คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : Chapter 24 :: Into My Eyes
Chapter 24
Into my eyes
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องตื่นเหมือนกับทุกวัน รู้สึกปวดไปทั้งตัวจนไม่อยากขยับไปไหนแต่สุดท้ายก็ต้องลุกขึ้นและคงนอนอุดอู้แบบนี้ทั้งวันไม่ได้เพราะยังมีภาระหน้าที่ ๆ ต้องรับผิดชอบให้ทำอยู่
แต่เดี๋ยว...เขาไม่ต้องไปเข้าเวรช่วงเช้าแล้วนี่...
พอเรียบเรียงเหตุการณ์ได้เด็กหนุ่มก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ แต่สิ่งที่พบก็คือห้องที่ไม่คุ้นตากับความว่างเปล่า ไม่มีใครอีกคนที่นอนกอดเขาและเอาแต่พร่ำบอกคำว่าขอโทษอยู่ซ้ำ ๆ เพราะพิษไข้ มินซอกก้มลงคว้าเสื้อผ้าขึ้นมาใส่ ถึงจะปวดตัวแต่มันก็ไม่ได้ถึงขนาดที่ว่าจะเดินเหินไปไหนไม่ได้ มือเล็กดึงชายเสื้อลงก่อนจะหยิบแว่นแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา
ร่างเล็กเดินมาหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าที่มีกระจกติดอยู่กับบานประตู ส่องดูหน้าตัวเองแล้วปล่อยให้หยดน้ำไหลลงมาอย่างช้า ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเลยเถิดจนยากที่จะย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น ต่อไปนี้จะเป็นยังไง เขาอาจจะต้องเจ็บปวดมากกว่าที่เคยเป็นถ้าเกิดลู่หานพูดว่า ‘เรื่องเมื่อคืน...พี่ขอโทษนะ’
ถ้าเป็นแบบนั้นคนที่น่าสมเพชที่สุดก็คงไม่ใช่ใครนอกจากคิมมินซอก เด็กหนุ่มเอาแขนเสื้อเช็ดหน้าตัวเองลวก ๆ แล้วสวมแว่นเข้าไป พยายามบอกกับตัวเองว่าอย่าเก็บเรื่องนี้มาคิดมากให้วุ่นวายใจไปเลย ถ้ายังคาดหวังแบบนี้คนที่เจ็บปวดที่สุดคงไม่ใช่ใคร...คิดซะว่ามันก็แค่เซ็กส์ ถ้าคิดได้แบบนั้นทุกอย่างจะดีเอง
ดีทั้งกับตัวเขาแล้วก็ลู่หานด้วย...
เลิกคิดได้แล้วว่าตอนนี้ลู่หานจะอยู่ไหน อาการดีขึ้นหรือยัง จะอะไรก็ตามแต่ช่วยเลิกคิดถึงผู้ชายคนนั้นสักนาทีได้ไหมคิมมินซอก...
ทันทีที่เดินกลับมาถึงห้องของตัวเองเด็กหนุ่มก็ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นรูมเมทของเขากำลังยกตะกร้าผ้าออกมา พอชำเลืองมองนาฬิกาปลุกที่ตั้งอยู่ตรงโต๊ะทำงานแล้วก็ยิ่งสงสัยว่าทำไมแอลโจถึงยังไม่ไปเข้าเวรอีก
“แปดโมงแล้วนะแอลโจ”
“อื้อ” เด็กหนุ่มชำเลืองมองนาฬิกาข้อมือที่ใส่อยู่ก่อนจะกระชับกอดตะกร้าผ้ากองสูงเอาไว้
“เราแลกเวรกันแล้ว นายคงไม่ได้ลืมหรอกใช่ไหม?”
“เห้ย จะลืมได้ไงกัน ฉันดูเหมือนคนขี้ลืมขนาดนั้นเลยหรือไง” แอลโจหัวเราะแล้วมองคนตรงหน้าที่ก้มลงเก็บเสื้อที่เพิ่งตกลงพื้นขึ้นมาให้
“แล้วทำไมนายถึงยังอยู่ที่นี่ล่ะ ถ้าห่วงเรื่องเสื้อผ้าเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“ก็ฉันขึ้นไปข้างบนแล้วแต่เขาบอกให้ฉันลงมากินข้าวก่อนสักเก้าโมงค่อยขึ้นไปก็ได้ นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนกินข้าวเร็วไม่ถึงห้านาทีก็หมดแล้ว ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือก็เลยจะเอาผ้าไปให้อึนจีช่วยซัก”
“เขาที่ว่าคือแบคฮยอนเหรอ?”
“น่าจะใช่ป่ะ คนที่ตัวสูงกว่านายนิดหน่อย อยู่กลุ่มเดียวกับผู้ชายบ้าดีเดือดคิมจงอินอ่ะ”
“งั้นเหรอ...อะไรของเขากันนะ อยู่บนนั้นทั้งคืนแทนที่จะลงมาพักผ่อน...” มินซอกพึมพำ
“ไม่ต้องห่วงหรอก ตอนฉันขึ้นไปเขาก็ดูร่าเริงดีออก ไม่มีท่าทีว่าจะง่วงสักนิด”
“เหรอ?” มินซอกขมวดคิ้ว ได้แต่สงสัยว่าบยอนแบคฮยอนไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน จริงอยู่ที่การนั่งเฝ้าเวรมันไม่ได้เหนื่อยอะไรมากมาย แต่ถ้าต้องนั่งถ่างตาทั้งคืนมันก็ต้องมีเพลียกันบ้าง เรื่องนี้เขารู้ดี
“สงสัยเป็นเพราะมีคนอยู่คุยด้วยมั้ง ฉันก็เคยเป็นเหมือนกันตอนที่ชอนจีมาชวนเล่นไพ่ตอนกลางคืน เล่นยังไงก็ไม่ง่วง ก็มันมีเพื่อนนั่งคุยด้วยทั้งคืนนี่หว่า”
“นายกำลังจะบอกว่ามีคนไปอยู่เป็นเพื่อนหมอนั่นเหรอ?” มินซอกถาม ได้แต่คาดหวังคำตอบจากปากรูมเมทว่ามันคงไม่ใช่อย่างที่คิด
“ช่าย~ ผู้ชายคนนั้นอ่ะฉันจำชื่อไม่ได้ ที่เขาหายไปช่วงนึงแล้วก็เพิ่งกลับมา ฉันเห็นเขานั่งคุยกันอยู่ นายก็รีบพักผ่อนเถอะ ฉันเข้าใจว่าเฝ้าเวรทั้งวันมันเหนื่อยมากแต่ให้คนอื่นไปเฝ้าช่วงต่อแบบนั้นมันถูกต้องแล้ว”
“...”
“นอนเยอะ ๆ จะได้ไม่แอบง่วงตอนกลางคืนเหมือนที่ฉันเป็นอยู่บ่อย ๆ โอเคเปล่า?” แอลโจหัวเราะแล้วยกตะกร้าผ้าเดินออกไปจากห้อง ทิ้งไว้แค่ใครอีกคนที่ยืนคว้างอยู่ตรงนั้น
“...”
‘ช่าย~ ผู้ชายคนนั้นอ่ะฉันจำชื่อไม่ได้ ที่เขาหายไปช่วงนึงแล้วก็เพิ่งกลับมา ฉันเห็นเขานั่งคุยกันอยู่’
คนเราก็แปลกอย่างนึง...ถ้าเป็นเรื่องไม่ดีแล้วล่ะก็ เรามักจะจินตนาการออกมาเป็นฉาก ๆ ได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวของคิมมินซอกคือภาพของลู่หานกับแบคฮยอนกำลังนั่งคุยกันและหัวเราะอย่างมีความสุข
นัยน์ตาสั่นเครือหากแต่ไม่มีหยดน้ำใสไหลร่วงลงมาสักหยด ความรู้สึกตอนนี้เหมือนถูกผลักตกลงจากตึกสูงไม่มีผิด แต่ถ้าตกลงมาแล้วคอหักตายก็คงดีจะได้ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวที่ทำให้เจ็บปวดแบบนี้...ที่เป็นอยู่ก็ไม่ต่างอะไรจากคนพิการที่ได้แต่เงยหน้าขึ้นไปบนยอดตึกสูงเพื่อมองหาใครอีกคนที่ผลักเขาลงมา...ให้ตายทั้งเป็น
จะโทษใครได้ล่ะคิมมินซอก...
วินาทีนี้จะโทษใครไม่ได้อีกแล้วนอกจากตัวเอง...
“พอพี่แบคโฮไม่หยุด ฉันก็เลยปั่นจักรยานชนเขาจนขาเป็นแผล”
“แสบนี่หว่า”
“ฮ่า ๆ ”
ทั้งคู่หัวเราะกับเรื่องที่แบคฮยอนเล่าให้ฟัง หลังจากที่ลู่หานเดินเข้ามาในนี้โดยไม่ตั้งใจเพียงแค่อยากรู้ว่าใครที่เข้าเวรแทนมินซอก ถ้ารู้แล้วก็จะกลับไปที่ห้อง ถึงจะคาดเดาเอาไว้อยู่แล้ว...แต่พอเห็นชานยอลอยู่กับแบคฮยอนสองต่อสองมันก็หน่วงดีเหมือนกัน
กว่าจะได้อยู่ตามลำพังก็นั่งอึดอัดกันนานสองนานจนกระทั่งชานยอลเอ่ยปากว่าจะลงไปเอามื้อเช้าขึ้นมาให้ ไอ้ตัวเขาไม่อยากเป็นตัวทำลายบรรยากาศเพราะขึ้นมาทีหลังเลยพยักหน้าส่ง ๆ ไปจนกระทั่งได้อยู่กันสองต่อสองสักที ปล่อยให้ความเงียบกดดันอยู่พักใหญ่สุดท้ายก็เป็นเขาที่เริ่มชวนคุยก่อน หลังจากที่ทำเรื่องไม่ดีกับมินซอกไปแล้วเขาก็ควรกลับไปเป็นคนเดิมให้เร็วที่สุด ถึงมันจะเป็นเรื่องยาก...แต่ถ้ายังอยากเห็นแบคฮยอนยิ้ม...ลู่หานก็ต้องทำให้ได้
“กินข้าวเสร็จแล้วก็กินยานะ”
“ไม่กินได้ป่ะ ไม่ชอบ”
“อะไรกัน ฉันไม่เคยเห็นใครบอกว่าชอบกินยาเลยสักคนเดียว แต่ที่กินก็เพราะว่ามันจำเป็นนะ” แบคฮยอนขมวดคิ้วมองคนข้าง ๆ ที่เอาแต่อมยิ้มอยู่อย่างนั้น
“แล้วจะกินก็ได้”
“โตแล้วยังต้องให้บ่นเรื่องกินยาอีก” แบคฮยอนขยับปากบ่นอุบอิบ ลู่หานยีหัวอีกคนแรง ๆ เพราะหมั่นเขี้ยวพอเห็นอย่างนั้นร่างเล็กก็หัวเราะแล้วปัดมือออก
“ก็อยากให้บ่นอ่ะ บ่นบ่อย ๆ เลยได้ป่ะ”
“ไม่เอาหรอก ฉันไม่ชอบคนนิสัยเหมือนฉัน” ลู่หานเลิกคิ้วมองเมื่อได้ยินคนตัวเล็กพูด
“เหมือนยังไง”
“ก็พูดไม่ฟัง หัวรั้น เอาแต่ใจ ฉันยังบังคับตัวเองไม่ได้แล้วจะไปบังคับนายได้ยังไงล่ะ”
“นั่นสิ” ลู่หานหัวเราะ “นายดูโตขึ้นนะ พอนึกถึงวันแรกที่รู้จักกัน” ลู่หานมองคนข้าง ๆ ที่ยิ้มบาง ๆ ขณะมองไปยังท้องฟ้ายามเช้า จากลูกแหง่ติดพี่ชาย แสดงความเห็นแก่ตัวให้ทุกคนเห็นตอนนี้กำลังมองโลกกว้างขึ้นจนเขาประหลาดใจ
“แล้วมันดีไหม?”
“ก็ต้องดีอยู่แล้ว”
“อื้อ” แบคฮยอนอมยิ้ม
“ยิ้มอะไรอยู่คนเดียว คิดอะไรอยู่หรือไง”
“เปล่า ฉันแค่คิดว่าถ้าทุกคนมองฉันเหมือนที่นายมองเห็นก็คงดี” แบคฮยอนหัวเราะเบา ๆ หากแต่ร่างโปร่งกลับหุบยิ้มลง
“ไม่ดีหรอก” แบคฮยอนเลิกคิ้วมองลู่หานที่กำลังจ้องหน้าเขาอยู่ “ฉันไม่อยากให้ทุกคนมองนายเหมือนกับฉัน”
“เอ๋?”
“เอ่อ...ฉันแค่จะบอกว่าคนเราไม่เหมือนกันก็ต้องมีมุมมองที่ต่างกันออกไปน่ะ” ลู่หานยิ้มบาง ๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะหันหลังกลับไปมองผู้มาใหม่ที่กำลังถือถาดอาหารเข้ามา
“ผมช่วย” แบคฮยอนรีบวิ่งเข้าไปช่วยชานยอลถือของในขณะที่ลู่หานได้เพียงแต่มองคนสองคนที่เอาแต่สบตากันแล้วอมยิ้มอย่างมีความหมาย
รอยยิ้มที่ต่างคนต่างมีให้กัน...
“คุณกาฮีทำซุปร้อน ๆ มาให้คุณด้วยนะ รีบทานตอนที่มันยังร้อน ๆ สิครับ” ชานยอลว่าแล้วหมุนฝากระติกเก็บความร้อนออก ถึงจะเต็มไปด้วยความหวังดีแต่ลู่หานกลับไม่รู้สึกขอบคุณกับสิ่งที่ปาร์คชานยอลกำลังมอบให้เลยสักนิด
ยิ่งเห็นแบคฮยอนนั่งลงข้าง ๆ ชานยอลแทนที่จะกลับมานั่งที่เดิมแล้วก็ยิ่งรู้สึกแย่ เขาควรจะทำอะไรในตอนนี้ดี ก็ตั้งใจไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้าได้คุยกับแบคฮยอนอีกครั้งเขาจะพยายามเป็นเหมือนเดิมแล้วมองข้ามความรู้สึกตัวเองไปซะ
ถ้าเดินออกไปตอนนี้แบคฮยอนคงไม่สบายใจแน่...แต่ถ้าอยู่ต่อไปคงได้เห็นภาพบาดตาชัดขึ้น...
“คุณชอบข้าวโพดหรือเปล่า?”
“ชอบครับ” แบคฮยอนพยักหน้า พอเห็นคนตัวเล็กมีท่าทีสนใจชานยอลก็หักข้าวโพดออกเป็นสองท่อนแล้วเอาส่วนที่ยังมีก้านเล็กน้อยให้อีกคนถือ
“ระวังนะ มันร้อน”
เหมือนกับอากาศธาตุ...ลู่หานรู้สึกอย่างนั้น...
“รีบกินเถอะ นายสองคนจะได้ไปพักผ่อน”
“อ่า...พูดถึงเรื่องพักผ่อน...เห็นทีว่าเราควรจะประชุมกันหลังจากที่คุณกับจงอินหายป่วยแล้ว”
“คุยเรื่องอะไรล่ะ” ลู่หานถามทั้งที่สายตาจ้องมองไปยังข้าวในถาดที่สีสันก็ไม่ได้น่ากินนัก แต่ในเวลาแบบนี้เขาคงคาดหวังกับสเต๊กเนื้อสันในจานใหญ่ไม่ได้ แบคฮยอนมองอีกคนที่กำลังก้มหน้าก้มตากินราวกับหิวมาจากไหนทั้งที่จริงแล้วลู่หานก็แค่ไม่อยากเงยหน้าขึ้นมามองเขากับชานยอลเท่านั้น
“ที่คุยกันว่าจะไปจัดการพวกกินคนในหอหญิงน่ะ”
“อ้อ จะไปวันนี้เลยก็ได้นะ ฉันหายแล้ว”
“ได้ยังไงกัน จงอินก็ยังไม่หายดี ชานยอลก็ยังไม่ได้นอน แล้วนายก็ใช่ว่าจะหายดีแล้ว รออีกสักวันสองวันสิ” แบคฮยอนท้วงขึ้นมาหลังจากได้ยินลู่หานพูดโดยที่ไม่นึกถึงคนรอบข้าง คนถูกขัดเงยหน้าขึ้นมา ลู่หานทำหน้าเหรอหราก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ
“เออว่ะ โทษที”
เป็นรอยยิ้มที่โง่ที่สุดในโลกลู่หานรู้สึกอย่างนั้น แม้ว่าตอนนี้ปาร์คชานยอลกำลังจ้องหน้าเขาอยู่ และดูเหมือนว่าดวงตาคู่นั้นจะอ่านใจเขาออกจนหมด แต่หมอนั่นเลือกที่จะเก็บเอาไว้
“แค่จะโชว์พาวว่าฉันเจ๋งนะ ป่วยแล้วยังบู๊ได้” ลู่หานปั้นหน้าปั้นตาแล้วหัวเราะกลบเกลื่อน แบคฮยอนส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วเป่าเอาความร้อนออกจากข้าวโพดในขณะที่อีกสองคนยังคงจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้น
กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้งเมื่อต่างคนต่างสนใจกับอาหารมื้อเช้า แต่ใครคนหนึ่งกลับเลือกที่จะเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่า ‘แกเป็นคนฉลาดนะลู่หาน’ ปู่ของเขาเคยบอกแบบนี้ตั้งแต่เด็กและเขาก็เชื่อแบบนั้นมาตลอด
แต่จริง ๆ แล้วผู้ชายอย่างลู่หานก็เป็นแค่คนโง่ที่ทำเหมือนว่าฉลาดเสียเต็มประดาก็เท่านั้น
แอ๊ด...
ทั้งสามคนหันไปมองที่ประตูทางเข้าดาดฟ้าแล้วก็พบเด็กหนุ่มที่ชะงักและเดินถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งราวกับตกใจที่เห็นพวกเขา สายตาภายใต้เลนส์แว่นนั้นหลุบลงราวกับไม่อยากมองแต่ถึงอย่างนั้นผู้มาใหม่ก็เดินเข้ามาข้างในและตรงดิ่งไปหาปืนไรเฟิลที่พิงอยู่กับกำแพง
“อรุณสวัสดิ์มินซอก” เป็นแบคฮยอนที่เอ่ยทักทายขึ้นมาก่อนและก็ได้การทักทายตอบกลับมาเป็นการพยักหน้าแบบส่ง ๆ ทั้งที่ไม่หันกลับมามอง
ลู่หานมองตามมินซอกทุกการเคลื่อนไหวหากแต่คนตัวเล็กกลับไม่หันมามองหน้าเขาเลยสักนิด ถ้าคิดแบบเข้าข้างตัวเอง...มินซอกอาจจะกำลังโกรธที่เขาขึ้นมาอยู่บนนี้สินะ แน่นอนว่ามินซอกกำลังเข้าใจผิดและเข้าใจถูกไปพร้อม ๆ กัน แต่ถ้าจะให้เข้าไปอธิบายตอนนี้เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยเด็กคนนั้นคงไม่ฟัง
“ขึ้นมาเฝ้าเวรเหรอ?”
“อืม”
“แล้วแอลโจล่ะ” แบคฮยอนถามต่อ
“เราไม่แลกเวรกันแล้ว” มินซอกตอบสั้น ๆ แล้ววางไรเฟิลลงที่เดิมก่อนจะคว้ากล้องส่องทางไกลขึ้นมาห้อยคอแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงรั้วดาดฟ้า
“มินซอก”
“...”
กับแบคฮยอนยังพอฝืนตอบคำถามได้ แต่เสียงของคน ๆ นี้กลับทำให้เขาพูดไม่ออก เด็กหนุ่มไม่ได้ขานตอบ ราวกับว่าเสียงนั้นเป็นเสียงจากสายลมที่พัดผ่านไป เขาควรจะทำอะไรสักอย่างสิ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การเมินลู่หานจนผิดสังเกตแบบนี้ สุดท้ายก็ตัดสินใจหันไปยิ้มทักทายให้กับทั้งสามคน ยิ้ม...แบบขอไปที
“ผมแค่ไม่ชินที่มีคนขึ้นมาบนนี้เยอะ ๆ น่ะ”
“ถ้าคุณไม่สะดวก พวกเราจะรีบทานแล้วรีบลงไปครับ” ชานยอลยิ้มบาง ๆ
“ไม่ใช่อย่างนั้น พวกคุณก็กินกันไปเถอะ ผมไม่เป็นไร” มินซอกตอบแล้วหันกลับเข้าหาวิวทิวทัศน์อีกครั้ง
น่าอึดอัดจริง ๆ ...
“อี้ฟานเคยสอนคุณใช้ปืนสั้นหรือยังครับ?” เป็นเสียงของชานยอลที่เรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มที่กำลังกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เหมือนกับทุกวัน พอหันไปก็เห็นร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ยังครับ”
“ผมว่าคุณน่าจะเรียนรู้ไว้บ้าง เพราะการสู้ในระยะประชิดไรเฟิลคงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่” ชานยอลอธิบายถึงเหตุผลให้ฟัง มินซอกเงยหน้ามองคนตัวสูงก่อนจะหันหลังกลับไปหาลู่หานกับแบคฮยอนที่กำลังมองมาทางนี้
“ครับ ไว้ผมจะบอกเพื่อนสอนให้”
“เพื่อนของคุณก็คงไม่ได้รู้เรื่องปืนมากไปกว่าคนอื่นหรอก ผมจะสอนให้คร่าว ๆ เอาไว้ป้องกันตัวเผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ใช้เวลาไม่นานหรอกครับ”
“...” มินซอกหันไปสบตากับคนป่วยที่ไม่รู้ว่าหายดีแล้วหรือยัง แต่สีหน้าของลู่หานในตอนนี้ไม่บอกก็รู้ว่าไม่พอใจอย่างยิ่งที่ชานยอลหยิบยื่นความหวังดีให้กับมินซอกแบบนั้น
“ผมให้คุณ”
“แต่มันเป็นปืนของคุณไม่ใช่เหรอ?” มินซอกถามพลางมองปืนในมืออีกคน
“ที่หามาได้ยังเหลืออีกหลายกระบอก คุณเก็บไว้เถอะ มันไม่ใช่ปืนส่วนตัวของผมหรอกครับ” ชานยอลยื่นปืนมาตรงหน้า มินซอกชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วรับมันเอาไว้
“ขอบคุณ”
“ส่วนกระสุนสำรองเดี๋ยวผมจะเอาขึ้นมาให้ทีหลัง เราจะเริ่มเรียนกันเลยดีไหม?”
ดูเหมือนว่าความหวังดีของปาร์คชานยอลกำลังเป็นปัญหาสำหรับคนสองคน ลู่หานเท้ามือไว้ข้างหลังแล้วปรายตามองร่างสูงที่กำลังสอนวิธีการใช้ปืนอย่างถูกต้องให้กับมินซอก ในขณะที่แบคฮยอนได้เพียงแค่นั่งมองอยู่เฉย ๆ เท่านั้น
อิจฉา...แล้วก็หวง...
ทั้งที่ไม่มีอะไรแท้ ๆ ทำไมถึงได้รู้สึกแบบนี้กันนะ...
เพราะว่าเมื่อคืนชานยอลจูบเขางั้นเหรอ...เพียงแค่นั้นก็ทำให้รู้สึกหึงหวงจนไม่อยากให้ไปยุ่งกับใครเลยใช่ไหม?
“อิ่มแล้วเหรอ” พอได้ยินเสียงลู่หานแบคฮยอนเลยหันมาพยักหน้าเป็นคำตอบ
“นายยิงปืนเป็นหรือยัง”
“เป็นแล้ว”
“เขาสอนให้เหรอ”
“อื้ม”
“คงสอนจนยิงแม่นเลยสิ”
“ไม่ถึงกับแม่นหรอก ฉันยังต้องฝึกอีกเยอะ ไม่ได้เรียนรู้เร็วเหมือนมินซอกหรอก” แบคฮยอนยิ้มบาง ๆ
“อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นแบบนั้นดิ” ลู่หานเหล่มองคนข้าง ๆ ที่กำลังตัดพ้อตัวเอง
“ก็มันเรื่องจริงนี่”
“เฮ้ย!”
แบคฮยอนสะดุ้งจนสุดตัวในขณะที่อีกสามคนหันไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า มือเล็กยกขึ้นทาบอกก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อจงอินในสภาพผ้าปิดปากสีขาวเดินเข้ามากับเซฮุน
“อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์”
“ขึ้นมากองอะไรกันอยู่บนนี้วะ นี่หาทั่วตึกจนคิดว่ามึงแอบหนีไปไปนอนในหลุมที่กูขุดไว้ให้หรือเปล่า” จงอินว่าก่อนจะหยัดตัวนั่งลงข้าง ๆ ลู่หาน
“เปลี่ยนบรรยากาศมั่ง” ลู่หานหันกลับไปมองชานยอลที่เดินไปหยิบซากกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นมาใส่น้ำฝนที่อยู่ในถังน้ำเล็ก ๆ เพื่อไม่ให้มันปลิวไปตามแรงลมหากว่าเขาจะตั้งมันไว้บนรั้วดาดฟ้า
“เออ อากาศบริสุทธิ์ดีกูเคยขึ้นมา RIP มึงข้างบนนี้ครั้งนึง แต่แดดไม่ค่อยออกแบบนี้เดี๋ยวฝนคงตกแน่...นี่เด็กดาดฟ้า! เวลาฝนตกนี่ไปแอบอยู่ตรงไหนอ่ะ ตรงนั้นป่ะ?!” ถึงจะป่วยอยู่และมีผ้าปิดปากกั้นไว้แต่จงอินก็ไม่ได้สิ้นฤทธิ์อย่างที่ควรจะเป็น
“มึงจะไปขัดจังหวะเขาทำไม” ลู่หานแค่นยิ้มทั้งที่ยังมองไปยังคนสองคน
“ขัดเหี้ยไร กูถามเพราะอยากรู้”
“การเสือกไม่ได้ทำให้มึงฉลาดขึ้นหรอกนะ” ได้ทีขอเอาคืนบ้าง จงอินเลิกคิ้วมองคนข้าง ๆ ที่แม่งกัดแหลกจนน่าประหลาดใจ
“ทดลองเป็นตัวกินคนเหรอ กัดกูจังนะ”
“จริง ๆ มึงไม่น่าใส่ผ้าปิดปากนะจงอิน” ลู่หานดึงผ้าปิดปากสีขาวของอีกคนลงไปไว้ที่คาง
“แล้วจะให้กูใส่ไรวะ”
“ตะกร้อครอบปาก”
“ไว้ไปครอบหัวพ่อมึงเถอะครับงั้น” จงอินตบหัวเพื่อนสนิทไปทีนึงก่อนจะหันไปเห็นปืนไรเฟิลที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“เยด มึงนี่เองสินะที่เกือบยิงแสกกลางหน้ากูวันนั้น” จงอินลูบ ๆ คลำ ๆ ไรเฟิลแล้วเอาขึ้นมาทาบแก้มแถมยังเอาหน้าถู ๆ กระบอกปืนกวนประสาทอีก
“ระวังปืนลั่นใส่ปากนะสัด”
“HEAD SHOT~” จงอินหรี่ตามองพร้อมกับเปล่งสำเนียงกวนส้นตีนระดับขั้น MAX ใส่คนที่กำลังหงุดหงิดอยู่ ถึงจะไม่เห็นว่าภายใต้ผ้าปิดปากเป็นยังไงแต่ก็พอจะเดาออกว่าไอ้ห่านี่มันกำลังยิ้มกวนอยู่
คนกำลังหงุดหงิด แม่งเลือกกวนส้นตีนได้ถูกเวลาจริง ๆ
“เป็นไงบ้างกับการอยู่เฝ้าเวรกลางคืน” เซฮุนถามแบคฮยอนที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่
“อ้อ...ก็ไม่เป็นไรนี่...” คนตัวเล็กหัวเราะแห้ง ๆ
“อยู่คนเดียวเหรอ?” ร่างบางถามด้วยความเป็นห่วง เขาไม่รู้หรอกว่าคนพวกนี้ขึ้นมาปั่นป่วนแบคฮยอนตั้งแต่เมื่อไหร่
“เปล่าหรอก” แบคฮยอนยิ้มบาง ๆ “กับชานยอลน่ะ” คนตัวเล็กเม้มปากแล้วหันไปมองร่างสูงอีกครั้ง
“ถือเป็นเรื่องที่ดีนะ” เซฮุนยิ้มและดูเหมือนว่าแบคฮยอนก็คงรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน
“อื้อ...ดีมากเลยล่ะ”
“เฮ้” เซฮุนหันไปตามเสียงแล้วก็เห็นจงอินกระดิกนิ้วเรียกเขาอยู่ ร่างบางลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนที่ถือปืนไรเฟิลแล้วก็เลิกคิ้วมอง
“อะไรครับ?”
“เห็นชานยอลมันสอนเด็กดาดฟ้าใช้ปืนพกก็เลยนึกขึ้นได้ว่านายก็ควรหัดใช้ไรเฟิลเหมือนกัน”
“อ๋อ ได้ครับ” เซฮุนพยักหน้าขณะมองไรเฟิลในมืออีกคน
“ถือไว้” คนป่วยวางปืนลงบนมือเรียวก่อนจะเดินอ้อมไปยืนข้างหลังเซฮุน เด็กหนุ่มตั้งปืนขึ้นแต่ดูเหมือนว่าจะผิดท่าจงอินเลยช่วยจัดท่าทางให้แต่ที่เป็นอยู่ทำให้ทุกคนหันมามองทั้งคู่เป็นตาเดียวกันแม้กระทั่งชานยอลกับมินซอก
โลกส่วนตัวที่สร้างขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกมองอยู่ทำให้คนที่เหลือหันไปมองหน้ากัน เสียงของจงอินที่กำลังพร่ำสอนอีกทั้งนักเรียนอย่างเซฮุนก็ว่าง่ายเรียนรู้เร็ว ลู่หานชำเลืองมองอีกคนที่นั่งอยู่ห่างราว ๆ สามช่วงแขน สายตาของแบคฮยอนยังคงจับจ้องไปยังผู้ชายคนนั้น
“นั่นอี้ฟานนี่หว่า เล็งไปที่เขาเร็วเข้า”
“คุณจะบ้าเหรอ” เซฮุนหันไปดุคนป่วยที่กำลังหัวเราะชอบใจขณะที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังเขา
“อี้ฟาน!”
“...” ร่างสูงเงยหน้าขึ้นไปยังดาดฟ้าแล้วก็เห็นเด็ก ๆ ที่ยืนมองเขาอยู่บนนั้น ริมฝีปากหยักยิ้มบาง ๆ แล้วยกมือขึ้นป้องระดับสายตา
“ผมหาพวกคุณอยู่นาน ไม่ยักรู้ว่าจะขึ้นมาอยู่บนนี้กันหมด” อี้ฟานพูดหลังจากที่เขาขึ้นมาถึงดาดฟ้าแล้ว
“ลู่หานมันอยากเปลี่ยนบรรยากาศน่ะ”
“มีอะไรหรือเปล่าอี้ฟาน?” ชานยอลถาม ตอนนี้มีเพียงแค่มินซอกเท่านั้นที่ไม่ได้เข้ามาร่วมสนทนาด้วย เด็กหนุ่มแกล้งทำเป็นส่องกล้องทางไกลเพื่อให้ไม่ว่าง แต่ทุกประโยคที่พวกเขาคุยกันคนตัวเล็กก็ได้ยินหมด
“ผมจะมาคุยเรื่องหอหญิง แต่เพิ่งรู้ว่าคุณไม่สบาย” อี้ฟานมองไปทางจงอิน พอได้ยินอย่างนั้นคนอวดดีก็รีบถอดผ้าปิดปากออกทันที
“ใส่กลับเข้าไปเถอะครับ คุณเป็นตัวพาหะ เดี๋ยวคนอื่นจะติดหวัดเอา”
“อ้าว” ร่างหนาเลิกคิ้วมองเซฮุนที่จู่ ๆ ก็พูดไม่เข้าหูขึ้นมาแต่ถึงอย่างนั้นจงอินก็ใส่ผ้าปิดปากกลับเข้าไป
“ถ้าคุณไม่ไหวก็อยู่พักผ่อนเถอะ ส่วนเรื่องนี้ผมกับคนอื่น ๆ จะจัดการเอง”
“ได้ไงกัน? คนเดียวหัวหายสองคนเพื่อนตายเคยได้ยินเปล่า?” จงอินแย้งขึ้นมา เขาไม่โอเคแน่ถ้าเกิดว่าทุกคนจะบุกเข้าไปในหอหญิงโดยที่ไม่มีเขา
“เพื่อนตายก็ฝัง” ทุกคนหันไปมองลู่หานที่นั่งทำหน้าตาเฉยอยู่
“กูจะฝังมึงคนแรก”
“ถ้ากำจัดพวกมันให้หมดทั้งโรงเรียนได้ก็ยิ่งดี เพราะผมกลัวว่าสักวันหนึ่งมันจะหลุดเข้ามาได้โดยที่เราไม่รู้ตัว หน้าทางเข้าประตูหลังก็ด้วย เราต้องจัดการกับพวกมันทุกวันแล้วเคลียร์ศพไปทิ้ง” อี้ฟานชี้แจงแล้วทุกคนก็เดินไปหยุดอยู่ข้างรั้วดาดฟ้าที่มองเห็นพวกตัวกินคนจากประตูหลังกำลังตะกุยรั้วอยู่
“จริงอยู่ว่ามันไม่ได้มากันเป็นฝูง พวกมันทยอยมาทีละตัว จากหนึ่งตัว สองตัว สามตัว ถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่างแล้วปล่อยไว้แบบนี้คงไม่ดีแน่ เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันสังเกตแล้วเริ่มจัดการมันด้วยวิธีเดิมคือการเอาชะแลงแทงหัวมันจากข้างใน”
“เออว่ะ ถ้าไม่ทำแบบนั้นรั้วคงพังเข้าสักวัน” จงอินทำหน้าครุ่นคิด
“เราอยู่กันเฉย ๆ ไม่ได้แล้ว ทั้งเรื่องอาหาร ความปลอดภัย อะไรหลายอย่างที่ผมอยากให้พวกเราแอคทีฟกันให้มากกว่านี้” อี้ฟานมองทุกคนด้วยสีหน้าจริงจัง
“งั้นก็ไปวันนี้เลย ฉันไหว”
“จงอิน” เซฮุนมองคนข้าง ๆ ด้วยความเป็นห่วง เมื่อคืนเขาก็อยู่เช็ดตัวให้ทั้งคืน มีแอบเผลอหลับไปบ้างแต่ก็สะดุ้งตื่นเพราะจงอินไข้ขึ้นจนต้องเช็ดตัวให้อีกครั้ง
“ฉันรู้ตัวเองน่ะว่าไหวหรือไม่ไหว” จงอินหันมาบอกเซฮุน “อีกอย่างหอหญิงมันจะมีพวกกินคนสักกี่ตัวกันวะ?”
“ฮือออออออออออออออ”
แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง !!!
“อื้อหือ...มากันทั้งหมู่บ้านโคโนฮะ...”
ร่างหนาสบถหลังจากที่ทุกคนยกเว้นมินซอกเดินมาถึงทางเข้าหอพักหญิงแต่มีเทาอีกคนที่เพิ่มมาด้วย ข้างในมีตัวกินคนที่อยู่ในชุดนักเรียน ชุดลำลอง และชุดพละปะปนกันไปหมด เสียงตอนเห็นเหยื่อของพวกมันบ่งบอกถึงความหิวโหยที่อดอยากมานาน
“ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเกิดเดินตัวเบาเข้าไปแล้วจะออกมาในสภาพไหน”
“จะได้เดินออกมาไหม พูดงี้ดีกว่า” เทาเอามีดแทงเข้าที่หัวเด็กสาวคนหนึ่งจนทรุดตัวลงไปกับพื้น
“ลาก่อนยัยบ้า!!”
“เอ้า...” ทุกคนผงะเมื่อเห็นเทาตะคอกใส่ศพเด็กสาวคนนั้น นัยน์ตาคมราวกับใบมีดหันควับกลับมามองทุกคนแล้วสลัดเลือดออกจากปลายมีด
“แฟนเก่าผมเอง”
“อ้อ...” จงอินกับลู่หานพยักหน้าก่อนจะเหล่มองศพเด็กสาวคนนั้น
“คุณสองคนยังไม่หายดีงั้นก็อยู่เคลียร์แค่ชั้นล่างแล้วกันนะ ส่วนชั้นบนผม ชานยอล เซฮุน แล้วก็เทาจะขึ้นไปเอง”
“...” จงอินเหลือบมองเซฮุนที่ไม่ว่าไปไหนมาไหนก็เกาะติดตัวกับเขาตลอด แต่ครั้งนี้อี้ฟานถึงกับออกปากว่าจะให้เซฮุนไปด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นเด็กนี่คงไม่ได้อยู่ในระยะสายตาเขาแน่ ๆ
“ผมจะเดินตามหลังคุณอี้ฟานตลอดเลยครับ”
“อืม” พอได้ยินเจ้าตัวออกปากแบบนั้นก็ค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย “ก่อนอื่นเราต้องเคลียร์พวกที่รั้วนี่ให้หมดแล้วค่อยปีนรั้วเข้าไป เพราะถ้าเปิดประตูล่ะก็ เราไม่รู้ว่าจะมีพวกมันโผล่ออกมาอีกหรือเปล่า”
“ผมจะอยู่เฝ้าทางออกเอง” แบคฮยอนออกปากรับหน้าที่นี้พร้อมกับควักปืนออกมาถือไว้เพื่อให้คนอื่น ๆ เห็นว่าเขาก็มีอาวุธป้องกันตัวที่เข้าท่ากว่าไม้เบสบอลตอกตะปูเป็นไหน ๆ
“ดี แต่ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลให้รีบวิ่งกลับเข้าไปแล้วล็อกประตูทางเข้าหอพักชายทันทีนะ เข้าใจไหม?” จงอินชี้หน้าแล้วแบคฮยอนพยักหน้ารับ
“พอมาคิดดูแล้ว...ถ้าเอาเวลามายืนทิ่มหน้าพวกนี้วันนึงคงไม่เสร็จ ผมว่าเราควรแบ่งคนเข้าไปเซอร์เวย์ข้างในด้วย” จงอินหันไปบอกอี้ฟาน ร่างสูงขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับใช้ความคิดก่อนจะพยักหน้า
“คุณจะเข้าไปก่อนเหรอ?” ชานยอลถาม
“ใช่ ผมกับไอ้ลู่หานจะเข้าไปดูลาดเลาก่อน ถ้าข้างในมีพวกมันอยู่เยอะจะได้รีบเผ่นออกมา เพราะขืนเข้าไปพร้อมกันแล้วเจอเซอร์ไพร์สเกรงว่าเราจะตายกันหมดเพราะพะวงคนที่มาด้วย”
จงอินกระดิกนิ้วเรียกเพื่อนสนิทให้เดินไปทางซ้ายมือ ลู่หานเดินตามมาติด ๆ ก่อนจะชะเง้อหน้ามองเข้าไปข้างใน ร่างหนาปีนรั้วขึ้นไปและส่งสัญญาณเรียกลู่หานอีกครั้ง
สองคู่หูกระโดดลงไปข้างในหอพักหญิง ในมือของเขามีปืนเก็บเสียงคนละหนึ่งกระบอกหากว่าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ร่างหนาดึงไขควงออกมาจากสนับขาแล้วย่องเข้าไปข้างหลังผีดิบเด็กสาวก่อนจะแทงเข้าที่กลางหัวจนร่างผอมบางเซล้มลงไป
คนอื่น ๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามรั้วกำลังช่วยกันเอามีดแทงหัวผีดิบจำนวนมากที่แห่เข้าไปตะกุยรั้วเมื่อเห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้า จงอินส่งสัญญาณเรียกให้เทาตามเข้ามาและในเวลาแบบนี้เด็กหนุ่มก็พยักหน้ารับอย่างรู้งาน ร่างสูงรีบวิ่งอ้อมไปทางด้านข้างแล้วปีนรั้วเข้าไป เทาก้มลงต่ำในขณะที่จงอินกับลู่หานยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่หน้าประตูทางเข้าหอพัก
“นี่ประตูไรวะ”
“ประตูทางเข้าห้องซักผ้าป่ะวะ...ไม่รู้ว่ะ กูไม่เคยเข้าหอหญิง” เทาพูดเบา ๆ แล้วขมวดคิ้วมุ่น
“จากโครงสร้างแล้วกูว่าน่าจะเป็นห้องนั่งเล่นป่ะ คงไม่ต่างอะไรจากหอชายนักหรอก” จงอินพูด
“จะห้องหอกอะไรก็ช่างเถอะ พอมึงเปิดประตูปุ๊บ กูบวก” ลู่หานที่ดูแล้วเหมือนคนยังไม่หายป่วยดีแต่มันกลับร้อนวิชากว่าคนอื่น ๆ
“ครับพี่ ผมจะเปิดให้เดี๋ยวนี้เลย ใจเย็นนะครับพี่” จงอินโค้งหัวน้อย ๆ ทำท่าเหมือนบ๋อยในร้านอาหารทั้งที่ยังใส่ผ้าปิดปากอยู่
ลู่หานถือปืนไว้ระดับหัวไหล่เมื่อร่างหนาชูนิ้วขึ้นนับถอยหลังเตรียมความพร้อม เทาเล็งปืนไปข้างหน้าพลางถอยออกไปสามก้าวเพื่อตั้งหลักหากว่าจะมีตัวประหลาดพุ่งออกมาจากประตู
แอ๊ด...
ค่อย ๆ หมุนลูกบิดออกมาแล้วให้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์สาดส่องเข้าไปในทางเดินแคบขนาดสองช่วงแขน ตัวกินคนในชุดนักเรียนหญิงที่ยืนอยู่ตามทางเดินหันหน้ามาอย่างช้า ๆ ดูเหมือนว่างานนี้เขาจะใช้แค่มีดไม่ได้แล้วสิ
“เอาเถอะ ค่อยออกไปหากระสุนใหม่” พูดจบก็ยิงไปยังกลางขมับผีดิบสาวที่ยืนขวางทางเดินจนล้มลง
“ของเล่นกูล่ะ”
“เออลืมไปเลยว่ะ...คาตาน่ามึงอยู่ในห้องแบคฮยอนมั้ง มีอะไรก็ใช้ ๆ ไปก่อนนะครับ จุดนี้จะกลับไปเอาก็ไม่ทันแล้ว”
พอพบเจอกับความมืดทั้งสามคนก็เปิดไฟฉายขนาดเหมาะมือที่พกมาด้วย แสงสว่างเป็นวงกลมส่องเข้าไปพร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวอย่างระมัดระวัง ได้ยินเสียงครางฮืออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล และมันก็เป็นอย่างที่คิดว่าทางนี้คือทางเข้าห้องนั่งเล่นจริง ๆ
หมอนอิงที่เคยวางเรียงอยู่บนโซฟาถูกฉีกขาดจนนุ่นหลุดรุ่ยออกมา กลิ่นเหม็นเน่าและคราบเลือดแห้งกรังบนผนัง พื้นพรมและโซฟาตรงหน้าช่างดูสยดสยองจนลู่หานกับเทาต้องยกมือขึ้นปิดจมูก
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ”
ปัง!
“อันนยอง”
ลู่หานยกปืนขึ้นยิงผีเด็กสาวที่โผล่ออกมาจากมุมห้องให้ตายภายในนัดเดียว พอมองเข้าไปข้างในก็เห็นศพเน่าที่เป็นตัวต้นเหตุของกลิ่น ดูเหมือนว่าเด็กสาวคนนั้นจะกลายเป็นอาหารในทุก ๆ มื้อของพวกมันในตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
“มึงไปทางนั้น ส่วนมึงออกไปส่งซิกบอกอี้ฟานให้เข้ามาได้” จงอินบอกหน้าที่ให้กับคนที่มาด้วยทั้งสอง ลู่หานเดินนำไปข้างหน้าส่วนเทาเดินกลับไปที่ประตูทางเข้าแล้วส่งซิกเรียกอี้ฟาน ชานยอล และเซฮุนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามให้ตามเข้ามา
“คุณไปทางซ้าย ผมไปทางขวา โอเคไหม?” อี้ฟานบอกเซฮุนที่ขึ้นมาด้วยกันบนชั้นสามในขณะที่เทากับชานยอลขึ้นไปชั้นสี่ เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้วทั้งคู่แยกย้ายกันไปสำรวจทีละห้อง
ทางเดินเงียบสงบไม่มีตัวกินคนเดินเพ่นพ่านให้เล็งเป้าไปที่หัว และถ้าให้เลือกระหว่างเห็นเป้าหมายชัดเจนกับให้เล่นซ่อนแอบแบบนี้เขาขอเลือกอย่างแรกดีกว่า เซฮุนหันหลังกลับไปมองอี้ฟานที่เพิ่งเปิดประตูออก ร่างสูงเดินเข้าไปข้างในไม่นานแล้วก็เดินออกมา ดูเหมือนว่าห้องนั้นจะไม่มีตัวประหลาดอาศัยอยู่ข้างใน
ร่างบางหมุนลูกบิดก่อนจะผลักประตูเข้าไปเบา ๆ แล้วตั้งปืนพร้อมกับส่องไฟฉาย เข้าไปในห้องที่ว่างเปล่า...ไม่มีตัวกินคนอยู่ข้างใน ๆ ระยะที่เขามองเห็น ความมืดเพราะผ้าม่านสีเข้มที่ปิดบังแสงแดดทำให้เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ ขาเรียวค่อย ๆ ก้าวเข้าไปอย่างช้า ๆ เขาน่ะเกลียดจริง ๆ กับการที่ต้องหวาดระแวงว่าจะมีตัวอะไรโผล่ออกมาโดยไม่ทันตั้งตัวหรือเปล่า
ครืดด...
ดึงผ้าม่านออกให้แสงแดดส่องเข้ามา เขาเก็บไฟฉายไว้กับสนับขาแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก แค่คิดว่าบนชั้นนี้มีเพียงแค่เขากับอี้ฟานที่ยังมีชีวิตอยู่มันก็รู้สึกกลัวขึ้นมาแปลก ๆ
พอได้สติก็หายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหันไปเห็นกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ เด็กหนุ่มคว้ามันมาดูแล้วก็ใจหาย ภาพตรงหน้าคือเด็กสาวคนหนึ่งที่ถ่ายรูปกับครอบครัว มีพ่อ แม่และน้องชายอีกสองคน
คิดถึงบ้านจริง ๆ
“กร๊าซซซซซซซซซ!!!”
“!!!”
ร่างบางเหวี่ยงกรอบรูปฟาดหน้าอีกฝ่ายทันทีเพราะความตกใจ ร่างของหญิงสาวเปลือยเปล่าเซถอยหลังไปเล็กน้อย เซฮุนก้ม ๆ เงย ๆ เพราะในหัวมันกำลังบอกเขาว่า ‘ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ใส่เสื้อผ้านะ’ ถึงมันจะไม่สมควรมองแต่ถ้าไม่เงยหน้าขึ้นภายในวินาทีนี้เธอต้องฆ่าเขาแน่
และแล้วก็เป็นอย่างที่คิด หญิงสาวร่างเปลือยเปล่าบุกเข้าโจมตีเขาอีกครั้ง เซฮุนเสียหลักล้มลงไปบนเตียงทั้งที่ยังล็อกข้อมือทั้งสองข้างของเธอเอาไว้ แรงของผู้หญิงที่ว่าน้อยกว่าผู้ชายคงเปรียบเทียบกับผู้หญิงในสภาพตัวกินคนไม่ได้
“กรรรรรรรรรรรรรรซ์”
ฟันคมที่เยิ้มไปด้วยน้ำลายเหนียวสีแดงสดกับดวงตาสีเทาปนขาวกำลังจ้องเอาชีวิตเขา เสียงโหยหวนที่อยู่ใกล้แค่นี้คิดว่าคงต้านเธอไว้ได้อีกไม่นาน เซฮุนออกแรงผลักเธอออกแล้วลุกขึ้นชักปืนออกมาแต่เพราะความกดดันเป็นบ่อเกิดของความลนลานเลยทำให้ปืนตกพื้นไถลไปทางด้านข้าง
ยังไม่ทันจะวิ่งไปเก็บปืนหญิงสาวร่างเปลือยก็ลุกขึ้นมาอีกครั้ง ร่างบางมองหาทางหนีทีไล่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นผู้ชายในสภาพเปลือยท่อนบนอีกคนเดินออกมาจากห้องน้ำ ถ้าเกิดเขาเลือกที่จะสู้ตอนนี้เห็นทีว่าคงไม่ไหวแน่ เด็กหนุ่มเบี่ยงตัวหลบผีดิบสาวแล้วเปิดประตูเสื้อผ้าก่อนจะแทรกตัวเข้าไปหลบอยู่ในนั้นในทันที
เสียงทุบประตูดังไม่หยุดสร้างความหวาดผวาให้กับเด็กหนุ่มกว่าที่เป็นอยู่อีกทั้งความคับแคบภายในที่ทำให้หายใจลำบากยิ่งขึ้น เซฮุนยังคงยื้อดึงประตูตู้เสื้อผ้าเอาไว้
เกิดเขาโผล่ออกไปตอนนี้ถ้าไม่ถูกผู้หญิงกัดก็ต้องเป็นผู้ชายคนนั้นแน่
ร่างบางดึงมีดพกขึ้นมากำไว้แน่น ริมฝีปากบางสั่นระริกเตรียมพร้อมสู้หากว่าประตูตู้เสื้อผ้าถูกพังเข้ามา ในที่แคบ ๆ แบบนี้คงไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกนอกจากเสียงหอบหายใจของเขากับเสียงทุบประตูจากด้านนอก
บ้าเอ๊ย! ทำไมถึงได้มีผู้ชายอยู่ในนี้ได้นะ?!
กึง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
“อึ่ก!” ร่างบางเกร็งจนมือสั่น ไม่ว่ายังไงเขาต้องยื้อไว้จนกว่าอี้ฟานจะมาช่วย แต่เมื่อไหร่กันล่ะ? ในเมื่อเขาแยกฝั่งกันเรียบร้อยแล้ว
กึง!!!
“อ่ะ!!!”
ร่างบางสะดุ้งสุดตัวเมื่อคราวนี้ประตูมันกระชากออกไปแรงกว่าทุกครั้งแต่ยังโชคดีที่ยังยื้อไว้ได้ หยาดเหงื่อไหลอาบโครงหน้าไปจนถึงซอกคอขาวเพราะความอบอ้าวในตู้เสื้อผ้า เด็กหนุ่มหอบหายใจหนัก ไม่ว่ายังไงเขาก็จะไม่ยอมเสี่ยงถูกกัดอีกครั้งแน่ ๆ
จริงอยู่ที่เขาถูกกัดแล้วไม่เป็นไร...
แต่มันจะโชคดีไปซะทุกครั้งเลยเหรอ?
“...”
เสียงทุบประตูเงียบไปแล้ว...
“...”
เด็กหนุ่มนั่งนิ่งหากแต่มือของเขายังคงออกแรงยื้อประตูเอาไว้เผื่อว่าตัวกินคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมันออกแรงกระชากอีกครั้งจะได้ไม่เสียหลัก ชายหญิงคู่นั้นกำลังทำอะไร ยืนอยู่ตรงมุมไหน ถ้าเขาเปิดออกไปแล้วจะหาจังหวะวิ่งหนียังไง เด็กหนุ่มได้แต่พยายามตั้งสติแล้วคิดหาทางหนี
เวลาผ่านไปน่าจะไม่ถึงนาทีครึ่งโอเซฮุนถึงได้สำเหนียกว่าถ้าเขาไม่ออกไปจากที่นี่คงได้กลายเป็นผีเฝ้าตู้เสื้อผ้าเพราะหายใจไม่ออกแน่ เอาล่ะ...ตั้งสติ...ถ้าโผล่ออกไปเจอคนไหนก่อนก็แทงมันให้เสียหลักแล้วรีบวิ่งออกไปหาอี้ฟานซะ
กึง!
มือเรียวดันประตูออกพร้อมกับก้าวขาออกมาจากตู้เสื้อผ้าด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี หันขวาไม่เจอตัวกินคน พอหันมาทางซ้าย...
“!!!”
จังหวะนั้นเองที่เซฮุนเหวี่ยงมีดไปข้างหน้าและคาดว่ามันคงกรีดถูกเนื้อหนังของคนที่คิดจะเข้ามาเอาชีวิตเขา ร่างผอมบางล้มลงไปบนเตียงพร้อมกับร่างใครอีกคนที่คร่อมทับลงมา เด็กหนุ่มยื้อดึงอยู่ได้แค่ครู่เดียวข้อมือทั้งสองข้างขยับไม่ได้เพราะถูกตรึงไว้กับผืนเตียง ใบหน้าเรียวเบือนหลบพร้อมกับดิ้นทุรนทุรายเพื่อหาทางเอาชีวิตรอด
“อี้ฟาน! ช่วยด้วย!”
“เซฮุน! เฮ้!”
“...!!!” ร่างบางลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคนที่อยู่บนร่างเรียกชื่อของเขาแล้วก็พบกับใบหน้าคมที่ห่างกันไม่ถึงช่วงแขน
“จ...จงอิน?”
“ไม่เป็นไร...นายปลอดภัยแล้ว...”
“มีพวกมันอยู่ในห้องนี้สองคน” เซฮุนพยายามจะหยัดตัวขึ้นพร้อมกับหันซ้ายขวาหาเป้าหมายแต่ก็ต้องกลับไปนอนลงบนเตียงอีกครั้งเพราะหมดแรงหลังจากขังตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้าในระยะเวลาหนึ่ง
“พวกมันตายแล้ว ทีนี้หายใจเข้าลึก ๆ นะ ทำตามที่ฉันบอก” ร่างหนาค่อย ๆ คลายมือออกจากข้อมือแล้วเลื่อนไปดึงมีดออกจากมือเซฮุน
“...” นิ้วเรียวยาวไล้หยาดเหงื่อออกจากใบหน้าคนที่นอนหอบหายใจอยู่จนกระทั่งเซฮุนสงบลง ร่างบางจ้องหน้าอีกฝ่ายที่ยังคร่อมทับตัวเขาอยู่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นรอยเสื้อขาดพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาเล็กน้อย
"คุณ...” ทั้งคู่หยัดตัวลุกขึ้นนั่ง จงอินก้มลงมองแผงอกตัวเองที่เป็นรอยบาดเป็นทางยาว สีหน้าของเซฮุนดูตกใจกับสิ่งที่เห็นจนเขาคิดว่าต้องรีบพูดอะไรสักอย่างให้เด็กนี่ไม่คิดมาก
“ไม่เป็นไรหรอก แค่เฉียด ๆ เอง”
“ผม...ขอโทษครับจงอิน” ร่างบางเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด คงเป็นเพราะเมื่อกี้เขาตกใจมากเลยเหวี่ยงมีดไปโดยที่ไม่ดูเลยว่าคนตรงหน้าจะเป็นคนหรือผีดิบกันแน่
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง” จงอินตอบปัด ๆ แล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวคนที่นั่งก้มหน้าสำนึกผิดอยู่บนเตียง เซฮุนเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่ลุกขึ้นยืนเช็คความเรียบร้อยของผีดิบทั้งสองคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
“คาดว่าไอ้เด็กเวรนี่คงแอบปีนเข้าหอหญิง รอยถูกกัดก็มีทั้งคู่...แต่ที่สงสัยคือใครเป็นคนเข้ามากัดสองตัวนี้ตอนกำลังเอากันวะ...” จงอินพึมพำกับตัวเองแล้วยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ ไอ้เด็กเวรนี่มันสมควรตายแล้วที่บังอาจปีนเข้าหอหญิงเพื่อมาซั่มสาวแบบนี้
“โอ้...มีเสื้อผ้าผู้ชายด้วย แสดงว่าคงแอบปีนเข้ามาบ่อย ใครเป็นคนคุมหอพักหญิงวะ” ร่างหนายังคงพูดกับตัวเอง พอเปิดตู้เสื้อผ้าก็เห็นเสื้อยืดแฟชั่นของผู้ชายแขวนอยู่ข้างใน
“จงอินครับ”
“ว่า?” เขาขานตอบทั้งที่ยังกวาดสายตาสำรวจความเรียบร้อย พอหันกลับมาอีกทีก็เห็นเซฮุนยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว
“ล้างแผลหน่อยนะ” เซฮุนไม่ได้สบตากับเขา ดวงตาคู่นั้นกำลังจ้องมองบาดแผลที่สร้างความปวดแสบปวดร้อนแต่ที่ไม่พูดก็เพราะไม่อยากให้เซฮุนรู้สึกผิดก็เท่านั้น
“อ้อ” จงอินตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องน้ำ แค่ล้างแผลซะจะได้จบ ๆ จะได้ไม่ต้องถูกเด็กหน้าตายบ่นความยาวสาวความยืดอีก
พอเปิดก๊อกน้ำแล้วเงยหน้าขึ้นมองกระจกก็เห็นเซฮุนเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ แล้ว มือเรียวของเด็กนั่นดันไหล่เขาให้หันหน้าเข้าหากัน จงอินมองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังจะช่วยล้างแผลให้โดยการถลกเสื้อของเขาขึ้นสูง
“จับไว้ก่อนครับ” ร่างหนาจับเสื้อที่ถูกถลกขึ้นมาเหนือแผงอกเอาไว้แล้วมองคนที่กำลังเอาเสื้อยืดสีขาวของผู้หญิงที่คิดว่าเซฮุนคงไปค้นมาจากตู้เสื้อผ้ามาชุบน้ำก่อนจะซับลงบนแผนอกเขา
“อ...อา”
“ขอโทษนะครับ”
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง...” ถึงปากจะพูดอย่างนั้นแต่ฟันที่ขบเข้าหากันตอนผ้าเย็น ๆ ทาบลงบนแผลสุดมันก็แสบเอาเรื่อง
“ผมควรจะระวังตัวให้มากกว่านี้ ผมผิดเองที่สะเพร่า”
“อืม”
“เลยทำให้คุณต้องเจ็บ” ประโยคนี้เบาหวิวไป จงอินมองอีกคนที่ยังคงช่วยล้างแผลให้กับเขาแล้วค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกก่อนจะเลื่อนมือขึ้นมากุมข้อมืออีกคนเอาไว้
“ทีนี้รู้แล้วใช่ไหม?”
“ครับ?”
เซฮุนช้อนตามองอีกฝ่ายที่กำลังจ้องเขาด้วยแววตาจริงจัง มือหนาที่กุมข้อมือเขาถึงจะไม่แน่นมากแต่มันก็ทำให้รู้ได้ว่าจงอินจริงจังกับเรื่องที่กำลังจะพูดมากแค่ไหน พอมาถึงตอนนี้ก็ได้แต่คิดว่าจงอินขึ้นมาบนชั้นสามได้ยังไงในเมื่อทุกคนแบ่งหน้าที่เรียบร้อยแล้ว...
ที่จงอินมา...ก็เพราะว่าเป็นห่วงเขา...
...ใช่ไหม?
“รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงไม่อยากให้นายอยู่ไกลเกินระยะสายตาที่ฉันจะมองเห็นได้น่ะ”
TBC
สวัสดีปีใหม่ค่ะทุกคน ขอให้มลินมีแต่ความสุข สุขภาพแข็งแรง ศัตรูพ่ายแพ้ มิตรสหายรักใคร่ ได้แฟนซายน์พี่ลู่ อยู่กินกันอย่างมีความสุข
#คือร้ะ
สวัสดีวันปีใหม่นะคะทุกคน อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ นะคะเพื่อนผองชาวซอมบี้ไลน์ทั้งหลาย
ความคิดเห็น