คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #63 : Chapter 59 :: After Shock (100%)
Chapter 59
After Shock
ได้ยินเสียงเคาะประตูแค่ไม่กี่ครั้งคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสือในโถงกว้างก็ลุกขึ้นไปเปิดประตู ตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะแม้จะให้ความสว่างได้ไม่มากนักแต่ก็พอทำให้หนุ่มชาวจีนมองเห็นหน้าผู้มาใหม่ได้ชัดเจนดี
คนตัวเล็กกอดกระเป๋าไว้แนบอกยืนก้มหน้าตัวสั่นท่ามกลางลมหนาวข้างนอก ยังไม่ทันจะปริปากถามก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น ที่ทำให้ตกใจนั้นไม่ใช่เลนส์แว่นที่ขึ้นฝ้ามัวแต่กลับเป็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
“Let me go in...p...please...” (ให้ผมเข้าไปนะ...)
“ผมเรียก – คุณกาฮีให้ไหม?” ถามคนที่นั่งคลุมผ้าห่มนาโนอยู่บนโซฟาตัวยาว มินซอกส่ายหน้าช้า ๆ ทั้งที่ไม่หันไปมองอีกฝ่ายเลยสักนิด
อี้ชิงไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดกับเด็กคนนี้ด้วยประโยคไหนอีกทั้งภาษาเกาหลีที่ยังไม่แข็งแรงเท่าที่ควร ได้คุยกันอย่างเป็นจริงเป็นจังก็เมื่อกลางวันและตอนนั้นมินซอกก็ยังดี ๆ อยู่เลย ถึงจะอยากรู้ต้นสายปลายเหตุแต่การถามไปตรง ๆ ก็จะดูเสียมารยาทเกินไป จางอี้ชิงไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะถามเพื่อหวังคำตอบในสิ่งที่อยากรู้กับคนที่ยังไม่สนิทกัน
“Do you need more blanket?” (เอาอีกผืนไหม?) เห็นหนาวสั่นแบบนั้นเลยถามด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ได้คำตอบกลับมาเป็นความเงียบ ปล่อยให้เวลาเดินผ่านไปไม่นานสองขาก็ลุกขึ้นไปนั่งโซฟายาวตัวเดียวกันกับอีกคนและเว้นระยะห่างไว้พอประมาณ เด็กคนนั้นเอาแต่นั่งเหม่อลอยมองตะเกียงบนโต๊ะ คิดว่ามินซอกคงไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่ามีเขานั่งอยู่ข้าง ๆ
มันทำให้อดคิดไปถึงตอนที่เพิ่งได้เจอคนในกลุ่มไม่ได้ วันแรกที่เขาเดินสโลสเลเหมือนคนไร้สติแบคฮยอนก็พยายามที่จะเข้าหาเขาแบบนี้ แต่มันต่างกันตรงที่จางอี้ชิงไม่ได้เป็นคนมีความอดทนเก่งกับความมึนตึงของอีกฝ่ายได้เหมือนเด็กคนนั้น
“ไปนอนเถอะ”
“คุณอยู่ที่นี่ – แล้วผมจะไป – ได้ยังไง?”
“ผมจะนอนตรงนี้”
“หนาว” มันไม่ใช่นิสัยของเขาที่จะมาพูดอะไรแบบนี้แต่การให้มินซอกนอนบนโซฟาทั้งที่อากาศโดยรอบหนาวติดลบมันก็ไม่ใช่เรื่อง “ในห้องผม – นอนด้วยกันได้”
“...”
“คุณ – นอนกับเทา”
“ไม่เป็นไร”
“สามคน – ด้วยกัน” อี้ชิงชูสามนิ้วขึ้นมาแต่ดูเหมือนว่ามินซอกจะไม่ยินดีนัก
ปึง ๆ ๆ
เสียงทุบประตู...ใช่...มันคือเสียงทุบแทนที่จะเป็นเสียงเคาะเรียก ทั้งคู่สะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันมามองหน้ากัน มินซอกคว้าแขนอีกคนเอาไว้แล้วส่ายหน้าพรืดเป็นเชิงห้ามเมื่ออี้ชิงทำท่าจะลุกขึ้นยืน หนุ่มชาวจีนขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจก่อนจะหันไปทางประตูที่ถูกทุบอีกครั้ง
“อย่า”
“Why?” (ทำไมล่ะ?)
“ผมจะไปนอนในห้องก็ได้แต่อย่าเปิดประตูให้เขานะ...ผมขอร้อง” ไม่เคยเห็นสีหน้าและน้ำเสียงแบบนี้ของมินซอกมาก่อนแต่ก็ยอมรับว่าคำขอร้องนี้มันได้ผล
“เข้าใจแล้ว” อี้ชิงลุกขึ้นยืนแล้วช่วยถือกระเป๋าเป้ให้ในขณะที่คนตัวเล็กหันไปมองประตูบ้านเป็นระยะระหว่างเดินเข้าไปในห้อง
แสงสว่างจากตะเกียงทำให้มองเห็นเพื่อนตัวสูงนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง อี้ชิงวางกระเป๋าพิงไว้กับผนังแล้วผายมือให้อีกคนเข้าไปข้างใน เสียงทุบประตูหน้าบ้านทำให้สองขารีบพาร่างตัวเองไปนั่งบนเตียงให้เร็วที่สุด ถ้าเกิดครูกับอึนจีตื่นขึ้นมาตอนนี้มันคงไม่ดีแน่ มินซอกมองหน้าบุรุษพยาบาลหนุ่มเป็นเชิงขอความช่วยเหลือและอีกฝ่ายก็พอจะเข้าใจ
“I don’t want to see him now...” (ผมไม่อยากเจอเขาตอนนี้...)
“...”
“I beg you...” (ผมขอร้องคุณ) จากตอนแรกที่หยุดร้องไห้ไปแล้วแต่ตอนนี้น้ำตากลับไหลออกมาอีกครั้ง “Please let him leave...” (ให้เขากลับไป...นะ)
มีเพียงแค่เสียงกรนของเทาที่ทำลายความเงียบในตอนนี้ ถ้าถึงขั้นพยายามสื่อสารกับเขาด้วยภาษาอังกฤษก็พอจะรู้แล้วว่ามินซอกกลัวการพบเจอบุคคลปริศนามากแค่ไหน อี้ชิงพยักหน้ารับแล้วเดินออกมาข้างนอกพร้อมตะเกียง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่กำลังก่อความวุ่นวายตอนนี้เป็นใครจนกระทั่งเปิดประตูออก
ควันสีขาวที่ลอยไปตามอากาศทุกครั้งที่หายใจกับสีหน้าตื่นตระหนกของลู่หานทำให้เขาอึ้งอยู่ไม่น้อย ในมือของผู้ชายคนนั้นมีผ้าพันคอผืนหนึ่งซึ่งจำได้ว่าเมื่อตอนกลางวันเห็นมินซอกนั่งถักอยู่
“อี้ชิง” ลู่หานเว้นจังหวะหอบหายใจแล้วมองเข้าไปในตัวบ้านแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า “มินซอกอยู่ข้างในใช่ไหม”
“...”
“ฉันขอคุยกับเขาหน่อย”
“ไม่ได้” อี้ชิงยันมือขวางทางไว้เมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะเดินเข้ามาในบ้าน ร่างโปร่งขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ “ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณสองคน แต่ผมคงปล่อยให้คุณเข้าไปข้างในไม่ได้”
ในเมื่อรับปากกับมินซอกไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะเขาคงทำตามที่คนตรงหน้าร้องขอไม่ได้ ไม่ว่าทั้งคู่จะมีปากเสียงกันด้วยเหตุผลอะไรแต่น้ำตาของเด็กคนนั้นมันก็เป็นสิ่งยืนยันได้ดีแล้วว่าเขาไม่ควรให้ลู่หานเข้าไปข้างในตอนนี้ ทางที่ดีควรรอให้มินซอกสงบก่อนถ้าขืนเจอกันตอนนี้คงมีแต่จะแย่ลง ลู่หานนิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าลดลงกับความรู้สึกผิดที่อัดแน่นอยู่ในใจ เขาไม่มีโอกาสได้พูดคำแก้ตัวเลยสักนิดและถึงมีเขาก็มั่นใจว่ามันไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้มินซอกหายโกรธได้
“มินซอก...เป็นยังไงบ้าง?”
“กำลังจะนอนแล้วล่ะ”
“เขาเล่าให้นายฟังเหรอ?”
“เปล่า เด็กคนนั้นไม่ได้พูดอะไรนอกจากให้ผมเชิญคุณกลับไป” อี้ชิงพูดตามความจริงและคำตอบของเขาทำให้ลู่หานชะงักไปเล็กน้อย
“แค่ห้านาทีไม่ได้เหรอ ขอฉันคุยกับเขา”
“ผมไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะตัดสินใจแทนเขา ที่ผมพูดไปทั้งหมดมันคือสิ่งที่มินซอกขอเอาไว้”
“...”
“พรุ่งนี้ต้องไปล่าสัตว์มันคงไม่ดีถ้าคุณป่วยเพราะยืนตากลมหนาวทั้งคืน”
“...”
“กลับไปเถอะ ผมจะดูแลมินซอกเอง”
เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่กำลังสนุกอยู่กับการฝึกซ้อมยิงธนูยามเช้าเรียกรอยยิ้มจากครูผู้สอนที่นั่งจิบกาแฟร้อนอยู่ระเบียงหน้าบ้าน แม้กระทั่งคยองซูก็เข้าร่วมการฝึกด้วย เป็นครั้งแรกที่เด็กคนนั้นออกตัวขอไปล่าสัตว์ด้วยและผู้ใหญ่หลายคนก็ไม่ขัดใจ คยองซูทำตาโตเมื่อลูกธนูที่เพิ่งยิงไปเมื่อครู่ปักเข้ากลางลำตัวหมอนที่ถูกมัดไว้กับเสาไม้หลังจากที่เขายิงพลาดมาตลอดครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา
“สุดยอด!” อึนจีหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมกับยกมือขึ้นข้างหนึ่งแต่อีกฝ่ายกลับนิ่งเฉย เด็กสาวยิ้มเก้อเมื่อคยองซูไม่มีท่าทีว่าจะแท็กมือตอบเธอเลยถือวิสาสะจับมือเขาขึ้นมาแท็กมือเอง “เวลาดีใจก็ต้องทำแบบนี้ดิ”
“สายตาหมอนี่กำลังด่าเธอว่าไร้สาระนะ ฉันดูออก” เทาหัวเราะแล้วดึงลูกธนูออกมาฝึกยิงโดยมีเซฮุนคอยยืนเก็บรายละเอียดแล้วฝึกยิงตาม
“นายจะคิดว่าทุกอย่างในโลกนี้เป็นเรื่องไร้สาระไม่ได้เด็ดขาดนะคยองซู อย่างตอนดีใจก็ต้องยิ้มต้องหัวเราะแล้วก็แสดงความยินดีกับอีกฝ่ายด้วยวิธีแบบนี้” อึนจีชูกำปั้นขึ้นมาแล้วหรี่ตา คยองซูมองกำปั้นเล็กแล้วกลอกตาไปทางแบคฮยอนที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ คนตัวเล็กยิ้มขำก่อนจะคว้าลูกธนูออกมาซ้อมยิงบ้าง “เอากำปั้นมาชกกันสักทีสิ” เด็กสาวพูดเสียงเย็น หนุ่มวัยยี่สิบถอนหายใจแล้วชกกำปั้นกับอีกฝ่ายแบบขอไปทีและมันทำให้เด็กผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มยิ้มร่า
“พอใจนะ?”
“ที่สุด~ ส่วนเวลาเสียใจก็เบะปากร้องไห้ฟูมฟายโวยวายหรือไม่ก็ด่าใครสักคนเอาให้รู้สึกดีขึ้นอะไรอย่างเนี้ย” พูดจบก็หันไปเห็นใครคนหนึ่งที่ทำให้ยิ้มออกได้ทุกครั้ง “เวลาแสดงความรักก็เหมือนกัน~” อึนจียิ้มเคลิ้ม ๆ ก่อนจะส่งจูบไปยังหนุ่มชาวจีนที่กำลังตักหิมะออกจากทางเดินเข้าบ้าน “อี้ชิงโอป้า!! ซารางแฮ!!!” พอเห็นเด็กสาวทำมือเป็นรูปหัวใจบนหัวอี้ชิงก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่ริมฝีปากจะยกยิ้ม สองมือวางพลั่วลงแล้วทำท่านั้นบ้างสร้างความตกใจให้กับคนอื่น ๆ เป็นอย่างมากโดยเฉพาะจองอึนจี
“นั่นไง! พวกนายดูสิ ดูๆๆ เซฮุน! แบคฮยอน! หยุดยิงก่อน! หันมาดูอี้ชิงโอป้า Heart Attack ใส่ฉัน” เด็กสาวเข้าไปดึงแขนเพื่อนทุกคนที่กำลังให้ความสนใจกับเป้าซ้อมยิงให้หันไปมองหนุ่มชาวจีน
“เสียงดังว่ะ” <- เทา
“ได้พูดเรื่องนี้ทั้งวันแน่” <- คยองซู
“โชคดีนะอี้ชิง” <- แบคฮยอน
“(หัวเราะ)” <- เซฮุน
เห็นเด็ก ๆ เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วตอนนี้ก็เหลือแค่ผู้ใหญ่อีกไม่กี่คนที่ยังคงอยู่ในบ้าน อี้ฟานกับชานยอลเดินออกมาพร้อมกับกระเป๋าเป้ วันนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องพกของไปเยอะเพราะเป้าหมายคือสัตว์และของป่าบางชนิดที่พอจะเก็บได้ ถ้าให้เทียบระหว่างการวิ่งหนีตายจากพวกกินคนกับการออกไปล่าสัตว์ อันตรายจากพวกผีเดินได้เหล่านั้นสูงกว่าเป็นไหน ๆ แน่นอนว่าถ้าครั้งนี้เป็นการออกไปหาเสบียงเขาคงไม่อนุญาตให้น้องแมมม็อธกับเหลือกคุงไปด้วยแน่ หันไปทางซ้ายมือก็เห็นจงแดสะพายปืนยิงยาสลบไว้ข้างหลังแล้วเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เขา
“ผมจะเข้าไปสำรวจในป่าสักหน่อย” เจ้าหน้าที่หนุ่มยิ้มแล้วจงอินก็พยักหน้ารับ “ใช่ว่าจะเซนซิทีฟอะไรขนาดนั้นหรอกนะ แต่ผมทนเห็นพวกเขาถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้จริง ๆ ต่อให้สัตว์เหล่านั้นจะไม่ได้อยู่ในอุทยานก็ตาม” จงอินยกกาแฟร้อนซดอึกสุดท้ายแล้วขยำแก้วกระดาษทิ้งถังขยะหน้าบ้านก่อนจะหันหน้าเข้าหาเจ้าหน้าที่หนุ่ม
“ถ้าฉันทำอาชีพเดียวกับนายก็คงทำใจฆ่ามันไม่ลงเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดกับเรื่องแค่นี้หรอก”
“จะให้ทำเป็นไม่รู้สึกอะไรก็ยังไงอยู่ พวกคุณออกไปหาอาหาร หาข้าวของเครื่องใช้มาเพิ่มเยอะแยะแต่ผมกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย” นี่คือสิ่งที่คิมจงแดเป็นกังวลมาตลอด ด้วยความที่เขาไม่มีความสามารถเรื่องการป้องกันตัวเลยออกไปสู้รบปรบมือกับพวกติดเชื้อไม่ได้ จริงอยู่ที่เขาใช้ปืนเป็นแต่ที่ยิงโดนทั้งหมดก็คือเป้านิ่ง ตอนวิ่งหนีพวกฝูงลิงก็ฟลุ๊คยิงโดนแค่ไม่กี่นัด
“ถ้าพูดแบบห่างเหินหน่อยทั้งฝ่ายฉันและฝ่ายนายต่างก็มีสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนกัน ฝั่งฉันแลกด้วยเสบียง ฝั่งนายแลกด้วยที่อยู่อาศัย มันก็แฟร์ ๆ แล้วนี่” ยืนพิงเสาบ้านตรงบันไดทางเดินลง ตอนนี้คนอื่น ๆ กำลังขนของขึ้นรถและเด็ก ๆ ยังคงสนุกอยู่กับการฝึกซ้อมยิงธนู
“คุณคิดว่าแค่นั้นมันพอเหรอ ที่ผมแลกกับคุณมันน้อยไปด้วยซ้ำ” การที่เขามีอาหารกินเพื่อยืดชีวิตอยู่ไปได้อีกหนึ่งวันแลกกับที่อยู่ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้ไปช่วยจัดการพวกติดเชื้อในบ้านพักเลยสักตัวเดียว
“ไม่มีอะไรวัดได้ว่าการแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งไหนถึงจะเท่าเทียมกัน เลิกคิดมากแล้วเข้าไปดูลูกหลานของนายเถอะ” ตบหลังอีกฝ่ายปุ ๆ พร้อมกับยักคิ้วให้ จงแดยิ้มกว้างแล้วพยักหน้ากับกำลังใจที่ได้จากสมาชิกใหม่ในอุทยาน “เอาปืนพกไปด้วยหรือเปล่า”
“เรียบร้อย” จงแดว่าแล้วดึงชายเสื้อกันหนาวขึ้นให้ดูปืนพกที่เหน็บอยู่กับเอว ถึงจงอินไม่บอกเขาก็ต้องระวังตัวกับการที่ต้องเข้าไปในป่าตามลำพังซึ่งไม่รู้ว่าในนั้นยังมีพวกลิงนรกหลงเหลืออยู่ไหม
“กฎข้อแรกคือห้ามตาย”
“กฎเหรอ?”
“ใช่ อยู่ด้วยกันก็ต้องมีกฎระเบียบกันหน่อย ปฏิบัติตามให้ได้ล่ะ” จงแดหัวเราะกับคำเผด็จการของอีกฝ่ายก่อนจะเดินออกไปหน้าบ้าน
“พวกคุณก็ต้องเคารพกฎด้วยนะ แล้วผมจะรอกินเนื้อสัตว์!” จงแดตะโกนบอกก่อนจะหันไปโบกให้กับครูสาวที่นั่งจิบกาแฟอยู่หน้าบ้านหลังข้าง ๆ จงอินขมวดคิ้วงง ไอ้ห่านี่ปากก็บอกว่ารักสัตว์แต่สุดท้ายก็รอแดกสินะ
กวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วก็สงสัยว่าทำไมลู่หานยังไม่โผล่หัวออกมาทั้งที่ปกติมันไม่เคยเงียบหายจนหาเงาไม่เจอแบบนี้ จะว่าตื่นสายก็อาจจะใช่เพราะตั้งแต่เช้าก็ยังไม่เห็นเด็กดาดฟ้าออกมาเดินทำหน้าหยิ่งเหมือนกัน
เดินกลับเข้าไปในบ้านแล้วหยุดอยู่หน้าประตูห้องเพื่อนซี้ ถ้าเกิดเคาะประตูตอนนี้แล้วมันกับเด็กนั่นกำลังกินอาหารเช้ากันอยู่ล่ะ แต่ถ้าไม่เรียกคนอื่นก็รออยู่ เสียเวล่ำเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ สุดท้ายก็ตัดสินใจจะเคาะประตูเพราะคิดว่ามันไม่ใช่เวลาที่มันกับเด็กดาดฟ้าจะมาจัดเบรคฟาสกันตอนนี้ทั้งที่คนอื่น ๆ รออยู่
ก๊อก ๆ ๆ
เคาะแค่สามครั้งตามมารยาท ใจจริงอยากจะหมุนลูกบิดแล้วดันประตูเข้าไปซะให้รู้แล้วรู้รอดแต่กลัวว่าจะได้ดูหนังสดแบบไม่ตั้งใจ แต่จะว่าไปไอ้ลู่หานมันคงไม่บื้อขนาดลืมล็อกห้องหรอกมั้ง?
ในเมื่อเพื่อนรักไม่ยอมออกมาเปิดประตูคิมจงอินก็ไม่อยากรออีกต่อไป ลองหมุนลูกบิดเล่น ๆ แล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นเมื่อพบว่ามันลืมล็อกจริง ๆ เม้มปากแล้วค่อย ๆ ดันประตูเข้าไปอย่างช้า ๆ แสงแดดอ่อน ๆ ทะลุผ่านเข้ามาผ่านช่องหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้นิดหน่อยพอจะทำให้เขามองเห็นหัวใครคนหนึ่งซึ่งโผล่พ้นขึ้นมาจากขอบเตียงฝั่งนั้น
ใช่ มันคือหัวคนจริง ๆ ว่าแต่มันไปนั่งทำอะไรอยู่บนพื้นข้าง ๆ เตียงกันวะ?
“มึง?” ลองเรียกดูเพราะจากทรงผมแล้วคงไม่ใช่เด็กดาดฟ้าแน่ ๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเฉยแม้ว่าสองขาของเขาจะพาร่างมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วก็ตาม
จงอินนั่งลงกับขอบเตียงทั้งที่ยังมองเพื่อนซี้ที่เอาแต่นั่งกอดเข่าอยู่เงียบ ๆ โดยไม่ยอมขานตอบสักคำ ลดระดับสายตาลงอีกนิดก็เห็นผ้าพันคอที่อยู่ในมือ เห็นเพื่อนใบ้แดกแบบนี้ก็นึกสงสัยปนเป็นห่วงเลยสะกิดไหล่มันเบา ๆ แต่ก็เหมือนเดิม...ไร้การตอบรับ
“เป็นเหี้ยไรครับ”
“...”
ยังเงียบอยู่ จงอินย้ายตัวลงมานั่งบนพื้นข้าง ๆ เพื่อนซี้แล้วมองหน้าอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ลู่หานยังคงมองเหม่อไปข้างหน้าและที่เป็นอยู่มันทำให้เขารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่เซนส์มันบอกอีกแล้ว มองหน้าเพื่อนสลับกับผ้าพันคอในมือแล้วเอื้อมไปหยิบแต่ลู่หานกลับยื้อเอาไว้แล้วหันมามองเขา
“ปล่อย”
เยด...แม่งโหด...
“เออ ปล่อยก็ปล่อยดิวะ” ไม่พูดความยาวสาวความยืด จงอินปล่อยผ้าพันคอออกแล้วเอนหลังพิงกับเตียง ลู่หานหันหน้ากลับไปที่เดิมอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ทุกคนรอมึงอยู่ข้างนอก”
“กูไม่ไป”
“ห๊ะ?”
“พวกมึงไปเถอะ”
“เป็นเชี่ยไรอีก”
“...”
“มึง”
“กูอยากอยู่คนเดียว”
“จะมาติสม์ห่าอะไรตอนนี้ ทดลองเป็นพระเอก MV เหรอ”
“กูไม่ตลก”
“...”
“นี่เป็นครั้งแรกที่กูอยากขอให้มึงเข้าใจ” เสียงของลู่หานแผ่วลง นัยน์ตาหลุบมองผ้าพันคอในมืออย่างอาลัยอาวรณ์เมื่อเหตุการณ์เมื่อคืนยังคงวนเวียนอยู่ในหัวไม่ไปไหน
สภาพแบบนี้คงไม่พ้นทะเลาะกับเด็กดาดฟ้าแน่ ๆ เพราะจากอะไรหลาย ๆ อย่างมันทำให้คิดไปในแง่นั้นจริง ๆ และสาเหตุก็เดาได้ไม่ยากเลย คงไม่พ้นเรื่องที่มันออกไปหาธนูกับแบคฮยอนสองต่อสองนั่นแหละ
“กูไม่รู้นะว่าระดับความดราม่าเรื่องนี้สูงแค่ไหน แต่ที่จะบอกคือกูอยากให้มึงค่อย ๆ ใช้สมองที่มีอยู่คิดทบทวนให้ดี”
“...”
“ไม่ใช่ครั้งแรกนะที่พวกมึงทะเลาะกันแบบนี้ มันถี่เกินไปแล้วป่ะวะ? มึงก็อย่าใช้อารมณ์ให้มากน้องมันยังเด็กแถมเป็นคนไม่ค่อยพูด” ที่พูดเพราะเข้าใจว่าครั้งนี้ลู่หานคงทะเลาะกับเด็กนั่นด้วยเรื่องเดิม ๆ และทุกครั้งก็จบที่ลู่หานเผลอตะคอกใส่แล้วก็มารู้สึกผิดทีหลัง
คำพูดของจงอินยิ่งตอกย้ำให้รู้สึกแย่มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งลู่หานไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะแย่ไปกว่านี้ได้ไหม ในทีแรกเขาเอาแต่จมอยู่กับความคิดเรื่องเมื่อวานจนลืมคิดไปว่าที่ผ่านมาเขาก็ไม่ได้ทำหน้าที่แฟนได้ดีนัก
เขามันแย่เองนั่นแหละ...ที่มองข้ามความรู้สึกของมินซอก
“แล้วกูจะรีบกลับ มีอะไรก็รีบเคลียร์กันให้รู้เรื่องนะเว้ย”
“...”
เงียบ...มันยังเงียบอยู่
สงสัยคราวนี้ท่าจะหนักจริง เพราะปกติหลังทะเลาะกันลู่หานมักจะมาบ่นให้เขาฟังอยู่ตลอดว่ามินซอกอย่างนั้น มินซอกอย่างงี้ มีอะไรก็ไม่พูดเอาแต่เงียบ ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วมันนั่นแหละที่ผิดที่ชอบทำให้เด็กนั่นไม่ไว้ใจ แต่การยื่นขาเข้าไปเสือกทั้งที่มันปิดปากเงียบแบบนี้ก็เปล่าประโยชน์ เพราะงั้นเห็นทีว่าคงต้องปล่อยให้มันอยู่คนเดียวสักพักพอกลับมาจากล่าสัตว์ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน
หลังจากรถทั้งสองคันเคลื่อนตัวออกไปกาฮีก็เก็บโต๊ะให้เรียบร้อยก่อนจะเข้าไปในบ้านแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นอี้ชิงกำลังเคี่ยวโจ๊กด้วยแก๊สปิคนิค หนุ่มชาวจีนเงยหน้าขึ้นเมื่อครูสาวเดินเข้ามาใกล้ ๆ
“ทำให้ใครเหรอคะ?”
“มินซอกครับ” อี้ชิงเทโจ๊กใส่ถ้วยแล้วใช้ทัพพีกวาดจากหม้อใบเล็กให้หมด “เขา – ไม่สบาย”
“งั้นเหรอคะ?” ครูสาวตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ถึงว่าเธอไม่เห็นมินซอกออกมาซ้อมยิงธนูกับคนอื่น “งั้นฉันขอตัวไปดูเขาสักหน่อยนะคะ”
“NO NO เขาอยู่นี่” อี้ชิงชี้ไปข้างหลังพร้อมกับชี้ไปยังห้องของตัวเอง “ไม่ได้อยู่ – บ้านนั้น”
“...?” ถึงจะเข้าใจในสิ่งที่หนุ่มชาวจีนกำลังสื่อ แต่มันก็อดประหลาดใจไม่ได้อยู่ดีว่าทำไมนักเรียนของเธอถึงได้มาอยู่ที่นี่แทนที่จะเป็นบ้านอีกหลัง
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องแล้วก็เห็นคนตัวเล็กนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม มินซอกลืมตาขึ้นเมื่อผ้าขนหนูผืนเล็กถูกเอาออกและแทนด้วยหลังมือเรียวที่ทาบลงบนหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ ใบหน้าสวยของครูสาวถูกแต่งแต้มด้วยลักยิ้มทั้งสองข้าง เธอยิ้มบาง ๆ พลางเกลี่ยไรผมออกจากหน้าเด็กหนุ่มอย่างเบามือ
“เป็นยังไงบ้าง ปวดหัวไหมมินซอก?” น้ำเสียงอ่อนโยนที่ฟังเมื่อไหร่แล้วก็ให้ความรู้สึกอบอุ่น พอได้เห็นหน้าครูใกล้ ๆ แล้วก็รู้สึกอ่อนแอขึ้นมาเสียดื้อ ๆ “ร้องไห้ทำไมหื้ม?” อี้ชิงได้แค่ยืนมองครูสาวกับลูกศิษย์อยู่ห่าง ๆ ยิ่งได้รับการปลอบประโลมมินซอกยิ่งร้องไห้หนักจนเธอต้องโน้มตัวลงไปกอด “ครูอยู่นี่...ไม่เป็นไรนะ”
ในสายตาของคนเป็นครูนักเรียนของเธอก็ยังเป็นเด็กอยู่เสมอ ถึงปาร์คกาฮีจะไม่เคยสัมผัสความรู้สึกการเป็นแม่คนแต่อะไรหลายอย่างมันทำให้เธอรู้ว่าควรแสดงออกแบบไหนกับเด็กที่สูญเสียครอบครัวไปตั้งแต่อายุเท่านี้ แต่ก่อนตอนที่ยังไม่เกิดเรื่องกับเด็กที่ชอบหน้านิ่งเฉยอย่างมินซอกอย่างมากก็แค่โค้งหัวทักทายตามมารยาทตอนเดินสวนกันเท่านั้น
แต่ตอนนี้...นักเรียนทุกคนคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่เหลืออยู่และเธอจะดูแลพวกเขาให้ดีที่สุด
“ลุกขึ้นมากินโจ๊กหน่อยนะ คุณอี้ชิงเพิ่งทำให้เมื่อกี้นี้เอง” ค่อย ๆ ประคองร่างคนป่วยขึ้นนั่งก่อนจะรับชามมาจากอีกคน มินซอกยกมือขึ้นห้ามแล้วมองครูสาวที่กำลังตักโจ๊กขึ้นเป่าให้
“ไม่เป็นไรครับ...ผมกินเองได้”
“โอเค งั้นเดี๋ยวครูช่วยเช็ดตัวให้นะจ้ะ ไข้จะได้ลดลง” เธอไม่ได้รบเร้าป้อนข้าวป้อนน้ำแต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมเดินออกไปอย่างง่าย ๆ แล้วปล่อยให้เด็กคนนี้นอนพักตามลำพัง อี้ชิงอมยิ้มมองนักเรียนที่ได้แต่มองแผ่นหลังครูสาวที่กำลังบิดผ้าขนหนูให้หมาด ๆ ก่อนจะเอามาช่วยซับหน้าซับตาให้
“ครูครับคือ...”
“ผมทำเองได้” พูดตัดบทคนป่วยแล้วหันไปหัวเราะกับหนุ่มชาวจีนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มุมห้อง
พอตื่นขึ้นมาแล้วเรื่องเดิม ๆ ก็แล่นเข้ามาในหัว มันเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะไล่ความรู้สึกแบบนี้ออกไปในระยะเวลาสั้น ๆ คิดว่าการนอนหลับคือวิธีเดียวที่จะลืมเรื่องราวทุกอย่างไปได้ แต่ผิดคาด...แม้กระทั่งในฝันผู้ชายที่ชื่อลู่หานก็ยังตามมาตอกย้ำความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง มินซอกลดสีหน้าลงแล้วปล่อยให้ครูสาวทำตามอำเภอใจ
เพราะยังไงการที่ได้อยู่กับสองคนนี้ก็ดีกว่าการต้องทนมองหน้าลู่หานอยู่แล้ว...
ฉึก!
“สิบคะแนนให้กริฟฟินดอร์!”
เสียงเด็กสาวที่ดัดให้ทุ้มต่ำเรียกรอยยิ้มจากกลุ่มชายหนุ่มที่เดินตามหลังมาได้เป็นอย่างดี อึนจีกระโดดข้ามขอนไม้ไปดึงเอาธนูที่ปักเข้ากลางหัวตัวกินคนออกมาแล้วหันไปยิ้มอวดผลงานตัวเองซึ่งทำให้ทุกคนทึ่งในฝีมือเธออยู่พอสมควร
“ใช้ได้นะเนี่ยน้องแมมม็อธ”
“จะเรียกหนูว่าแคทนิสก็ได้นะ”
“กลับบ้านเถอะ รถอยู่ทางนั้น” จงอินปัดมือไล่ก่อนจะเซไปทางด้านข้างเพราะถูกผลัก อี้ฟานกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจความปลอดภัยในป่าแห่งนี้ที่ออกมาไกลอุทยานพอสมควร ความหนาวเหน็บกับหิมะบนพื้นเป็นอุปสรรคอันดับต้น ๆ สำหรับการเดินทางแต่เหล่าเด็กม.ปลายกลับรู้สึกตื่นเต้น สนุกสนานไปกับการล่าสัตว์ครั้งนี้จนลืมความหวาดกลัวไปหมด
ธนูมีทั้งหมดสี่คันซึ่งเทา อึนจี เซฮุนและคยองซูเป็นคนได้ถือมันเพราะพวกเขาสามารถยิงเข้าเป้าได้แม่นที่สุดส่วนหน้าที่ผู้ใหญ่คือคอยยืนระวังหน้าระวังหลังให้เท่านั้น
“ฉันทำได้หนึ่งแต้มแล้ว พวกนายสามคนตามหลังฉันอยู่” หันไปบอกเด็กสิบแปดไลน์ซึ่งมียี่สิบไลน์อย่างคยองซูเป็นลูกหลงซึ่งเจ้าตัวก็ไม่เต็มใจนัก
“เอ่อะ...”
“อี๋! อุบาทว์ป่ะ?!” อึนจีเอามือปิดจมูกเมื่อถูกเทาเรอใส่หน้าก่อนจะยกขาขึ้นพยายามถีบไอ้คนตัวสูงที่กำลังดึงเปียผมเธอ “ไอ้เจ๊ก!!!”
“อ่ะ รางวัล” เทาก้มลงหยิบก้อนหินขึ้นมายัดใส่มืออีกคน อึนจีเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วแค่นหัวเราะ
“เนี่ยน่ะเหรอรางวัล”
“ใช่ โคตรล้ำค่าเลยนะ เหมาะกับผู้หญิงม้าดีดกะโหลกอย่างเธอสุด ๆ ละ”
“นั่นปากหรือถังขยะเปียก ถ้าไม่บอกว่าเป็นชายแท้ฉันคงคิดว่านายเป็นกระเทยถึกที่ชอบแซะผู้หญิงเพราะความอิจฉา”
“อย่างเธอมีอะไรให้น่าอิจฉาเหรอ ส่องกระจกดูตัวเองมั่งเปล่า ถ้าฉันจะอิจฉาเธอล่ะก็คงเป็นพลังแรงควายอันถึกทึนของเธอนั่นแหละ”
“โห ย่อตัวลงมาหน่อยเถอะ จะขอถีบปากสักที”
“อึนจี...” เสียงปรามของอี้ฟานทำให้เด็กสาวสงบลงอย่างไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ เทาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ก่อนจะถูกบ้องหูอย่างแรงจนได้ยินเสียงวิ้ง ๆ
“ฉันเป็นคนมีน้ำใจมาก เอาไปอมเล่นซะสิ” เด็กสาวยัดก้อนหินคืนใส่มือหนา เทาบุ้ยปากแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่กำลังกลอกตาไปมาทำท่ากวนประสาทเขาอยู่ ถ้ามีให้ลงกินเนสบุ้คเรื่องผู้หญิงกวนตีนที่สุดในโลก คนแรกที่หวงจื่อเทาจะลงชื่อคือยัยช้างนี่แหละ
“ขว้างระเบิดไปแล้ว!” อึนจีมองตามเพื่อนตัวสูงที่เขวี้ยงก้อนหินที่เธอให้เมื่อครู่ไปจนสุดสายตาจนมองหาไม่เห็นว่าลอยไปทางไหน “จริง ๆ ต้องตะโกนว่าโฮมรันถึงจะถูก”
“กระจอก” เด็กสาวพึมพำแล้วยักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนจะเดินตามคนอื่น ๆ ไป
เสียงผู้หญิงคนเดียวภายในกลุ่มทำลายความเงียบที่กำลังโรยตัวอยู่โดยรอบ เฉพาะคนสองคนที่เดินรั้งท้ายอยู่ข้างหลังเช่นบยอนแบคฮยอนและปาร์คชานยอล จงอินฟันกิ่งไม้ใบหญ้าที่ขวางทางก่อนจะปีนขึ้นไปตามโขดหิน รอบข้างยังเงียบสงบและมันจะดีมากถ้าเด็กสองคนนี้เงียบปากสักทีไม่งั้นสัตว์แถวนี้คงแตกตื่นหนีกันไปไม่เหลือ
ร่างหนายื่นมือลงไปข้างล่างเพื่อดึงคนอื่น ๆ ให้ขึ้นตามมา การล่าสัตว์ท่ามกลางฤดูหนาวมันเป็นอะไรที่ทรหดพอสมควร ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือแล้วก็พอมีหวัง ยังเหลืออีกหลายชั่วโมงก่อนจะถึงเวลาฟ้ามืด
แบคฮยอนกระชับกระเป๋าเป้เบาหวิวไปตามหลังอี้ฟานโดยที่ไม่หันไปมองใครอีกคนที่เดินรั้งท้ายอยู่ข้างหลังสุด ทั้งที่พยายามไม่สนใจแต่ก็ดูเหมือนว่ายิ่งพยายามเท่าไหร่ผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นศูนย์ หลายครั้งที่เขาแอบมองโดยไม่ให้ผู้ชายคนนั้นรู้ตัวแล้วก็ได้เห็นใบหน้าอิดโรย ซีดเซียวจนเกือบหลุดปากถามออกไปว่า ‘คุณไหวไหม?’
ความเงียบทำให้สมองทำงานได้ดีที่สุดกับเรื่องราวมากมายที่แล่นเข้ามาในหัวให้ได้คิด ทั้งเรื่องของปาร์คชานยอลที่วนเวียนอยู่แทบจะตลอดเวลากับเรื่องที่ลู่หานพูดเมื่อวานมันทำให้เขาตั้งหลักไม่ทันกับจูบนั้น
ไม่แน่ใจว่าที่ไม่เห็นลู่หานที่นี่เป็นเพราะเรื่องเมื่อวานหรือเปล่า ผู้ชายคนนั้นอาจจะกำลังทำตัวไม่ถูกหรืออะไรก็ตามแต่เขากลับคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตขนาดนั้น อาจเป็นเพราะว่าในตอนนี้เรื่องของปาร์คชานยอลมันมีอิทธิพลต่อความรู้สึกมากกว่าก็ได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงนั่งเหม่อลอยแล้วเอาแต่ถามตัวเองว่าเพราะอะไรลู่หานถึงได้จูบเขาล่ะมั้ง?
“...!!!”
“แบคฮยอน?!”
เสียงของคนอื่น ๆ ตามมาหลังจากที่คนตัวเล็กลื่นตกลงไปจากไหล่ทางซึ่งเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนแต่โชคดีที่ใครคนหนึ่งคว้าแขนเขาเอาไว้ได้ทัน แบคฮยอนนิ่วหน้าเจ็บเมื่อร่างกายของเขากระแทกกับก้อนหินและกิ่งก้านไม้แหลมจนรู้สึกชาไปหมด พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าของปาร์คชานยอลที่กำลังพยายามดึงเขาให้กลับขึ้นไปโดยที่มีจงอินกับอี้ฟานเข้ามาช่วยอีกแรง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
“แบคฮยอนเจ็บมากไหม?!”
“เซฮุนข้างหลังนาย!”
“ฉันจัดการเอง!”
เสียงของคนอื่น ๆ ลอยเข้าหูไม่ได้ขาด ร่างของคนตัวเล็กถูกดึงขึ้นจากหน้าผาซึ่งเบื้องล่างคือก้อนหินมากมายที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ แบคฮยอนลูบแก้มตัวเองแล้วก็รู้สึกแสบร้อนจากรอยถลอก อี้ฟานไปช่วยเทากับเซฮุนจัดการตัวกินคนสองตัวที่อยู่ใกล้เต็นท์สีน้ำเงินขาด ๆ ก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจน้องเล็กอีกครั้ง
“เจ็บตรงไหนอีกไหม?” จงอินถามด้วยพลางก้มลงสำรวจตามร่างกายแบคฮยอนว่ามีรอยแผลตรงไหนบ้างหรือเปล่า
“ขอโทษครับ ผมเดินเหม่อเอง”
“ถ้าชานยอลคว้าตัวคุณไว้ไม่ทันคงแย่แน่ คราวหลังระวังให้มากกว่านี้นะแบคฮยอน” คนตัวเล็กพยักหน้ารับกับคำพูดของอี้ฟาน ทุกคนต่างเข้ามาดูอาการของเขามีแค่ปาร์คชานยอลที่ได้แต่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ หลังจากดึงเขาขึ้นมาได้แล้ว
“ลุกไหวเปล่า?” จงอินถามแล้วค่อย ๆ ช่วยประคองร่างอีกคนขึ้นมา แบคฮยอนนิ่วหน้าเจ็บพลางลดตัวจับขาตัวเองจนคนตัวโตกว่าต้องหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้น
“ผมเจ็บขา...”
“แย่แล้วสิ”
“เอาไงดี?”
“ถ้าให้เดินต่อคงแย่แน่ กลับอุทยานดีป่ะวะ?” จงอินเสนอและคนอื่น ๆ ก็เห็นด้วย
“คุณพาแบคฮยอนกลับไปได้ไหมชานยอล” เสียงของอี้ฟานทำให้จงอินถึงกับตาเหลือก ร่างหนาหันควับไปมองเซฮุนที่อยู่ทางด้านขวาในทันที
เห็นสีหน้าอีกคนแล้วก็เป็นห่วงเพราะชานยอลก็ดูอาการไม่สู้ดีเลยคิดว่าถ้าให้กลับไปพักผ่อนด้วยกันทั้งคู่ก็คงดีอู๋อี้ฟานคิดอย่างนั้น
“คือ...” <- จงอิน
“ครับ ผมจะพาเขากลับเอง” ชานยอลไม่ได้มีข้อแย้งอะไรกับคำขอของอี้ฟาน ตอนนี้มีแค่จงอินกับเซฮุนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทั้งคู่เลิกลั่กมองชานยอลและแบคฮยอนสลับกันไปมาเมื่อร่างสูงทำท่าจะเข้ามาประคองน้องเล็ก
“คือ.............” ครั้งที่สองแล้วที่จงอินได้แต่พูดคำนี้ ถ้าเกิดให้มันสองคนกลับไปด้วยกันคงประสาทแดกก่อนถึงรถแน่ ๆ
“ไม่เป็นไรผมเดินเองได้”
“แบคฮยอน คุณเจ็บขาอยู่” เพราะความไม่รู้ทำให้อี้ฟานพูดแบบนั้นออกมา คนตัวเล็กค้างอยู่ท่านั้นแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่า
“ขออนุญาตครับ” แขนแกร่งสอดไปข้างหลังแล้วโอบเอวคนตัวเล็กเอาไว้โดยที่ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับ แบคฮยอนมองหน้าอีกฝ่ายแล้วคว้าไหล่กว้างเอาไว้เป็นหลักเพื่อไม่ให้ร่างของเขาทรุดลงไปเพราะความเจ็บตรงช่วงขา
“ระวังตัวด้วยนะ”
“พวกคุณก็เช่นกัน” ชานยอลบอกแล้วคนอื่น ๆ ก็พยักหน้ารับ ร่างสูงค่อย ๆ ช่วยประคองร่างคนตัวเล็กกลับไปตามทางเดิมเพื่อตรงไปยังรถที่จอดอยู่ปากทางเข้า
จงอินและเซฮุนทำได้เพียงแค่มองตามแผ่นหลังของทั้งคู่ที่เดินห่างไกลออกไปทุกที ๆ ด้วยความเป็นห่วง จากที่ฟังลู่หานเล่าเรื่องความมึนตึงของสองคนนั้นก็ใช่ว่าจะเชื่อเต็มร้อย แต่พอได้เห็นเองกับตาก็รับรู้ได้ถึงความอึดอัดที่ทั้งคู่มีให้กันอย่างน่ากระอักกระอ่วน
มีเพียงแค่เสียงรองเท้าย่ำไปบนหิมะกับมือที่กระชับเอวเขาเท่านั้นที่รู้สึกได้ในตอนนี้ มือขวาของเขาจำเป็นต้องจับแขนอีกฝ่ายไว้อย่างปฏิเสธไม่ได้ ความเจ็บปวดที่ช่วงขายังไม่เท่าความอึดอัดที่มีต่อคนข้าง ๆ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเดินออกมาไกลแค่ไหนแล้วแต่บยอนแบคฮยอนรู้สึกได้ว่ามันยาวนานเหลือเกินกับการที่ต้องอยู่กับผู้ชายคนนี้ตามลำพัง ร่างกายของทั้งคู่แนบชิดกันยิ่งขึ้นเหตุเพราะความลื่นจากหิมะจนทำให้มือแกร่งต้องกระชับเอวคนตัวเล็กไว้แน่นกว่าเดิม
แบคฮยอนชำเลืองมองคนตัวสูงที่กำลังเพ่งมองทางเบื้องหน้า อีกทั้งยังช่วยประคองร่างเขาให้พ้นจากขอนไม้และโขดหินหรืออะไรก็ตามที่มันจะเป็นอันตรายจนอาจจะต้องเจ็บตัวรอบสอง ความรู้สึกเดิม ๆ กลับมาอีกครั้งกับความสับสนในตัวผู้ชายคนนี้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันคือหน้าที่ความจำเป็นหรือว่าลึก ๆ แล้วร่างสูงก็ยังเป็นห่วงเขาอยู่บ้าง มันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขากลัวการที่จะเงยหน้ามองปาร์คชานยอล กลัวแววตาเฉยชาที่มองกลับมาราวกับจะสื่อว่าไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับเขาทั้งนั้น
สุดท้ายแล้วแบคฮยอนก็แพ้ใจตัวเอง ลึก ๆ แล้วเขาก็ยังคงมีความหวังว่าสักวันหนึ่งปาร์คชานยอลจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เป็นผู้ชายที่ทำให้เขามีความสุขได้เพียงแค่มองหน้ากัน ใจหนึ่งคิดว่ามันดีแล้วที่ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นแต่อีกใจก็ยังแอบหวังอยู่ลึก ๆ ว่าปาร์คชานยอลจะพูดอะไรบ้างนอกจากคำว่าขอโทษเหมือนเมื่อวาน
ร่างสูงหันมาสบตากับอีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจ ความอึดอัดที่มีมาตั้งแต่แรกเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อทั้งคู่ต่างชะงักไปหากแต่ไม่มีใครหลบตาไปก่อน แต่ก็เป็นบยอนแบคฮยอนอีกนั่นแหละที่ได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายจนถึงวินาทีนี้ในขณะที่ปาร์คชานยอลหันไปสนใจกับหนทางเบื้องหน้าแล้ว...
60%
ใช้เวลาพอสมควรกับการให้ความเงียบเล่นงานในรถแคบ ๆ ความอึดอัดมีมากเท่าไหร่ถูกผ่อนคลายออกมาด้วยการหายใจเข้าออก สิ่งที่บยอนแบคฮยอนมองเห็นในตอนนี้คือมือของตัวเองที่ประสานกันไว้บนหน้าตักกับมือของคนข้าง ๆ ที่เลื่อนมาเข้าเกียร์เป็นบางครั้ง
อีกไม่กี่นาทีความอึดอัดก็จะสิ้นสุดลงเมื่อรถเคลื่อนตัวเข้ามาในถนนแคบสองเลนของอุทยานซึ่งมีต้นไม้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะอยู่โดยรอบ ถามว่าเสียงของปาร์คชานยอลจะสามารถทำลายความอึดอัดไปได้เหรอก็คงตอบว่าไม่ เพราะรู้ดีว่าผู้ชายคนนี้สามารถทำร้ายเขาได้ด้วยคำพูดสั้น ๆ แม้กระทั่งคำว่า ‘ครับ’ เพราะฉะนั้นสถานการณ์ที่เป็นอยู่มันอาจจะดีที่สุดสำหรับเขาทั้งคู่แล้วก็ได้
รถจอดลงหน้าบ้านพักหลังที่สาม แบคฮยอนไม่รอให้เวลาผ่านไปนานกว่านี้ เขาเปิดประตูแล้วกะเผลกขาออกมาจากรถ ราวจับบันไดทางขึ้นคือสิ่งเดียวที่ช่วยประคองร่างเขาขึ้นไป เด็กหนุ่มไม่ได้รอให้ปาร์คชานยอลเข้ามาช่วยประคองเหมือนในทีแรกเพราะมั่นใจว่าถ้ารอก็คงพบกับความผิดหวังแน่ ยังไม่ทันเปิดประตูบ้านก็ต้องชะงักเพราะเสียงใครอีกคนที่ดังมาจากข้างหลัง
“ผมจะไปตามอี้ชิง”
เพราะไม่ใช่ประโยคคำถามบยอนแบคฮยอนเลยไม่ได้ขานตอบ สองขากะเผลกเข้าไปในบ้านแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น เปลือกตาปิดลงก่อนที่จะผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน นึกโกรธตัวเองที่มัวแต่เหม่อจนได้เรื่อง ถ้าเขามีสติมากกว่านี้ก็คงไม่ต้องทนอึดอัดอยู่กับผู้ชายที่เดาอารมณ์ไม่ได้
ไม่ชอบตัวเองตอนที่เอาแต่คิดถึงเรื่องของปาร์คชานยอล ไหนบอกว่าจะตัดใจแล้วปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปไง? ทำแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากกลืนน้ำลายตัวเองเลยสักนิด สิ่งที่ควรทำในตอนนี้คือเฉยไว้ให้คน ๆ นั้นเข้าใจว่าเขาก็เมินได้เหมือนกัน
เอาล่ะแบคฮยอน ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปจงเลิกคิดถึงผู้ชายคนนั้นซะ เพราะตอนนี้ปาร์คชานยอลคงโยนหน้าที่...ไม่สิ...คงส่งต่อหน้าที่นี้ให้อี้ชิงแล้วก็หายไปที่ไหนสักแห่งแล้ว แต่ก็ช่างเถอะ...ควรชินได้แล้วมั้งบยอนแบคฮยอน
ประตูบ้านเปิดออกแต่ไม่ใช่จางอี้ชิงที่ควรเดินเข้ามา แต่มันกลายเป็นผู้ชายคนเดิมที่พาเขากลับมาที่นี่ ร่างสูงเดินมาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าคนตัวเล็ก ชานยอลไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขาเลยสักนิดเดียว สายตาผู้ชายคนนี้กำลังสนใจอยู่กับอุปกรณ์ในกล่องที่เพิ่งเปิดออกเมื่อครู่
“เจ็บข้อเท้าหรือเปล่าครับ?” ใช่ ปาร์คชานยอลไม่ได้มองเขาตอนกำลังถาม
“ไม่”
“ผมขอดูขาคุณหน่อย” ไม่มีเหตุผลที่จะต้องขัดขืน แบคฮยอนถลกขากางเกงขึ้นแล้วก็เห็นรอยช้ำตรงช่วงขา “โชคดีที่ไม่มีแผล”
“อี้ชิงไปไหน”
“ผมเห็นเขาดูแลมินซอกอยู่ก็เลยขอยืมอุปกรณ์มาน่ะ” พูดพร้อมกับคว้าเอายานวดมาบีบใส่มือ “ถ้าเจ็บก็บอกนะครับ”
“...” แบคฮยอนนิ่งไปเมื่อคนตรงหน้าใช้มือข้างหนึ่งประคองขาเขาเอาไว้ให้อยู่ในท่าสบายก่อนจะใช้ปลายนิ้วเรียวคลึงยานวดลงบริเวณรอยฟกช้ำอย่างเบามือ
อีกครั้งที่ปาร์คชานยอลทำให้เขารู้สึกหวั่นไหว เย็นชามาถึงขนาดนี้แล้วจะอ่อนโยนทำไมอีก สู้ทำแบบส่ง ๆ แล้วเดินหนีไปเขาอาจจะรู้สึกดีมากกว่านี้ก็ได้
“มินซอกเป็นอะไรเหรอครับ?” ถามทำลายความเงียบก่อนจะเป็นบ้าตายเสียก่อน ความเจ็บตรงช่วงขายังไม่ทำร้ายเขาได้เท่าความอึดอัดที่ก่อตัวอีกครั้ง ชานยอลไม่ได้ตอบคำถามในทันที คนตัวสูงพ่นลมเบา ๆ ลงบนรอยช้ำราวกับจะไล่ความร้อนของยานวดออกไป
“ไม่สบายครับ” คำตอบสั้น ๆ แต่ได้ใจความ นี่คงเป็นสาเหตุที่มินซอกไม่ได้ออกไปล่าสัตว์ด้วยกันสินะ
สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้นึกย้อนไปถึงวันฝนตก วันที่ทุกคนหลบอยู่ในร้านเสื้อผ้าหลังหนีตายออกมาจากบ้านอี้ฟานที่ถูกเผาจนไม่เหลือชิ้นดี วันนั้นขาของเขาก็เจ็บเหมือนกัน และชานยอลก็เป็นคนเข้ามาดูแลเอาผ้าขนหนูชุ่มน้ำฝนมาประคบให้แต่ความรู้สึกตอนนั้นกับตอนนี้มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ถ้าเจ็บก็บอกนะครับ” ชานยอลพูดขณะนวดขาให้เขาอย่างตั้งใจ ก็เพราะเป็นแบบนี้ไงความพยายามของเขาเลยกลายเป็นศูนย์ทุกทีและมันก็เริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้งเมื่อถูกหมางเมิน
เขาจะต้องรู้สึกยังไงตอนที่ถูกดูแลโดยผู้ชายคนนี้งั้นเหรอ?
คำถามโง่ ๆ มากมายผุดเข้ามาในหัว ใช่...มันล้วนแต่เป็นคำถามโง่ ๆ ทั้งนั้น อย่างเช่น ‘คุณทำแบบนี้ทำไม’ ‘ทำไมคุณไม่ปล่อยผมไปซะ’ ‘ตอนนี้คุณคิดอะไรอยู่’ และมั่นใจว่าถ้าถามแบบนั้นออกไปยังไงก็ได้ความเงียบเป็นคำตอบกลับมาอยู่ดี
แต่เขาจะต้องทนอึดอัดเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ บางครั้งก็ทำตัวห่างเหินราวกับคนไม่รู้จัก แต่บางครั้งก็ใส่ใจจนน่าประหลาดใจ ทุกอย่างมันดูครึ่ง ๆ กลาง ๆ จนเขาสับสนไปหมดแล้ว
ปาร์คชานยอลไม่เคยพูดให้ทุกอย่างมันชัดเจน ก็แค่บอกมาคำเดียวว่าจะเอายังไง จะให้มันเป็นแบบไหน คนอย่างบยอนแบคฮยอนเป็นเด็กก็จริงแต่เขาก็พร้อมจะเข้าใจเหตุผลถึงแม้ว่ามันจะต้องใช้เวลาก็เถอะ
ไหน ๆ ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่...ถ้าจะเจ็บ...ก็ให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัน
“คุณเป็นห่วงผมด้วยเหรอ” ครั้งล่าสุดที่เขากลัวคำตอบจากปากผู้ชายคนนี้ก็คือคืนวันนั้นที่เขาทั้งคู่กลับไปหาทุกคนหลังจากนอนซมอยู่ในบ้านร้าง
‘ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณรู้สึกยังไงที่มีผมนั่งอยู่ข้าง ๆ แบบนี้’
‘ถ้าคุณรู้สึกเฉย ๆ มันก็คงดี แต่ถ้ามันทำให้คุณอึดอัดผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง’
‘ตอนนั้น...คุณคิดอะไรอยู่เหรอ’
มันล้วนแต่เป็นคำถามที่เขาเคยถามออกไปและไม่เคยได้คำตอบกลับคืนมา...
“ครับ” คำตอบสั้น ๆ ที่มีเส้นคั่นบาง ๆ กั้นอยู่ระหว่างคำว่าเป็นห่วงจริง ๆ หรือแค่ตอบตามมารยาทเท่านั้น “ดีขึ้นบ้างไหม?” จากที่กำลังเฟลเพราะคำตอบแต่กลับรู้สึกดีขึ้นมาอีกครั้งเพียงแค่ร่างสูงแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใย
“ที่เป็นห่วงเพราะว่าคนที่อยู่ตรงนี้คือผม...หรือแค่ในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเหรอครับ” สิ้นสุดคำถามสิ่งแรกที่เขาได้ยินนั้นไม่ใช่คำตอบแต่มันคือเสียงของการถอนหายใจ จนถึงตอนนี้ปาร์คชานยอลก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา
“ผมจะถือซะว่าคำถามเมื่อกี้มันไม่ใช่การตัดพ้อแล้วกันนะครับ”
“มันไม่ใช่การตัดพ้อแต่มันคือคำถามที่ต้องการคำตอบ” บยอนแบคฮยอนจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับคำตอบกำกวมพูดจาอ้อมโลกของผู้ชายคนนี้อีกต่อไปแล้ว จะพูดทำอะไรก็ช่วยทำให้มันชัดเจนทีเถอะ
ดูก็รู้ว่าชานยอลรำคาญที่จะตอบคำถามอีกทั้งยังพยายามหลีกเลี่ยงทุกวิถีทาง มันต่างจากเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด คนที่เคยรับฟังทุกคำพูดของเขานั้นหายไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่คนที่เอาแต่ถอนหายใจอย่างรำคาญเมื่อถูกถามเท่านั้น
คิดว่าเขารู้สึกดีมากเหรอกับการที่ต้องถามโง่ ๆ แบบนั้น ไม่ใช่เพราะปาร์คชานยอลเอาแต่ทำตัวลอยไปลอยมาหรือไงเขาถึงได้เป็นแบบนี้ ใช่...มันอาจจะผิดที่เขาเผลอใจไปตั้งแต่แรก แต่สิ่งที่เขาต้องการมันมันคือความชัดเจน ไม่ใช่ความอึดอัดแบบนี้
“เมื่อวานผมจูบกับลู่หาน” คำถามวัดใจถูกส่งออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แบคฮยอนยังคงจ้องมองคนตัวสูงแม้จะไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายว่ากำลังแสดงออกยังไง แต่ก็ถือว่าประโยคเมื่อครู่ได้ผลเมื่อสองมือที่กำลังนวดขาหยุดชะงักไป
“เหรอครับ”
“...”
กลับกลายเป็นเขาที่จุกเสียเองหลังจากได้ยินคำตอบ แน่นอนว่าบยอนแบคฮยอนคาดหวังปฏิกิริยาตอบรับไว้มากกว่านี้ จะหาว่าเรียกร้องความสนใจอะไรก็ช่างเถอะ เขาทนไม่ไหวแล้วกับความรู้สึกที่เป็นอยู่
คำว่า ‘เหรอครับ’ มันหมายความว่ายังไง? แค่รับรู้แล้วจะเป็นยังไงต่อก็ช่างมันอย่างนั้นหรือ? เขาจะจูบ จะกอดกับใครปาร์คชานยอลก็คงไม่หึงหวงเขาเลยสักนิดเลยใช่ไหม?
รู้สึกเจ็บตรงช่วงขาหากแต่ต้นเหตุไม่ได้มาจากรอยฟกช้ำที่มีอยู่แล้วแต่มันมาจากปลายนิ้วของใครอีกคนที่ออกแรงกดมากขึ้นจนต้องนิ่วหน้าเจ็บ ปาร์คชานยอลยังคงก้มหน้าก้มตาให้ความสนใจอยู่กับรอยฟกช้ำอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่คิดจะปริปากพูดอะไร
“คุณ...” แบคฮยอนทิ้งจังหวะไว้กับคำถามที่กลัวคำตอบมาตลอด สองมือกำชายเสื้อกันหนาวไว้แน่นก่อนจะรวบรวมความกล้าถามคำถามสุดท้าย “เคยรักผมบ้างไหม?”
แบคฮยอนไม่ได้รบเร้าให้ตอบในทันที เขาให้เวลาปาร์คชานยอลใช้ความคิดกับการตอบคำถามนี้แม้ว่าสองมือของเขากำลังชุ่มไปด้วยเหงื่อเพราะความตื่นเต้น เพียงแค่อึดใจเดียวร่างสูงก็เงยหน้าขึ้นสบตากับเขาจนได้
“คุณไม่อยากได้ยินคำตอบหรอกครับ”
แววตาเฉยชาคู่นั้นคงไม่ทำร้ายบยอนแบคฮยอนมากไปกว่านี้ ความรู้สึกลึก ๆ ก็พอจะรู้แล้วล่ะว่ามันน่าจะออกมาในทางไหนถึงแม้ว่าร่างสูงจะไม่ได้ฆ่าเขาให้ตายด้วยคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้ก็ตาม ไม่มีใครพูดอะไรอีก...ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะแบคฮยอนหมดสิ้นคำถามที่อยากรู้แล้วหรือเป็นเพราะจุกกับคำตอบเมื่อครู่อยู่
แต่ถือว่าเป็นคำตอบที่ตัดสินการวัดใจครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี ในหัวว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออก มันตื้อไปหมด ไม่อยากเห็นหน้าปาร์คชานยอลอีกแล้วเขารู้สึกอย่างนั้น
“โอเค” แบคฮยอนค่อย ๆ ประคองขาตัวเองออกมาจากมืออีกคน “ผมจะไม่ยุ่งกับคุณอีก”
“...”
“เรื่องของเราสองคนถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น ผมเองก็จะลืมเหมือนกัน” บยอนแบคฮยอนไม่เคยคิดว่าจะมีความกล้าที่จะพูดประโยคนี้ออกไป แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่างบอกให้เขาพูด...พูดเพื่อให้ทุกอย่างมันจบสิ้นเสียที “ต่อไปนี้เราคือเพื่อนร่วมทางที่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ด้วยกัน”
“...”
“คุณก็อยู่ในโลกของคุณ ผมก็จะอยู่ในโลกของผม เราสองคนเจอกันแค่ตอนจำเป็นเท่านั้นก็พอ”
พูดจบร่างสูงก็ลุกขึ้นยืนโดยที่ไม่มองหน้าเขาเลยสักนิด แต่วินาทีนี้แบคฮยอนไม่สนใจแล้วล่ะว่าชานยอลจะอยู่ในอารมณ์ไหน กำลังทำสีหน้ายังไงและหงุดหงิดไม่พอใจกับคำพูดของเขามากสักเท่าไหร่
“คุณพักผ่อนเถอะ” ไม่รอให้คนตัวเล็กขานตอบขายาวก็ก้าวออกไปเปิดประตูบ้าน แบคฮยอนนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมแม้ว่าเสียงประตูจะปิดลงไปแล้ว ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นก่อนที่หยดน้ำตาแห่งความเจ็บใจจะไหลลงมา ต้องขอบคุณตัวเองที่ไม่ร้องไห้ต่อหน้าผู้ชายคนนั้น ผู้ชายที่เขาไม่น่าตกหลุมรักตั้งแต่แรก
พอกันทีกับผู้ชายอย่างปาร์คชานยอล เขาเสียเวลากับคนพรรค์นี้มานานมากเกินไปแล้ว มันควรจบลงตั้งแต่วันที่ผู้ชายคนนั้นหนีออกไปแล้วทิ้งให้เขาจมอยู่กับคำถามที่ว่า ‘ผมเป็นอะไรสำหรับคุณกันแน่?’
ถ้าบยอนแบคฮยอนทนใจแข็งต่ออีกหน่อยเรื่องวันนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น แล้วไอ้ความหวังบ้า ๆ บอ ๆ ที่เคยขุดหลุมฝังมันไว้ก็คงไม่กลับคืนมาอีก
พอเถอะแบคฮยอน...ต่อไปนี้ควรรักตัวเองได้แล้ว...
จอดรถที่เดิมข้างกระบะโฟวิลก่อนจะเลื่อนกระจกลงเพื่อให้อากาศถ่ายเท คาดว่าตอนนี้พวกจงอินคงเข้าไปในป่าลึกพอสมควรกับการล่าสัตว์และที่เขากลับมาที่นี่ก็เพื่อรอรับคนอื่น ๆ กลับอุทยาน นัยน์ตามองไปยังเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย อารมณ์โกรธ หงุดหงิด ที่เกิดจากคำพูดของใครอีกคนยังคงวนเวียนอยู่ในหัวไม่ไปไหน
ใครบอกว่าเขาไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องที่แบคฮยอนจูบกับลู่หาน เขาต้องตอบยังไงกับคำถามนั้น? เขาไม่อยากที่จะฟังต่อด้วยซ้ำ สมองมันตื้อไปหมด หลังจากเล่าเรื่องจูบก็ตามด้วยคำถามว่า ‘คุณเคยรักผมบ้างไหม?’ งั้นเหรอ บยอนแบคฮยอนไม่คิดว่าคำถามนั้นมันน่าหงุดหงิดเลยหรือไง?
เพิ่งคิดได้หรือไงว่าควรตัดใจจากผู้ชายขี้แพ้อย่างเขาได้แล้ว แบคฮยอนควรถอยตั้งแต่ตอนที่เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในวันนั้นแล้ว ถ้าทำแบบนั้นเขาจะได้ไม่ต้องสับสนในตัวเองแบบนี้
ถอนหายใจอีกครั้งแล้วถอดเสื้อโค้ทออกก่อนจะถลกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยเพื่อดูแผลที่ถูกพันด้วยผ้าก๊อซซึ่งเขาแอบทำมันอย่างลวก ๆ ก่อนที่จะเข้าไปหาแบคฮยอน บาดแผลเป็นทางยาวที่เกิดจากตอนช่วยเด็กคนนั้นเอาไว้ไม่ให้ตกหน้าผาลงไปเป็นเหตุทำให้ท้องแขนถูกก้อนหินแหลมบาดเข้า
เหนื่อย...แค่หายใจก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว...
ปรับเบาะให้เอนไปข้างหลังแล้วปิดเปลือกตาลง เสื้อโค้ทถูกดึงขึ้นมาคลุมไว้จนถึงช่วงอกเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายท่ามกลางความหนาวเหน็บ ในวินาทีนี้เขาคงทำอะไรไม่ได้นอกจากงีบหลับเพื่อให้ลืมเรื่องราวต่าง ๆ ระหว่างรอทุกคนกลับมา
จมอยู่กับความมืดได้ไม่นานเปลือกตาก็ลืมขึ้นพบกับความสวยงามของทะเลเบื้องหน้ากับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยกลุ่มก้อนเมฆสีขาว กระแสลมเย็นพัดหวิวเรียกรอยยิ้มจากคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้เป็นอย่างดี เสียงนกร้อง...เสียงคลื่นซัดกระทบหินกับบรรยากาศผ่อนคลายที่ห่างเหินมานาน
ทางด้านซ้ายคือประภาคารที่อยู่สุดลูกหูลูกตาส่วนข้างหลังคือโบสถ์ซึ่งมีเก้าอี้ชิงช้าสีขาวตั้งอยู่ใกล้ทางเข้า ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วเอื้อมมือขึ้นลูบฐานเก้าอี้ชิงช้าเบา ๆ ก่อนจะหันไปเห็นประตูทางด้านขวาที่เปิดรออยู่
สองขาพาเข้ามาข้างในโบสถ์ซึ่งมีเทียนประดับให้ความสว่างอยู่โดยรอบ ร่างสูงก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ สำรวจความสวยงามในที่แห่งนี้ สถานที่คุ้นตาทำให้นึกถึงใครคนหนึ่ง...และคิดว่าคน ๆ นั้นกำลังนั่งหันหลังให้เขาอยู่ตรงเก้าอี้ยาวแถวหน้าสุด
“แบคฮยอน”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ”
ร่างสูงก้มลงมองเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงที่เพิ่งวิ่งผ่านเขาไป พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งที่ ๆ เขายืนอยู่ปัจจุบันนี้กลับไม่ใช่โบสถ์อย่างในทีแรก แต่ที่นี่คือห้องครัวซึ่งถูกตกแต่งอย่างสวยงามและมีตู้อบขนมอยู่ตรงด้านมุมสุดของห้องอีกด้วย
“นั่งลงสิคะชานยอล” เสียงหวานเรียกให้ชายหนุ่มหันไปก่อนจะเห็นใบหน้าสวยของภรรยาที่กำลังจัดแจงอาหารสำหรับสี่คน
สเต็กเนื้อพร้อมเครื่องเคียงของโปรดของเขาและสเต็กปลาที่วางอยู่ตรงหน้าเธอ โฮจองในชุดผ้ากันเปื้อนยิ้มให้ร่างสูงที่กำลังนั่งลงฝั่งตรงข้ามเธอก่อนจะคลี่ผ้าสีขาวสะอาดวางไว้บนหน้าตัก
ใบหน้าคมหันไปตามเสียงหัวเราะของเด็กสองคนที่วิ่งหยอกล้อกันรอบโต๊ะอาหาร โฮจองมองภาพนั้นอย่างมีความสุขก่อนจะหันมายิ้มให้ ปาร์คชานยอลรู้ตัวว่าตอนนี้กำลังฝืนยิ้มอยู่แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องยิ้มทั้งที่ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น เพียงแค่สบตาคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยากับแววตาคู่นั้นที่มองมาซึ่งต่างจากรอยยิ้มบนใบหน้า
ซึ่งแววตาของเธอไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย...
“คิก คิก คิก...”
“ลูกของเราน่ารักใช่ไหมคะชานยอล?” เธอเมินสเต็กปลาตรงหน้าแล้วเท้าคางถามราวกับคาดคั้นคำตอบจากปากเขาเดี๋ยวนั้น ร่างสูงกลืนน้ำลายเหนียวลงคอก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อเด็กสองคนนั้นวางมือลงบนท่อนแขนทั้งสองข้างของเขา
“พ่อจ๋า...”
“พ่อรักหนูไหม...”
มือนั้นเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง เขาไม่กล้าแม้แต่จะหันไปสบตากับเด็กคนใดคนหนึ่ง แม้ว่ามือจะเล็กนิดเดียวแต่แรงบีบกลับสร้างความเจ็บปวดได้เกินกว่าจะเป็นแรงของเด็ก
“ตอบลูกสิคะชานยอล”
“ร...รักสิ” ร่างสูงตอบเสียงแผ่ว เขาไม่แน่ใจว่าคำตอบเมื่อครู่เป็นเพราะโฮจองบอกว่าเด็กสองคนนี้เป็นลูกของเขาหรือเพราะตอบไปเพื่อให้เธอสบายใจกันแน่
“โกหก”
น้ำเสียงเย็นตอบกลับมาในทันทีที่ร่างสูงพูดจบก่อนจะตามมาด้วยเสียงมีดที่กำลังหั่นสเต็กเนื้อปลาจนเสียดสีกับจานเซรามิกส์สีขาวดังเอี๊ยดอ๊าดจนแสบแก้วหู
“คุณไม่ได้รักลูก คุณไม่ได้รักฉัน คุณไม่ได้รักเราแล้ว”
ไม่มีน้ำเสียงอ่อนหวาน ไม่มีเสียงเด็กวิ่งเล่นไปรอบ ๆ ห้องครัวอีก ตอนนี้เหลือเพียงแค่หญิงสาวตรงหน้าที่กำลังก้มหน้าก้มตาหั่นสเต็กปลาอย่างน่าสยดสยองเท่านั้น
“คุณรักเด็กคนนั้น”
“...” ร่างสูงชะงักไป เหมือนทุกอย่างถูกกลืนลงไปในลำคอ รู้สึกได้ถึงเหงื่อชื้นตามขมับและมือทั้งสองข้าง ความรู้สึกตอนนี้เหมือนถูกจับโกหกได้ยังไงอย่างนั้น
“บอกฉันหน่อยสิคะว่าคุณจะเอายังไงกับเด็กคนนั้น?” เสียงมีดเสียดสีกับจานเซรามิกส์ดังขึ้นเรื่อย ๆ มันเป็นสิ่งบ่งบอกได้ดีว่าเธอกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน “คุณกำลังคิดอะไรอยู่?”
“...”
“รู้สึกผิดงั้นเหรอ?”
“...”
“ถ้าอึดอัดทำไมไม่หนีไปเหมือนก่อนหน้านี้ล่ะคะ?” เธอเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่ง “ทั้งที่ตอนนั้นคุณทำสำเร็จแล้ว แต่คุณดันใจอ่อนกลับไปช่วยพวกเขาเอง” ชานยอลนั่งตัวเกร็งเมื่อเงยหน้าขึ้นมองภรรยาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแต่ภาพของเธอกลับเปลี่ยนไปอย่างน่าสยดสยอง
สเต็กปลาในจานแปรเปลี่ยนไปเป็นสมองเน่า ๆ พร้อมกับเลือดสีสดที่กำลังไหลออกมาจากหน้าผากซึ่งเป็นรูกระสุนปืน มันไหลลงมาตามโครงหน้าสวยจนหยดแหมะ ๆ ลงบนผ้าปูโต๊ะสีขาวจนเป็นวงกว้าง
“จริง ๆ แล้วคุณตัดพวกเขาไม่ขาดใช่ไหม?”
“...”
“คุณกลัวอะไรอยู่คะ?”
“...”
“ตอบฉันสิชานยอล คุณรู้สึยังไงกับเด็กคนนั้น?” คำถามวกวนชวนให้สับสนสาดเทเข้ามาไม่หยุดกับน้ำเสียงที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ร่างสูงหลุบสายตาลงเพื่อหลบภาพสยดสยองตรงหน้าพร้อมกับกำผ้ากันเปื้อนบนหน้าตักไว้แน่น “ไหน ๆ เด็กคนนั้นก็มองคุณเปลี่ยนไปแล้ว คุณยังจะเฝ้าดูเขาอยู่อีกทำไม?”
“...”
“ไม่มีใครเห็นใจคนขี้ขลาดอย่างคุณหรอกค่ะ” ความกดดันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวินาทีที่หายใจเข้าออกจนกระทั่งเสียงมีดกระทบจานเซรามิกส์เงียบไปอย่างน่าประหลาด
ร่างสูงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองภาพตรงหน้า อีโฮจองที่อยู่ในชุดแต่งงานตอนนี้ไม่ได้สร้างความตกใจให้เขามากนัก ไม่มีเลือด ไม่มีสมองอยู่บนจาน ไม่มีความน่าสะพรึงกลัวอีกต่อไป ตอนนี้มีเพียงแค่แววตาเศร้าบนใบหน้าสวยของเธอเท่านั้น
“ชานยอลคะ”
“...”
“ฉันกับลูก...เราตายไปแล้วนะ”
โฮจอง...
“คนที่จะอยู่กับคุณคือพวกเขา...ไม่ใช่ฉัน” แววตาของเธอที่กำลังมองคนรักเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเวทนา มันทำให้ปาร์คชานยอลนึกไปถึงวันนั้นก่อนที่เธอจะจากเขาไป
“...”
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...คุณต้องอยู่ต่อไปนะคะ” น้ำเสียงเธอกำลังสั่น ที่ไหลอาบแก้มไม่ใช่เลือดสีสดเหมือนก่อนหน้านี้แต่มันคือน้ำตาและเขาเองก็เช่นกัน
หัวใจของเขากำลังเจ็บปวดกับเรื่องที่เธอพูด ความเจ็บปวดที่กัดกินมานานตลอดเวลาหลายเดือนมันไม่เคยจางหายไปไหนเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาปาร์คชานยอลแค่ทำเป็นลืมมันไป แต่ยิ่งพยายามลืมเท่าไหร่เขาก็ยิ่งนึกถึงมากเท่านั้น
ความรู้สึกที่มีต่อแบคฮยอนมันเริ่มต้นจากติดลบและค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว เพียงแค่รู้ว่าเด็กคนนั้นกำลังมีอันตรายเขาก็กระวนกระวายจนแทบอยู่ไม่ได้แล้ว เคยคิดที่จะเริ่มต้นใหม่แต่ความกลัวมากมายกลับบอกให้เขาหยุดอยู่แค่นั้น
ในสถานการณ์ปัจจุบันมันเป็นเรื่องยากที่จะคิดแต่เรื่องความรัก การกินอยู่และการรับผิดชอบชีวิตคนอื่น ๆ ในตอนที่อี้ฟานจากไปมันคือแรงกดดันแรกที่เขาคิดว่ามันหนักหนาสาหัสที่สุด มันอาจผิดที่เขาขี้ขลาดตัดช่องน้อยแต่พอตัวและทิ้งทุกคนไว้ข้างหลังหนีออกไปอยู่ตามลำพัง ใช่ว่าทางที่เลือกจะมีความสุขกว่าที่เป็นอยู่ จริง ๆ แล้วแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าความสุขมันหน้าตาเป็นยังไง แรงกดดันที่สองคือครอบครัวของโซจีซบ เหมือนโชคชะตาเล่นตลกที่พาครอบครัวนั้นมาเจอเขา หลุมความทรงจำที่เคยขุดเอาไว้กลับถูกขุดขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่ตั้งใจ
ความกลัวที่ปาร์คชานยอลหลีกเลี่ยงมาตลอดแท้จริงแล้วเขาไม่เคยหนีพ้นเลย ทั้งที่รู้ดีว่ารู้สึกยังไงกับแบคฮยอนแต่เขากลับทำสวนทางทุกอย่าง เพียงแค่คิดว่าไม่อยากให้เด็กคนนั้นมาจมปลักอยู่กับผู้ชายขี้แพ้อย่างเขา ปาร์คชานยอลไม่มีทางทำให้บยอนแบคฮยอนมีความสุขได้เพราะความกลัวต่าง ๆ นานาซึ่งเป็นเหตุผลมากพอที่จะยกขึ้นมาอ้างให้เขาหลีกหนีความรู้สึกของตัวเอง
แต่ยิ่งอยู่ห่างก็ยิ่งคิดถึง ครั้งแรกที่เห็นแบคฮยอนอีกครั้งหัวใจของเขาก็เต้นแรงอย่างน่าประหลาด สีหน้าสิ้นหวังของแบคฮยอนตอนพบกับความว่างเปล่าในมินิมาร์ทที่เขาอาศัยอยู่มันทำให้เขาไม่ลังเลที่จะเก็บอาหารที่มีทั้งหมดใส่ในกระเป๋าเป้แล้วแอบเอาไปวางไว้ข้างนอก
อีกครั้งคือตอนที่ทุกคนพร้อมใจกันไปช่วยอี้ฟาน พอมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันตามลำพังความพยายามทุกอย่างก็พังไม่มีเหลือเพียงแค่ได้ยินคำตัดพ้อของแบคฮยอน แม้แต่ในวินาทีนั้นความคิดในหัวของเขาก็ยังต่อสู้กันไม่หยุด สุดท้ายความต้องการเบื้องลึกก็เอาชนะทุกอย่าง
และนั่นทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น...
ชานยอลลืมตาขึ้นมาแต่ภาพที่เห็นในตอนนี้กลับไม่ใช่ภรรยาในชุดผ้ากันเปื้อนหรือชุดเจ้าสาวแต่กลับเป็นร่างใครคนหนึ่งที่อยู่ใต้ร่าง วินาทีนี้มีเพียงแค่เสียงหอบหายใจประสานกับเสียงโต๊ะไม้ที่เคลื่อนไหวไปตามแรงส่ง ใบหน้าชุ่มไปด้วยน้ำฝนปะปนกับน้ำตาคือสิ่งเดียวที่มองเห็นในตอนนี้ แววตาของแบคฮยอนที่มองมาทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีใครรู้ว่าปาร์คชานยอลรู้สึกยังไงภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยนี้ สองมือค่อย ๆ เอื้อมขึ้นมาทาบลงบนแก้มสากของร่างสูงก่อนจะกระพริบตาอีกครั้งเพื่อปล่อยให้หยดน้ำตาไหลลงมาตามหางตากับเสียงกระซิบแผ่วเบาที่พูดไป...ตามความรู้สึกที่มีต่อคนตรงหน้า
“ผมรักคุณครับ...ชานยอล”
เฮือกก!!!
ร่างสูงสะดุ้งตื่นในทันทีก่อนจะตะเกียกตะกายเปิดประตูรถจนล้มลงไปกับกองหิมะขาวโพลน เขาคลานออกมาจากตรงนั้นได้ไม่ไกลนักก็อาเจียนออกมา น้ำย่อยเหนียวหยดลงบนหิมะเพราะในท้องนั้นว่างเปล่า นัยน์ตาแดงก่ำก่อนที่หยดน้ำใสจะออกมากับความทรมานที่เป็นอยู่ ใช้หลังมือปาดริมฝีปากก่อนจะพยุงร่างตัวเองลุกขึ้นเดินกลับไปอย่างทุลักทุเล
แผ่นหลังกว้างพิงกับประตูรถแล้วทรุดนั่งลงกับพื้นหิมะอย่างเหนื่อยอ่อน บางทีเขาควรจะชินกับฝันร้ายที่เขาพบเจอนับครั้งไม่ถ้วนทุกทีที่หลับฝัน เรื่องเมื่อครู่กับสิ่งที่เขาเพิ่งพบเจอเมื่อชั่วโมงที่แล้วมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง แบคฮยอนในฝันยังคงบอกว่ารักในขณะที่ความจริงนั้นเปลี่ยนไปแล้ว ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่ต้องการมาตลอดแต่พอแบคฮยอนถอยจริง ๆ เขากลับรู้สึกแย่ หยดน้ำตายังคงคลออยู่ราวกับว่าความฝันเมื่อครู่มันเกิดขึ้นจริง แต่ความฝันคงไม่มีทางเป็นเรื่องจริงได้ เมื่อความจริงที่ปาร์คชานยอลพบเจอก็คือ...
ต่อไปนี้เขาจะไม่มีบยอนแบคฮยอนในชีวิตอีกแล้ว...
“แท่นแท๊นนนนนนนนนน”
เสียงแสบแก้วหูของผู้มาใหม่ทำให้คนที่จมอยู่กับความเศร้าหันไปมองประตูบ้าน แบคฮยอนขมวดคิ้วมองเด็กสาวที่กำลังเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ เขาพร้อมกับข้าวสองถ้วยและกับข้าวหนึ่งจาน
“ไง หอมอ่ะดิ” อึนจีว่าแล้วยกจานกับข้าวล่อจมูกเขา
“กลับมานานแล้วเหรอ”
“ก็นานพอที่จะลอกหนังหมูป่าแล้วเอาไปผัดเผ็ดได้อ่ะ” อึนจีว่าแล้วเปิดฝาถ้วยข้าวพร้อมกับตักให้พอดีคำ “อ้าปากเร็ว”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันกินเอง” ถึงจะรู้สึกดีที่ถูกใส่ใจแต่เขาก็ยังยิ้มให้อึนจีไม่ได้เสียทีเดียว เด็กสาวไม่ได้ล้มเลิกความตั้งใจหนำซ้ำยังยื่นช้อนเข้าไปใกล้ปากอีกคนยิ่งกว่าเดิมอีก
“บอกว่าอ้าปากไงเล่า”
“ฉันแค่ขาเจ็บ มือยังใช้งานได้อยู่”
“เออ งั้นกินไปเลยไป” อึนจีย่นจมูกแล้วยื่นถ้วยข้าวให้อีกคนก่อนจะเอาถ้วยข้าวของตัวเองมาเปิดฝา “ให้ทายว่าใครเป็นคนยิงหมูป่าได้”
“...”
“เฮ้ยอย่าเงียบดิ ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกน่าอุบัติเหตุมันเกิดได้ทุกที่” เด็กสาวตบบ่าเพื่อนปุ ๆ เป็นเชิงปลอบใจ “วันหลังไปล่าด้วยกันใหม่ก็ได้ อย่าคิดมาก” เธอหัวเราะ
จะว่าคิดมากเรื่องช่วยคนอื่นไม่ได้ก็คงไม่ถูกทั้งหมด เพราะสิ่งที่ทำให้บยอนแบคฮยอนเคว้งคว้างในตอนนี้คือคำพูดและการกระทำของผู้ชายคนนั้นเสียส่วนใหญ่ เด็กหนุ่มฝืนยิ้มก่อนจะมองข้าวในถ้วยที่อีกคนตักกับข้าวให้
“ทายมาเร็ว”
“เธอเหรอ?”
“โห! เก่งอ่ะ!” อึนจีวางถ้วยข้าวแล้วปรบมือแปะ ๆ แบคฮยอนหลุดขำออกมาอย่างไม่รู้ตัวกับท่าทางดีใจเกินจริงของคนข้าง ๆ ก็เล่นถามมาแบบนี้เดาไม่ถูกก็แย่แล้ว “ฉันง้างธนูท่านี้นะแล้วยิงแข่งกับพวกไอ้เจ๊ก แต่ก็นะ...ผู้ชายก็ไม่ได้เก่งทุกอย่างเสมอไปหรอก”
“คนอื่น ๆ ล่ะ”
“กินข้าวกันอยู่บ้านอีกหลัง ตอนแรกคุณอี้ฟานว่าจะมาช่วยพยุงนายไปกินด้วยกันแต่ไอ้เจ๊กชิงเต่ามันไล่ฉันมากินเป็นเพื่อนนายอ่ะดิ” เด็กสาวบ่นอุบอิบ
“ขอโทษนะ กินกับฉันสองคนคงน่าเบื่อแย่” แบคฮยอนรู้สึกผิดขึ้นมากับสิ่งที่ได้ฟัง เป็นอีกครั้งที่เขาคิดว่าตัวเองเป็นภาระของทุกคน
“ล้อเล่นย่ะ” อึนจีหัวเราะ “กะแล้วว่านายต้องหงอยเป็นหมาเหงาแบบนี้” เด็กสาวยีหัวคนข้าง ๆ อย่างเอ็นดูก่อนจะหันมาตักข้าวคำใหญ่เข้าปาก “รู้ไหมว่ากว่าจะลอกขนหมูป่าได้ต้องทำยังไงบ้าง”
“เคี้ยวให้หมดก่อนเถอะน่า” แบคฮยอนยิ้มขำแล้วเขี่ยเอาเศษข้าวที่ติดอยู่ตรงมุมปากอีกคนออก อึนจีไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจอะไรหนำซ้ำยังรับข้าวเม็ดนั้นมากินต่อได้อย่างหน้าเฉยอีกด้วย
“ตอนแรกไม่มีใครรู้เลยนะ คิดว่ามันคงแย่แน่ ๆ ถ้าเกิดต้องกินมันทั้งขนพรึ่บพรั่บแบบนั้นแต่คุณอี้ฟานเป็นคนชี้ทางสว่างให้ นายน่าจะเห็นตอนนั้นอ่ะ รอบตัวเขาเหมือนมีออร่าสีขาวแผ่ซ่านไปทั่วเลย” เด็กสาววาดมือประกอบให้อีกคนเห็นภาพ แบคฮยอนหัวเราะแล้วตักผัดเผ็ดหมูป่ากิน มันคือเนื้อสัตว์ที่เขาได้ลิ้มลองครั้งแรกตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา “มันต้องมีผู้ช่วยด้วยนะ คนนึงราดน้ำร้อนส่วนอีกคนก็ค่อย ๆ ลอกขนออก”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”
“อร่อยเนอะ” อึนจียิ้มตาหยีแล้วตักข้าวคำใหญ่ใส่ปากอีกครั้ง แบคฮยอนพยักหน้ารับแล้วมองอีกคนที่กำลังเคี้ยวข้าวซึ่งอัดแน่นเต็มกระพุ้งแก้ม
จะว่าไปแล้วผู้หญิงคนล่าสุดที่เขาใช้เวลาจ้องหน้าเธอนานเกินหนึ่งนาทีก็ตอนที่อยู่ ม.ปลายปีหนึ่ง เธอคนนั้นเป็นหัวหน้าห้องที่เก่งในทุก ๆ ด้าน แต่เขาทำได้แค่แอบมองเธอโดยที่ไม่คิดจะสารภาพรักออกไปเพราะรู้คำตอบดีอยู่แล้วว่ายังไงก็คงอกหัก
ปาร์คชานยอลคือความรักที่เกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เขาตัดใจจากผู้หญิงคนนั้น จู่ ๆ ความคิดแปลก ๆ ก็ผุดเข้ามาในหัว มันคือคำถามว่าทำไมเขาถึงไม่ได้มองจองอึนจีในเชิงชู้สาวตั้งแต่แรก?
คำตอบก็คือเพราะตอนนั้นเขาชอบปาร์คชานยอลแล้วยังไงล่ะ แต่ในตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วและคิดว่ามันควรจะกลับเข้าสู่ความถูกต้องเสียที ซึ่งบยอนแบคฮยอนก็ไม่รู้หรอกว่ามันถูกต้องสำหรับเขาหรือว่าถูกต้องสำหรับใคร
แต่สิ่งที่รู้ในตอนนี้คือ...เขากำลังมองจองอึนจีเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว
“นายควรดีใจนะที่ได้กินข้าวสองต่อสองกับเด็กผู้หญิงน่ารัก ๆ อย่างฉัน”
“ใช่ ฉันควรจะดีใจ” คำตอบของแบคฮยอนทำเอาเด็กสาวชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะระเบิดหัวเราะออกมาอย่างไม่อายใคร
“วะวะวะว๊าววว” อึนจีตบบ่าอีกคนรัว ๆ ทั้งที่ยังหัวเราะอยู่อย่างนั้นและเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าควรหยุดหัวเราะเมื่อไหร่
“เธอเคยมีแฟนไหม”
“หยาบคายละ”
“ไม่เคยล่ะสิ”
“เออ แล้วนายเคยมีหรือไง?” เด็กสาวหรี่ตามองคนข้าง ๆ แล้วกินข้าวต่อ แบคฮยอนยิ้มขำแล้ววางถ้วยข้าวลง
“ไม่เคย” คำตอบของเขาทำให้คนข้าง ๆ ยิ้มออกมาอย่างพอใจ “แล้วเธอชอบผู้ชายแบบไหน”
“อ่อนโยน มีลักยิ้ม สุภาพแบบอี้ชิงโอป้าอ่ะ นั่นแหละใช่ เขาเกิดมาเพื่อคู่กับฉันโดยเนื้อแท้” เด็กสาวยิ้มเหม่อลอย
“เธอชอบอี้ชิงจริง ๆ เหรอ?” อึนจีหันไปมองคนข้าง ๆ อย่างประหลาดใจ ไม่เคยมีใครถามเธออย่างเป็นจริงเป็นจังสักครั้งว่ารู้สึกยังไงกับหนุ่มชาวจีนคนนั้น
“อี้ชิงโอป้าคือผู้ชายในฝันแต่เขาคงไม่สนใจฉันหรอก ทุกวันนี้ก็แซวเล่นไปงั้น ก็โอป้าเขาน่ารักอ่ะ” เด็กสาวพูดเสียงอู้อี้ แต่คำตอบนี้ทำเอาเด็กหนุ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“แล้วถ้ามีผู้ชายคนนึงเขาไม่มีลักยิ้ม พูดภาษาจีนไม่ได้ ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้เรื่อง ความสุภาพก็พอมีแต่เขาชอบเธอ เธอจะคิดยังไง?”
“เหอ...นายกำลังพูดถึงจงอินเหรอ...” อึนจีพูดเบา ๆ พลางกลอกตาไปรอบข้างอย่างหวาดระแวง แบคฮยอนหัวเราะก่อนทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ความเงียบ
“เปล่าหรอก ที่พูดน่ะ...มันหมายถึงตัวฉันต่างหาก”
TBC
อาฟ...เตอร์...ช็อกกกกก....
บายจ้า โดนด่ากันสนุกอ่ะตอนนี้ฉันมั่นใจ 55555555555555555555555
#โชคดีนะแบค #ชานยอลคระ ใครน่าสงสุด
ความคิดเห็น