คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #59 : Chapter 55 :: Stay
Chapter 55
Stay
บิดกุญแจแล้วเดินลงจากรถก่อนจะกวาดสายตาไปรอบ ๆ ตัว ต้นไม้และโขดหินไม่เว้นแม้แต่บันไดทางเดินขึ้นภูเขาต่างถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ร่างหนาเปิดประตูหลังแล้วเอาไรเฟิลออกมาถือไว้ก่อนจะหันไปพยักหน้าบอกให้อีกคนเดินตามมา
“เรามาทำอะไรที่นี่เหรอครับ”
“ถึงจะใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงในการเดินสำรวจแต่นายก็รู้ใช่ไหมว่าป่ามันกว้างมาก”
“คุณคิดว่ายังมีลิงหลงเหลืออยู่เหรอ” เซฮุนถามพลางมองไปรอบ ๆ ตัว รอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้ บนพื้นที่เหยียบอยู่ก็ทำด้วยแผ่นไม้
“ไม่รู้สิ อย่างน้อยก็อยากดูอีกรอบให้สบายใจ” ถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันกลับไปหาคนที่เดินตามมาติด ๆ “แต่ที่ชวนมาด้วยกันเพราะฉันเห็นว่านายทำหน้าเหมือนไม่อยากให้ฉันออกไปไหน”
“โห...” เซฮุนหรี่ตามองคนตรงหน้าที่หลุดหัวเราะออกมากับคำพูดของตัวเอง “ผมเพิ่งรู้ตอนนี้แหละว่าผลข้างเคียงของยาสลบมันทำให้คนเราหลงตัวเองมากขึ้น”
“หรือจะบอกว่าไม่?”
“ถ้าคุณตอบว่า ‘ที่พานายมาด้วยกันก็เพราะว่าฉันคิดถึงนายเกินไป’ แล้วผมจะยอมรับครับ” คำพูดของเซฮุนทำให้คนที่เดินนำหยุดกึก ใบหน้าคมเอี้ยวหันกลับไปมองอีกคนแล้วก็นะ...
เด็กคนนี้นี่...
“ป่วยแล้วยอกย้อนเหรอ?”
“ถ้าป่วยก็ต้องนอนพักสิครับ อีกอย่าง...คนแถวนี้คงไม่เห็นด้วยถ้าผมจะออกไปไหนมาไหนในสภาพไม่เต็มร้อย” พูดอีกก็ถูกอีก นั่นเป็นเรื่องที่คิมจงอินชั่งใจอยู่นานว่าจะเอายังไงดี อยากอยู่ด้วยก็อยากแต่ก็กลัวเซฮุนยังไม่หายดี แล้วสุดท้ายเป็นไง...ก็ลากมาด้วยกันจนได้
“หยุดเถียง” เขี่ยปลายจมูกรั้นทีนึงแล้วหันหลังกลับ ก้าวขาไปไม่ถึงสองก้าวก็เซไปข้างหน้าเมื่อจู่ ๆ เซฮุนก็กระโดดขึ้นมาขี่หลังเขาเสียอย่างนั้น “เฮ้?”
“หนักเหรอครับ”
“ที่สุดในโลกอ่ะ ไปแอบกินช้างมาหรือไง” คนถูกถามยิ้มแล้วพยักหน้ารับพร้อมกับกระชับวงแขนโอบกอดคออีกคนไว้
“อย่าไปบอกคุณจงแดนะครับ...” จงอินยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนจะยิ้มออกมาแน่นอนว่าเซฮุนคงไม่มีทางเห็นสีหน้าเขาในตอนนี้
“อย่างกับลิง”
“ถ้าผมเป็นลิงก็ต้องกัดคุณแล้ว”
“ก็เคยกัดแล้วไม่ใช่เหรอ?” เอี้ยวหน้าหันไปสบตากับคนที่อยู่ข้างหลังพร้อมกับยิ้มมีเลศนัย “ทั้งกัด...ทั้งข่วน”
“...” พูดอะไรไม่ออก ตอนนี้โอเซฮุนเหมือนไข้จะกลับเพราะจู่ ๆ ก็รู้สึกร้อนไปทั้งหน้าจนถึงใบหูกับประโยคเมื่อครู่
“อ้าวอี้ฟาน มาได้ยังไงน่ะ?”
ตุ่บ!
เด็กหนุ่มรีบกระโดดลงจากหลังแล้วปั้นหน้าให้เป็นปกติ ท่าทางเลิกลั่กตอนมองหาบุคคลที่สามมันทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้จริง ๆ
“ล้อเล่นน่ะ” จงอินหัวเราะกับสีหน้าของอีกคน ถึงจะได้ยินกับปากแล้วว่าถูกแกล้งแต่เซฮุนก็ยังหันหลังกลับไปอีกครั้งเพื่อสำรวจให้แน่ใจ
“ถ้าอี้ฟานมาจริง ๆ ผมจะบอกเขาว่ายังไงดีล่ะ” สีหน้าของเซฮุนในตอนนี้ดูเป็นกังวลมาก แน่นอนว่าเรื่องของเขาสองคนมันเป็นความลับมาตลอดและคนที่รู้เรื่องก็มีแค่ลู่หานเท่านั้น ตอนแรกก็กลัวว่าคนอื่นจะรู้เรื่องระหว่างเขากับจงอิน แต่พอมาคิด ๆ ดูว่าการที่ผู้ชายสองคนอยู่ด้วยกันบ่อย ๆ มันก็คงไม่น่าสงสัยเท่าชายหญิงอยู่ด้วยกัน
“ฉันจะบอกให้เขากลับไปซะ” จงอินพูดอย่างไม่ยี่หระ ร่างบางหลุบสายตาลงมองมือหนาที่ยื่นออกมาหาเขาก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ฉันคงแบกนายขึ้นเขาไม่ไหว แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นจับมือทั้งวันก็ยังได้ถ้านายไม่อายไปก่อนน่ะ”
“...”
แม้จะไม่ได้ยิ้มออกมาแต่ก็พอจะรู้ว่าตอนนี้หน้าของเขามันกำลังแดงแน่ ๆ เซฮุนเอื้อมมือไปจับมืออีกคนเอาไว้ก่อนจะเดินไปข้างหน้าด้วยกัน ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น จะว่าไปแล้วโอเซฮุนก็รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้อยู่กับผู้ชายคนนี้ แต่การได้เดินจับมือกันอยู่ด้วยกันตามลำพัง มันก็ทำให้แทบลืมไปชั่วขณะว่าโลกนี้มันน่ากลัวแค่ไหน
ในอินเตอร์เน็ตมีประโยคหนึ่งที่เคยทำให้เขาหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วนั่งอ่านประโยคเดิม ๆ อยู่หลายนาทีกว่าจะเข้าใจความหมายนั้น แต่เขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่า ‘ช่องว่างระหว่างนิ้วมือถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ใครอีกคนมาเติมเต็ม’ มันเป็นยังไง
มือของเขากับจงอินมีขนาดเท่า ๆ กันแต่น่าแปลกที่มือของผู้ชายคนนี้ทำให้เขารู้สึกตัวเล็กลงทุกครั้งเพียงแค่นิ้วมือเริ่มสอดประสานกัน ใบหน้าเรียบเฉยที่ถ้ามองผ่าน ๆ ก็คงไม่มีอะไรน่าสนใจแต่โอเซฮุนกลับรู้สึกดีที่คิมจงอินเป็นแบบนี้
ชอบตอนที่จงอินมองเขาด้วยแววตาแบบนั้น
ชอบตอนที่จงอินแสดงออกว่ารู้สึกยังไงแทนที่จะพูดด้วยคำพูดหวาน ๆ
ชอบตอนที่จงอินหลุดหัวเราะออกมาและสาเหตุที่เกิดขึ้นก็เพราะเขา
จากตอนแรกก็แค่ชอบ...จนตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นความรักไปแล้ว...
‘ผมรักคุณ’
มันเป็นความในใจที่เขาไม่กล้าพูดออกมา ไม่ใช่กลัวว่าจงอินจะปฏิเสธความรู้สึก แต่บางทีคำว่า ‘รัก’ มันไม่จำเป็นต้องพูดเสมอไป ใช่ว่ามันไม่สำคัญแต่การที่เขาได้อยู่ด้วยกันทุกวันและซึมซับความรู้สึกที่อีกฝ่ายมอบให้มันก็เพียงพอแล้ว
อีกอย่าง...เขากับจงอินคงทำตัวไม่ถูกหากว่าใครคนหนึ่งพูดคำว่า ‘รัก’ ขึ้นมา
ระหว่างทางมันเงียบเชียบราวกับว่าที่นี่ไม่มีสัตว์ชนิดไหนอาศัยอยู่เลย มีเพียงแค่เสียงฝีเท้าของเขาทั้งสองที่ย่ำบนหิมะจนทางที่เดินผ่านมาเต็มไปด้วยรอยเท้า ควันสีขาวพ่นออกจากปากทุกครั้งที่หายใจเข้าออกบ่งบอกได้ถึงสภาพอากาศในปัจจุบัน แต่...โอเซฮุนกลับไม่ได้รู้สึกหนาวขนาดนั้น
เพราะตอนนี้มือของเขากำลังเข้าไปอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ทของจงอินแล้ว...
“ยิ้มอะไร” คนถูกถามส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะเม้มปาก แต่สุดท้ายก็หลุดยิ้มออกมาอยู่ดี มันเป็นเรื่องยากจริง ๆ กับการกลั้นยิ้มในตอนที่มีความสุข จงอินมองคนข้าง ๆ แล้วก็ปั้นหน้านิ่ง ก็รู้หรอกว่าสิ่งที่ทำอยู่มันแปลก ๆ แต่ก็อยากทำ
“คุณเคยทำแบบนี้กับสาว ๆ เหรอครับ”
“เปล่า” จงอินทำเป็นไม่รู้สึกอะไรกับคำถามนี้ เขายังคงมองไปข้างหน้าและรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องอยู่ “เคยเห็นในละคร”
“ไม่ยักรู้ว่าคุณดูละครด้วย”
“ก็ไม่ได้ชอบหรอก ที่ร้านต๊อกเปิดเลยดูผ่าน ๆ ” เอะอะโทษร้านต๊อกไว้ก่อน เซฮุนยิ้มขำแล้วกระชับมือที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อแน่นยิ่งขึ้น “แล้วมันไม่อุ่นขึ้นหรือไง?”
“อุ่นครับ” รู้สึกเมื่อยแก้มอย่างบอกไม่ถูก จงอินก็เป็นเสียอย่างนี้ “ส่วนใหญ่หนังรักต้องมีฉากนี้ ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นตัวละครรู้สึกยังไง”
“...”
“แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วนะ” ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก เขารู้สึกได้ถึงปลายนิ้วที่กำลังคลึงหลังมือเขา โอเซฮุนไม่ได้ต้องการมากไปกว่านี้ ไม่ต้องถึงกับเข้ามากอดแล้วปิดท้ายด้วยการจูบหวาน ๆ ก็ได้เพราะที่เป็นอยู่ก็มันก็ดีมากแล้ว
ขายาวหยุดยืนอยู่ตรงนั้นเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงที่หมาย พื้นที่เหยียบอยู่เป็นก้อนหินใหญ่ที่ยื่นออกไปข้างนอก ภาพเบื้องหน้าคือวิวทิวทัศน์ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว ทั้งท้องฟ้า ก้อนเมฆและป่าไม้...ทุกอย่างดูกลืนกันแต่ก็ยังสวยงามอยู่ดี
“ที่นี่สงบมากจนวูบหนึ่งผมแทบลืมไปเลยว่าโลกภายนอกเป็นยังไง” โลกที่เต็มไปด้วยผีดิบ ผู้คนที่เหลือรอดชีวิตเปลี่ยนไปอย่างน่าหดหู่ ไม่มีคำว่าอารยธรรม ไม่มีจิตใต้สำนึก ไม่มีความเมตตาปรานี ความหิวโหยเป็นแรงกดดันให้ผู้คนเข่นฆ่ากันเพื่อแย่งชิงในสิ่งที่ต้องการ
“แต่เราอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้”
“ครับ”
“เหมือนกับทุกครั้งที่เราต้องย้ายไปเรื่อย ๆ” ร่างหนาทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า ถ้าถามว่ากำลังสิ้นหวังเหรอเขาคงตอบว่าใช่ แต่ความรู้สึกที่เป็นอยู่ในตอนนี้มันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น
“ตอนหิมะละลายที่นี่คงสวยมากเลยนะครับ” เด็กหนุ่มพูดทั้งที่ยังคงมองไปยังเบื้องหน้า “คุณชอบตอนไหนมากกว่าระหว่างตอนดวงอาทิตย์ขึ้นกับดวงอาทิตย์ตก”
“ไม่รู้สิ ฉันไม่เคยดูอะไรแบบนั้นหรอก” ร่างบางหันหน้าเข้าหาอีกคนแล้วยิ้มบาง ๆ
“งั้นวันหลังเราขึ้นมาดูด้วยกันดีไหมครับ?” จงอินมองคนข้าง ๆ ที่ดูเหมือนกำลังเรียบเรียงคำพูดในหัวอยู่ “จะตอนเช้าหรือตอนเย็นก็ได้ถ้าคุณอยากดู”
“น่าสนใจเหมือนกันนะ” จงอินยิ้มแล้วคลายมืออีกคนที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ทออกก่อนจะหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย
“ดวงอาทิตย์น่ะเหรอครับ?”
“เปล่า” เด็กหนุ่มได้เพียงแค่มองอีกฝ่ายที่กำลังจ้องเขาด้วยแววตาแบบนั้น...แววตาที่เขาตกหลุมรัก
“ฉันหมายถึงนาย...โอเซฮุน”
คืนวันนั้นทุกคนนั่งรอบกองไฟกันอยู่ฝั่งตรงข้ามที่พัก แต่ละคนต่างมีเสื้อกันหนาวหรือผ้าห่มผืนบางเป็นของตัวเอง บางคนยื่นมือทั้งสองข้างออกมาผิงไฟเพื่อรับไออุ่นแต่มีเพียงแค่ชานยอลที่ขอแยกตัวไปพักผ่อนก่อนและคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ไม่ใช่ว่าไม่รู้ พวกเขาต่างดูออกว่าปาร์คชานยอลเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ถึงจะเป็นห่วงแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากคอยดูอยู่ห่าง ๆ
“เข้าบ้านได้แล้วจ้ะเดี๋ยวจะเป็นหวัด” ครูสาวบอกและเหล่าเด็ก ๆ ก็พยักหน้า
“หนูไปนั่งเล่นบ้านคยองซูก่อนได้ไหมคะครู?” เด็กสาวที่ยืนอยู่กับเพื่อน ๆ อายุรุ่นเดียวกันกล่าวขออนุญาตแล้วครูสาวก็พยักหน้าตกลง เด็กทั้งหกคนเดินเข้าไปในบ้านที่คยองซูพักอยู่หลังจากเริ่มบทสนทนาเรื่องน่าสนใจไปได้แค่นิดเดียวและเรื่องนั้นก็ไม่พ้นเรื่องผี พอเห็นเด็ก ๆ เข้าบ้านไปแล้วผู้ใหญ่ที่เหลือก็กลับเข้าสู่ความเงียบ
“ในเมื่อปักหลักอยู่ที่นี่แล้ว ไม่ว่าจะแค่หนึ่งอาทิตย์หรือยาวไปเป็นเดือนเราก็ต้องออกไปหาเสบียงและข้าวของเครื่องใช้จำเป็นมาเพิ่ม” ทุกคนเห็นด้วยกับความเห็นของอี้ฟาน
“ก่อนหน้านี้พวกคุณอยู่กันยังไง” จงแดถามเพราะจากที่เห็นคนกลุ่มนี้สามารถเอาตัวรอดและจัดการกับพวกติดเชื้อได้อย่างง่ายดายถ้าเทียบกับเขา
“ออกไปหาตามมินิมาร์ท ห้างสรรพสินค้าไปจนถึงบ้านคน” ลู่หานตอบ
“พวกคุณทุกคนรอดมาได้กันหมดเลยเหรอ”
“เปล่า” เสียงของจงอินเรียกความสนใจจากทุกคนที่นั่งอยู่รอบกองไฟ “เราเคยสูญเสียพี่น้องไปในวันออกไปหาเสบียง” เพียงแค่นี้ก็ทำให้นึกถึงใครคนหนึ่งที่จากไปนานมากแล้ว ผู้ชายคนนั้นที่เคยปกป้องน้องชายของตัวเอง บยอนแบคโฮ...เขาเป็นคนมีความกล้าแม้ว่าจะไม่ดีเด่นทางเรื่องป้องกันตัวเลยก็ตาม
“ผมเสียใจด้วยนะ”
“เขาอยู่ในความทรงจำของพวกเราเสมอ” อี้ฟานยิ้ม แม้ว่าอี้ชิงกับกาฮีจะไม่เข้าใจกับเรื่องที่จงอินพูดแต่ถ้าถามเรื่องความรู้สึกหลังการสูญเสีย แน่นอนว่าเธอเกือบสติแตกตอนที่เห็นนักเรียนถูกกัดตายต่อหน้าต่อตาถึงสามครั้ง
ครั้งแรกตอนวันเกิดเหตุ...
ครั้งที่สองตอนเชื้อระบาดและไม่สามารถหาสาเหตุที่เกิดขึ้นได้ เธอสูญเสียครูห้องพยาบาลที่ได้ชื่อว่าเป็นคนสนิทและนักเรียนในการปกครองไปเกือบครึ่ง
และครั้งสุดท้าย...ตอนที่ประตูหลังโรงเรียนพังโดยไม่รู้ตัว...
“แล้วนายล่ะ เอาตัวรอดมาถึงทุกวันนี้ได้ยังไง” คำถามของจงอินเป็นคำถามเดียวที่คนอื่น ๆ ก็อยากรู้เช่นกัน เจ้าหน้าที่หนุ่มมองเปลวไฟที่กำลังมอดไหม้ท่อนไม้แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับร่างหนา
“จะเรียกว่าเอาตัวรอดก็คงไม่ถูก” จงแดเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเมื่อนึกไปถึงเรื่องราววันนั้น “หลังจากปิดประตูทางเข้าได้ผมก็นั่งสติหลุดอยู่นานเป็นวันโดยที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยและสุดท้ายผมก็คิดได้ว่าควรทำอะไรสักอย่าง ผมถือปืนยิงยาสลบติดมือไปด้วยเพราะคิดว่ามันคงช่วยอะไรผมได้แล้วมันก็ได้ใช้งานจริง ๆ ผมยิงหมีเพื่อป้องกันตัวแต่นั่นก็แค่ทำให้มันสลบไปแค่ช่วงเวลาหนึ่ง”
“...”
“ผมหยุดที่ริมธาร...กวักน้ำล้างหน้าเรียกสติแล้วดื่มน้ำเพื่อคลายความหิว ใช้เวลาอยู่ตรงนั้นแค่สิบห้านาทีเพื่อคิดว่าจะเอายังไงต่อไปก่อนจะย้อนกลับไปที่ประตูทางเข้าอีกครั้ง ข้างนอกเต็มไปด้วยพวกติดเชื้อ ผมลองยิงมันด้วยปืนยาสลบแต่ก็ไม่ได้ผล”
“...”
“ที่แย่กว่านั้นคือผมเห็นเพื่อนตัวเองกำลังกัดกินศพที่นอนตายอยู่บนถนน มันทำให้ผมรู้สึกแย่และท้อแท้ในชีวิต ผมได้แต่ถามตัวเองว่าจะเอายังไง มันเกิดอะไรขึ้น ข้างนอกยังมีคนรอดชีวิตอยู่ไหม ผมจะทำยังไงดี” สีหน้าของเจ้าหน้าที่หนุ่มในตอนนี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด “สุดท้ายผมก็กลับไปยังบ้านพักเจ้าหน้าที่แล้วกินอาหารสำเร็จรูปที่เคยซื้อมาตุนเอาไว้เผื่อตอนเข้าเวร ระหว่างกำลังกินก็คิดไปด้วยว่าจะเอายังไงกับชีวิต มันต้องมีคนจัดการเรื่องนี้สิ อาจจะเป็นทางรัฐบาลหรือกลุ่มทหาร พวกเขาต้องเข้ามาช่วยแน่ ๆ แต่ที่สำคัญคือผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปยังไงโดยไม่อดตายไปก่อน ซึ่งมันหมายความว่าผมต้องออกไปหาอาหารมาเพิ่ม”
ทุกคนนั่งเงียบตั้งใจฟังเรื่องราวของจงแดโดยที่อี้ฟานคอยหันไปอธิบายให้อี้ชิงฟังเป็นระยะ ชายหนุ่มที่เจอเรื่องราวในวันเกิดเหตุต่างไปจากคนอื่น ๆ ลู่หานใส่ฟืนเข้าไปในกองไฟ คงไม่ใช่เขาคนเดียวที่คิดว่าเรื่องที่จงแดเล่ามันคือความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ซึ่งเจ้าตัวก็น่าจะรู้ดีแต่ก็เลือกหลอกตัวเองต่อไป
“ผมขับรถเจ้าหน้าที่ออกไป ผ่านที่นี่...ถนนเส้นนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจอีกครั้งก็คือผู้คนต่างวิ่งไล่กัดกัน พออีกฝ่ายถูกกัดก็กลายเป็นอาหาร ผมขับผ่านไปทั้งที่กลัวจนแทบบ้า สุดท้ายก็ออกมาไปข้างนอกได้โดยที่ไม่ถูกกัด”
“พวกนักท่องเที่ยวที่เคยมาพักที่นี่น่ะเหรอ?” จงแดพยักหน้าเป็นคำตอบ
“ผมออกไปหาของกินในมินิมาร์ทใกล้ ๆ ในนั้นมีพนักงานคนหนึ่งถูกกัด เธอนอนจมกองเลือดและกำลังจะตาย เธอพูดกับผมว่า ‘ได้โปรดช่วยฉันด้วย...’ ผมยังจำสีหน้าเธอในตอนนั้นได้ติดตา แต่ยังไม่ทันไรเธอก็ขาดใจตายไปเสียก่อน ถึงจะอยากช่วยเธอมากแค่ไหนแต่ผมก็เป็นแค่เจ้าหน้าที่ประจำอุทยานไม่ใช่หมอที่จะยื้อชีวิตเธอเอาไว้ได้”
“แล้วคุณทำยังไงต่อคะ?”
“ผมเก็บของจำเป็นออกไปไว้ในรถให้เร็วที่สุด อะไรที่หยิบจับได้ ทั้งอาหารกระป๋อง บะหมี่สำเร็จรูป ข้าวสารไปจนถึงน้ำดื่ม แต่ขนไปได้ไม่เท่าไหร่ผมก็แทบเอาตัวไม่รอดเมื่อหันกลับมาอีกทีก็เห็นผู้หญิงคนนั้นลุกขึ้นยืน เธอพุ่งตรงเข้ามาพร้อมกับร้องเสียงดัง ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูกเลยได้แค่พังชั้นวางของเพื่อทำให้เธอเสียหลักก่อนจะวิ่งออกไปขึ้นรถ”
“...”
“ระหว่างทางไปมินิมาร์ทอีกร้าน ผมเห็นรถถัง รถทหารและศพจำนวนมากที่นอนตายเกลื่อนบนถนน สิ่งเดียวที่ทำให้ผมยิ้มได้ในวินาทีนั้นคือการเห็นคนยังมีชีวิตอยู่ รถหนึ่งคันที่จอดไม่ไกลจากตรงนี้ ข้างในนั้นมีผู้หญิงผมยาวกับเด็กพร้อมกระเป๋าเดินทางหลายใบที่ถูกมัดไว้อย่างดีบนหลังคารถ ผู้ชายร่างสูงใหญ่กำลังค่อย ๆ ย่องไปที่ท้ายรถทหาร เขาลองเตะศพในชุดลายพรางอยู่สองสามครั้งเพื่อให้แน่ใจแล้วค่อยยกกล่องลังลงมาไว้บนพื้น เขาเอามีดพกออกมางัดกล่องออก ผมเปิดประตูแล้วรีบวิ่งไปหาเขา เบื้องหน้ามีพวกติดเชื้ออยู่จำนวนหนึ่งและผมต้องไปถึงผู้ชายคนนั้นโดยที่ไม่ให้พวกมันรู้ตัว”
“คุณไม่กลัวเขาฆ่าคุณหรือคะ?”
“ตอนนั้นผมไม่ทันคิดและมันก็เป็นอย่างที่คุณถามนั่นแหละ พอผมไปถึงตัวเขาก็ต้องรีบยกมือขึ้นเหนือศีรษะเพราะเขาเล็งปืนมาทางนี้” จงแดทำท่าประกอบ “เขาไม่ยอมแบ่งปืนให้และคงไม่ดีแน่ถ้าเกิดผมไม่มีอาวุธป้องกันตัวเลย จากที่เห็นผู้ชายคนนั้นก็คงไม่เคยจับปืนมาก่อน มือของเขาสั่น เหงื่อแตกพลั่ก ๆ แต่ผมเองก็ไม่ได้ต่างจากเขานักหรอก เรื่องการใช้ปืนของผมจัดอยู่ในระดับเด็กอนุบาลมาก สุดท้ายผมเลยเสนอข้อแลกเปลี่ยนไปว่าถ้าเขายอมแบ่งปืนผมก็จะแบ่งอาหารให้เขากับครอบครัว”
“มันคืออาวุธทั้งหมดที่อยู่บ้านพักเหรอครับ?”
“ใช่ นั่นคือทั้งหมดที่ผมแลกมา” จงแดยิ้มบาง ๆ “เวลาผ่านไปไม่ถึงอาทิตย์ผมก็ลดอาหารลง จากสามเป็นสอง จะสองเป็นวันละมื้อเดียว ถ้าหิวก็ดื่มน้ำในลำธาร การรัดเข็มขัดแน่น ๆ ก็ช่วยคลายหิวได้เหมือนกัน”
“ทรหดน่าดู”
“ผมออกไปข้างนอกอีกครั้งเพราะจำได้ว่าละแวกนี้มีร้านขายเมล็ดพันธุ์พืชอยู่ ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ไม่มีพวกติดเชื้ออยู่ในนั้นสักตัว ผมได้เมล็ดพันธุ์กลับมาเยอะมาก ผมใช้เวลาขุดแปลงทั้งวันแล้วปลูกผัก พอมันโตขึ้นก็เก็บมาหมักเป็นกิมจิ อะไรก็ตามที่สามารถยืดชีวิตไปได้นาน ๆ ผมก็จะทำ...จนกว่าจะมีคนเข้ามาช่วยเหลือที่นี่”
คิมจงแด...
“งั้นพรุ่งนี้ฉันจะออกไปหาของมาเพิ่ม นายพอจะแนะนำว่าที่ไหนเสบียงเยอะ ที่ไหนไม่ควรไปได้ไหม?” จงอินยื่นแผนที่ให้อีกคนดู
“ผมขอเก็บไปทำเป็นการบ้านคืนนี้แล้วกัน” จงแดรับแผนที่มาพับเป็นสี่เหลี่ยมแล้วเก็บใส่กระเป๋า
อีกแล้ว...
กลิ่นนี้อีกแล้วเหรอ?
ร่างสูงลืมตาขึ้นหลังจากทนเหม็นกลิ่นคาวเลือดต่อไปไม่ไหว เบื้องหน้าเป็นถนนเส้นยาวที่รอบข้างเต็มไปด้วยตึกพาณิชย์ มันทั้งเก่าและสกปรกราวกับถูกละเลยมานานเกินสิบ ๆ ปี ท้องฟ้ามืดครึ้มไร้ก้อนเมฆ ความรู้สึกหดหู่ตีขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้หลังจากมองไปรอบ ๆ ตัว สองขาเดินไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบ ตอนนี้มีคำถามหนึ่งในหัวปาร์คชานยอลว่านายกำลังจะไปไหน?
หาทางออกจากที่นี่...
หรือตามหาใครสักคนในกลุ่ม...
หรืออะไรก็ตามที่ทำให้เขาหลุดพ้นจากความรู้สึกเคว้งคว้างในตอนนี้
“...”
สองขาหยุดกึกเมื่อเห็นเด็กสาวคนหนึ่งนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้น เธอกำลังลากชอร์กสีขาวไปตามพื้นเป็นวงกว้างอย่างตั้งอกตั้งใจ สองขาเล็กถอยหลังมาสองก้าวก่อนจะเริ่มกระโดดเข้าไปในช่องสี่เหลี่ยมเบี้ยว ๆ ที่เธอวาดไว้
เสียงรองเท้าเตาะแตะกับเสียงกระดิ่งข้อมือของเธอราวกับต้องมนต์สะกด...เขาไม่สามารถละสายตาไปได้เพียงแค่ได้ยินเสียงใสที่กำลังเพลิดเพลินกับการเล่นคนเดียว ริมฝีปากหยักยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหุบยิ้มลงเมื่อเด็กคนนั้นหันหน้ามา...
และหน้าของเธอแหว่งไปข้างหนึ่ง...
“พ่อ”
ศัพท์นามที่ถูกเรียกทำให้นัยน์ตาเบิกโพลง ใช่...ตอนนี้ปาร์คชานยอลกำลังช็อกและทำตัวไม่ถูก เด็กสาวคนนั้นยังคงมองมาทางนี้ก่อนที่มือเล็กจะค่อย ๆ คลายชอร์กทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ใยดี
แกร่ก...
เสียงคอหักจนได้ยินเสียงชัดเจนเต็มสูงหู เธอยังคงจ้องมาทางนี้ก่อนจะชักกระตุกแล้วกระอักเลือดสีสดออกมาจนเลอะปากและไหลลงเปรอะเสื้อผ้าไปหมด แววตาของเธอช่างน่ากลัวจนแทบทนมองต่อไปไม่ไหว ร่างสูงถอยหลังออกไปทีละก้าว ๆ
“พ่อ...”
ร่างสูงค่อย ๆ ส่ายหน้าราวกับจะปฏิเสธว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ใช่...มันไม่ใช่เรื่องจริง เธอจะเป็นลูกของเขาได้ยังไงกัน? เด็กคนนั้นกำลังเดินมาหาเขาทีละก้าว ชานยอลมองไปที่เด็กสาวคนนั้น
“ชานยอล!!!!!!!!!!!!!!!!!”
เสียงตะโกนจากที่สูงเรียกความสนใจจากคนที่กำลังโดนโจมตีทางความรู้สึกอย่างหนัก เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าตึก แสงสว่างจ้าสีขาวส่องลงมาจนต้องยกมือขึ้นป้องระดับสายตา ตรงนั้นต่างจากที่ ๆ เขายืนอยู่อย่างสิ้นเชิง ตรงนี้มันช่างหมองหม่นจนรู้สึกหดหู่ เห็นชายหนุ่มห้าคนยืนอยู่บนนั้นจากตอนแรกเห็นเป็นเงาดำแต่ไม่นานนักภาพก็ชัดเจนขึ้นในเวลาถัดมา อี้ฟาน จงอิน ลู่หาน เซฮุนหรือแม้กระทั่งแบคโฮ ชานยอลยังคงเรียกสติตัวเองกลับมาไม่ได้ เขาก้มหน้าลงแล้วก็แทบล้มทั้งยืนเมื่อตอนนี้รอบตัวเขาเต็มไปด้วยเด็กทารกผีดิบ
“ชานยอล!!!!!!!!!!!!!!!!!”
คราวนี้เป็นเสียงที่เขาคุ้นหูเป็นอย่างดี ร่างสูงเงยหน้าขึ้นแล้วก็เห็นแบคฮยอนกำลังโยนเชือกลงมาให้เขาก่อนที่คนอื่น ๆ จะเข้ามาช่วยดึงอีกแรง
“รีบปีนขึ้นมาเร็วเข้า!!”
เสียงของอี้ฟานนั้นเขาได้ยินชัดเจนดี ทุกคนต่างพยายามช่วยเขาที่กำลังถูกล้อมด้วยเหล่าผีดิบเด็กทารก ตอนนี้หัวใจมันเต้นแรงผิดปกติเพราะความหวาดกลัวที่กำลังคืบคลานเข้ามาทีละนิด...ทีละนิด ตอนนี้ที่ ๆ เขายืนอยู่คือหลุมใหญ่คล้ายกับหลุมอุกกาบาตที่เต็มไปด้วยเด็กทารก เด็กผู้หญิงที่เรียกเขาว่าพ่อเมื่อครู่หายไปไหนแล้ว? ร่างสูงหอบหายใจหนักพร้อมกับถอยหลังไปเรื่อย ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดาดฟ้าตึกเป็นระยะ เขาจะไปจากที่นี่ยังไง?
“คุณต้องฆ่าเขา!!!!”
คำสั่งของคนที่อยู่บนชั้นดาดฟ้าขัดกับความต้องการของปาร์คชานยอลเหลือเกิน สิ่งที่เขากลัวไม่กล้าลงมือทำก็คือการฆ่าเด็กที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไม่ว่าจะเป็นทารกหรือเด็กที่เริ่มเดินด้วยขาตัวเองได้แล้ว เสียงของคนเหล่านั้นกรอกเข้าหูประสานกับเสียงร้องโยเยของทารก...ความกดดันทำให้เขาแทบเป็นบ้าเดี๋ยวนั้น
“...”
ก้มลงมองขาตัวเองแล้วก็เห็นผีดิบทารกกำลังเกาะขาเขาเอาไว้ ริมฝีปากเล็กกำลังอ้าเตรียมพร้อมกัดแม้ว่าในโพรงปากจะไม่มีฟันเลยสักซี่เดียว ถ้าหากทารกเหล่านี้เปลี่ยนเป็นเหมือนพวกกินคนแล้วมันคงไม่ยากเกินความสามารถนักหากว่าจะแพร่เชื้อให้ใครสักคน
“ชานยอล!!!!!!!!!!!!!!!!!”
แรงกดดันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ร่างสูงก้มลงอุ้มเด็กทารกขึ้นมาด้วยสองมือก่อนจะมองร่างตรงหน้าที่กำลังพยายามดิ้นทุรนทุราย เสียงหวีดร้องดังลั่นจนแสบแก้วหู ริมฝีปากที่เต็มไปด้วยเลือดอีกทั้งดวงตาขาวโพลน มันช่างน่ากลัวจนแทบทนมองต่อไปไม่ไหว
“ฆ่าซะ!!!!!!!!!!!!!”
จู่ ๆ ก็มีเสียงเข็มนาฬิกาดังขึ้นในหัวเขาราวกับกดดันให้ปาร์คชานยอลตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง เสียงเด็กทารกยังคงหวีดร้องสร้างความหวาดกลัวไม่ได้ขาด และเสียงของคนที่อยู่บนดาดฟ้าก็เช่นกัน ร่างสูงหลับตาแน่นเตรียมบีบคอเด็กคนนี้ให้ตายคามืออย่างจำใจ เขาต้องการหลุดพ้นกับสิ่งที่เป็นอยู่ จนกระทั่ง....
“...”
เปลือกตาค่อย ๆ ลืมขึ้นเมื่อเสียงทุกอย่างเงียบไปอย่างน่าประหลาด หากแต่กลิ่นเหม็นหืนยังคงอบอวลอยู่ทุกช่วงจังหวะหายใจ ภาพตรงหน้าคือผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเจ้าสาวที่เขาเป็นคนช่วยเธอเลือกเองกับมือ สายตาหลุบลงมองเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ ถึงจะไม่แน่ใจว่าก่อนหน้านี้เขาใส่ชุดไหนแต่ที่แน่ ๆ มันต้องไม่ใช่ชุดเจ้าบ่าวแบบนี้ พอเงยหน้าขึ้นมองไปตามความยาวของแขนตัวเองแล้วก็พบว่า...
เขากำลังเล็งปืนไปที่เธอ...
“ชานยอล...”
“...”
แววตาตัดพ้อที่ส่งมาทำให้ปาร์คชานยอลเข้าใจได้ไม่ยากว่าเธอกำลังผิดหวังในตัวเขามากแค่ไหนกับการที่ได้เห็นปืนเล็งมาตรงหน้าเธอแบบนี้ ใบหน้าเรียวสวยได้รูปกำลังอาบไปด้วยน้ำตา มือของเขาสั่นเพียงแค่เห็นอีกฝ่ายกำลังก้มลงมองท้องนูนป่อง
“พวกเราทุกคนรอคุณอยู่”
เสียงเบาหวิวดังมาจากข้างหลัง ร่างสูงค่อย ๆ หันกลับไปตามต้นเสียงแล้วก็เห็นใครคนหนึ่งยืนมองเขาอยู่ สีหน้าเด็กคนนั้นดูเศร้าหมองแต่แววตาที่มองมาราวกับว่ากำลังให้กำลังใจคนขี้แพ้อย่างเขา
“แบคฮยอน...”
“คุณต้องผ่านมันไปให้ได้นะ”
เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ แต่กลับทำให้เขาแทบจะร้องไห้ออกมา ใช่...เพราะมันคือสิ่งเดียวที่เขาไม่เคยทำได้ เขาไม่สามารถผ่านพ้นความเจ็บปวดที่กำลังฆ่าเขาให้ตายทุกวินาที และสิ่งที่ปาร์คชานยอลทำได้ดีที่สุดคือการวิ่งหนีความจริงอย่างที่คนขี้ขลาดทำ ร่างสูงหันหน้ากลับเข้าหาภรรยาของเขาที่อยู่ในชุดเจ้าสาว สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
เรียบเฉย...เย็นชา...จนน่ากลัว...
“คุณฆ่าลูกของเราลงเหรอคะ...ชานยอล?”
“!!!!”
ร่างสูงดีดตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับหอบหายใจอย่างหนักทำให้คนที่เพิ่งกลับเข้ามาเอาเสื้อโค้ทในห้องหันกลับไปมอง อี้ฟานยกไฟฉายขึ้นเหนือศีรษะก่อนจะส่องลงบนพื้นเพื่อให้ความสว่างในตัวห้อง แม้ว่าจะไม่เห็นสีหน้าปาร์คชานยอลแต่ก็พอเดาออกว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในสภาวะตกใจสุดขีดสังเกตได้จากเหงื่อกาฬที่ไหลซึมอยู่ตามต้นคอและโครงหน้า
“คุณโอเคนะชานยอล?”
“...” ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถาม เขากำลังเรียกสติตัวเองกลับคืนมาและบอกตัวเองว่าสิ่งที่กำลังทำให้เขากลัวจนถึงวินาทีนี้มันเป็น ‘เพียงแค่ความฝัน’
ฝันร้ายที่เริ่มน่ากลัวมากขึ้นทุกวัน ๆ
สิ่งเดียวที่ยึดสายตาได้ในตอนนี้คือผ้านวมสีเข้มที่ปกคลุมขาทั้งสองข้าง ภาพเด็กทารกที่กำลังพยายามจะกัดขาเขายังคงติดตาไม่ไปไหน ชานยอลพยักหน้าช้า ๆ เพื่อให้อี้ฟานสบายใจ
“ถ้าคุณนอนไม่หลับ พวกเรายังนั่งอยู่ที่เดิมนะ” รู้ว่าทำได้มากน้อยแค่ไหนและเขาจะไม่บังคับฝืนใจชานยอลมากไปกว่านี้ ถึงจะเป็นห่วงแต่ถ้าอีกฝ่ายไม่เปิดรับมันก็เปล่าประโยชน์ ชานยอลพยักหน้าช้า ๆ จนกระทั่งอี้ฟานเปิดประตูห้องออกไป...
เหลือเพียงแค่ใครอีกคนที่จมอยู่กับฝันร้ายไม่รู้จบเท่านั้น...
“อย่าเสียงดังนะ ชานยอลนอนอยู่”
“ครับ/ค่า” เด็ก ๆ ยกเว้นคยองซูกับมินซอกขานตอบทันทีที่ได้รับคำสั่ง ทุกคนมองตามอี้ฟานที่กำลังเดินออกไปจากห้องก่อนจะหันกลับมาอีกครั้ง
“ฉันขยับได้ยัง”
“...”
“คายองซูวววววว...”
เจ้าของชื่อละสายตาจากกระดาษสีขาวบนตักแล้วเงยหน้าขึ้นมองต้นแบบที่นั่งเกร็งหน้ามานานพอสมควรแล้ว มีเพียงแค่ตะเกียงบนโต๊ะไม้ต่ำที่ให้ความสว่างในห้องนั่งเล่น ส่วนคนอื่น ๆ กำลังเคลิ้มจะหลับหลังจากที่จองอึนจีอ้าปากขอให้คยองซูวาดรูปเหมือน
“เสร็จยัง ฉันอยากฟังเรื่องผีต่อแล้วนะ” เทาบ่นติดรำคาญก่อนที่คยองซูจะพลิกสมุดเข้าหาเด็กสาว อึนจีรีบคว้ามาดูใกล้ ๆ แล้วอ้าปากค้างกับรูปวาดที่เหมือนจริงจนน่าตกใจ
“โห ขนาดใช้ปากกานะเนี่ย!”
“ไหน ๆ มาดูดิ๊” คนอื่น ๆ เข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วก็ทึ่งในฝีมือของสมาชิกใหม่ในบ้าน “โอ้โห...โหดสัดอ่ะ”
“ไว้สอนให้บ้างดิ” อึนจีปั้นหน้าจริงจังแล้วเทาก็พยักหน้าเห็นด้วย
“การหัดวาดรูปมันไม่ช่วยให้รอดตายจากพวกข้างนอกหรอกนะ เอาเวลาที่เสียไปกับการทำตัวไร้สาระไปหัดฝึกป้องกันตัวเถอะ”
ถามว่าในนี้หน้าสั่นกี่คน...
“เขาว่านายน่ะ”
“ว่าเธอนั่นแหละ”
“เมื่อกี้คุณอี้ฟานเพิ่งบอกว่าอย่าเสียงดัง เบา ๆ กันหน่อย” มินซอกปรามเพื่อนทั้งสองคนที่กัดกันอีกแล้ว
“พวกนายไม่ง่วงกันหรือไง” ถามทุกคนแต่สายตาไปหยุดอยู่กับรูมเมทคนใหม่ที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟาเดี่ยว “นายไปนอนก่อนก็ได้นะ”
“ฉันยังไม่ง่วงน่ะ”
“ไม่สบายหายดีแล้วเหรอ?”
“หายแล้ว...ให้ฉันอยู่ตรงนี้กับพวกนายเถอะ”
“...”
คำพูดของแบคฮยอนทำให้ทุกคนหันมามองหน้ากัน เทาสะกิดแขนเด็กสาวคนเดียวในกลุ่มก่อนจะกระแซะให้เข้าไปช่วยปลอบแบคฮยอนหน่อยแต่กลับถูกโยนงานกลับมาซะงั้น เทาขยับปากพูดยุ๊กยิ๊กเกี่ยงกับอึนจีจนกระทั่งเธอยอมแพ้
“แบคฮยอน!”
“...”
“มา! ฉันวาดรูปให้” เด็กสาวลากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ โซฟาเดี่ยวแล้วทำหน้ามุ่งมั่นลากปลายปากกาลงบนสมุดอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากมืออาชีพแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบอะไรกลับมาเลยก็ตาม คนอื่น ๆ หันไปมองหน้ากันแล้วก็ได้แต่รอลุ้นว่ารูปวาดจะออกมาเละเทะแค่ไหน
“แท่นแท๊นนนนนนนน”
“...”
“อุ่บ!” เทายกมือขึ้นป้องปากแล้วหันไปหัวเราะกับเซฮุนสองคน มินซอกกับคยองซูหลุดยิ้มออกมาเพียงแค่ได้เห็นรูปวาดที่ดูดีกว่าก้างปลาก่อนหน้านี้หน่อยนึง
“ดูเร็ว” อึนจีเขย่าแขนเพื่อนที่ตัวสูงไม่ต่างกันเท่าไหร่จนแบคฮยอนยอมหันมาดูผลงานของเธอ “ชอบไหม”
“...”
“ฉันวาดสุดฝีมือเลยนะ ตั้งใจวาดกว่าตอนทำเมมเบอร์การ์ดให้คายองซูอีก” เด็กสาวยิ้มแล้วกระแซะตัวไปนั่งบนพนักวางแขนโซฟา แบคฮยอนขยับออกแล้วเลิกคิ้วมอง
“มานั่งตรงนี้ทำไมที่ก็มีตั้งเยอะ”
“ก็เก้าอี้ไม้มันเจ็บก้นอ่ะ” เซฮุนแทบสำลักน้ำกับประโยคนี้โชคดีที่เขากลืนมันไปได้ทัน
“โห ยัยผู้หญิงแค่เครื่องใน พูดอะไรอายปากบ้างเหอะ” เทาเขวี้ยงกระดาษที่กำเป็นก้อนใส่หัวอีกคน อึนจีแยกเขี้ยวแล้วแค่นหัวเราะก่อนจะถลาเข้าไปจิกหัวเทาแล้วรัวตบไม่ยั้งมือ
“โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!”
“เบา ๆ สิเทาคุณชานยอลนอนอยู่” ว่าแล้วก็เอามือปิดปากคนที่กำลังโดนประทุษร้าย เด็กตัวสูงยังคงหวีดร้องแม้ว่ามือของเซฮุนจะยังคงปิดปากเอาไว้อยู่อย่างนั้น กลับกลายเป็นว่าคนข้าง ๆ ร่วมมือกับอึนจีทำร้ายเขาเสียอย่างนั้น คยองซูกับมินซอกหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นเทากำลังไหลลงจากโซฟาตามแรงจิกหัวของอึนจี
“ผู้หญิงแค่ภายในเหรอ! ห๊า!” เสียงลอดไรฟันช่างน่ากลัวยิ่งนัก เทายกมือขึ้นปกป้องตัวเองแล้วรีบคลานหนีออกจากตรงนั้นแต่ก็ไม่รอดเมื่ออึนจีรีบปีนข้ามโซฟาไปดักรอข้างหน้า “จะไปไหน!”
“ยัยผีบ้า! เธอจะโหดเกินไปแล้วนะ!”
“พูดไม่ดีต้องจับตบปาก!” ตอนนี้เทาคลานออกมาแล้วก็แทบหน้าคะมำไปกับพื้นเมื่อเด็กสาวกระโดดทับเขาจากข้างหลังพร้อมกับงัดคอด้วยท่ามวยปล้ำ
“นั่นคือตบปากเหรอ” <- คยองซู
“ฉันกลัวคุณชานยอลตื่นจริง ๆ นะ” <- เซฮุน
“นี่คือสิ่งที่พวกนายทุกคนควรชินได้แล้ว” <- มินซอก
“ตายซะ!” <- อึนจี
ท่ามกลางความวุ่นวายและเสียงหัวเราะ แบคฮยอนมองไปยังเพื่อนทั้งสองคนที่กำลังงัดกันอย่างเอาเป็นเอาตาย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่รู้สึกเมื่อยแก้ม บยอนแบคฮยอนกำลังยิ้มอยู่งั้นเหรอ?
มองไปทางซ้ายก็เห็นเซฮุน คยองซู มินซอกกำลังหัวเราะอยู่ ทั้งสามคนล้วนแต่เป็นคนยิ้มยากยิ่งคนนั้นที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ใช่ว่าเขาจะสนใจแต่เรื่องของตัวเอง แต่จากที่เห็นมันก็พอทำให้รู้ว่าโดคยองซูกำลังใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการเข้าหาคนอื่น
แล้วบยอนแบคฮยอนกำลังทำอะไรอยู่?
เอาแต่นั่งเหม่อลอยจมอยู่กับความเศร้าแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน ดูคนอื่นบ้างสิแบคฮยอน คนพวกนี้ไม่มีอะไรต่างจากนายเลยสักนิด พบความสูญเสียเหมือนกัน อยู่ตัวคนเดียวเหมือนกันแต่พวกเขากลับใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่เปลี่ยนไปแล้วได้โดยไม่มีปัญหา แล้วทำไมบยอนแบคฮยอนถึงไม่พยายามเป็นแบบนั้นบ้าง
ถ้าพยายามให้มากกว่านี้...เขาก็คงผ่านพ้นไปได้ใช่ไหม?
“อึนจี”
เด็กสองคนที่กำลังงัดกันอย่างดุดันหยุดชะงักเพียงแค่ได้ยินเสียงของคนที่เศร้ามาตลอดทั้งวัน เจ้าของชื่อค้างอยู่ในท่ารัดคออีกคนจากข้างหลังหันไปหาอีกคนที่กำลังหยิบสมุดขึ้นมาดูก่อนจะยิ้มบาง ๆ
“ขอบใจมากนะ ฉันชอบรูปที่เธอวาด”
“...”
“เหรอ...” เด็กสาวยิ้มเจื่อน ๆ แล้วหันไปทางสิบแปดไลน์ที่นั่งอยู่ข้างหลัง แต่ละคนต่างตกใจไม่ต่างกันเมื่อคนที่ซึมมาตลอดทั้งวันกำลังยิ้มอยู่
“แบคฮยอน” เจ้าของชื่อยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น แบคฮยอนหันไปทางเซฮุนที่กำลังมองเขาด้วยความเป็นห่วง
ใครคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ภายในความมืดหลังประตูห้องที่แง้มออกเพียงแค่นิดเดียว นัยน์ตามองไปยังคนตัวเล็กที่นังกอดเข่าตัวเองอยู่บนโซฟาเดี่ยวกำลังยิ้มแม้จะดูออกได้ง่าย ๆ ว่ามันเป็นแค่รอยยิ้มที่ฝืนออกมา
รู้ว่าทำกับแบคฮยอนเกินไป...และมันกำลังทำให้เขารู้สึกเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ กับความรู้สึกที่ตัดสินใจไม่ได้สักอย่างเพราะความกลัวที่กัดกินหัวใจเขาทุกวินาที เขายังจำสีหน้าแบคฮยอนตอนที่เขาเผลอชักสีหน้าใส่เมื่อตอนกลางวันได้ ปาร์คชานยอลคนเดิมที่เคยยิ้มให้เด็กคนนั้นทุกครั้งที่สบตานั้นหายไปแล้ว เขารู้สึกได้เพียงแค่ความหวาดกลัวของตัวเองที่เด่นชัดขึ้นทุกวัน
หากมีทางแยกอยู่ข้างหน้าและมีแบคฮยอนอยู่ทางซ้ายและโฮจองอยู่ทางขวา เขาก็ไม่กล้าเลือกเดินไปทางไหน ทำได้เพียงแค่ยืนอยู่กับที่เฉย ๆ และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปโดยไม่แก้ไขอะไรทั้งนั้น เขาเหนื่อยเหลือเกินที่จะต้องต่อสู้กับความรู้สึกตัวเอง ทำไมมันถึงได้ยากแบบนี้...
“เล่าเรื่องผีกันเถอะ ฉันอยากฟังต่อแล้ว”
TBC
ฉันสงสารพี่ชาร์ลจนไม่รู้จะสงสารนางยังไงแล้วค่ะ
ปล. เด็กผู้หญิงคอหักในฝันชานยอลเกิดขึ้นจากภาพติดตาตอนที่เห็นพี่ลู่ตัดคอเด็กต่อหน้าต่อตาค่ะ ส่วนมากเราจะใส่ความกลัวเข้าไปในความฝัน เหมือนตอนที่เซฮุนฝันถึงลิงก็เพราะว่าตอนกลางวันเจอเรื่องน่ากลัวเกี่ยวกับลิงมา และเบื้องลึกของจิตใจที่กลัวว่าจงอินจะตาย
ความคิดเห็น