คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Chapter 12 :: Triangle
Chapter 12
Triangle
ลู่หานผิวปากเดินล้วงกระเป๋ากางเกงลงมาอย่างอารมณ์ดี ถ้าเกิดเขาเป็นพวกดราม่าเข้าเส้นล่ะก็ป่านนี้คงนั่งจมปุกอยู่กับมินซอกจนกว่าเด็กคนนั้นจะหมดเวรเฝ้ายามแน่ หันซ้ายก็ทางโล่ง หันขวาก็ทางโล่ง พอไม่ได้วิ่งหนีพวกตะกละนั่นแล้วทำไมมันว่างแบบนี้วะ
หมุนลูกบิดเข้าไปในห้องแล้วก็ต้องผงะถอยหลังเมื่อจงอินเสือกเปิดประตูออกมาป๊ะหน้ากันพอดี สีหน้าตื่นตูมของมันสร้างความประหลาดใจให้เขาอยู่ระดับหนึ่ง
“เป็นห่าไร ทำหน้าอย่างกับเจอผี”
“...” เหมือนจะชะงักไปเล็กน้อย จงอินเกาหัวอยู่ในทีก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “กูจะไปห้องพยาบาล ไว้เจอกันนะมึง” ไม่พูดอย่างเดียว มือหนาตบบ่าลู่หานปุ ๆ ก่อนจะแทรกตัวออกมาแล้วทิ้งความสงสัยไว้ตรงนั้น
ลู่หานขมวดคิ้วพึมพำด้วยความไม่เข้าใจ เกิดอะไรขึ้นกับไอ้เชี่ยจงอินทำไมมันถึงมีท่าทีแปลก ๆ แบบนั้น ร่างหนาเดินไปยังไม่ถึงทางลงบันไดก็หยุดชะงักแล้วหันมามองหน้าลู่หานที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“เออ มึงเก็บของไปนอนห้องแบคฮยอนเลยนะ เตียงมึงโดนเซฮุนยึดแล้ว”
“ยึดเหี้ยไรวะ?! แต่เดี๋ยว...เออ...โอเค ได้ ๆ ” ตอนแรกติดจะโมโหอยู่หน่อย ๆ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าต้องระเห็จไปนอนกับแบคฮยอนแล้วก็ถือว่าแฟร์ดี ลู่หานไม่ถามเหตุผล เขายิ้มกว้างแล้วเดินเข้าไปในห้องเพื่อเก็บของ เข้ามาได้แค่สามก้าวก็ต้องผงะอีกครั้งเมื่อเห็นใครคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าแปลก ๆ
ทำไม...เซฮุนมันหน้าแดงแบบนั้นวะ...
“โอ้...หนีห่าว...” ชูมือขึ้นระดับใบหน้าค้างไว้เป็นเชิงทักทายพร้อมกับสีหน้างง ๆ ส่งไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ทางด้านขวา เซฮุนยิ้มแบบขอไปทีแถมยังมีหลบสายตาเขาอีก เด็กนั่นเดินดุ่ม ๆ ไปที่เตียงแล้วเอาผ้าห่มขึ้นคลุมโปงจนมิดหัว
“อะไรวะ...” ไอ้เด็กกรงหมานี่ก็ทำท่าแปลก ๆ หรือว่ามันสองคนจะทะเลาะกัน?
แต่มันก็ไม่แปลกอะไรนี่หว่า จงอินกับเซฮุนมันจะแดกหัวกันเป็นเรื่องปกติอยู่ละ ช่างเหอะ ใครจะทะเลาะกันมันไม่เห็นเกี่ยวกับเขาตรงไหน ตอนนี้ที่ต้องทำคือเก็บของไปหาแบคฮยอนต่างหาก
แต่พอมองของในห้องแล้วก็ไม่รู้จะเก็บอะไรไปดี มีแต่กระเป๋ากับเสื้อผ้าหนัก ๆ ทั้งนั้น ถ้าแบกไปมีหวังแบคฮยอนคงคิดว่าเขาอยากจะไปนอนด้วยจนตัวสั่นแน่ ๆ เพราะงั้นเอาของไว้นี่ดีกว่า ให้เด็กนั่นคิดว่าเขาแค่ไปนอนด้วยเพราะความจำเป็นเท่านั้น
กึง กึง กึง!!!
หญิงสาวเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังเอาส่วนปลายแหลมของชะแลงแทงเข้าเบ้าตาผีดิบที่เกาะรั้วอยู่ เธอยิ้มบาง ๆ แล้วเดินไปหยิบชะแลงอีกอันที่วางอยู่ระแวกนั้นก่อนจะเข้าร่วมด้วย
“คุณเหนื่อยมาทั้งคืน น่าจะไปนอนพักผ่อนนะคะ”
“ผมนอนพอแล้วล่ะ”
ทั้งคู่เงียบและคิดไปถึงเรื่องต่าง ๆ นานาที่มันผุดขึ้นมาในหัว จากประสบการณ์ที่รู้จักคนมามากมายพอสมควร เธอพอจะดูออกว่าที่อู๋อี้ฟานกำลังทำอยู่คือวิธีทำให้ไม่ว่างเพื่อลืมเรื่องราวฟุ้งซ่านในหัว
“เด็กที่ป่วยเป็นยังไงบ้างครับ?”
“ดีขึ้นมากแล้วล่ะค่ะ แต่ยังทานอะไรไม่ได้ค่อยได้”
“ผมคิดว่าเราควรจะทำอะไรสักอย่างกับโรงเรียนนี้” ร่างสูงพูดทั้งที่ยังตั้งหน้าตั้งตาฆ่าเหล่าผีดิบที่เกาะอยู่ติดรั้วฝั่งตรงข้าม
“คุณคิดว่ายังไงคะ?”
“ทั้งที่มีพื้นที่เยอะแต่กลับถูกพวกกินคนยึดไปคุณไม่คิดว่ามันน่าเสียดายเหรอ? ผมว่าเราน่าจะเคลียร์ลานอเนกประสงค์ให้หมด จะได้เอาพื้นที่ส่วนนั้นมาใช้ประโยชน์ แบ่งเป็นส่วนไป อย่างฝั่งนั้นก็ใช้เป็นพื้นที่สำหรับซักผ้าตากผ้าก็ได้ ส่วนฝั่งนั้นก็หาโต๊ะมากางทำเป็นโรงอาหารกลางแจ้ง มันคงดีกว่าที่จะต้องไปนั่งเบียดกันในห้องแคบ ๆ กลางหอชายอย่างที่เป็นอยู่” ร่างสูงชี้นิ้วไปยังพื้นที่โล่งกว้างฝั่งตรงข้ามที่มีพวกกินคนเดินโซซัดโซเซอยู่ กาฮียืนฟังเขาอธิบายอย่างตั้งใจ
“หาผ้ายางกับเสาเหล็กมาทำเป็นหลังคาเผื่อวันฝนตก แบคฮยอนเพิ่งบอกผมว่าเขาจะลองปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์วิธีนี้ไม่ต้องปลูกบนดินและถ้าเอาแปลงผักไปตั้งในลานอเนกที่มีพื้นที่กว้างเราคงเก็บผลผลิตจำนวนมากกว่าที่จะปลูกภายในพื้นหอพัก ในเมื่อโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีการซื้อขายด้วยเงินทองอีกเราก็ต้องเรียนรู้การปลูกผักทานด้วตัวเอง อีกอย่าง...ที่นักเรียนของคุณป่วยได้ง่ายส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะขาดสารอาหาร จะให้เขาทานแต่ข้าวต้มอย่างเดียวผมเกรงว่าร่างกายของพวกเขายิ่งจะอ่อนแอลง”
“เทาหาเมล็ดพันธุ์พืชมาได้ตอนออกไปหาเสบียง พวกเด็ก ๆ ลองปลูกผักกันเองแต่พื้นดินตรงสนามมันไม่เวิร์คน่ะ”
“ดูเหมือนว่าดินตรงสนามหญ้าของคุณมันจะปลูกพืชผักไม่ได้ แล้วผักบางชนิดต้องปลูกตามฤดูกาลของมันด้วย ผมว่าควรเลือกปลูกที่ออกผลเร็วที่สุดไว้จำนวนหนึ่ง ส่วนพวกที่โตช้าก็แบ่งไปปลูกอีกส่วนหนึ่ง อย่าปลูกชนิดเดียวกันหมดทั้งแปลง ไม่อย่างนั้นพอผลผลิตงอกแล้วจะไม่มีเหลือให้ทานในวันต่อ ๆ ไป” กาฮีพยักหน้า
“ทุกวันนี้คงเป็นไปได้ยากเรื่องทานอาหารให้ครบห้าหมู่ เพราะเรื่องสัตว์...ผมไม่แน่ใจเลยว่าพวกมันจะใช้เป็นอาหารได้หรือเปล่า หลังจากเกิดเรื่อง...ผมก็ไม่เห็นสัตว์ชนิดไหนอีกเลยนอกจากหนู แมลงสาบ แม้แต่สัตว์เลี้ยงอย่างหมากับแมวก็ไม่เจอ”
“คุณอี้ฟาน” เธอเรียกความสนใจจากอีกฝ่าย ร่างสูงหันมามองหน้าเธออีกครั้งแล้วลดแขนลง “ฉันเพิ่งคุยกับครูฮโยรินมา”
“...”
“เธอบอกว่าพวกเราน่ะ...” เธอเม้มริมฝีปากแน่นพลางหลุบสายตาลงราวกับทำใจที่จะต้องพูดประโยคถัดไป
“เราอาจจะติดเชื้อกันทุกคน”
“...” ดูเหมือนว่าอี้ฟานจะอึ้งกับสิ่งที่เธอพูด เขาเอาแต่ยืนจ้องอีกฝ่ายนิ่งโดยไม่มีท่าทีใด ๆ
“ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง อาจจะเป็นอากาศ น้ำดื่ม หรืออาหารที่กินเข้าไป มันดูคล้ายกับโรคไข้หวัดนกแต่ร้ายแรงกว่าหลายเท่าตัว” เธอเกลี่ยปลอยผมเหน็บกับหูก่อนจะมองหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจัง
“แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือตอนนี้เราค้นพบว่าคนที่ถูกกัดแล้วไม่เปลี่ยนมีถึงสองคนนั่นก็คือเทากับเซฮุน”
“...”
“และอาจจะมีคนอื่น ๆ อีกที่เป็นเหมือนสองคนนั้น แต่ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมพวกเขาถึงไม่เปลี่ยน”
“...”
“ถ้าถามถึงสัตว์...ฉันเคยสงสัยว่าพวกมันจะเป็นบ้าไล่กัดเหมือนพวกนั้นหรือเปล่า แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบ เพราะทุกครั้งที่เห็น...มันก็เหลือเพียงแค่ส่วนหัวหรือซากศพเท่านั้น” ที่สัตว์บนโลกไม่คุ้มคลั่งหลังถูกกัดก็เพราะว่าพวกมันกลายเป็นอาหารของพวกผีดิบไปแล้วสินะ ร่างสูงผ่อนลมหายใจออกเบา ๆ เมื่อนึกถึงเรื่องความเปลี่ยนแปลงของโลกที่ผูกกันเป็นปมหนา
ความเงียบโรยตัวในเวลาถัดมา อี้ฟานถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินอีกคนเล่า ที่พวกเขาดิ้นรนเอาตัวรอดมาได้ถึงทุกวันนี้ก็เพื่อหนีเชื้อระบาด.แต่พอรู้ความจริงแล้วเขาไม่ได้หนีไปไกลเลย....
พวกมัน...อยู่ภายในร่างกายเขานี่เอง...
“รู้แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
“แล้วคุณจะทำยังไงต่อคะ?”
“อันดับแรกเราควรจัดการพวกนี้ก่อน นักเรียนของคุณคงนอนไม่ค่อยหลับเพราะได้ยินเสียงโหยหวนอยู่ตลอดทั้งคืน”
“ไม่ใช่แค่นักเรียนหรอกค่ะ ฉันก็เกลียดเสียงของมันเหมือนกัน” เธอยิ้มจนเห็นรอยบุ๋มตรงแก้ม
“พอฆ่าหมดแล้วก็เอารถกระบะขนพวกมันออกไปเผาที่ไหนสักแห่ง เพราะถ้าเผาในโรงเรียนผมว่ามันเสี่ยงเกินไป”
“ทำไมล่ะคะ ปกติเราก็เผากันที่กลางสนามนั่น”
“มันจะเป็นการส่งสัญญาณให้คนอื่นรู้ว่าเราอยู่ตรงนี้” ร่างสูงหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วหันมามองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างตัว
“ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นมิตรกับเราหรอกนะครับคุณกาฮี”
“...”
“คุณน่ะ...ไว้ใจคนง่ายเกินไป ชวนพวกเรามาอยู่ที่นี่ ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งบางทีผมอาจจะเข้ามาเพื่อปล้นเสบียงแล้วฆ่าพวกคุณทิ้งก็ได้”
“แต่คุณไม่ได้ทำแบบนั้น”
“มันก็จริง แต่คราวหลังคุณต้องระวังให้มากกว่านี้”
“ถ้ามีคราวหลัง ฉันจะให้คุณช่วยตัดสินใจแล้วกันค่ะ”
“ผมไม่แน่ใจว่าจะอยู่ถึงตอนนั้นหรือเปล่า” ร่างสูงเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่ง “เพราะผมกับคนอื่น ๆ คงไม่คิดจะปักหลักอยู่ที่นี่น่ะ”
“หมายความว่าคุณจะไปจากที่นี่เหรอคะ?”
“ยังหรอกครับ เพราะถ้าจะตัดสินใจอะไรสักอย่างพวกเราจะโหวตความเห็นกันน่ะ แต่ตอนนี้คงรบกวนโรงเรียนของคุณไปอีกสักพัก” ร่างสูงยิ้มบาง ๆ
“ค่ะ” เธอยิ้มตอบแล้วทั้งคู่ก็หันหน้าเข้าหารั้วอีกครั้ง
“ที่ผมไม่อยากให้คุณไว้ใจใคร...”
“คะ?”
“เพราะบ้านของผมถูกคนด้วยกันบุกรุก...พวกมันเผาบ้านผมแล้วพยายามฆ่าคนที่อยู่ข้างใน”
อู๋อี้ฟาน...
“เพราะฉะนั้นผมถึงอยากให้คุณระวังให้มากกว่านี้”
ร่างสูงพูดจบแล้วใช้สองมือจับชะแลงให้มั่นแล้วเริ่มแทงผีดิบอีกครั้ง ทำอยู่อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนพวกมันนอนทับกันเป็นกอง ผีดิบหลายตัวต้องปีนป่ายเหยียบศพที่ตายไปแล้วขึ้นมาอย่างทุลักทุเล...มันกองขึ้นสูงเรื่อย ๆ จนเขาต้องหยุดการกระทำทุกอย่างไว้แค่นั้น
“ผมว่ามันชักจะไม่เข้าท่าแล้วล่ะ ศพมันทับกันขึ้นมาเรื่อย ๆ แบบนี้สักวันพวกที่เหลือคงปีนข้ามมาได้แน่ ๆ”
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีคะ?” กาฮีหันไปถามความเห็นจากอี้ฟาน ร่างสูงถอยหลังออกมาก้าวนึงขณะที่สายตายังคงมองผีดิบฝูงตรงหน้าที่ยังคงพยายามตะกุยรั้วอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“เห็นทีว่าคงต้องชวนเพื่อน ๆ เข้าไปเยี่ยมพวกมันที่ฝั่งนั้นสักหน่อย”
“ฮึ่บ!”
คิ้วเรียวขมวดมุ่นพร้อมกับปลายเท้าที่ช่วยยืดความสูงขึ้นมาอีกหน่อย แขนที่ยาวได้แค่นั้นกำลังพยายามดึงป้ายประชาสัมพันธ์ที่ทำด้วยโฟมลงมาแม้ว่ามันจะยากลำบากเหลือเกิน
แผ่นโฟมบางส่วนที่ดึงออกมาได้แล้วถูกวางไว้บนพื้นกับฟองน้ำที่หามาได้ในขณะที่อันสุดท้ายมันช่างสูงจนเกินความสามารถของบยอนแบคฮยอน ปลายนิ้วแตะเกือบถึงแล้ว...อีกแค่นิดเดียวเท่านั้นหากแต่มือเรียวยาวของใครคนนึงกลับแตะถึงก่อน...
คนตัวเล็กชะงักเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงกดทับบนหัวไหล่ข้างซ้าย พอหันไปมองก็พบกับมือของใครอีกคนที่มาพร้อมกับกลิ่นที่คุ้นเคย กลิ่นประจำตัวแบบนี้...
ปาร์คชานยอล...
ใบหน้าเรียวหันกลับไปมองคนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง แบคฮยอนช้อนตามองร่างสูงที่กำลังค่อย ๆ ดึงแผ่นโฟมลงมาอย่างระมัดระวังก่อนจะก้มหน้าลงมายิ้มจนเห็นฟันขาวเรียงสวย
“หยิบไม่ถึงทำไมไม่เรียกผมล่ะ”
“อ๋อ...คือตอนแรกผมว่าจะเอาแค่พวกที่อยู่ข้างล่างน่ะ แต่พอคิดไปคิดมาถ้าได้อีกอันมันก็คงจะดี ก็แค่ดึงโฟมลงมาเองแต่ไม่คิดว่ามันจะ...” แบคฮยอนยิ้มแห้ง ๆ หลบแววตาคู่นั้นที่กำลังจ้องมองเขาอยู่
คนตัวเล็กหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกทางปากเบา ๆ ชานยอลยิ้มขำแล้วก้มลงเก็บโฟมขึ้นมาถือไว้ให้
“คุณจะเอาโฟมกับฟองน้ำพวกนี้ไปทำอะไรเหรอ?”
“ผมว่าจะลองปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ดูน่ะ ตอนแรกเห็นคุณคิดจะลองปลูกผักตรงสนามหญ้าหน้าตึกแต่ดินดันใช้ไม่ได้ พอดีผมเห็นเมล็ดสลัดกับผักกาดขาวอยู่ในห้องเสบียง ผมไม่รู้ว่าผักชนิดนี้มันปลูกข้างนอกตอนหน้าฝนได้หรือเปล่าเพราะเทาบอกว่าเคยปลูกแล้วตายเรียบไม่เหลือก็เลยว่าจะลองเพาะเมล็ดบนฟองน้ำดูน่ะ”
“หืม? คุณทำเป็นด้วยเหรอ?” ชานยอลจ้องหน้าคนตัวเล็ก แบคฮยอนหัวเราะแล้วเกาท้ายทอยแก้เขิน
“ผมเคยเรียนมา พอจำได้บ้างนิดหน่อย แต่ไหน ๆ เมล็ดมันก็เหลือเยอะ แถมไม่ได้เอาไปใช้ทำอะไร ถ้าลองดูสักครั้งคงไม่เสียหาย” ชานยอลมองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มจนตาหยีจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
บยอนแบคฮยอนเปลี่ยนไปมากจริง ๆ
เมื่อกี้เขาก็ตามหาอยู่ว่าแบคฮยอนหายไปไหน ตั้งแต่ไปนั่งลองขุดดินที่สวนด้วยกันเพื่อดูว่าจะใช้ปลูกผักได้หรือเปล่า แต่พอเกิดเหตุตบตีกันของเด็กผู้หญิงสองคนนั้นก็เลยรีบพาคนตัวเล็กออกมา ยังยืนให้ความเงียบทำร้ายไม่ได้เท่าไหร่หวงจื่อเทาก็เรียกให้เขาไปช่วยยกของ ถึงได้คลาดกันตอนนั้น
“เอาสิ เดี๋ยวผมช่วย” ชานยอลก้มลงเก็บโฟมที่เหลือขึ้นมาหนีบไว้ข้างตัว
“ไม่เป็น...”
“อ่า...จะไปนั่งทำตรงไหนดีนะ...ห้องของคุณดีไหม?” ร่างสูงไม่ฟังคำปฏิเสธของคนตัวเล็กกว่าหนำซ้ำยังเดินนำหน้าไปก่อนอีก แบคฮยอนก้มลงเก็บของที่เหลือแล้ววิ่งตามชานยอลไปติด ๆ
พอเข้ามาในห้องร่างสูงก็หันไปมองอีกฝ่ายเป็นเชิงถามว่าจะทำยังไงต่อ แบคฮยอนยังคงเก้ ๆ กัง ๆ เมื่ออยู่ในห้องแคบ ๆ กับชานยอลสองต่อสองแบบนี้
ทั้งที่ตอนอยู่ในห้องกับเซฮุนไม่เห็นจะรู้สึกแบบนี้เลย...
“ผมได้ยินจงอินบอกว่าจะให้เซฮุนพักอยู่ในห้องเดียวกับเขาจนกว่าจะแน่ใจว่าเด็กคนนั้นไม่เป็นอะไรแล้ว”
“จริงเหรอ...ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็ต้องนอนคนเดียวน่ะสิ” แบคฮยอนพึมพำเบา ๆ
“ไม่อยากนอนคนเดียวเหรอ?” ชานยอลหันมาถาม คนตัวเล็กส่ายหน้าพรืดพลางโบกมือปฏิเสธ
“เปล่าครับ ผมก็แค่...”
“งั้น...ให้ผมมาอยู่เป็นเพื่อนไหม?”
“...” แบคฮยอนพูดไม่ออก คำพูดของร่างสูงทำให้เขาใจเต้นแรงอย่างน่าประหลาด ทั้งที่จริง ๆ แล้วชานยอลอาจจะแค่หวังดีมาอยู่เป็นเพื่อนเขาก็เท่านั้น แต่ว่า... “ผมไม่ได้กลัวผีนะ คุณอย่าเข้าใจผิด”
“ครับ คุณดูลำบากใจที่ผมพูดแบบนั้น ขอโทษนะ” ชานยอลหัวเราะเบา ๆ “ผมวางไว้ตรงนี้ได้ใช่ไหม?”
“อ...อื้ม” แบคฮยอนพยักหน้าแล้วเดินไปค้นของในลิ้นชัก บ้าเอ๊ย...เขากำลังทำให้ชานยอลเข้าใจผิด
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ชานยอลกำลังคิดยังไง แต่ในหัวบยอนแบคฮยอนกำลังคิดคำพูดดี ๆ จนมันตีกันไปหมดจนเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
“บางทีถ้าเป็นลู่...”
“อยู่กับผมนะ!”
“...”
“...”
แบคฮยอนยืนนิ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ส่วนชานยอลยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ทั้งคู่สบตากันอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่พูดอะไร
“ผม...อยากให้คุณอยู่ด้วย...”
เป็นอีกครั้งที่แบคฮยอนหน้าขึ้นสีขณะพูดคุยกับร่างสูง ชานยอลอึ้งเล็กน้อยแต่เขายังคงปรับตัวเข้าสู่สภาพปกติได้ทันต่างกับเด็กน้อยตรงหน้าที่ยังไม่ประสีประสากับอัตราการเต้นของหัวใจ ใบหน้าหล่อยิ้มบาง ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลายกับสถานการณ์แบบนี้
“งั้นคืนนี้ผมจะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณนะ”
แม้จะตกใจกับคำตอบแต่พอได้ยินแบบนั้นแบคฮยอนก็พยักหน้าช้า ๆ แล้วหันกลับเข้าหาโต๊ะเพื่อหาของในลิ้นชักต่อไป คนตัวเล็กหลับตาปี๋ขยับปากก่นด่าตัวเองแบบไม่ออกเสียง บยอนแบคฮยอน พูดอะไรออกไปแบบนั้นนะ!
ความเงียบเข้าครอบคลุมอีกครั้ง ต่างคนต่างกำลังสนใจกับสิ่งของตรงหน้า และดูเหมือนว่าอุปกรณ์ที่ต้องใช้เกือบมีครบยกเว้นไม้แหลม
“ขาดไม้สินะ...”
“ไม้อะไรเหรอ?”
“ไม้แหลม ๆ ที่เอาไว้ยึดโฟมตอนทากาวน่ะ” แบคฮยอนทำท่าทางประกอบ
“แถวนี้ไม่มีด้วยสิ...งั้นเอางี้ไหม? ตอนทากาวเดี๋ยวผมช่วยจับไว้ให้” ชานยอลพูดก่อนจะนั่งขัดสมาธิลงบนพื้น แบคฮยอนกระพริบตาปริบ ๆ บางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมร่างสูงถึงได้สละเวลามานั่งทำอะไรบ้า ๆ แบบนี้กับเขา คนตัวเล็กนั่งลงข้าง ๆ แล้วหยิบแผ่นโฟมออกมาหนึ่งชิ้น
“จับไว้ไม่ได้หรอกครับ กว่ากาวลาเท็กจะแห้งอยู่ตัวก็ใช้เวลาเกือบวันแน่ะ...ผมว่าไปหาไม้แหลม ๆ มาเสียบยึดไว้ดีกว่า”
“โอเค งั้นคุณตัดโฟมรอแล้วกัน เดี๋ยวผมไปหาไม้มาให้” ชานยอลยิ้มแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แบคฮยอนได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินออกไปจนกระทั่งร่างสูงหยุดชะงักแล้วหันกลับมา
“ในห้องเก็บเสบียงพอจะมีน้ำอัดลมเหลืออยู่...คุณอยากดื่มไหม?”
“อ...ครับ ผมอยากดื่ม...” แบคฮยอนหน้าขึ้นสีขณะมองหน้าอีกฝ่าย ชานยอลพยักหน้าและไม่ลืมที่จะยิ้มให้
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้ชายที่เคยเย็นชาคนนั้นตอนยิ้มจะทำให้เขารู้สึกดีได้ขนาดนี้...
แบคฮยอนอมยิ้มแล้วก้มหน้าก้มตาวัดความยาวของแผ่นโฟมก่อนจะใช้คัตเตอร์กรีดลงตามความยาว เขาไม่รู้หรอกว่าทำไมชานยอลถึงมาอยู่กับเขาในเวลาแบบนี้ ทั้งที่ปกติเห็นชอบคุยเรื่องซีเรียสกับอี้ฟานอยู่ตลอด แต่นั่นก็ทำให้เขารู้ว่าการเป็นผู้ใหญ่นี่มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย
แต่ไม่เป็นไร...บยอนแบคฮยอนจะใช้เวลาทุกวินาทีหลังจากนี้เพื่อเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีให้ได้...
หันไปมองไม้เบสบอลที่วางพิงผนังอยู่แล้วก็นึกถึงพี่ชายของเขา...รอยยิ้มบาง ๆ จุดแต่งบนใบหน้า ความคิดถึงมันทำให้ทั้งสุขและทุกข์ได้ในเวลาเดียวกัน นอกจากแบคโฮแล้วยังมีพ่อกับแม่อีกสองคนที่ไม่รู้ว่าป่านนี้เป็นยังไงบ้าง...
“ฮัลโหลคิตตี้~”
คนขี้เล่นโผล่หน้าเข้ามาในห้องแล้วก็ริมฝีปากก็หุบยิ้มในทันที แบคฮยอนปั้นหน้านิ่งให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขายังคงโกรธอยู่ พอลู่หานเห็นคนตัวเล็กทำหน้าบึ้งแบบนั้นก็รีบถ่อหน้าเข้าไปนั่งข้าง ๆ ทันที
“นี่ จะไม่ตอบโต้ภาษาฮัลโหลกับฉันเลยหรือไงกัน?” ลู่หานทำตาปริบ ๆ จ้องคนตรงหน้าที่ไม่มีรีแอคชั่นใด ๆ ทั้งสิ้นกับการมาของเขา
“ฮัลโหลเย่โย่”
“...”
“บยอนแบคฮยอน”
“...”
“เตี้ยหมาตืด”
“โธ่ พ่อคนสูงร้อยเก้าสิบ สูงชะลูดประหนึ่งเสาไฟฟ้า เรื่องความสูงเนี่ยเอามาล้อจังเลยนะ” แบคฮยอนว่าพลางเอามือดันใบหน้าอีกคนจนหันไปอีกทาง ลู่หานยิ้มกว้างแล้วรีบหันหน้ากลับมาเมื่อคนตัวเล็กยอมปริปากด่าเขาแล้ว
“ต้องอย่างนี้สิ ถึงจะเป็นนายคนเดิม”
“หมายความว่าไงฉันคนเดิม?” ร่างเล็กพูดขณะกรีดคัตเตอร์ลงบนแผ่นโฟม ลู่หานปีนขึ้นไปนอนบนเตียงแล้วขยับไปอยู่ข้างหลังแบคฮยอนทั้งที่ยังยิ้มไม่หุบ
“เอ้า ก็บยอนแบคฮยอนคนขวานผ่าซากไง”
“ฉันดูเป็นคนอย่างนั้นเหรอ?” คนตัวเล็กหันกลับไปเลิกคิ้วมอง ได้ยินลู่หานพูดแบบนี้แล้วก็อดคิดไม่ได้ แสดงว่าเขาเป็นคนพูดอะไรไม่เข้าหูคนเลยใช่ไหมเนี่ย
“ที่สุดอ่ะ แต่อย่าเลิกเลยนะ เป็นแบบนั้นแหละดีแล้ว”
“ทำไม นายชอบให้ฉันพูดขวานผ่าซากไม่น่าฟังหรือไง”
“ใช่ แล้วมันจะดีมาก ๆ ถ้านายพูดแบบนี้กับฉันคนเดียว”
“วันนี้พูดจาแปลก ๆ นะ ไม่สบายเหรอ?” แบคฮยอนหันกลับมามองอีกคนที่นอนยิ้มแป้นเท้าคางมองเขาอยู่ หลังมือเล็กอังบนหน้าผากลู่หานแล้วก็ลดมือลง “ก็ไม่ได้ป่วยนี่”
“ก็ไม่ได้ป่วยไง...นี่เตี้ย” ร่างโปร่งสะกิดไหล่คนตรงหน้าก่อนที่เจ้าของชื่อจะหันกลับมาอีกครั้ง เห็นแววตาใส ๆ แล้วก็หัวใจเต้นแรง...แววตาแบบนี้สินะที่เขาชอบมอง
อืม...รู้แล้วล่ะ
เขาคงชอบบยอนแบคฮยอนเข้าแล้วจริง ๆ
“เซฮุนโดนกักตัวไว้งี้เหงาเลยดิ...มานอนเป็นเพื่อนเอาเปล่า? -.-” ลู่หานยิ้ม หากแต่ใครอีกคนกลับหน้าแดงขึ้นมาเพียงแค่ได้ยินประโยคนี้
เดี๋ยว?...แบคฮยอนกำลังเขินกับคำพูดของเขางั้นเหรอ?
“ไม่เป็นไร คืนนี้ชานยอลจะมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว”
“หะ?” รอยยิ้มบนใบหน้าถูกกลืนหายไปในพริบตา คิ้วหนาขมวดเข้าหากันจนแทบผูกเป็นโบว์ได้แล้ว ลู่หานชักสีหน้าเมื่อได้ยินชื่อชานยอลออกมาจากปากคนตัวเล็ก
“อ้าวลู่หาน?”
ตายยากจริงนะมึง -_-
ชานยอลเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับก้านไม้หนึ่งกำ ส่วนมืออีกข้างก็ยื่นน้ำอัดลมกระป๋องให้แบคฮยอน สองคนนั้นยิ้มเขินตอนที่เผลอสบตากัน เห็นแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดแปลก ๆ
“พอจะใช้ได้ไหม?”
“ได้สิ แบบนี้แหละกำลังดีเลย คุณช่วยจับมุมนั้นไว้หน่อย ผมจะทากาว”
“โอเค ตรงนี้เหรอ?”
“ใช่ อย่าขยับนะ”
-_-
หงุด-หงิด-ชิบ-หาย
ช่วยเงยหน้าขึ้นมานิดนึงเถอะครับ จะได้รู้กันสักทีว่ายังมีผู้ชายที่ชื่อลู่หานอยู่ในห้องนี้ทั้งคน ดูเหมือนว่าแบคฮยอนกับชานยอลจะเข้าสู่โลกส่วนตัวที่เขาเข้าไปไม่ถึง ทั้งที่คุยกันเรื่องการปลูกผักด้วยไอ้โฟมห่าเหวนี่ แต่มันเสือกน่าหงุดหงิดจนอยากปาหมอนเข้าไปกลางวงเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ลู่หานไสตัวเองลงมาจากเตียงแล้วนั่งเบียดจนแบคฮยอนขยับออกโดยอัตโนมัติ ลู่หานเหล่มองคนข้าง ๆ ที่กำลังปาดกาวลงบนแผ่นโฟมแล้วก็งิดแดก นี่ขนาดลงมานั่งเบียดแล้วนะ...
“อะไรเล่า” แบคฮยอนเลิกคิ้วมองลู่หานที่ขยับเข้ามาเบียดเขาอีกแล้ว “ที่ก็มีตั้งเยอะแยะ ทำไมไม่ไปนั่ง”
“ก็ฉันชอบตรงนี้” ตอบหน้าตายด้วยเหตุผลเอาแต่ใจสุด ๆ ร่างโปร่งกอดอกนั่งหลังตรง สายตามองไปข้างหน้าที่เป้าหมายมีเพียงแค่เตียงโล่ง ๆ ของใครสักคนซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของแบคฮยอนหรือเซฮุน
ชานยอลมองลู่หานกับแบคฮยอนสลับกันทั้งที่มือของเขายังคงจับอยู่กับโฟมจนกระทั่งร่างโปร่งหันมามองหน้าเขาด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ ก่อนจะลดระดับสายตาลงราวกับสังเกตอะไรบางอย่าง
“เห้ย! แหวนสวยดีนี่?” ลู่หานทำตาโตเมื่อเห็นแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย ซึ่งเรียกความสนใจจากคนตัวเล็กที่อยู่ข้าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
“แหวนเกลี้ยงแบบนั้นใช่แหวนแต่งงานป่ะวะ ใส่นิ้วนางข้างซ้ายซะด้วย” ลู่หานยิ้มแสร้งตีหน้าซื่อหากแต่ใครอีกสองคนกำลังมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วน
แบคฮยอนก้มหน้าลงทากาวต่อไปและนั่นทำให้ลู่หานพอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ว่าที่ทำไปมันแย่ เพราะบางทีมันอาจจะไปกระตุกต่อมดราม่าของปาร์คชานยอลเข้าให้ แต่นั่นมันก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อรักเมียมาก ก็ต้องรักเมียคนเดียวสิ แบคฮยอนจะได้รู้สักทีว่าตัวจริงที่อยู่ในใจหมอนั่นคือใคร
“ครับ มันคือแหวนแต่งงาน”
“...”
“เห้ยโทษ ๆ อย่าทำหน้างั้นดิ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ดราม่านะเว้ย ไม่ร้อง ๆ เอาทิชชู่เปล่า?” ถึงจะเอ่ยขอโทษขอโพยแต่การกระทำกลับตรงกันข้ามตามประสาผู้ชายขี้เล่น ชานยอลยิ้มบาง ๆ ในขณะที่คนข้าง ๆ สีหน้าลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“แบคฮยอน”
“อือ”
“ผมเปิดกระป๋องน้ำอัดลมให้นะ” ปาร์คชานยอลไม่ได้ใสซื่อขนาดที่จะดูคนไม่ออกว่าใครกำลังรู้สึกยังไงอยู่...และนั่นก็รวมถึงลู่หานด้วย แต่เพราะดูออกเขาถึงเลือกที่จะทำแบบนี้
“เดี๋ยวผมเปิดเอง”
“แต่มือคุณเลอะกาวแล้ว”
“อือ ไม่เป็นไร” แบคฮยอนรู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่สุด ทั้งที่ชานยอลไม่ผิดอะไรที่ยังสวมแหวนติดตัวไว้แบบนั้นตลอดเวลา แล้วทำไมเขาถึงต้องมึนตึงใส่แบบนี้ด้วยล่ะ แย่ที่สุด
“ถ้าพี่แบคโฮรู้ว่าผมยังให้คนอื่นเปิดกระป๋องน้ำอัดลมให้แบบนี้เขาต้องว่าผมแน่ ๆ ” แบคฮยอนฝืนยิ้มแล้วหยิบกระป๋องน้ำมาจากมือร่างสูง ลู่หานที่นั่งมองอยู่ข้าง ๆ ได้เพียงแค่เชิดหน้ามองอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
ไม่ได้เกลียดชานยอลแต่ที่เขาเป็นแบบนี้เป็นความผิดของแบคฮยอนคนเดียวล้วน ๆ
“งั้นลอกกาวออกก่อนนะ”
“...”
ไม่พูดอย่างเดียว...ร่างสูงถือวิสาสะจับมือเล็กขึ้นมาแล้วค่อย ๆ ช่วยลอกกาวออกให้ แบคฮยอนตกใจและทำท่าเหมือนจะชักมือกลับแต่ชานยอลยื้อเอาไว้
ใบหน้าขาวแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้งเมื่อสัมผัสมือของอีกฝ่าย ลู่หานขึงตามองภาพตรงหน้าแล้วเผลอแตะโฟมจนกระจายไปกลางห้อง
“...”
“...”
“มีอะไรให้ช่วยไหม?”
ถ้าให้สอบเรื่องเก็บอารมณ์ล่ะก็ลู่หานคงตกตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ร่างโปร่งพยายามหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสกัดอารมณ์หึงหวง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รู้สึกแบบนี้ แน่นอนว่าเขาเคยมีแฟนมาก่อน และเขาก็เคยรู้จักกับอารมณ์หึงหวง และนั่นมันไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้าใครทำให้เขารู้สึกแบบนี้
“นายทำเป็นหรือไง” แบคฮยอนหันมาถามทั้งที่มือเล็กยังวางอยู่บนฝ่ามือใหญ่ ลู่หานเบือนหน้าหลบไปอีกทาง เขี่ยปลายจมูกอย่างหัวเสียแล้วหันกลับมาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มแปลก ๆ
“ไม่เป็น”
“ทำไม่เป็นก็นั่งอยู่เฉย ๆ สิ” แบคฮยอนย่นจมูกใส่ ถ้าเป็นสิบนาทีก่อนหน้านี้เขาคงเข้าไปบีบจมูกเพราะทนหมั่นเขี้ยวไม่ได้แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น
“แล้วชานยอลมันทำเป็นเหรอ?”
“อะไรของนาย อยู่ว่าง ๆ ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ หาเรื่องทำนั่นทำนี่อยู่เรื่อยเลย” มันเป็นคำพูดปกติของแบคฮยอน แต่มันเริ่มจะไม่ปกติเพราะมีชานยอลนั่งให้เปรียบเทียบกับเขาอยู่ตรงนี้นี่แหละ
ต่อมหงุดหงิดผ่อนลงเล็กน้อยเมื่อร่างสูงยอมปล่อยมือเล็กออกได้สักที แบคฮยอนเปิดฝาน้ำอัดลมออกแล้วดื่มไปเพียงนิดเดียว คนตัวเล็กผงะเล็กน้อยเมื่อจู่ ๆ ลู่หานก็แย่งน้ำอัดลมในมือเขาไปกระดกอึ่ก ๆ อย่างกับไปอดอยากปากแห้งมาจากไหน ชานยอลกับแบคฮยอนได้เพียงแค่มองการกระทำแปลก ๆ ของบุคคลที่สามโดยที่ไม่พูดอะไร
“เอ่อะ...”
“อี๋ น่าเกลียดอ่ะ” แบคฮยอนผลักไหล่ลู่หานจนเซเมื่อเจ้าตัวดันเรอออกมาซะเสียงดังหากแต่คนถูกกระทำกับทำหน้าทองไม่รู้ร้อน
“ถ้านายอยากดื่ม ในห้องเก็บเสบียงยังมีเหลืออยู่นะ” พอได้ยินเสียงชานยอลพูดเขาก็หันไปมองแบคฮยอนด้วยสีหน้ากวนประสาท
“ไม่อ่ะ อยากกินกระป๋องนี้” พูดทั้งที่สบตาอยู่กับคนตัวเล็ก แบคฮยอนมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ เกิดอะไรขึ้น ทำไมลู่หานแปลก ๆ แบบนี้
“ง่วงก็กลับไปนอนห้องตัวเองเลยไป” แบคฮยอนผลักใบหน้าลู่หานเบา ๆ
“ไล่จังนะ อยากอยู่กันสองคนมากเลยดิ” ตอนนี้ลู่หานไม่รู้จักคำว่าสติแล้ว ควบคุมอารมณ์คืออะไรไม่รู้จัก วินาทีนี้เขาสัมผัสได้แต่คำว่าหงุดหงิด โมโหเท่านั้น
“พูดบ้าอะไรของนาย”
แกร่ก...
“อ้าว ชานยอลก็อยู่ด้วยเหรอ?” ทุกคนหันไปมองผู้มาใหม่ที่เพิ่งหมุนลูกบิดประตูห้องเข้ามา “เห้ยแบคฮยอน สลับรูมเมทกันสักวันสองวันนะ เซฮุนมันยังไม่ดีขึ้นเลย” ทั้งชานยอลและแบคฮยอนหันไปมองลู่หานที่กำลังปั้นหน้ามึนตึงพร้อม ๆ กัน
“หมายถึงให้ลู่หานมานอนห้องผมน่ะเหรอ?” แบคฮยอนหันไปถามจงอินที่ยังคงยืนอยู่หน้าประตู
“ใช่ไง มึงยังไม่ได้บอกน้องเหรอวะ?” ร่างหนาผินหน้าไปถามคนที่ยังคงนั่งนิ่งจนผิดสังเกต “เดี๋ยวกูจะลงไปถอนรากถอนโคนเพื่อนเก่าที่ลานอเนกสักหน่อย อี้ฟานขอกำลังเสริมมา ถ้าจะตามไปก็หยิบคาตาน่าบวกสิบของมึงติดตัวมาด้วยนะ กูไปละ”
ร้อยวันพันปีจงอินไม่เคยพูดจากวนส้นตีนเขาได้ถึงเพียงนี้ ทั้งที่ปกติก็เล่นหยาบไปถึงโคตรเหง้า แต่พออยู่ในสถานการณ์อึดอัดในตอนนี้แล้วกลายเป็นว่าเพิ่มความหงุดหงิดให้เขามากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
ใช่ไง...เขากำลังพาล
“ลู่หาน” มือเล็กวางลงบนท่อนแขนคนข้าง ๆ หากแต่ร่างโปร่งกลับเบี่ยงแขนหลบแล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องโดยที่ไม่คิดจะหันกลับไปมองสองคนที่อยู่ในนั้น
“ลู่หาน!” แบคฮยอนวิ่งตามมาคว้าแขนร่างโปร่งเอาไว้ ลู่หานสะบัดออกในทันทีก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แววตาของลู่หานในตอนนี้ต่างไปจากทุกครั้งจนเขารู้สึกกลัว
“ทำไมไม่บอกฉันตั้งแต่แรกว่าต้องสลับห้องกับเซฮุน”
“...”
“นายโกรธฉันเหรอ”
“...”
“นี่”
“ถ้าเกิดนายคิดสักนิดนึงว่าถ้าโอเซฮุนต้องไปนอนที่ห้องนั้น...คนที่จะไม่มีเตียงนอนจะเป็นใคร? แล้วคนที่ต้องสลับไปนอนห้องของนายคือใคร?” สีหน้านิ่งเฉยที่มาพร้อมกับน้ำเสียงเย็นชา คนตัวเล็กยืนนิ่งขณะมองเข้าไปยังนัยน์ตาคู่นั้น
เขาไม่ทันคิดเรื่องนี้จริง ๆ ...
“นายโกรธฉันเพราะเรื่องแค่นี้เองเหรอ” ทั้งที่ห้องอื่นก็ว่าง ใช่ว่าชั้นนี้จะเหลือแค่สามห้องซะที่ไหน แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาจะเพิ่มความโกรธให้ลู่หานมากยิ่งขึ้น
“เรื่องแค่นี้งั้นเหรอ?”
“...”
“ใช่ไง เรื่องที่ฉันต้องย้ายไปนอนห้องเดียวกับนายมันเป็นเรื่องแค่นี้จริง ๆ นั่นแหละ” ลู่หานแค่นหัวเราะ ตอนนี้เขากำลังรู้สึกแย่ที่สุด ที่ดีใจไปตอนแรกก็บ้าบอไปคนเดียวทั้งนั้น
“ฉันขอโทษนะ เดี๋ยวฉันจะไปบอกชาน...”
“ไม่ต้อง!” แบคฮยอนสะดุ้งหลับตาปี๋ไปชั่ววินาทีเมื่อถูกตะคอกใส่หน้าก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองลู่หานที่เหมือนจะชะงักไปครู่หนึ่ง
“อยู่กับหมอนั่นไปเถอะ” น้ำเสียงลดลงจากประโยคก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด ลู่หานเอี้ยวตัวหันหลังแล้วเดินลงบันไดไปและทิ้งให้ใครอีกคนรู้สึกผิดอยู่ตรงนั้น...
“ลู่หาน...”
ชายหนุ่มเจ็ดคนยืนอยู่ริมรั้วในสภาพเตรียมพร้อมรบ จงอิน อี้ฟาน เทา และนักเรียนที่เคยผ่านการต่อสู้กับพวกผีดิบอีกสี่คนอาสาสมัครปีนข้ามไปฝั่งนั้นเพื่อเคลียร์พวกมันให้หมดสิ้น
ส่วนปาร์คกาฮีกับนักเรียนอีกสี่ห้าคนกำลังทำหน้าที่เรียกความสนใจให้พวกมันมาเกาะกันที่รั้วเหมือนอย่างเคยเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ชายเจ็ดคนได้ปีนรั้วข้ามไปลานอเนกประสงค์ได้สะดวกขึ้น
จงอินปีนข้ามไปคนแรกและอี้ฟานกับเทาก็ตามมาติด ๆ ร่างหนามองเพื่อนร่วมทีมพร้อมกับส่งสัญญาณเป็นเชิงบอกให้กระจายตัวกันออกไป เขาเลือกที่จะใช้มีดคู่ใจในขณะที่เด็กคนอื่น ๆ ใช้ขวาน ชะแลงและสปาต้าเป็นอาวุธ
พวกมันที่ยังเดินอยู่กลางสนามจะว่ามากก็มาก จะว่าน้อยก็น้อย อาจเป็นเพราะพื้นที่บนสนามดูกว้างขวางเลยง่ายต่อการกำจัดเพราะพวกมันไม่ได้เกาะตัวกันเป็นฝูงนอกจากกลุ่มที่อยู่ติดรั้ว
“จงอิน”
“หื้ม?”
เจ้าของชื่อหันไปมองตามเสียงเรียกแล้วก็เห็นอี้ฟานที่กำลังยืนมองใครอีกคนอยู่ พอหันหลังไปก็ต้องผงะเมื่อพบว่าลู่หานกำลังหลุดเดี่ยวเข้าไปฟันคอซอมบี้ขาดเรียงตัวอย่างไม่กลัวตาย ความบ้าบิ่นของร่างโปร่งทำให้ชายหนุ่มเจ็ดคนหยุดยืนอยู่กับที่แล้วหันไปสนใจกับคน ๆ เดียว
“มันเป็นเชี่ยไรวะน่ะ?”
“...”
“พี่เค้าปีนรั้วเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้อ่ะครับ”
“โหสัด มันไปเดือดมาจากไหนวะนั่น...เอ้า! ข้างหลังครับพี่ข้างหลัง!” จงอินตะโกนบอกร่างโปร่งที่กำลังบ้าได้ที่ ลู่หานหันไปตามคำบอกแล้วฟันร่างผีดิบจนร่างมันแหวกเป็นสองท่อน
“ไม่ได้ฆ่าตัวกินคนแค่วันเดียวแม่งเสี้ยนขนาดนั้นเลย” มีเวลายืนงงได้ไม่ถึงนาทีร่างหนาก็ต้องหันกลับไปแทงคอหอยผีดิบที่เข้ามาใกล้ตัวเขา
ทุกอย่างดำเนินผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็ได้จบสิ้น...ลู่หานเดินไปเหยียบอกผีดิบตัวสุดท้ายที่นอนพะงาบอยู่ก่อนจะแทงมีดดาบเข้าที่ปากจนทะลุถึงพื้นซีเมนต์ จงอินกับอี้ฟานได้เพียงแค่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น ลู่หานหันไปมองรอบข้าง...ตอนนี้อดีตนักเรียนที่เคยส่งเสียงร้องโหยหวนในสนามตายเรียบไม่มีเหลือด้วยฝีมือของพวกเขาทั้งแปดคน
“กลับกันเถอะ พรุ่งนี้เช้ามีงานช้างรออยู่” อี้ฟานพูดแล้วทุกคนก็เดินกลับมาที่ประตูรั้วโรงเรียน กาฮีไขกุญแจเปิดประตูออกหลังจากที่มันถูกปิดตายมาเป็นเดือน เธอยิ้มให้กับนักเรียนคนสนิทก่อนที่หวงจื่อเทาจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเจ็ดโมงผมจะเอารถมาขนพวกมันออกไปเผาข้างนอก ถ้าใครว่างก็มาเจอกันตรงนี้นะ” อี้ฟานยิ้มบาง ๆ ให้กับกลุ่มนักเรียนที่ยืนตั้งใจฟังเขาอยู่
“ครับ”
“เหนียวตัวชิบ ขอไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน มีอะไรไปเคาะประตูเรียกนะ” จงอินหันไปบอกอี้ฟานและก็ได้คำตอบเป็นการพยักหน้า
เหลือเพียงแค่ลู่หานเท่านั้นที่ยังคงบุกบั่นทำอะไรสักอย่างอยู่ในลานอเนกประสงค์ ดูเหมือนว่าเขากำลังลากศพที่ขวางประตูออกให้ไปกองอยู่ทางด้านข้างกับศพตัวอื่น ๆ โดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่าย ๆ แบคฮยอนยืนมองการกระทำของร่างโปร่งผ่านหน้าต่างด้วยความรู้สึกผิด
ไม่รู้ว่าทำไมลู่หานถึงได้โกรธขนาดนั้น หรือว่าเขามองข้ามอะไรบางอย่างไป...
เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคน ๆ หนึ่ง...
มันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับใครอีกคนก็ได้สินะ...
TBC
ตอนนี้จัดความหน่วงของสามเส้าไปก่อนนะคะ 555555555555
จริง ๆ เขียนไคฮุนปิดท้ายไป แต่ลบทิ้งเพราะรู้สึกว่าอิมเมจตัวละครหลุดไปเยอะ ต้องขอบคุณน้องโอ้มาก ๆ ที่ให้คำปรึกษา orz
#ficzombie
ความคิดเห็น