คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #42 : Chapter 39 :: Coward
Chapter 39
Coward
ทุกคนนั่งทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ในห้องนั่งเล่นบ้านหลังที่สองหลังจากที่ได้ยินเทาเล่าเรื่องคังยุนฮาให้ฟัง ถึงทุกคนจะไม่ได้สนิทกับหมอนั่นเป็นการส่วนตัวแต่การที่ต้องทิ้งใครสักคนไว้ข้างหลังแบบนั้น คนที่รู้สึกผิดที่สุดคงไม่ใช่ใครนอกจากหวงจื่อเทา แต่ที่น่ากังวลมันไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ยังมีอีกเรื่องที่น่าเป็นห่วงคือใครอีกคนที่ยังกลับมาไม่ถึงบ้านหลังจากแยกย้ายกันหนีไปคนละทิศคนละทาง
ปัง!
“ลู่หาน?!”
ร่างโปร่งหอบหายใจหนักแล้วหันกลับไปปิดประตูก่อนจะเดินเข้ามาในสภาพมอมแมมไม่เหลือเค้าความดี น้ำลายเจือฝุ่นโคลนถุยลงพื้นบ้านพร้อมกับถอดเสื้อนอกออกแล้วโยนไปข้างหลัง สีหน้าของลู่หานดูไม่สู้ดีนัก เขายังคงโกยอากาศเข้าปอดโดยที่ไม่พูดอะไร
“ไหนใครบอกว่าอี้ฟานตายแล้ว”
“อะไรของมึงวะ จู่ ๆ ก็พูดเรื่องนี้” จงอินลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินคำถามแปลก ๆ ของเพื่อนซี้ ลู่หานเสยผมขึ้นแล้วหายใจเข้าลึก ๆ “ทำไมถามแบบนั้น”
“ก็เพราะว่ากูเพิ่งป๊ะหน้ากับมันมานี่ไง”
“หะ?”
“ฟังกูนะ” ลู่หานชี้ริมฝีปากตัวเองขณะกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ “อี้ ฟาน ยัง ไม่ ตาย”
“...”
ไม่มีใครถามอะไรออกมาอีก ทุกคนต่างมีสีหน้าประหลาดใจกับสิ่งที่เขาพูด จงอินเดินเข้ามาหาเขาก่อนจะพูดให้ได้ยินกันแค่สองคน
“มึงพูดห่าอะไร”
“มึงคิดว่ากูพูดอะไรอยู่ล่ะ พวกที่ยิงไอ้เด็กยุนฮาก็คือพวกของอี้ฟานไง” เสียงของลู่หานไม่ได้เบาตามอีกคนไปเลยสักนิด ร่างโปร่งมองไปยังคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ข้างหลังราวกับต้องการคำอธิบายจากปากเขาต่อ
“จำคนผิดหรือเปล่า?” ลู่หานแค่นหัวเราะเมื่อได้ยินเทาถามโง่ ๆ ออกมา
“คนนะไม่ใช่วัวควายจะได้หน้าตาเหมือนกันหมด”
“...”
“นี่พวกมึงคิดว่ากูโกหกเหรอวะ?” ลู่หานขมวดคิ้วเมื่อไม่มีใครแสดงอาการออกมาว่าเชื่อเขาเลยสักคนเดียวแม้กระทั่งจงอิน
“กูก็อยากจะเชื่ออยู่หรอกนะ แต่มึงแน่ใจได้ยังไงว่านั่นคืออี้ฟานจริง ๆ ”
“มึงเห็นใช่ไหมว่าพวกมันไล่ยิงเรา ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามันต้องการที่จะฆ่าเรา แล้วถ้ามันจะฆ่า ไอ้ผู้ชายตัวสูงที่พวกมึงกำลังคิดว่าอาจเป็นใครสักคนที่หน้าเหมือนอี้ฟานน่ะ มันบอกให้กูหาที่เกาะเอาไว้แน่น ๆ แล้วก็ผลักกูตกหน้าผาเพื่อช่วยไม่ให้กูถูกพวกเปรตที่วิ่งตามมาทีหลังฆ่าเอา”
“...”
“...”
คำอธิบายของลู่หานเริ่มมีน้ำหนักมากขึ้นจนร่างหนายืนนิ่งใช้ความคิด จงอินหันกลับไปหาคนอื่น ๆ ก่อนจะหยุดสายตาที่ร่างสูง
“นายเห็นเขาถูกยิงจริง ๆ หรือเปล่าชานยอล”
“ครับ ผมเห็นกับตา”
“เห็นกับตาเหรอ กูก็เห็นอี้ฟานมากับตาเหมือนกันว่ะ”
“ครับ?” ชานยอลเลิกคิ้วขึ้นสูง
“ถ้าอี้ฟานถูกยิงจริง ๆ มันจะรอดมาได้ยังไงวะ?”
“เรื่องนั้นผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าเขาจะรอดมาได้ยังไง”
“ไหนลองงัดเอาความรู้ที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวออกมาอธิบายความเป็นไปได้ให้กูฟังหน่อยซิ” ตอนนี้มีเพียงแค่ปาร์คชานยอลเท่านั้นที่ตอบคำถามเรื่องนี้ได้ เพราะมีแค่มันเพียงคนเดียวที่บอกว่าเห็นอี้ฟานตายไปต่อหน้าต่อตา
“ผมก็พูดในสิ่งที่เห็น เหมือนกับที่คุณกำลังพยายามอธิบายให้คนอื่นเชื่อว่าอี้ฟานยังมีชีวิตอยู่”
“ก็ใช่ไง กูก็พูดในสิ่งที่กูเห็น มันคือปัจจุบัน”
“ใจเย็นน่า...” จงอินปรามคนข้าง ๆ ที่เอาแต่เถียงหัวชนฝาโดยไม่สนใจว่ามันกำลังจะเป็นเรื่องใหญ่โตเข้าไปทุกที
“ในเมื่อคุณเชื่อในสิ่งที่เห็น แล้วจะมาถามผมทำไมล่ะครับ?”
“ก็ถามเพื่อให้แน่ใจไง หรือไม่ก็ถามเพื่อให้มึงยอมรับว่าไม่ได้เห็นอี้ฟานถูกยิงตายไปต่อหน้าต่อตา”
“ไอ้สัดพอ” จงอินห้ามเมื่อลู่หานแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนนี้ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูก ต่างคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง เขาเชื่อว่าคนอย่างชานยอลคงไม่โกหกกับเรื่องแบบนี้แน่ แต่ที่ลู่หานเจอมามันก็มีเค้าความเป็นไปได้เหมือนกัน
“ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังนะครับ แต่ผมไม่ได้เป็นแบบที่คุณกำลังกล่าวหาอยู่”
“มึงกำลังจะสื่อว่ากูเบลอจนจำคนผิดแล้วใส่ร้ายมึงสินะ” ลู่หานแค่นหัวเราะ
“เท่าที่จำได้ผมยังไม่ได้พูดไปในทางนั้น มีแต่คุณที่พูดเองเออเองตั้งแต่แรก”
“เรื่องของมึงเหอะงั้น” ลู่หานเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มพลางหายใจฟึดฟัด ตอนนี้ต้องสงบสติอารมณ์ก่อนที่ขาของเขาจะพาหมัดลุ่น ๆ ไปซัดหน้าปาร์คชานยอลเสียก่อน
“แล้วยุนฮาล่ะ?” เทาถาม
“กูเห็นมันนอนจมกองตีนพวกนั้น ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย”
“ทำไงดีคะครู...” อึนจีหันไปหาครูสาวที่นั่งทำหน้าคิดไม่ตกอยู่ข้าง ๆ ทุกสายตามองไปยังคนสี่คนที่มาจากโรงเรียน แน่นอนว่าพวกเขากำลังวิตกเกี่ยวกับเรื่องคังยุนฮามากที่สุด
“กูจะไปช่วยอี้ฟาน”
“ว่าไงนะ?”
“ในเมื่ออี้ฟานยังอยู่ กูก็จะไปช่วยมันออกมา”
“มึงจะไปยังไง เห็น ๆ อยู่ว่าพวกมันมีกันกี่คน ไหนจะอาวุธอีก?” ใช่ว่าเขาไม่เห็นด้วยกับความคิดของลู่หาน แต่พอคิดดูดี ๆ แล้วคนของเขามีแต่เด็กและผู้หญิงซะส่วนใหญ่ จะให้ไปสู้รบกับพวกเวรนั่นก็คงไม่ไหวแน่
“หาสิวะ พวกมันหาปืนได้เราก็ต้องหาได้เหมือนกัน”
“มึงพูดเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย”
“กูไม่ชอบทำอะไรให้มันยาก”
“แต่เรื่องง่ายของคุณมันกำลังเป็นเรื่องยากสำหรับคนอื่น” ชานยอลยืนกอดอกมองอีกฝ่ายที่กำลังพูดเอาแต่ใจอย่างไร้เหตุผล
“คนอื่นที่ว่านี่ใคร มึงสินะครับ?”
“คุณเอาแต่คิดจะไปช่วยอี้ฟานจนลืมอะไรไปหรือเปล่าลู่หาน?”
“เหอะ”
“ถูกอย่างที่จงอินพูด คนของเรามีน้อยแถมไม่มีอาวุธอีก ถ้าจะต้องสู้กันจริง ๆ มันต้องเกิดการสูญเสียแน่ แล้วคุณคิดว่ามันดีแล้วเหรอที่เราจะต้องสูญเสียใครไปอีกเพื่อช่วยคน ๆ หนึ่งกลับมา”
“เพราะมึงเห็นแก่ตัวแบบนี้ไง มึงถึงได้ทิ้งอี้ฟานไว้ตรงนั้น” ประโยคนี้ราวกับถูกจี้ใจดำ ไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากปากปาร์คชานยอลอีก “ถ้ามึงอยู่ในสภาพครบสามสิบสอง มึงจะทิ้งอี้ฟานไว้ตรงนั้นหรือเปล่าวะจงอิน?” คราวนี้ลู่หานหันไปถามเพื่อนซี้ ร่างหนายืนเงียบไม่ได้ตอบคำถามของคนข้าง ๆ แน่นอนว่าถ้าเขาอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครเขาก็คงพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถเหมือนกัน
พอเห็นจงอินเงียบไม่ได้โต้ตอบลู่หานกลับไปเมื่ออย่างก่อนหน้านี้ปาร์คชานยอลเลยกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างสมบูรณ์แบบตามที่ถูกตราหน้าเอาไว้
“แล้วถ้ามองอีกแง่ว่าคนที่คุณเห็นไม่ใช่คุณอี้ฟานล่ะ?” ทุกคนหันไปมองมินซอกที่นั่งเงียบอยู่นาน เด็กหนุ่มจ้องมองลู่หานด้วยสายตาเรียบเฉยไม่ต่างจากที่ชานยอลมองเขาเลยสักนิด “คุณเคยคิดบ้างไหมว่าถ้าเกิดไม่ใช่คุณอี้ฟานแล้วจะเป็นยังไง”
“นั่งฟังเฉย ๆ ก็พอมินซอก” ถึงจะไม่พอใจที่คนตัวเล็กพูดดักทางเขาแบบนั้นแต่ลู่หานก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงโทนปกติ
“ผมมีสิทธิ์ออกความเห็นไม่ใช่เหรอ?”
“งั้นก็ว่ามา” จงอินมองเด็กน้อยที่กล้าพูดแทรกขึ้นมาตอนที่ลู่หานกำลังอารมณ์ไม่ดีในขณะที่คนอื่นเลือกที่จะนั่งฟังเฉย ๆ
“หรือถ้าใช่จริง ๆ คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าเขาอยากกลับมาอยู่กับพวกเรา” ประโยคนี้ทำให้รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะมีความเป็นไปได้อย่างที่มินซอกพูดแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขารู้สึกแย่ถ้าเกิดมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ
“มันต้องอยากกลับมาแน่” ลู่หานมองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน
“ผมกำลังถามว่าถ้าเขาไม่อยากกลับ...คุณตอบไม่ตรงคำถามนี่”
“เอาเถอะ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกัน” จงอินพูดแทรกขึ้นมาเพื่อสงบศึก ลู่หานถอนหายใจหนัก ๆ เขารู้สึกหงุดหงิดจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้กับการที่มินซอกพูดดักคอเขาแบบนั้น
“ถ้ามึงไป กูไปด้วย กูจะไปช่วยยุนฮา”
“หนูไปด้วย” พอเห็นเทาออกตัวอึนจีก็เลยตามเพราะเป็นห่วงเพื่อน
“โอเค ตอนนี้มีสามคนแล้ว” ลู่หานหันไปทางเด็กหนุ่มชาวจีนที่ยืนอยู่ฝั่งทางซ้ายกับเด็กสาวที่นั่งอยู่บนโซฟา
“มึงใจเย็น ๆ ก่อนเหอะ แม่งใช้แต่อารมณ์ เคยคิดบ้างไหมว่าคนอื่นจะเดือดร้อนไปด้วย”
“กูก็ไม่ได้ขอร้องให้ใครไปเสี่ยงตายกับกูป่ะวะ อย่างไอ้ห่าเทามันก็แค่อยากช่วยเพื่อน” ลู่หานมองไปยังปาร์คชานยอลที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม “ไม่ใช่ใครบางคนที่พร้อมจะทิ้งเพื่อนให้ตายห่าไว้ตรงไหนก็ได้”
“...”
เป็นครั้งที่สองที่ถูกแทงใจดำกับคำพูดที่มาพร้อมกับแววตารังเกียจของลู่หาน ภาพเหตุการณ์วันนั้นฉายขึ้นมาเป็นฉาก ๆ เขารู้สึกได้ถึงความร้อนของเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่รอบข้าง กับเสียงหวีดร้องของความเจ็บปวดในค่ายนั่น...และภาพของอี้ฟานที่ถูกยิงต่อหน้าต่อตาเขา
ทั้งที่พยายามทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นแต่ดูเหมือนว่าคนอื่น ๆ จะมองไม่เห็นความพยายามของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ความเงียบเข้าครอบคลุม เสียงถอนหายใจเบาหวิวของปาร์คชานยอลคือสิ่งเดียวที่คนรอบข้างได้ยิน ในเมื่อเด็กสองคนนั้นเห็นด้วยและคนอื่น ๆ ก็ไม่โต้แย้งมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะพูดต่อไปอีก ร่างสูงลุกขึ้นเดินออกมาจากตรงนั้นก่อนจะหยุดอยู่ตรงทางเลี้ยวขึ้นบันไดชั้นสอง ใบหน้าคมเอี้ยวหันกลับมามองทุกคนด้วยแววตาเรียบเฉยไม่ต่างไปจากทีแรก
“ต่อไปนี้พวกคุณอยากทำอะไรก็ทำเลยแล้วกันนะครับ ผมจะไม่พูดอะไรอีก”
“...”
“ผมมันคงขี้ขลาดเกินไปที่จะดูแลพวกคุณ”
พูดจบร่างสูงก็เดินขึ้นบันไดไปโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก บรรยากาศตรึงเครียดเข้าไปทุกทีและดูเหมือนว่าคนที่ทำให้เรื่องราวมันใหญ่โตนั้นจะไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่นิดเดียวกลับกันแล้วลู่หานยังสะใจด้วยซ้ำที่เห็นปาร์คชานยอลเถียงไม่ออกแบบนี้
“มึงจะไปไหน?”
“กูจะไปหาปืน”
“ฟ้าจะมืดอยู่แล้ว รอพรุ่งนี้ไม่ได้ไงวะ?” เขาล่ะเหนื่อยใจกับนิสัยดื้อรั้นของลู่หานเสียเหลือเกิน พอแม่งบ้าแล้วลงยากซะด้วยสิ
“เฮ้ย! มึงจะรอพรุ่งนี้เปล่าวะ?” ไม่มีอะไรจะหยุดความตั้งใจของลู่หานได้ ร่างโปร่งหันไปถามเทาที่กำลังลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มส่ายหน้าเป็นคำตอบเมื่อนึกถึงคนเป็นเพื่อนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง
“มึงก็รอไปแล้วกัน แต่กูจะออกไปหาอาวุธข้างนอก”
“ไร้สาระ” มินซอกสบถพลางส่ายหน้าระอาก่อนจะเปิดประตูออกไปข้างนอก ลู่หานถอนหายใจฟึดฟัดแล้วหันไปเรียกรั้งท้ายคนตัวเล็กที่กำลังทำให้เขาโมโห
“มินซอก!”
“ไปอาบน้ำก่อนดีไหมครับลู่หาน” เซฮุนพูดหลังจากที่เงียบมานาน แต่เจ้าของชื่อกลับไม่ได้ใส่ใจกับประโยคนั้นเลยสักนิด
“อาบยังไงก็ดับอารมณ์ร้อนมันไม่ได้หรอก” จงอินเหล่มองคนข้าง ๆ ที่สภาพเละเทะไม่เหลือชิ้นดี “ถ้ามึงเสี้ยนมากนักเดี๋ยวกูจะพาไปสำรวจโลกเอง”
“อยู่นี่แหละ เดี๋ยวฉันจะไปกับมันสองคน” ได้ยินเสียงจงอินยืนคุยกับเซฮุนอยู่หน้าบ้านโดยที่มีลู่หานสตาร์ทรถรออยู่แล้ว ร่างบางพยักหน้ารับก่อนที่ใครอีกคนจะเดินไปขึ้นรถ ตอนนี้คนอื่น ๆ แยกกลับไปที่บ้านหลังแรกแล้ว ส่วนอี้ชิงนั่งอยู่บนโซฟาแล้วเปิดดูนิตยาสารผ่าน ๆ แบคฮยอนปิดม้าม่านลงแล้วเดินไปเอาไม้ถูพื้นออกมาถูคราบโคลนที่ลู่หานก่อเอาไว้
เซฮุนเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขานึกเป็นห่วงทั้งคู่ที่ออกไปเสี่ยงข้างนอกทั้งที่ฟ้ากำลังจะมืดแบบนี้ พอขอไปด้วยก็ถูกจงอินห้ามเอาไว้
“สรุปบ้านหลังนั้นเขาว่ากันยังไงเหรอเซฮุน” แบคฮยอนถาม เพราะก่อนหน้านี้เขาเห็นกลุ่มคนที่โรงเรียนหยุดคุยกับจงอินอยู่ที่หน้าบ้านอยู่นานสองนาน
“ตอนนี้มีลู่หานกับเทาที่พร้อมจะออกไปตามหาอี้ฟานกับยุนฮาน่ะ ส่วนจงอินก็ดูชั่งใจอยู่ว่าจะเอาด้วยหรือเปล่า”
“หมอนั่นนี่แย่จริง ๆ เลย” แบคฮยอนขมวดคิ้ว นึกโมโหที่ลู่หานเอาแต่ใช้อารมณ์จนเกือบเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว
“ตอนนี้เราคงต้องรอให้ทุกคนใจเย็นก่อน ว่าแต่ชานยอล...”
“เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปดูเอง” แบคฮยอนว่าแล้วเซฮุนก็พยักหน้ารับ คนตัวเล็กเอาไม้ถูพื้นไปเก็บแล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสอง เด็กน้อยหยุดยืนอยู่หน้าห้องตัวเองแล้วเคาะประตูไปเพียงแค่สองครั้งตามมารยาทก่อนจะหมุนลูกบิดแต่ก็พบว่าประตูล็อคอยู่
“ชานยอล”
เงียบ...
ก๊อก ๆ
“ชานยอลครับ”
ก๊อก ๆ
“ชาน...”
ปึง!!!!
แบคฮยอนสะดุ้งถอยหลังออกมาสองก้าวเมื่อมีบางอย่างถูกเขวี้ยงมากระแทกกับประตูอีกฝั่งอย่างแรง ร่างเล็กยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่งขณะมองบานประตูที่ยังคงปิดสนิทอยู่ หัวใจของเขาเต้นเร็วแรงเพราะความตกใจ เสียงเมื่อครู่ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่ามันคือการสั่งให้เขาหยุดเคาะประตูซะ
“โอเค...” เด็กน้อยพูดกับตัวเองเบา ๆ แล้วเดินไปนั่งพิงกำแพงข้างประตูแล้วชันเข่าเข้าหาตัว แบคฮยอนไม่โกรธที่ชานยอลทำแบบนี้เพราะที่ลู่หานพูดมันก็แรงเกินไปจริง ๆ ขนาดคนฟังอย่างเขายังจุกแทน ประสาอะไรกับคนที่โดนเต็ม ๆ อย่างชานยอล คงไม่แปลกที่จะโมโหขนาดนั้น แต่ที่เขานั่งอยู่ตรงนี้ก็เพราะอยากให้ชานยอลระบายความอึดอัดให้เขาฟังบ้าง ถึงชานยอลจะไม่ต้องการก็เถอะ...
“ไง”
“สัดเอ๊ย”
สองหนุ่มยืนอยู่บนถนนหน้ามินิมาร์ทที่พวกเขาเพิ่งมาขนเสบียงไปเมื่อตอนกลางวันแต่บัดนี้กระเป๋าที่อัดแน่นไปด้วยอาหารนั้นไม่อยู่ที่เดิมแล้ว จงอินมองคนข้าง ๆ ที่กัดฟันกรอดแถมยังขยับปากสบถด่าพวกเวรนั่นไม่เหลือชิ้นดี
“บอกก่อนเลยนะว่าถ้าที่มึงเห็นมันไม่ใช่อี้ฟานจริง ๆ กูกระทืบมึงแน่” จงอินนำไปข้างหน้าโดยมีอีกคนเดินตามมาติด ๆ
“ให้สิบตีนเลยครับ กูจะนอนนิ่ง ๆ ให้พวกมึงเอาไนกี้ คอนเวิร์สนวดหน้ากันให้พอใจเลยล่ะ” ลู่หานแค่นหัวเราะ
“รถก็โดนขโมย ไหนจะเสื้อกันหนาวอีก คงต้องย้อนกลับไปขนใหม่อีกรอบ นี่ก็เริ่มอากาศเย็นแล้วด้วย” จงอินถอนหายใจเบา ๆ ทุกวันนี้พวกเขาก็ใช้ชีวิตยากอยู่แล้ว พอมาเจอภัยมนุษย์แบบนี้แล้วยิ่งเหนื่อยเข้าไปใหญ่
“ว่าไปแล้วกูก็น่าจะอาบน้ำก่อน” คนปากดีเบ้หน้าเล็กน้อยพลางเกาส่วนใต้ร่มผ้า จงอินเห็นแบบนั้นแล้วก็ได้แต่มองด้วยสายตาเวทนา
“ระวังเด็กดาดฟ้าไม่ให้นอนด้วยเพราะสังฆังแดกนะมึง”
“เลิกพูดเรื่องนี้” พอได้ยินชื่ออีกคนแล้วก็หงุดหงิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น จงอินเหล่มองคนข้าง ๆ ที่กำลังเอาฝ่ามือยีแก้มตัวเองแรง ๆ เพื่อให้โคลนดินที่แห้งกรังหลุดออก
“ทำไมพูดไม่ได้ ก่อนหน้านี้กูเห็นพูดถึงไม่หยุด”
“ต่อให้ไข่กูเรืองแสงได้แม่งก็ไม่ให้กูนอนด้วยอยู่ดี จะใจแข็งเอาโล่ไปไหนกูอยากรู้” ลู่หานบ่นอุบอิบ เขาล่ะหงุดหงิดที่ต้องตบตีกับมินซอกเพราะเด็กนั่นไม่ยอมให้เขานอนด้วย ต้องให้ใช้กำลังทุกทีถึงจะยอมให้ตายเหอะ
“หรือว่าเด็กมันเกลียดขี้หน้ามึงวะ?” ลู่หานมองหน้าเพื่อนซี้ที่เหมือนจะกลั้นหัวเราะสุดขีด
“ใช่สิ ใครจะไปยอมมึงเหมือนเด็กกรงหมาล่ะ ก่อนออกมาก็อาลัยอาวรณ์กันเหลือเกิน กูนึกว่าอังศุมาลินเดินมาส่งโกโบริที่ท่าเรือ”
“คนละเรื่องละสัด” ร่างหนาผลักหัวคนข้าง ๆ ไปทีนึงแล้วหยุดยืนอยู่กับที่เมื่อเห็นอะไรบางอย่าง “ถ้าไอ้ยุนฮาตายแล้วมันคงเดินเพ่นพ่านอยู่แถวนี้ แต่นี่...” จงอินเดินถอยหลังไปตามคราบเลือดขาด ๆ หาย ๆ ที่ยาวไปตามเส้นถนน
“แสดงว่ามันคงถูกจับตัวไป”
“น่าจะเป็นอย่างนั้น มึงเห็นหรือเปล่าว่ามันถูกยิงตรงไหน?”
“ไม่รู้ว่ะ ตอนนั้นกูก็ตกใจเหมือนกัน เห็นอีกทีแม่งก็ร่วงลงไปกับพื้นละ”
“ตอนนี้เรารู้แล้วว่าไอ้ยุนฮาโดนพวกมันลากกลับไปด้วย แล้วทีนี้มึงจะเอายังไงต่อครับ?” น้ำเสียงประชดประชันถูกส่งไปยังเพื่อนซี้ที่ยังคงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อสังเกตรายละเอียด
“ไปหาปืนมาเป่าหัวพวกแม่งดิครับเพื่อน”
แอ๊ด...
เด็กน้อยที่นั่งฟุบหน้าลงกับเข่าเงยหน้าขึ้นปรือตามองใครอีกคนที่เดินออกมาหลังจากที่ขังตัวเองอยู่ในห้องมานานร่วมชั่วโมง ชานยอลหลุบสายตาลงมองคนตัวเล็กที่กำลังลุกขึ้นยืนแล้วก็ปิดประตูกลับเข้าไป
“คุณโอเคไหมครับ?” คำถามที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยแต่มันไม่เคยใช้ได้ผลกับคนที่กำลังอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว ปาร์คชานยอลเข้าใจถึงความหวังดีของแบคฮยอน แต่คำถามนี้มันชักจะดูน่าหงุดหงิดไปสักหน่อย
“ครับ” ถึงจะไม่สบอารมณ์นักแต่ร่างสูงก็ส่งยิ้มฝืน ๆ ไปยังคนตรงหน้าเพื่อหวังว่าจะให้บยอนแบคฮยอนตัดใจจากเรื่องนี้ซะ เพราะเขาเองก็ไม่อยากพูดถึงมันเหมือนกัน
“ผมขอโทษแทนลู่หานด้วยนะ” อีกประโยคที่ทำให้ปาร์คชานยอลถอนหายใจออกมาเบา ๆ
แบคฮยอนไม่ผิดที่กำลังจะปลอบใจเขา แต่สำหรับคนที่กำลังตกอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว การเซ้าซี้หรือไถ่ถามว่าน่ารำคาญแล้ว แต่การขอโทษแทนใครอีกคนที่สร้างความโมโหให้เขานี่สิ...
การขอโทษแทนคนอื่น...มันเป็นอะไรที่งี่เง่าสิ้นดี
“ช่างมันเถอะ คุณไปอาบน้ำเข้านอนได้แล้ว”
“แล้วคุณล่ะครับ?” เดินตามไปได้แค่สองก้าวก็ต้องหยุดกับที่เมื่อร่างสูงหันกลับมามองเขาด้วยแววตาเฉยชา
“ผมจะออกไปข้างนอก”
“ไปตามลู่หานกับจงอินเหรอ?” ถามออกไปเพราะความไม่รู้ แต่ความไม่รู้ของบยอนแบคฮยอนกำลังจะทำให้ปาร์คชานยอลแทบระเบิดออกมาเสียเดี๋ยวนั้น
“นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ผมจะทำ ราตรีสวัสดิ์ล่วงหน้าครับ” พูดจบก็เดินลงไปข้างล่างโดยที่ไม่รอให้คนตัวเล็กพูดอะไรอีก สองขาก้าวไปหยุดอยู่ที่ทางลง เห็นเพียงแค่แผ่นหลังของชานยอลที่เดินลับหายไปแล้วเท่านั้น
ร่างสูงเดินออกไปข้างนอกแล้วมองซ้ายขวาเพื่อหารถสักคันที่จะพาเขาออกไปจากสถานที่ ๆ สร้างความอึดอัดให้เขาได้ และดูเหมือนว่าจะสวรรค์จะเป็นใจเมื่อมีรถคันหนึ่งเปิดประตูทิ้งไว้พร้อมกับซากตัวกินคนไส้ทะลักที่นอนจมกองเลือดอยู่ข้าง ๆ เตะศพออกไปให้พ้นทางเกะกะแล้วแทรกตัวเข้าไปในตัวรถ กุญแจเสียบคาไว้อยู่แล้วทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลากับการหามันตามซากศพในละแวกนี้
ปัง
“...” ร่างสูงขมวดคิ้วมองอี้ชิงที่เข้ามานั่งข้าง ๆ เขาหน้าตาเฉย ร่างผอมดึงเข็มขัดนิรภัยออกมาคาดเตรียมพร้อมก่อนจะหันไปถามร่างสูงที่ยังคงมองเขาอยู่
“Where’re you going?” (คุณจะไปไหน?)
“Somewhere.” (สักที่)
“Okay, I’ll go with you.” (โอเค งั้นผมจะไปกับคุณ)
ครืนนน...
รถจอดลงหน้าสถานีตำรวจแห่งหนึ่ง จงอินกับลู่หานเปิดประตูออกมาก่อนจะเท้าเอวมองซากความเสียหายของรถตำรวจที่ขวางทางเข้าเพราะอุบัติเหตุเมื่อก่อนหน้านี้ ในเมื่อทั้งคู่ขับวนหามาร่วมชั่วโมงแล้วแต่กลับไม่เจอร้านขายปืนเลย เพราะฉะนั้นที่นี่เลยกลายเป็นความหวังสุดท้ายที่พวกเขาจะหาปืนกลับไปได้
“มึงแน่ใจเหรอว่าที่นี่จะมีปืนให้เก็บ” ร่างโปร่งถามพลางมองแผ่นหลังของคนเป็นเพื่อนที่กำลังเดินไปเปิดประตูรถตำรวจแล้วแทรกตัวเข้าไปสำรวจเก๊ะข้างใน ไม่ถึงนาทีจงอินก็เดินออกมาพร้อมกับปืนพกตำรวจสีดำ ลู่หานตาโตทำปากจู๋แล้วผิวปากทีหนึ่งก่อนจะปีนกระโปรงรถเพื่อข้ามเข้าไปข้างในสถานีตำรวจตามจงอิน
“เอาจริงป่ะ กูว่าใน สน. ก็ไม่มีห่าอะไรให้ปล้นหรอก ปืนตำรวจที่เหน็บเอวอยู่นั่นก็ปืนเปล่า ๆ ไม่มีกระสุน ดูดิ สน.เล็กแบบนี้คงเอาไว้ขังพวกเด็กแว๊นที่รอพ่อแม่มาประกันตัวเท่านั้นล่ะวะ” ลู่หานพูดขณะที่เขาทั้งคู่กำลังเดินเข้าไปข้างใน
“แล้วไอ้นี่คือหอกไร” จงอินชูปืนขึ้นมาพลางเลิกคิ้วขึ้นสูง
“อาวุธชีวภาพที่เอาไว้ฟาดหน้าใครสักคนแทนการเหนี่ยวไก”
“มึงอาจจะเป็นรายแรกที่ได้ชิมความหอมหวานของสันปืน เงียบปากไปได้ละสัด บ่นอย่างกับหมา” ลู่หานแทบหน้าคะมำเมื่อถูกเพื่อนซี้ตบหัว ร่างโปร่งเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วมองตามแผ่นหลังของใครอีกคนที่กำลังเปิดประตูเข้าไปอย่างช้า ๆ
“ใช่สิ ใครจะไปมีความคิดฉลาดเป็นกรดเหมือนกับไอ้ชานยอลล่ะ”
“ประชดอย่างกับตุ๊ด ไม่เกิดมาเป็นผู้หญิงให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยวะ”
“ถ้ากูเป็นผู้หญิง กูจะอ่อยให้มึงอยากแล้วจากไป”
“ถามกูก่อนไหมว่ากูอยากมึงหรือเปล่า นมเล็กกูไม่มองนะครับบอกก่อน”
“นมเล็กก็อัพได้”
“ถ้ามึงมีความพยายามที่จะอ่อยกูขนาดนั้นน่ะนะ ไอ้สัดขนลุก เลิกพูดเหอะกูกราบล่ะ” ร่างหนาแผ่วเสียงลงเมื่อทั้งคู่เข้ามาในสถานีตำรวจแล้ว
ทางด้านขวามีเก้าอี้ยาวที่เอาไว้ให้ญาติผู้ต้องหานั่งรอหรืออะไรสักอย่าง ส่วนฝั่งตรงข้ามคือโต๊ะสี่เหลี่ยมโง่ ๆ ที่เอาไว้ใช้ติดต่อประชาสัมพันธ์คดีเล็ก ๆ น้อย ๆ กับแฟ้มกระดาษเอสี่ที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นเต็มไปหมด ไหนจะเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาดไม่เป็นท่าคงไม่ต้องคาดหวังถึงผู้รอดชีวิตที่นี่
ในห้องขังมีตัวกินคนในชุดนักโทษอยู่สองสามตัว จากสภาพร่างกายที่ซูบผอมคาดว่าคนพวกนั้นคงอดตายมากกว่าถูกกัด แต่นั่นมันไม่ใช่ธุระของเขาที่จะต้องเข้าไปเก็บพวกมันเพื่อหวังให้เลเวลอัพ
“โอ...” ลู่หานอ้าปากหวอเมื่อเห็นตำรวจสี่นายเดินออกมาจากประตูห้องหนึ่ง ชุดเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราชเลอะคราบเลือดที่เปลี่ยนเป็นสีดำไปตามกาลเวลา
“เอาไงดีครับ”
“มึงจะรอให้ผู้กองออกมาต้อนรับไหมล่ะครับ บวกสิครับบวก”
จงอินดึงไขควงออกมาพร้อมกับแยกตัวออกไปทางซ้ายส่วนลู่หานได้แต่ยืนอยู่กับที่พร้อมกับก้มลงมองมือที่ว่างเปล่าทั้งสองข้าง ไอ้เชี่ยนี่แม่งบอกให้บวก มึงถามบ้างไหมว่ากูจะเอาอะไรไปสู้มัน ไอ้มีดอีโต้แม่ค้านั่นเขาก็ทำหายตั้งแต่ตอนออกไปหาเสบียงแล้วด้วย
จงอินหันกลับไปมองลู่หานหลังจากแทงหัวผีดิบตายไปแล้วหนึ่งตัว ร่างโปร่งแบมือทั้งสองข้างพร้อมกับยักไหล่เป็นเชิงบอกว่า ‘ก็กูไม่มีอาวุธอ่ะ’ เห็นแบบนั้นแล้วก็ขยับปากด่าโคตรเหง้ามันเบา ๆ ก่อนจะหันกลับไปถีบตัวกินคนที่กำลังเดินเข้ามาให้ถอยหลังออกไปแล้วก้มลงดึงปากกาที่เหน็บอยู่กับกระเป๋าเสื้อตรงช่วงอกของซากศพเมื่อครู่
“เอาไป!”
“ไรวะ?!” ลู่หานรับไว้ได้อย่างพอดิบพอดี แต่คิ้วเรียวก็ต้องเลิกขึ้นสูงเมื่อเห็นปากกาในมือ
“อาวุธชีวภาพว่ะ พลานุภาพโหดสัดยิ่งกว่านิวเคลียร์รัสเซีย”
“นิวเคลียร์ที่หน้า”
“มึงอย่าโง่ ปากกาแม่งแหลมกว่าเสียงไอ้ห่าเทากรี๊ดอีก แทง ๆ เข้าไปเหอะเดี๋ยวมันก็ตาย หรือถ้ามึงโง่มากก็เอาเขาบนหัวมึงขวิดมันซะ” ถึงจะหลอกด่าทางอ้อมแล้ววกกลับมาทางตรงแต่จงอินก็ยังบากบั่นเข้าไปไฝว้กับผีดิบตัวที่สองอย่างไม่ยี่หระ
ลู่หานถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ แล้วหันไปมองผีดิบที่กำลังเดินโซซัดโซเซเข้ามาหาเขา ช้าแบบนี้นอนหลับไปสามตื่นก็ไม่ได้แดกกูหรอก ร่างโปร่งกลอกตาขึ้นแล้วย่างสามขุมตรงเข้าหาผีดิบในชุดเครื่องแบบ นิ้วโป้งกดหัวปากกาลงเพื่อเพิ่มความแหลมให้กับอาวุธเส็งเคร็งที่ไอ้เพื่อนหอกหักประทานมาให้
“ฮืออออ...”
เสียงสุดท้ายของตัวกินคนหลังจากถูกปากกาโง่ ๆ แทงเข้าที่เบ้าตาอย่างแรง ลู่หานถีบเข้ากลางหน้าท้องมันแล้วชักปากกาออกมาก่อนจะสะบัดคราบเลือดออก พอหันไปทางด้านข้างก็พบว่าจงอินกำลังยืนมองเขาอยู่ พอเห็นอย่างนั้นก็เลยยืดอกภาคภูมิใจกับผลงานตัวเอง
“ทึ่งเลยดิสัด”
“งั้น ๆ อ่ะ”
“ต่อให้เป็นไม้จิ้มฟันกูก็ฆ่าพวกมันได้ มึงคิดดูเอาว่ากูโหดขนาดไหน” คนหลงตัวเองยังคงพูดไม่หยุด ลู่หานเดินเข้าไปทางด้านในแล้วก็ต้องผงะถอยหลังก้าวหนึ่งเมื่อเห็นผีดิบคลานออกมาจากหลังโต๊ะ
พอเห็นว่าอีกฝ่ายไร้ทางสู้คนอวดดีก็เลยอยากโชว์พาวให้เพื่อนได้เห็นเป็นบุญตาสักหน่อย รองเท้าสนีกเกอร์เลอะโคลนกระทืบเข้าที่เบ้าแก้มตัวกินคนอย่างแรงจนกระแทกกับพื้นซีเมนต์ก่อนที่เขาจะยกขาขึ้นอีกครั้งแล้วกระทืบซ้ำจนกะโหลกบุบลงไปได้ง่าย ๆ เพราะร่างกายที่ตายหยาบมานานพอสมควร
“กูขอถามอะไรอย่าง”
“หลายอย่างก็ได้ กูชอบตอบคำถามของคนขี้เสือก” ฝ่าเท้ายังคงบดขยี้หัวตัวกินคนที่สมองทะลักออกมาจากเบ้าตาโดยไม่มีท่าทีรังเกียจเลยสักนิด จงอินเหล่มองคนกวนตีนที่ยังคงไม่สำนึกถึงความผิดเมื่อก่อนหน้านี้แล้วก็งิดขึ้นมา
“มึงรู้เหรอว่าจะไปตามอี้ฟานที่ไหน”
“ไม่รู้”
“จบ”
“จบไรวะ” ลู่หานขมวดคิ้วมองคนเป็นเพื่อนที่กำลังเดินไปค้นลิ้นชักโต๊ะทำงานของตำรวจที่สภาพไม่เหลือเค้าความดี พอเห็นแสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ลู่หานได้สำเหนียกว่าเป้าหมายที่มาสถานีตำรวจคือหาอาวุธก่อนที่ดวงอาทิตย์จะตกดิน
“จบเพราะคำตอบของมึงมันงี่เง่าไง”
“การที่กูไม่รู้นี่มันงี่เง่าตรงไหน?”
“ตรงที่เป็นมึงนี่แหละ” จงอินส่ายหน้าหน่าย ๆ บางทีเขาก็เบื่อกับมุมเด็กของลู่หานที่เอาแต่คิดว่าตัวเองถูกจนไม่สนใจเหตุผลอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าจะปล่อยให้มันมาคนเดียวก็ใช่เรื่องอีก จุดประสงค์ที่มาก็เพราะอยากเกลี้ยกล่อมให้ลู่หานสงบลง ส่วนอาวุธพวกนี้ก็คือผลพลอยได้ก็เท่านั้น
“ถ้าไม่รู้ก็แค่ตามหาป่ะวะ?”
“ถ้าตามแล้วไปเจอตอมึงจะทำไง?”
“วิ่งดิครับวิ่ง...เยด เจอคลังกระสุนแล้วว่ะ” ลู่หานยิ้มกว้างเมื่อเห็นกล่องกระสุนปืนที่อยู่ในตู้ด้านในสุด ถึงจะมีเพียงแค่สามสี่กล่องแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรติดมือกลับไปเลย
“ลองคิดเล่น ๆ นะว่าถ้าเกิดกู มึง ไอ้ห่าเทา อึนจี มินซอกบุกเข้าไปช่วยอี้ฟาน พวกมันมีกันเยอะมาก สาดกระสุนมาไม่หยุด พวกเราทุกคนหนีกันจ้าละหวั่น มึงเอาตัวรอดได้ แล้วคนอื่นล่ะ?”
“ก็หนีไง”
“แล้วถ้ามินซอกถูกยิงล่ะ” ลู่หานกริบกับคำพูดของจงอิน เขาก็ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปว่าคนอื่น ๆ ไม่ได้ตีนผีเหมือนกับเขาโดยเฉพาะมินซอกที่ไม่ได้โดดเด่นเรื่องการเอาตัวรอด สองมือกอดกล่องกระสุนทั้งหมดเอาไว้แล้วเดินออกมาจากตรงนั้น
“ก็บอกแล้วไงว่ากูไม่ได้ขอให้ใครไปเสี่ยงตายด้วย”
“มึงฟังคนอื่นบ้างเถอะอย่าเอาอารมณ์เป็นหลัก มึงเห็นสีหน้าคนอื่น ๆ ตอนมึงลมบ้าหมูขึ้นบ้างไหม?” จงอินก้มลงปลดกุญแจมือที่ห้อยอยู่ตรงเข็มขัดนายตำรวจที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น คาดว่าเขาอาจจะได้ใช้งานมันเข้าสักวัน
“เออ กูผิด”
“กว่าจะสำนึกได้ คนอื่นเขาเอียนหนังหน้ามึงไปแล้วว่ะ”
“WHO CARES?? ถามหน่อยครับว่าใครแคร์?”
“คนที่แคร์มึงน่ะไม่มีหรอก”
“สัด” ลู่หานวางกล่องกระสุนปืนลงแล้วเขวี้ยงกล่องเก็บปากกาใส่หัวจงอิน
“มึงก็มีเหตุผลของมึง ชานยอลก็มีเหตุผลของมัน มึงจะพีคทำห่าอะไรขนาดนั้นกูถามหน่อย” สิ่งสุดท้ายที่เก็บขึ้นมาคือกระบองตำรวจ ถึงจะใช้ฆ่าตัวกินคนไม่ได้แต่หยิบติดไม้ติดมือกลับไปก็ดี
“ก็กูหมั่นหน้ามันอ่ะ มึงไม่เข้าใจหรอก”
“ไม่ใช่กูคนเดียวด้วยนะ คนทั้งโลกก็ไม่เข้าใจมึงเหมือนกัน”
“มึงเพื่อนกูป่ะถามจริง”
“เพราะกูเป็นเพื่อนมึงไง กูถึงได้ด่าเตือนสติมึงมาจนถึงวินาทีนี้”
“...”
“แดกข้าวหม้อเดียวกันแล้วยังทะเลาะกันอีก” จงอินส่ายหน้าหน่าย ๆ แล้วเดินเข้าไปหาศพผีดิบตัวอื่นที่มีปืนพกเหน็บอยู่ตรงช่วงเอว
“โอเค กูผิด กูยอมแล้ว” ลู่หานขึ้นไปนั่งบนโต๊ะทำงานพลางมองไปยังใครอีกคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาค้นตัวศพนายตำรวจอยู่ “แต่ที่ทำไปก็เพราะว่ากูอยากให้อี้ฟานกลับมาอยู่ด้วยกันป่ะวะ”
“ทุกคนก็อยาก แต่ทุกอย่างมันต้องมีขั้นตอน”
“นี่แหละขั้นตอนของกู”
“ขั้นตอนของมึงมันไม่ผ่านความเห็นของส่วนรวม”
“แต่ไอ้เทากับอึนจีก็เห็นด้วยนะ”
“มึงจะเอาอะไรกับเด็กอายุสิบแปดที่แม่งจัดการพวกตัวกินคนโดยการโยนเข้ากองไฟวะห่า”
“อย่างน้อยก็สองคนล่ะวะ”
“แล้วที่เหลือล่ะ?”
“คนที่เหลือก็แค่ไม่กล้าออกไปเสี่ยงตายเหมือนกูก็เท่านั้น”
“ชีวิตคนไม่ใช่เกมออนไลน์นะสัด ที่จะโดนยิงตายแล้วกลับไปเกิดใหม่ได้ง่าย ๆ มันก็ไม่ผิดที่เขาจะกลัวตาย เพราะกูก็กลัวเหมือนกันหรือมึงไม่กลัว?” จงอินพยายามอธิบายให้คนหัวรั้นเข้าใจ เพราะนาทีนี้ลู่หานคงไม่ยอมฟังใครแล้วนอกจากเขา
“เออกลัวก็ได้ แล้วไงต่อ”
“กูบอกแล้วว่ามันต้องมีขั้นตอน ไม่ใช่บุ่มบ่ามบุกเข้าไปแบบนั้นคือตายฟรี มึงช่วยสำเหนียกตัวเองด้วยว่าพ่อมึงไม่ได้เป็นคนเหล็ก โดนยิงแล้วตายห่านะครับ”
“เออ”
“แล้วมึงไปประชดชานยอลแบบนั้นก็ไม่ถูก มันเคยช่วยชีวิตมึง มันเคยช่วยดูแลทุกคนตอนที่มึงนอนเดี้ยงไส้จะทะลักออกมา”
“โห มึงจะขุดคุ้ยอีกนานไหม กูก็เข้าไปช่วยมันในค่ายเหมือนกันป่ะ เรื่องนี้มันทดแทนกันได้”
“ไม่มีเรื่องไหนทดแทนกันได้หรอก คนเราต้องรู้จักบุญคุณคน ไอ้สัดพูดแล้วกระดากปากชิบหาย” ร่างหนาส่ายหน้าหน่าย ๆ ที่จะต้องมาพูดมาสอนไอ้หอกนี่ด้วยคำพูดดี ๆ ซึ่งดูแล้วมันก็ไม่ได้อินกับสิ่งที่เขาพร่ามสักเท่าไหร่ด้วย
“แล้วสิ่งที่กูเคยทำให้ทุกคนอ่ะ”
“การทวงบุญคุณทำให้มึงรู้สึกดีขึ้นมาป่ะ”
“นาทีนี้คงไม่มีอะไรทำให้กูรู้สึกดีขึ้นได้นอกจากเห็นพิธีกรเดินเข้ามาพร้อมกับตากล้องแล้วพูดว่านี่คือรายการเรียลลิตี้ที่จัดฉากทั้งหมดขึ้นมาอ่ะสัด ที่กูถามแบบนั้นก็แค่อยากรู้ว่าคนอื่น ๆ จะนึกถึงสิ่งที่กูเคยทำให้บ้างไหมก็เท่านั้น” พูดแล้วแม่งก็น้อยใจชิบหาย พอเอาเข้าจริง ๆ ก็พากันแห่ไปเข้าข้างไอ้ชานยอลกันหมด
“เรื่องนั้นมันไม่สำคัญหรอก ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมาทวงบุญคุณอะไรทั้งนั้นแหละ แค่หายใจไปวัน ๆ ไปโดยที่ไม่ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอวะ”
“แต่มึงกำลังบอกให้กูสำนึกบุญคุณของไอ้ห่าชานยอล”
“กูบอกเพื่อให้มึงมองโลกให้กว้างขึ้นไง ไม่ใช่ก้มลงมองแต่ปลายตีนตัวเอง”
“มึงแม่งสองมาตรฐาน นรก”
“ตามนั้น”
“เพื่อนเหี้ย” เห็นจงอินยักไหล่ตอนกำลังหอบของออกมาแล้วก็หงุดหงิดเลยถีบสีข้างไปทีนึง ร่างหนาเซไปทางด้านข้างเล็กน้อย พอตั้งหลักได้ก็เสตามองเพื่อนซี้ที่กำลังแสดงสีหน้าไม่พอใจอยู่
“ใช่ มึงมันเหี้ย”
“เหี้ยกับเหี้ยอยู่ด้วยกันได้”
“ใครอยากอยู่กับมึง? โน่นเลยรถตำรวจ อยากโชว์เหนือมากก็ขับรถเปิดหวอไปเลยครับ ตามสะดวก” จงอินผายมือออกไปข้างหน้าหลังจากที่ทั้งคู่เดินออกมาจากสถานีตำรวจแล้วหากแต่ลู่หานไม่สนใจ เขาถีบก้นร่างหนาจนแทบหน้าทิ่มแล้วก็ต้องเป็นฝ่ายวิ่งหนีบ้างเมื่ออีกคนคิดจะเอาคืน
ถึงคำพูดของจงอินจะทำให้เขาคิดได้บ้าง แต่ไอ้ความคิดที่ว่าจะให้เข้าไปญาติดีกับปาร์คชานยอลน่ะ...ลืมไปได้เลย
ประตูกระจกดำถูกเปิดออกเพื่อให้คนกลุ่มหนึ่งเข้ามา ร่างของเด็กหนุ่มถูกผลักเข้าไปทางด้านในจนไถลไปกับพื้น คังยุนฮานิ่วหน้าเจ็บกับบาดแผลที่ถูกยิงเฉียดขา บางคนแค่เดินผ่านก็เตะเด็กหนุ่มเพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องสนุก ยุนฮางอเข่าเข้าหาตัว เสียงโอดครวญของเขาคือสิ่งที่ทำให้พวกเลวนี่ยิ้มออกมาได้
เปลือกตาปรือมองบรรยากาศโดยรอบ...แสงสว่างที่เกิดขึ้นจากเทียนหลายเล่ม มีชายหนุ่มยืนอยู่ข้างในบาร์น้ำที่มีเหล้าและไวน์หลากชนิดตั้งอยู่ข้างหลัง มีผู้ชายอีกสามสี่คนที่นั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์บาร์ บางคนถือขวดเบียร์ขนาดเหมาะมือ บางคนดื่มเหล้า เสียงทุ้มของจังหวะเพลงฮาร์ดคอดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ยุนฮาขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้มองเห็นทุกอย่างได้ถนัดยิ่งขึ้น และเขาก็ได้รู้ว่าเสียงเพลงที่ดังทุ้มรอบสถานที่แห่งนี้มาจากรถราคาแพงคันหนึ่งที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามจอดอยู่กลางฟลอร์
ที่นี่คือผับ...
“วันนี้มีแขกใหม่เหรอวะ?”
“ใช่พี่ แต่จับมาได้แค่คนเดียว อีกสองคนหนีไปได้ อีกคนนึงตกหน้าผาตายห่าไปละฮ่า ๆ ” ได้ยินเสียงประจบสอพลอชัดเจนแม้ว่าเสียงเพลงจะดังทุ้มจนทำให้ปวดหัวไปหมด
“ไปทำห่าอะไรที่หน้าผาวะ?”
“มันมีคนนึงวิ่งหนีไงพี่ ไอ้เจียเหิงเลยจัดการแม่ง”
“หืม?” ชายวัยกลางคนที่สักลายเต็มแขนจนลามมาถึงช่วงคอเลิกคิ้วขึ้นสูงราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ลูกสมุนบอกกล่าว ยุนฮาหันไปมองใครอีกคนที่ก้าวมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เขาพร้อมกับถอดหมวกโม่งสีดำออก “มึงน่ะเหรอฆ่าคน?”
“อืม” ร่างสูงขานตอบในลำคอ เขาไม่ได้พยายามอธิบายเพื่อให้ได้รับคำชมเยินยอเหมือนอย่างที่คนอื่น ๆ ทำ
“จะว่าไปเราก็ไม่เจอคนเป็น ๆ มานานพอสมควรแล้วนะ” ชายวัยกลางคนที่ใคร ๆ เรียกว่าลูกพี่หยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้สูงหน้าเคาน์เตอร์บาร์พร้อมกับไฟแช็คที่ถูกจุดโดยคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างรู้งาน “ล่าสุดก็ตอนก่อนค่ายแตก” นัยน์ตาเรียวรีมองไปยังชายหนุ่มร่างสูงที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเรียบเฉย ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นแม้ว่ามันจะทำให้พวกเขาเสียที่อยู่และพรรคพวกไปเกินครึ่งก็ตาม โดยเฉพาะน้องรักของเขา...คิมนัมจุน
“ไหน มึงพามันมาให้กูดูหน้าใกล้ ๆ หน่อยซิ” คนเป็นผู้นำเท้าแขนไปข้างหลังพลางเอนพิงกับเคาน์เตอร์บาร์ ลูกสมุนที่ซื่อสัตย์พยักหน้าแล้วลากคอเสื้อเด็กหนุ่มให้เข้ามาหยุดอยู่ที่ปลายเท้าเขาก่อนจะจิกผมให้เงยหน้าขึ้น
“โอ๊ย!”
“อ้าว หน้าไม่คุ้น” ชายวัยกลางคนหัวเราะแล้วโน้มตัวลงไปมองใกล้ ๆ “กูนึกว่าจะโชคดีเจอเพื่อนเก่ามึงซะอีกนะเจียเหิง” พูดจบก็เงยหน้าขึ้นมองร่างสูง
“ทำไมเหรอลูกพี่?” ลูกสมุนที่อยู่ข้าง ๆ ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“กูแค่คิดว่ามันจะเป็นยังไงนะถ้าเกิดพวกไอ้เด็กเปรตนั่นได้เจอมันอีกครั้ง พวกมันจะมีความพยายามฝ่าลูกปืนเข้ามาช่วยมันเหมือนตอนค่ายแตกหรือเปล่า” ชายวัยกลางคนกระตุกยิ้ม
“มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่คิดจะทำแบบนั้น” ชายหนุ่มร่างสูงพูดเสียงเรียบ “กับคนที่แค่ผ่านมาเจอกันยิ่งเป็นไปไม่ได้” ยุนฮาขมวดคิ้วมองคนข้าง ๆ ก่อนจะพยายามหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง และสิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องเบิกตากว้างก็คือใครคนหนึ่งที่เขาเคยคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
“คุณอี้...” คำพูดถูกกลืนลงคอไปหมดเมื่อเห็นสายตาของร่างสูงที่ส่งมาเป็นเชิงห้าม
“ใช่พี่ ไอ้เจียเหิงมันเล่าให้ผมฟังว่ามันแค่หนีไปด้วยกันเฉย ๆ ไม่ได้เป็นเพื่อนกับไอ้พวกเวรนั่นเลย”
“งั้นเหรอ” แววตาที่มองมาราวกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่ร่างสูงพูดเป็นเรื่องจริงแม้จะได้ยินจากปากลูกสมุนผู้ซื่อสัตย์แล้วก็ตาม ชายหนุ่มชาวจีนยังคงยืนนิ่ง เขาเป็นอย่างนี้เสมอ
เหตุการณ์วันนั้นที่เกือบตายในค่ายนรก พวกมันเล็งปืนมาตรงหน้าเขา...เปลือกตาปิดลงเพื่อรับชะตากรรมหากแต่กระสุนปืนกลับฝังลงบนพื้นซีเมนต์จนหูอื้อไปหมด ความเจ็บปวดร้อนแผ่ซ่านไปทั่วเพราะสะเก็ดกระสุนปืนที่ยิงเฉียดจนใบหูจนบิ่นไปเล็กน้อยรวมถึงรอยแผลเป็นตรงโหนกแก้มของเขาด้วย
ร่างของเขาถูกลากออกมาจากตรงนั้นอย่างทุลักทุเล ไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้ต้องการอะไร อาจจะจับเขาไปทรมานทีหลังหรือว่าจะใช้เป็นเกราะกำบังพวกตัวกินคน แต่สุดท้ายอู๋อี้ฟานก็ได้คำตอบว่าพวกมันแค่คิดจะเก็บเขาไว้ดูเล่นเพื่อเอาไว้เป็นลูกน้องหากว่าเขาทำตัวดี แน่นอนว่าการบอกชื่อที่แท้จริงกับพวกมันคงไม่ใช่เรื่องที่เข้าท่า ‘หลี่เจียเหิง’ คือชื่อใหม่ที่เขาคิดขึ้นมาเองตอนพวกมันถามระหว่างถูกซ้อม...
“แต่ไม่อยากเชื่อเลยนะ ว่าคนอย่างมึงจะฆ่าคนได้ลง”
“มันไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก”
“นั่นสิ” ชายวัยกลางคนยกยิ้มแล้วใช้เท้าเขี่ยเด็กหนุ่มที่อยู่บนพื้นออกไป “กูยกไอ้เด็กนี่ให้มึงแล้วกัน”
“...” ร่างสูงอึ้งไปชั่วอึดใจ นัยน์ตาคมหลุบมองเด็กหนุ่มที่ยังคงเลือดไหลไม่หยุด เขารู้ดีว่า ‘ยกให้’ ในที่นี้หมายความว่ายังไง เพราะเขาก็เคยผ่านจุดนี้มาแล้วเหมือนกัน เด็กหนุ่มมองเขาด้วยสายตาหวาดกลัวเมื่อเห็นร่างสูงปลดเข็มขัดหนังสีดำแล้วรูดมันออกมาก่อนจะพันกับมือเอาไว้
“ฮ่า ๆ ” เสียงหัวเราะพอใจของพวกระยำกรอกเข้าหูไม่หยุด ทุกอย่างกดดันให้เขาต้องทำไม่งั้นเด็กคนนี้ต้องเจ็บตัวมากกว่าที่คิดเอาไว้แน่ ยุนฮาส่ายหน้าพรืดเมื่อร่างสูงง้างมือขึ้นก่อนจะฟาดเข็มขัดลงบนตัวเขาอย่างแรง
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก!!!”
“ฮ่า ๆ ”
“เอาอีก! เอาให้เลือดสาดเลย!”
“...” นัยน์ตาสั่นเครือเมื่อเห็นภาพเด็กหนุ่มนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด ร่างสูงทำใจฟาดลงไปอีกครั้ง...อีกครั้ง...และอีกครั้ง ทุกครั้งที่เข็มขัดฟาดลงเสียงแผดร้องก็ดังตามมาให้รู้สึกผิด โชว์นี้กลายเป็นเรื่องน่าสนใจเพียงแค่ห้านาทีคนอื่น ๆ ก็หันไปสนใจกับเรื่องที่เคยทำเมื่อก่อนหน้านี้แทน
อี้ฟานเงยหน้าขึ้นกวาดสายตาไปรอบ ๆ แม้แต่ไอ้เลวยองจุนที่เป็นผู้นำก็หันไปสนใจกับขวดเหล้าที่วางอยู่เคาน์เตอร์บาร์ ร่างสูงฟาดเข็มขัดลงบนพื้นแทนที่จะฟาดลงบนตัวยุนฮา เพียงแค่ไม่กี่ครั้งเขาก็หยุดการกระทำแล้วก้มลงกระชากคอเสื้ออีกคนขึ้นมา
“คุณ...ทำไมคุณถึงทำแบบนี้...”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรถ้ายังไม่อยากตาย” ร่างสูงพูดเบา ๆ พอให้ได้ยินกันแค่สองคนก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วกระชากลากดึงเด็กหนุ่มให้คลานตามมาอย่างทุลักทุเล “ฉันจะเอามันไปเก็บ” ไม่ได้ต้องการให้ไอ้เลวยองจุนขานตอบอะไรกลับมา ก็แค่การบอกกล่าวเพื่อให้มันรับรู้เท่านั้น
“โอ๊ย...” เด็กหนุ่มนิ่วหน้าเจ็บพลางปรือตามองร่างสูงที่กำลังลนลานค้นหากล่องปฐมพยาบาลขึ้นมาวางไว้บนลังขวดเบียร์ที่กองกันขั้นสูงถึงช่วงอก ชายหนุ่มที่เคยฟาดเขาอย่างทารุณกำลังกรูเข้ามาดูบาดแผลที่ขาให้ด้วยความเป็นห่วง
“คุณคือคุณอี้ฟานจริง ๆ ใช่ไหม?”
“คุณเป็นใคร ทำไมถึงรู้จักชื่อผม?”
“ผมมาจากโรงเรียน คุณคงจำผมไม่ได้ เราเคยทักทายกันแค่หนเดียวตอนที่ผมช่วยยกซากตัวกัดคนขึ้นท้ายกระบะ”
“โอเค เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน” ร่างสูงหันไปสังเกตการณ์ข้างหลังแล้วหันกลับมาอีกครั้งเมื่อพบว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ “เมื่อกี้คุณมากับใครบ้าง?”
“เทา...ลู่หาน...แล้วก็จงอิน” เด็กหนุ่มนิ่วหน้าเมื่อร่างสูงกำลังราดแอลกอฮอล์ลงบนแผลเขา
“พวกคุณมีกันกี่คน”
“อ๊ากกก...ทั้ง...ทั้งหมดรวมกับกลุ่มของพวกจงอินแล้วก็ประมาณสิบคน...อึ่ก...”
“ทำไมมีกันแค่นั้นล่ะ คนที่เหลือไปไหนหมด?”
“ร...โรงเรียนแตก พวกเราเหลือรอดกันมาแค่สี่คน...มีผม...เทา...ครูกาฮี...แล้วก็อึนจี...อ๊ากกก”
“แข็งใจไว้นะ” ร่างสูงกดผ้าลงบนแผลหลังจากราดทิงเจอร์และตามด้วยเบตาดีนไปแล้วก่อนจะใช้ผ้าขาดมัดเอาไว้ “แล้วกลุ่มของจงอินล่ะ”
“อ...อยู่ครบครับ...”
“ดี...” ร่างสูงตบบ่าเด็กหนุ่มพร้อมกับก้มหน้าลงถอนหายใจเบา ๆ นี่เป็นข่าวดีที่สุดในรอบเดือนที่เขาได้ยิน
“พ...พวกเขาคิดว่าคุณตายแล้ว”
“เอาล่ะ คุณฟังผมนะ ตอนนี้สิ่งที่คุณต้องทำคืออดทน ไม่ว่ามันจะทำอะไรก็ตาม อย่ายั่วโมโห อย่าสู้ อย่าคิดหนี”
“คุณจะพาผมหนีไปใช่ไหม...?”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้”
“ครับ...ผมชื่อ...”
“ไม่ต้องแนะนำตัว ผมไม่อยากหลุดเรียกชื่อคุณให้พวกมันสงสัย” ร่างสูงพูดก่อนจะลุกขึ้นยืน “ผมต้องไปแล้ว”
“ผมจะโดนทำอะไรอีกหรือเปล่า...”
“อาจจะ” ร่างสูงถอนหายใจแล้วทิ้งเด็กหนุ่มไว้ตรงนั้น ขายาวก้าวออกมาข้างนอก ในหัวของเขามีแต่เรื่องคิดที่จะหนีออกไปจากที่นี่หลังจากได้รู้ว่าคนอื่น ๆ ยังคงมีชีวิตอยู่
ขายาวหยุดชะงักเมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนจ้องเขาด้วยแววตาเรียบเฉย...เด็กหนุ่มคนนี้ที่เขามักจะเดินสวนทางกันอยู่บ่อย ๆ แต่ทั้งคู่กลับไม่เคยคุยกันเลยสักครั้งเดียว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะสิ่งที่ทำให้เขากลัวก็คือระยะห่างที่เด็กคนนั้นยืนอยู่กับที่ ๆ เขาเพิ่งเดินออกมาเมื่อครู่มันอยู่ใกล้กันเหลือเกิน...
“มองหน้าผมแบบนั้นหมายความว่าไง”
“เปล่า”
“คุณกลัวผมจะปากโป้งงั้นเหรอ” แววตาที่ว่าน่ากลัวอยู่แล้วแต่พอมากับประโยคเชิงขู่มันเลยทำให้เด็กตัวเล็กดูถือไพ่เหนือกว่า มันคงไม่ดีแน่ถ้าพวกยองจุนรู้เรื่องที่เขาคิดจะหนีออกไปจากที่นี่กับเด็กคนนั้น
“นายพูดเหมือนรู้อะไร”
“รู้?”
“นาย...”
“เฮ้ย! ไอ้ลูกหมาโดคยองซูอยู่ไหนวะ มาเสิร์ฟเหล้าหน่อยดิ๊!” เสียงที่ตะโกนมาจากทางด้านนอกดึงความสนใจจากทั้งคู่ออกจากกัน
“ครับ! ผมจะไปเดี๋ยวนี้” เจ้าของชื่อตะโกนกลับแล้วหันมามองร่างสูงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกไปข้างนอก
ร่างสูงมองไปยังเด็กที่ดูเหมือนจะอายุน้อยที่สุดกำลังรีบปรี่เข้าไปหยิบแก้วใส่ถาดกลมแล้วรินเหล้าใส่จนครบแล้วเดินวนส่งให้ทุกคนอย่างรู้งาน คนตัวเล็กโค้งหัวขอโทษเมื่อถูกไอ้กุ๊ยต่อว่าเรื่องไร้สาระแล้วรีบวิ่งกลับไปเอาขวดเบียร์มาให้แล้วโค้งหัวซ้ำอีกครั้ง ตอนนี้เขากำลังลุ้น...ลุ้นว่าเด็กนั่นจะบอกความลับของเขาหรือเปล่า...แต่ดูเหมือนว่าอู๋อี้ฟานจะคิดผิด...
เพราะโดคยองซูไม่ได้ปริปากพูดอะไร...มีเพียงแค่แววตาคู่นั้นที่มองมายังเขาเท่านั้น...
TBC
หายไป 1 อาทิตย์เต็ม ๆ เพราะหนีไปเที่ยวต่างจังหวัดมา เรายังอยู่นะคะ ยังไม่ถูกตัวกินคนงาบไป ยังไม่ตายยยยยยยยยยยยยย
เอาล่ะ เราเฉลยปมพี่อี้ฟานไปบ้างแล้ว คงคลายความค้างคาใจของหลาย ๆ คนไม่มากก็น้อยแหละเนอะ แต่ที่สำคัญคือ...น้องคยองซูของขุ่นแม่ออกมาแล้วนะคะ (ลุกขึ้นปรบมือ) น้องคยองจะเป็นคนไม่ดีหรือเปล่า ทำไมทำตัวลึกลับน่ากลัวแบบนั้น คู่ชานลู่ก็กลับมาไฝว้กันอีกแล้ว คราวนี้คนอ่านจะยังเข้าข้างพี่ลู่คนไร้เหตุผลอยู่ไหม?! คนนึงใจร้อนเพราะห่วงเพื่อน อีกคนใจเย็นทำเพื่อส่วนรวม แต่ก็นะ ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง ร้อยพ่อพันแม่มาเจอกัน มันก็ต้องมีบ้างที่ความเห็นไม่ตรงกันถูกไหมคะ #แพร่มไรเยอะแยะจะหน้า A4 ละ
สุดท้ายนี้ 555555555555555555555555555555
สวัสดีข่ะคุณคนที่ก๊อปฟิคมงิน คุณเข้ามาอ่านหรือเปล่าคะ ถ้าอ่านอยู่มลินอยากถามว่าอะไรเข้าฝันให้คุณทำแบบนี้เหรอคะ มีสติไหมคะตอนก๊อป หรือคิดว่าก๊อปไปบอร์ดปิดแล้วจะไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น มันไม่ดีนะคะแบบนี้ อย่าทำอีกเลยนะคะ มลินไม่ชอบตอนตัวเองโมโหค่ะ ตกมันแล้วไม่น่ารัก ไม่อยากโดนใครนินทาเพราะเรื่องก๊อปฟิคค่ะ
ใครจะอยากถูกก๊อปฟิคอ่ะเนอะ พอเราดราม่าก็มีคนแซะว่าเออ ฟิคมึงสนุกมากเหรอ คิดไปเองเปล่าไรงี้ ก็ไม่ได้คิดหรอกค่ะ แค่โมโหที่ถูกก๊อปเฉย ๆ
สุดท้ายจริง ๆ แล้ว มลินปิดจองฟิคซีซั่น 1 วันที่ 15 กุมภาแล้วนะคะ ใครยังไม่จองก็รีบจองเด้อ <3
#ficzombie
ความคิดเห็น