ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZOMBIES HARD CREEPER | KAIHUN CHANBAEK FT.EXO

    ลำดับตอนที่ #39 : Chapter 36 :: Hopelessness

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 14.03K
      145
      18 เม.ย. 57

    ? Tenpoints!

     

    Chapter 36

    Hopelessness

     
     

     
     

    สองขาเริ่มล้าเมื่อทั้งคู่ใช้เวลาเดินทางมาเกือบสองชั่วโมง ร่างหนาหันไปมองทางขวามือเมื่อเห็นแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า หันกลับไปมองคนที่เดินตามมาข้างหลังแล้วเก็บไฟฉายเข้ากระเป๋า

    กี่โมงแล้ว

    ตีห้าสี่สิบ

    เยี่ยม ตอนนั้นเราเริ่มเดินกันตอนกี่โมงนะ?

    ผมไม่ได้ดูนาฬิกา

    ขอบใจ ดูเหมือนว่าเขาจะคาดหวังคำตอบดี ๆ จากเด็กนรกนี่มากเกินไป จงอินขยับปากบ่นอุบอิบแล้วเดินต่อไปข้างหน้า ได้แต่บอกตัวเองว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าหันไปเสวนากับเด็กนี่จะดีกว่า ใช้เวลาเดินอีกสิบห้านาทีก็มาถึงท่าเรือ ร่างหนายกมือห้ามอีกคนให้ยืนรออยู่กับที่ส่วนเขาจะเข้าไปดูลาดเลาก่อน

    ขายาวค่อย ๆ เดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง แต่ทันทีที่เดินมาถึงลานกว้างเขาก็ต้องหยุดฝีเท้าแล้วกวาดสายตาไปรอบ ๆ มินซอกที่รออยู่ข้างหลังนึกประหลาดใจที่เห็นคนตัวโตกว่ายืนนิ่งไม่ขยับไปไหนเลยตัดสินใจเดินเข้าไปหา และสิ่งที่ทำให้เขาต้องตกใจก็คือศพจำนวนมากที่ไหม้เกรียมจากการเผาไหม้และกองกันอยู่ตรงจุดเดียวกัน ขายาวก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากศพกองนั้น ที่สำคัญ...บนท่าเรือที่เขายืนอยู่มันไม่มีตัวกินคนหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่ตัวเดียว

    ดูเหมือนว่าผมจะหมดหน้าที่แล้ว มินซอกกลอกตามองคนข้าง ๆ ที่ยังคงตกใจกับสิ่งที่เห็น จงอินได้แต่ขยับปากพูดกับตัวเองแล้วเดินสำรวจไปรอบ ๆ

    ฝีมือใครวะ...

    ตรงนี้เหรอที่คุณคลาดจากคนอื่น ๆ

    ใช่ แล้วพวกที่ไล่กวดฉันก็ไปกองอยู่ตรงนั้นกันหมดแล้ว จงอินชี้ไปที่ยังซากศพที่กองอยู่ทางด้านขวา

    หรือจะเป็นฝีมือของพวกเขา

    จะเป็นไปได้ยังไง ถ้าบอกว่าฝีมือคนอื่นคงน่าเชื่อมากกว่า

    ทำไมล่ะ บางทีพวกเขาอาจจะกลับมาช่วยคุณ

    ไม่ใช่แน่ ๆ คนพวกนั้นจะหาไฟจากไหนมาเผามัน ปืนไฟงั้นเหรอ?

    ไม่รู้สิ ผมก็แค่คิดว่าบางทีพวกเขาอาจจะคิดเหมือนกับคุณ จงอินหันไปมองคนตัวเล็กที่ตั้งปืนไรเฟิลขึ้นมาเพื่อส่องกล้องไปรอบ ๆ ขนาดคุณยังคิดที่จะตามหาเขา เรื่องเผาพวกกัดคนให้ตายทั้งบางมันก็คงไม่ยากเกินความสามารถหรอกมั้ง?

    ...

    แต่ไหนแต่ไรคิมจงอินก็ไม่ใช่คนชอบคิดเข้าข้างตัวเอง เขาคิดอยู่เสมอว่าในเมื่อเกิดมาคนเดียวยังไงก็ตายคนเดียว และคงไม่มีใครห่วงว่าเขาจะเป็นอยู่หรือตาย ไม่เคยคิดเข้าข้างตัวเองว่าคนพวกนั้นจะรอเขาอยู่หรือเปล่า เพราะในหัวของเขาคิดแค่ว่าต้องทำยังไงถึงจะตามหาทุกคนเจอเท่านั้น แต่พอได้ยินมินซอกพูดแบบนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันรู้สึกดีจริง ๆ

     

     

    กับความคิดที่ว่ามีคนสำคัญกำลังรอเขาอยู่...

    และที่สำคัญ...คนพวกนั้นก็กำลังพยายามตามหาเขาอยู่เช่นกัน...

     

     

    ผมสงสัยอยู่อย่างนึง ว่าทำไมคุณถึงไม่ไปปูซานถ้าที่นี่มีแต่พวกกัดคนอยู่เต็มไปหมด

    ปูซาน?

    ใช่ ที่นั่นก็ไปเกาะเชจูได้เหมือนกัน

    อ้าวเวร

    อย่าบอกว่าไม่รู้? มินซอกเหล่มองคนข้าง ๆ ที่ดูเหมือนจะคาดไม่ถึงกับสิ่งที่เขาพูด

    เอ้อออออ...จงอินดูงง ๆ แล้วตบบ่าเด็กหนุ่มดังตุ๊บจนแทบไหล่ทรุด มินซอกขมวดคิ้วแล้วปัดมือหนาออกแรง ๆ ช่างหัวปูซานเถอะ เรามาถึงที่นี่แล้วไง แถมยังมีคนเคลียร์ทางให้อีก ไม่ต้องเปลืองกระสุน

    แล้วถ้าเกิดมันเป็นฝีมือของพวกเขาล่ะ? จงอินเลิกคิ้วขึ้นสูงขณะมองหน้าอีกฝ่าย ถ้าเกิดพวกเขากลับมาเพื่อช่วยเคลียร์ท่าเรือให้ คุณจะไม่ไปเชจูเสียเที่ยวเหรอ? คำพูดของมินซอกทำให้เขาชั่งใจอยู่ในระดับหนึ่ง

    ที่นายพูดมันก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ แต่ถ้าคิดอีกแง่นึงบางทีอาจจะเป็นฝีมือคนอื่นที่ผ่านมาทางนี้แล้วนั่งเรือไปเกาะเชจูเหมือนกัน จงอินพูดแล้วเดินนำหน้าไปหาเรือ ก็มันไม่มีสิ่งยืนยันได้เลยนี่หว่าว่านั่นเป็นฝีมือของคนพวกนั้น

    ...

    ยังไงก็ต้องลองไปเชจูก่อนร่างหนาสตาร์ทเครื่องแล้วกระดิกนิ้วเรียกเด็กน้อยที่ยืนมองอยู่ข้างบน มินซอกยักไหล่แล้วค่อย ๆ เดินลงเรือ จงอินรูดซิบกระเป๋าเป้แล้วหยิบแผนที่ออกมาคลี่ดู นิ้วชี้เรียวยาวลากมาอยู่ตรงคำว่า มกโพ แล้วค่อย ๆ ลากไปตามทางจนถึงคำว่า เกาะเชจู

    รู้เหรอว่าต้องไปทางไหน

    กำลังดูอยู่นี่ไง เก็บแผนที่ใส่กระเป๋าแล้วเอื้อมไปตัดเชือกที่ผูกกับท่าเรือไว้ มินซอกมองอีกคนแล้วก็นั่งลงข้างหลัง

    ระวังน้ำมันหมด

    ถ้ามันหมดฉันจะให้นายเอาปากคาบเชือกไว้แล้วว่ายน้ำลากเรือไป จงอินยื่นเชือกมาให้แล้วเด็กน้อยก็ปัดมือออกอย่างรำคาญ คนขี้แกล้งหัวเราะพอใจแล้วขยี้หัวเด็กอวดดีไปแรง ๆ ทีนึง

     

     

     

     

     

     

    ประมาณห้าชั่วโมงในการนั่งเรือ สุดท้ายทั้งคู่ก็มาถึงเกาะเชจูตามที่คาดหวังเอาไว้ จงอินขับวนไปวนมาหาที่จอดเทียบท่าแล้วปีนขึ้นไปบนฝั่ง ทั้งสองคนมีสีหน้าอิดโรยจากการเดินทางที่แสนยาวนาน จงอินหันไปมองคนข้างหลังที่ทำหน้าเหมือนใกล้จะตายเต็มที ส่วนเขาได้แต่เอาฝ่ามือนวดหน้าทั้งสองข้าง โดนลมตีหน้าจนชาไปหมดแล้วกู

    ตรงนั้น มินซอกชี้ไปข้างหลังทันทีที่เห็นตัวกินคนในชุดชาวประมงกำลังเดินมาทางนี้ จงอินถอนหายใจหน่าย ๆ เมื่อสิ่งที่เขาเจอเป็นอย่างแรกกลับไม่ใช่มนุษย์อย่างที่คาดหวังเอาไว้ สุดท้ายที่นี่ก็ไม่มีหอกอะไรเลยสินะ ร่างหนากระดิกนิ้วเรียกผีดิบราวกับมันเป็นลูกหมา น้ำลายเหนียวไหลออกจากปากส่งเสียงครางฮือในลำคอก่อนจะหงายหลังไปกับพื้นเพราะถูกถีบเข้ากลางยอดอก

    มินซอกกลอกตาขึ้นเมื่อเห็นคนตรงหน้าโชว์หล่อไม่เข้าเรื่อง คนตัวเล็กยกปืนไรเฟิลขึ้นมาเล็งแล้วยิงไปยังเป้าหมายที่ยืนอยู่ห่างจากตรงนี้ประมาณร้อยเมตรแล้วหันไปมองใครอีกคนที่กำลังดึงไขควงอกอกมาจากซากศพที่นอนอยู่บนพื้น

    เราจะไปเริ่มที่จุดไหน

    ต้องถามก่อนว่าที่นี่มีอะไรบ้าง

    งั้นคงต้องใช้แผนที่แล้วล่ะ จงอินเห็นด้วยกับที่มินซอกพูด ทั้งคู่เดินเข้าไปทางด้านในและลานจอดรถคือสิ่งแรกที่เขาเห็น แต่จะเดินตัวเบาเข้าไปก็ไม่ได้เพราะมีตัวกินคนที่ยืนเป็นอุปสรรคอยู่ตรงนั้นถึงห้าตัว

    เชิญครับหนู จงอินผายมืออย่างมีมารยาท ได้ยินแบบนั้นเด็กน้อยก็ยกปืนไรเฟิลขึ้นมาเล็งไปที่เป้าหมายแล้วจัดการมันทีละตัว

    แค่สามตัวพอนะ เซฟกระสุนไว้เพราะในเมืองคงมีผีนักท่องเที่ยวอยู่เยอะ

    อือ คนตัวเล็กลดปืนลงแล้วเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อจงอินยื่นมีดพกมาให้ อะไร

    จากที่ฟังนายเล่า ฉันคิดว่านายควรจะหัดป้องกันตัวในระยะประชิดไว้บ้าง

    ...

    ตามพี่มาครับน้องหนู เดี๋ยวพี่ชายจะพาไปอัพเวล ร่างหนาลุกขึ้นเดินเข้าไปหาผีดิบที่เหลืออยู่สองตัว มินซอกสะพายไรเฟิลไว้ข้างหลังแล้วหยุดยืนดูจงอินที่กำลังฆ่าตัวประหลาดด้วยไขควงเพียงอันเดียว

    เสียงโอดครวญของมันเรียกให้ผีดิบที่อยู่ข้าง ๆ หันมา ร่างหนาเดินเข้าหามันแต่เขากลับไม่ได้เอาไขควงแทงเข้าที่กลางหัวมันแต่อย่างใด มินซอกดูตกใจเล็กน้อยที่จู่ ๆ ผู้ชายคนนั้นเข้าไปกระชากคอเสื้อตัวกัดคนพร้อมกับกำกลุ่มผมของมันเอาไว้แล้วลากมาหาเขา

    คุณจะทำอะไรน่ะ? มินซอกถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จงอินไม่ได้มีทีท่าตกใจกลัวกับสิ่งที่เขากำลังเล่นด้วยอยู่เลยสักนิด

    กรรรรรรรรรรรรซ์ ปากของมันกำลังอ้ากว้างพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่ยื่นออกมาเมื่อเห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้า

    ฝึกให้ชินเข้าไว้ นายต้องเป็นฝ่ายจัดการมันก่อนและอย่าปล่อยให้มันเข้าถึงตัวได้ เข้าใจเปล่า?

    ... มินซอกลดสีหน้าลง เขาไม่ชินกับการที่ต้องอยู่ใกล้ตัวกัดคนในระยะนี้นอกจากตอนอยู่บนดาดฟ้าเมื่อสี่วันก่อน เด็กหนุ่มมือสั่นแล้วค่อย ๆ ถอดปลอกมีดพกออก

    ถ้าฉันทำได้นายก็ต้องทำได้เหมือนกัน

    กร๊าซซซซซซซซซซซซซซ

    เร็วดิ เมื่อยแล้ว

    ...

    ถ้าไม่ฆ่ามันฉันจะปล่อยแล้วนะ

    ...

    หนึ่ง

    ...

    สอง...

     

     

    ฉึก!!!

     

     

    โว้ว ดึงมีดกลับด้วยสิหนูน้อย จงอินดึงมีดออกจากหน้าผากตัวกินคนแล้วเช็ดคราบเลือดลงกับเสื้อลายสก๊อตสีหม่นของมันก่อนจะปล่อยร่างไร้วิญญาณร่วงลงไปกับพื้น มินซอกมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาพอจะเข้าใจกับไอ้ความรู้สึกกลัวจนสั่นไปหมดมันเป็นยังไง นึกย้อนไปถึงตอนที่เขาฆ่ามันครั้งแรกสภาพก็ไม่ต่างจากเด็กนี่เลย

    คราวหน้าต้องเร็วกว่านี้นะเพราะมันคงไม่ยืนอยู่เฉย ๆ ให้นายฆ่าแบบนี้แน่จงอินเดินไปหยุดอยู่ข้างประตูรถแล้วใช้สันปืนทุบจนกระจกแตก ร่างหนาเปิดประตูออกแล้วแทรกตัวเขาไปในเพื่อต่อสายตรง

    แล้วถ้าเกิดผมพลาดล่ะ

    หืม?

    คุณรู้จังหวะหลบมันคุณก็พูดได้สิ แต่ผมไม่มีอะไรเลยถ้าเกิดตั้งหลักไม่ทันก็คงถูกกัดก่อนที่จะฆ่ามันได้

    ของแบบนี้มันต้องฝึก นายต้องมีไหวพริบแล้วก็ตัดสินใจในทันที...หื้ม? คนที่กำลังยุ่งอยู่กับการต่อสายตรงเงยหน้าขึ้นมาเมื่อถูกสะกิดขา คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นมินซอกเขย่าพวงกุญแจพร้อมกับชี้ไปที่รถคันข้างหลัง

     

     

    ไอ้เด็กนี่...

     

     

     

     

     

     

    อีกวันกับการมานั่งรอจงอินที่ท่าเรือ นี่ก็เข้าวันที่สี่แล้วกับความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ลู่หานถูกอี้ชิงสั่งห้ามไม่ให้ออกมาเดินเพ่นพ่านเพราะแผลที่ยังไม่หายดีเจ้าตัวเลยต้องนอนทำตัวไร้สาระอยู่ในห้องอย่างปฏิเสธไม่ได้ ตอนนี้มีเพียงแค่เซฮุน อี้ชิง แบคฮยอนและอึนจีเท่านั้นที่ออกมารอจงอินส่วนคนอื่น ๆ ออกไปหาเสบียงข้างนอก

    ไม่ ๆ คุณต้องพูดว่า ผมไม่เป็นไรครับ สิ ไม่ใช่ ฉันไม่เป็นไร แบบนั้นมันห้วนเกินไป คุณต้องมีหางเสียงนะ same same คำว่า sir in last word อ่ะ แบคฮยอนพยายามอธิบายโดยมีอึนจีนั่งฟังอยู่ข้าง ๆ อย่างตั้งใจ

    ผม...ไม่...เป็นไร...ครับ?

    ใช่ คำต่อไปนะ ผมหิวแล้วครับ In English คือ I’m hungry”

    ผม...หิว...แล้วครับ

    น่ารักจังเลยอ่ะ~” อึนจีมองหนุ่มชาวต่างชาติที่กำลังพยายามพูดภาษาเกาหลี ยิ่งตอนอี้ชิงทำหน้างงตอนที่ได้ยินเด็กสาวพูดด้วยสีหน้าแป้นแล้นแบบนั้นแล้วก็ยิ่งน่ารัก

    น่ารักจางเลยอ่า? แบคฮยอนหลุดขำออกมากับสำเนียงแปลก ๆ ของคนตรงหน้า อึนจีหัวเราะร่าแล้วเอนลงไปนอนตักแบคฮยอน

    “Yes น่ารัก meaning cute นะคะ

    “Is it you ?” (หมายถึงคุณเหรอ?)

    พี่จะบอกว่าฉันน่ารักเหรอคะ? เด็กสาวดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ใบหน้ากลมน่ารักยิ้มกว้างพร้อมกับเกาะแขนหนุ่มชาวต่างชาติเอาไว้

    “She ask you น่ะ you said she cute? Right?” (เธอถามคุณน่ะ ว่าคุณบอกว่าเธอน่ารักใช่ไหม?)

    อี้ชิงยิ้มขำพลางมองไปยังเด็กตรงหน้าทั้งสองคนที่กำลังดูสนุกกับการสอนภาษาเกาหลีให้กับเขาระหว่างรอการกลับมาของจงอิน ใจจริงเขาก็ไม่ได้อยากมานั่งทำอะไรแบบนี้หรอกนะ แต่ถ้าให้เลือกระหว่างนั่งเล่นกับเด็กสร้างบ้านกับนั่งคอตกอยู่ริมท่าเรือเหมือนโอเซฮุนเขาก็ขอเลือกข้อแรกดีกว่า

    “I'll be back.” (เดี๋ยวมานะ)

    เร็ว ๆ นะคะ Quickly Quickly” อึนจีมองตามหนุ่มชาวจีนตาละห้อย แบคฮยอนเหล่มองคนข้าง ๆ แล้วก็แอบสะกิดเบา ๆ

    ตาหวานเยิ้มเลยนะ

    ตอนนี้ตาฉันเป็นรูปหัวใจหรือเปล่าน่ะแบคฮยอน อึนจีหันหน้าเข้าหาเพื่อนที่ตัวโตกว่าเธอไม่เท่าไหร่แล้วกระพริบตาพริบ ๆ แบคฮยอนเพ่งมองแล้วก็อมยิ้มเล็กน้อย

    เว่อน่า

    ทำไมเขาถึงได้ละมุนแบบนี้นะ... อึนจีเอนตัวซบกับไหล่แบคฮยอนแล้วมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังนั่งลงข้าง ๆ โอเซฮุน ดูเหมือนว่าสองคนนั้นกำลังคุยเรื่องซีเรียสกันอยู่

    เธอไม่เจอตอนเขาใจร้ายน่ะสิ แบคฮยอนย่นจมูกขณะมองแผ่นหลังใครอีกคน

    เขาอาจจะเลือกปฏิบัติก็ได้ นายเป็นผู้ชายส่วนฉันเป็นผู้หญิงแน่นอนว่าฉันสมควรได้รับการปฏิบัติอย่างสุภาพอยู่แล้ว

    เพราะเขาอารมณ์ดีต่างหาก ลองเธอมาเจอเขาวันแรกดูสิ แบคฮยอนบ่น

    ทำไมเหรอ

    วูบหนึ่งเธอจะคิดว่าตัวเองเป็นนักวิ่งทีมชาติทันทีที่ต้องวิ่งไล่ตามเขา

    อ๋า...ทำไมพี่อี้ชิงเท่จังเลย

    อะไรของเธอ... แบคฮยอนขยับตัวออกแต่อึนจีกลับหัวเราะแล้วกอดแขนคนข้าง ๆ ไว้แน่น

    แบคฮยอนนา...นายอิจฉาฉันล่ะสิ

    อิจฉาอะไรกัน

    นายก็อยากให้พี่ชานยอลละมุนกับนายบ้างใช่ไหมล่า

    ห...หา? แบคฮยอนหน้าขึ้นสี ดูเหมือนว่าจองอึนจีจะสนุกกับการได้แกล้งคนข้าง ๆ เด็กสาวเขี่ยแก้มนิ่มแล้วหัวเราะชอบใจ

    ได้ยินเสียงหัวเราะจากเด็กสองคนที่ดังมาจากข้างหลัง อี้ชิงหย่อนขาลงไปข้างล่าง น้ำทะเลสีน้ำเงินเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาคิดว่ามันน่ามองถ้าให้เทียบกับศพที่กองอยู่ข้างหลัง

    “I did talk with them. I mean Chanyeol and that teacher.” (ผมคุยกับพวกเขามา ผมหมายถึงชานยอลกับครูสาวคนนั้น)

    “So what they said?” (อ้อ...ว่าไงเหรอครับ?)

    “Everyone cares about you, you know?” (ทุกคนเป็นห่วงคุณ คุณรู้ใช่ไหม?)

    “Come on. Tell me.” (ครับ คุณพูดมาเถอะ)

    “Today is the forth day.” (นี่ก็เข้าวันที่สี่แล้ว)

    ...

    “Chanyeol and the others don't have the guts to tell you. But if I will leave you here, they definitely refuse.” (ชานยอลไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับคุณ คนอื่น ๆ ก็เหมือนกัน...แต่ถ้าจะปล่อยให้คุณรอที่นี่คนเดียวพวกเขาก็คงไม่ยอม)

    “Yes.” (ครับ)

    “Because you are here, so everyone have to be here too.” (เพราะถ้าคุณอยู่ ทุกคนก็ต้องอยู่)

    ...

    “But...” (แต่...) อี้ชิงเว้นจังหวะพลางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะวางมือลงบนไหล่อีกคน “Don't you think it is too long?” (คุณไม่คิดว่ามันนานเกินไปเหรอ?)

    ...

    “That guy, Jongin. I heard about his ability. He might not take so long time like this.” (สำหรับคิมจงอิน จากความสามารถของเขาที่ผมได้ยินมา...เขาคงไม่ทิ้งเวลาไปนานขนาดนี้) เซฮุนงุดหน้าลง เขาเข้าใจในสิ่งที่อี้ชิงกำลังพูดเพราะเขาก็คิดเรื่องนี้มาตั้งแต่วันแรกที่เริ่มการรอ และยิ่งเห็นทุกคนลำบากที่จะต้องทนอยู่ที่นี่แล้วเขาก็ไม่สบายใจเหมือนกัน อาหารก็เริ่มหายากเข้าไปทุกที จำนวนคนที่เพิ่มมากขึ้นทำให้คนที่ออกไปหาเสบียงต้องทำงานหนัก

    “I told you I will be here alone.” (ผมบอกแล้วว่าผมจะรออยู่ที่นี่คนเดียว)

    “It's impossible.” (คุณก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้)

    ...

    “You choose to be here waiting for him. We are the same. We can't leave you here.” (คุณไม่อยากทิ้งเขาเลยเลือกที่จะรอ พวกเราก็เหมือนกัน เราทิ้งคุณไว้ที่นี่คนเดียวไม่ได้)

    “Do you understand me, Yixing?” (คุณเข้าใจผมใช่ไหมอี้ชิง?)

    “Yes, I do. And also you do understand us.” (ใช่ ผมเข้าใจและคุณคงเข้าใจความรู้สึกของพวกเราทุกคนเหมือนกัน)

    ...

    “You guys are losing your control. I'm just an outsider. Why I have to go into this trouble?” (พวกคุณกำลังเสียหลัก ผมเป็นแค่คนนอกแต่ถามว่าทำไมผมถึงต้องมาเดือดร้อนแทนด้วย?) เซฮุนเงยหน้ามองคนข้าง ๆ ที่กำลังพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม “Because I have only you guys right now.” (เพราะว่าตอนนี้ผมมีแค่พวกคุณไง)

    ...

    “You don't have only him. Don't forget it.” (อย่าลืมสิว่าชีวิตของคุณไม่ได้มีแค่เขา) คำพูดของอี้ชิงทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม คำพูดที่สื่อออกมาถึงความเห็นแก่ตัวของเขาที่เอาแต่รอจงอินโดยที่ไม่สนใจใคร...ความหวังที่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้ถ้าเกิดยังรออยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน แต่มันถูกอย่างที่อี้ชิงพูดอย่างหนึ่ง...ว่าความเชื่อใจกับความเป็นจริงบางครั้งมันไปกันไม่ได้ ร่างบางเม้มริมฝีปากแน่นแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกคน

    “Just today...” (งั้นผมขอแค่วันนี้)

    ...

    “Tomorrow, I will obey you... (แล้วพรุ่งนี้พวกคุณจะไปไหนผมก็ยอม...)

     

     

     

     

     

     

     
     

    ที่ไหนใกล้จุดที่เราอยู่มากที่สุด จงอินถามคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทั้งที่สายตาทอดมองไปยังถนนเบื้องหน้า ปากของเขากำลังเคี้ยวหมากฝรั่งที่ได้มาจากมินิมาร์ทแถวที่พักเพราะเด็กนี่ไม่ยอมให้เขาสูบบุหรี่ มินซอกคลี่ใบปลิวแผนที่เกาะเชจูแล้วแกะฝาปากกาออก

    “Shopping Street”

    ขีดฆ่าไปได้เลย โซนนั้นผีนักท่องเที่ยวเยอะแน่ ๆ พวกชานยอลคงไม่ไปแถวนั้นกันหรอก

    น้ำตกจองบัง

    “ต้องเดินเข้าไปลึกไหม?

    ผมไม่เคยไปที่นั่นแต่ดูเหมือนต้องเดินเข้าไปลึกมั้งนะ? มินซอกเอาปากกาขีดฆ่าจุดช็อปปิ้งสตรีทหลังจากที่อีกฝ่ายบอก

    งั้นข้ามไปก่อน

    จะไม่แวะเหรอ?

    ชานยอลมันเป็นคนฉลาด และคนฉลาดคงไม่เลือกที่กบดานลึกขนาดนั้น

    แต่เมื่อวานคุณชวนผมเดินเข้าถ้ำฮยอบแช

    ก็นึกว่ามันมุด ๆ แล้วทะลุไปอีกทางได้นี่หว่า จงอินแถข้าง ๆ คู ๆ เด็กน้อยที่นั่งฟังอยู่ได้แต่แค่นหัวเราะ

    ฮาลิมปาร์คก็ไปมาแล้ว เหลือพิพิธภัณฑ์เทดดี้แบร์...? มินซอกเหล่มองคนข้าง ๆ ที่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ

    ชีวิตนี้ฉันคงไม่เห็นภาพโอเซฮุนกำลังนั่งเล่นตุ๊กตาหมีเหมือนนางเอกคอฟฟี่ปริ๊นซ์แน่ ๆ

    ที่นั่นเขาถ่ายทำเจ้าหญิงวุ่นวายกับเจ้าชายเย็นชาต่างหาก

    เอ้อ ก็นางเอกคนเดียวกันป่ะวะ ที่ตัวเล็ก ๆ หุ่นน่าขย้ำหน่อยอ่ะ

    ในหัวก็มีแต่เรื่องแบบนี้สินะคนเรา... มินซอกพูดลอย ๆ แล้วเอนเบาะไปข้างหลัง

    แหม่ พี่ผู้ชายนะครับน้อง จงอินหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ด่าเขาทางสายตาว่าไอ้เหี้ยแล้วก็ได้แต่แค่นยิ้ม

    แล้วที่นั่งอยู่ตรงนี้ผู้หญิงเหรอครับ?

    นายมันผู้ชายเพศเด็ก หยุดพูดได้แล้ว ไหนบอกว่าพูดเรื่องไร้สาระแล้วมันเหนื่อยไง พูดจบก็เอื้อมมือไปยีหัวอีกคนแรง ๆ อย่างหมั่นเขี้ยวแล้วก็ถูกปัดมือออกมาเหมือนกับทุกครั้ง

    คุณนี่นะ

    อะไร? จงอินเลิกคิ้วขึ้นสูงแล้วปั้นหน้ากวนประสาท คราวนี้กูชนะแล้วเว้ย!

    นิสัยเหมือนผู้ชายคนนั้นไม่มีผิด

    คนไหน แบบนี้เรียกแรร์นะครับ ลิมิเตดอิดิชั่นจงอินยืดหลังนั่งตัวตรง ดูภูมิอกภูมิใจกับสิ่งที่กำลังพรีเซนท์เหลือเกินหมายถึงไอ้ลู่หานสินะ

    ช่างเถอะ มินซอกเบี่ยงตัวหันไปทางด้านข้างแล้วชันขาขึ้นมานอนขดบนเบาะ เห็นแล้วก็นึกถึงหนูแฮมสเตอร์ขึ้นมา

    ถ้ามันเห็นนาย มันคงดีใจ

    อะไรที่ทำให้คุณคิดแบบนั้น มินซอกถามทั้งที่ไม่มองหน้าอีกฝ่าย นัยน์ตาเรียวทอดมองออกไปข้างนอกรถที่กำลังวิ่งไปบนถนนกว้าง

    อะไรก็รู้อยู่แก่ใจ

    คุณพูดเหมือนรู้อะไรงั้นแหละ

    เปล่าเลย ฉันไม่รู้อะไรเลยสักอย่างต่างหาก จงอินยิ้มทั้งที่ยังมองออกไปเบื้องหน้า

    งั้นก็เลิกพูดกำกวมได้แล้ว เปลืองน้ำลาย

    กลัวแทงใจดำเหรอ?

    สรุปจะไปที่ไหน? มินซอกเปลี่ยนเรื่องเอาง่าย ๆ จงอินยิ้มขำแล้วชำเลืองมองเด็กน้อยที่ยังคงนั่งขดอยู่บนเบาะพร้อมกับไล่มองแผนที่เกาะไปด้วย

    ที่ ๆ คิดว่าน่าจะมองเห็นได้ง่าย ๆ

    ที่สูงเหรอ?

    เมื่อวานเราเพิ่งไปเขาอะไรกันมานะ ที่เดินแม่งจนขาลากอ่ะ

    เขาซองซาน

    เออ ตรงนั้นก็ว่าสูงแล้วนะ มันยังมีที่อื่นอีกเหรอ?นึกถึงเขานรกนั่นแล้วเขาก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาหลังจากได้สัมผัสแล้วว่ากว่าจะเดินขึ้นไปบนนั้นได้ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม ๆ

    มีอีกที่นึง

    หืม? จงอินจอดเทียบข้างทางเมื่อเด็กน้อยยื่นแผนที่มาให้ดู

    ซอพจิโกจิ ที่นั่นมีทุ่งหญ้าอยู่ติดทะเล มีโบสถ์ด้วย

    ...โบสถ์งั้นเหรอ

    ผมเคยเดินขึ้นไปครั้งหนึ่ง เมื่อยขาเอาเรื่องเหมือนกัน มินซอกวางแผนที่ลงตรงกลางแล้วเอนหลังพิงลงที่เดิม

    โอเค งั้นเราจะไปที่นั่นกัน ไม่เสียเวลาคิดมากไปกว่านี้ ร่างหนาเข้าเกียร์แล้วออกเดินทางไปยังเป้าหมาย

    กว่าจะขับไปถึงก็เกือบพระอาทิตย์ตกดิน เดินไปได้แค่ครึ่งทางจงอินก็ต้องหยิบไฟฉายออกมาเปิดเพื่อส่องแสงสว่างให้กับทางเดิน ไม่ได้เอะใจสักนิดว่าทำไมแถวนี้ถึงไม่มีพวกกินคนอยู่เลยเพราะคิดว่าพวกมันคงไปกองกันอยู่ใจกลางเมืองกันหมด และแล้วทั้งคู่ก็เดินมาถึงโบสถ์ มินซอกทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหลังสุดเพราะความเหนื่อยที่สะสมมาตลอดทั้งวัน

    จงอินส่องไฟฉายไปรอบ ๆ แล้วก็ไม่พบวี่แววของมนุษย์เลยสักคน ความหวังที่เคยมีตั้งแต่เริ่มเดินขึ้นมานั้นหายไปในพริบตาทันทีที่เปิดประตูออกแล้วไม่เจอใคร ตั้งแต่เกิดมาคิมจงอินไม่เคยพบเจอกับความยุ่งยากเพราะเขาสามารถทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่ายได้ แต่ตอนนี้มันชักจะไม่ใช่อย่างนั้นแล้วสิ

    ผมหิวแล้ว

    ไม่มีน้ำร้อน ไม่มีหม้อ ไม่มีเตา งั้นกินแบบแห้ง ๆ ไปก่อนแล้วกัน จงอินโยนซองรามยอนสำเร็จรูปให้แล้วเด็กน้อยก็รับมันไว้ได้พอดี มินซอกไม่ใช่เด็กเรื่องมาก เขาขยำมันให้แหลกแล้วฉีกซองออกมาก่อนจะยื่นไปตรงหน้าอะไร?

    ให้คนแก่กินก่อน

    จ้า ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน มองเด็กหน้ามึนด้วยสายตาหมั่นไส้สุดจะทนแล้วล้วงมือเข้าไปกำรามยอนสำเร็จรูปที่ถูกบีบซะละเอียดขึ้นมากรอกปากคำใหญ่ ๆ เสียงกรุบกรับในปากจงอินทำให้มินซอกก้มหน้าลอบยิ้มขำอยู่เงียบ ๆ

    เดี๋ยวฉันมา

    จะไปไหน

    ขี้ ไปด้วยกันไหม

    จะไปโดดน้ำที่ไหนก็ไปเถอะ มินซอกทำมือปัด ๆ ไล่คนกวนประสาทไปให้พ้นสายตา จงอินหัวเราะพอใจแล้วเดินออกไปข้างนอก

    บรรยากาศโดยรอบทำให้เขารู้สึกโหวงแปลก ๆ จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมที่คนอย่างเขาไม่ใช่คนดราม่าพร่ำเพรื่อ แต่ที่รู้สึกหน่วงตรงหัวใจนี่มันอะไรกันวะ ไอ้ความรู้สึกที่ต้องถอนหายใจทุกครั้งตอนหันไปมองข้าง ๆ แล้วไม่เจอเซฮุนน่ะ...

    จำได้ว่าตอนเดินขึ้นมาเขาเห็นประภาคารอยู่ทางด้านขวาแต่ต้องเดินเข้าไปลึกหน่อย คงใช้เวลาเกือบสิบห้านาทีในการเดินไปที่นั่น ขายาวก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับส่องไฟฉายนำทาง ผิวปากเป็นทำนองเพลงที่ชอบเพื่อทำลายความเงียบ เอาง่าย ๆ คือปลอบใจตัวเองนั่นแหละ

    สองขาหยุดยืนกับที่ พอมาคิดอีกทีมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เขาจะขึ้นไปบนนั้น เพราะจากสภาพแล้วคงไม่มีใครยืนตากลมอยู่บนยอดประภาคารแน่นอน ในหัวมีคำถามที่ยากจะหาคำตอบอยู่เต็มไปหมด ทุกคนอยู่ที่ไหน? กำลังทำอะไรอยู่? สบายดีไหม? ได้กินอะไรบ้างหรือยัง?

    ถอนหายใจคือสิ่งที่เขาทำได้ดีในตอนนี้ ร่างหนากวาดสายตามองไปรอบ ๆ ตัวแต่ก็พบเพียงแค่ความมืดมิด นี่ก็ออกมานานแล้วถ้ากลับไปช้าเดี๋ยวเด็กนั่นจะบ่นเป็นหมีกินผึ้งอีก พอตัดสินใจจะเดินกลับก็สะดุดตากับอะไรบางอย่างที่อยู่ข้าง ๆ รั้วไม้ที่ไฟฉายส่องไปพอดี ร่างหนาเดินไปเก็บมันขึ้นมาดูแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นสูง

    เครื่องบินกระดาษ? เห็นแล้วก็หัวเราะในลำคอเบา ๆ ในหัวคิดไปต่าง ๆ นานาว่าคงเป็นฝีมือเด็กที่ถูกพ่อแม่ปล่อยเซอร์ให้วิ่งเล่นอยู่คนเดียว ส่วนพ่อกับแม่ก็ไปถ่ายรูปอัพลงโซเชียลกันสองคน

    ตอนแรกกะจะเขวี้ยงลงทะเลแต่นึกขึ้นได้ว่าถ้าเขวี้ยงใส่หัวเด็กหน้าหยิ่งคงจะสนุกกว่าเป็นไหน ๆ สุดท้ายจงอินก็เดินกลับเข้าไปในโบสถ์พร้อมกับของเล่นที่กะจะเอาไปก่อกวนเด็กดาดฟ้าที่เอาแต่ตบหน้าเขาด้วยคำพูดมาตลอดหลายวัน

    ฝูงบินสเต็ลท์มาแล้ว!!!!”

    โอ๊ะ!!” มินซอกกุมหูตัวเองเมื่อความแหลมของส่วนปลายจรวดกระดาษทิ่มเข้าเต็ม ๆ คนตัวเล็กหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่กำลังยืนหัวเราะสะใจอยู่แล้วก็โมโห

    ตลกมากเหรอ

    ตอนแรกไม่ตลกนะ แต่พอนายถามปุ๊บ...ตลกเลย!”

    ปัญญาอ่อน

    จ้า จงอินลากเสียงยาวแล้วเดินไปนั่งเก้าอี้แถวหน้าคนตัวเล็ก มินซอกถอนหายใจหนัก ๆ แล้วกำจรวดกระดาษจนยับยู่ยี่แล้วปาใส่หน้าอีกฝ่าย ถ้าไปเป็นนักเบสบอลอาจจะรุ่งนะเนี่ย...

    ผมจะนอนแล้ว

    ตามลำบากเลย จงอินเก็บกระดาษที่ถูกกำจนยับขึ้นมาคลี่ออกเพื่อที่จะพับใหม่ ของเล่นชิ้นเดียวที่บรรเทาความฟุ้งซ่านของเขาถูกดับด้วยฝีมือเด็กใจมารแบบนี้มันช่างดราม่ายิ่งนัก

    ...

    ช่วยปิดไฟฉายด้วย มินซอกหันมามองใครอีกคนที่กำลังเอาไฟฉายส่องไปยังจรวดกระดาษในมือ แต่คราวนี้มันแปลกไปกว่าทุกครั้งที่จงอินกลับนิ่งเฉยนี่คุณ

    มินซอก

    อะไร

    เคยอยู่เฉย ๆ แล้วยิ้มออกมาเองป่ะวะ? ร่างหนาหันมาถามคนข้าง ๆ ที่กำลังขมวดคิ้วสงสัยอยู่ มินซอกมองอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มจนปากแทบฉีกถึงใบหูแล้วก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่

    ไม่เคยหรอก

    เหรอ

    ประสาท

    แน่ ๆ ... จงอินยิ้มขำแล้วค่อย ๆ กรีดกระดาษให้เรียบพร้อมกับพับให้เป็นระเบียบแล้วเก็บใส่กระเป๋า

    ตอนเป็นเด็กพ่อแม่ไม่เคยซื้อของเล่นให้หรือไง? มินซอกมองอีกคนด้วยสายตาเวทนา อยู่ดี ๆ ก็หัวเราะแบบนั้นจะให้คิดไปในทางไหนได้อีกนอกจากหมอนี่เสียสติไปแล้วเพราะหาเพื่อนไม่เจอ

    ไม่เคยอ่ะ จงอินยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น ร่างหนาเอนหลังนอนราบกับเก้าอี้ไม้ยาวแล้วหลับตาลงแต่คิดว่าจรวดกระดาษอันนี้คงเป็นของเล่นที่มีค่าที่สุดแล้วล่ะ

    ...

    นอนแล้วนะ พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางกันแต่เช้า

     

     

    จงอิน...คุณอยู่ไหน?

    ...ผมคิดถึงคุณ

     

     

     

     

     
     

    เช้าวันรุ่งขึ้น...

    มินซอกนิ่วหน้าพลางบิดตัวซ้ายขวาเมื่อรู้สึกปวดเมื่อยไปหมดกับการที่ต้องนอนบนเก้าอี้ไม้แบบนั้น ทั้งที่นอนพร้อมกันแต่คิมจงอินกลับตื่นก่อนเขาเสียอีก คนตัวเล็กสะลึมสะลือเดินตามหลังอีกคนที่ดูเหมือนจะเร่งรีบแล้วก็หยุดยืนถอนหายใจ

    จะรีบไปไหนเนี่ย?

    ไปทุกที่ ๆ เรายังไม่ได้ไป จงอินตอบกลับมา แค่คิดมินซอกก็เหนื่อยแล้วกับการที่ต้องเดินทางอย่างไร้จุดหมาย เด็กน้อยชักสีหน้าแล้วค่อย ๆ เดินทอดน่องตามคนตัวโตไป จังหวะนั้นเองที่สายตาหันไปเห็นอะไรบางอย่าง มินซอกขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะก้าวขาเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ

    เฮ้ เด็กดาดฟ้า!” พอเห็นคนตัวเล็กไม่ยอมเดินมาเลยต้องตะโกนเรียก

    มานี่ก่อน!” มินซอกตะโกนกลับแล้วกวักมือเรียกอีกคน

    อะไร ร่างหนาทำหน้าเนือยแล้วมองเด็กน้อยที่กำลังนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้น

    นี่

    ...

    นัยน์ตาเบิกโพลงเมื่อเห็นรอยชอล์กสีขาววาดเป็นแผนที่อยู่บนพื้นซีเมนต์พร้อมกับตัวอักษรที่เขียนกำกับเอาไว้ มินซอกหันไปมองคนข้าง ๆ ที่รีบนั่งลงเพ่งมองก่อนจะวาดมือไปตามแผนที่บนพื้น

    เรือ...เซฮุน...ชานยอล...ริมฝีปากขยับพูดตามชอล์กสีขาวที่ลากบอกตำแหน่ง พร้อมกับวงกลมใหญ่ ๆ ที่เขียนว่า ตัวกินคน

    พวกเขาเคยมาที่นี่

    ท่าเรือมกโพ ทั้งคู่หันไปมองหน้ากันก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ไม่มีใครเปิดคำถามออกมาอีกเมื่อทั้งคู่ต่างประติดประต่อเรื่องราวได้ด้วยตัวเอง จงอินถอนหายใจหนัก ๆ เมื่อนึกถึงซากศพที่กองกันอยู่ที่ท่าเรือ...

     

     

    นั่นคงเป็นฝีมือของคนพวกนั้นจริง ๆ สินะ...

     

     

    เอาไงต่อ?

    กลับมกโพ...เดี๋ยวนี้

     

     

     

     

     

     
     

     

    ร่างสูงมองอีกคนที่กำลังทอดสายตาออกไปข้างนอกรถผ่านกระจกมองหลัง แม้ว่าพวกเขาจะขับรถออกจากท่าเรือมกโพมาหลายชั่วโมงแล้วแต่มีเพียงคนเดียวที่ยังไม่ปริปากพูดสักคำคือโอเซฮุน แบคฮยอนยังคงพยายามสอนอี้ชิงพูดภาษาเกาหลี เสียงของทั้งคู่สามารถทำลายความเงียบไปได้ระยะหนึ่ง ส่วนลู่หานก็มีอาการเดียวกับเซฮุนเช่นกัน

    ไม่มีใครรู้สึกดีกับการตัดสินใจครั้งนี้ แต่ทุกอย่างมันบีบบังคับให้เขาต้องเดินหน้าต่อไป ตอนนี้ปาร์คชานยอลอาจจะเป็นคนใจร้ายในสายตาโอเซฮุน แต่ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อปากท้องของใครหลายคนที่เขามองข้ามไปไม่ได้

    รถทั้งสองคันจอดข้างริมฟุตปาธหน้า Motel แห่งหนึ่งที่รอบข้างมีพวกตัวกินคนยืนอยู่ประปราย ชานยอล เทาและยุนฮาที่ลงไปจัดการกับพวกมัน เซฮุนเปิดประตูลงไปอย่างไม่เร่งรีบ ร่างบางกำไขควงไว้แล้วค่อย ๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าก่อนจะแทงเข้ากลางหัวผีดิบที่กำลังเดินเข้าหา แบคฮยอนกับอี้ชิงได้เพียงแค่มองตามร่างบางด้วยความเป็นห่วง

    “I’m really worry about him จริง ๆ In Korean said เป็นห่วง (ผมเป็นห่วงเขาจริง ๆ) แบคฮยอนเอาคางเกยไหล่คนข้าง ๆ ขณะที่ยังมองตามเซฮุนอยู่

    “I don't get it. Why he care about Jongin that much.” (ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเป็นห่วงจงอินมากขนาดนั้น)

    ห๊ะ?

    “It's different from that guy, Wu Yifan. That's all I wonder.” (มันต่างจากตอนที่อู๋อี้ฟานจากไป ก็แค่นั้นแหละที่สงสัย) อี้ชิงมองเด็กน้อยที่กำลังจ้องตาแป๋วอยู่ แบคฮยอนทำหน้าครุ่นคิดแล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ

    “They’re special อ่ะ that only I know. (พวกเขาพิเศษต่อกันอ่ะ นั่นแหละที่ผมรู้)

    “A close friend?” (เพื่อนสนิทเหรอ?)

    “I don’t know. (ผมไม่รู้) แบคฮยอนพูดเบา ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับลู่หาน

    หื้ม?

    นายช่วยอธิบายให้อี้ชิงฟังหน่อยสิว่าทำไมเซฮุนถึงได้เป็นห่วงจงอินขนาดนั้น

    ...

    เขาไม่ใช่เพื่อนสนิทกันนี่นา จะอธิบายยังไงดีล่ะ เห็นอยู่ด้วยกันทีไรก็เหมือนจะกัดกันทุกทีเลย หรืออาจจะเป็นเพราะว่าอยู่ด้วยกันตลอดเลยเป็นห่วง? ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เข้าใจกับความสัมพันธ์ของสองคนนี้ อี้ชิงกำลังงงกับบทสนทนาเมื่อครู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองกระจกมองหลังที่มีใครอีกคนกำลังมองเขาอยู่

     

     

    สองคนนั้นเป็นมากกว่าที่เห็น นายคงรู้ว่าฉันกำลังหมายถึงอะไร

     

     

     

     

     
     

    กว่าจะเคลียร์ซากศพเดินได้ในโมเทลเสร็จก็ปาไปเป็นชั่วโมง ทุกคนแม้กระทั่งปาร์คกาฮีกับจองอึนจีต่างช่วยกันแบกศพไปทิ้งไว้ในห้อง ๆ หนึ่งที่เต็มไปด้วยคราบเลือดและกลิ่นเหม็นเน่า ได้คำแนะนำมาจากลู่หานว่าให้เอาข้าวของเครื่องใช้ขึ้นไปวางขวางประตูทางหนีไฟชั้นบนไว้เพื่อไม่ให้พวกตัวกินคนเดินลงมาได้ พอถามเจ้าตัวก็บอกว่าจำมาจากบุคคลบ้าระห่ำที่เคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้เมื่อคราวนั้น

    ห้องนอนในชั้นนี้ที่ใช้ได้มีแค่สี่ห้องเท่านั้น ปาร์คกาฮีนอนกับจองอึนจี เทากับยุนฮา ลู่หานกับอี้ชิงส่วนห้องสุดท้ายคือชานยอล แบคฮยอนและเซฮุน ห้องสะอาดที่ไม่มีใครเข้ามานานแล้วทำให้ทุกคนโหยหาการพักผ่อน พอได้นอนฟูกนุ่ม ๆ แบคฮยอนก็ผล็อยหลับไปได้ง่าย ๆ ชานยอลลูบหัวเด็กน้อยพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันไปเห็นเด็กหนุ่มที่ยืนเหม่ออยู่ตรงระเบียง

    คุณนอนบนเตียงกับแบคฮยอนไปนะ เดี๋ยวผมจะนอนพื้นเอง

    ไม่เป็นไรครับ คุณขับรถมาทั้งวันนอนบนเตียงดีกว่านะ เซฮุนยิ้มบาง ๆ แล้วหันไปมองวิวทิวทัศน์ข้างนอก ไม่ใช่แค่การเอาตัวรอดที่เป็นเรื่องยาก การพยายามทำให้คนอื่นรู้สึกดีขึ้นได้ก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน ชานยอลวางมือลงบนหัวเด็กน้อยที่จมอยู่กับความเศร้าแล้วโคลงเบา ๆ

    ผมขอโทษนะเซฮุน ร่างบางส่ายหน้าทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ

    คุณไม่ผิดหรอกครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ

    ...

    ผมไม่เป็นไร เซฮุนเงียบไปชั่วอึดใจแล้วหันมาสบตากับคนข้าง ๆ ผมแค่ต้องการเวลาน่ะ

    คนที่เลือกแสดงด้านอ่อนแอออกมาให้เห็นแน่นอนว่าคนนั้นมักจะได้รับการปลอบประโลม แต่คนที่ไม่เคยแสดงออกและเลือกที่จะเก็บความทุกข์เอาไว้ในใจ...จะมีใครรับรู้บ้างไหมว่าคนแบบนี้น่าสงสารที่สุด

    ร่างสูงรั้งตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดหลวม ๆ พร้อมกับลูบหัวปลอบใจ นัยน์ตาเรียวเหม่อลอยไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย น่าแปลกจัง...ทั้งที่อ้อมกอดของปาร์คชานยอลอุ่นขนาดนี้แต่มันกลับส่งไปไม่ถึงใจของเขา

     

     

     

    ต่าง...จากกอดของจงอินอย่างสิ้นเชิง...

     

     

     

    ทั้งที่ผมทำใจไว้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้

    ...

    ตั้งแต่ครอบครัวผมตายไป ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะผูกพันกับใครอีก น้ำเสียงสิ้นหวังของคนในอ้อมกอดนั้นเขารู้สึกได้ ชานยอลลูบหัวอีกคนเบา ๆ และปล่อยให้เซฮุนระบายทุกอย่างออกมาจนกว่าจะพอใจ แต่พอมีพวกคุณ ผมก็เริ่มกลัว

    ครับ

    ทั้งกลัวตายและก็กลัวว่าพวกคุณจะตายจากผมไป ร่างบางเงียบไปครู่หนึ่ง เรื่องที่กำลังพูดมันทำให้ความเจ็บปวดตีขึ้นมาอีกครั้ง แค่คิดว่าจะไม่ได้เจอจงอินอีกตลอดชีวิตเขาก็เจ็บไปหมดแล้ว...

    ผมขอถามอะไรได้ไหมครับชานยอล?

    ครับ

    เหตุผลอะไรที่ทำให้คุณอยากมีชีวิตอยู่เหรอครับ?

    ... ร่างสูงไม่ได้ตอบคำถามในทันที ครั้งหนึ่งเขาเคยถามตัวเองแบบนี้ตอนที่อี้ฟานพูดถึงเรื่องเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ แน่นอนว่าเขาเคยคิดที่จะตายตามภรรยาไปเพราะไม่อยากทนอยู่บนโลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย

     

     

    แต่สุดท้าย...

     

     

    เหตุผลง่าย ๆ เซฮุนผละตัวออกมามองคนตรงหน้าที่กำลังยิ้มให้เขาอยู่ผมแค่กลัวตาย มันไม่มีเหตุผลอะไรที่ดูดีไปกว่านั้นหรอก

    ...

    และที่ผมพยายามทุกอย่างในตอนนี้ ก็เพราะว่าผมไม่อยากให้ใครต้องมาตายทั้งที่ผมยังอยู่ สีหน้าของปาร์คชานยอลเต็มไปด้วยความหนักใจแม้ว่าร่างสูงจะไม่ได้แสดงอาการออกมาอย่างชัดเจน ร่างบางหลุบสายตาลงมองมืออีกคนที่ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง บุหรี่ในซองถูกกะเทาะออกมาก่อนที่ริมฝีปากหนาจะคาบมันเอาไว้

    ใช่ว่าตายแล้วปัญหาจะหมดไปเสียเมื่อไหร่ ไฟแช็คถูกจุดเข้ากับบุหรี่ในวินาทีถัดมา ถ้าจากไปอย่างมีเกียรติมันก็ควรค่าในการจดจำ แต่ถ้าจากไปแบบหนีปัญหาคนที่เหลืออยู่ก็คงสาปแช่งว่า เหอะ คนอย่างแกมันก็สมควรตายแล้วล่ะ ร่างบางพูดอะไรไม่ออก วูบหนึ่งปาร์คชานยอลกลายเป็นใครอีกคนที่เขาไม่รู้จัก ควันบุหรี่ที่ร่างสูงอัดเข้าปอดนั้นบ่งบอกได้ดีถึงความกดดันทุกอย่างที่ถาโถมเข้าหา

    ผมไม่ได้แสนดีเหมือนกับอี้ฟาน เพราะฉะนั้นผมคงหาคำตอบดี ๆ ให้คุณไม่ได้หรอกครับเซฮุน ร่างสูงยิ้มบาง ๆ แล้วหันหน้าออกไปข้างนอกระเบียงแล้วพ่นควันสีหม่นลอยออกไปข้างนอก

    เหตุผลที่คุณบอกมันก็มากพอแล้วล่ะครับ

    ถ้าคุณมีเหตุผลในการมีชีวิตอยู่มากกว่าการกลัวตายผมก็ยินดีด้วย

    ...

    เพราะการใช้ชีวิตให้มีค่าหลังจากที่ไม่หลงเหลือคนสำคัญแล้วมันเป็นเรื่องยากผมเข้าใจใบหน้าเรียบเฉยกับควันสีหม่นที่ค่อย ๆ ลอยออกมาจากริมฝีปากหยักบ่งบอกได้ถึงความเศร้าที่อยู่ภายในใจผู้ชายคนนี้

    ไม่มีใครไม่สำคัญหรอกครับชานยอล ร่างสูงหันมามองอีกคนที่ยังคงยิ้มให้กับเขาอยู่ ทุกคนเป็นคนสำคัญแต่อยู่ที่ว่ามากหรือน้อย

    ...

    คน ๆ หนึ่งอาจจะเป็นที่สุดและอีกคนอาจจะคิดว่าต่อให้ไม่มีเขาก็ไม่เป็นไร แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ถ้าเขาหายไปเราก็เสียใจเหมือนกัน

    นั่นสิ อย่างเช่นตอนที่เห็นว่าลู่หานกำลังจะตายต่อหน้าต่อตาเขาก็รู้สึกแย่เหมือนกัน ทั้งที่คิดว่าต่อให้ตายยังไงผู้ชายคนนั้นก็คงไม่มีผลกระทบต่อชีวิตเขาแน่ ๆ แม้กระทั่งตอนที่หมอนั่นคิดจะเดินกลับไปที่โรงเรียนด้วยเท้าน่ะ

     

     

    แต่ถึงจะไม่ชอบความเห็นแก่ตัวของลู่หานมากแค่ไหน...

    แต่เรื่องความทุ่มเทให้กับคนรอบข้างก็คงต้องยกให้หมอนั่น...

     

     

    ขอโทษนะครับชานยอล ผมจะพยายามไม่เป็นภาระให้คุณต้องคิดมากอีกแล้วล่ะ

    นั่นคือประโยคที่ผมอยากได้ยินมากที่สุดในตอนนี้ ชานยอลยิ้มบาง ๆ แล้วยีหัวอีกคน

     

     

     

     

     

    เทาก้มลงผูกเชือกรองเท้าเตรียมพร้อมสำหรับการออกไปหาเสบียงในเช้าวันใหม่ วันนี้เขา ชานยอลและเซฮุนเท่านั้นที่อาสาออกไปข้างนอก ทั้งสามคนขับรถเข้าไปในเมืองเพื่อหาเสบียงในห้างสรรพสินค้า เทาชี้ไปทางขวามือแล้วร่างสูงหักรถเข้าไปในลานจอดรถก่อนจะชักมีดออกมาถือไว้

    ปลอดภัยพอได้ยินอีกคนพูดเด็กทั้งสองก็ลงมาจากรถ เทาโยนกระเป๋าเป้ให้เซฮุนแล้วพวกเขาก็เดินเข้าไปในห้างขนาดเล็กที่มีเพียงแค่สองชั้นเท่านั้น

    ร่างสูงเปิดไฟฉายแล้วส่องเข้าไปข้างใน เซฮุนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเขาเผลอเดินไปชนรถเข็นที่จอดขวางทางอยู่และดูเหมือนว่าเสียงเมื่อครู่จะเป็นการปลุกให้ตัวกินคนเดินมาทางนี้ เทาชักมีดออกมาแล้วเข้าไปแทงคอหอยหญิงสาวท้องโตอย่างแรงแล้วรีบดึงมีดกลับ เด็กหนุ่มก้มลงมองร่างของเธอที่นอนจมกองเลือดด้วยความรู้สึกผิดจนเซฮุนต้องตบบ่าเบา ๆ

    นายว่าเด็กในท้องนั่นจะเป็นเหมือนเธอหรือเปล่า?

    อาจจะเป็น...นายอยากรู้เหรอ?

    ไม่ต้องบอกให้ฉันผ่าท้องเธอดูนะ

    ก็เห็นอยากรู้

    ก็แค่อยากรู้ ไม่ได้หมายความว่าอยากเห็นสักหน่อย

    โอเค...ฉันไม่เถียงกับนายแล้ว เซฮุนยิ้มขำเมื่อถูกคนข้าง ๆ ผลักหัวเบา ๆ นี่คงเป็นครั้งแรกของวันที่เขายิ้มได้ แต่พอบทสนทนาจบลงเขาก็กลับไปรู้สึกเหมือนเดิมอีกครั้งอยู่ดี

    ชานยอลยกมือบอกให้ทั้งคู่ยืนรอตรงนี้ส่วนเขาจะเข้าไปสำรวจข้างในเอง ได้ยินเสียงโอดครวญอยู่เบา ๆ และเสียงนั้นก็หายไปก่อนที่ชานยอลจะเดินออกมาพร้อมกับสลัดคราบเลือดออกจากคมมีด

    ข้างล่างปลอดภัย เดี๋ยวผมจะขึ้นไปดูข้างบนต่อ ชานยอลบอกแล้วเซฮุนก็พยักหน้ารับ ร่างบางเปิดไฟฉายของตัวเองพร้อมกับเดินเข้าไปเก็บของ

    ผมไปกับคุณแล้วกัน เทาพูดแล้วทั้งสองคนก็เดินขึ้นไปบนชั้นสองด้วยกัน

    นานมากแล้วที่เขาไม่เห็นสินค้าวางเรียงกันอยู่บนชั้นในสภาพดีแบบนี้ เซฮุนยิ้มพอใจแล้วโกยอาหารกระป๋องใส่กระเป๋าจนอัดแน่นไปหมด ร่างบางเดินไปเอารถเข็นมาจอดไว้ข้าง ๆ แล้วโกยของที่เหลืออยู่บนชั้นลงมาให้หมด ของพวกนี้คงอยู่ได้เป็นอาทิตย์ โชคดีจริง ๆ ที่เจอขุมทรัพย์ในห้างที่อยู่ไม่ไกลจากโมเทลนัก

     

     

    กึง...

     

     

    ...

    สองมือหยุดชะงักเมื่อเห็นรถเข็นเลื่อนผ่านไปตรงทางเข้าล็อคด้านขวา เซฮุนเอื้อมมือไปหยิบไฟฉายที่วางไว้ในรถเข็นก่อนจะดึงไขควงขึ้นมากำเอาไว้แน่น...เห็นทีว่าข้างล่างจะไม่ปลอดภัยอย่างที่ชานยอลบอกแล้วล่ะ...

     

     

     

    กึก...กึก...กึก...

     

     

     

    เซฮุนก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อส่องดูต้นเหตุจากเสียงรองเท้าที่ดังมาจากล็อคข้าง ๆ เขากำลังมือสั่นเพราะความกลัวจากสิ่งที่มองไม่เห็น ถ้าเกิดเผชิญหน้ากันตรง ๆ มันก็คงดีกว่านี้หรอก ร่างบางกลืนน้ำลายแล้วค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ ไม่ว่าจะเป็นตัวอะไร...เขาก็ควรจัดการมันจากข้างหลังโดยที่ไม่ให้มันรู้ตัว

     

     

    อื้อ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

     

     

     

    โครม!!!!

     

     

     

    รถเข็นเหล็กล้มลงพร้อมกับข้าวของที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้นเมื่อร่างของเขาถูกรวบจากข้างหลังพร้อมกับปากที่ถูกมือหนาปิดเอาไว้แน่น เซฮุนดิ้นทุรนทุรายจากการโจมตีของผู้มาใหม่ที่ชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่ตัวกินคนอย่างที่เขาคาดคิดเอาไว้

    จะทำยังไงดี? ในตอนนี้เขาคงร้องขอความช่วยเหลือจากชานยอลกับเทาไม่ได้เพราะปากที่ถูกปิดเอาไว้ เด็กหนุ่มพยายามตั้งสติแล้วกระทุ้งศอกหนัก ๆ ลงบนท้องคนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังจนเสียหลัก ร่างบางล้มลงกับพื้นแล้วล้มลุกคลุกคลานขึ้นมาแต่ยังหนีไปไม่พ้นก็ถูกอีกฝ่ายขึ้นคร่อมเอาไว้

    อ...อึ่ก...

    ริมฝีปากบางอ้ากว้างเพราะถูกบีบคอเอาไว้ ถึงน้ำหนักจากมือจะไม่มากนักแต่มันก็ทำให้เขาหายใจลำบากอยู่ดี สองมือปะป่ายไปทั่วร่างคนที่กำลังประทุษร้ายเขา นัยน์ตาเรียวปรือมองเงามืดที่คร่อมอยู่ข้างบนร่างก่อนจะหลับตาลงเมื่อถูกไฟฉายส่องหน้า

     

     

    เงียบ...

     

     

    ระบบการหายใจกลับเข้าสู่ปกติอีกครั้งเมื่อมือหนาที่เคยบีบคอเขาเอาไว้ปล่อยออกในวินาทีถัดมา ร่างบางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ภาพของคนในเงามืดที่คร่อมทับค่อย ๆ ชัดขึ้นเมื่ออีกฝ่ายวางไฟฉายลงบนพื้น เด็กหนุ่มเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง...ไม่เชื่อ...ว่าคน ๆ นี้คือ...

     

     

     

    จงอิน...

     

     

     

    เพียงแค่ได้ยินเสียงเจ้าของชื่อก็โผเข้ากอดร่างบางที่นอนราบอยู่บนพื้น เซฮุนยังคงทำตัวไม่ถูกแม้ว่าคนที่เคยคิดจะทำร้ายเขาเมื่อก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนท่าทางไปโดยสิ้นเชิง น้ำตารื้นขึ้นมาพร้อมกับวงแขนที่รวบกอดร่างหนาไว้แน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไป ใบหน้าเรียวซบลงกับบ่ากว้าง สองมือที่โอบกอดคนบนร่างกำเสื้อไว้แน่นพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ตามมาเพราะความตื้นตันใจ

     

    จ...จงอิน...

     

    ไม่มีคำพูดไหนที่จะสามารถบรรยายถึงความรู้สึกของโอเซฮุนในตอนนี้ได้เลย ร่างบางสะอื้นอย่างหนักในขณะที่อีกฝ่ายกำลังช้อนร่างเขาให้ลุกขึ้นนั่งทั้งที่ยังกอดกันอยู่ จงอินกดจูบลงบนเรือนผมอีกคนพร้อมกับกดหัวให้ซบลงกับบ่าของเขา

    ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เจอเซฮุนที่นี่ เขาก็แค่แวะเข้ามาหาเสบียงเพื่อที่จะได้ออกตามหาทุกคนต่อ ริมฝีปากหยักกระซิบบอกคนในอ้อมกอดที่กำลังร้องไห้อย่างหนัก เขาไม่เคยเห็นเซฮุนเป็นแบบนี้มาก่อน อีกครั้งที่เกิดคำถามขึ้นในหัว

     

     

    ว่าทำไม...เขาถึงรู้สึกเจ็บตอนที่เห็นเซฮุนร้องไห้?

     

     

    ฉันอยู่นี่แล้ว... เซฮุนได้แต่พยักหน้ารับเพราะเขาคงไม่สามารถพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจได้ทั้งที่ยังสะอื้นอยู่แบบนี้  

    เซฮุน?!”

    หลังจากได้ยินเสียงรถเข็นล้มชานยอลกับเทาก็รีบวิ่งลงมาด้วยความเป็นห่วง ชานยอลกับเทาส่องไฟฉายไปข้างหน้าและภาพที่เห็นคือคนสองคนที่กำลังกอดกันท่ามกลางข้าวของเครื่องใช้ที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น จงอินเงยหน้าขึ้นโบกมือให้กับชายหนุ่มสองคนที่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับยิ้มให้

     

     

     

    ไง?

     

     

     

     

    TBC

     

     
     

    #โครงการส่งพี่จงอินกลับสู่อ้อมอกน้องเซฮุน

    ผ่านอนุมัติแล้วค่ะ #เย้ #ลุกขึ้นปรบมือทั้งฮอล

    #มลินควรได้รับการพักผ่อนแบบOfficial

    หลายคนอาจจะสงสัยว่ามลินเป็นบ้าอะไร ทำไมเขียนให้จิ้นหลายคู่จัง คือไม่ได้เขียนให้จิ้นเลยนะคะ ทุกคนอุปทานหมู่ไปเองค่ะ นี่มลินแค่เขียนให้ทุกคนเพิ่มระดับความสัมพันธ์กัน (แบบว่าไม่ใช่แค่คู่นั้นนะที่จะสนิทกันได้ไรเงี้ย มาด้วยกันก็มีโมเม้นกันบ้างเนอะ) #แถไป #ดริฟท์ยางไหม้กันเลยทีเดียว #มันไม่เกี่ยวกับการเลี้ยงเป็ด

     

     

     

    #ficzombie

    ตะเอง ใครยังไม่สั่งจองฟิค อย่านิ่งนอนใจไป เราต้องโหดนะคะที่รัก

    เข้าไปอ่านรายละเอียดแล้วสั่งเลยค่ะ ซอมบี้ไลน์โหด MAX อยู่แล้วมลินรู้

    ลิงค์สั่งจองฟิคค่า http://my.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1015157&chapter=35

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×