยอน “แล้วก็ไม่ต้องถามด้วยนะว่าเพราะอะไร เพราะต่อให้ฉันเข้าไปเห็นกับตาว่าที่นั่นดีเหมือนสวรรค์หรือแย่ยิ่งกว่าขุมนรกพวกมันสองคนก็ไม่ยอมถอยกลับมาอยู่ดี”
พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกจากตรงนั้น ลู่หานไม่สนใจแล้วว่าคนที่เหลือจะคาดหวังคำตอบอะไรอีก เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้มากไปกว่าคนอื่นเลย ที่กำลังแสดงอาการหงุดหงิดงุ่นง่านในตอนนี้ไม่ใช่เพราะชานยอลกวนส้นตีน และไม่ใช่เพราะถูกถามเซ้าซี้ แต่เป็นเพราะเขากำลังหงุดหงิดตัวเองที่ปล่อยให้เพื่อนเข้าไปในนั้นเพราะทิฐิ แทนที่จะเข้าไปดูให้แน่ใจว่าที่นั่นปลอดภัยจริงแล้วค่อยกลับ
เวลาผ่านไปประมาณยี่สิบนาทีเห็นจะได้ จูจีฮุนถึงเดินออกจากศูนย์วิจัยตึกสีขาว จงอินหยัดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมกับเหวี่ยงกระเป๋าเป้ไปข้างหลัง สิ่งแรกที่เขาสังเกตเห็นได้คือรอยยิ้มบนใบหน้าของทหารหนุ่ม มันเป็นเรื่องน่าแปลกใจอย่างหนึ่งกับการได้เห็นรอยยิ้มของใครสักคนทั้งที่โลกเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ แต่พอนึกย้อนกลับไปถึงวันแรกที่เจอกันมันก็ทำให้เขาพอเข้าใจเหตุผลของรอยยิ้มของจูจีฮุนหลังจากได้พบกับคำว่าความหวัง
“เซฮุนเป็นยังไงบ้าง?”
“ผมเพิ่งส่งเขาเข้าไปที่ห้องพัก วันนี้คงยังไม่เริ่มทำอะไรหรอก” ทหารหนุ่มเดินนำไป เขาหันกลับมาพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้จงอินมาด้วยกัน “คงไม่มีปัญหาใช่ไหมถ้าทุกอย่างไม่ได้เสร็จภายในวันนี้ คุณรีบหรือเปล่า”
“อ้อไม่” จงอินตอบแบบขอไปที การค้างที่นี่สักคืนมันไม่ใช่ปัญหาอะไรเพราะเขาก็เตรียมเสื้อผ้ามาเผื่อชุดนึงอยู่แล้ว
ระหว่างเดินตามหลังจูจีฮุน เขาก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ค่ายทหารแห่งนี้ ที่นี่ค่อนข้างน่าอยู่ถ้าเทียบกับข้างนอก แต่น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกดีกับการเดินบนถนนที่มีผู้คนเดินผ่านไปมาราวกับว่าข้างนอกนั่นไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น
แน่ล่ะ ในหัวของเขามีแต่เรื่องของโอเซฮุนอยู่เต็มไปหมด มันคงเป็นไปได้ยากที่เขาจะวางใจกับสิ่งที่มองไม่เห็น ถึงจูจีฮุนจะพูดอย่างนั้นแต่มันก็ช่วยบรรเทาความคิดมากของเขาไม่ได้อยู่ดี ถ้าคิมจงอินเป็นคนคิดน้อยกว่านี้สักหน่อย บางทีตอนนี้เขาอาจจะนอนกรนอยู่ที่ไหนสักแห่งในค่ายนี้ก็ได้
“ถึงแล้ว” ทหารหนุ่มแหวกผ้าผืนใหญ่สีเขียวทึบออก สิ่งแรกที่เห็นคือผู้คนจำนวนหนึ่งที่อยู่ในนั้น มันคือโถงกว้างซึ่งมีที่นอนนุ่นแข็ง ๆ ขนาดหนึ่งช่วงแขนปูเรียงกันยาวไปจนสุดทาง อีกทั้งผ้านวมเน่า ๆ กองเป็นก้อนที่บ่งบอกว่าตรงนั้นมีเจ้าของแล้ว
บรรยากาศเหม็นอับ มันคงจะดีถ้าคนพวกนั้นยอมย้ายตู้กับโต๊ะเก่า ๆ ที่ขวางหน้าต่างทางด้านขวาออกไปไว้ข้างนอกแล้วเปิดให้อากาศได้ถ่ายเทบ้าง ถึงตอนนี้จะอยู่ในหน้าหนาว แต่การทนอยู่กับความอึดอัดแบบนั้นคนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือเด็กและคนชรา
ใช่ ที่นี่คือโรงนอนชาย ตอนนั่งรอจูจีฮุนอยู่หน้าศูนย์วิจัยเขาเห็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับเขาช่วยทหารทำงานในค่าย ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางใช้แรงงาน ไม่ว่าจะเป็นการแบกกระสอบข้าว ยกของ ไปจนถึงออกไปหาเสบียงกับเหล่าทหาร เขาเห็นว่ามีผู้ชายหลายคนนั่งรถจี๊ปกลับเข้ามา
ส่วนเด็กจะอยู่ในโรงนอน พวกเขาไม่ได้ออกไปวิ่งเล่นวิ่งไล่จับหรือส่งเสียงหัวเราะอย่างที่ควรจะเป็น เด็กพวกนั้นแค่แบ่งกันเล่นของเล่นที่มีเพียงไม่กี่ชิ้น ส่วนคนมีอายุก็นั่งจับกลุ่มอยู่ตรงมุมสุด ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจว่าที่นี่มันสามารถเรียกว่าห้องได้ไหม? จะว่าไปแล้วคนพวกนั้นก็แค่นั่งเงียบ ๆ ด้วยกันโดยไม่มีการสนทนาอย่างออกรส
“ด้านในสุดตรงข้าง ๆ ตู้เสื้อผ้ายังว่างอยู่ แต่ระวังหน่อยนะ ถ้าคุณนอนดิ้นตู้อาจจะล้มลงมาทับได้” จีฮุนพูดติดตลกพลางตบบ่าอีกคนปุ ๆ ก่อนจะออกไปจากตรงนี้
เขาใช้เวลาสำรวจที่ซุกหัวนอนอยู่ไม่ถึงสิบวินาทีก็เดินเข้าไป แน่นอนว่าคิมจงอินไม่ได้คิดไปเองว่ากำลังถูกมองโดยผู้คนที่อยู่รอบข้าง บางทีคนเหล่านี้อาจจะประหลาดใจที่ได้เห็นมนุษย์รอดชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกตั้งคนนึง
จงอินวางกระเป๋าเป้ไว้บนโต๊ะเก่า เขาไม่คิดจะเสียเวลาไปกับการปัดฝุ่นออก ชายหนุ่มหันซ้ายขวาอยู่ในทีก่อนจะเดินไปเอาผ้านวมกับที่นอนกลิ่นอับมาปูชิดด้านในสุดซึ่งมีที่ว่างอยู่แค่เพียงหนึ่งช่วงแขนเท่านั้น
เขากางที่นอนพับสามส่วนออก และสิ่งที่ใช้หนุนแทนหมอนในคืนนี้ก็คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากกระเป๋าเป้ที่สะพายมาด้วย คิมจงอินไม่ได้คาดหวังว่าที่นี่จะมีหมอนนิ่ม ๆ ติดกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มให้สักใบ หรือแม้แต่เหล้ายาปลาปิ้งสำหรับแขกใหม่ที่มาเพื่อช่วยกู้โลกอย่างเขา
นึกแล้วก็ตลกตัวเอง ถ้าไม่บ้าก็คงเสียสติที่คิดพาโอเซฮุนมาถึงที่นี่แทนที่จะห้าม เพราะเชื่อว่าถ้าเป็นคำพูดของเขาแล้วเด็กคนนั้นก็คงไม่กล้าขัดใจ แต่ถ้าถามว่าเพราะอะไรคิมจงอินถึงยอมมาที่นี่โดยที่ไม่มีข้อกังขา? ก็คงมีคำตอบสั้น ๆ ให้แค่ว่าเขาเคารพการตัดสินใจของเด็กคนนั้น มันคือส่วนหนึ่งของความไว้ใจที่เซฮุนก็คงมีให้เขาเช่นกัน
อีกอย่าง เหตุผลที่เด็กนั่นพูดก็ฟังขึ้น มันคงดีกว่าถ้ามนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่หันมาทำอะไรสักอย่างกับเชื้อระบาดแทนที่จะปิดหูปิดตาแล้วดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร้ความสุข และเขาก็เชื่อว่าสิ่งที่เรียกว่าความหวังมันต้องมีอยู่จริง
คิดว่าคนเราน่าจะมีมุมนี้ ไอ้มุมที่เรียกว่าความลำเอียง เพราะถ้าลองมานึก ๆ ดูว่าถ้าเกิดคนที่ชวนเขามาที่นี่เป็นหวงจื่อเทาล่ะ คิมจงอินจะตัดสินใจแบบไหน?
แต่ก็เอาเถอะ ยังไงไอ้หมอนั่นก็ไม่ยอมมาอยู่แล้วนี่หว่า
ร่างหนาถอนหายใจเบา ๆ ขณะมองที่นอนเก่า ๆ ตรงหน้า มันไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด อย่างเก่งมันก็ทำได้แค่ดึงความสนใจจากสายตาเขาไปได้ช่วงเวลาหนึ่งขณะนึกถึงเรื่องของโอเซฮุน
มีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้รู้สึกดีขึ้นโดยไม่ต้องสรรหาเรื่องแย่ ๆ เข้ามาใส่หัว คิมจงอินไม่สามารถนั่งอยู่กับที่ได้เกินสิบวินาทีเพียงแค่เด็กนั่นไม่ได้อยู่ในระยะที่เขาจะมองเห็น ความเป็นห่วง ความกระวนกระวายมันอัดแน่นอยู่ในใจแม้ว่าจะไม่ได้แสดงอาการออกมา
ได้แต่บอกตัวเองว่าหน้าที่ของเขาคือการรอ เพราะสิ่งที่ย้อนกลับมาไม่ได้ก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว มันคงไม่เข้าท่าหากว่าเขาเอาแต่จมอยู่กับความคิดแย่ ๆ หลังจากตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเอง
ร่างหนาเอื้อมไปเอากระเป๋าเป้ก่อนจะใช้มือปัดฝุ่นกลางอากาศที่คลุ้งตามมาด้วย จนถึงตอนนี้เขาก็ยังตกเป็นเป้าสายตาของรูมเมทนับสิบ ลุงตาน้าอาทั้งหลายไม่รู้ว่าจะแปลกใจอะไรนักหนา แต่พอเห็นว่ามองกลับไปเพียงแค่ไม่กี่วิคนเหล่านั้นก็เมินไปทางอื่น ซึ่งก็ขอบคุณมากที่ไม่ทำให้เขาอึดอัดมากไปกว่านี้
ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ที่สามารถเดินไปบรรจบอีกฝั่งได้ด้วยห้าก้าว แต่มันคงไม่ใช่ปัญหาหากว่าเขาจะต้องค้างที่นี่สักคืนสองคืน โอเซฮุนเป็นเด็กอยู่ง่ายกินง่าย เพราะฉะนั้นเขาถึงไม่กังวลกับเตียงเหล็กเล็ก ๆ ที่อยู่ชิดกับกำแพงปูนตรงมุมห้อง
เซฮุนวางกระเป๋าเป้ไว้บนเตียงก่อนจะนั่งลงนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ หลังจากให้ข้อมูลส่วนตัวกับนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งไป หลัก ๆ แล้วเป็นการถามชื่อ นามสกุล กรุ๊ปเลือด ไปจนถึงบ้านเกิด เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนี้มันเรียกว่าผิดหวังหรือเปล่า เขาน่าจะถูกถามว่าถูกกัดเมื่อไหร่หรือมีการตรวจเช็คอะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกว่ามันดูจริงจังมากกว่านี้ ผู้ชายคนนั้นดูเร่งรีบ พอได้ข้อมูลส่วนตัวแบบคร่าว ๆ เรียบร้อยแล้วก็บอกให้ทหารพาเขามาที่ห้องพักก่อนจะบอกว่าพรุ่งนี้ถึงจะเริ่มกรรมวิธีเบื้องต้น
ไม่ได้ถามว่าจะเกิดอะไรหลังจากนี้ แม้ว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่สงสัยและอยากรู้ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วก็เห็นตัวเองในกระจกบานใหญ่ที่ติดอยู่บนผนังฝั่งตรงข้าม มันมองเห็นได้ด้านเดียวเหมือนกับกระจกห้องผู้ต้องหา วูบหนึ่งเขารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นนักโทษที่กำลังถูกเฝ้าดูความประพฤติ
เด็กหนุ่มเอนตัวลงนอนจนได้ยินเสียงของฐานเตียงเหล็ก กระเป๋าเป้ถูกกอดไว้แนบอกแล้วปล่อยให้ความเงียบช่วยทำให้จิตใจสงบลง ในหัวเต็มไปด้วยคำถามว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง หลังจากให้เลือดแล้วเขาสามารถรู้ผลลัพธ์ได้เมื่อไหร่ ตอนนี้จงอินกำลังทำอะไรอยู่ แล้วนี่กี่โมงแล้ว?
เซฮุนพลิกตัวนอนหงาย แสงสว่างจากหลอดไฟนีออนทำให้ต้องยกมือขึ้นป้องระดับสายตา มันนานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้เห็นแสงไฟ กับเรื่องธรรมดาที่เคยพบเจอในชีวิตประจำวันเมื่อก่อนหน้านี้แต่ในปัจจุบันกลับกลายเป็นเรื่องน่าทึ่ง
เขาเลื่อนมือออก เปลือกตาที่หรี่ลงก่อนหน้านี้ค่อย ๆ ลืมขึ้นแล้วมองไปยังแสงสว่าง มันช่วยได้มากในช่วงเวลาที่กำลังรู้สึกโดดเดี่ยวแทนที่จะต้องอยู่ในห้องมืด ๆ ที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ เด็กหนุ่มยังคงจ้องมองอยู่อย่างนั้นแล้วเริ่มปล่อยให้ทุกอย่างคล้อยไปตามความคิดในหัว
แสงไฟที่ช่วยขับไล่ความมืดออกไป มันเปรียบเหมือนกับความหวังที่บอกให้เขาจงมั่นใจว่าทุกอย่างต้องสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงปลดล็อกประตู เขาเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้นโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ผู้ชายชุดกาวน์สีขาวเดินเข้ามา ซึ่งเป็นคนละคนกับนักวิทยาศาสตร์ที่อยู่สัมภาษณ์เขาเมื่อก่อนหน้านี้ มือหนายื่นชุดคนไข้สีเขียวอ่อนมาให้และเซฮุนก็รับไว้พร้อมกับโค้งหัวขอบคุณตามมารยาท
“เปลี่ยนเป็นชุดนี้ก่อนเข้าเช็คตรวจร่างกาย ถ้ามีเครื่องประดับก็ถอดออกด้วยนะครับ คุณต้องเอ็กซเรย์” เด็กหนุ่มลดระดับสายตาเมื่อผู้ชายคนนี้หยัดตัวลงนั่งข้าง ๆ เขาเพราะในห้องไม่มีเก้าอี้สำหรับแขกที่แวะมาเยี่ยมเยียนเลยสักตัวเดียว “ผมอ่านประวัติคร่าว ๆ แล้วและตอนนี้ผมอยากให้คุณตอบคำถามตามความเป็นจริง” หลังจากได้ฟังอีกคนพูดจบเขาก็ขมวดคิ้วกับประโยคหลัง
“คุณพูดเหมือนผมเป็นนักโทษเลย”
“อย่าเข้าใจผิดสิ ผมแค่อยากได้ข้อมูลที่ถูกต้องน่ะ” เขายิ้มน้อย ๆ กับคำพูดที่ทำให้คนข้าง ๆ เข้าใจไปอีกทาง เด็กหนุ่มขยี้ตาเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ “เมื่อคืนนอนดึกเหรอครับ?”
“ครับ?” เซฮุนเลิกคิ้วมองคนข้าง ๆ “ผมยังไม่รู้เลยว่าตอนที่ผมหลับมันกี่โมงแล้ว เพราะฉะนั้นผมคงตอบคุณตามความจริงไม่ได้” พูดจบนักวิทยาศาสตร์หนุ่มก็หลุดขำออกมาเล็กน้อย “เอ่อ...ผมไม่ได้กวนนะ”
“ผมรู้” ชายหนุ่มดึงปากกาออกมาจากปกเสื้อก่อนจะหันหน้าเข้าหาเซฮุนอีกครั้ง
“ตอนนี้กี่โมงแล้วครับ”
“เจ็ดโมงห้านาที” ร่างหนาตอบพร้อมกับดึงแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้คนข้าง ๆ ดูนาฬิกาข้อมือของเขา
“อ่า...” เด็กหนุ่มหลุบตาลง นี่เขาหลับข้ามวันมาแล้วเหรอเนี่ย แต่ก็ดีเหมือนกัน มันคงดีกว่าถ้าเวลาผ่านมาถึงตอนที่ต้องทำอะไรสักอย่างมากกว่าการนอนเอาแขนก่ายหน้าผากในห้องนี้ “คุณอยู่ที่นี่นานแล้วเหรอ”
“ตั้งแต่เกิดเรื่องผมก็ถูกส่งตัวมาที่นี่ คุณถูกกัดเมื่อไหร่เซฮุน?” ไม่ทิ้งเวลาให้เสียเปล่า สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่กับรายละเอียดในแฟ้มหลังจากถามออกไป
“ก็ช่วงอาทิตย์แรกหลังเกิดเรื่อง”
“มันกัดคุณที่ไหน?”
“นี่ครับ” ประโยคนี้เรียกความสนใจจากอีกคนให้ละจากแฟ้มในมือ นักวิทยาศาสตร์หนุ่มมองคนข้าง ๆ ที่กำลังจับตรงช่วงหัวไหล่ก่อนที่เขาจะวางแฟ้มลงข้างตัว
“ผมขอดูหน่อย” เซฮุนพยักหน้ารับพร้อมกับถอดเสื้อแขนยาวตัวนอกออกก่อนจะเปิดคอเสื้อเพื่อให้ดูรอยแผลเป็นจาง ๆ “แสดงว่าคงถูกกัดลึกพอสมควร แผลถึงได้ยังอยู่มาจนถึงตอนนี้” ร่างหนาหันไปลงรายละเอียดในแฟ้ม แสดงออกได้อย่างชัดเจนว่าที่นักวิทยาศาสตร์หนุ่มมาที่นี่นั้นไม่ใช่เพื่อการสานสัมพันธ์
“ครั้งที่สองก็ไม่แรงเท่าไหร่นะครับ แต่มันก็ยังเหลือรอยแผลเป็นทิ้งไว้ให้อยู่ดี”
“หืม?” ร่างหนาขมวดคิ้วมองคนข้าง ๆ ที่พูดเรื่องถูกกัดออกมาราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว “คุณถูกกัดสองครั้งงั้นเหรอ?”
“ครับ...มันแปลกเหรอ?” เซฮุนแผ่วเสียงลง เขาหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าครุ่นคิด
“ครั้งที่สองถูกกัดที่ไหน?” สิ้นคำถามเซฮุนก็ยื่นข้อมือให้ดู นักวิทยาศาสตร์หนุ่มประคองมือคนตรงหน้าไว้แล้วก็พบรอยแผลเป็นจาง ๆ ที่เกิดจากรอยฟัน
“อย่าหาว่าผมเซ้าซี้เลยนะครับ แต่การถูกกัดสองครั้งแล้วไม่เปลี่ยนมันเป็นเรื่องแปลกเหรอ?” ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขาใช้เวลาพินิจรอยแผลเป็นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจดข้อมูลลงไปในแฟ้มพร้อมกับวงกลมเน้นข้อความนั้น
“ตั้งแต่ผมอยู่ที่นี่ก็เคยเห็นคนถูกมากกว่าหนึ่งครั้งแล้วไม่เปลี่ยนแค่คนเดียว ส่วนคนที่สองคือคุณ” ร่างหนายิ้มบาง ๆ ขณะมองหน้าเด็กหนุ่มราวกับเพ่งพิจารณาอะไรบางอย่าง อาจจะกำลังอ่านความคิดเขาผ่านทางสายตา หรืออะไรก็ตามที่เซฮุนคาดไม่ถึง “ถ้ามีคนโชคดีแบบคุณสักล้านคนก็คงดีนะว่าไหม?”
“งั้นเหรอครับ...” เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเซฮุนเริ่มเป็นกังวลกับบทสนทนาในหัวข้อนี้ “แสดงว่าคุณคงเคยทดลองกับเลือดของคนนั้นแล้วน่ะสิ” เด็กหนุ่มถาม ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับเป็นคำตอบ “มันจะแย่กว่าเลือดของคนที่ถูกกัดเพียงครั้งเดียวหรือเปล่าครับ? คือผมกลัวว่าเลือดของผมจะเอาไปใช้ทดลองไม่ได้”
ชายหนุ่มยิ้ม เขาหันหน้าเข้าหากระจกบานใหญ่ฝั่งตรงข้ามแล้วมองเด็กหนุ่มที่แสดงออกทางสีหน้าได้อย่างชัดเจนถึงความกังวลใจ มันไม่แปลกที่เด็กคนนี้จะมีความกลัวกับเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อนในขณะที่เขาเคยผ่านมันมาแล้ว
“มันไม่แย่หรอก กลับกันแล้วเคสของคุณเป็นที่น่าสนใจสำหรับเรา” ประโยคนี้ยิ่งสร้างความสงสัยให้เข้าไปอีก แทนที่จะหายแคลงใจแต่กลับเป็นว่าตอนนี้ในหัวของเขามีคำถามมากมายจ่อเรียงเข้ามาเรื่อย ๆ
“แต่เลือดของคนก่อนหน้านี้ก็ใช้ไม่ได้ผล...สินะครับ?” เด็กหนุ่มมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายก่อนจะลดระดับสายตามองนิ้วทั้งห้าที่กำลังควงปากกาขณะใช้ความคิด
“การทดลองย่อมมีครั้งแรกเสมอ” เขาหันมาสบตากับอีกฝ่ายทั้งที่ยังคงยิ้มให้อยู่ “ผมชื่ออีทงเฮ จริง ๆ คุณไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ แต่มันคงดีกว่าถ้าเราได้เจอกันอีกครั้งโดยที่รู้ว่าอีกฝ่ายชื่ออะไร”
“...”
“เปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ จวนจะถึงเวลาแล้ว”
นับว่าเป็นครั้งที่สองในชีวิตที่เซฮุนได้นั่งรถเข็น ครั้งแรกคือตอนประสบอุบัติเหตุตอนเกรดห้า แต่ตอนนี้สภาพร่างกายของเขาครบสามสิบสองและสามารถวิ่งไปให้ถึงห้องทดลองได้ภายในไม่กี่วินาที แต่ถึงอย่างนั้นทหารนายหนึ่งก็บอกให้เขานั่งลงโดยที่ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น
เด็กหนุ่มไม่ได้โต้แย้งกลับไป เพราะผู้ชายคนนี้ก็คงทำตามหน้าที่ ๆ ได้รับมอบหมายมาอีกที ภาพตรงหน้าคือทางเดินยาวกว้างประมาณสองเมตร ทางด้านข้างมีเพียงแค่กำแพงปูนครึ่งกระจกกับประตูเหล็ก บางห้องมีคนนอนอยู่ในนั้น และบางห้องก็มืดสนิท ซึ่งขอเดาเอาเองว่าคงไม่มีใครอยู่
เสียงล้อดังเอี๊ยดอ๊าดบ่งบอกว่ามันคงไม่ค่อยได้ใช้งานเหมือนกับรถเข็นในโรงพยาบาล กับสิ่งของที่ไม่สมบูรณ์แบบทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกใจไม่ดีขึ้นมาอีกแล้ว ทั้งที่บอกกับตัวเองตั้งแต่เมื่อวานว่าจะคาดหวังอะไรกับที่นี่ไม่ได้ เพราะศูนย์วิจัยแห่งนี้ปลีกย่อยมาจากโซลอีกที นาน ๆ ครั้งถึงจะได้ใช้งาน ซึ่งคงไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
อุปกรณ์ต่าง ๆ ก็เหมือนตามมีตามเกิด เซฮุนหวั่นใจเข้าไปทุกทีว่าการทดลองมันจะสำเร็จได้จริง ๆ น่ะหรือ? แต่แล้วเด็กหนุ่มก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อประตูห้องเอ็กซเรย์ถูกเปิดออก ทุกอย่างมันตรงข้ามกับภาพที่เขาจินตนาการเอาไว้
ภายในห้องสีขาวสว่างจ้า เห็นอีทงเฮนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อหมุนทางด้านขวาสุด ตรงหน้ามีจอ LCD ขนาดใหญ่อยู่ถึงสามจอ มีเอกสารจำนวนหนึ่งวางอยู่ข้าง ๆ คีย์บอร์ด เลื่อนระดับสายตาไปอีกนิดก็พบกับล็อกเกอร์สีเทาเรียงเป็นแถวอยู่ทางด้านหลัง มีป้ายกระดาษเล็ก ๆ ติดแปะกำกับไว้ทุกชั้นแต่เขาไม่สามารถอ่านมันได้จากตรงนี้ เครื่องเอ็กซเรย์ที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ ทุกอย่างดูใหม่ สะอาดต่างจากสภาพแวดล้อมทางด้านนอกอย่างสิ้นเชิง
“มาแล้วเหรอ” อีทงเฮหันมาทักทายด้วยท่าทีสบาย เขาพยักหน้าให้ทหารเป็นเชิงบอกว่าหลังจากนี้จะจัดการต่อเองแล้วประตูก็ถูกปิดลง “ถอดเครื่องประดับออกแล้วใช่ไหม?”
“ครับ” สิ่งที่เรียกว่าเครื่องประดับทั้งตัวที่มีอยู่ก็คือสร้อยเส้นนั้น ซึ่งเขาถอดออกเก็บไว้ในกระเป๋าเป้เรียบร้อยแล้ว เซฮุนทำตัวไม่ถูก เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนพลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ ตัว ภายในห้องไม่อับ ไม่มีกลิ่นเหม็นหืนเหมือนกับข้างนอก และนั่นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย “ถ้าเอ็กซเรย์เสร็จแล้วผมต้องทำอะไรต่อเหรอครับ”
“ทานมื้อเช้าครับ” ทงเฮตอบทั้งที่สายตายังคงไม่ละห่างจากจอคอมพิวเตอร์พร้อมกับมือที่รัวบนแป้นคีย์บอร์ดอย่างชำนาญ “หิวหรือยัง?”
“ครับ ผมหิว” เด็กหนุ่มพูดจบก็ลูบท้องตัวเอง จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เย็นเมื่อวานนี้
“อดทนหน่อยนะ คุณต้องใช้เวลาอยู่ในห้องนี้ไม่นานหรอก” เขาเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่ง “เมื่อวานหทารบอกว่าเห็นคุณหลับอยู่ก็เลยไม่ได้ปลุกขึ้นมาทานมื้อเย็น และมันคงไม่ดีถ้าจะต้องทำอย่างนั้น เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาคนไข้ส่วนใหญ่ค่อนข้างที่จะหลับยาก ซึ่งมันดีมากที่คุณเป็นส่วนน้อย”
“คุณเรียกพวกเขาว่าคนไข้?”
“มันแปลกเหรอครับ” ทงเฮหัวเราะ “หรือคุณคิดว่ามีแค่หมอที่จะเรียกผู้ติดเชื้อว่าคนไข้ได้?”
“เปล่าครับ ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น” เซฮุนพยายามอธิบาย เขาก็แค่ประหลาดใจว่าทำไมอีทงเฮถึงเรียกแบบนั้น แทนที่จะเรียกพวกเขาว่าผู้บริจาคเลือด หรือผู้ทดลองอะไรเทือก ๆ นั้น
“อีกอย่าง การพักผ่อนน้อยจะทำให้เลือดจาง และผมจะดีใจมากถ้าเลือดของคุณสามารถเอาไปใช้ได้ภายในครั้งแรกโดยที่ผมไม่ต้องรอให้คุณนอนพักข้ามไปอีกวันเพื่อรอเลือดที่เข้มข้นกว่า” ทงเฮยิ้ม
“ผมนอนพักผ่อนมามากพอแล้ว คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
“ดีครับ” อีทงเฮยังคงยิ้ม บางทีเขาก็ไม่เข้าใจเส้นคั่น ๆ บาง ๆ ระหว่างคารมดีหรือขี้ประชดกันแน่ “ไว้ถ้าทุกอย่างกลับไปเป็นปกติแล้วผมจะไปเรียนหมอ แต่หวังว่าตอนนั้นคุณจะไม่ใช่คนไข้รายแรกของผม”
“ผมไม่ป่วยง่าย ๆ หรอก”
“คนเป็นหมอคงดีใจที่ได้ยินแบบนี้” ทงเฮอมยิ้มพลางส่ายหน้าน้อย ๆ เขาหยัดตัวลุกขึ้นหันไปดึงชั้นล็อกเกอร์ที่อยู่ข้างหลังก่อนจะเอาแฟ้มใหม่ออกมา
“หลังจากกินข้าวเสร็จผมก็บริจาคเลือดได้เลยใช่ไหม?” ร่างหนาหยุดชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นมองเด็กตัวสูงที่ยืนรอคำตอบอยู่ข้าง ๆ แล้วก็เงียบไปชั่วอึดใจ สุดท้ายแล้วอีทงเฮก็ยิ้มให้เหมือนอย่างเคย
“ที่นี่มีนักวิทยาศาสตร์อยู่แค่ไม่กี่คน พวกเราต้องคิด วิเคราะห์ และช่วยกันทำการทดลอง ผมไม่สามารถจัดการทุกอย่างให้คุณได้ภายในหนึ่งวัน”
“หมายความว่าผมจะต้องอยู่ที่นี่ต่อเหรอ”
“ขอโทษที่มันต้องเป็นอย่างนั้น” ทงเฮตอบสั้น ๆ ก่อนจะหันไปมองอีกคน “คุณกลัวที่แคบหรือเปล่า?”
“ไม่ครับ”
“งั้นเชิญครับ” ร่างหนาผายมือไปที่เครื่องเอ็กซเรย์แล้วเดินไปหยุดอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ และต่างคนต่างไม่อยากเสียเวลาทิ้งไปเฉย ๆ เซฮุนขึ้นไปนอนราบลงกับฐานสี่เหลี่ยม พอเงยหน้าขึ้นก็พบกับอุโมงค์เครื่องสีขาวอยู่บนหัว “มีส่วนไหนของร่างกายที่มีเหล็กดามอยู่หรือเปล่า?”
“ไม่มีครับ”
“เอาล่ะ ทำตัวให้สบาย นอนนิ่ง ๆ แล้วทำตามที่ผมบอกนะ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ แค่ครู่เดียวเท่านั้นร่างของเขาก็เลื่อนเข้าไปในอุโมงค์สนามแม่เหล็กตรงกลางอย่างช้า ๆ “หายใจเข้าแล้วกลั้นหายใจเอาไว้ อย่ากลืนน้ำลายนะครับ”
เด็กหนุ่มใจเต้นแรงขึ้น เขารู้สึกประหม่าหลังจากร่างกายสั่นสะเทือนในที่แคบทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เป็นคนบอกเองกับปากว่าไม่กลัว เปลือกตาค่อย ๆ ปิดลง เพียงแค่อดทนอีกนิดเดียวมันก็จะผ่านไปแล้ว
หลังจากเอ็กซเรย์ร่างกายเรียบร้อยก็ถึงเวลากินข้าวเช้า มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้ดีไปกว่าก่อนหน้านี้เลยสักนิดเดียว แม้ว่าโอเซฮุนจะเป็นคนอยู่ง่ายกินง่าย แต่ในวินาทีนี้การที่เขาต้องอยู่ตามลำพังภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ โดยที่ไม่มีเสียงพูดคุยของคนรอบข้างตอนตักข้าวเข้าปากเหมือนกับทุกวันมันมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจเขาจริง ๆ
เซฮุนวางช้อนลง เขาถอนหายใจเบา ๆ พลางมองมื้อเช้าในจานที่พร่องไปเพียงนิดเดียว แน่นอนว่าร่างกายยังต้องการอาหารและเด็กหนุ่มไม่คิดจะจบมันเพียงเท่านี้ แต่เขาแค่ต้องการเวลาจัดการกับความรู้สึกของตัวเองให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
ดันโต๊ะอาหารคนไข้ออกไปเพียงเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมไปเอาเป้มาวางไว้บนตัก รูดซิปกระเป๋าหน้าออกแล้วกำสร้อยออกมา ความเย็นของโลหะทำให้ร่างบางรู้สึกดีขึ้นเมื่อเขานึกถึงใครอีกคนที่มีสร้อยเส้นนี้เหมือนกัน
รอผมก่อนนะจงอิน ผมคิดว่ามันคงดำเนินมาจนถึงครึ่งทางแล้ว
เวลาผ่านไปนานพอสมควร อาจจะสี่ถึงห้าชั่วโมงเห็นจะได้ทหารคนเดิมก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับรถเข็น ถึงอีทงเฮจะเคยบอกว่าเขาไม่สามารถทำให้ทุกอย่างเรียบร้อยภายในวันเดียวก็เถอะ แต่เซฮุนก็ยิ้มออกมาเพียงแค่ได้ยินทหารบอกว่าจะพาไปที่ห้องทดลอง ซึ่งนั่นหมายความว่ามันกำลังจะจบลง และเขาคงได้กลับอุทยานในเร็ว ๆ นี้
เด็กหนุ่มถูกเข็นมาหยุดอยู่หน้าห้องทดลองที่อยู่ไม่ไกลจากห้องเอ็กซเรย์มากนัก ประตูสีขาวถูกเลื่อนออก ข้างในนั้นถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ทางด้านซ้ายคือห้องแคบ ๆ ที่ทำด้วยกระจก มันโปร่งใสและสามารถมองเห็นทุกอย่างภายในนั้น ทางด้านขวาคือแผงควบคุม มีจอคอมพิวเตอร์เรียงรายอยู่ถึงหกจอ ซึ่งมีผู้ชายชุดกาวน์คนหนึ่งเลื่อนเก้าอี้ล้อไปมาเพื่อดูข้อมูลที่ฉายอยู่บนจอมอนิเตอร์แต่ละตัว
และส่วนสุดท้ายคือห้องทดลองที่อยู่ตรงกลางซึ่งมีชายชุดกาวน์สองคนแสตนด์บายรออยู่แล้ว จากท่าทางคาดว่าอีทงเฮคงเป็นหนึ่งในนั้น แต่ที่ต่างจากเดิมคงเป็นชุดที่สวมอยู่ข้างใน เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้อีทงเฮใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าแต่ปัจจุบันคนเปลี่ยนเป็นชุดสีเขียวเข้มและสวมเสื้อกาวน์ทับอีกที
ผู้ชายสองคนนั้นสวมผ้าปิดปาก ถุงมือสีขาวและหมวกเก็บผมอย่างเรียบร้อย ทุกอย่างที่อยู่รอบข้างกดดันให้รู้สึกกลัวกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ เซฮุนไม่เคยคิดมาก่อนว่าการให้เลือดของคนติดเชื้อจะต่างจากการบริจาคเลือดตามโรงพยาบาลทั่วไป
นักวิทยาศาสตร์ที่ง่วนอยู่กับจอมอนิเตอร์ลุกขึ้นมารับช่วงต่อจากทหารที่ยืนอยู่ข้างหลังเซฮุน เขาอธิบายทุกอย่างรวดเดียวโดยที่ไม่สนใจเลยว่าเด็กหนุ่มจะฟังทันหรือทำความเข้าใจได้หรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นเซฮุนก็ถูกส่งเข้ามาอยู่ในห้องแคบโปร่งใสที่อยู่ทางด้านซ้ายเรียบร้อยแล้ว
เด็กหนุ่มหันกลับไปทางด้านหลังเมื่อประตูปิดลงโดยอัตโนมัติ แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรก็ต้องหลับตาก้มหน้าลงเมื่อถูกควันสีขาวพ่นใส่จากทุกรอบทิศ นี่คงเรียกว่าห้องฆ่าเชื้อตามที่นักวิทยาศาสตร์คนเมื่อกี้บอก ทุกอย่างมีขั้นตอนและพวกเขาต้องระวังทุกอย่าง
ประตูบานที่เชื่อมต่อกับห้องทดลองเลื่อนออกหลังจากเครื่องพ่นควันหยุดทำงาน เซฮุนก้าวขามาจากตรงนั้นแล้วกวาดสายตาไปรอบ ๆ ที่นี่แทบจะไม่มีอะไรเลยนอกจากอุปกรณ์เครื่องมือ เตียงผู้ป่วยสุดไฮเทคและจอมอนิเตอร์ที่เชื่อมต่อจากระบบข้างนอกโดยนักวิทยาศาสตร์อีกคน
“นั่งลงก่อนครับ” เด็กหนุ่มทำตามอย่างว่าง่ายก่อนจะหันไปมองทงเฮที่กำลังยุ่งอยู่กับโต๊ะอุปกรณ์ทางด้านข้าง
“ผมอยากให้คุณผ่อนคลาย ทนเจ็บนิดนึงนะ” เซฮุนมองหน้าอีกฝ่าย เขาไม่สามารถรู้ว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาเป็นแบบไหนเพราะผ้าปิดปาก
ร่างบางหลุบตาลงมองปลายเข็มที่กำลังกดเข้ามาตรงข้อแขน ถึงเขาจะไม่ได้กลัวเข็มแต่การจดจ่ออยู่กับเลือดที่ค่อย ๆ ไหลไปตามท่อยางเล็ก ๆ นั่นคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ เพราะมันคงต้องใช้เวลากว่าจะเต็มถุงที่ห้อยอยู่บนราวเหล็ก
“กำมันไว้แล้วค่อย ๆ คลายออก ครับ อย่างนั้น” เซฮุนปิดเปลือกตาลงพลางพ่นลมหายใจออกทางริมฝีปากแล้วทำใจให้สบายก่อนจะกำแท่งเหล็กขนาดเหมาะมือไว้ รู้สึกได้ถึงเลือดที่กำลังไหลออกไปจากตัวเขาทีละนิด
แต่ไม่เป็นไร...อีกนิดเดียวมันก็จบแล้ว...
ปึง!
“มึงลงมา”
“ลู่หาน อย่า” อี้ฟานล็อกแขนคนที่กำลังเดือดจนถึงขีดสุดให้ออกมาจากประตูที่นั่งข้างคนขับรถคันที่สองหลังจากที่กลับมาจากการหาเสบียง หากแต่ใครอีกคนกลับนั่งนิ่ง ไม่แม้แต่จะหันมาสนใจเสียงโวยวายของคนที่รออยู่ข้างนอกเลยสักนิดเดียว
ชานยอลมองคนข้าง ๆ ที่ไม่คิดจะเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับลู่หาน เขาเปิดประตูออกมาจากที่นั่งฝั่งคนขับก่อนจะมองหน้าแบคฮยอนและอี้ฟานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คนที่กำลังอยู่ในอารมณ์โทสะ ซึ่งเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เพราะเข้าใจดีว่าคำพูดของปาร์คชานยอลมันคงไร้ประโยชน์หากต้องใช้กับผู้ชายที่ชื่อลู่หาน
“กูบอกให้ลงมา หูแตกไง?”
“ลู่หาน” แบคฮยอนคว้าแขนคนข้าง ๆ ไว้ และเขาก็รู้ว่ามันคงช่วยอะไรไม่ได้ แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นหวงจื่อเทาก็เปิดประตูออกมาจนแทบชนคนที่ยืนโวยวายอยู่ ทั้งคู่ยืนประจันหน้ากัน ถ้าไม่ถูกอี้ฟานล็อกแขนไว้สาบานให้ตายว่าลู่หานจะเข้าไปตั๊นท์หน้าไอ้เด็กเวรนี่สักที
“มึงเป็นห่าไรกูถามหน่อย”
“คิดว่ากูอยู่ในอารมณ์อยากตอบคำถามมึงเหรอ มีหน้าที่ก็ไปทำซะสิ” เทาเดินออกไปจากตรงนั้น โดยที่ไม่คิดจะเคลียร์ทุกอย่างให้มันจบลงง่าย ๆ อย่างที่คนอื่น ๆ คาดหวังไว้ ลู่หานเบือนหน้าหนีแล้วแค่นหัวเราะก่อนจะสะบัดแขนออกจากพันธนาการ
“อย่าทำตัวเป็นเด็กอมมือไปหน่อยเลย! ที่มึงทำแม่งงี่เง่าสัด ๆ ยังมีหน้ามาปากดีอีกเหรอ?!” ลู่หานตะโกนไล่หลังเด็กหนุ่มที่เดินออกไปไกลทุกที “ถ้ามึงไม่ห่วงตัวเองก็ช่วยห่วงชีวิตคนอื่นบ้างเหอะ อยากฉายเดี่ยวให้ไปคนเดียว ไม่ใช่เอาความเดือดร้อนมาให้คนอื่น มึงคิดว่าเล่นเกมออนไลน์อยู่เหรอ ตายห่าแล้วไม่เกิดจุดเซฟป่ะครับ?! ควาย!”
“ลู่หาน...”
สุดจะทนแล้ว เมื่อกี้ตอนออกไปหาเสบียงก็แทบสติแตกเพราะไอ้เด็กนั่นไม่ยอมทำตามแผน ไม่รู้มันเป็นบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้วิ่งล่อพวกผีดิบเป็นสิบ ๆ ทั้งที่ทุกคนสามารถเดินตัวเบากลับไปที่รถได้ แต่เพราะมันนั่นแหละที่ทำให้คนที่เหลือเป็นกังวล ในที่มืดแบบนั้นไฟฉายกระบอกเดียวคงทำให้เห็นทางหนีทีไล่ได้ไม่มากเท่าที่ควร ซึ่งเขาน่ะรู้ดีที่สุด
“แล้วกูทำให้ใครเดือดร้อนเหรอ? พวกมึงก็รอดกลับมาได้ทุกคน” เทาหันมามองอีกฝ่ายด้วยแววตาเรียบเฉย และคนที่เหลือก็คงอึ้งกับสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกไป ไม่ใช่ไม่รู้ตัวว่ากำลังงี่เง่า แต่ในตอนนี้ใครจะไปมีอารมณ์พูดจาดี ๆ ทั้งที่กำลังอยู่ในอารมณ์เศร้าแบบนี้ หวงจื่อเทาคิดว่าเขามีสิทธิ์ที่จะแสดงความเจ็บปวดออกมา แทนที่จะฝืนทำเป็นทนไหว “หรือถ้ามึงมั่นใจว่าตัวเองเก่งมากพลาดถูกกัดแล้วไม่ตายก็เชิญ”
“เออ มึงเก่ง!” ลู่หานตะโกนไล่หลังเด็กตัวสูงที่หันกลับไปอีกครั้ง “บางทีกูอาจจะโดนกัดแล้วไม่เปลี่ยนเหมือนมึงก็ได้ใครจะรู้ โหไอ้เหี้ย กร่างเหลือเกิน แน่จริงต่อยกับกูเปล่าสัด โด่...ยังไงครับยังไง เก่งแต่เดินหนีแหละมึงอ่ะ” พอมาถึงตอนนี้คนที่เหลือก็ได้แต่ถอนหายใจ อี้ฟานหันไปมองหน้าชานยอล ตอนนี้เขาทั้งคู่ก็คงรู้สึกไม่ต่างกันนัก
ตั้งแต่จงอินกับเซฮุนเข้าไปในค่าย วันนี้ก็เข้าวันที่สี่แล้วแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าสองคนนั้นจะกลับมาเลย ทุกคนเริ่มเป็นกังวล พวกเขาไม่สามารถอยู่เฉย ๆ ได้โดยที่ไม่นึกถึงทั้งคู่
แม้ว่าเทาจะเดินลับสายตาไปแล้วแต่ลู่หานก็ยังบ่นเป็นหมีกินผึ้งเหมือนคนอารมณ์ไม่จบ แบคฮยอนผลักไหล่อีกฝ่ายแรง ๆ ลู่หานเลิกคิ้วมองเป็นเชิงถามว่าเขาผิดอะไรแต่ก็ได้รับคำตอบมาเป็นสีหน้าคาดโทษเท่านั้น
วันนี้อากาศก็เหมือนทุกวัน จะว่าไปแล้วการเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามันเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักสำหรับผู้ชายอย่างคิมจงอิน ก้อนเมฆสีหม่น ข้างบนนั้นช่างดูว่างเปล่า มันนานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้เห็นฝูงนกโบยบิน หรือแม้แต่การเกาะอยู่ตามเสาไฟฟ้า ตรงหลังคาบ้านก็ไม่มี
ได้ยินเสียงพูดคุยของผู้คนรอบข้าง หากแต่ในความรู้สึกเหมือนว่าเขาได้ยืนอยู่ตรงนี้ตามลำพัง จงอินลดระดับสายตาลง ตึกสีขาวที่อยู่เบื้องหน้ายังคงไม่มีใครเดินออกมาอย่างที่คาดหวังเอาไว้ ทุกอย่างเหมือนภาพนิ่งที่มีเพียงแค่ทหารสองนายที่ยืนเฝ้าเวรอยู่ปากทางเข้า
เขาไม่ได้รู้สึกดีที่ต้องถามจูจีฮุนทุกวันว่าเด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง เมื่อไหร่จะเรียบร้อย และหมอนั่นก็ตอบกลับมาเหมือนกันทุกวันว่า ‘อยู่ในช่วงดำเนินการ’ ไอ้เรื่องนี้เขาก็พอเข้าใจ แต่พอขอไปเจอเซฮุนทีไรก็ติดช่วงกำลังอยู่ในการทดลองเลือดพอดี
ให้มันได้อย่างนี้...เขาต้องยืนมองตึกสีขาวนั่นไปถึงเมื่อไหร่กัน?
“คุณคะ” หันไปตามเสียงเรียกแล้วก็พบหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยิ้มให้ ดูจากท่าทางแล้วผู้หญิงคนนี้น่าจะอายุมากกว่าเขาหลายปี เธอเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะมองไปยังตึกสีขาวเช่นกัน “เพื่อนของคุณก็เข้าไปในนั้นเหมือนกันใช่ไหม?”
“เหมือนกัน?” จงอินขมวดคิ้วมอง
“ค่ะ เพราะสามีของฉันก็อยู่ในนั้น” เธอยิ้มบาง ๆ “ฉันเห็นคุณมายืนอยู่ตรงนี้ทุกวัน มันทำให้ฉันนึกถึงตัวเองเมื่อก่อนหน้านี้”
“...” จงอินไม่รู้ว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร แต่มันก็ทำให้เขาสนใจไม่น้อยกับประโยคที่ว่า ‘สามีของฉันก็อยู่ในนั้น’
“สามีของฉันเป็นกรณีพิเศษ เขายังออกมาเดินเหินข้างนอกไม่ได้เพราะยังอยู่ในขั้นตอนการให้เลือดอยู่ และฉันคิดว่าเพื่อนของคุณก็คงเหมือนกัน” ร่างหนาไม่ได้แยแสกับประโยคที่เหมือนว่ากำลังพยายามปลอบให้เขาสบายใจ เพราะจากแววตาของผู้หญิงคนนี้เขาก็พอจะดูออกว่าเธอเองก็ไม่ได้พูดอย่างที่คิด
ใช่ เธอกำลังปลอบใจตัวเองขณะมองหน้าเขา
“คุณอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว”
“ราว ๆ สองอาทิตย์ค่ะ”
“สามีคุณล่ะ เข้าไปอยู่ในนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ก็ตั้งแต่วันแรกเลย ทำไมเหรอคะ?” เธอเลิกคิ้วมองคนตรงหน้า จงอินไม่ได้หันมาสบตากับเธอ เขายังคงมองตึกสีขาวราวกับว่ากำลังจับผิดบางอย่างทั้งที่ภาพที่เห็นมันก็ไม่ต่างจากเดิม
“คุณไม่คิดว่ามันแปลก ๆ เหรอ ที่สามีคุณยังอยู่ในนั้นทั้งที่ข้อตกลงบอกแค่ว่าต้องการเลือด?”
“ตอนแรกฉันก็คิดว่ามันแปลก แต่ทหารบอกว่าถ้านำเลือดไปทดลองแล้วไม่สำเร็จ เขาก็ต้องการเพิ่มอีก สามีฉันก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะถ้าออกมาข้างนอกก็คงต้องออกไปหาเสบียงหรือไม่ก็ใช้แรงงาน ซึ่งคนที่เพิ่งให้เลือดมาก็คงไม่มีแรงทำเรื่องแบบนั้นแน่”
“งั้นเหรอ”
“ฉันชื่อยูจินฮี แล้วคุณล่ะคะ?”
“คิมจงอิน” เขาตอบสั้น ๆ ทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกห่างจากตึกสีขาว ทั้งคู่เงียบไปครู่หนึ่งราวกับว่าให้ความว่างเปล่าคั่นกลางขณะจมอยู่กับความคิด เธอเห็นจงอินถอนหายใจแบบนี้แล้วก็เหมือนเห็นภาพตัวเองช่วงวันที่เพิ่งเข้ามาอยู่แรก ๆ
“จงอิน”
“อืม”
“คุณคิดอะไรอยู่”
“ถ้าผมบอกว่าจะรู้ไปทำไม คุณจะด่าผมว่าไอ้เหี้ยไหม?” พูดจบคนข้าง ๆ ก็หลุดขำออกมา จงอินหันไปมองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพราะประโยคเมื่อครู่เขาไม่ได้จงใจพูดให้คู่สนทนาหัวเราะ
“ฉันจะด่าคุณทำไมล่ะคะ ที่เข้ามาคุยด้วยก็เพราะว่าเป็นห่วง”
“คุณเป็นคนดี นี่คงเป็นอีกเหตุผลนึงที่พระเจ้าเลือกให้คุณมีชีวิตอยู่” จงอินพูดเสียงเรียบ อย่าว่าแต่ยูจินฮีจะซึ้งเลย ขนาดคนพูดยังรู้สึกอยากเตะปากตัวเองกับอารมณ์ไร้มนุษย์สัมพันธ์แบบนี้ แต่ต้องขอโทษจริง ๆ ที่คิมจงอินไม่มีอารมณ์จะหันหน้าเข้าหาใครสักคนเพื่อหาเพื่อนระหว่างอยู่ในค่าย
“ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรค่ะ อ้อ...ฉันไม่ได้ตัดพ้อนะ” เธอชำเลืองมองคนข้าง ๆ แล้วก็เห็นว่าผู้ชายคนนี้กำลังแสดงออกว่าเธอกำลังล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ
“ผมไม่รู้จะบอกคุณยังไง เพราะตอนนี้ในหัวมันเต็มไปด้วยสารพัดคำถามซึ่งไม่มีใครตอบให้ได้เลยสักข้อเดียว” จงอินหันมาอธิบายยาวรวดเดียว และมันทำให้เธอประหลาดใจอยู่ไม่น้อย “หนึ่ง เด็กนั่นกินข้าวหรือยัง สอง ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ สาม เมื่อไหร่ผมจะได้เข้าไปนั้น สี่ ให้เลือดห่าเหวอะไรนี่มันเกินครึ่งอาทิตย์แล้ว ห้า มันถึงเวลาที่เด็กนั่นควรจะออกมาแล้วไม่ใช่หรือไง? หก ผมเบื่อที่นี่ว่ะ เจ็ด ทหารที่นี่กวนส้นตีน”
จินฮียืนนิ่ง เธอยิ้มเจื่อนขณะมองหน้าอีกฝ่าย พอไขข้อสงสัยเรียบร้อยแล้วจงอินก็หันหน้ากลับเข้าหาตึกสีขาวอีกครั้ง ราวกับจะบอกว่าเขาไม่ต้องการอธิบายเรื่องหอกหักใด ๆ ในโลกนี้ให้เธอฟังอีก
“ฉันเข้าใจคุณนะว่าพออยู่ว่าง ๆ แล้วมันฟุ้งซ่าน เพราะฉะนั้นฉันเลยหาอะไรทำ”
“คุณทำดีแล้ว”
“ค่ะ สนใจไปกับฉันไหมคะจงอิน?” เธอมองอีกฝ่ายที่ท่าทางไม่ได้อยากผูกมิตรกับเธอนัก “หน้าที่ฝ่ายที่ฉันรับผิดชอบก็ไม่มีอะไรมากมาย ก็แค่ตักข้าวใส่จานหลุม เพราะคนที่นี่ก็ต่อแถวเข้ามาหาเราอยู่แล้ว แต่อาจจะเมื่อยแขนสักหน่อย”
“งานแบบนี้น่าจะให้ผู้หญิงทำมากกว่าหรือเปล่า เพราะถ้าผมจะทำ ผมคงออกไปหาเสบียงกับพวกทหาร” เขามองหน้าหญิงสาว เธอส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะหันไปข้างหลัง
“ที่นี่มีผู้หญิงอยู่แค่ไม่กี่คน แถมมีแต่เด็กกับคนแก่ด้วย ที่อยู่ช่วยฉันก็มีแค่ป้าพาดากับเด็กผู้ชายอีกคนนึง นั่นค่ะ ป้าพาดาที่กำลังยกถังน้ำเข้าไปในบ้าน” เธอชี้ผู้หญิงรุ่นแม่ให้ดู พอเห็นแบบนั้นแล้วคิมจงอินก็ได้แต่ครุ่นคิดว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้ดี
ถ้าออกไปหาเสบียงมันก็เป็นเรื่องถนัด แต่จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลยที่จะต้องออกไปเสี่ยงตายเพื่อใครก็ไม่รู้ เผลอ ๆ อาจจะถูกกัดก่อนที่เซฮุนจะได้ออกมาซะอีก ซึ่งเขาไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น และไอ้หน้าที่ตักข้าวก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร มันคงไม่แย่นักหากว่าคิมจงอินจะใช้เวลาไปกับมันระหว่างรอ
แกร่ก...
อีกแล้ว...
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่โอเซฮุนรู้สึกว่าเสียงปลดล็อกประตูห้องเป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกแย่ เด็กหนุ่มปรือตามองทหารตัวสูงสองคนที่จูงรถเข็นมาจอดอยู่ข้างเตียงก่อนจะช่วยกันประคองเขาให้ลุกขึ้นไปนั่ง
ร่างบางเลียริมฝีปากที่แห้งผากก่อนจะลดระดับสายตาลงมองเข็มน้ำเกลือที่เจาะอยู่หลังมือ มันมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย หันไปทางด้านข้างก็เห็นทหารนายหนึ่งกำลังจัดแจงเสาน้ำเกลือก่อนที่รถเข็นจะค่อย ๆ เลื่อนออกไปจากห้อง
ไม่มีแรงแม้แต่จะหันไปถามว่า ‘อีกแล้วเหรอ?’ กับการถูกนำตัวไปบริจาคเลือด เขารู้สึกได้ถึงร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรง มันเหนื่อยแม้กระทั่งการหายใจ ก็พอมีความรู้มาบ้างว่าหลังจากให้เลือดไปแล้วร่างกายจะอ่อนเพลีย แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นถึงขนาดนี้
เสียงล้อรถเอี๊ยดอ๊าดไปตามทางเดินแคบ หลังจากให้เลือดรอบนี้เขาคงต้องขอคุยกับอีทงเฮอย่างเป็นจริงเป็นจังสักหน่อย มันก็ถูกที่เซฮุนเสนอตัวมาถึงที่นี่เพื่อต้องการให้ทุกอย่างมันสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกอย่างมันจะเกินอย่างที่คาดคิดเอาไว้แล้ว
เด็กหนุ่มหรี่ตามองเมื่อทหารนายหนึ่งกำลังเข็นเตียงคนไข้มาจากฝั่งตรงข้าม พอเข้ามาใกล้ ๆ ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นแขนผู้ชายคนหนึ่งโผล่ออกมาจากผ้าสีเขียวที่ปกปิดตั้งแต่ใบหน้าไปจนถึงตาตุ่ม มีเพียงแต่เท้าเปล่าเท่านั้นที่พ้นออกมา
แต่ที่ทำให้เขาตื่นได้เต็มตามันไม่ใช่ทหารคนนั้นที่กำลังเข็นเตียงออกไป แต่มันคือรอยเข็มสีม่วงเป็นจ้ำตรงข้อแขนของศพต่างหาก เด็กหนุ่มลดระดับสายตาลงมองแขนขวาของตัวเอง แน่นอนว่าเขามีรอยเดียวกันกับศพเมื่อก่อนหน้านี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน...
“ศพเมื่อกี้นั่น...”
“อย่าสนใจเลย มันไม่มีอะไรหรอก” ทหารคนที่ตอบไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าเขาตอนพูด ผู้ชายคนนี้เอาแต่เข็นรถไปข้างหน้าในขณะที่อีกคนก็ถือถุงน้ำเกลือไว้ให้เขา
มือที่อยู่บนพนักวางแขนเริ่มกำหมัดแน่นเพราะความกลัวที่ถาโถมเข้าหา ศพที่ถูกเข็นออกไปเมื่อกี้นี้มาจากไหน? ความสงสัยที่ไม่ได้รับคำตอบทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีสักเท่าไหร่ ถ้าเกิดไม่เห็นรอยเข็มตรงข้อแขนศพนั้นเขาก็คงไม่ต้องมารู้สึกแบบนี้
เสียงเอี๊ยดอ๊าดของล้อรถเข็นทำให้ความกดดันเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัวจนรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่กำลังชื้นตามขมับ เสียงรองเท้าคอมแบท...เสียงประตูเหล็ก...ทุกอย่าง...กำลังทำให้โอเซฮุนกำลังจะสติแตก
เพราะความคิดที่ว่า ‘ถ้าหากว่าเขาคือรายต่อไปที่ต้องนอนแน่นิ่งเหมือนศพนั้น’
“ผมไม่เอาแล้ว” เซฮุนยื้อยันพนักวางแขนไว้แล้วทำท่าจะลุกออกจากรถเข็นที่ยังคงเดินหน้าไปเรื่อย ๆ ความหวาดกลัวที่สร้างขึ้นเองก็ว่าแย่แล้ว แต่สิ่งที่เขาเพิ่งได้เห็นกับตาเมื่อครู่นี้สิยิ่งกว่า “...!!”
มือแกร่งกดไหล่เด็กหนุ่มให้นั่งลงบนรถเข็นเช่นเดิม การออกแรงของมือนั้นแสดงออกได้ดีถึงความไม่พอใจหากว่าเขาจะขัดขืนต่อการปฏิบัติหน้าที่ หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ตอนนี้รถเข็นจอดอยู่กับที่แล้ว เด็กหนุ่มเอี้ยวหน้าหันกลับไปมองข้างหลังแล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่ามีนักวิทยาศาสตร์ใส่ผ้าปิดปากกำลังถือเข็มเอาไว้ เขาหันไปพยักหน้าให้กับทหารอย่างรู้กัน ก่อนที่ร่างของเซฮุนจะถูกล็อกตัวให้นั่งอยู่กับที่
“คุณจะทำอะไรน่ะ? อย่านะ!”
“อยู่เฉย ๆ”
“ไม่! นี่มันไม่ได้อยู่ในข้อตกลงไม่ใช่เหรอ?!” เซฮุนพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการหากแต่แรงของทหารนั้นมีมากกว่า สองแขนถูกกดไว้แนบกับพนักวางและมันทำให้เขาไม่สามารถขยับตัวได้เลย “ผมมาที่นี่เพื่อให้เลือด พวกคุณจะทำแบบนี้กับผมไม่ได้นะ” นัยน์ตาสั่นเครือมองไปยังปลายเข็มแหลมสลับกับใบหน้าของนักวิทยาศาสตร์ที่เขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคน ๆ นี้เป็นใคร ความรู้สึกปวดจี๊ดแล่นปราดเข้ามาเมื่อเข็มทิ่มลงบนเนื้อผิว แค่ครู่เดียวเท่านั้นทุกอย่างก็เลือนราง เปลือกตาหนักอึ้งก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงไปพร้อมกับสติสัมปชัญญะ...
มันกำลังเริ่มต้นแล้ว
TBC
ตายแล้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้นเนี่ย ทำไมมีศพ ทำไมทหารทำแบบนี้กับเซฮุน นรกแล้วเมิ๊งงงงงง #เปิดไซเรน
( พื้นที่โฆษณา )
[เปิดโอน] ZOMBIES HARD CREEPER SEASON 2 และรีปริ๊นท์ SEASON 1 รายละเอียดกดลิงค์นี้เลยค่ะ >>>> http://bit.ly/1kwxhKP
#ficzombie #ขายของTime
ความคิดเห็น