ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZOMBIES HARD CREEPER | KAIHUN CHANBAEK FT.EXO

    ลำดับตอนที่ #34 : Chapter 32 :: Lost ( END OF SEASON 1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 16.04K
      146
      19 ม.ค. 57

    ? Tenpoints!



    Chapter 32

    Lost

     

     

     

    ผมจะออกไปหาเสบียงแถว ๆ นี้แล้วจะรีบกลับ ชานยอลบอกเซฮุนที่กำลังถือถ้วยโจ๊กออกมาจากห้องครัว เด็กหนุ่มพยักหน้ารับแล้วร่างสูงก็เดินออกไปพร้อมกับแบคฮยอน

    เซฮุนวางถ้วยลงบนโต๊ะพลางมองคนเจ็บที่นอนอยู่บนโซฟาทั้งสองตัว ลู่หานยังคงนอนแน่นิ่งไม่ขยับ เพราะไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเขาเลยกังวลว่าลู่หานเกิดแผลติดเชื้อจนอาการแย่ลงมากไปกว่านี้และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ มันคงไม่ดีแน่ ทางด้านขวาคือจงอินที่ยังคงหลับอยู่ แต่เพียงแค่ครู่เดียวเปลือกตาหนาก็ค่อย ๆ ลืมขึ้นมา เซฮุนเดินไปนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับยิ้มบาง ๆ

    กินสักหน่อยนะครับ

    ใบหน้าที่บวมช้ำตามมุมปากและโหนกแก้มทำให้คนที่ไม่มีรอยแผลอย่างเขารู้สึกผิดเหลือเกิน แต่ถ้าแสดงออกว่าเขากำลังเศร้ามากแค่ไหนจงอินก็คงรู้สึกไม่ดีไปอีก ร่างหนาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แววตาของเขาเรียบเฉยราวกับอยากพูดอะไรบางอย่าง เซฮุนตักโจ๊กเหลวขึ้นมาเป่าเบา ๆ แล้วเอื้อมขึ้นไปอยู่ตรงระดับฝีปากอีกฝ่ายหากแต่จงอินกลับไม่มีท่าทีว่าจะอ้าปากรับมันเข้าไป

    ผมรู้ว่าคุณไม่อยากกิน

    ...

    แต่คุณต้องกินนะครับ น้ำเสียงของเด็กหนุ่มสั่นเครือ ทั้งที่พยายามเข้มแข็งมาตลอด คิดว่าทุกอย่างต้องผ่านพ้นไปให้ได้ถ้ามีสติมากพอ แต่พอเห็นสีหน้าของจงอินในตอนนี้เขาก็รู้สึกท้อขึ้นมา

    ... เซฮุนยิ้มเมื่อจงอินยอมอ้าปากเล็กน้อยพอให้ปลายช้อนเข้าไปได้ โจ๊กรสชาติจืดสนิทไหลลงคอได้อย่างง่าย ๆ ร่างหนาจ้องมองคนตรงหน้าที่กำลังเป่าโจ๊กคำที่สองให้เขาพร้อมกับหยดน้ำตาที่ร่วงลงบนพื้น

     

     

    เซฮุน...

     

     

    ชานยอลกับแบคฮยอนเพิ่งออกไปหาเสบียงเมื่อกี้นี้ ส่วนลู่หาน... มือข้างซ้ายวางถ้วยโจ๊กลง เซฮุนหันไปมองคนที่ยังหลับอยู่ก่อนจะหันมายิ้มทั้งน้ำตาให้กับคนตรงหน้าเขาคงดีขึ้นเร็ว ๆ นี้ ผมเชื่ออย่างนั้น... เซฮุนยื่นช้อนมาตรงหน้าอีกครั้ง จงอินอ้าปากรับก่อนจะดึงช้อนออกแล้วจับข้อมืออีกคนเอาไว้

    น้ำตาที่ว่ากลั้นไม่อยู่แล้วตอนนี้กลับไหลออกมาอย่างหนักเพราะร่างของเขาถูกดึงให้ไปซบกับหน้าขาแกร่ง มืออุ่นที่วางอยู่บนหัวในตอนนี้เป็นแม่เหล็กที่กำลังดึงดูดความเจ็บปวดที่ฝังลึกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนให้ออกมาเป็นน้ำตา เซฮุนซุกหน้าลงกับขาแกร่งแล้วสะอื้นจนตัวโยน ริมฝีปากบางสั่นเครือจนต้องเม้มแน่นเอาไว้เพื่อไม่ให้อี้ชิงที่ฟุบหลับอยู่ข้าง ๆ ตื่นขึ้นมา จงอินค่อย ๆ คลายมือแล้วเลื่อนมากุมมืออีกคนเอาไว้ ขอบตาของเขาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์สะเทือนใจเมื่อคืน

     

     

    ทั้งที่น่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้...

    ถ้าเขาอดทนอีกหน่อยก็คงพาอี้ฟานออกมาได้แล้ว...

     

     

    รู้สึกได้ถึงความอุ่นของน้ำตาที่ซึมผ่านกางเกงยีนส์ จงอินปลอบประโลมคนตรงหน้าด้วยฝ่ามือที่กำลังลูบไปตามเรือนผม นัยน์ตากลอกมองไปทางลู่หานที่ยังคงเจ็บสาหัสไม่ได้สติกับอี้ชิงที่ฟุบหลับอยู่ข้าง ๆ การสูญเสียครั้งนี้ทำให้พวกเราทุกคนเสียหลัก แบคฮยอนต้องเป็นคนออกไปเสี่ยงข้างนอกมันทำให้เขารับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในกลุ่มที่ไม่เต็มใจยอมรับนัก

     

     

     

     

     

     

    ครืน...

     

    รถกระบะคันเก่าดับเครื่องลงหน้ามินิมาร์ทร้านที่สี่หลังจากที่เขาทั้งคู่ออกตะเวนหาเสบียงแล้วแต่ก็ไม่พบแม้แต่ทูน่ากระป๋องหรือน้ำเปล่าสักขวด ความท้อแท้ ความสิ้นหวังกำลังกัดกินปาร์คชานยอล...คนที่กำลังรับบทหนักในตอนนี้

    ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉยเต็มไปด้วยความกังวล ร่างสูงดันประตูเข้าไปทางด้านในอย่างช้า ๆ มือของเขามีเพียงแค่ค้อนตอกตะปูที่ได้มาตอนไปค้นหาอุปกรณ์ทำที่แขวนสายน้ำเกลือให้ลู่หาน ขายาวก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังโดยมีแบคฮยอนเดินตามหลังมาติด ๆ ร่างสูงยกมือบอกให้คนตัวเล็กหยุดยืนรออยู่ตรงนี้ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ เดินเข้าไป

    แบคฮยอนยืนมองแผ่นหลังกว้างจนหายลับเข้าไปในล็อกสินค้าที่มีของเพียงบางชิ้นเท่านั้นที่ยังคงวางเรียงอยู่บนชั้น ร่างสูงก้มลงมองซากสิ่งของที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นบ่งบอกได้ถึงความเร่งรีบของบุคคลก่อนหน้านี้ที่แวะเข้ามาเยี่ยมเยียน ของที่เหลือส่วนใหญ่มีเพียงแค่ครีมทาผิว แปรงสีฟัน สำลี และพวกของใช้อย่างอื่นที่จำเป็นน้อยที่สุด คงไม่ต้องพูดถึงอาหารกระป๋อง แม้แต่ขนมขบเคี้ยวสักห่อก็ยังไม่มีให้เหลือเก็บ ชานยอลลดมือลงพลางเสยผมขึ้นอย่างหัวเสีย

    แบคฮยอนกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อหาของที่น่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้ มือเล็กเอื้อมไปหยิบหมากฝรั่งที่วางอยู่ในกล่องหน้าเคาน์เตอร์แคชเชียร์แล้วเก็บใส่กระเป๋า ชานยอลเดินกลับมาพร้อมสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วยื่นแครกเกอร์ซองหนึ่งออกมาตรงหน้า

    ผมเห็นมันตกอยู่ในซอกชั้นวางของและมันก็คือชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ในร้านนี้แบคฮยอนพอจะเข้าใจความรู้สึกของชานยอลที่กำลังคิดหนักกับเรื่องที่พบเจออยู่ พวกเขาค้นหาเสบียงมาตั้งสี่ที่แล้ว ไหนจะต้องหาที่จอดรถให้ไกลจากตำแหน่งเพื่อเลี่ยงพวกตัวกินคนที่ยืนอยู่เป็นกลุ่มอีก ถ้าให้เดา คนที่เคยมีชีวิตอยู่ในละแวกนี้คงเก็บไปหมดแต่ถ้าจะให้มองในแง่ร้ายหน่อยก็คงเป็นคนพวกนั้นระยะทางจากตรงนี้ไปจนถึงค่ายนรกก็ไม่ได้ไกลสักเท่าไหร่ ละแวกนี้คงโดนพวกมันกวาดของใช้จำเป็นไปตุนไว้ที่นั่นหมดแล้ว

    ท่ามกลางความเงียบ...แบคฮยอนฉีกซองหมากฝรั่งแล้วยื่นให้อีกฝ่าย ชานยอลมองหมากฝรั่งสีม่วงในมือเล็กแล้วเงยหน้าขึ้น มันน่าจะคลายหิวได้

    ...

    อร่อยนะครับ รสบลูเบอรี่ด้วย แบคฮยอนยิ้มฝืนแล้วยื่นไปตรงหน้าอีกครั้ง ชานยอลนิ่งไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากหยักยิ้มบาง ๆ พร้อมกับรับมันมาตามมารยาท ถ้ามีนี่นะ ผมไม่กินอะไรทั้งวันเลยก็ได้ แบคฮยอนกำหมากฝรั่งในกล่องออกมาใส่กระเป๋าเพื่อให้ร่างสูงผ่อนคลายกับความกดดันที่กำลังถาโถมเข้าหา รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหายไปขณะที่อีกฝ่ายกำลังพูดจ้อแจ้ไม่หยุด มือแกร่งเอื้อมไปวางลงบนหัวคนตัวเล็กก่อนจะรั้งให้เข้ามาซบกับแผงอกของเขา

    แบคฮยอนนิ่งเงียบไปในเวลาถัดมา เด็กน้อยหันหน้าเข้าหาพร้อมกับสวมกอดร่างสูง หมากฝรั่งถูกยัดเข้ามาอยู่ในมือเดียวส่วนมือข้างที่ว่างอยู่ค่อย ๆ ลูบแผ่นหลังกว้างเบา ๆ เป็นเชิงปลอบใจ เด็กอย่างเขาไม่เคยทำแบบนี้กับใครและก็ไม่รู้ด้วยว่าวิธีนี้มันจะช่วยชานยอลได้มากน้อยแค่ไหน

    ตอนนี้ทุกคนต่างมีบาดแผลสดที่เกิดขึ้นในใจและสองสิ่งที่จะช่วยเยียวยาให้ทุเลาลงไปได้ก็คือเวลาและความห่วงใยของกันและกัน จากกอดหลวม ๆ เปลี่ยนเป็นกอดแนบแน่นขึ้นในเวลาถัดมาเมื่อปาร์คชานยอลกอดตอบ มือแกร่งลูบหัวทุยเบา ๆ พร้อมกับหลับตาลง...

     

     

     

     

     

     
     

     

    เย็นวันนั้น...

    แครกเกอร์สิบสองชิ้นกับน้ำเปล่าครึ่งขวดเท่านั้นที่เป็นอาหารสำหรับมื้อนี้ ทุกคนนั่งอยู่บนพื้นล้อมโต๊ะไม้ตรงกลางยกเว้นลู่หานที่ยังคงหลับไม่ได้สติอยู่บนโซฟา ท่ามกลางความมืดมีเพียงแค่แสงสว่างจากเทียนไขเล่มใหญ่ที่ได้มาตอนออกไปหาเสบียงข้างนอก ภาพขนมชิ้นวงกลมที่อยู่ตรงกลางโต๊ะบ่งบอกได้ถึงความสิ้นหวังในขณะนี้

    ตั้งแต่เริ่มหนีตายมาพวกเขาไม่เคยอด ๆ อยาก ๆ แบบนี้มาก่อน พอมาถึงตอนนี้คิมจงอินถึงได้รู้สึกผิดที่เขาพาทุกคนย้ายออกมาจากโรงเรียน...ถ้าตัดสินใจอยู่ที่นั่นต่ออีกสักวันพวกเขาก็คงไม่บังเอิญไปเจอพวกระยำแบบนี้

     

     
     

    และอี้ฟานก็คง...

     

     
     

    เซฮุนเป็นคนแบ่งแครกเกอร์ให้คนละสองชิ้น แน่นอนว่าของเพียงแค่นี้มันทำให้อิ่มท้องไม่ได้ พอนึกไปถึงวันพรุ่งนี้พวกเขาก็ต้องออกไปหาอาหารกันอีกแต่มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหากลับมาได้เผื่อวันถัดไป

    ผมให้คุณ ชานยอลวางแครกเกอร์ที่เซฮุนเพิ่งให้ลงตรงหน้าแบคฮยอน เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ได้รอยยิ้มบาง ๆ ตอบกลับมาเท่านั้น

    หน้าฉันเยินขนาดนี้คงเคี้ยวไม่ไหวหรอก นายสองคนเอาไปแบ่งกันแล้วกัน จงอินก็เป็นอีกคนที่เสียสละส่วนของตัวเองให้กับเซฮุนกับอี้ชิง เด็กหนุ่มมองคนข้าง ๆ ที่กำลังพยายามหยัดตัวลุกขึ้นไปนั่งบนโซฟาตัวเดิมอย่างทุลักทุเล ไม่มีการบังคับคะยั้นคะยอให้จงอินกินแครกเกอร์โง่ ๆ สองชิ้นนี้ เซฮุนก้มหน้าลงมองขนมตรงหน้าแล้วแบ่งให้กับอี้ชิง

    “Share out' in Korean is แบ่งกัน

    แบ่ง - กัน อี้ชิงขยับปากพูดตามแล้วพยักหน้า

    ขอบคุณครับ แบคฮยอนพูดเบา ๆ แล้วก้มหน้าอ้าปากกัดแครกเกอร์คำแรก อี้ชิงมองเด็กน้อยสองคนที่กำลังค่อย ๆ ละเลียดกินขนมในมือราวกับว่ามันเป็นของมีค่าที่สุดในเวลานี้

    บรรยากาศเปลี่ยนไป...เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อใครอีกคนไม่อยู่ที่นี่ ถึงจะไม่ได้พูดคุยกันจนเรียกได้ว่าสนิทสนมแต่พออี้ฟานไม่อยู่ความรู้สึกที่เรียกว่า ใจหาย นั่นแหละที่พวกเขาสัมผัสได้ในทุกวินาที

    มีใครรู้บ้างไหมว่าอี้ฟานอายุเท่าไหร่

    ... คำถามของจงอินทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นมา ชานยอลนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาส่ายหน้าน้อย ๆ เป็นคำตอบ ความรู้สึกผิดก่อตัวอีกครั้งกับคำถามของอีกคนเพราะตัวเขารู้ดีว่าในกลุ่มนี้คนที่สนิทกับอี้ฟานที่สุดคือใคร

    รู้ไหมว่าเขาชอบกินอะไร

    ...

    มาจากที่ไหน ก่อนหน้านี้ทำงานอะไร

    ...

    ไม่มีใครขอห้ามให้จงอินหยุด ทุกสายตาจดจ้องไปยังเทียนตรงหน้าราวกับไว้อาลัยให้กับการจากไปของคนที่เป็นเหมือนกับพี่ใหญ่ในกลุ่ม แครกเกอร์ที่ถือเอาไว้สั่นเล็กน้อยเมื่อคนที่ถือมันกำลังร้องไห้ แบคฮยอนรีบปาดน้ำตาออกลวก ๆ ก่อนจะยัดแครกเกอร์คำสุดท้ายเข้าปากแล้วเคี้ยวมันทั้งน้ำตา

    ผมเคยคิดว่าการที่ไม่รู้เรื่องของคนอื่นเลยมันคงเป็นเรื่องดีที่สุด

    ...

    เพราะตอนที่เขาจากไปผมจะได้ไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์อะไรนัก ชานยอลพูดเสียงเรียบหากแต่สีหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่ผมคิดผิด

    ...

    คนที่เห็นหน้ากันทุกวัน ผ่านพ้นเรื่องเลวร้ายมาด้วยกัน ไม่ว่าจะรู้เรื่องราวในชีวิตอีกฝ่ายลึกตื้นแค่ไหนแต่สิ่งที่ก่อขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัวเลยก็คือความผูกพัน...ไม่ว่าจะเป็นคุณ...คุณ...หรือคุณ...หากว่าใครหายไปสักคนผมก็คงเสียใจไม่แพ้กัน

    ...

    ผมไม่รู้ว่าเขาอายุเท่าไหร่ ทำงานอะไร เรียนจบสาขาไหน มีพี่น้องกี่คน แต่เรื่องราวในอดีตของเขาที่ผมรู้คือเขาเคยมีภรรยาและหย่าร้างกันไปทั้งที่เขายังรักเธออยู่ ลูกเมียตายเพราะถูกกัด เขาคิดอยากจะฆ่าตัวตายตามไปให้รู้แล้วรู้รอดเพราะเขาหาเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้

    ...

    ในวินาทีที่เขากำลังจะเหนี่ยวไกปืนลงบนขมับ นั่นก็คือวินาทีที่ลู่หานปีนเข้าไปในบ้านของเขา

    แบคฮยอนก้มหน้าสะอื้นอย่างหนักส่วนเซฮุนเองก็ไม่ต่างกัน ภาพเก่า ๆ ที่สายตาของเขามองไปยังผู้ชายคนนั้น คนที่เป็นเหมือนกับพ่อ พี่ชาย อี้ฟานเหมือนกับเกราะกำบังที่ทำให้ทุกคนรู้สึกปลอดภัย ไม่ใช่แค่พวกเขา...นั่นก็รวมถึงเด็ก ๆ ที่อยู่ในโรงเรียนด้วย

    เซฮุนนั่งนิ่ง ๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาโดยที่ไม่ต้องบีบ อี้ชิงไม่เข้าใจในสิ่งที่จงอินกำลังพูด แต่สถานการณ์ที่เป็นอยู่คงไม่พ้นเรื่องเมื่อคืนนี้ ไม่ว่าใครหน้าไหน จะจนหรือรวย สิ่งที่พวกเขาทุกคนต้องได้พบเจอคือความสูญเสีย

     

     

     

    มันขึ้นอยู่กับเวลาว่าจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วก็เท่านั้น...

     

     

    คิมจงอิน อายุยี่สิบหก ทำงานเป็นช่างซ่อมรถ ชอบกินเหล้า กินเบียร์ แล้วก็นอน

    ...

    จะจำหรือไม่จำก็ตามใจนะ แค่อยากบอกเอาไว้เผื่อว่าวันนึงฉันตายไปแล้วพวกนายจะได้ไม่ต้องมาเสียใจกันทีหลังว่าไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับฉันเลยสักอย่าง ถึงจะรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่ขยับปากพูดแต่จงอินก็เก็บสีหน้าไว้ได้ดี เซฮุนก้มหน้าลงพลางไล้น้ำตาออกลวก ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง

    ผมชื่อโอเซฮุน อายุสิบแปด I'm Oh Sehun, 18 years old. And that guy is Kim Jongin, 26 years old.” ประโยคหลังร่างบางหันไปทางอี้ชิง

    บยอนแบคฮยอน...อายุสิบแปด...

    ปาร์คชานยอล อายุยี่สิบเก้า งานที่ผมทำมันคงไม่สำคัญอะไร ก็แค่ดูแลบริษัทแทนพ่อเท่านั้น I'm Park Chanyeol, 29 years old.” ร่างสูงยิ้มพร้อมกับหันไปพูดประโยคหลังกับอี้ชิง

    ผม...ชื่อจางอี้ชิง...อายุ...ยี่สิบ... อี้ชิงพูดช้า ๆ แล้วขยับปากนับเลขที่เคยฝึกอ่านมาก่อนหน้านี้เจ็ด...ยี่สิบเจ็ด

    ความเงียบครอบคลุมอีกครั้งหลังจากแนะนำตัวอย่างเป็นทางการกันเรียบร้อยแล้ว มันอาจจะตลกไปสักหน่อยกับการทำความรู้จักในเวลาแบบนี้ ทุกคนหันไปหาคนป่วยที่นอนอยู่บนโซฟาด้วยความเป็นห่วงเมื่อลู่หานยังไม่ฟื้นสักที

    ตอนนี้ก็เหลือแค่รอให้มันตื่นขึ้นมาแนะนำตัวสินะ

    เมื่อไหร่เขาจะตื่นครับ แบคฮยอนหันไปถามชานยอลที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ร่างสูงหลุบสายตามองหน้าอีกฝ่ายแล้วก็ยีหัวเบา ๆ

    อีกไม่นานหรอก 

     
     

     

     

     

     

    พรึ่บ!

     
     

    เปลือกตาทั้งสองข้างลืมขึ้นแต่ภาพแรกที่เห็นทำให้คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันเมื่อพบว่าทุกอย่างรอบตัวเป็นสีขาวโพลนไปหมด ทั้งต้นไม้...ม้านั่ง...ชิงช้าที่อยู่ตรงนั้นมันช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน

     
     

     

    แต่เดี๋ยวนะ...ผู้หญิงคนนั้นน่ะ?

     

     
     

    แม่?คนถูกเรียกค่อย ๆ หันกลับมามองตามเสียง ใบหน้าเรียวสวยคลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะทัดผมเข้ากับหู นั่นแม่จริง ๆ ใช่ไหม? ลู่หานถามย้ำ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าขาทั้งสองข้างกำลังก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวเพื่อตรงไปหาผู้ให้กำเนิด ที่จากเขาไปแล้วสิบกว่าปี

    เหนื่อยไหม? คำถามแรกที่มาพร้อมกับมือนุ่มที่ทาบลงบนแก้มลูกชาย ลู่หานยังคงจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่เขามักจะเห็นแค่ในรูปถ่ายเท่านั้น หญิงสาวหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นลูกชายเอาแต่จ้องเธอจนไม่ยอมกระพริบตาไปไหน

    แม่

    ว่าไงลูก? น้ำเสียงอ่อนโยนกับแววตาสดใสเหมือนกวางที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าเขาได้มันมาจากเธอ ลู่หานยิ้ม...เขาไม่รู้หรอกว่าหน้าตาเขาจะตลกเพราะรอยยิ้มในตอนนี้มากแค่ไหน

    ผมตายแล้วใช่ไหม? คนเป็นแม่ไม่ได้ตอบคำถามในทันที เธอเพียงแค่ส่งรอยยิ้มกลับมาก่อนจะเอื้อมมือขึ้นไปลูบหัวลูกชายเบา ๆ ผมกำลังจะตามไปอยู่กับแม่ใช่หรือเปล่า?คนหยาบกระด้างอย่างเขาลึก ๆ แล้วโหยหาความรักจากแม่มาตลอด แม่ที่จากไปตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก จากไปโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว...

    พี่ลู่หาน ร่างโปร่งหันไปตามเสียงเรียก นัยน์ตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นใครอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้

    มินซอก?

    พี่ลู่หาน เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกอีกครั้ง เขาแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองที่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกด้วยสรรพนามแบบนั้น

    ลู่หานหันกลับไปหาคนเป็นแม่อีกครั้งแล้วก็พบว่าเธอไม่อยู่ตรงนี้แล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปเมื่อความฝันตลอดสิบกว่าปีว่าจะได้เจอแม่จบลงเพียงเท่านี้ ร่างโปร่งหันกลับไปหามินซอกอีกครั้งแต่คราวนี้คนตัวเล็กได้มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ไม่มีเลนส์แว่นบดบังแววตาคู่นี้ ไม่มีแววตาเย็นชาตัดพ้อ แต่กลับเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่แต่งแต้มบนใบหน้าคนตัวเล็กเท่านั้นที่เขามองเห็น

    มินซอก...คือพี่ คำพูดดี ๆ ที่เคยคิดเอาไว้ว่าถ้ามีโอกาสแล้วต้องพูดออกมาให้ได้กลับกลายเป็นแค่เสียงตะกุกตะกักเพราะเรียบเรียงออกมาไม่ถูก มินซอกหลุดขำออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางของเขา

    ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว

    ไม่สิ พี่ต้องพูด มีอะไรอีกหลายอย่างที่พี่อยากพูดกับนาย

    นี่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดกับผม ลู่หานลดสีหน้าลงในขณะที่รอยยิ้มของมินซอกกว้างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยตรงนั้น ร่างโปร่งมองไปตามนิ้วเรียวที่ชี้ไปทางด้านขวา ชายหนุ่มร่างหนาที่ยืนพิงหลังอยู่กับประตูรถสีขาวกำลังมองมาทางนี้...

    จงอิน?

    ตรงนั้น

    อี้ฟาน ชานยอล เซฮุน?ดวงตาทั้งสองข้างกลอกมองไปยังผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่ฟากฝั่งตรงข้าม ผู้ชายสามคนนั้นกำลังยิ้มให้เขาอยู่

    แล้วก็ตรงนั้น...

    แบคฮยอน

    มีเพียงแค่คนเดียวที่ยืนร้องไห้อยู่ตรงมุมห้องกว้างสีขาว และเขามั่นใจว่าที่เห็นอยู่มันคือภาพที่เขาไม่ต้องการพบเจอมากที่สุดนั่นก็คือแบคฮยอนกำลังยืนร้องไห้อย่างหนักพร้อมกับริมฝีปากที่กำลังขยับพูดอะไรบางอย่างจนเขาต้องขมวดคิ้วเพื่ออ่านริมฝีปากนั้น

     

     

    อย่า...

    ตาย...

    นะ...

     

     

     

    อย่าตายนะลู่หาน...ฮือ...

     

     

     

    คราวนี้มาพร้อมกับเสียงราวกับว่าแบคฮยอนมายืนกระซิบอยู่ข้างหูเขา ลู่หานยืนนิ่ง ภาพแบคฮยอนยังคงยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน...ร่างโปร่งหลุบสายตาลงมองมือตัวเองที่กำลังถูกกุมโดยมืออีกคนก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือนี้

    กลับไปหาพวกเขาได้แล้ว

    มินซอก...

    พวกเขารอพี่อยู่ นี่ไม่ใช่ที่ของพี่

    ...

     

     

     

    แข็งใจเอาไว้นะ...พี่ลู่หาน

     

     

     

    ตึก...ตึก...ตึก...

     

     
     

    “One more blanket!” (ขอผ้าห่มอีกผืน!) อี้ชิงหันไปตะโกนบอกคนที่อยู่ข้างหลัง ชานยอลรีบวิ่งขึ้นไปบนบ้านเพื่อเอาผ้าห่มลงมาให้คนป่วยที่กำลังนอนตัวสั่นอยู่

    อย่าเป็นอะไรไปนะ...ฮือ...แบคฮยอนกอดลู่หานเอาไว้เพื่อไม่ให้ตกลงมาจากโซฟา เด็กหนุ่มร้องไห้อย่างหนักเมื่ออีกฝ่ายอาการทรุดลงกว่าเดิม

    ริมฝีปากแห้งผาก ใบหน้าซีดขาว เหงื่อพราวไหลออกตามขมับซอกคอจนเสื้อเปียก ลู่หานพยายามขดตัวเข้าหากันเพราะความหนาวจากพิษไข้แต่ก็ถูกแบคฮยอนกับเซฮุนช่วยกันจับแขนขาเอาไว้เพื่อไม่ให้แผลอักเสบมากไปกว่านี้

    ห...หนาว...น้ำเสียงแห้งผากหลุดออกมาจากริมฝีปากของร่างโปร่ง

    จงอินวางกะละมังใบเล็กลงบนโต๊ะก่อนจะบิดผ้าขนหนูให้พอหมาด ๆ แล้วซับลงบนใบหน้าของเพื่อนซี้ที่กำลังเพ้อหนักเพราะพิษไข้ ส่วนอี้ชิงกำลังฉีดยาลดไข้ที่แบคฮยอนหยิบติดมาด้วยตอนเข้าไปในโรงพยาบาลให้กับคนที่กำลังตัวสั่นเทาไม่หยุด ผ้าห่มผืนหนาที่ชานยอลเอามาถูกห่มให้กับคนไข้ที่กำลังนอนหนาวสั่นอยู่ จงอินดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงคออีกฝ่ายพร้อมกับตบแก้มเรียกสติเบา ๆ

    สัด มึงฟังกูนะ เสียงเบาจนเรียกว่ากระซิบ ถึงจะรู้ดีว่าลู่หานคงไม่ได้ยินเสียงของเขาแต่จงอินก็ยังอยากพูดออกมามึงเคยบอกว่ากลัวอดตายมากกว่าถูกกัด นี่ข้าวก็ยังไม่ได้แดก เพราะงั้นมึงไม่มีสิทธิ์ตายตอนนี้ เข้าใจไหม

    ...

    ลู่หาน มึงได้ยินที่กูพูดหรือเปล่า? มือหนาตบลงบนแก้มคนที่กำลังกระสับกระส่ายอยู่ ไม่นานนักร่างนั้นก็ค่อย ๆ สงบลงในเวลาถัดมา จงอินซับผ้าขนหนูลงบนหน้าลู่หานเบา ๆ เพื่อให้คนป่วยรู้สึกสดชื่นกับความเย็นของผ้าบ้าง ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก มองนาฬิกาที่ติดอยู่ตรงผนังตอนนี้ก็ตีสามกว่า ๆ แล้ว ร่างหนาลุกขึ้นกระเผลกไปเปิดผ้าม่านตรงหน้าต่างแล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ เมื่อเห็นพวกตัวกินคนเดินเพ่นพ่านอยู่หน้าบ้าน

    เรามีเรื่องต้องคุยกัน ทุกคนหันไปทางจงอิน ร่างหนาปิดผ้าม่านแล้วนั่งลงกับพื้น

    เช้านี้ฉันจะออกไปล่าสัตว์

    ล่าสัตว์? แต่คุณเจ็บอยู่นะจงอิน? แบคฮยอนเลิกคิ้วขึ้นสูงส่วนชานยอลหันไปอธิบายให้อี้ชิงเข้าใจ

    เรามีทางเลือกไม่มากแล้ว และฉันคงไม่ยอมให้นายสองคนออกไปสดข้างนอกกันอีกแน่ จงอินชี้หน้าแบคฮยอนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

    ข้างหลังบ้านมีแม่น้ำ เราจับปลากินกันได้ไม่ใช่เหรอ

    ได้ด้วยเบ็ดตกปลา แต่ไม่ใช่วิธีเอากระเป๋าขวางทางน้ำเหมือนที่นายเคยทำ ระดับน้ำมันสูงแค่ไหนก็ไม่รู้ แบคฮยอนลดสีหน้าลง ร่างหนาขมวดคิ้วมุ่นแล้วหันไปทางชานยอล เราต้องมีอาวุธ จะเป็นมีดพก ปืน หรือว่าอะไรก็ตามที่สามารถใช้ป้องกันตัวได้  

    แถวนี้ไม่มีร้านขายปืน ผมขับสำรวจมาแล้ว

    ปืนของนายเหลือกระสุนกี่นัด

    สี่นัด

    ฉันขอแล้วกัน ชานยอลพยักหน้าแล้ววางปืนลงบนโต๊ะไม้พร้อมกับดันเข้าไปหาอีกคน

    คุณไหวแน่เหรอจงอิน?

    ไม่ไหวก็ต้องไหว พูดจบก็อัดยาแก้ปวดเข้าไปสองเม็ดแล้วดื่มน้ำที่ติดอยู่ก้นขวดตามลงไป

     

     
     

     
     

     

    เช้าวันรุ่งขึ้น...

     

    ...

    ลู่หาน?

    เซฮุนแทบไม่อยากเชื่อสายตาเมื่อเห็นคนร่างโปร่งตื่นขึ้นมาหลังจากที่หมดสติไปหนึ่งวันเต็ม ๆ ลู่หานปรือตามองคนที่เดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เขาพร้อมกับรอยยิ้ม

    คุณโอเคไหม?เป็นเสียงของอี้ชิงที่ดังเข้ามาในหู ลู่หานพยักหน้าช้า ๆ เป็นคำตอบก่อนจะพยายามกลืนน้ำลายลงคอ

    คุณอย่าเพิ่งขยับตัวนะ แบคฮยอน! ลู่หานฟื้นแล้ว!”

     

     

    แบคฮยอนเหรอ?

    เด็กนั่นไม่เป็นไรใช่ไหม?

     

     

    ลู่หาน!” แบคฮยอนปรี่เข้ามานั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ โซฟา เด็กหนุ่มยิ้มกว้างด้วยความดีใจเมื่อเห็นเปลือกตาของคนป่วยกระพริบขณะมองหน้าเขา

    เสียงดัง...

    ฉันไม่สนหรอก!” ลู่หานยิ้มบาง ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กเอาแต่ใจ ร่างโปร่งกลอกตามองไปรอบ ๆ ข้างแล้วคำถามมากมายก็ผุดเข้ามาในหัว

    คนอื่น ๆ ล่ะ...

    ...

    ไอ้จงอินไปไหน...

    จงอินกับชานยอลไปหาเสบียงน่ะ เป็นเซฮุนที่ตอบคำถามแทนคนสองคนที่นั่งเงียบอยู่ รอยยิ้มของแบคฮยอนหุบลงเมื่อได้ยินคำถามนี้

    แล้ว...อี้ฟานล่ะ

    ...

    ได้ยินที่ฉันถามหรือเปล่า...แค่ก ๆ !!” ลู่หานนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกเจ็บตรงช่วงท้องหลังจากกระแอมเมื่อครู่ ทั้งสามคนหันไปมองหน้ากันแล้วก็เป็นอี้ชิงที่ลุกขึ้นนั่งกับขอบโซฟาแล้วห่มผ้าให้กับร่างโปร่ง

    คุณพักผ่อนเถอะ

    อี้ฟานไปไหน? พอไม่ได้รับคำตอบจากเด็กทั้งสอง ลู่หานเลยถามอี้ชิงด้วยภาษาบ้านเกิด ร่างผอมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วหลุบสายตาลง

    เขาไม่รอด

    ...

    ทุกคนก็รู้สึกไม่ต่างจากคุณ เด็กสองคนนี้ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมอยากให้คุณควบคุมอารมณ์หน่อย ลู่หานพูดไม่ออก แน่นอนว่าเขากำลังช็อกกับเรื่องที่ได้ยิน ร่างโปร่งยกแขนขึ้นมาก่ายหน้าผากก่อนจะปิดเปลือกตาลง

    คุณต้องรีบฟื้นตัวให้เร็วที่สุด นั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะบอก อี้ชิงพูดทิ้งท้ายแค่นั้น ร่างผอมบางลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในตัวบ้านทิ้งไว้แค่เด็กสองคนที่นั่งทำหน้าสลดอยู่ข้างโซฟา

     

     
     

     

     
     

    แอ๊ด...

    สองหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้าประตูเมื่อเห็นคนเจ็บที่นอนอยู่บนโซฟากำลังมองมาทางนี้ ให้เวลากับความประหลาดใจไปเกือบห้าวินาทีชายหนุ่มทั้งสองก็ยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นลู่หานชูนิ้วกลางขึ้นมา

    ตื่นมาก็กวนส้นตีนเลยนะมึง

    มึงแม่งช้า...กูหิวจะตายห่าแล้วเนี่ย

    โดนแทงยังไม่อยากจะตาย แค่เรื่องหิวทำบ่นเหรอ มึงอ่ะแดกน้ำเกลือไปก่อน จงอินว่าก่อนจะเอาปืนกับขวดน้ำเปล่าที่เพิ่งหามาได้ไว้บนโต๊ะ ร่างหนาหันกลับไปช่วยชานยอลกับเซฮุนลากกวางเข้ามาในบ้าน ดูเหมือนว่าวันนี้ทุกคนจะได้กินเนื้อกวางกันหลังจากที่หิวโหยมาข้ามวัน ตอนนี้เหลือเพียงแค่อี้ชิงกับแบคฮยอนเท่านั้นที่อยู่กับลู่หาน

    คุณยังปวดหัวอยู่ไหม?

    มาก เหมือนมีใครมายัดระเบิดใส่หัวฉันยังไงก็ไม่รู้

    อีกสักสองสามวันน่าจะหาย ทานยาแล้วก็พักผ่อนเถอะ อี้ชิงหยิบยาลดไข้ขึ้นมาแล้วเอื้อมไปหยิบขวดน้ำที่จงอินเพิ่งหามาได้ ถึงจะแค่สองขวดแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย อี้ชิงประคองท้ายทอยคนป่วยให้ลุกขึ้นมากินยา พอแบคฮยอนเห็นอย่างนั้นก็รีบเข้ามาช่วยถือขวดน้ำไว้เพื่อให้อี้ชิงประคองตัวลู่หานได้สะดวกยิ่งขึ้น

    คนป่วยเอนตัวลงไปนอนที่เดิมหลังจากกลืนยาลงคอ แบคฮยอนขมวดคิ้วมองประตูที่แง้มออกมาเล็กน้อยทั้งที่เมื่อกี้ชานยอลปิดมันไปแล้ว เด็กน้อยเดินไปปิดประตูอีกครั้งแล้วก็พบว่าลูกบิดมันหลวมจนแทบจะหลุดออกมารอมร่อ

    “The door is broken แล้ว แบคฮยอนหันไปบอกอี้ชิงพร้อมกับชี้ไปยังลูกบิด

    “Why? Did you break it, kid?” (ไหงงั้นล่ะ? นายทำมันพังเหรอเด็กน้อย?)

    “No! I’m not. It’s not my fault นะ (ผมเปล่านะ มันไม่ใช่ความผิดของผมนะ)

    “Can you take a chair to block the door? I'm gonna find something to fix it.” (เอาเก้าอี้ไปขวางไว้ก่อนสิ เดี๋ยวฉันจะไปหาอะไรมาซ่อมมัน)

    แบคฮยอนพยักหน้ารับก่อนที่อี้ชิงจะเดินหายเข้าไปในตัวบ้าน ประตูถูกดันเข้าไปอีกครั้งแล้วคนตัวเล็กก็ลากเก้าอี้ไปวางขวางเอาไว้ เด็กน้อยยืนจ้องลูกบิดอยู่อย่างนั้นแล้วหันกลับไปมองคนป่วยที่กำลังจ้องเขาอยู่ แบคฮยอนเดินมานั่งขัดสมาธิลงบนพื้นพร้อมกับเอาคางเกยแขนที่พาดอยู่บนโซฟา

    ถึงฉันจะเรียนไม่เก่ง แต่ก็พอฟังออกว่าสกิลนายห่วยมาก

    โห ตอนเรียนกับตอนดึงมาใช้จริง ๆ มันไม่เหมือนกันนี่ ว่าแต่คนอื่น นายฟังอี้ชิงพูดออกหรือเปล่าเหอะ

    ฟังออกดิ

    ฉันหมายถึงภาษาอังกฤษนะ ไม่ใช่ภาษาบ้านเกิดของนาย อย่ามาลักไก่สิ แบคฮยอนขมวดคิ้ว

    เอ้า จะภาษาไหนก็มีค่าเท่ากันป่ะครับ ตอนนี้ฉันพูดได้ปร๋อทั้งสองภาษาเลยนะ ทั้งจีน ทั้งเกาหลี

    ขี้โม้ แบคฮยอนชกไหล่คนป่วยเบา ๆ แต่ลู่หานกลับนิ่วหน้าราวกับว่าตรงนั้นมีรอยแผล

    เจ็บเหรอ? ฉันขอโทษ!” แบคฮยอนลนลานปะป่ายแขนคนตรงหน้า พอเห็นอย่างนั้นลู่หานก็หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ถ้าหัวเราะหนักกว่านี้คงเจ็บเพราะสะเทือนแผลแน่ ๆ

    ไม่ถึงกับตายหรอกน่า ลู่หานปรายตามองคนที่กำลังขมวดคิ้วเข้าหากัน นิ้วชี้เรียวกดลงตรงกลางหัวคิ้วเด็กน้อยตรงหน้าพร้อมกับนวดเบา ๆ เด็กน้อยถึงได้ยิ้มออกมา

    ก็อย่าตายแล้วกัน

    เออ ไม่ตายง่าย ๆ หรอก ฉันจะตามกวนตีนไปกว่าจะตายเลยล่ะ

    ปากดี ห้ามพูดเรื่องตายอีกนะ แบคฮยอนปัดมือคนป่วยออก ไม่ชอบเลยเวลามีคนมาพูดเรื่องความเป็นความตายกับเขาแบบนี้

    ฉันป่วยอยู่ไม่เห็นเหรอ ลงไม้ลงมือกันได้ลงคออ่ะคนเรา...แค่ก ๆ ลู่หานเลิกคิ้วมองพลางกระแอมเบา ๆ

    ก็นายทำตัวไม่น่าสงสารเอง

    เออ ไม่ต้องมาสงสารหรอก ไปไกล ๆ เลยป่ะ ลู่หานผลักหัวเด็กน้อยจนเซไปทางด้านข้าง

    ทำไมฉันต้องไปด้วย ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้วนะ

    แล้วไง ยังไงฉันก็นอนอยู่ตรงนี้ก่อนนายอยู่ดี ถอยไปห่าง ๆ เลยนะเตี้ย

    ไม่ไป

    บอกให้ไป

    ไม่!”

    ดื้อว่ะ ลู่หานเอื้อมมือไปยีหัวคนตัวเล็กจนยุ่งไปหมดแล้วก็หลุดยิ้มออกมาเพราะแบคฮยอนกำลังงอหน้าขณะมองเขาอยู่

     

     

    ตึง!

     

     

    ... ทั้งคู่หันไปมองที่ประตู แบคฮยอนรีบคว้าปืนของจงอินที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเล็งไปข้างหน้า

     

     

    ตึง!

     

     

    จ...จงอิน!” แบคฮยอนเอี้ยวหน้าไปทางด้านข้างขณะที่สายตายังคงจดจ้องอยู่ที่ประตู เก้าอี้ค่อย ๆ ขยับออกมาทุกครั้งที่ประตูถูกทุบ มือของเด็กน้อยกำลังสั่น เบื้องหลังประตูบานนั้นคืออะไร...จะเป็นคน...หรือว่า...

    มีอะไรเหรอแบคฮยอน?

     

     

    ปัง!

     

     

    ประตูถูกผลักเข้ามาพร้อมกับตัวกินคนสามตัว เก้าอี้ที่เคยขวางเอาไว้ล้มลงไปบนพื้นในทันทีที่ถูกบุกรุก ร่างหนาเบิกตากว้างก่อนจะหยิบกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนชั้นฟาดเข้าที่หัวมันอย่างจังจนหน้าแหว่งไปครึ่งหนึ่ง

     

     

    ปัง!!!

     

     

    แบคฮยอนเหนี่ยวไกใส่หัวตัวกินคนที่กำลังเข้ามาในระยะประชิด เลือดสีดำทะลักเต็มเสื้อเด็กหนุ่มก่อนที่มันจะทรุดลงไปนอนกับพื้น พอได้ยินเสียงปืนคนที่เหลือก็รีบวิ่งออกมา ชานยอลเข้าไปช่วยจงอินที่กำลังถูกรุกอย่างหนักจากตัวกินคนที่กำลังเข้ามาในบ้านทีละตัว

    ชานยอล ข้างหลัง!” ลู่หานตะโกนบอกก่อนที่ชานยอลจะเอาค้อนทุบหัวมันอย่างแรงแล้วถีบออกไปจนชนกับตู้กระจก

     

     
     

    เพล๊ง!!!!

     

     

     

    พวกมันมาจากไหนน่ะ!!” แบคฮยอนตะโกนถามแล้วเหนี่ยวไกปืนอีกครั้ง

    เซฮุน อี้ชิง พาลู่หานออกไปทางหลังบ้านเดี๋ยวนี้!!” จงอินซัดหมัดใส่หน้าตัวกินคนออกไปจากระยะอันตราย ชานยอลเอาค้อนทุบลงบนหัวตัวกินคนจนบุบลงไปในกะโหลก ร่างสูงถีบมันให้ล้มลงไปแล้วเอาเท้ากระทืบอย่างแรงจนสมองทะลักออกมาเต็มพื้น

    เร็วเข้า!”

    เซฮุนกับอี้ชิงช่วยกันหิ้วปีกลู่หานที่ยังคงเจ็บหนักจนแทบเดินเองไม่ได้ออกไปทางหลังบ้านส่วนแบคฮยอนวิ่งนำไปข้างหน้าเพื่อเปิดทางให้ พวกกินคนแห่กันมาจากไหน?

    พวกมันตามเสียงรถ...ค่อย ๆ เดินตามมาทีละนิดตั้งแต่ตอนที่ชานยอลกับแบคฮยอนออกไปหาเสบียงแล้ว...

    อึ่ก!” ลู่หานนิ่วหน้าเจ็บเพราะการเคลื่อนไหวในทุกย่างก้าว ขาทั้งสองข้างถูลู่ถูกังไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเล เซฮุนเอี้ยวหลังหันกลับไปมองเป็นระยะแล้วก็เห็นจงอินกับชานยอลวิ่งออกมาพร้อมกับถีบตัวกินคนให้กลับเข้าไปในบ้านแล้วปิดประตูอย่างแรง

    ชานยอลวิ่งข้ามถนนมาหาทั้งสี่คนส่วนจงอินแยกไปอีกทางเพื่อหารถคันใหม่ ร่างหนาแทรกตัวเข้าไปในรถเพื่อทำการต่อสายตรง จากสายอาชีพที่เขาเคยทำแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องง่ายอย่างกับปอกกล้วย แต่ในสถานะกดดันแบบนี้เรื่องปอกกล้วยอาจจะเป็นเรื่องยากที่สุดก็ได้ ทุกคนกำลังอยู่ในสภาวะตื่นกลัว ถึงตอนนี้จะรอดพ้นจากพวกฝูงตัวกินคนในบ้านได้แล้วแต่ว่า...

    ทางนั้น!!” แบคฮยอนชี้ไปตรงทางโค้งที่ไม่รู้ว่าพวกมันมาจากไหน ชานยอลเข้ามาช่วยหิ้วปีกลู่หานแทนอี้ชิงแล้วทุกคนก็รีบวิ่งตรงไปที่รถ

     

     

    ปัง!

     

     

    ประตูหลังบ้านที่จงอินปิดไว้เมื่อครู่ถูกพังออกมาพร้อมกับตัวกินคนอีกเป็นสิบ เสียงสตาร์ทรถติดเป็นเหมือนกับเสียงที่สวรรค์ประทานมาให้ จงอินวางมือลงเบาะข้างคนขับพลางหันไปมองข้างหลังเพื่อถอยกลับไปหาคนอื่น ๆ ที่กำลังวิ่งมาทางนี้

    แบคฮยอน เปิดประตูหน้าปรับระดับเบาะลงด้วย!”

    เด็กน้อยรีบวิ่งไปเปิดประตูรถอย่างรู้งานพร้อมกับปรับระดับเบาะให้เอนไปข้างหลัง ชานยอลกับเซฮุนช่วยประคองลู่หานให้เข้าไปนั่งที่เบาะหน้าก่อนจะหันกลับไปมองภาพสยดสยองที่กำลังวิ่งเข้ามาใกล้ทุกที ๆ พวกกินคนเกือบยี่สิบตัวกำลังมาทางนี้...

    กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซ

     

     

    ปัง!

     

     

    กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซ

    ประตูรถปิดลงก่อนที่พวกมันจะคว้าตัวเอาไว้ได้ เซฮุนกับอี้ชิงแทบจะปีนขึ้นไปนั่งบนตักของกันและกันเมื่อที่นั่งเบาะหลังมันคับแคบเกินไปสำหรับสี่คน ชานยอลขมวดคิ้วจนเป็นปม เมื่อรู้สึกได้ถึงความอึดอัดในตอนนี้ แบคฮยอนเบิกตากว้างเมื่อร่างของเขาถูกประคองให้ขึ้นมานั่งบนตักหนาก่อนที่มือแกร่งจะวางลงบนหัวของเขาเพื่อไม่ให้หัวกระแทกไปกับหลังคารถ

     

     

    ครืนนน...

     

     

    ภาพฝูงตัวกินคนไกลออกไปทุกทีเมื่อรถเก๋งสีครีมขับออกมา มีเพียงแค่เสียงหอบหายใจเท่านั้นที่ทุกคนได้ยินในตอนนี้ จงอินหันไปมองลู่หานที่นอนนิ่วหน้ากุมท้องตัวเองเอาไว้ด้วยความเป็นห่วงก่อนจะมองคนอื่น ๆ ผ่านกระจกมองหลัง

    พวกนายโอเคนะ? ทุกคนพยักหน้าเป็นคำตอบ หัวใจยังคงเต้นเร็วแรงกับเหตุการณ์นาทีชีวิตเมื่อครู่ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว กวางที่เขากับชานยอลใช้เวลาล่าเป็นชั่วโมงตอนนี้กำลังถูกพวกนรกนั่นล้วงตับไตไส้พุงกินอย่างเอร็ดอร่อย

    เราจะไปไหนกันครับจงอิน?

    ไม่รู้...นายว่าไงชานยอล? ปกติถ้าต้องถามความเห็นกับใครสักคนเขามักจะหันหน้าเข้าหาอี้ฟานก่อนเสมอ ชานยอลหลุบสายตาลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนขับ

    ตอนนี้เราอยู่ในช็อลลาเหนือถ้าขับไปอีกหน่อยก็คงถึงช็อลลาใต้ เราสามารถนั่งเรือจากมกโพไปที่เชจูได้

    เราจะไปเกาะเชจูกันเหรอ?

    เราหาที่พักกันก่อนไหมครับ อาการของลู่หานเขา...

    ฉันไม่เป็นไร...แค่ก ๆ คนเจ็บพูดแทรกขึ้นมา พอเห็นลู่หานอาการไม่สู้ดีจงอินก็ถอดเสื้อแขนยาวออกมาคลุมหัวให้คนข้าง ๆ

    แล้วคนอื่น ๆ ว่าไง?

    “Yixing, have you got any idea?” (อี้ชิง คุณอยากเสนอความคิดเห็นอะไรไหม?)

    “About what?(หมายถึงเรื่องอะไร?)

    “We're gonna go to Jeju. What do you think? (เราว่าจะไปเกาะเชจูกันน่ะ คุณว่ายังไง?)

    “Why there?” (ทำไมถึงจะไปที่นั่นกันล่ะ?)

    “Someone that survived could be waiting out there.” (บางทีอาจจะมีคนรอดอยู่ที่นั่นก็ได้)

    “Are you not afraid that the people who survived are some degenerates like those bastards?” (คุณไม่กลัวว่าคนที่มีชีวิตรอดจะเป็นเหมือนพวกเลวนั่นเหรอ?)

    ... ชานยอลเงียบเมื่อได้ฟังความคิดเห็นของอี้ชิง ซึ่งความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง...ว่าคนที่มีชีวิตรอดอาจจะเป็นเหมือนกับคนพวกนั้นที่พร้อมจะฆ่าคนได้ทุกเมื่อเพราะความเห็นแก่ตัว

    “Whatever you say then. I got nothing to worry about anyways.” (แล้วแต่พวกคุณแล้วกัน ผมไม่มีอะไรต้องห่วงอยู่แล้ว)

    เรากลับโรงเรียนกันดีไหมครับ? เป็นแบคฮยอนที่เสนอความเห็นขึ้นมา ทุกคนได้ยินชัดเจนดีโดยเฉพาะลู่หานหากแต่เจ้าตัวกลับไม่มีแรงที่จะตอบโต้อะไร

     

     
     

    อยากกลับไป...แต่...

     

     
     

    เอาไง ร่างหนาถามย้ำอีกครั้ง ปัญหาใหญ่ในตอนนี้คือการตัดสินใจอะไรสักอย่างเมื่อทุกคนต่างลังเลไปหมด ไม่มีใครกล้าตัดสินชะตากรรมข้างหน้าแม้กระทั่งตัวจงอินเอง

    เอาไงก็เอา มึงตัดสินใจเลยแล้วกัน ลู่หานนิ่วหน้าแล้วค่อย ๆ ปล่อยมือออกจากช่วงท้องแล้วก็พบคราบเลือดสีสดที่ติดออกมาด้วย ร่างโปร่งหอบหายใจหนัก ทั้งปวดหัว ทั้งไม่มีแรง ข้างหน้าจะเป็นยังไงก็ช่างมันแล้ว

    ตอนนี้เราไม่มีอะไรติดตัวมาสักอย่าง อาวุธก็ไม่มี ชานยอลพูด จงอินเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยพลางใช้ความคิด แน่นอนว่าเขาคงไปที่นั่นมือเปล่าไม่ได้

    งั้นเราแวะที่นาจู หาเสบียงกับอาวุธกันก่อน

     

     
     

     

     

     
     

    เย็นวันนั้นทุกคนจอดค้างคืนกันที่นาจูให้ลู่หานได้พักฟื้นอีกสักหนึ่งคืนก่อนออกเดินทาง ส่วนจงอินกับชานยอลรับหน้าที่ออกไปหาเสบียงกับอาวุธ ที่นอนที่ดีที่สุดในตอนนี้คือป่าข้างถนน อี้ชิงเขี่ยกองไฟเบื้องหน้าแล้วหันไปมองลู่หานกับแบคฮยอนที่หลับไปเพราะความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวัน

     

     

    ครืนน...

     

     

    เสียงรถดับลงพร้อมกับชายหนุ่มทั้งสองที่เดินลงมาจากรถ และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาหน่อยก็คือกระเป๋าเป้ที่ทั้งคู่สะพายออกมาด้วย จงอินวางกระเป๋าลงแล้วทุบไหล่ตัวเองปุ ๆ แน่นอนว่าการหาเสบียงในแต่ละครั้งต้องเกิดการต่อสู้กับพวกกินคน

    “Got some medicines?” (ได้ยามาไหม?)

    “Only some Panadols and some Antibiotics, these are all we could find.” (พาราเซตาม่อนกับยาแก้อักเสบ เราหามาได้แค่นี้)

    “It's alright.” (ไม่เป็นไร) อี้ชิงรับกระปุกยามาจากชานยอลก่อนจะสะกิดลู่หานให้ลุกมากินยา

    เรามีแครกเกอร์ทูน่าสามห่อกับปลากระป๋องอีกสี่ ถ้าเอามาต้มกับน้ำเดือด ๆ รสชาติมันจะเหี้ยป่ะวะชานยอล? จงอินถามพลางชูปลากระป๋องให้ดู

    คุณจะเสี่ยงเหรอ? แค่กินปลากระป๋องธรรมดาโดยที่ไม่มีข้าวมันก็แปลก ๆ แล้ว ถ้าจะให้ไปต้มกับน้ำก็จะยังไงอยู่

    ไม่รู้ดิ เผื่อซดน้ำแล้วมันอร่อย ซดน้ำเยอะ ๆ จะได้รู้สึกอิ่ม จงอินส่ายหน้าแล้วเอาปลากระป๋องวางลงบนพื้น

    ทำไมคุณไม่ดื่มน้ำจนอิ่มก่อนแล้วค่อยทานมันตามไปทีหลงล่ะ?

    เออว่ะ... จงอินขมวดคิ้วแล้วพยักหน้าก่อนจะหันไปหาอี้ชิง “Hey you!! เซฮุนไปไหน?

    “Huh?”

    เซฮุนอ่ะ Where Where?”

    “That  way.” (ทางนั้นน่ะ) อี้ชิงผายมือไปทางขวามือทั้งสีหน้าเรียบเฉย จงอินพอจะฟังคำนี้ออกโดยที่ไม่ต้องให้ใครหน้าไหนมาทรานส์ให้ทั้งนั้น ร่างหนาหยัดตัวลุกขึ้นแล้วก้มลงมองอี้ชิงที่ยังคงจ้องเขาอยู่

    แทงยูมาก เอ่ยขอบคุณตามสำเนียงบ้านเกิดแล้วค่อย ๆ พาร่างกึ่งจะแหลกไม่แหลกแหล่ไปตามทางที่อี้ชิงบอก

    เด็กนั่นหายหัวไปไหนวะ บอกว่าอย่าแตกกลุ่ม ๆ เคยฟังกันบ้างไหม มือหนาแหวกต้นไม้ใบหญ้าไปตามทางแล้วก็ต้องหยุดฝีเท้าเมื่อเห็นเสื้อผ้ากองอยู่บนพื้นพอเงยหน้าขึ้นอีกนิดก็พบว่าใครคนหนึ่งกำลังแช่ตัวอยู่ในแม่น้ำ...

    ฟ้าสีส้มกำลังถูกกลืนด้วยความมืดเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขามองเห็นหัวไหล่ขาว ๆ ของร่างบางได้ จงอินยืนอยู่กับที่ ตาทั้งสองข้างยังคงจดจ้องอยู่กับใครอีกคนที่กำลังลูบมือไปตามแขน

     

     

    เขากำลังรู้สึกแปลก ๆ

     

     

    “!!” เซฮุนผงะเล็กน้อยเมื่อหันไปเห็นใครอีกคนในสภาพเปลือยเปล่าเดินลงมาในน้ำ แต่ถือว่าเป็นโชคดีที่เขาหันไปเห็นตอนจังหวะที่น้ำกลืนกินตัวจงอินไปแล้วเกินครึ่งตัว ไม่อย่างนั้นคงได้ปล่อยไก่ให้จงอินหัวเราะแน่

    บอกให้อยู่เฝ้าคนอื่น

    ผมเดินสำรวจทั่วแล้ว พอเห็นว่าไม่มีตัวกินคนก็เลยขออี้ชิงออกมาอาบน้ำ เขาก็อนุญาตแล้วด้วยเซฮุนเบือนหน้าหลบไปอีกทาง

    แต่คำพูดฉันจะขัดคำสั่งยังไงก็ได้งั้นสิ? ร่างหนาเลิกคิ้วขึ้นสูง ตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ห่างกันเป็นเมตร

    เซฮุนส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วหันกลับไปแต่จงอินกลับไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ร่างบางกวาดสายตามองไปรอบตัวเพื่อหาใครอีกคนที่จู่ ๆ ก็หายตัวไปได้ยังไงก็ไม่รู้ นี่ยังไม่ถึงสามวินาทีเลยนะจงอินขึ้นไปข้างบนแล้วเหรอ?

    ...!!” เด็กหนุ่มเบิกตาโพลงเมื่อคนที่ตามหาโผล่ขึ้นมาจากน้ำ แต่ที่ทำให้ตกใจที่สุดก็คงเป็นระยะห่างใบหน้าของเขาทั้งคู่ในตอนนี้มากกว่า มือหนาเสยผมที่เปียกลู่ขึ้นแล้วปล่อยให้หยดน้ำไหลลงมาตามโครงหน้าที่มีรอยฟกช้ำอยู่เป็นบางจุด

    อายเหรอ?

    แล้วคุณไม่อายผมหรือไงครับ

    ทำไมฉันต้องอายด้วย นายก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน

    ครับ ถ้าคิดได้แบบนั้นก็ดี เซฮุนหลุบสายตาลงแล้วหันหน้าไปอีกทาง

    ได้ยินเสียงกวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าของคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบทำงานโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก เซฮุนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกใครอีกคนสวมกอดจากข้างหลังพร้อมกับใบหน้าคมที่ซบลงบนไหล่เขา

    จงอิน?

     “นายคิดว่าจะมีอะไรแย่ลงไปกว่านี้ไหม?

    ...

    ที่เชจูจะมีคนอยู่หรือเปล่า?

    ...

    ฉันไม่แน่ใจอะไรเลยสักอย่าง มันผิดตั้งแต่ฉันพาทุกคนออกมาจากโรงเรียน

    ทุกคนลงความเห็นกันทุกครั้งที่ต้องตัดสินใจ เพราะฉะนั้นอย่าโทษตัวเองเลยครับ

    แต่ที่อี้ฟานตายก็เพราะฉัน

    “...”

    ถ้านายได้เห็นแววตาของเขาในตอนนั้น นายจะเข้าใจความรู้สึกของฉันในตอนนี้ นัยน์ตาคมหลุบลงมองหัวไหล่ขาวของคนตรงหน้า ฉันไม่กล้าตัดสินใจ ไม่กล้าไปเกาะเชจู ไม่กล้าแม้แต่จะขับรถไปข้างหน้า

    ...

    และถ้านายเป็นอะไรไปอีกคน ฉันจะต้องทำยังไงเหรอ? เซฮุนค่อย ๆ หันกลับไปหาอีกคนที่กำลังคลายวงแขนออกจากตัวเขาพร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

    ทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะเป็นอะไรไปล่ะครับ ผมก็อยู่ตรงนี้ไง ร่างบางยิ้มเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวลที่กำลังกัดกินหัวใจเขาอยู่

    ต่อหน้าทุกคนจงอินต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้ทุกอย่าง เขาไม่สามารถแสดงด้านอ่อนแอออกมาให้ใครเห็นได้ เพราะถ้าเขาทำอย่างนั้นทุกคนก็คงแย่ตามไปด้วย มือทั้งสองข้างโอบใบหน้าของคนที่กำลังตกอยู่ในความกลัวแล้วเอาหน้าผากชนกัน

    ผมอยู่นี่ครับจงอิน ร่างหนาปิดเปลือกตาลงพร้อมกับวางมือลงบนเอวคอดที่อยู่ใต้น้ำ จงอินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองดวงหน้าขาวที่อยู่ห่างกันแค่ช่วงหายใจ

    นายเคยคิดไหม? ว่าสักวันหนึ่งไม่ฉันก็นายจะต้อง...

    เคยครับ เซฮุนพูดแทรกขึ้นมาทั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบและคน ๆ นั้นต้องไม่ใช่คุณ

    ...

    นั่นคือสิ่งที่ผมคิดเอาไว้ ทั้งคู่สบตากันอยู่อย่างนั้น มือหนาเอื้อมขึ้นมาลูบหยาดน้ำออกจากแก้มเนียนอย่างเบามือ

    เซฮุนหลับตาลงรับสัมผัสอ่อนโยนที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยจากผู้ชายอย่างคิมจงอิน มือหนาเชยคางมนขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับกดจูบลงไปบนกลีบปากของเด็กหน้าตายที่เขาเคยคิดว่ากวนประสาทที่สุดในโลก แต่ใครจะรู้...ว่าเด็กที่เขาเคยหมั่นไส้นักหนาในวันนั้นจะกลายมาเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกเขาได้ขนาดนี้ มือเรียวเลื่อนลงจากแก้มสากแล้วเปลี่ยนเป็นโอบรอบคออีกฝ่ายไว้ในเวลาถัดมา จงอินรั้งเอวคอดเข้าหาจนเนื้อผิวลื่นสัมผัสกันพร้อมกับจูบหวานที่มอบให้คนตรงหน้าอย่างไม่รู้จบ

     

     
     

    จูบที่เป็นเหมือนกำลังใจ...

    จูบที่ย้ำเตือนว่าเขาอยู่ตรงนี้และยังมีชีวิตอยู่...

    จูบ...เพื่อให้ได้รู้ว่าโอเซฮุนมีค่าสำหรับผู้ชายอย่างคิมจงอินมากแค่ไหน...

     

     
     

    ทั้งคู่ผละริมฝีปากออกจากกัน เปลือกตาบางค่อย ๆ ปรือมองคนตรงหน้า ให้แววตาอธิบายแทนคำพูดอยู่แค่ครู่หนึ่ง เขารู้สึกได้ถึงความอ่อนแอของจงอินผ่านแววตาคู่นั้น

    จงอิน

    ว่าไง

    คุณอย่ากลัวไปเลยนะครับ

    ...

    กับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว...ก็ปล่อยให้มันผ่านไป เซฮุนจ้องหน้าอีกฝ่ายขณะที่กำลังพูดด้วยแววตาจริงจังส่วนคนที่จากไป...ก็ให้เขากลายเป็นความทรงจำดี ๆ ของเรานะครับ

    ...

    ผมคิดแค่ว่าถ้าไม่อยากตายก็ต้องดิ้นรนต่อไปจนกว่าจะหมดหนทาง

    ...

    เรื่องราวที่ผ่านมามันอาจจะเลวร้ายมากจนคิดว่าในชีวิตนี้คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว แต่ผมคิดว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ร่างบางเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่งก่อนจะหลุบสายตาลงตราบใดที่เรายังมีชีวิต มันก็คงมีทั้งเรื่องดีและเรื่องเลวร้ายเข้ามาเรื่อย ๆ

    ...

    ผมรู้ว่าคุณก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน

    น่าขำนะ ที่ฉันต้องมาฟังเด็กเมื่อวานซืนอย่างนายสั่งสอนแบบนี้ จงอินยิ้มบาง ๆ แล้วขยี้หัวคนตรงหน้า

    ผมไม่ได้สั่งสอนอะไรคุณเลยครับจงอิน...เพราะถ้าคุณล้มผมจะเป็นคนพยุงให้คุณลุกขึ้น มันไม่สำคัญหรอกว่าตอนนี้ผมจะเป็นอะไรสำหรับคุณ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้คุณรู้เอาไว้... เซฮุนเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะช้อนตาขึ้นมองคนตรงหน้าว่าตอนนี้คุณคือคนสำคัญที่สุดในชีวิตของผม

    คนที่เพิ่งถูกฆ่าให้ตายด้วยความในใจกำลังนิ่งเงียบเพราะพูดอะไรไม่ออก เด็กคนนี้ชักจะเอาใหญ่แล้ว สงสัยจะจับจุดได้ว่าเขาจะต้องตายเพราะคำพูดแบบนี้ ใช่ว่าโอเซฮุนจะคิดแบบนั้นคนเดียวเสียเมื่อไหร่ ไอ้ปากอยากพูดอะไรแบบนั้นเหมือนกันแต่มันพูดไม่ออก กลัวพูดออกไปแล้วจะถูกหัวเราะ กลัวพูดไปแล้วจะเสียฟอร์มเพราะฉะนั้น...

     

     

     

    ก็ให้อ้อมกอดของเขาเป็นคำตอบก็แล้วกัน...

     

     

     

    เซฮุนเกยคางลงบนไหล่กว้างพร้อมกับหลับตาลงเมื่ออีกฝ่ายกำลังโอบกอดเขาเอาไว้ ริมฝีปากอุ่นที่กดจูบลงบนหัวไหล่เขามันคือการแสดงออกอย่างหนึ่งของจงอินสินะ? ร่างบางได้แต่อมยิ้มกับสิ่งที่อีกคนกำลังมอบให้...

    สำหรับผู้ชายปากแข็งอย่างคิมจงอินถ้าให้พูดก็คงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่...เพราะสิ่งที่เขาทำได้ดีก็แค่การแสดงออกเท่านั้น ถึงบางครั้งมันจะดูโง่และงี่เง่ามากสักแค่ไหนก็ตาม

     

     

    หวังว่านายคงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฉันนะเซฮุน...

     

     

     
     

     

     

     

    เช้าวันรุ่งขึ้น...

    รถยนต์ขับตรงดิ่งไปที่มกโพเพื่อหาเรือนั่งข้ามฝั่งไปที่เกาะเชจูแผ่นดินที่เป็นความหวังเดียวของทุกคนในตอนนี้ ได้แต่ภาวนาว่าที่นั่นจะมี ผู้คนเป็น ๆอาศัยอยู่ เพราะตอนนี้พวกเขารู้สึกเหนื่อยเหลือเกินกับการที่ต้องเร่ร่อนหาที่อยู่ไปวัน ๆ เหนื่อยที่จะต้องออกไปหาเสบียงแล้วเจอเพียงแค่ซากสิ่งของที่ใช้การไม่ได้

    เอาตีนมึงมานี่ดิ๊ พอเห็นจงอินกระดิกนิ้วแบบนั้นลู่หานเลยเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย

    อะไร จะเอาไปอมเหรอ?

    กูหมายถึงนี่ ร่างหนาเอื้อมมือไปทาบลงบนหน้าผากอีกฝ่าย ลู่หานเบี่ยงตัวหลบทันทีที่หลังมือของจงอินสัมผัสลงบนหน้าผากเขาราวกับถูกไฟช๊อต

    สัด ขนลุกชิบหาย!” คนป่วยทำท่าลูบแขนป้อย ๆ คนที่นั่งอยู่เบาะหลังหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นจงอินเริ่มก่อกวนลู่หานอีกครั้ง ตลอดทางดูเหมือนว่าลู่หานจะไข้ขึ้นอีกเพราะถูกคนขับกวนประสาท เขาได้แต่สาบานกับตัวเองว่าถ้าหายป่วยเมื่อไหร่จะไล่กระทืบมันให้จมตีน เอาให้ซ่าไม่ออกเลยคอยดู

    มึงนี่แม่งอ่อนจริง ๆ มีแต่คนกระจอกเท่านั้นแหละที่ป่วยข้ามวันข้ามคืนแบบนี้

    ปากดีไอ้สัดปากดี... ลู่หานแค่นหัวเราะ ไม่โดนแทงอย่างกูให้มันรู้ไป

    เรื่องอะไรกูจะโง่ให้โดนแทงวะ

    มึงจะสื่อว่ากูโง่ว่างั้น?

    ตามนั้นเลยน้องข้า

    โห รู้งี้กูน่าจะปล่อยให้มึงนอนตายห่าอยู่ตรงนั้น ปากมึงนี่น่าเอาไปฝากตีนเหลือเกิน ลู่หานขยับปากอุบอิบจนแทบลืมว่ากำลังเจ็บอยู่

    มึงดูกูครับ โดนกระทืบกี่ตีนอย่างกับวิ่งฝ่าสงครามโลกครั้งที่สองมา แต่นอนแค่ห้าชั่วโมงก็ลุกขึ้นมาเดินได้แล้ว ยิ่งกว่าอาโนลด์อ่ะสัด

    คราวหน้าขอให้มึงโดนแทงบ้างเหอะ เดี๋ยวกูจะเป็นคนดึงมีดออกให้เอง

    รักกูขนาด

    ดึงออกแล้วแทงซ้ำลงไปอีกสิบรอบแบบทวินแคมยี่สิบหกวาว เอาให้แม่งเลือดพุ่งออกมาเป็นน้ำตกไนแองการ่าเลยไอ้เหี้ย คำสุดท้ายกระแทกเสียงไปจนคนขับสะดุ้งเล็กน้อย

    ถ้าจะโหดสัดขนาดนั้นก็เอามีดเสียบหัวกูเถอะครับ อย่าปล่อยให้เป็นภาระตัวแดกตับเลย เสียงหัวเราะดังขึ้นเพราะบทสนทนาของเพื่อนซี้ที่นั่งอยู่ข้างหน้า หลังจากจมกับความเศร้าอยู่พักหนึ่งตอนนี้แต่ละคนเริ่มยิ้มออกมาได้แม้ว่ามันจะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก็ตาม

     

    คนอื่น ๆ ก็คงคิดเหมือนกันใช่ไหม?

    ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเขาก็ต้องเดินหน้าต่อไปตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่...

     

     

     

     

     

     

    ครืน...

    รถเก๋งคันสีเทาจอดลงตรงปากทางลงไปท่าเรือ กระแสลมที่พัดผ่านกับกลิ่นอายของทะเลทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง ทุกคนเดินลงมาจากรถและเป็นหน้าที่ของชานยอลกับอี้ชิงที่เข้ามาหิ้วปีกลู่หานส่วนแบคฮยอนกับเซฮุนสะพายกระเป๋าเป้ที่มีเสบียงอยู่น้อยนิดกับของใช้จำเป็นที่จงอินกับชานยอลหามาได้เท่านั้น

    เบื้องหน้าคือบ้านไม่รู้กี่สิบหลัง มันถูกสร้างติดกันสูงขึ้นไปตามเนินภูเขา ถนนลาดชันแคบ ๆ เท่านั้นที่มีให้เดินลงไปได้ จงอินกำไขควงปากแบนไว้แน่นพลางกลอกตามองไปรอบ ๆ ข้างหน้ามีตัวกินคนในชุดชาวประมงยืนโงนเงนอยู่ ขายาวก้าวไปข้างหน้าแล้วแทงเข้าที่กลางศีรษะอย่างแรงก่อนจะถีบให้มันตกลงไปในน้ำทะเล ลู่หานหอบหายใจหนัก เขารู้สึกเจ็บแผลทุกครั้งที่ขยับตัวแต่มาถึงขั้นนี้คงถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว

    ทุกคนช่วยกันระวังหน้าระวังหลัง ไม่เดินห่างและประชิดกันจนมากเกินไปและในที่สุดก็มาถึงท่าเรือ ข้างหน้ามีตัวกินคนอยู่ตามจุดประปราย จะว่าน้อยก็น้อย แต่จะว่าเยอะก็เยอะเหมือนกันถ้าทอดสายตาออกไปให้ไกลกว่านี้ จงอินพยักหน้าส่งบอกให้ชานยอลลองไปดูเรือทีละลำ ส่วนเขากับเซฮุนจะยืนดูลาดเลาอยู่ตรงนี้

    เป็นเพราะเรือลำแรกไม่มีกุญแจเสียบเอาไว้ชานยอลถึงได้เปลี่ยนไปลำที่สอง ลำนี้มีกุญแจเสียบอยู่และน้ำมันก็มีมากเกินครึ่งถัง ร่างสูงใช้เวลาศึกษากับระบบตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบิดกุญแจเพื่อสตาร์ทเครื่อง

     

     

    ครืน...

     

     

    บ้าชิบ...

    เหล่าตัวกินคนที่ยืนอยู่ละแวกนั้นหันมาตามเสียงเรือ แบคฮยอนชี้นิ้วไปข้างหน้าพร้อมกับอ้าปากค้างเมื่อเห็นฝูงผีดิบกำลังมาทางนี้ บางตัววิ่งด้วยความเร็วสูง บางตัวเชื่องช้าอืดอาด แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่สำคัญในตอนนี้คือพวกมันกำลังพุ่งมาที่เขาทุกคน

    พาลู่หานขึ้นไปบนเรือ!” แบคฮยอนรีบเข้าไปช่วยอี้ชิงหิ้วปีกลู่หานในขณะที่จงอินกับเซฮุนกำลังยืนเลิกลั่กเพราะทำตัวไม่ถูก

    เซฮุน รีบขึ้นไปบนเรือ!”

    แล้วคุณล่ะ?!”

    ฉันจะล่อมันไปทางนั้น! ชานยอล! ตัดเชือกได้เลย!” จงอินตะโกนบอกแล้วค่อย ๆ เดินถอยหลังก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิ่งในวินาทีถัดมา ขึ้นไปบนเรือเดี๋ยวนี้!!!”

    เหล่าตัวกินคนจำนวนมากวิ่งตามร่างหนาไปติด ๆ จงอินหอบหายใจหนักเพราะความเจ็บที่สะสมมาก่อนหน้านี้ทำให้เขาวิ่งได้ไม่เร็วเท่าที่ควร ใบหน้าคมหันไปมองที่ท่าเรือเป็นระยะ เซฮุนเอาไขควงที่เขาให้ไว้ใช้เป็นอาวุธขึ้นมาถือไว้เพื่อคุ้มกันให้ชานยอลที่กำลังตัดเชือกที่ผูกไว้กับท่าเรือ ร่างหนาวิ่งหลบไปข้างหลังโกดังเก็บของขนาดเล็ก หกล้มคลุกคลานแต่ก็ใช้มือดันร่างของเขาขึ้นมาวิ่งต่อได้

    จงอิน ทางนี้!!”

    ร่างหนารีบวิ่งกลับไปที่เรือ ตอนนี้เหลือเพียงแค่เขาที่เสี่ยงตายอยู่ข้างบนเท่านั้น สองขายาวเร่งฝีเท้าเร็วยิ่งกว่าเดิมแต่ก็ต้องเบรคกระทันหันเมื่อพวกกินคนจากฝั่งขวาวิ่งตามมาขวางทางจนเขาไม่สามารถขึ้นเรือได้ทัน จงอินจำใจต้องเดินถอยหลัง เสียงคนที่อยู่บนเรือยังคงตะโกนเรียกชื่อของเขาไม่หยุด

    จงอิน กระโดดลงมาเลย!!”

    ชานยอลถอยเรือตามร่างหนาแต่คนที่กระโดดลงมากลับกลายเป็นผีดิบที่ยืนอยู่ริมฝั่ง แต่ดีที่ชานยอลหักหลบออกได้ทันร่างของมันถึงได้ตกลงไปในน้ำแทน

    พวกนายไปก่อนเลย!!”

    ว่าไงนะ?!”

    เห็นทีว่าฉันคงต้องตามไปทีหลังแล้วล่ะ พวกมันมีกันเต็มไปหมด!!” จงอินตะโกนบอกทั้งที่ยังคงวิ่งหนีความตายไปข้างหน้า ทุกคนกำลังประมวลผลกับคำพูดของอีกคนที่ยังติดอยู่บนฝั่ง ชานยอลยังคงขับเรือตามจงอินไปแม้ว่าตอนนี้มันจะเลยพ้นเขตที่จะกระโดดข้ามผ่านมาได้แล้วก็ตาม

     

     

     

    ไปเดี๋ยวนี้!!!!!!!!!”

     

     

     

    มันต้องมีทางขับเทียบฝั่งสิ

    เราขับกลับไปไม่ได้แล้ว คุณดูนั่น ชานยอลชี้ไปยังท่าเรือที่เขาเพิ่งตัดเชือกออกมา ตอนนี้พวกกินคนยืนอออยู่ตรงท่าเรือเต็มไปหมด บางตัวตกลงมาในน้ำเพราะความโง่เขลา และอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังเบียดกันมาทางนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย

    ไปลากคอมันลงมา...อึ่ก... ลู่หานนิ่วหน้าแล้วค่อย ๆ ปล่อยมือออกจากแผล เลือดสีสดซึมออกมาจากผ้าก๊อซที่พันอยู่รอบเอวเป็นสิ่งบ่งบอกได้ดีว่าลู่หานไม่พร้อมที่จะเคลื่อนไหวในเวลานี้

    เราต้องกลับไปช่วยเขานะ เซฮุนชะเง้อขึ้นไปบนฝั่งเพื่อมองหาจงอินที่ตอนนี้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ชานยอลถอนหายใจหนัก ๆ พลางกัดฟันกรอดเมื่อความกดดันมันย้อนกลับมาหาเขาอีกครั้ง

    ชานยอล! คุณจะไปไหนน่ะ?!” เซฮุนเข้าไปเขย่าแขนแกร่งเมื่อจู่ ๆ ร่างสูงกลับขับเรือออกมา ชานยอลกุมหัวไหล่เด็กหนุ่มทั้งสองข้างพร้อมกับจ้องมองเข้าไปนัยน์ตาคู่นั้น

    ถ้ากลับไป ทุกคนต้องตาย

    ...

    คุณไม่ได้ยินที่จงอินบอกเหรอ? ชานยอลพยายามเตือนสติร่างบาง แบคฮยอน ลู่หานและอี้ชิงได้เพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองคนสองคนที่กำลังสติแตก แต่ต่างแค่ว่าชานยอลไม่แสดงออกมาเท่านั้น

    เขาบอกเราว่าจะตามไปทีหลัง

    แล้วถ้าเขาไม่ตามไปล่ะ... เซฮุนพูดเสียงแผ่ว เขากลัวเหลือเกินว่าจงอินจะเป็นอะไรไป พวกมันมีกันเยอะขนาดนั้นอีกทั้งจงอินยังเจ็บอยู่ด้วย...

    มันก็อยู่ที่ว่าคุณเชื่อเขามากแค่ไหน

    ...

    มันต้องตามมาสิ... ทุกคนหันไปหาลู่หานที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเรือ คนอย่างมัน...ไม่ยอมตายง่าย ๆ หรอก...แค่ก ๆ !!!”

    เซฮุนปล่อยมือออกจากแขนแกร่งแล้วหันกลับไปมองท่าเรือที่มีตัวกินคนเดินเพ่นพ่านอยู่เต็มไปหมดจนเขานึกไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าจงอินจะตามมาได้ยังไงในเมื่อท่าเรืออยู่ในสภาพแบบนั้น ภาพตรงหน้าค่อย ๆ ไกลห่างออกไปเมื่อชานยอลเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ร่างบางก้มหน้าลง สองมือสอดประสานกันพร้อมกับภาวนาขอให้พระเจ้าช่วยคุ้มครองผู้ชายคนนั้น...

     

     

     

    คนที่โอเซฮุนรักสุดหัวใจ...

     

     

     

     

     

     

     



     

    END OF SEASON 1

     

     

     

    TBC

     

     

     

    ตอนจบซีซั่น 1 คือการเปลี่ยนแปลง!

    ตอนนี้หลากหลายอารมณ์มาก บอกเลยว่าน่าเบื่อสุด ๆ (ขนาดคนเขียนยังเบื่อ) แต่อยากให้ทุกคนเข้าใจอย่างนึงว่าเขียนฟิคแบบนี้มันจะไล่ฆ่าซอมบี้กันตลอดเวลาก็คงไม่ใช่อ่ะเนอะ ให้ชีวิตได้พบเจอความปลอดภัยบ้าง ;_ ; พักเหนื่อยกันบ้าง เบื่อกันบ้าง สลดกันบ้าง ไว้ทุกข์ ไว้อาลัยก็ว่ากันปาย....

    เรามาดูกันว่าจงอินจะตามไปยังไง แล้วที่เชจูจะมีคนรอดชีวิตอยู่ไหม? อะไรหลายอย่างที่ทำให้ทุกคนเสียหลักจนคิดกล้าได้กล้าเสียแบบนี้ ทุกคนที่เหลือเหมือนมีชีวิตแบบไปตายเอาดาบหน้า

     

     

     

    ลองคิดดูนะคะ...ว่าถ้าคุณเจอเหมือนกับพวกเขาแล้วจะทำยังไง?

     
     

     

     

    ปล.จะเปิดจองฟิคซอมบี้วันที่ 20 นี้นะคะ เราได้ปรึกษากับเพื่อน ๆ ดูแล้วเลยคิดว่าจะทำเป็นมินิบ๊อกเซ็ทค่ะ คือแยกเป็นบ๊อกเซ็ทซีซั่น 1 กับซีซั่น 2 ที่คั่นหนังสือมี 6 ลาย เดี๋ยวเราจะแจ้งรายละเอียดอีกทีวันเปิดจองฟิคนะคะ

     

    #ficzombie

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×