ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZOMBIES HARD CREEPER | KAIHUN CHANBAEK FT.EXO

    ลำดับตอนที่ #123 : Chapter 117 :: Pandora (Final Chapter) จบแล้วจ้า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 26.07K
      267
      7 ม.ค. 61


     

    CHAPTER 117

    PANDORA

     


     

    หลายครั้งที่โอเซฮุนรู้สึกว่ากลางคืนมันเนิ่นนานยิ่งกว่าตอนกลางวัน แต่ทุกครั้งก็เทียบกับครั้งนี้ไม่ได้ เด็กหนุ่มนั่งพิงกับต้นไม้กับความเจ็บปวดทางกายที่เกิดจากบาดแผลซึ่งคงนำพาความตายมาสู่เขาในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า อีกทั้งความเจ็บปวดทางใจที่มองเห็นด้วยตาระหว่างที่จงอิน อี้ฟาน และยูริกำลังช่วยกันขุดหลุมฝังศพให้เพื่อนของเขา

    เพื่อนที่จากไปโดยที่ไม่มีวันกลับมาอีก

    รู้สึกคอแห้งเหมือนข้างในมันแหลกละเอียดเป็นผงไปแล้ว หากแต่เซฮุนกลับไม่เรียกขอความช่วยเหลือจากใคร เด็กหนุ่มเพียงนั่งเฉย ๆ เพื่อมองกองดินที่เริ่มสูงขึ้นไปพร้อม ๆ หลุมศพที่เริ่มขยายกว้าง พลางคิดในใจไปว่าบางทีสามคนนั้นอาจจะต้องขุดกว้างกว่าเดิมอีกสักหน่อย เพราะเขาคง...

    คง...

    แค่คิดมือก็สั่น เซฮุนไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความกลัวหรือเชื้อที่กำลังกระจายไปทั่วร่างกายกันแน่ เขาเห็นว่าจงอินหันมาเป็นระยะ และดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเก็บไม่มิด ซึ่งเขาก็ได้แต่ฝืนยิ้มตอบกลับไปเพื่อให้ความสบายใจแก่คนรัก

    ร่างของหวงจื่อเทาถูกยกลงไปในหลุมอย่างเบามือ มันช่างเป็นภาพบาดใจจนต้องหลับตาลง และทันทีที่มองเห็นความมืด ความทรงจำเก่า ๆ ที่เคยมีร่วมกันก็ผุดขึ้นมาตอกย้ำให้คนที่ยังอยู่ต้องเจ็บปวด ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเสียจนโอเซฮุนไม่คิดว่าตัวเองจะตั้งหลักรับได้

    จงอินกำลังเดินกลับมาแล้ว เขายกมือขึ้นขยี้ตาแสร้งว่าง่วงเพื่อกลบเกลื่อนน้ำตาที่ไหลออกมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มตัวผอมเงยหน้าขึ้น เบิกตาให้กว้างกว่าเดิมหน่อยแม้ว่าเปลือกตามันจะหนักอึ้งเหมือนพร้อมจะปิดลงไปตลอดกาล

    ผู้ชายขวานผ่าซาก ปากร้าย แถมดูไม่เป็นมิตรในวันแรกที่พบกันกำลังเช็ดมือกับเสื้อตัวเองเพื่อทำความสะอาดหลังจากขุดดินเพื่อทาบหลังมือกับหน้าผากของเขา จงอินคงไม่อยากเสียเวลาไปกับการล้างมือ เพราะคนที่ถูกกัดแล้วอย่างโอเซฮุนจะจากไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

    หนาวไหม?

    นิดหน่อยครับ...

    ชายหนุ่มผิวแทนมองตาเขาราวกับจับสังเกต ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่ริมแม่น้ำพร้อมเอากระบอกแสตนเลสลงไปเติมแล้วกลับมาหาเขา จิบสักนิดนึงนะ

    แค่ถือกระบอกน้ำยังทำด้วยตัวเองไม่ได้ เซฮุนจับมืออุ่น ๆ ของอีกคนเอาไว้ระหว่างเงยหน้าขึ้นเพื่อรับน้ำดื่ม สายตาก็พลันเห็นแสงสว่างหม่น ๆ บนท้องฟ้าเพื่อบอกให้รู้ว่าการรอคอยของเขาใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว

    อดทนอีกนิดเซฮุน เดี๋ยวฮอล์ก็มาแล้ว จงอินเสยผมม้าที่ปรกใบหน้าซีดเผือดอย่างเบามือ เขารู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะสลายทุกครั้งที่เห็นเซฮุนพยายามเบิกตามองตอบและยิ้มอย่างเข้มแข็ง

    เหนื่อยไหมครับ...ชายหนุ่มผิวแทนส่ายหน้าก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ จงอินไม่ได้รั้งร่างเด็กคนนี้เข้ามากอดและจูบหน้าผากอย่างที่ใจคิด เพราะเขากลัวตัวเองจะเข้มแข็งต่อไปไม่ไหวจนเป็นฝ่ายแสดงความอ่อนแอออกมาเองกับคนในครอบครัว มันไม่เคยมีคำว่าเหนื่อยสำหรับฉัน

    เซฮุนยิ้มพลางทอดสายตาไปยังกองดินที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งปิดหลุมนั้นจนมิดในที่สุด ถ้าเทารู้ เขาคงดีใจนะครับ

    จงอินหันไปด้านหลัง จดจ้องความว่างเปล่าจากหลุมศพที่มองเห็นชัดเจนขึ้นเมื่อรุ่งเช้าใกล้มาถึง ไอ้เด็กเวรนั่นมันน่าโมโหจริง ๆ หวงจื่อเทาคงรู้ตัวอยู่แล้วถึงได้ปลีกตัวออกมาอยู่ตามลำพัง และจากไปโดยไม่ได้บอกลาใครทั้งนั้น การมีช่วงสุดท้ายของชีวิตที่โดดเดี่ยวมันดีนักหรือไงกัน?

    พอนึกย้อนไปตอนหัวค่ำก็รู้สึกผิดจับใจ คิมจงอินยังจำสีหน้าตอนไอ้เด็กบ้านั่นคะยั้นคะยอจะกลับบ้านให้ได้ แต่เขากลับคิดไปว่าหวงจื่อเทาแค่ไม่อยากอยู่ใกล้ทหารและพะวงถึงปาร์คกาฮีเท่านั้น

    ทั้งที่มันคือโอกาสสุดท้ายที่เทาจะได้ร่ำลาเธอ แต่เขากลับเป็นคนตัดโอกาสนั้นทิ้ง

    อี้ฟานเดินเดินหายไปก่อนจะกลับมาพร้อมดอกไม้ป่า ผู้ชายคนนั้นยืนมองหลุมศพราวกับกำลังบอกให้เด็กหนุ่มที่จากไปได้รับรู้ถึงความในใจมากมายที่ไม่เคยได้พูด ทั้งคำขอบคุณหรือขอโทษที่ควรจะมีโอกาสได้บอกสักครั้งในตอนยังอยู่ด้วยกัน แต่มันก็เท่านั้น สุดท้ายเขาก็ช้าเกินไปก้าวหนึ่งอยู่ดี

    ควอนยูริไม่ได้พยายามหลีกเลี่ยงความรู้สึกแบบที่เธอเกลียดมาตลอด แม้จะไม่ผูกพันกับหวงจื่อเทาเท่าคนอื่น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกวูบโหวงไปทั้งใจ ระหว่างที่เด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ ทั้งคู่แทบไม่ได้ญาติดีกันเลยด้วยซ้ำ แต่ในเวลาที่ต้องออกไปหาเสบียงข้างนอก หวงจื่อเทาก็เป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีคนหนึ่ง

    คุณกาฮีคงใจสลาย สายตาของเด็กหนุ่มตัวผอมเหม่อลอยอย่างคนหมดหวัง จงอินอยากบอกเหมือนกันว่าถ้าโอเซฮุนเป็นอะไรไป... คนที่จะใจสลายจนทนอยู่ไม่ได้ก็คือเขาคนนี้ เทาเป็นเหมือนลูกชายของเธอคนหนึ่ง

    มันก็เหมือนน้องชายแท้ ๆ ของฉันเหมือนกัน จงอินเสริม พลางมองมือตนเองที่ยังคงมีกลิ่นดินจากการบอกลาครั้งสุดท้าย

    ผมรู้ครับ เซฮุนยิ้มระโหย ถึงพวกคุณจะทะเลาะกันอยู่บ่อย ๆ แต่นั่นก็คือการแสดงความรักอย่างหนึ่ง

    ...

    ลู่หานก็ด้วย เขาทะเลาะกับเทาบ่อยที่สุดเลย เสียงหัวเราะนั้นช่างแห้งผาก จงอินไม่ได้ห้ามให้อีกฝ่ายอยู่เฉย ๆ เพื่อที่จะเก็บเรี่ยวแรงเอาไว้ เขาแค่ปล่อยให้เซฮุนพูดต่อไปเพื่อประคองสติ ดวงหน้าขาวดูไม่สู้ดีนัก มันทั้งซูบซีดและแทบไม่เหลือแม้แต่เลือดฝาด มิหนำซ้ำนัยน์ตายังแดงจนน่ากลัวเขาคงโกรธเทามากแน่ ๆ ที่ไปโดยไม่ยอมบอกก่อน

    แน่ล่ะ ไอ้เวรนั่นมันขี้โวยวายอยู่แล้วนี่นะ จงอินฝืนยิ้ม แม้ว่าในใจกำลังร้องไห้ออกมาอย่างหนักขณะเอื้อมมือไปเช็ดเลือดกำเดาให้คนข้าง ๆ เซฮุนยิ้มตอบ ยกหลังมือขึ้นถูจมูกอย่างลวกๆ จนเกิดรอยปื้นสีแดงบนใบหน้า

    เลือดอีกแล้ว...” เด็กหนุ่มหมุนมือเปื้อนเลือดของตนเองไปมา “ถ้าเป็นผมที่ไปโดยไม่บอก ลู่หาน คงจะ...”

    เซฮุน จงอินขัดเสียงเข้ม

    ...ครับ เจ้าของชื่อหันไปสบตากับคนรัก คราวนี้ทั้งคู่ต่างรู้สึกได้ถึงความพยายามของกันและกันเพื่อให้ความสบายใจต่ออีกฝ่าย “ขอโทษครับ”

    ทำเพื่อฉันอีกสักครั้งนะ แค่ครั้งเดียว

    ...

    รับปากฉันได้ไหม? ชายหนุ่มผิวแทนเสยผมให้คนข้าง ๆ ที่ไร้เรี่ยวแรงจนเซลงมาซบกับไหล่ตน จงอินไม่ได้ประคองให้เซฮุนกลับไปนั่งพิงต้นไม้อย่างในทีแรก แต่เขาเลือกขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายได้เอนพิงอย่างสบายตัวอย่าพูดแบบนี้อีก ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี

    เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบในทันที หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงได้เห็นรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าก่อนคำตอบรับด้วยน้ำเสียงมั่นใจ แต่ตอนนี้เซฮุนคงเหนื่อย หรือไม่ก็ลังเลว่าจะให้คำสัญญากับเขาดีหรือไม่ ถึงได้ใช้เวลากับการตัดสินใจนี้นานนัก

    ผมรับปากครับ

    ทำไมทุกอย่างถึงออกมาเป็นแบบนี้?

    ทุกคนกำลังจะรอดอยู่แล้ว... ทำไมพระเจ้าถึงเล่นตลกนัก ทั้งที่เพิ่งรู้ว่ามีความหวัง เจอทหารที่ไม่ได้กราดกระสุนใส่หรือกระชากลากดึงจับไปทดลอง ไหนจะฐานทัพบ้าบออะไรนั่น ทุกคนควรกลับไปที่บ้านเพื่อรับสามคนนั้น แล้วตรงไปหาแสงสว่างที่เริ่มฉายในความมืดมนบนโลกใบนี้ไม่ใช่หรือไง

    แล้วทำไม?

    ทำไมทุกอย่างถึงได้ตาลปัตรไปหมด เพราะชาตินี้คิมจงอินทำตัวแย่เกินไปอย่างนั้นเหรอเขาถึงได้ถูกพรากสิ่งสำคัญในชีวิตไปครั้งแล้วครั้งเล่า ครอบครัว การศึกษา เพื่อนฝูง หรือแม้แต่คนรักที่กำลังไอโขลกออกมาเป็นเลือดอยู่ตรงนี้

    คิมจงอินอาจไม่เคยศรัทธาต่อสิ่งใดมากไปกว่าตัวเอง แต่ว่านี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาภาวนาขอความหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    มือสีแทนรีบกดศีรษะของเซฮุนเข้าหาตัวเพื่อกำบังลมแรงจากเฮลิคอปเตอร์ที่กำลังลงจอด เสบียงอาหารถูกลำเลียงลงจากตัวเครื่องในเวลาไม่นาน จากนั้นแสงจากไฟฉายกระบอกหนึ่งก็ส่องมาทางเขา เป็นสัญญาณเรียกจากไกลๆ ว่าได้เวลาเดินทางสู่โซลแล้ว

    อี้ฟานเข้ามาช่วยประคองเซฮุนไปหาเหล่าทหารที่ยืนรอกันอยู่อีกทางหนึ่ง เมื่อเข้าไปใกล้ สองหนุ่มกลับยิ่งรู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นสายตาสิ้นหวังของคนอื่นๆ ที่มองมายังเด็กหนุ่มผู้ติดเชื้อเป็นตาเดียว ไม่มีใครคิดว่าเซฮุนจะรอดไปได้แม้จะผ่านพ้นมาถึงรุ่งสางแล้วก็ตาม แต่นั่นมันไม่สำคัญเลย ตราบใดที่เขายังอยู่ข้าง ๆ จงอินก็มั่นใจว่าเซฮุนจะต้องสู้จนถึงที่สุดอย่างแน่นอน

    ทหารนักบินถอนหายใจ ส่ายศีรษะให้จีชางอุคช้า ๆ ราวกับจะปฏิเสธคำขอร้องในครั้งนี้ “ถ้าเกิดเด็กนี่เปลี่ยนขึ้นมา ผมจะไว้ใจได้แค่ไหนว่าเขาจะกล้าฆ่าคนติดเชื้อจริง ๆ”

    ดูเหมือนฝั่งทหารกำลังมีปัญหา บางทีจีชางอุคอาจจะเจรจาไม่สำเร็จ และนั่นทำให้จงอินกับอี้ฟานใจเสียจนแทบทำอะไรไม่ถูก ยูริที่เดินตามมาทีหลังก็คล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง เพียงแต่ชางอุคขัดขึ้นมาเสียก่อน

    “ถ้าอย่างนั้นผมจะไปกับพวกเขาด้วย มีเรื่องสำคัญหลายอย่างที่ผมต้องแจ้งให้ศูนย์บัญชาการทราบ” นายทหารหนุ่มไม่ได้เหลือบมองมาทางนี้ด้วยซ้ำ หากน้ำเสียงหนักแน่นที่ยืนกรานจะให้เขากับเซฮุนไปโซลให้ได้นั้น จงอินซาบซึ้งใจเหลือเกิน

    ได้ยินอย่างนั้นนักบินก็ยอมพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ ชางอุคกวักมือเรียกให้ทั้งคู่ช่วยกันส่งตัวเซฮุนขึ้นไปนั่งบนเฮลิคอปเตอร์ จากนั้นจึงแจ้งข้อมูลสุดท้ายกับอี้ฟานก่อนไปอย่างสั้น ๆ เกี่ยวกับเรื่องค่ายช่วยเหลือผู้รอดชีวิตซึ่งปักหลักอยู่ใกล้ ๆ นี้

     

     

    *

     

     

    ยังไม่กลับกันอีกเหรอคะ?

    อืม ลู่หานขานตอบในลำคออย่างไม่สบอารมณ์นัก ขาที่พาดอยู่กับราวระเบียงหน้าบ้านกระดิกอย่างอยู่ไม่สุขขณะทอดสายตามองไปยังถนนหน้าบ้านที่ไร้ซึ่งการมาของเพื่อนร่วมทางหลังจากหายไปทั้งวันทั้งคืน เขาไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้ พวกนั้นจะเป็นตายร้ายดียังไง คนทางนี้ไม่มีวันรู้เลยจนกว่าจะมีใครสักคนกลับมาจริง ๆ

    คุณได้นอนบ้างหรือยัง?กาฮีนั่งลงบนเก้าอี้ที่ไม่ห่างจากอีกคนมากนัก และลู่หานก็เลือกพยักหน้าส่ง ๆ เป็นการตอบรับ

    หลายงีบแล้ว

    เอากาแฟไหม? มินซอกเปิดประตูหน้าบ้านออกมาถาม อย่างน้อยลู่หานก็ควรกินอะไรบ้าง เพราะเมื่อวานก็เลือกเก็บอาหารไว้กินพร้อมเพื่อนจนปล่อยให้ท้องว่างมาจนถึงตอนนี้ ที่นี่ยังพอมีกาแฟสำเร็จรูปเหลืออยู่ และถ้าหากลู่หานยังไม่คิดที่จะนอนพักผ่อน การดื่มตัวช่วยเข้าไปก็น่าจะดีกว่าไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย

    ไม่เป็นไร เราไปนอนต่อเถอะ ครูก็ด้วย เดี๋ยวถ้าพวกมันมาแล้วผมจะแหกปากให้ลั่นบ้านเลย ถ้าเรื่องหมาเฝ้ายามเขามั่นใจว่าถนัดกว่าสองคนนี้ ลู่หานไม่อยากให้แฟนกับครูของแฟนต้องมานั่งทนหาวทั้งที่ตอนนี้ดวงอาทิตย์เพิ่งจะขึ้นมาทักทายท้องฟ้า เพราะจากที่เดาเอาเอง หากคนพวกนั้นจะกลับมาคงเลือกเป็นช่วงสาย ๆ ซะมากกว่า

    ฉันนอนไม่หลับหรอกค่ะ

    ผมก็เหมือนกัน มินซอกเสริม ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ ครูสาว ลู่หานได้แต่มองคาดโทษเพื่อหวังว่าทั้งคู่จะเชื่อฟังบ้าง แต่ชายหนุ่มก็ได้เรียนรู้มาตลอดชีวิตแล้วว่าสองคนนี้ไม่มีใครเลยที่พร้อมจะทำตามในสิ่งที่เขาพูด จนสุดท้ายก็ต้องยอมให้นั่งรอไปด้วยกัน

    มันไม่ใช่ครั้งแรกที่คนในครอบครัวหายไปข้ามคืน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เคยชินกันได้ ไอ้จงอิน อี้ฟาน ไอ้เทา ควอนยูริมีฝีมือแค่ไหนเขารู้ แต่คนมันเป็นห่วงให้ทำยังไงก็ปลงตกไม่ได้ มนุษย์เหมือนกลับไปอยู่ยุคหินเพราะเทคโนโลยีตายไปแล้ว หากโทรศัพท์ยังใช้ได้ อะไร ๆ ก็คงดีกว่านี้เป็นไหน ๆ

    ทั้งสามจมอยู่กับความกังวลอีกเกือบชั่วโมง ไม่มีใครชวนคุยมากนัก อาจเพราะหนึ่ง ลู่หานไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะหัวร่อต่อกระซิกกับใคร ส่วนสอง กาฮีกับมินซอกไม่ใช่คนช่างจ้อ ดังนั้นแค่ไม่ต้องอยู่รอคนอื่น ๆ ตามลำพังก็นับว่าอุ่นใจมากแล้ว

    ลู่หานดีดตัวขึ้นเพราะได้ยินเสียงเครื่องยนต์จากไกล ๆ ยืนรอด้วยความกระสับกระส่ายอยู่ไม่นานนัก รถยนต์ฝุ่นเขรอะคันหนึ่งก็ค่อย ๆ เคลื่อนที่ช้างลงกระทั่งจอดสนิทอยู่หน้าบ้าน ขอสาบานตรงนี้เลยว่าจะกระโดดตบหัวใครก็ตามที่กล้าเปิดประตูลงจากรถเป็นคนแรก และลู่หานค่อนข้างมั่นใจว่าต้องเป็นไอ้จงอินหรือไม่ก็ไอ้เทาแน่ ๆ

    แต่ทุกอย่างก็ผิดคาด เมื่อคนแรกที่ก้าวเท้าลงมากลับเป็นอู๋อี้ฟาน

    ลู่หานเดินไปหยุดรออยู่ที่บันไดระเบียงหน้าบ้าน ความเป็นห่วงที่สุมอกมาตั้งแต่เมื่อวานกลายเป็นเรื่องน่าอึดอัดเมื่อไม่รู้จะแสดงมันออกไปยังไงให้ยังดูมีฟอร์มหล่อ ๆ อยู่ หายไปไหนกันมาวะ รู้เปล่าว่าหิว นี่ล่าเหี้ยมาได้ตัวนึงเลยนะ ตัวแม่งยาวเท่านี้ ถ้าเอาไปผัดเผ็ดหรือย่างกินกับน้ำจิ้มคงอร่อยเหาะยันชาติหน้าแน่ ๆ

    เสียงของลู่หานเป็นสิ่งเดียวที่ทุกคนได้ยิน มินซอกขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะก้าวลงบันไดตามหลังครูสาว น่าแปลกใจว่าคนที่ลงมาจากรถมีเพียงอี้ฟานกับยูริเท่านั้น เด็กหนุ่มเพ่งสายตามองลอดกรอบแว่น หากก็ไม่มีวี่แววของคนที่ยังนั่งอยู่ในรถแต่อย่างใด

    แล้วพวกไอ้จงอินล่ะ? ลู่หานออกปากไวกว่า ไม่วายเดินไปชะเง้อหน้ามองไปยังปากทางออกสู่ถนน แต่ก็มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น กำลังขับตามมาปะ?

    อี้ฟานหันไปสบตากับยูริ กาฮีคิดว่าท่าทางกระอักกระอ่วนของคนมาใหม่เป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก อี้ฟานดันไหล่ลู่หานให้เดินถอยหลังไปสองก้าว ก่อนจะปราดสายตามองทั้งสามคนจนครบแล้วว่า

    เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ

    ท่าทีของอี้ฟานกับยูริผิดปกติจริง ๆ สามคนทางนี้รู้ทั้งรู้แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกไป อี้ฟานนำเข้าไปในตัวบ้านแล้วจึงทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน สองมือประสานบนหน้าขาขณะรอคนที่เหลือนั่งตามลงมา ไม่เคยมีการเปิดบทสนทนาครั้งไหนยากเท่าครั้งนี้มาก่อน แต่การโกหกก็ไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม ลู่หาน กาฮี และมินซอกเองก็คงเข้าใจแล้วว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น อย่างนั้นเขาจะไม่อ้อมค้อมอีก

    เทาตายแล้ว

    อู๋อี้ฟานไม่อยากเสียเวลามากไปกว่านี้ เขาเตรียมคำพูดไว้มากมายตั้งแต่อยู่บนรถ แต่เอาเข้าจริงมันก็ยากที่จะพูดออกไปอยู่ดี ชายหนุ่มสบตากับครูสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กาฮีมองตอบมาแน่นิ่ง เธอคงกำลังช็อกจนไม่ทันตั้งสติถามว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่

    พูดบ้าไรวะอี้ฟาน? ลู่หานขมวดคิ้วพร้อมลุกขึ้นยืนสุดตัว สายตาจดจ้องอยู่กับหนึ่งในผู้นำที่ใคร ๆ ต่างก็ไว้เนื้อเชื่อใจ มันคงเป็นเรื่องตลกหน้าตายจนเกินไปถ้าหากว่าอู๋อี้ฟานคิดจะเล่นมุกบ้า ๆ นี่กับเขาหลังจากพร้อมใจกันหายหัวไปทั้งคืน แต่นี่ก็เป็นปฏิกิริยาเดียวที่ชายหนุ่มพอจะคิดได้ เผื่อมีใครสักคนหัวเราะเสียงดังแล้วผายมือไปทางหวงจื่อเทาที่เดินหน้าเป็นเข้ามาหลังจากนี้

    แต่ก็ไม่เลย นอกจากความเงียบงันและว่างเปล่าแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก

    คุณ... หมายความว่ายังไงคะ? กาฮีถามเสียงสั่น มือที่วางอยู่บนตักจิกลงหน้าขาคล้ายว่าเป็นสิ่งเดียวที่เรียกสติเธอได้

    เขาถูกกัดแต่ไม่มีใครรู้ มันอาจเกิดขึ้นตอนที่พวกเราเข้าไปหาเสบียงในโกดัง ควอนยูริช่วยแบ่งเบาความกดดันมาไว้ที่ตัวเอง จากสีหน้าของอู๋อี้ฟานในตอนนี้แล้ว เธออาจจะเป็นฝ่ายพูดทุกอย่างออกมาได้ง่ายกว่า

    แต่ว่าเทาเคยถูกกัดมาแล้ว...” ความหวังเล็ก ๆ ที่เหลืออยู่ของลู่หานพยายามต่อสู้อย่างหนัก แต่ก็ฝืนสู้ความโศกเศร้าที่แผ่ออกมาจากอี้ฟานไม่ไหว

    เขาเปลี่ยนและกัดเซฮุน ทั้งสามคนเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ไม่มีคำหยาบคายหรือแม้แต่การขอให้ช่วยขยายความหลุดออกจากปากลู่หานอีก

    เทาเคยรอดมาได้หนึ่งครั้งก็จริง แต่จากข้อมูลที่เราเคยได้มาเมื่อตอนนั้น ทางห้องทดลองยืนยันว่าไม่เคยมีคนที่ถูกกัดถึงสองครั้งแล้วจะไม่เปลี่ยนมาก่อน อี้ฟานประสานมือไว้กับหน้าขา ขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวลระหว่างที่ลู่หานลุกเดินวนไปวนมาพร้อมสบถอย่างหัวเสียไม่หยุด “เราใช้เซฮุนเป็นมาตรฐานของเรื่องนี้ไม่ได้”

    เวรเอ๊ย เป็นแบบนี้ไปได้ไงวะ!!”

    ลู่หาน มินซอกคว้าแขนอีกคนไว้พร้อมออกแรงบีบเบา ๆ เพื่อเรียกสติ แต่ก็หยุดคนเลือดร้อนที่จมอยู่กับความความกังวลมาตลอดทั้งคืนไม่ได้

    ไอ้จงอินล่ะ ไอ้จงอินทำยังไง แล้ว -- แล้วเซฮุนเป็นยังไงบ้าง เด็กนั่นน่ะ อี้ฟานมองเจ้าของคำพูดสลับกับครูสาวที่ยกมือขึ้นขยำคอเสื้อ สีหน้าของเธอยังคงตื่นตระหนก พร้อมปลายจมูกที่ขึ้นสีระเรื่อราวกับหายใจไม่ออก

    มันเริ่มจากเราไปเจอโกดังสินค้าที่มีพวกมันอยู่เต็มไปหมด เราพยายามหาทางเข้าไปจนได้ แต่ระหว่างนั้นประตูก็พัง เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายจนทหารเข้ามาช่วยยิงพวกมัน ฉันไม่แน่ใจว่าหวงจื่อเทาถูกกัดตรงนั้นหรือเปล่า แต่มันก็มีความเป็นไปได้สูง

    ทหารงั้นเหรอ?

    เรื่องมันยาวมาก ผมจะเล่าทุกอย่างให้พวกคุณฟังหลังจากที่เราขึ้นรถ

    “ขึ้นรถ?” จอมโวยวายเลิกคิ้ว “ไปไหน?”

    “ไปที่ค่าย”

    ค่าย? นี่อี้ฟาน นายบ้าไปแล้วใช่ไหม จำไม่ได้ไงวะว่าเราเคยผ่านอะไรมาบ้าง? ลู่หานเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม มองอีกคนอย่างไม่สบอารมณ์

    ทหารเหล่านั้นไม่เหมือนกับที่เราเคยเจอ เพราะถ้าใช่ พวกเขาก็คงไม่ยอมให้จงอินกับเซฮุนขึ้นฮอล์กลับไปรักษาที่โซลหรอกลู่หาน อี้ฟานอธิบายอย่างสงบ บางทีชายหนุ่มคงเหนื่อยล้าเกินกว่าจะเหลือเรี่ยวแรงต่อล้อต่อเถียงก็เป็นได้

    แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าพวกมันพากลับไปเพื่อรักษา บางทีอาจจะเป็นแผนเพื่อจับเด็กนั่นไปทดลองอีกก็ได้

    เซฮุนกำลังจะตาย!!!” คนแก่กว่าลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย เพื่อบอกให้รู้ว่าเขาเองก็แทบบ้าแล้วกับเรื่องที่พบเจอมาทั้งคืน เราไม่มีทางเลือก เขาจะรอดไปถึงโซลหรือเปล่าผมยังไม่รู้เลย!!!”

    ...

    สุดท้ายปาร์คกาฮีก็กักเก็บความเสียใจไว้ไม่ไหว หญิงสาวปล่อยโฮออกมาพร้อมซบหน้าลงกับฝ่ามือ ลูกศิษย์คนสนิทที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่วันแรกที่เกิดเรื่อง หนีตายมาด้วยกันจนผูกพันเหมือนลูกชายแท้ ๆ อีกทั้งเรื่องของโอเซฮุน และสถานการณ์ตอนนี้ที่ทำให้หัวใจของเธอเหมือนจะหยุดเต้นไปได้ง่าย ๆ

    มินซอกรั้งครูสาวเข้ามากอด เขาลูบหลังเธอเบา ๆ แม้ว่าตัวเองก็ยังตั้งหลักรับความจริงไม่ได้ เด็กหนุ่มยังคงช็อกและพยายามตั้งสติ วูบหนึ่งเขารู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง แต่เสียงสะอื้นที่ไม่ยอมเงียบหายก็ปลุกมินซอกให้ตื่นขึ้นจากความหวังอันน้อยนิดว่ามันจะเป็นเพียงแค่ฝัน

    เขาอยู่ไหน...

    ...

    ตอนนี้ลูกศิษย์ของฉันอยู่ที่ไหนคะ...

    กาฮีเงยหน้าขึ้นขอคำตอบจากอี้ฟาน เขาจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็คือตอนอึนจีจากไป ครูสาวสะอื้นอย่างหนักพร้อมคว้าข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้ บาดแผลในใจจากคราวนั้นยังไม่หายดี และการจากไปของศิษย์อีกคนในครั้งนี้ก็ตอกย้ำเสียจนปาร์คกาฮีทนเข้มแข็งไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

    อี้ฟานหลุบสายตาลง หายใจเข้าลึก ๆ กับความกังวลมากมายที่ประเดประดังเข้ามา ลู่หานไม่ได้พูดอะไรอีก ผู้ชายคนนั้นแค่ยืนหันหลังให้ราวกับว่าอยากสงบสติอารมณ์ด้วยตัวเอง ชายหนุ่มตัวสูงคว้าข้อมือกาฮีไว้ ประคองเธอให้ลุกขึ้นยืนพร้อมพยักหน้าบอกมินซอก ก่อนจะหันไปวางมือลงบนไหล่ลู่หาน

    ไปกันเถอะ ผมจะพาไปหาเขาเป็นครั้งสุดท้าย

     

     

     

    *

     

     

     

    โอเซฮุนยังคงหลับได้แม้ว่าเสียงเครื่องยนต์และใบพัดฮอลิคอปเตอร์จะดังกรอกหูอยู่ตลอดเวลา จงอินอยากปลุกอีกฝ่ายให้ลืมตาไว้อยู่ตลอด แต่อีกใจเขาก็กลัวเด็กคนนี้จะเหนื่อยจนกลายเป็นว่าลดเวลาที่มีอยู่ให้น้อยลงไปกว่าเดิม

    ชายหนุ่มผิวแทนเกลี่ยปอยผมออกจากดวงหน้าขาวซีดอย่างทะนุถนอม จ้องมองหัวใจตัวเองที่นอนอยู่บนตักอยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะหายไปจากชีวิตตน ใบหน้าคมเงยขึ้น เอนศีรษะพิงกับผนังด้านหลังก่อนจะมองไปยังเบื้องหน้าซึ่งถูกกั้นเอาไว้

    โชคดีที่คนขับฮอล์ยอมให้มาด้วยทั้งที่มีความเสี่ยงอยู่ทุกทาง เขาติดหนี้จีชางอุคแล้ว ถ้าหมอนั่นไม่ช่วยพูดและอาสามาด้วยเพื่อควบคุมความปลอดภัยให้นักบิน โอเซฮุนอาจจะรอดมาไม่ถึงตอนนี้ก็ได้

    เพิ่งผ่านไปแค่สี่สิบห้านาที เพราะเดินทางด้วยฮอลิคอปเตอร์ซึ่งบินขึ้นสูงเท่าเครื่องบินไม่ได้ ดังนั้นการไปโซลจึงเป็นการเดินทางที่ยาวนาน ชายหนุ่มผิวแทนแทบรอไม่ไหวแต่ปากกลับบอกให้อีกคนแข็งใจไว้ หัวใจคิมจงอินเต้นผะแผ่ว มือของเซฮุนไม่อุ่นเหมือนเก่าแล้ว เขากลัวเหลือเกิน

    แค่ก ๆ ชายหนุ่มหลุดออกจากความคิดแล้วรีบมองหาขวดน้ำ ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นว่าจีชางอุคยื่นมาให้ เขารับมาถือไว้พร้อมพยักหน้าเป็นการขอบคุณ ก่อนจะประคองร่างไร้เรี่ยวแรงของเซฮุนขึ้นพิงกับแผงอกตนเพื่อป้อนน้ำให้ดื่ม

    จีชางอุคยังคงเป็นกังวลกับอาการโอเซฮุน  แต่ทหารหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินไปหานักบินเพื่อปล่อยให้ทั้งคู่ได้มีเวลาส่วนตัวกันสักหน่อย หลังจากไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมคิมจงอินถึงยอมเอาตัวออกมาปกป้องเด็กคนนี้นัก และจีชางอุคก็ได้คำตอบจากปากอีกฝ่ายแล้วว่าเพราะอะไร

    ถ้าไม่ใช่พี่น้อง แล้วคุณสองคนเป็นอะไรกัน?

    เป็นความสัมพันธ์ในแบบที่คุณคงไม่อยากเข้าใจ

    ...

    ผมขาดเซฮุนไม่ได้ รู้แค่นี้ก็พอ

    หนักไหมครับ... ทั้งคู่สบตากันก่อนจงอินจะยิ้มบาง ๆ หลังจากเห็นว่าดวงตาของเด็กคนนี้ยังไม่เปลี่ยนไปเป็นต้อขาวเหมือนอย่างที่กังวล ทว่าใบหน้าเซฮุนซีดเผือด ซ้ำอุณหภูมิร่างกายก็ลดลงต่ำเข้าไปทุกที

    พูดแบบนี้อีกแล้ว

    ครับ... ผมพูดไปแล้วเหรอ...? เสียงของใบพัดฮอล์แทบกลบเสียงเซฮุน จงอินพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะเทน้ำใส่ฝ่ามือตัวเองเล็กน้อยพร้อมซับตามแก้มและซอกคอให้อีกฝ่ายรู้สึกสดชื่นขึ้น

    คราวนั้นนายพูดตอนอยู่บนหลังฉัน สภาพไม่ได้ต่างจากตอนนี้เลย

    ...ตอนนั้น แววตาของเซฮุนเลื่อนลอย กะพริบอย่างเชื่องช้าระหว่างให้สมองที่ใกล้จะหยุดทำงานได้ครุ่นคิดตามที่จงอินพูดและเขาก็อมยิ้มแต่ตอนนั้นคงหนักมากกว่าใช่ไหมครับ...

    ใช่ จงอินยิ้มพร้อมกุมมืออีกคนไว้ นั่นหมายความว่าต่อให้นายจะตัวหนักแค่ไหนฉันก็อุ้มไหว ถ้ามันแลกกับการมีวันพรุ่งนี้

    แววตาของเซฮุนนั้นเศร้าหมองราวกับคนไม่หลงเหลือความหวัง ทั้งสองต่างเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างนั้นคิมจงอินก็อยากเป็นคนบ้าที่สู้กับดวงชะตาอีกสักครั้ง อาการเซฮุนทรุดลงเรื่อย ๆ เขาอยากขอบคุณเด็กคนนี้ที่มีความพยายามแม้ว่าร่างกายแทบจะทนไม่ไหวแล้ว

    ฟังแล้วอบอุ่นจังครับ...

    ...

    ผมอยากได้ยินเสียงคุณแบบนี้ทุกวันเลย มือที่แทบไม่หลงเหลือความอุ่นกำลังกุมมืออีกฝ่าย มันเป็นเรี่ยวแรงทั้งหมดที่โอเซฮุนพยายามยื้อความรักไว้กับตัวเองก่อนวินาทีสุดท้ายจะมาถึง นึกย้อนไปถึงครั้งแรกที่ถูกจับขังในกรงจนมีคนไปช่วย แม้จะถูกกัดแต่ก็รอดมาเจอเช้าวันใหม่ได้

    ตอนนั้นยังไม่เข้าใจคำว่าความหวังเลยด้วยซ้ำ คิดแค่ว่าการมีชีวิตอยู่ต่อก็คือการไม่ตายเท่านั้น กระทั่งเหตุการณ์ไฟไหม้บ้านอี้ฟาน... เขายังจำความรู้สึกตอนสำลักควันได้ การพยายามหายใจอย่างลำบากจนคิดว่าคงไม่รอด แต่จงอินก็เข้ามาช่วยได้ทันเวลา

    ผ่านจากความร้อนของเปลวไฟก็เปลี่ยนเป็นสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก คืนนั้นโอเซฮุนเป็นหนึ่งในทีมที่ต้องฝ่าเข้าไปในโรงเรียนซึ่งมีแต่พวกกินคนอยู่เต็มไปหมด เขาถูกกัดซ้ำอีกครั้ง คราวนั้นคิดแล้วว่าพระเจ้าคงไม่ให้โอกาสที่สองสำหรับเด็กอย่างเขาอีก

    เซฮุนเลือกไม่กลับหอทั้งสภาพอย่างนั้นเพราะกลัวจะเปลี่ยนกลางคันจนกัดคนอื่น การตกตึกตายอาจจะเจ็บแค่วินาทีแรก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดีสำหรับคนที่ไม่อยากตายจริง ๆ เขายังจำความหนาวเหน็บจากเสื้อผ้าที่เปียกปอนได้ จำเสียงโหยหวนของตัวกินคนซึ่งดังกึกก้องแข่งกับฝน แม้แต่ความเจ็บปวดตอนถูกฟันคมฝังลงบนผิวหนัง

    อย่า... แม้แต่จะคิด

    และเสียงทุ้มต่ำของใครอีกคนที่รวบกอดเขาจากด้านหลัง

    ในวินาทีนั้น... มันช่างเป็นความหนาวเหน็บที่อบอุ่นไปทั้งหัวใจ

     

    ร้องไห้อีกแล้ว

    ผมมีความสุขน่ะครับ... แค่กะพริบตาหยดน้ำใสก็ไหลออกมา เซฮุนคว้ามืออีกคนมาทาบกับแก้มตนเอง ซึมซับเอาความอบอุ่นซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเขาเอาไว้ได้ผมรู้สึกว่าหัวใจมันเต้นช้าลง แต่พอนึกถึงคุณมันก็กลับมาเต้นแรงอีกครั้ง... ผมรู้สึกได้เลยครับ

    เข้าใจพูด จงอินใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยน้ำตาให้คนบนตัก เมื่อกี้เผลอใจเต้นแรงเลย

    ผมปากหวานใช่ไหมล่ะครับ... ชายหนุ่มผิวแทนขบกรามสกัดกลั้นอารมณ์ก่อนจะฝืนยิ้มออกมาอีกครั้ง ผมอยากทำให้คุณเขินบ้าง แต่พอทำทีไรกลับกลายเป็นผมเองที่เขิน... น่าอายจังครับ

    ทำบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ชินเองนั่นแหละน่า

    ต้องบ่อยแค่ไหนกันนะ... คุณน่ะ... เอาชนะยากจะตายไปครับ...

    ซื่อบื้อ เขาบีบจมูกรั้นที่ขึ้นสีระเรื่อ นายชนะตั้งแต่ได้ใจฉันไปแล้ว ไม่รู้หรือไง?

    ...

    ฉันชอบเวลานายเขิน รู้ไหม? ชอบมากจนอยากเห็นทุกวัน จงอินยังคงพยายามชวนคุยเพื่อเรียกสติเซฮุน และให้ตนเองลืมว่าเวลามันเดินช้ามากแค่ไหน

    จงอินครับ

    หืม?

    ผมคิดไม่ออกเลยว่าอีกโลกที่ไม่มีคุณอยู่มันจะเป็นยังไง เขาก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าโลกที่ไม่มีเซฮุนจะเป็นยังไง ฝั่งนั้นจะเหงาแค่ไหน... ถ้าไม่มีคุณ

    จะคิดทำไมในเมื่อฉันอยู่ตรงนี้แล้ว จงอินกุมมือไร้ความอุ่นของอีกคนขึ้นมาจูบเบา ๆ ขณะสบตากันนายรับปากกับฉันแล้วว่าจะไม่พูดแบบนี้อีก นายจะผิดสัญญาไม่ได้นะโอเซฮุน

    ผมต้องพูดแล้วครับจงอิน

    ...

    ให้ผมพูดนะครับ... ให้ผมพูดตอนที่ยังมีเวลาอยู่ เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่ามัน กำลังแล่นไปทั่วร่างกาย เขาใกล้จะสูญเสียความเป็นตัวเองเข้าไปทุกทีแล้ว แม้อยากเชื่อทุกอย่างที่จงอินพูดแค่ไหน แต่ก็กลัวเหลือเกินว่าจะสายเกินไปจนไม่สามารถสั่งเสียอะไรได้อีก

    ไว้ค่อยพูดตอนหายดีแล้วก็ได้ ฉันพร้อมจะนั่งฟังนายพูดทั้งวัน... เสียงจงอินอ่อนลงพร้อมสีหน้าในแบบที่เด็กหนุ่มไม่อยากเห็น เขาไม่อยากให้จงอินเจ็บ ไม่อยากให้จงอินต้องเสียใจ ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว

    ได้เดินกับคุณมาไกลถึงขนาดนี้ผมก็มีความสุขมากแล้ว... จริง ๆ นะครับ ใบหน้าซีดเผือดยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอื้อมมืออันสั่นเทาขึ้นโอบใบหน้าซึ่งเปื้อนไปด้วยน้ำตาของอีกคน จงอินครับ...

    อืม ชายหนุ่มผิวแทนกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มพลางหันไปปาดน้ำตาด้วยหลังมืออย่างลวก ๆ จงอินแทบไม่เคยร้องไห้ และทุกครั้งที่เกิดขึ้นก็ทำเอาเขาปวดใจจนพูดอะไรไม่ออก

    คุณ... ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปจนกว่าความหวังจะมาถึงนะ

    ตลอดชีวิตคิมจงอินนับได้เลยว่าเขาเสียน้ำตาไปกี่ครั้ง เขาเคยเก็บอาการได้ดีกว่านี้ แต่ภาพตรงหน้าก็บีบหัวใจเสียจนอยากร้องไห้ออกมาดัง ๆ ให้เท่ากับความเสียใจที่เป็นอยู่ คิมจงอินอ่อนแอลงในขณะที่โอเซฮุนพยายามเข้มแข็งเพื่อเขาได้ยังไงกัน?

    ใช้ชีวิตอยู่เพื่อรอความหวังเหรอ? ชายหนุ่มผิวแทนลูบแก้มอีกคนอย่างเบามือ ทะนุถนอมความรักที่ยังมีชีวิตอยู่ราวกับกลัวว่าจะแตกสลายในพริบตา โอเซฮุนคือสิ่งล้ำค่าเพียงสิ่งเดียวที่เขามีอยู่ และแน่นอนว่าคิมจงอินจะทำทุกวิถีทางเพื่อยื้อเด็กคนนี้เอาไว้ให้ได้...ใครจะไปทำได้ถ้าไม่มีนาย

    ...

    ฉันรักนาย ได้ยินไหมเซฮุน เขาเว้นจังหวะไปชั่วอึดใจขณะสบตากับเด็กคนนี้ฉันจะพูดกรอกหูทุกวัน ต่อให้นายรำคาญฉันก็จะพูดต่อไป เพราะงั้นนายต้องอยู่ฟัง เข้าใจหรือเปล่า?

    จงอิน...

    ยังจำกฎเหล็กข้อแรกได้ไหม? หลังจากได้ยินคำถาม เซฮุนก็พยักหน้า

    กฎเหล็กข้อแรกคือห้ามตาย

    ฉันทำมันมาตลอด คราวนี้มันถึงตานายที่ต้องเคารพกฎแล้ว ทั้งคู่สบตากัน ก่อนหน้าอกข้างซ้ายของคิมจงอินจะวูบไหวอีกครั้งเมื่อเห็นเลือดกำเดาไหลออกมาจากจมูกอีกฝ่าย เขาจึงรีบใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือเช็ดมันให้อย่างไม่รังเกียจ

    สุดท้ายการพยายามเข้มแข็งของเซฮุนก็พังไม่เป็นท่า เด็กคนนี้ร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้นพร้อมใช้เรี่ยวแรงอันน้อยนิดยันตัวเองลุกขึ้นแล้วโถมกอดเขา

    ผมกลัวครับ... กลัวว่าจะไม่ได้เจอคุณอีก... กลัวจะตื่นขึ้นมาเป็นอีกคน... กลัวว่าจะเป็นคนกัดคุณ... ผม... ผมไม่อยากทำอย่างนั้น...

    มันจะไม่มีทางเป็นแบบนั้น น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ชายหนุ่มผิวแทนกระชับกอดอีกคนเอาไว้พร้อมลูบศีรษะปลอบใจ

    เลือด... มันไหลไม่หยุดเลย...

    อีกนิดเดียวเซฮุน อีกแค่นิดเดียว

    อัตราการเต้นของหัวใจเร็วแรงขึ้นเมื่อฮอล์บินลงต่ำ ชางอุคเดินกลับเข้ามาพร้อมพยักหน้าเพื่อส่งสัญญาณให้เขารู้ว่าทั้งหมดได้เข้าใกล้ความหวังเต็มทีแล้ว ชายหนุ่มผิวแทนดันตัวคนเจ็บออกจากอ้อมกอด ตบแก้มเรียกสติเบา ๆ พร้อมกระซิบบอกให้ได้ยินกันสองคนว่าเรามาถึงแล้ว

    เซฮุน เซฮุน

    ...

    เฮ้ อย่าหลับสิ นายนอนมาตลอดทั้งทางแล้วนะ

    ...

    เรามาถึงแล้ว หลังจากนี้ไปนายจะนอนทั้งวันฉันก็ไม่ว่า อดทนอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น -- เซฮุน?”

    ไม่มีเสียงตอบรับ เปลือกตาของเซฮุนปิดสนิทพร้อม ๆ กับลมหายใจที่แผ่วเบาเสียจนแทบไม่รู้สึกถึง จงอินเบิกตาโพลง ก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในลำคอถูกกลืนลงอย่างยากลำบาก เบ้าตาร้อนผะผ่าว เห็นทุกอย่างพร่าเลือนขึ้นในชั่วพริบตา

    “เรียกหมอที!!!” ชายหนุ่มตะโกนลั่น ชางอุคเปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมวิทยุสั่งการ แรงสั่นสะเทือนเกิดขึ้นเมื่อเฮลิคอปเตอร์ลงจอดถึงพื้น จงอินพยายามอุ้มเซฮุนขึ้นด้วยตัวเองก่อนจะเห็นเตียงคนไข้ถูกเข็นมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ มีทหารและเจ้าหน้าที่ในชุดปลอดเชื้อมารอรับประมาณหกนาย จงอินค่อย ๆ ส่งเซฮุนให้คนแปลกหน้าเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

    ร่างของเด็กหนุ่มตัวผอมถูกแย่งไปจากอ้อมกอด หัวใจแทบแหลกสลายตอนเห็นว่าอีกฝ่ายถูกรัดข้อมือ ข้อเท้า และช่วงตัวด้วยสายหนังทันทีที่ถูกวางลงบนเตียง ล้อวิ่งเสียดสีกับพื้นซีเมนต์ช่างน่ากลัวแต่ก็เต็มไปด้วยความหวัง จงอินรีบวิ่งตามประกบข้างพร้อมกุมมือเซฮุนไว้เพื่อบอกให้รู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้ แม้ว่าอีกฝ่ายคล้ายจะไม่รับรู้ถึงสิ่งใดแล้วก็ตาม

    เซฮุน เซฮุน เขาพยายามเรียกสติอีกคนอยู่ทุกขณะ ชายหนุ่มผิวแทนไม่รู้ว่าอีกไกลแค่ไหนกว่าเตียงคนไข้จะถูกเข็นไปถึง ทุกวินาทียังคงขึ้นอยู่กับความเสี่ยง ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้เลยว่าเด็กคนนี้จะรอดไปจนถึงมือหมอหรือนักวิจัยได้

    อาคารสีขาวสูงห้าชั้นตั้งตระหง่าน รอบข้างมีการป้องกันแน่นหนา ทหารติดอาวุธไม่ต่ำกว่าแปดนายทำหน้าที่เฝ้าระวังในแต่ละจุดรอบตึก

    เตียงถูกเข็นเข้าไปในอาคารโดยที่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ตามไปด้วย มีเพียงเจ้าหน้าที่ในชุดปลอดเชื้อเท่านั้นที่เข็นเตียงคนไข้เข้าลิฟต์ตัวใหญ่ เขาจดจำภาพทุกอย่างเอาไว้ภายใต้ความเป็นจริงที่ว่านี่อาจเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย

    และทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดสนิท... จงอินรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงของเขาหายไปหมดสิ้น

    เราเข้าไปไม่ได้

    เสียงทุ้มของจีชางอุคพูดออกเมื่ออีกฝ่ายเดินตามมาสมทบทางด้านหลัง ประตูอาคารค่อย ๆ ถูกปิดลงแล้ว ปิดไปพร้อมกับแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของคิมจงอินที่ริบหรี่ลงทุกที

     

     

    *

     

     

    ถ้าเลือกที่จะรอ คุณก็ต้องกินอะไรบ้าง

    แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของคำพูด ก่อนอีกฝ่ายจะหยัดตัวนั่งลงบนขั้นบันไดข้าง ๆ  ท่ามกลางความว่างเปล่าในวัดอย่างเช่นเมื่อวาน วันนี้มีเพียงเขากับซีวอนเท่านั้นที่ออกมารอชานยอล ส่วนอี้ชิงกับจงแดอยู่ดูแลคยองซูที่บ้านพัก ไม่มีความจำเป็นทุกคนจะต้องมาที่นี่ทุกวันเหมือนที่เขาร้องขอ ยิ่งมีการเดินทางมาก ทรัพยากรที่มีก็มีแต่จะยิ่งน้อยลง และนั่นหมายถึงความเสี่ยงซึ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย

    คนตัวเล็กรับช็อกโกแลตแท่งมาแกะกินอย่างไม่อิดออด แบคฮยอนไม่อยากเป็นเด็กงี่เง่าจนทำให้คนอายุมากกว่าอย่างซีวอนหงุดหงิดรำคาญใจ เพราะการที่เขารั้นจะออกมาก็เดือดร้อนคนอื่นมากพอแล้ว

    ซูโฮชอบช็อกโกแลตมาก

    ครับ ผมจะกินมันให้หมด เขาตอบ ถึงจะคิดว่าคนอื่นคงไม่พอใจกับการตัดสินใจนี้ แต่ก็จงใจมองข้ามจนกว่าจะมีใครพูดออกมาเป็นครั้งที่สอง

    ดี แต่มันก็ไม่เป็นแบบนั้น ซีวอนแค่พอใจที่เขาไม่ทำตัวดื้อด้านจนทรมานตัวเอง

    อีกฝ่ายจะอาสาออกมาเป็นเพื่อนแบคฮยอนทุกวัน ๆ นี่ก็ปาเข้าไปสามวันแล้ว ยังไม่มีวี่แววของคนที่หายตัวไปแม้แต่เงา

    แบคฮยอนเอนหัวพิงกับเสาวงกลมพลางกัดช็อกโกแลต เคี้ยวแล้วกลืนลงคอเพื่อประทังชีวิต เขายังคงรออย่างมีความหวัง แม้ว่าอีกใจจะตะโกนบอกอยู่ทุกวินาทีว่าคงมีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นกับชานยอล และการรอครั้งนี้อาจสูญเปล่า เมื่อวานเขาและซีวอนตัดสินใจกลับไปวนเวียนแถวรอบนอกของที่เกิดเหตุอีกครั้ง ถึงแม้จะต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่ให้ถูกกลุ่มโนอาห์จับได้อีกก็ตาม อย่างน้อยขอแค่ได้เบาะแสว่าชานยอลยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็เพียงพอแล้ว

    ถึงคุณจะมีเรื่องที่อยากเชื่อต่างจากผม แต่ก็ขอบคุณที่ออกมาด้วยกันนะ

    ก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่ ซีวอนถอนหายใจ พลางยันสองมือไว้ด้านหลังขณะแหงนมองท้องฟ้า แต่คุณรู้ใช่ไหมว่าถ้าเราทำแบบนี้ทุกวัน ปัญหาเรื่องน้ำมันจะตามมา

    อื้อ ผมรู้ แบคฮยอนชันเข่าขึ้นพลางเกยคางลงไปอย่างคนหมดอาลัยตายอยากพรุ่งนี้ผมจะปั่นจักรยานมา

    จักรยาน?

    ครับ คุณไม่ต้องออกมากับผมแล้ว

    ให้ตายสิแบคฮยอน” หนุ่มวัยกลางคนขมวดคิ้ว “ระยะทางจากบ้านมาวัดไม่ใช่ใกล้ ๆ อีกอย่าง ชานยอลเองก็รู้ดีว่าต้องไปหาเราที่ไหน”

    มีคนรออยู่สองฝั่งมันคงดีกว่าไม่ใช่เหรอครับ ถ้าชานยอลบาดเจ็บตอนมาถึงที่นี่แต่ไม่เจอใครคงแย่แน่ ๆ แต่ถ้าเขาเลือกที่จะกลับบ้านก่อน อย่างน้อยก็ได้เจอพวกคุณทุกคน แบคฮยอนเถียงหัวชนฝา จริงอยู่ว่าเขารู้สึกผิด แต่การถูกโกรธก็ยังดีกว่าตัดใจปล่อยให้ชานยอลหายไปจากชีวิตเป็นไหน ๆ

    เป็นเด็กหัวดื้อแบบนี้แต่ไหนแต่ไรเลยหรือเปล่าหื้อ? ซีวอนยีผมคนข้าง ๆ อย่างอ่อนใจ เมื่อคืนนอนไปกี่ชั่วโมง

    น่าจะสอง...

    ให้มันนานกว่านั้นหน่อย อย่าทรมานตัวเองไปด้วย ต่อให้คุณนอนน้อย กินข้าวไม่ได้ ชานยอลก็ไม่กลับมาทันทีหรอก ซีวอนกล่าวตักเตือนคุณจะห่วงใครก็ได้ แต่ก่อนอื่นก็ต้องหัดเป็นห่วงตัวเองก่อน เข้าใจที่ผมพูดหรือเปล่า?

    เข้าใจครับ

    อย่าทำให้พวกเราต้องเป็นห่วงคุณไปอีกคน การที่คนอื่น ๆ ไม่ได้พยายามออกตามหาชานยอลทุกวัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ห่วงเขา คุณโตแล้ว ต้องจัดการความรู้สึกตัวเองให้ได้

    ครับ ผมจะพยายามทำตามที่คุณบอก

    ดี ซีวอนตบบ่าอีกฝ่ายปุ ๆ พลางถอนหายใจ

    ขอโทษที่ทำให้กังวลนะ ผมเป็นห่วงเขาจนไม่มีใจจะทำอะไร คือ... นี่มันต่างไปจากทุกครั้ง ถึงชานยอลจะเคยหนีไปอยู่ตามลำพังหรือมีเหตุการณ์ที่เสี่ยงว่าเขาจะเป็นอะไรไป แต่มันก็ไม่เหมือนกับตอนนี้แบคฮยอนอยากพูดว่าเพราะชานยอลเปลี่ยนไปแล้ว ผู้ชายคนนั้นให้คำมั่นกับเขาว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น ดังนั้นชานยอลจะไม่มีทางทิ้งทุกคนไปอย่างไร้เหตุผลแน่นอน

    อาจเป็นเพราะคุณเชื่อใจเขา

    อือ คุณพูดถูก เด็กหนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งแม้แต่ตอนที่ผมเคยคิดว่าเกลียดเขา ไม่อยากเจอ อยากให้หายไปจากชีวิต ลึก ๆ ผมก็ยังเชื่อใจเขาอยู่ดี

    คุณอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่แรก ไม่แปลกที่จะรู้สึกผูกพันต่อกัน แม้แต่ผมที่มาทีหลังก็ยังนั่งไม่ติดเก้าอี้เลย

    เรามากันไกลมาก ไกลจนผมแทบลืมไปแล้วว่าชานยอลเคยเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน แม้แต่ตอนที่พวกกินคนมากองกันอยู่ใกล้ ๆ อุทยาน ตอนนั้นผมยังคงปักใจเชื่อว่าที่เขาพาผมขับฝ่าไปเพราะคิดจะหนี

    อะไรที่ทำให้คุณคิดอย่างนั้น?

    เพราะเขาไม่พูดอะไรเลย ผู้ชายคนนั้นชอบปล่อยให้คนอื่นเข้าใจไปตามที่อยากคิด ผมเกลียดชานยอลที่เป็นอย่างนั้น”

    อย่างกับนี่คือการสารภาพผิดเลย ถ้าเทียบกันแล้ว เขาก็เป็นเพียงเด็กผู้ชายที่เชื่อคนคนนั้นอย่างสุดหัวใจมาตั้งแต่แรก มันอาจถูกทำลายลงในช่วงหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วแบคฮยอนก็ไม่เคยหนีปาร์คชานยอลไปไหนได้ไกลเลย

    “แต่พอรู้ตัวอีกที... ผมก็ได้รู้ว่าความจริงแล้วผมรักเขาในแบบที่เขาเป็น

     

     

    *

     

     

    ผ่านไปสามวันแล้ว

    มีคนเข้าออกศูนย์วิจัยไม่เกินสิบครั้งต่อวัน ในจำนวนนั้นส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ภายในและทหารที่น่าจะมียศใหญ่ ๆ คิมจงอินยังคงเดินวนเวียนอยู่หน้าอาคารและไม่ยอมไปไหนไกล เขาทำแค่สอดส่องสายตาสำรวจไปมารอบ ๆ แต่แค่นั้นก็ทำให้พอรู้จักที่นี่มากขึ้นในระดับหนึ่ง

    นี่คือค่ายประจำการของกองพันทหารราบกองหนึ่งในโซล มีเนื้อที่สิบเอ็ดไร่ตั้งอยู่ชานเมือง เอื้อด้วยกำแพงสูงใหญ่ที่ปิดกั้นพื้นที่อย่างแน่นหนาจึงทำให้คนในนี้รอดชีวิตในเหตุวุ่นวายเมื่อหนึ่งปีก่อน แรกเริ่มเดิมทีค่ายแห่งนี้ไม่ได้ทำเปิดเป็นสถานอพยพเพราะมีทหารเกณฑ์ประจำการอยู่จำนวนมาก แต่ก็แลกมาด้วยระบบระเบียบที่ถูกสร้างขึ้นได้สำเร็จ พวกเขาไล่เก็บกวาดตัวกินคนในพื้นที่เสี่ยงและช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากค่ายอพยพอื่น ๆ ในโซลซึ่งเหลือน้อยเต็มที ที่นี่จึงมีการคัดกรองคนเข้าออกอย่างเข้มงวดเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีความเสี่ยงใด ๆ เกิดขึ้นเหมือนอย่างการล้มเหลวของค่ายอีกหลายแห่ง

    ทางรัฐบาลและทหารเริ่มรวบรวมกำลังพลโดยยึดที่นี่ไว้เป็นที่ปักหลักกลางตามความเอื้ออำนวยของสภาพแวดล้อม ตึกพยาบาลทหารถูกเปลี่ยนให้เป็นศูนย์วิจัยขนาดย่อม มีการเคลื่อนย้ายนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการให้รวมตัวกันในที่ปลอดภัยและเริ่มสืบหาสาเหตุของโลกาวินาศในครั้งนี้ นานวันเข้าก็เริ่มเปิดรับพลเรือนที่สามารถหยิบยื่นความช่วยเหลือไปถึง

    ทั้งหมดนี้ชางอุคเป็นคนอธิบายให้ฟังก่อนจะกลับไปยังค่ายที่จากมา ถ้าพวกอี้ฟานยินยอมที่จะไปยังค่ายอพยพ อีกไม่นานคงเดินทางตามมาถึงที่นี่ ถึงตอนนั้นอะไร ๆ อาจจะดีขึ้นก็ได้

    จงอินซบหน้าผากกับเสาปูนเย็นเฉียบหน้าอาคารพลางหลับตาลง สามวันมานี้เขาแทบเหมือนคนที่นั่งเฝ้ายามเป็นเพื่อนนายทหารแล้ว แต่ในศูนย์วิจัยจะเหน็บหนาวแค่ไหน เซฮุนจะต้องเจ็บเพราะการพยายาม รักษาสักเท่าไหร่ เขาเป็นห่วงจนแทบบ้า

    เวลาผ่านไปจนกระทั่งฟ้ามืดแต่ก็ไม่มีวี่แววหรือข่าวคราวของเซฮุนให้ได้รู้เลย เขาพยายามถามคนในที่เดินเข้าออกเป็นครั้งคราวแต่ก็พบว่าเรื่องเกี่ยวกับการวิจัยถูกเก็บเป็นความลับอย่างดี ไม่มีใครยอมปริปาก มิหนำซ้ำทหารที่ติดอาวุธอยู่รอบ ๆ ก็คอยจับตามองไม่ให้เขาทำอะไรเกินกว่าเหตุอยู่ตลอดเวลา

    นาฬิกาติดผนังชี้บอกเวลาสามทุ่ม ทหารนายหนึ่งตรงเข้ามาพร้อมยื่นกล่องพลาสติกขนาดเล็กกว่าฝ่ามือให้ ข้างในนั้นมีข้าวกับผัดผักแค่พออิ่ม เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร แต่ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินก่อนอีกฝ่ายจะจากไปก็คือ

    ทำใจให้สบายเมื่ออยู่ที่นี่ และจงมีศรัทธา

    หลังกินอาหารมื้อแรกในรอบสามวัน จงอินก็พบว่าเขาหิวมากทีเดียว ก่อนจะเผลอหลับไปเพราะความเหนื่อยล้าสะสมจนสะดุ้งตื่นขึ้นตอนกลางดึก แม้จะใช้เวลายาวนานมาจนถึงป่านนี้ แต่การที่ไม่มีใครบอกผลลัพธ์เกี่ยวกับอาการของเซฮุนก็ทำให้เขาร้อนใจและยังมีความหวังอยู่พร้อมๆ กัน เพราะถ้าหากเด็กคนนั้นเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ ทุกอย่างคงไม่สงบเหมือนอย่างตอนนี้แน่

    เว้นเสียแต่ว่าคนเหล่านั้นกำลังทดลองอะไรกับร่างกายของเซฮุน

    จงอินสะบัดหัวไล่ความคิดด้านลบ ตาสีเข้มมองไปยังแสงไฟท่ามกลางความมืดมิดเบื้องหน้า ผู้หญิงและเด็กน้อยเดินจูงมือกันมาในความมืดก่อนจะส่งกระติกซุปร้อน ๆ ให้กับทหารยาม นายทหารคนหนึ่งแยกตัวออกไปดื่มซุปของลูกเมียก่อน จากนั้นจึงรินใส่ถ้วยแบ่งให้เพื่อนร่วมงานได้ซดอะไรร้อน ๆ ท่ามกลางอากาศเย็น ๆ ตอนกลางคืนบ้าง

    เป็นครั้งแรกที่จงอินได้เห็นพลเรือนธรรมดา ถึงจะบอกว่าบริเวณนี้เป็นส่วนกักกัน แต่มันก็ต่างจากค่ายนรกในความทรงจำเลวร้ายเมื่อตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง

    “คุณคะ” ชายหนุ่มผิวแทนเลิกเหม่อ ละสายตาจากประตูอาคารเพื่อหันไปมองต้นเสียง เธอคือผู้หญิงและเด็กเมื่อสักครู่นี้ ในมือเล็กมีแก้วกระดาษส่งควันหอมฉุยถูกยื่นมาด้วย “สามีฉันบอกว่าคุณอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่วันก่อนแล้ว ถ้าไม่รังเกียจ นี่เป็นซุปไก่ที่ฉันต้มเองค่ะ รับไว้ซดแก้หนาวนะ”

    เขาค่อนข้างตกใจ ถึงจะบอกว่าเป็นค่ายอพยพขนาดใหญ่ แต่อาหารการกินก็น่าจะยังมีจำกัดไม่ใช่หรือ อย่างน้อย ๆ ตอนที่อยู่ข้างนอกนั่น คิมจงอินก็เป็นหนึ่งในคนเห็นแก่ตัวที่ไม่คิดหยิบยื่นน้ำใจให้คนแปลกหน้าง่าย ๆ เหมือนกัน ครั้นหันไปมองทางนายทหารที่เธออ้างว่าเป็นสามี ก็เห็นอีกฝ่ายพยักเพยิดหน้าบอกให้รีบรับไว้

    ขอบคุณ...”

    หญิงสาวยิ้ม เธอคงไม่กล้าถามอะไรไปมากกว่านั้นจึงแยกตัวเดินกลับไปร่ำลาสามีซึ่งเข้าเวรคืนนี้ ก่อนจะจูงมือเด็กน้อยเดินหายไปหลังรั้วเล็กของเขตกักกันโดยมีทหารที่เฝ้าอยู่ตรงรั้วทักทายอย่างเป็นมิตร นอกจากพรรคพวกของตนเองแล้ว จงอินก็แทบไม่เคยได้รับไมตรีเข่นนี้มาก่อน เว้นแต่ตอนช่วยพาเจ้าเด็กสามคนนั้นกลับไปส่งที่หมู่บ้านหลังหนีตายในสนามบิน แต่นั่นเรียกว่าสิ่งตอบแทน หาใช่น้ำใจที่ใครต่อใครก็ต่างพากันหยิบยื่นให้ก่อนที่โลกจะเละเทะอย่างทุกวันนี้

    ชายหนุ่มหันไปทางประตูอาคารบานเดิมอีกครั้ง เมื่อจิตใจที่ดิ่งลงเหวได้รับการเยียวยาขึ้นบ้าง ความอยากรู้อยากเห็นตามสัญชาตญาณก็ปรากฏขึ้นในที่สุด จงอินตัดสินใจเดินลงจากระเบียงอาคารพลางซดซุปร้อน ๆ ในมือไปด้วย ตั้งแต่มาถึงที่นี่ เขายังไม่เคยเดินออกไปนอกเขตกักกันมาก่อนซึ่งนับว่าผิดวิสัย จงอินเหลียวกลับไปมองอาคารศูนย์วิจัยอย่างพะว้าพะวงก่อนจะเริ่มเดินต่อ

    ทหารทุกคนที่นี่ติดอาวุธ แต่ก็ไม่มีทีท่าคุกคามหากว่าไม่ได้เกิดเหตุร้ายใด ๆ ขึ้น เมื่อเขาเดินไปถึงรั้วชั้นใน นายทหารคู่หนึ่งทำหน้าที่ซักถามอย่างละเอียดว่าจะออกไปไหนและมีจุดประสงค์อะไรบ้าง คนในนี้เห็นหน้าเขามาสามวันแล้ว จงอินจึงไม่ต้องพยายามอธิบายมากนักว่าเขาเป็นใครมาจากไหน  และทำไมถึงอยากจะออกไปเห็นข้างนอกนัก

    เขาเดินมาตามทางลาดยางตามที่ทหารบอก บริเวณกักกันเชื้อมีรั้วถูกสร้างปิดมิดชิดถึงสามชั้น และมีทหารคอเฝ้าประกบชั้นในและนอกอย่างรัดกุม ได้ความว่าเดินไปอีกราวสามร้อยเมตรก็จะพบอาคารว่าการ โรงอาหาร และบริเวณสำหรับทำปศุสัตว์ซึ่งมีพลเรือนทำงานหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันคอยดูแลตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง มันเป็นเหมือนฟาร์มปิดขนาดกลาง เลยไปด้านหลังมืดทึบจนมองไม่เห็นสวนผักอย่างที่ตั้งใจจะมาดู ถ้าออกมาตอนกลางวันคงจะได้พบอะไรมากกว่านี้

    จงอินเดินไปจนถึงย่านพักอาศัยของเหล่าพลเรือนส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นชายฉกรรจ์และชายวัยกลางคนที่สามารถช่วยงานทางด้านการทหารได้ ส่วนประชาชนจริง ๆ จะอาศัยอยู่นอกรั้วที่ถูกต่อขยายออกไป อีกฝั่งนั้นมีทั้งหมู่บ้านจัดสรรและแมนชั่นซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ปลอดภัย

    การรองรับประชากรเป็นไปได้ช้าในรอบหนึ่งปี เพราะทุก ๆ การขยายพื้นที่ ทหารและแรงงานต้องช่วยกันก่อสร้างรั้วป้องกันจนครอบคลุมทั้งบริเวณเผื่อว่าเกิดเหตุไม่คาดฝัน นี่มันไม่ต่างอะไรจากการวางผังเมืองใหม่เลยด้วยซ้ำ อีกทั้งประชากรหลายพันในที่แห่งนี้ก็เกินความคาดหมายของจงอินไปโข

    เขาเดินจนสุดเขตรั้วของค่ายทหารและตั้งใจว่าจะสำรวจที่นี่ใหม่ตอนฟ้าสว่าง ขากลับไปเขตกักกัน ชายหนุ่มเลือกเดินวนไปอีกทางเพื่อจะได้เยี่ยมชมที่นี่ในคราวเดียว ตลอดทางมีไฟดวงเล็กคอยช่วยส่องสว่างไม่ให้ทั้งค่ายมืดจนเกินไปนัก

    น่าดีใจที่ค่ายอพยพหลักของเกาหลีใต้ยังคงอารยธรรมและกฎหมายเอาไว้ได้ มันเปรียบเสมือนแหล่งหล่อเลี้ยงความเป็นมนุษย์เล็ก ๆ ที่กำลังค่อย ๆ ขยับขยายออกไปอีกครั้ง จนถึงตอนนี้ก็ยังน่าคิดว่าทำไมโลกจึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น แล้วเหล่านักวิทยาศาสตร์ในศูนย์วิจัยนั่นจะสามารถหาคำตอบได้หรือยัง

    อาคารสามชั้นทางด้านขวาเป็นอีกตึกที่มีทหารคอยเฝ้ายามอยู่ เมื่อแหงนมองป้ายที่ติดอยู่เหนือทางเข้าก็พบว่าเป็นอาคารพยาบาล มันค่อนข้างกว้างทีเดียวถ้าใช้สำหรับเป็นสถานพยาบาลจริง ๆ ด้านหน้ามีสวนหย่อมกว้างและบ่อปลา เขาเห็นทหารยามคนหนึ่งพักไปจุดบุหรี่สูบแล้วเปรี้ยวปาก จะว่าไปในตัวก็ไม่เหลือแม้แต่ไฟแช็กเพราะถูกริบไปในค่ายก่อน

    พอเห็นเขายืนมองเก้ ๆ กัง ๆ ทหารนายนั้นจึงกวักมือเรียกแล้วแบ่งบุหรี่ให้มวนหนึ่ง จงอินเจอน้ำใจที่หาไม่ได้ข้างนอกถึงสองครั้งแล้ว เขาลองพูดคุยและถามไถ่ถึงความเป็นอยู่ที่นี่อย่างคร่าว ๆ ได้ความว่าสวนหย่อมที่ทั้งคู่กำลังยืนสูบบุหรี่สบายใจเฉิบคือสถานพยาบาลที่ประจำโดยแพทย์ทหารจริง ๆ บางครั้งก็มีพลเรือนถูกพามาบ้าง แต่ไม่บ่อยเท่ากับทหารที่ปฏิบัติภารกิจกลับมา

    “เรามีการคุ้มกันแน่นหนาและสร้างผังกำแพงแบ่งค่ายออกเป็นส่วน ๆ ตรงนี้คือค่ายชั้นใน หากเกิดอะไรขึ้นพวกคนตายคงเข้ามาไม่ถึงง่าย ๆ” อีกฝ่ายตอบยังมั่นใจ ซึ่งที่นี่ก็เป็นระบบระเบียบสมกับที่อยู่ภายใต้การดูแลของทหารจริง ๆ “เราเป็นกองพันทหารราบ ยังมีหน่วยอื่น ๆ ที่คอยช่วยบูรณะประเทศนี้ไปพร้อม ๆ กันอยู่อีก”

    จงอินได้แต่นั่งฟังเงียบ ๆ ปล่อยให้อีกคนพูดจ้อในค่ำคืนที่แสนน่าเบื่อสำหรับเจ้าตัวต่อไปเรื่อย ๆ

    “คุณเคยคิดไหมว่าไอ้เชื้อบ้านี่ใครเป็นคนทำ?”

    เขาตอบไม่ถูก และเชื่อว่าทุกคนก็คงมีคำถามในใจทำนองเดียวกันหมด “ไม่รู้สิ ผมมันก็แค่คนธรรมดา พอเกิดเรื่องก็คิดแค่เอาชีวิตรอดไปเรื่อย ๆ”

    นายทหารหัวเราะ ยกมือขึ้นโบกตอบคนในเครื่องแบบอีกนายที่เรียกให้กลับไปประจำที่ได้แล้ว

    “เอ้า ผมให้ ผมมีอยู่สามซองในกระเป๋า” เขาได้บุหรี่มาซองหนึ่ง มันเหลืออยู่แค่ราวสิบมวน แต่ก็มากพอที่จะช่วยบรรเทาความเครียดไปได้อีกสักสองคืน “ยุคสมัยนี้บุหรี่มันหาง่ายกว่าอาหารการกินอีกนะคุณ”

    ยังไม่ทันจะได้ขอบคุณ ชายหนุ่มผิวแทนก็หันหลังไปทางอาคารทันทีที่ได้ยินเสียงของตก เห็นเป็นชายคนหนึ่งในชุดผู้ป่วยกำลังก้มลงเก็บไม้ค้ำอย่างทุลักทุเล นายทหารทำท่าจะเดินเข้าไปช่วยคนเจ็บ แต่จงอินก็อาสาทำแทนด้วยการยัดบุหรี่ใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะสาวเท้าไว ๆ ไปจนถึงตัวอาคารที่เปิดประตูทิ้งไว้ตลอด มองเข้าไปไม่เห็นพยาบาลอยู่แถวห้องโถงล่างเลยสักคน

    ไหวไหมคุณ?

    เขาหันไปถาม จงอินไม่ใช่คนมีน้ำใจมากนัก แต่ถ้าหากต้องทนเห็นคนขาเดี้ยงสภาพแทบเดินไม่ไหวตกลงจากบันไดสี่ขั้นก็ขอยื่นมือเข้ามาช่วยดีกว่า ใช้ทั้งไม้ค้ำ ทั้งเข้าเฝือกแขนและมีผ้าก๊อซพันศีรษะ เจ็บหนักขนาดนี้ยังจะออกไปไหนมาไหนตอนดึก ๆ ดื่น ๆ อีก

    คุณจะไปไหน เดี๋ยวผมเดินไปส่ง เขาช่วยพยุงอีกฝ่ายให้จับไม้ค้ำที่เก็บขึ้นมาได้สำเร็จ

    ไฟจากในอาคารส่องให้จงอินเห็นคนที่เงยหน้าขึ้นได้ชัดเจน ก่อนดวงตาจะเบิกโพลงอย่างตื่นตระหนก ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เจอคนที่แยกตัวไปกลับมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

    ชานยอล?

    ...จงอิน?

    เสียงทุ้มของชานยอลก็แสดงความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิดเช่นเดียวกัน พอรู้ว่าเป็นผู้ชายคนนี้เขาก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ “นาย... ให้ตายสิ ทำไมถึงอยู่ในสภาพนี้ได้วะ แล้วแบคฮยอนล่ะ?”

    แน่นอนว่าปาร์คชานยอลอยากตอบทุกคำถามที่เขาจะยิงออกไป แต่ด้วยอาการบาดเจ็บและบาดแผลเต็มตัวอย่างนี้แล้ว ถ้าจะยืนคุยกันยาว ๆ คงลำบากแน่

    “ผมจะตอบคุณทุกอย่าง แต่ช่วยพาผมไปนั่งตรงม้านั่งนั้นก่อนได้ไหมครับ”

     

     

     

    *

     

     

    เอา – นี่ไปด้วย

    ...

    ถ้าปวดขา – ก็นวด – นะ อี้ชิงวางหลอดยาลงบนมือเด็กหนุ่มพร้อมตบบ่าปุ ๆ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่แบคฮยอนตั้งใจจะออกไปรอชานยอลที่วัดซึ่งไม่มีใครห้าม เพราะซีวอนบอกว่าถ้าเด็กคนนี้ยังไหวก็ปล่อยให้ทำไป แต่ถ้าเหนื่อยเมื่อไหร่จะเป็นคนออกปากห้ามเอง  

    จะปั่นจักรยานจริงเหรอ มันเหนื่อยนะแบคฮยอน จงแดถามด้วยความเป็นห่วง อันที่จริงซีวอนบอกว่าเรายังพอมีน้ำมันเหลืออยู่ แต่เด็กคนนั้นก็ยืนกรานจะปั่นจักรยานไปเองเพราะอยากเก็บน้ำมันไว้ใช้ตอนออกไปหาเสบียง

    อย่ากลับดึก คนเจ็บที่นั่งอยู่บนโซฟากล่าวสั้น ๆ ก่อนแบคฮยอนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ แม้คยองซูจะไม่ไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายหมอนั่นก็เลือกที่จะเคารพการตัดสินใจของเขา คนตัวเล็กกระชับสายกระเป๋าเป้ หันไปมองกรอบรูปครอบครัวที่มีชานยอลเป็นส่วนหนึ่งในนั้น พร้อมบอกตัวเองว่าตราบใดที่ยังไหว วัดแห่งนั้นก็จะมีเด็กโง่อย่างบยอนแบคฮยอนนั่งรออยู่จนกว่าอีกฝ่ายจะกลับมา

    เดี๋ยวนะ... แต่ทุกอย่างก็นิ่งงันไปเมื่ออยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงรถยนต์ ทุกคนหันไปมองหน้ากันเพื่อถามทางสายตาว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องจริงหรือแค่หูฝาดกันแน่

    ...

    แบคฮยอนกับซีวอนรีบเปิดประตูออกไปหน้าบ้านพร้อมหัวใจที่เต้นเร็วจนผิดจังหวะ ระหว่างที่อี้ชิงกับจงแดเข้าไปประคองร่างคยองซูขึ้นมาเมื่อคนเจ็บก็ทนความอยากรู้ไว้ไม่ไหว คนตัวเล็กผลักประตูรั้วออกแล้วพุ่งตัวออกไปหยุดอยู่กลางถนน หอบหายใจขณะมองรถยนต์คันหนึ่งซึ่งกำลังขับเข้ามาก่อนซีวอนจะเอาแขนขวางเอาไว้

    แม้จะมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยม คิดเข้าข้างตัวเองว่าต้องเป็นชานยอล แต่อีกใจซีวอนก็ไม่อยากเชื่อกับอะไรทั้งนั้นจนกว่าจะเห็นทุกอย่างด้วยตา หากเป็นกลุ่มคนที่ขับผ่านเข้ามาเพื่อหาเสบียง ร่างของเขากับแบคฮยอนอาจจะถูกยิงกระจายเป็นนุ่นก่อนจะได้เห็นหน้าสิ่งที่เรียกว่าความหวัง

    ... คนตัวเล็กหอบหายใจหนักกำมือแน่นจนแดง พยายามเพ่งมองผ่านฟิล์มกระจกสีดำแต่ก็ไม่สามารถเห็นได้ว่าคนขับเป็นใคร อี้ชิงพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้จงแดละมือออกจากคยองซูเพื่อเตรียมอาวุธหากว่ามีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น

    ประตูรถฝั่งคนขับเปิดออก จงแดยกมือขึ้นปิดปากอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองทันทีที่เห็นหน้าอีกฝ่าย คนอื่น ๆ ต่างเบิกตากว้างและยืนนิ่งอยู่กับที่ แม้ว่าจะไม่ใช่คนที่รออยู่... แต่การเห็นหน้าผู้ชายคนนี้ก็ทำให้บยอนแบคฮยอนร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้

    กว่าจะหาเจอ

    จ... จงอิน...” เด็กน้อยรีบวิ่งเข้าไปสวมกอดคนตรงหน้าจนเซถอยหลัง ก่อนชายหนุ่มผิวแทนจะกอดตอบพร้อมกดศีรษะทุยลงกับแผงอกตนเองแล้วลูบเบา ๆ  

    พระเจ้า นั่นคุณจริง ๆ ใช่ไหม?จงแดถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ลดอาวุธลงแล้วตรงเข้ามากอดผู้มาใหม่ และจงอินก็ไม่ได้รังเกียจรังงอนกับการแสดงความคิดถึงจากคนที่ห่างหายกันไปนาน จึงอ้าแขนอีกข้างเพื่อรับกอดเจ้าหน้าที่หนุ่ม

    อี้ชิงประคองร่างคยองซูเดินออกมา ทุกคนยังไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้จะเป็นเรื่องจริง ทุกคำถามจ่อเรียงอยู่ในหัวเพื่อเตรียมมอบให้ชายหนุ่มผิวแทน แต่ช่วงเวลาแบบนี้เขาอยากให้เด็กที่หัวใจอ่อนไหวอย่างแบคฮยอนได้รับการปลอบประโลมเสียก่อน

    สบายดีนะซีวอน?

    ก็ไม่แย่อย่างที่คิด ชายวัยกลางคนตอบพลางยิ้มบาง ๆ ก่อนสองคนนั้นจะผละอ้อมกอดออกเพื่อเข้าสู่บทสนทนาอย่างจริงจังคุณมาที่นี่ได้ยังไง?

    ทุกคนกำลังคาดหวังคำตอบ เพราะมันคงเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปถ้าหากว่าจงอินจะขับมาที่นี่ได้ด้วยตัวเอง คนอื่นอยู่ที่ไหน แบคฮยอนพยายามกวาดสายตามอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะรอฟังคำตอบจากคำถามเมื่อครู่ก่อน

    ชายหนุ่มผิวแทนเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อให้ทุกคนได้ตั้งสติ สีหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความกังวลและคาดหวัง เขาจึงวางมือลงศีรษะคนข้าง ๆ เพื่อมอบความสบายใจให้

    ชานยอลเป็นคนบอกให้ฉันมาที่นี่

     


     

    50%



    ( สถานีต่อไปสถานีชินชน )

    เปลือกตาค่อย ๆ ลืมขึ้นหลังจากได้ยินเสียงเมื่อครู่ เซฮุนยกมือขึ้นกุมขมับ รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างน่าประหลาดจนการหายใจยังเป็นเรื่องยาก เด็กหนุ่มเลียริมฝีปาก ปล่อยให้ร่างกายโงนเงนไปกับแรงดันของผู้โดยสารที่กำลังเดินออกจากรถไฟใต้ดิน ก่อนทุกอย่างจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติเมื่อประตูปิดลง

    ส่ายศีรษะไล่อาการมึนงงพร้อมพยายามตั้งสติ ถามตัวเองว่าที่นี่คือที่ไหนแต่การหาคำตอบกลับเป็นเรื่องยากขึ้นมาเสียอย่างนั้น เซฮุนมองมือทั้งสองข้าง มันเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรังจนลามมาถึงแขนเสื้อเชิ้ตขาวที่สวมใส่อยู่ แต่น่าแปลกที่เขาไม่ตกใจกับมันเลยสักนิด กลับกันแล้วเด็กหนุ่มเพียงใช้ฝ่ามือถู จัดการคราบสีแดงนั้นแต่มันก็ไม่จางหายไป

    แม้ไม่รู้จุดหมายปลายทางที่ต้องไป แต่มือขาวซีดที่เปรอะไปด้วยคราบเลือดก็เลือกจับราวเหล็กไว้เป็นหลักระหว่างรอรถไฟเคลื่อนตัว แม้รอบตัวนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แต่จุดที่เขายืนช่างเงียบสงบเหมือนอยู่ตรงนี้เพียงลำพัง มันเงียบ... จนแทบได้ยินเสียงความคิดตัวเอง

    กึง!

    ( สถานีต่อไปสถานีชินชน )

    ...?

    เซฮุนขมวดคิ้ว ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองผังสถานีรถไฟที่จุดสีเขียวกำลังเดินไปหาสถานีชินชนอย่างเช่นก่อนหน้านี้ ได้ยังไงกัน? ทั้งที่เมื่อกี้นี้ก็จอดสถานีชินชนแล้ว... เขาหูฝาดไปเหรอ?

    แต่เพียงอึดใจเดียวรถไฟก็หยุด การเดินทางไปสถานีถัดไปมันเร็วขนาดนี้เลยหรือไงกัน? เด็กหนุ่มคิดในใจ เซฮุนหยุดสายตาอยู่กับคราบเลือดตามแขนเสื้อ ก่อนจะเงยหน้ามองเงาตนเองในกระจกประตู มองเด็กผู้ชายในชุดนักเรียนมอมแมมและแววตาว่างเปล่าที่สะท้อนกลับมา

    ทำไมประตูไม่เปิด? เขาฉายแววตาสงสัย ทันใดนั้นก็พลันไปเห็นชายวัยทำงานคนหนึ่งยืนอยู่ชานชาลา คน ๆ นั้นที่โอเซฮุนคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี

    พ่อ? คนถูกเรียกกำลังยิ้มให้ ผิดกับเขาที่กำลังขมวดคิ้วอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าจะได้เจอท่านที่นี่ ดวงตาคู่นั้นหลุบมองนาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่งที่ถือเอาไว้ ก่อนจะเงยหน้าสบตากับลูกชายคนนี้ที่พยายามอ่านริมฝีปากคนเป็นพ่อว่าท่านกำลังจะพูดอะไร พ่อครับ

    ...

    ไม่... เซฮุนไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านกำลังพูด

    ขายาวถอยออกมาก้าวหนึ่ง หันซ้ายขวาเพื่อรอดูว่าเมื่อไหร่ประตูจะเปิด มันนานเกินไปแล้วสำหรับรถไฟที่จอดเทียบชานชาลา เซฮุนไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร แต่ความรู้สึกภายในใจมันกระตือรือร้นที่จะเจอหน้าพ่อในระยะใกล้แล้วพูดคุยกันให้หายคิดถึงเหลือเกิน

    แต่พอหันกลับไปอีกครั้งเด็กหนุ่มตัวผอมก็เบิกตากว้างเมื่อพบว่าตอนนี้มีคนมากมายกำลังวิ่งมาจากข้างหลังพ่อและพุ่งเข้ากัดในทันทีโดยที่ท่านไม่มีโอกาสได้ตั้งตัว

    พ่อ!!!!” เขาตะโกนลั่นพร้อมทาบสองลงบนกระจก ก่อนจะทุบมันอย่างแรงโดยไม่สนว่าตนเองจะเจ็บหรือไม่ ไม่!!! อย่าทำเขา!!! มีใครอยู่ข้างนอกไหม!!! ช่วยพ่อผมด้วย!!! ใครก็ได้!!!”

    เด็กหนุ่มหันไปขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง แต่ผู้โดยสารในขบวนเดียวกันกลับยืนนิ่งราวกับไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เซฮุนทั้งทุบ ทั้งพยายามหาทางเปิดประตูออกแต่ก็ไม่เป็นผล ดวงตาที่เต็มไปด้วยความตระหนกมองพ่อเป็นระยะ ขณะที่ร่างของผู้ให้กำเนิดค่อย ๆ ทรุดตัวลงไปพร้อมเลือดที่ไหลออกมาเป็นวงกว้าง

    ไม่!!!!” เซฮุนยังคงพยายามงัด ใช้นิ้วงัดช่องประตูที่ปิดสนิทหวังจะเปิดออกให้ได้ พึมพำกับตัวเองอย่างร้อนใจกับอุปสรรคเบื้องหน้า ทุบตีประตูจนมือแดงเป็นสองโทนสีของคราบเลือดและความเจ็บ เด็กหนุ่มสบตากับร่างที่กำลังถูกรุมกัดกินเพื่อบอกให้รู้ว่าเขากำลังกลัวแค่ไหน พ่อยังคงยิ้มแม้เนื้อหนังจะถูกกระชากออกจนขาดวิ่น เลือดไหลอาบใบหน้า เซฮุนร้องไห้ เขาสะอื้นจนตัวโยน แม้แต่ตอนที่เลือดสีสดสาดกระจายพ่อก็ยังมองมาทางนี้

    และยิ้มให้กับเขา

    พ่อ...”

    กรรรรรรรรรรรซ์

    เซฮุนมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยหัวใจที่แตกสลาย เด็กหนุ่มยังคงร้องไห้และทุบประตูอย่างหมดแรง ก่อนปีศาจร้ายเหล่านั้นจะพร้อมใจกันหันมายิ้มให้เขา... รอยยิ้มที่เหมือนอยากบอกโอเซฮุนให้รู้ว่า

    พวกแกแพ้แล้ว

    ครืน!!!

    ทุกอย่างดับลงและแทนที่ด้วยความมืด เด็กหนุ่มหอบหายใจทั้งที่ร่างกายสั่นเทา ภาพพ่อถูกรุมกัดยังคงติดตาและโอเซฮุนภาวนาว่าถ้าแสงสว่างเกิดขึ้นอีกครั้ง ทุกอย่างจะเป็นเพียงเรื่องที่คิดไปเอง

    ครืด...

    ประตูรถไฟเปิดอย่างง่ายดายแต่กลับไม่มีใครเบียดเสียดเดินออกไปอย่างเช่นสถานีก่อนหน้านี้ เซฮุนยังคงสั่น เขาพยายามปรับสายตากับความมืดก่อนหลอดไฟจะให้ความสว่างอีกครั้ง แต่มันติด ๆ ดับ ๆ จนเพิ่มความน่ากลัวให้มากกว่าความสบายใจ

    ไม่มีพวกบ้าคลั่งที่เคยรุมกัดกินพ่อแล้ว ไม่มีแม้แต่แผ่นหลังของผู้โดยสารสักคน ตอนนี้เหลือเพียงกองเลือดที่ส่งกลิ่นคาวชวนให้ใจหายเท่านั้น

    กึ่ก!

    ขายาวหยุดชะงักหลังจากพลาดเตะอะไรบางอย่างจนกระเด็นออกไป ซึ่งมันคือสมาร์ทโฟนเครื่องหนึ่งที่ไม่รู้ว่าใครทำตกไว้ เซฮุนตรงเข้าไปเก็บมันขึ้นมาเช็ดคราบเลือดออกด้วยแขนเสื้อพร้อมกดปุ่มเปิดหน้าจอเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ที่นี่กลับไม่มีสัญญาณ

    เด็กหนุ่มถอนหายใจพลางกวาดตาหาใครสักคนที่อาจพบเจอปัญหาเดียวกันอยู่ ในเมื่อโทรหาใครไม่ได้ สมาร์ทโฟนที่เหลือแบตเตอรี่อยู่เจ็ดเปอร์เซ็นต์จึงกลายเป็นไฟฉายจำเป็นขึ้นมา เซฮุนจะใช้มันอย่างคุ้มค่า แต่เขาก็ไม่รู้ว่าการเปิดปิดตามความจำเป็นมันจะช่วยให้ประหยัดพลังงานหรือยิ่งเป็นการทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วยิ่งขึ้น

    เด็กหนุ่มกดเปิดแอพลิเคชั่นไฟฉายเพื่อเพิ่มความอุ่นใจ เขาคงไม่หวังพึ่งหลอดไฟตามทางที่ติด ๆ ดับ ๆ เพียงไม่กี่จุดขณะเบื้องหน้าถูกกลืนไปด้วยความมืด เซฮุนไม่คิดว่าเขาปลอดภัยแล้ว แต่ตราบใดที่ยังมองเห็นด้วยตา เขาก็มีโอกาสตั้งหลักรับมือกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น

    แสงสว่างจากสมาร์ทโฟนส่องไปตามพื้นและตัวรถไฟ เซฮุนไม่ได้ตั้งคำถามให้ตัวเองว่า ทำไมถึงไม่มีผู้โดยสารอยู่ข้างใน ทั้ง ๆ ที่ขึ้นมาขบวนเดียวกัน? แต่สุดท้ายเด็กหนุ่มตัดสินใจเดินออกจากตรงนั้นทั้งที่รู้สึกเหมือนมีอะไรติดค้างอยู่ในใจ แต่กลับคิดไม่ออกว่ามันคือเรื่องอะไรที่ทำให้รู้สึกอย่างนี้ ขายาวเพียงเดินไปข้างหน้าโดยไม่รู้จุดหมาย

    ไม่มี... เหมือนตอนแรกที่ขึ้นมาบนรถไฟ

    ฮือออออ....

    เสียงโหยหวนดังมาจากด้านขวามือ มันไกลจากตรงนี้พอสมควรแต่นั่นก็ไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยให้เด็กผู้ชายที่มีเพียงสมาร์ทโฟนซึ่งคงใช้ป้องกันตัวไม่ได้ ต้องหาอาวุธ เซฮุนคิดขณะที่ขายังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังพร้อมแบตเตอรี่โทรศัพท์ที่ลุ้นว่าจะลดลงเมื่อไหร่

    กรี๊ดดดดดดดดดด!!!” เด็กหนุ่มสาดไฟฉายไปทางต้นเสียง เห็นผู้คนวิ่งหนีตายจากพวกบ้าคลั่งที่ส่งเสียงข่มขวัญตามหลังอยู่ไม่ได้ห่าง บางคนเสียหลักพลาดสะดุดล้มจนพบจุดจบเป็นการโดนรุมกัด เขาไม่ควรไปทางนั้น... ไม่ควรเด็ดขาด

    ไปกันเถอะ เราอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว

    อีกนิดเดียวนะ ขอเวลาให้พี่หน่อย

    เซฮุนหันไปตามเสียงบทสนทนาซึ่งเขาไม่รู้ว่ามีคนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยจดจ้องมองชายหุ่นกำยำที่พยายามงัดกรงไม้ออกด้วยชะแลงเหล็ก โดยมีเด็กผู้ชายนั่งกอดไม้เบสบอลอยู่ข้างตัว ดูจากการแต่งกายด้วยชุดนักเรียน เซฮุนคิดว่าเด็กคนนั้นน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเขา แต่มองจากตรงนี้กลับไม่สามารถเห็นใบหน้าของทั้งคู่ได้

    ถ้ามัวแต่ช่วยเขา เราจะตาย

    ที่นี่อันตรายเกินไป เขาอาจจะอดตายหรือไม่ก็คงถูกพวกนั้นกิน เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยเขาก่อน

    แต่เขาอยู่ในกรง พวกมันเข้าไปกินไม่ได้หรอก

    ไม่ได้... พี่ทนเดินผ่านไปทั้งที่เห็นว่าเขาติดอยู่ในนี้ไม่ได้

    คนที่แทนตัวว่าพี่ กล่าวพร้อมออกแรงงัดแรงยิ่งขึ้น เซฮุนเบนสายตาไปยังต้นเหตุที่ทำให้สองคนนั้นยังคงอยู่ที่นี่ ก่อนจะได้คำตอบเป็นลูกหมาสีขาวมอมแมมไปทั้งตัวที่ถูกขังอยู่ในกรงไม้ แววตาของมันช่างสิ้นหวังราวกับพร้อมยอมรับความตาย แต่ลูกหมาตัวนั้นกลับไม่เห่าหรือส่งเสียงตามสัญชาตญาณเมื่อเจอคนแปลกหน้า

    ทั้งที่มันเป็นแค่หมาจรจัดตัวหนึ่งที่บังเอิญผ่านมาเห็นแท้ ๆ แต่ทำไมผู้ชายคนนั้นกลับยอมเสียเวลาช่วยมันออกมา ทั้งที่บางทีหมาตัวนั้นอาจจะปลอดภัยกว่าสองคนนั้นที่ยังคงติดอยู่ในสถานีด้วยซ้ำ

    กูน่าจะปล่อยให้มึงตายไปตั้งแต่วันนั้น โอเซฮุน!!!” เจ้าของชื่อหันขวับ สาดแสงจากสมาร์ทโฟนหาต้นเสียงที่ตะโกนใส่หูเมื่อครู่ แต่สิ่งที่พบกลับเป็นข้อความบางอย่าง มันถูกเขียนบนผนังสีเทาเข้มที่มีรอยแตกร้าว

    เหตุผลอะไรที่ทำให้คุณอยากมีชีวิตอยู่เหรอครับ?

    เขารู้สึกคุ้นกับประโยคนั้น ก่อนจะรู้สึกปวดหนึบตรงขมับจนต้องหลับตาพร้อมส่ายศีรษะไล่ให้มันหายไป เซฮุนกลืนน้ำลาย พอลืมตาขึ้นก็พบว่าข้อความบนผนังได้เปลี่ยนไปแล้ว

    ผมแค่กลัวตาย มันไม่มีเหตุผลอะไรที่ดูดีไปกว่านั้นหรอก

    ข้อความนั้นช่างน่าหดหู่ใจ เซฮุนรู้สึกได้ถึงกลิ่นบุหรี่แม้ว่าตรงนี้จะเหลือเพียงเขา หลังจากหันไปทางกรงไม้อีกครั้งแต่สองพี่น้องกับลูกหมาตัวนั้นกลับไม่อยู่แล้ว

    และที่ผมพยายามทุกอย่างในตอนนี้ ก็เพราะว่าผมไม่อยากให้ใครต้องมาตายทั้งที่ผมยังอยู่

    ข้อความเปลี่ยนไปอีกครั้งเมื่อเขาหันกลับมา

    ใช่ว่าตายแล้วปัญหาจะหมดไปเสียเมื่อไหร่

    เซฮุนไม่เข้าใจประโยคเหล่านั้นนัก เขาลดสายตาลงพลางมองแบตเตอรี่ที่ลดลงไปจนเหลือหกเปอร์เซ็นต์ มันเป็นเหมือนนาฬิกาจับเวลาที่กดดันให้รีบหาทางออกจากตรงนี้ก่อนแบตเตอรี่จะหมดไป

    เสียงหวีดร้องโหยหวนยังคงดังมาเป็นระยะชวนให้หวาดผวาหันหลังอยู่เรื่อย เซฮุนเร่งจังหวะฝีเท้าให้เร็วขึ้น กวาดแสงสว่างขึ้นเหนือศีรษะแล้วก็พบป้ายบอกทางซึ่งจุดหมายอยู่อีกไม่ไกล

    ...

    เด็กหนุ่มหยุดยืนอยู่กับที่เมื่อมาถึงบันไดทางออกซับเวย์ แต่มันกลับถูกขวางด้วยวีลแชร์เก่า ๆ และเตียงคนไข้ที่ซ้อนทับกันจนแทบมองไม่เห็นด้านนอก เซฮุนถอยหลังออกมาโดยไม่คิดจะเอาสิ่งกีดขวางออก เขายอมเดินอ้อมโลกเสียดีกว่าที่จะยอมแตะต้องมัน

    แบตเตอรี่เหลือสามเปอร์เซ็นต์แล้ว มันลดลงอย่างรวดเร็วภายในเวลาอันสั้น เด็กหนุ่มพยายามตั้งสติเพื่อหาทางออกใหม่ แต่ลิฟต์ที่เป็นทางออกสุดท้ายกลับมีเสียงทุบปึงปังพร้อมนิ้วน่ากลัวที่แทรกออกมาช่องประตู เสียงไฟติด ๆ ดับ ๆ ไม่ได้กลบเสียงพวกคนบ้าคลั่งเลยสักนิด จากที่เคยอยู่ไกลตอนนี้มันเข้ามาใกล้จนเหมือนกรีดร้องอยู่ข้างหู

    กรรรรรซ์

    พี่ครับ

    ...

    เห็นพ่อผมไหม? เซฮุนรู้ว่าเสียงนั้นกำลังพูดกับตน เขาหันไปทางเด็กผู้ชายตัวเล็กที่ร่างกายโชกไปด้วยเลือดข้าง ๆ เด็กผู้หญิงผมยาวคนหนึ่ง ตัวของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนดินและหิมะ ทั้งคู่ก้มหน้า นั่งอยู่บนฝากล่องไม้ยาวราว ๆ สองเมตรพ่อของผม...กับครูของเธอ

    ...ไม่ เสียงของเขาแผ่วเบาจนตัวเองแทบไม่ได้ยิน แต่เด็กที่ขอความช่วยเหลือก็ส่งเสียงอือในลำคอพร้อมพยักหน้ารับโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาสบตากัน และเพียงอึดใจเดียวเท่านั้น ใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าทั้งคู่

    พี่...”

    ลุกขึ้นเถอะ ฉันมารับแล้ว

    นายมาได้ยังไง?

    ผู้ชายคนนั้นหัวเราะแล้วทิ้งจังหวะไปชั่วอึดใจ ฉันมาเพราะมันถึงเวลาของฉันแล้ว มันก็แค่นั้น

    เวลาของนาย...? เธอถามอย่างใคร่รู้

    เวลาของฉันที่ควรมาเจอเธอกับเด็กนั่นยังไงล่ะ ถามอะไรโง่ ๆ

    เซฮุนมองเห็นเพียงด้านหลังของผู้มาใหม่และเลือดที่ไหลออกมาจากรูเล็ก ๆ บนศีรษะ แผ่นหลังกว้างของผู้ชายตัวสูงชวนให้เคว้งคว้างเหลือเกิน ทั้งที่เขาควรโล่งอกที่มีใครสักคนหยิบยื่นความช่วยเหลือให้สองคนนั้นท่ามกลางความน่ากลัวของที่แห่งนี้ แต่ทำไม...

    ส่วนนาย ชายคนนั้นหันมาเพียงเล็กน้อยพร้อมกล่าวประโยคเมื่อครู่กับเขา ดูแลตัวเองให้ดีนะ

    ...

    แล้วก็ขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไป

    ทำลงไป...?

    เสียงปืนไรเฟิลดังขึ้นจนต้องเอานิ้วอุดหู มันมาจากด้านขวามือ... เซฮุนรู้สึกเหมือนเห็นแสงสว่างอันริบหรี่หลังจากเดินหลงทางในความมืดมิดมานาน ถ้ามีเสียงปืนแสดงว่ามีใครสักคนกำลังสู้กับพวกมัน อาจจะเป็นตำรวจหรือทหารก็ได้ ถ้าตามเสียงไปเขาอาจจะรอด เซฮุนยิ้มอย่างมีความหวังพร้อมหันไปทางเดิม แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยชวนสามคนนั้นกลับหายไปแล้ว

    กรรรรซ์...

    ร่างหญิงคนหนึ่งเดินโซซัดโซเซออกมาจากมุมทางเดิน เด็กหนุ่มจึงก้มตัวลงต่ำเลียบไปหลบอยู่หลังม้านั่งพร้อมปิดไฟฉายสมาร์ทโฟน แม้ไฟจะติด ๆ ดับ ๆ แต่ภาพผีดิบกำลังกัดกินซากศพที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นก็ชัดเจนจนชวนให้ขนลุก

    ทำยังไงดี... ตรงนั้นเป็นทางเดียวที่สามารถไปทางอื่นได้ และถ้าผู้หญิงที่อยู่ในสภาวะหิวโหยยังไม่ไปไหนเขาก็เคลื่อนย้ายไปไม่ได้เหมือนกัน เซฮุนหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อคิดหาทาง ถ้าขืนเสี่ยงวิ่งฝ่าไปไม่วายมันคงเห็นเขาตั้งแต่ยังไม่พ้นมุมทางเดิน แต่ถ้าให้รอจังหวะมันเดินหนีไปก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่

    นี่ไอ้หนู

    ...

    อย่าอยู่กับที่นาน ๆ ดิวะ เดี๋ยวก็ตายห่ากลายเป็นเหมือนพวกนั้นหรอก เซฮุนหันไปข้างตัว มองผู้ชายตัวเล็กที่ถือมีดดาบโชกเลือดไว้ในมือ ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์ชวนผวา แต่น้ำเสียงของผู้ชายคนนี้กลับดูแน่วแน่เหมือนรู้ว่าต้องรับมือกับพวกมันยังไง

    ผมพยายามหาทางออกอยู่ครับ แต่ตรงนั้นมีพวกบ้าคลั่งอยู่ ถ้าวิ่งไปดื้อ ๆ คงถูกไล่แน่ ส่วนด้านหลังไปไม่ได้เพราะมีสิ่งกีดขวาง มันกลายเป็นทางตันไปแล้ว เซฮุนลุกขึ้นพร้อมชี้ไปยังทางเดิม ก่อนจะหันกลับมาทางผู้ชายคนนี้ที่หันไปด้านหลังจนไม่เห็นสีหน้าค่าตา

    ไม่มีที่ไหนเรียกว่าทางตันหรอก เจ้าของเสียงควงมีดดาบ ก่อนมืออีกข้างที่ว่างจะดึงไขควงออกมาจากสนับขาแล้วยัดใส่มือเขาแต่ถ้าเจอทางไหนที่คิดว่าแม่งเป็นทางตัน ก็หนีกลับไปทางที่เข้ามาซะเลยสิวะ

    แต่...

    นี่น้อง รู้อะไรไหม ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับความคิดตัวเองหรอก

    คุณพูดแบบนี้ตอนที่มีคนบ้าคลั่งไล่กัดกินคนเต็มไปหมดเหรอครับ...?

    นายเห็นมันคนเดียวปะละ? อีกคนหัวเราะในลำคอเบา ๆ ฉันก็เห็น คนอื่นก็เห็น ต่างกันแค่พวกเขาเลือกที่จะสู้กับความคิดตัวเอง

    ถึงคุณจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ... แต่พาผมไปด้วยได้ไหมครับ ผมสัญญาว่าจะไม่เป็นตัวถ่วง ผมไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว เซฮุนทั้งกลัว สับสน และว้าเหว่อย่างบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มหาเหตุผลให้ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้ว่าทำไมถึงท้อนัก ทั้งที่เขาเคยเข้มแข็งมากกว่านี้ แต่สิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจมันทำให้เขาพาลจะร้องไห้ออกมาอยู่เรื่อย

    อย่าเลย อีกฝ่ายกล่าวพร้อมมองไปยังทางเบื้องหน้าที่มืดมิดจนมองแทบไม่เห็นความหวัง นายมีไอ้เวรนั่นแล้ว มันจะปกป้องนาย

    เด็กหนุ่มมองไขควงในมือตนเองที่เลอะไปด้วยคราบน้ำมัน ส่วนสีเงินวาววับเมื่อกระทบกับแสงสว่างที่ติด ๆ ดับ ๆ เซฮุนไม่รู้ว่าจะฝากชีวิตไว้กับสิ่งนี้ได้หรือไม่ แต่เขายอมรับว่าอุ่นใจกว่าการเดินไปพร้อมสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียว

    จุดอ่อนมันอยู่ที่หัว เล็งให้ดีล่ะ โอกาสแก้งานไม่ได้มีทุกครั้ง

    มันคมขนาดฆ่าพวกบ้าคลั่งให้ตายได้เลยเหรอครับ?

    ก็ลองดูสิ น้ำเสียงผู้ชายคนนี้ช่างทะเล้นเหลือเกิน มันจะอยู่กับนายไปจนกว่านายจะปล่อยมือเลยนะรู้เปล่า?

    ...

    เพราะฉะนั้นจับมันไว้แน่น ๆ ล่ะ ฉันเชื่อว่ามันจะปกป้องนายจากความกลัวในนี้ได้ คนแปลกหน้าเคาะนิ้วชี้กับขมับตัวเอง อยู่กับมันไปจนกว่าสิ่งที่เรียกความหวังจะมาถึง

    ความหวัง...?

    ประโยคเมื่อครู่ก้องอยู่ในหัว เซฮุนคุ้นกับมันเหลือเกินคล้ายกับว่าเขาเคยพูดมันกับใครสักคน เด็กหนุ่มหลับตาลงขณะพยายามทวนความทรงจำ และพอลืมตาอีกครั้งผู้ชายถือมีดดาบก็หายไปแล้ว เด็กหนุ่มเลียริมฝีปากพลางถอนหายใจ นึกตัดพ้อผู้ชายคนนั้นที่ไม่ยอมให้หนีไปด้วยกันทั้งที่อยู่หลาย ๆ คนมีโอกาสรอดมากกว่า แต่ความคิดอีกด้านก็แย้งขึ้นมาว่า

    พอเกิดเรื่องแย่ ๆ ขึ้นทุกคนก็ต้องหนีเอาตัวรอดอยู่แล้ว ยอมรับความจริงเถอะ ไม่ว่าใครก็ต้องรักตัวเอง โชคดีแค่ไหนที่เขายังให้ไขควงกับนายทั้งที่จะวิ่งหนีไปโดยไม่สนใจก็ได้

    แต่มันจะใช้ป้องกันตัวเองจากพวกบ้าคลั่งที่มาพร้อมกันหลาย ๆ ตัวได้ยังไง?

    เลิกน้อยใจโลกแล้วเผชิญหน้ากับมันด้วยตัวเองเสียทีเถอะ ไม่ใช่นายแค่คนเดียวที่ต้องเจอเรื่องแบบนี้

    อดทนแล้วสู้กับมันสิ

    นายต้องทำได้

    พยายามให้กำลังใจตัวเองขณะมองไขควงในมืออีกครั้ง อุปกรณ์ซ่อมแซมสิ่งของชิ้นเล็ก ๆ ในมือ จะพาเด็กผู้ชายโง่ ๆ อย่างเขาไปได้ไกลแค่ไหนกันนะ?

    เซฮุนเงยหน้ามองหญิงสาวบ้าคลั่งที่ยังคงกัดกินซากศพอย่างเอร็ดอร่อย เขายืนรวบรวมความกล้าอยู่ตรงนั้นขณะหนึ่ง พยายามตั้งสติพร้อมกำไขควงไว้มั่น ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ทิ้งเสียงฝีเท้าให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว ก่อนจะแทงไขควงเลอะคราบน้ำมันเข้ากลางศีรษะอย่างแรงจนร่างหิวโหยหวีดร้องลั่น

    กร๊าซซซซซซซซซซซซซ!!!” เซฮุนผงะถอยหลังไปสามก้าวทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากภาพตรงหน้า

    มันจะตายไหม? เขาคิดในใจ และก็ได้คำตอบเป็นร่างที่ทรุดลงไปกองกับพื้นแน่นิ่งไม่ไหวติง

    เด็กหนุ่มเลียริมฝีปากที่กำลังสั่น หัวใจเต้นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนกลัวว่ามันจะหลุดออกมาข้างนอกโดยที่พวกบ้าคลั่งไม่ต้องเสียเวลาควักออกมาให้เสียเวลา เขามองเลือดที่ทะลักไหลออกมาจากกะโหลกศีรษะศพจนกระจายเป็นวงกว้าง มองอยู่อย่างนั้นขณะหนึ่งก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก

    ด้ามจับสีดำตัดกับผมบรอนด์ของหญิงสาวนั้นเด่นชัดว่าโอเซฮุนใช้ไขควงจัดการกับผีดิบได้ ริมฝีปากแห้งผากค่อย ๆ คลี่ยิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าไปดึงมันออกจากศีรษะซากศพอย่างระมัดระวัง

    กรรรรรรรรรรรรรรรซ์!!!”

    เสียงคำรามจากอีกฟากฝั่งดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณทำเด็กหนุ่มก้มตัวลงต่ำแผ่นหลังชิดกับผนังเย็นเฉียบ นั่นเป็นสัญญาณบอกว่ายังมีอุปสรรครออยู่ข้างหน้าอีกมากมายนักและมันคงน่ากลัวมากกว่าผีดิบตัวนี้ที่ถูกฆ่าไปเมื่อครู่

    อ๋า... แย่แล้วสิ... หาของปาล่อมันไปทางอื่นดีไหมนะ...

    เช่นอะไรล่ะ ตัวนายงั้นเหรอ?

    เป็นเด็กเป็นเล็ก ดูพูดจา เดี๋ยวก็ซ้ำแผลเดิมซะเลย

    งั้นก็โยนปืนในมือนายเบี่ยงความสนใจมัน

    ไม่ได้หรอก ถึงจะมีแค่กระสุนยาสลบสำหรับสัตว์ก็เถอะ แต่อย่างน้อยผมก็ใช้พานท้ายปืนฟาดพวกมันให้เสียหลักได้นะ อย่าทำเป็นเล่นไป

    สิ้นหวัง

    พอก่อนได้ไหมคะ ลูกศิษย์ฉันติดอยู่ฝั่งนั้น เราควรช่วยกันคิดหาทางออกกันอย่างจริงจังมากกว่าจะทะเลาะกันแบบนี้นะคะ

    เห็นไหม – โดน – ดุ – จนได้

    ไม่ใช่แค่ลูกศิษย์ของคุณ ลูกผมก็ด้วย ให้ตายสิ

    รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงบทสนทนาของคนกลุ่มหนึ่ง เด็กหนุ่มหันไปยังผนังฝั่งตรงข้ามแล้วก็พบผู้ชายสี่คนและผู้หญิงอีกคนหลบอยู่หลังท่อนซุงที่เต็มไปด้วยหิมะ ถกเถียงกันเกี่ยวกับการหาทางออกและเซฮุนเห็นด้วยกับผู้ชายตัวเล็กที่เสนอเรื่องการโยนของเบี่ยงความสนใจ แต่เขาคงไม่โยนสมาร์ทโฟนที่ยังให้ความสว่างได้กับไขควงในมือเด็ดขาด

    เซฮุนหันซ้ายขวาเพื่อหาอะไรสักอย่างที่พอจะมีน้ำหนักมากพอให้เบี่ยงความสนใจ ก่อนจะพบใบปลิวโฆษณาเก่า ๆ ที่เลอะไปด้วยคราบเลือด และมันฉีกขาดจนข้อความบางส่วนหายไป

    อี้___ยังไม่ตาย

    นายเห็น_ฟานถูกยิงจริง ๆ หรือเปล่าช___อล?

    ครับ ผมเห็นกับตา

    เฮ้... เซฮุนหลุดออกจากความคิดแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนกลุ่มนั้นที่กำลังพูดกับเขา พร้อมเสียงหวีดร้องของเหล่าผีดิบที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นราวกับว่ารู้ว่ายังมีคนเหลือรอดอยู่ตรงนี้นายไม่ได้อยู่คนเดียว ตกลงไหม?

    นั่นเป็นการให้กำลังใจหรือแค่ประโยคบอกเล่ากัน? ในสถานการณ์น่าสิ่วน่าขวานแบบนี้ เซฮุนจะขอคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าเขากำลังได้รับการปลอบโยน

    เราจะวิ่งนำไปก่อน และหน้าที่ของนายก็คือวิ่งตามมา อย่าทิ้งระยะห่างให้มาก

    ตกลงครับ ว่าแต่คุณจะยิงยาสลบทันไหมครับถ้าพวกมันมาเยอะ ๆ

    ไม่ทันหรอก ไอ้นี่อย่างมากก็แค่ทำให้มันสะดุ้งเท่านั้นแหละ เจ้าของปืนพูดกลั้วหัวเราะ

    แล้ว... เราจะผ่านมันไปได้เหรอครับ ฟังจากเสียงผมว่ามันน่าจะมีมากกว่าห้าตัวนะ... เด็กหนุ่มถามอย่างใคร่รู้พลางส่ายศีรษะเมื่ออาการวิงเวียนย้อนกลับมาอีกครั้ง เซฮุนพยายามเพ่งมองคนกลุ่มนั้น มองริมฝีปากที่คลี่ยิ้มบาง ๆ ทั้งที่ใบหน้าพร่าเบลอ

    ได้สิ ชายคนหนึ่งกล่าว

    ถ้าทุกคนอยู่ด้วยกัน เราก็จะผ่านมันไปได้

    ...

    รู้สึกชาวาบตรงหัวใจ เซฮุนรู้สึกเหมือนน้ำตามันพาลจะไหลออกมาอย่างไร้เหตุผล

    เหมือนกับทุกครั้ง

    ผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวกล่าว ก่อนคนกลุ่มนั้นจะเริ่มวิ่งนำไปโดยชายวัยกลางคน ตามด้วยคนที่ถือปืนยิงยาสลบและคนที่เหลือ เซฮุนกลอกตาลอกแล่ก หัวใจเต้นตุบตับจนเหมือนจะหลุดออกมา เขารีบลุกขึ้นวิ่งเพื่อรักษาระยะไม่ให้ห่างจากคนกลุ่มนั้นมากเกินไป แต่พวกบ้าคลั่งก็มีมากจนสัญชาตญาณบอกให้หยุดฝีเท้าถ้าไม่อยากถูกรุมกัดตาย

    เร็วเข้า!!!”

    รู้สึกเหมือนถูกบีบบังคับว่าถ้าผ่านตรงนี้ไปไม่ได้โอเซฮุนก็จะกลายเป็นอาหารว่างคลายหิว พวกบ้าคลั่งยึดครองพื้นที่จนแทบไม่เหลือช่องว่างให้เขาวิ่งผ่าน ขณะที่คนกลุ่มนั้นฝ่าไปได้แล้วแม้จะทุลักทุเลและเขาไม่รู้ว่ามีใครถูกกัดหรือไม่ เด็กหนุ่มไม่มีแม้แต่เวลาเป็นห่วงใครเมื่อตัวเขายังคงติดอยู่ตรงนี้ เซฮุนหอบหายใจ ซัดหมัดเข้าโหนกแก้มใบหน้าเหวอะหวะของร่างหิวกระหายจนเซไปชนตัวด้านหลัง ก่อนจะแทงไขควงเข้ากลางลูกตาตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างแรงแล้วรีบชักมือกลับ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาได้ช่องทางหนี

    กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”

    คนกลุ่มนั้น... หายไปแล้ว

    หายไป... เหมือนทุกคนที่เจอก่อนหน้านี้

    กรรรรรซ์....

    ...!!!” ไม่มีทางเลือกใดอีกนอกจากตั้งหน้าสู้ เซฮุนผลักอกผีดิบตัวใหญ่ออกให้พ้นระยะก่อนจะถอยหลังทีละก้าวเพื่อหาพื้นที่หายใจให้ตัวเอง แต่คนบ้าคลั่งมากมายก็เบียดเสียดกันเข้ามาจนตัดสินใจไม่ถูกว่าจะรับมือกับตัวไหนก่อน

    ออกไป!”

    ได้โปรด... โอเซฮุนยังไม่อยากตายตอนนี้

    ปัง!

    เสียงไรเฟิลดังขึ้นพร้อมเลือดที่สาดกระจายออกจากกะโหลกศีรษะผีดิบ มันทรุดลงไปกับพื้นพร้อมเสียงดึงโบล แต่ร่างที่กลายเป็นศพก็ยังมีน้อยกว่าร่างที่กำลังยื่นมือมาข้างหน้าหวังจะฉีกเนื้อเขาเป็นชิ้น ๆ  

    วิ่ง!” เสียงเจ้าของไรเฟิลตะโกนจากอีกฝั่ง และเซฮุนคิดว่าคงไม่มีโอกาสไหนดีไปกว่าตอนนี้อีกแล้ว เด็กหนุ่มตัวผอมหันหน้ามองหาทางหนีทีไล่ กัดฟันแน่นแล้วแทงไขควงเสยปลายคางผีดิบที่คว้าแขนเขาเอาไว้พร้อมผลักออกให้พ้นตัว

    เลือดสีเข้มสาดกระจายทันทีที่ของแหลมคมถูกกระชากออก เซฮุนเอาไหล่กระแทกประตูที่ไม่รู้ว่ามันอยู่ทางด้านซ้ายมือตั้งแต่เมื่อไหร่ ร่างผอมเซเข้าไปด้านในพร้อมปิดประตูและใช้แผ่นหลังดันเอาไว้ก่อนจะทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นท่ามกลางเสียงทุบของพวกด้านนอก

    เสียงไรเฟิลหายไปพร้อมความหวัง คนบ้าคลั่งยังคงทุบประตูเพื่อบอกให้โอเซฮุนรู้ว่าพวกมันมีกันมากมายจนใช้เวลานับทั้งวันก็ไม่หมด เซฮุนเงยหน้าขึ้นสาดแสงไฟไปรอบตัวแต่ก็พบเพียงกับแพงสี่เหลี่ยมแคบ ๆ มันทั้งเก่าและเย็นยะเยือกจนรู้สึกอึดอัด

    กึง ๆๆๆๆ

    กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”

    เด็กหนุ่มสะดุ้ง ตัวสั่นเทากับความกลัวที่ไม่สามารถใช้สติข่มไว้ได้อีกต่อไปแล้ว แสงไฟดวงเล็ก ๆ จากมือถือไม่ได้ช่วยให้ความอบอุ่นใจอีกต่อไปเมื่อมันเพิ่มภาพความกลัวให้กับเป็นกำแพงที่แคบลงกว่าเดิมจนแทบเหลือไม่ถึงหนึ่งเมตร

    ใจเย็น ๆ ก่อน รออีกสักพักพวกมันอาจจะทยอยกันไปทางอื่นก็ได้... ขอแค่ใจเย็นเข้าไว้...

    เซฮุนหลับตาลงพลางหายใจเข้าลึก ๆ กระทั่งเขารู้สึกชาแปลก ๆ ตรงข้อมือ จึงถลกแขนเสื้อขึ้นจนเห็นว่ามีเลือดสีสดทะลักไหลออกมาจากแผลที่เป็นรอยฟัน

    ถูกกัดแล้ว...

    เด็กหนุ่มนั่งนิ่งก่อนสมาร์ทโฟนจะหล่นออกจากมือ พอตั้งสติได้ก็รีบกดปิดแผลห้ามเลือดเอาไว้แต่มันก็ทะลักออกมาตามซอกเล็บอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงง่าย ๆ

    ไม่...เขากัดฟันแน่น หลับตาข่มความกลัวที่ตะโกนกึกก้องในหัวว่าความตายกำลังยืนอยู่ตรงหน้า

    เซฮุน...

    เจ้าของชื่อค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ปล่อยให้หยดน้ำใสไหลลงไปตามแก้มโดยไม่ได้บีบพลางมองไขควงบนพื้นที่ยังคงมีคราบน้ำมันติดอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นส่วนแหลมคมของมันก็ชโลมไปด้วยเลือด

    เห็นไหม ว่าฉันก็เลอะเหมือนกัน

    มันไม่เหมือนกันครับ... โอเซฮุนคงบ้าไปแล้วที่กำลังพูดกับความคิดตัวเองขณะมองไขควง ท่ามกลางเสียงทุบประตูจากด้านนอก เขาหดขาเข้าหาตัวพลางซบแก้มลงกับหัวเข่าขณะจ้องมองไขควงบนพื้น ร้องไห้เงียบ ๆ โดยไม่มีเสียงไปกับความเจ็บปวดที่พาความหวังไปจากเขา

    เหมือนสิ

    ไม่เหมือนครับ...

    เพราะนายเจ็บ นายก็เลยคิดว่าเราไม่เหมือนหรือไง?

    เด็กหนุ่มพยักหน้า กลืนก้อนสะอื้นลงคอทั้งที่มืออีกข้างยังคงกดแผลเอาไว้

    เพราะฉันเป็นไขควง นายเลยคิดว่าฉันคงไม่เจ็บใช่ไหม?

    คุณไม่ได้โดนกัดนะครับ

     ‘ฉันเจ็บเพราะว่านายเจ็บ

    ...

    และฉันคงเจ็บมากกว่านี้ถ้าปกป้องนายไม่ได้

    คุณปกป้องผมแล้ว ผมใช้คุณฆ่าผู้หญิงคนนั้น น้ำตายังคงไหล แต่อย่างน้อยไขควงเล่มนั้นก็ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากความเจ็บบาดแผลไปได้

    ‘ใช่ เราผลัดกันช่วย นายไม่ได้ทิ้งฉันลงกับพื้นตอนไอ้เวรนั่นยื่นให้ ฉันก็เลยใจดีอยากช่วยนาย เราเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรก ตั้งแต่รู้สึกว่าอีกฝ่ายจะเป็นจะตายยังไงก็ได้ จนถึงตอนนี้ที่เราเจอทางตันเป็นห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ และเราไม่อยากปล่อยมือกัน

    ฟังดูเหมือนผ่านมานาน ทั้งที่มันก็แค่เดี๋ยวเดียวเอง เด็กหนุ่มหัวเราะทั้งน้ำตา ก่อนจะปล่อยมือออกจากบาดแผลเพื่อเอาไขควงมาเช็ดทำความสะอาดกับแขนเสื้อตัวเอง หล่อแล้วนะครับ

    เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว

    เซฮุนยังคงหัวเราะแม้ว่าน้ำตาไหลไม่หยุด อยู่ ๆ แสงไฟจากมือถือก็ดับลงเพราะเลือดที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ขึ้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเลยข้อเท้า รอยยิ้มที่เคยมีจึงถูกกลืนหายไปและแทนที่ด้วยความกลัวที่ถ่ายทอดออกมาผ่านทางสีหน้า

    นี่มันอะไรครับ... เลือดพวกนี้มาจากไหน...เด็กหนุ่มตัวสั่น สะอื้นกับความมืดมิดและความเงียบ

    ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่ตรงนี้

    แต่เลือด...

    อย่าไปสนใจมัน

    เซฮุนพยายามไม่สนใจตามที่เสียงในความคิดพูด แต่ถึงอย่างนั้นช่วงขาก็เย็นยะเยือกเพราะรู้สึกได้ถึงเลือดที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ

    ผมไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองเลย... ตั้งแต่ลงจากรถไฟ เจอใครหลายจนมาถึงคุณ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างทางมันมีทั้งอุ่นใจ เหงา คิดถึง เสียใจ

    ฉันฟังอยู่

    ไม่รู้สิ ผมรู้สึกเหมือนทุกอย่างมันแปลกไปหมด แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงคิดไม่ออก อาจเป็นเพราะผมกำลังจะตาย

    ตาย? เสียงนั้นเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ขออนุญาตฉันหรือยัง?

    ...

    ตราบใดที่ฉันยังอยู่ตรงนี้ ทำไมถึงถอดใจยอมตายไปง่าย ๆ ล่ะ?

    ผมถูกกัดแล้ว อีกไม่นานผมคงเป็นใครสักคนที่คุณไม่รู้จัก

    แต่ตอนนี้นายคือโอเซฮุนที่ฉันรู้จักดี

    ...

    และฉันจะอยู่กับนายไปจนถึงวินาทีสุดท้าย ได้ยินหรือเปล่า?

    ใบหน้าขาวซบลงกับหัวเข่า สะอื้นจนตัวโยนท่ามกลางทะเลเลือดในห้องแคบที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เสียงพูดในความคิดหายไปแล้ว ใบหน้าเลอะไปด้วยน้ำตาเงยขึ้นมองความมืด ก่อนจะรู้ตัวว่าไขควงในมือหายไป

    ไม่... เซฮุนพึมพำกับตัวเอง ควานมือไปตามพื้นซึ่งเต็มไปด้วยเลือดเพื่อหาของสำคัญชิ้นสุดท้ายในชีวิต เสียงของเหลวกระเซ็นติดผนังเพราะการค้นหา เด็กหนุ่มร้องไห้จนแทบบ้าเพียงคิดว่าไขควงจะหายไปเหมือนกับคนอื่น ๆ

    วันนี้วันที่แปด

    เสียงปริศนากระซิบข้างหูแต่เซฮุนกลับไม่สนใจ เขายังคงพยายามหาไขควงที่จมหายไปในทะเลเลือด แต่ยิ่งพยายามหาเท่าไหร่มันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากจนเลือดห้อพร้อมกำหมัดแน่น เขาจะต้องหาไขควงเล่มนั้นให้เจอ

    ผมอยากให้คุณผ่อนคลาย ทนเจ็บนิดนึงนะ

    กำมันแล้วค่อย ๆ คลายออก ครับ อย่างนั้น

    ทำไมคุณถึงไม่ปล่อยเขาไปทั้งที่ผมให้เลือดคุณไปแล้ว!!!” เขาระเบิดออกมาอย่างเหลืออด ก่อนเลือดที่เคยโอบรอบตัวจะค่อย ๆ หายไป

    ประตูเปิดออกพร้อมเสียงเสียดสีของสนิม ข้างนอกไม่มีตัวกินคนรอต้อนรับเหยื่อที่เกือบตายเพราะจมกองเลือด แต่ตรงนั้นมีเพียงความว่างเปล่าและแสงสว่างเพียงน้อยนิดที่ช่วยให้เขามองเห็นไขควงบนพื้น

    เซฮุนหอบหายใจแล้วทรุดเข่าลงไปคว้าไขควงบนพื้นขึ้นมาแนบอก ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างโล่งใจ พร้อมร่างไร้เรี่ยวแรงที่ล้มลงไปกับพื้นซึ่งเต็มไปด้วยคราบเลือด

    มือเย็นเฉียบกำของที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจไว้แนบอกราวกับกลัวว่าจะหายไปอีก เซฮุนกำลังปกป้องสิ่งของไร้ชีวิตจากความอันตรายในโลกใบนี้ทั้งที่หายใจรวยริน ดวงตาคลอไปด้วยหยดน้ำใสเหม่อมองออกไปด้านนอก มองว่างเปล่า สิ้นหวัง พร้อมกระชับไขควงเล่มนั้นไว้แล้วหลับตาลง

    ผมอยู่ตรงนี้แล้วนะครับ... จงอิน

     

     

    70%

     


    ทุกคนต้องผ่านการตรวจร่างกายตามกฎของค่ายเมื่อมาถึงทางเข้าประตูหน้า มีเพียงคยองซูที่ถูกกักบริเวณเนื่องจากมีรอยบาดแผล แม้ว่าจะไม่ได้เกิดจากการถูกกัดแต่ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามระบบเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครกลายเป็นผีดิบลุกขึ้นมากัดผู้รอดชีวิตในค่ายกลางดึก

    อี้ชิงอาสาอยู่ด้วยจนกว่าจะครบสิบชั่วโมงตามกำหนด แต่ตรงนั้นไม่น่ากังวลนักเพราะมีเจ้าหน้าที่คอยดูอยู่ไม่ห่าง แม้ทีแรกคยองซูจะหวาดระแวงเนื่องจากมีนิสัยไม่ยอมไว้ใจคนแปลกหน้าง่าย ๆ จนกว่าจะเลือดตกยางออกเหมือนตอนฆ่ากันท่ามกลางสายฝนกับกลุ่มขี้คุกนั่น แต่สุดท้ายเจ้าเด็กตาโตก็ยอมนั่งเงียบ ๆ แล้วดื่มช็อกโกแลตร้อนจืด ๆ ที่ทางเจ้าหน้าที่หยิบยื่นให้

    จงอินทำหน้าเนือยตอนเห็นแบคฮยอนวิ่งไปข้างหน้าราวกับรู้ทาง เด็กคนนั้นวิ่ง ๆ หยุด ๆ หันซ้ายขวาเพื่อหาว่าปาร์คชานยอลนั่งทำหน้าหล่ออยู่ส่วนไหนของโลก แต่การชี้นิ้วบอกทางตอนเด็กนั่นหันมาทำตาใสเหมือนอยากเร่งให้เขาเดินเร็วกว่านี้ก็ไม่ได้ทำให้คิมจงอินหัวเสียเลยสักนิด กลับกันแล้วเขายังอุ่นใจขึ้นมาเสียอีกที่คนเหล่านั้นจะได้เจอกันอีกครั้งหลังถูกความกลัวที่เรียกว่า ‘การตาย’ ตัดความหวังไปช่วงเวลาหนึ่ง

    “จะวิ่งไปไหน บอกให้เลี้ยวขวา”

    “ทางนี้นะ?” แววตาของแบคฮยอนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ขาคู่นั้นแทบไม่ลังเลที่จะวิ่งตอนเขาพยักหน้าเป็นคำตอบ

    “ให้ตาย ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่?” จงอินส่ายศีรษะขณะมองเด็กคนนั้นที่ชะงักไปตอนเห็นทหารสองนายยืนเฝ้ายามอยู่ตรงปากทางเข้าตึกคนไข้

    “เรื่องนั้นผมก็สงสัยอยู่” ซีวอนยิ้มขำพลางนึกไปถึงตอนแบคฮยอนรั้นจะไปนั่งรอชานยอลที่วัดให้ได้แม้จะต้องเหนื่อยปั่นจักรยานไกลแค่ไหน

    “ที่จริงผมก็อยากวิ่งไปหาชานยอลเหมือนกัน แต่ถ้าทำอย่างนั้นก็กลัวจะโดนคุณกระแนะกระแหนว่าไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่” เสียงไอ้เจ้าหน้าที่อุทยานเหมือนแมลงหวี่ชวนให้ตบจริง ๆ ให้ตาย จงอินชำเลืองมองคนข้างตัวพร้อมทำท่าง้างมือ จงแดจึงรีบผงะออกตามสัญชาตญาณ “โห เมื่อกี้ใจผมนี่หายวาบ”

    “ว่าแต่พวกอี้ฟานจะมาถึงตอนไหน?” พอนึกถึงคนที่อยู่ฝั่งนั้นก็เป็นกังวลขึ้นมา คิมจงอินไม่รู้เลยว่าเพื่อนของเขาและคนอื่น ๆ จะเป็นอยู่ยังไงระหว่างเดินทางมาที่นี่ ถึงจีชางอุคจะให้ความสบายใจแล้ว แต่ชายหนุ่มผิวแทนก็ไม่กล้าวางใจกับอะไรก็ตามที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างทาง

    ถ้าเขาไม่เคยถูกตีหัวจนสูญเสียความทรงจำ ถ้าคนฉลาดมีไหวพริบอย่างชานยอลไม่เจ็บหนักจนต้องใช้ไม้ค้ำ ถ้าเซฮุนไม่ถูกกัดจนกลายเป็นว่าครั้งนี้คือโอกาสสุดท้าย... เขาก็คงวางใจได้มากกว่านี้

    “ทหารบอกว่าคงใช้เวลาประมาณอาทิตย์นึงกว่าจะมาถึง เพราะการย้ายคนเข้าแต่ละครั้งต้องมีจำนวนพลเรือนให้ครบตามกำหนด ไหนจะเส้นทางจากฝั่งนั้นมาโซลที่ต้องใช้ทางอ้อมเพราะถนนสายหลักเต็มไปด้วยพวกมัน เลยต้องใช้เวลาสักหน่อย”

    “พวกเขาไม่ได้เคลียร์ถนนตั้งแต่ก่อนออกจากโซลเหรอ?” จงแดถามอย่างใคร่รู้ และจงอินก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบ

    “เห็นว่ากระจายกันเป็นจุด เริ่มเคลียร์จากวงนอกแล้วค่อย ๆ บีบเข้ามา” ชายหนุ่มผิวแทนทำมือประกอบ “พวกกินคนกระจายอยู่เต็มไปหมด แค่ลั่นปืนนัดเดียวก็เรียกพวกมันมาเป็นฝูงแล้ว ปัญหาใหญ่อีกอย่างคือพอเสียกระสุนฆ่าพวกมันก็ยังต้องเคลียร์รถออกจากทางและแม่งก็กินเวลาไปโคตรเยอะ”

    “ถ้าทำแบบนั้นก็เสี่ยงกระสุนไม่พอใช้ก่อนถึงที่หมายด้วย” ซีวอนเสริม จงแดจึงพยักหน้าเข้าใจ

    “ชานยอล!” ทั้งสามคนหันไปตามเสียง ก่อนจะเห็นแบคฮยอนพุ่งเข้ากอดคนที่มีสภาพที่แทบเรียกได้ว่าร่างพัง คนเจ็บนิ่วหน้าพร้อมค้างแขนข้างหนึ่งไว้กลางอากาศ พลางก้มลงมองศีรษะทุยของคนตัวเล็กก่อนจะหลุดยิ้มออกมา คิมจงอินนึกทึ่งปาร์คชานยอลที่อดทนไหวจนไม่ร้องสักแอะ ผู้ชายคนนั้นเพียงพรูลมหายใจบรรเทาความเจ็บ แล้วค่อย ๆ โอบกอดเด็กคนนั้นไว้หลวม ๆ

    “ผมขอโทษ”

    “ไม่เห็นมีอะไรต้องขอโทษหรอก” นานแค่ไหนแล้วที่แบคฮยอนไม่ยอมปล่อยให้คนอื่นได้เห็นมุมแบบนี้ มันก็คงนานมากจนปาร์คชานยอลอมยิ้มเล็ก ๆ เมื่อนึกไปถึงช่วงแรกที่เพิ่งรู้จักกัน ตอนนั้นที่บยอนแบคฮยอนทำตัวได้เด็กกว่าอายุ รั้น และเอาแต่ใจ ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นคนเย็นชา พยายามเข้มแข็งจนถึงวันนี้

    “ระหว่างที่ผมไม่อยู่ คุณนอนหลับหรือเปล่าครับ?”

    “ใครจะไปหลับลง”

    “อ่า...”

    “เดี๋ยว ผมขอโทษ” แบคฮยอนรีบผละตัวออกทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเจ็บอยู่ คนตัวเล็กเบิกตากว้างอย่างรู้สึกผิด ปะป่ายมืออย่างระมัดระวังและพยายามโดนตัวคนตรงหน้าให้น้อยมากที่สุด “เมื่อกี้ผมกอดคุณซะแรงเลย เจ็บใช่ไหม?”

    “กอดแน่น ๆ ก็ดีเหมือนกันครับ เพราะเมื่อก่อนคุณแทบจะไม่กอดผมเลย” พอเห็นคนเจ็บทะเล้นได้จึงทำท่ากำหมัดขึ้นขู่ แต่บยอนแบคฮยอนก็ไม่กล้าลงโทษคนตรงหน้าไปมากกว่าการชกลมโชว์เบา ๆ “คนอื่นอยู่ไหนครับ?”

    เด็กน้อยหันหลังพร้อมมองไปยังชายหนุ่มอีกสามคนที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ คนที่เจ็บหนักจากการเอาตัวรอดจึงยิ้มบาง ๆ ก่อนรอยยิ้มนั้นจะเลือนหายไปเมื่อคิดว่าจะได้เจออีกสองคนที่ควรมาด้วยกัน

    “คยองซูถูกกักบริเวณเพราะมีแผล อี้ชิงก็เลยอยู่เป็นเพื่อนเขาน่ะ” แบคฮยอนรีบอธิบาย ชานยอลจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมพยักหน้าช้า ๆ ขณะที่สามคนนั้นตรงเข้ามาหยุดยืนข้างหน้าเขา

    “ดีใจที่ได้เจอคุณอีก”

    “ผมก็เหมือนกัน” ปาร์คชานยอลไม่คุ้นชินที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ แต่ตอนนี้เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากำลังรู้สึกดีเหลือเกินที่แบคฮยอนและจงแดช่วยประคองเขาเอาไว้ เพื่อให้มือที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลได้เอื้อมไปจับกับมือของซีวอน

    คนเรามีสิ่งที่ต้องเรียนรู้ทุกวัน ชานยอลเชื่ออย่างนั้นเมื่อเขากำลังเรียนรู้กับ ‘การได้รับ’ จากคนรอบข้าง

    “ปลอดภัยแล้วนะ” ชายวัยกลางคนไม่ได้ออกแรงบีบมือ แต่เขาสามารถรับรู้ได้ว่าภายในดวงตาของชเวซีวอนกำลังสื่อถึงอะไรอยู่

    สำหรับคนที่ท้อแท้หลังจากสูญเสียลูกจนตัดสินใจแยกทางกับคนอื่น ๆ เพราะเหน็ดเหนื่อยกับการใช้ชีวิต แต่สุดท้ายความเป็นคนดีที่มาพร้อมความเป็นห่วงเป็นใยคนรอบข้างก็พาผู้ชายคนนี้กลับมาช่วยคนในอุทยาน จนพวกเขาได้เจอกันอีกครั้ง และได้เป็นเพื่อนร่วมทางที่พร้อมจะช่วยกันเมื่ออีกฝ่ายพบเจอปัญหา

    จงอินบอกไม่ถูกว่าตอนนี้เขากำลังรู้สึกยังไง เหมือนกับว่าทุกอย่างมันเทมาพร้อมกัน ทั้งดีใจที่ได้เจอคนเหล่านี้อีกครั้ง รู้สึกดีที่เห็นคนอย่างปาร์คชานยอลยิ้มได้ เห็นว่ากลุ่มคนในอุทยานยังมีชีวิตอยู่และยอมละทิ้งที่แห่งนั้นไว้ข้างหลังเพื่อรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ มากกว่าจะยอมเอาชีวิตไปแลกเพื่อปกป้องภัยที่ไม่สามารถต้านทานได้

    อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าสิ่งดี ๆ คงกำลังจะเกิดขึ้นก็ได้ แต่กลับกันแล้วคิมจงอินก็รู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูกเมื่อคนที่เขารักมากที่สุดยังคงอยู่ในนั้น

    อยู่ในที่ ๆ เขามองไม่เห็น...

    เสียงของจงแดและแบคฮยอนนั้นสดใสกว่าใครในเวลานี้ จงอินค่อย ๆ ถอยออกมาเพื่อให้ทุกคนได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ถามไถ่ถึงเรื่องราวที่เขาเล่าไม่หมดเพราะคิดว่ามันคงดีกว่าถ้าจะให้ชานยอลได้พูดให้คนเหล่านี้ฟังด้วยตัวเอง จงอินไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอก แต่ยิ่งเห็นคนอื่นมีความสุขกับการได้เจอกันอีกครั้ง เขาก็ยิ่งคิดถึงเซฮุน

    ‘จงอินครับ’

    “...”

    ขายาวเดินไปอย่างเชื่องช้า ไปยังจุดเดิมที่จากมาพร้อมคำภาวนาในใจ ชายหนุ่มอยากให้ใครก็ได้เดินมาบอกว่าเด็กคนนั้นตื่นแล้วและเอาแต่ร้องเรียกหาเขาไม่หยุด คิมจงอินพร้อมที่จะงัดปากพูดคำว่า ‘ขอโทษ’ กับทหารและทีมแพทย์ทุกคน ถ้ามันแลกกับการได้เห็นเด็กคนนั้นกลับมายิ้มอีกครั้ง

    แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นเพียงประตูบานเดิมที่ปิดสนิท บนทางเดินเงียบไม่มีวี่แววทีมแพทย์เดินเข้าออก ไม่มีทหารเดินมาคว้าไหล่แล้วบอกให้เขาไปนั่งรอ เผื่อเวลาเซฮุนตื่นขึ้นมาแล้วจะพาเข้าไปเยี่ยม

    เพราะนั่นเป็นเพียงความคิดของผู้ชายที่หายใจอยู่ได้เพราะสิ่งที่เรียกว่าความหวัง



    *





    “กิน – ข้าว – ครับ”

    จงอินเงยหน้ามองผู้มาใหม่ที่เข้ามาทำลายความเงียบในเช้าวันที่ท้องฟ้าไม่ได้แจ่มใสอย่างที่คาดหวัง จางอี้ชิงมอบรอยยิ้มและกล่องข้าวเล็ก ๆ ให้พร้อมหยัดตัวลงบนบันไดขั้นเดียวกัน และถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกขณะทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า

    หลังจากผ่านการตรวจร่างกายเรียบร้อยอี้ชิงกับคนอื่น ๆ ก็ถูกพาไปอาคารรวมและค้างคืนในห้องโถงรวมกับพลเรือนหน้าใหม่ จงอินได้ยินมาว่าคนที่อยู่มานานแล้วจะถูกพาไปอยู่โซนด้านหลังซึ่งมีอพาร์ทเม้นท์ที่ได้ห้องส่วนตัวเล็ก ๆ สำหรับหนึ่งครอบครัว โดยไม่ต้องนอนรวมกับคนอื่น

    แม้ค่ายนี้จะช่วยเหลือผู้รอดชีวิต แต่ที่นี่ก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนด้วยการทำงานแลกกับที่อยู่อาศัยและอาหาร

    “รู้ได้ไงว่าฉันยังไม่กิน?”

    “ผมตื่นเช้า – เพราะนอน – ไม่หลับ” บุรุษพยาบาลหนุ่มเปิดฝาถ้วยกับข้าวให้แล้วยัดช้อนใส่มือเขา “เห็นคุณ – อยู่ตรงนี้ – นานมากแล้ว”

    “ทำไมนอนไม่หลับ กังวลหรือไง?” จงอินเลือกถามมากกว่าเป็นฝ่ายตอบ เพราะไม่ว่าใครเดินผ่านมาทางนี้ก็คงเห็นผู้ชายอย่างเขานั่งอยู่ตรงจุดเดิมอยู่ทุกวี่ทุกวันราวกับเป็นรูปปั้น

    “ครับ” อี้ชิงตอบอย่างไม่โกหก “แต่คิดว่า – คืนนี้ – ผมอาจจะหลับได้ – อย่างสบายใจ – สักที”

    เป็นเพราะผ่านเรื่องราวเลวร้ายมามาก จางอี้ชิงจึงไม่กล้าวางใจกับอะไรทั้งนั้น บุรุษพยาบาลหนุ่มยิ้มบาง ๆ ขณะสบตากับคนข้างตัว มองคิมจงอินที่เคยหายไปจากการถูกทำร้ายและกลับมาเป็นคนใหม่ที่ครอบครัวไม่คุ้นชิน แต่ตอนนี้เขารู้สึกได้ว่า... คิมจงอินคนเดิมกลับมาแล้ว

    “ฉันก็ไม่รู้ว่าที่นี่จะเอาแน่เอานอนได้มากแค่ไหน แต่มันคือทางเลือกสุดท้ายสำหรับเซฮุน”

    “ครับ – ผมรู้” อี้ชิงพยักหน้า “ถ้ามีเรื่องไม่คาด – ฝัน – เกิดขึ้น – พอถึงตอนนั้น – ผมเชื่อว่า – เราทุกคน – จะร่วมมือกัน – ผ่านมันไปให้ได้”

    จงอินเขี่ยข้าวในถ้วยก่อนจะหลุดขำในลำคอเบา ๆ ‘เรา’ งั้นเหรอ เขาชอบคำนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

    “ผมจะไปดู – อาคาร – คนไข้” อี้ชิงประสานมือไว้บนตัก “ผมคิดว่า – มันคงดี – ถ้าผมจะได้ใช้ความรู้ – ให้มีประโยชน์กับที่นี่”

    จงอินไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระแล้วตักข้าวเข้าปากคำใหญ่ เขารู้ว่าสภาวะร่างกายตอนนี้มันไม่ต้อนรับอาหารชาติไหนทั้งนั้น แต่ถ้าจะมีชีวิตอยู่เพื่อรอเซฮุน เขาก็ต้องกิน

    “คุณเคยได้ยิน – เรื่อง – ใบโคลเวอร์ – สี่แฉกไหม?”

    “หึ” ชายหนุ่มผิวแทนส่ายศีรษะปฏิเสธ ยัดข้าวเข้าไปจนแน่นกระพุ้งแก้มและฝืนกลืนลงไปให้หมด

    “มันอาจจะ – ฟังดูเหมือนเด็ก – แต่เคยมีคนบอกผมว่า – ถ้าเจอ – ใบโคลเวอร์ – สี่แฉก – นั่นหมายความว่า – จะเจอรักแท้ – แต่ถ้าเราเจอ – แล้วเอาไปให้ใคร – คน ๆ นั้น – จะโชคดี”

    “เลอะเทอะ” จงอินมองลักยิ้มบนแก้มคนข้าง ๆ ที่ไม่รู้ว่าขำคำตอบของเขา หรือขำความพยายามอธิบายเรื่องงี่เง่านั่นเป็นภาษาเกาหลีกันแน่ “ถ้าได้ผลจริงป่านนี้คนที่เจอมันคงไม่ถูกกัดตายเปล่าวะ”

    “เพราะพวกเขา – ไม่เจอ – ใบโคลเวอร์ – สี่แฉก – ต่างหาก” บุรุษพยาบาลหนุ่มตบหน้าขาอีกคนเบา ๆ แล้วอมยิ้ม “ผมจะ – ไปดูอาการ – ชานยอล”

    “...”

    “ส่วนคุณ” อี้ชิงเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งพลางทาบมือลงบนแผ่นหลังกว้างจนคนข้าง ๆ นั่งยืดหลังตรง “นั่งท่านี้นาน ๆ – จะทำให้ปวด – หลัง – เพราะฉะนั้น – เดินบิดเนื้อบิดตัว – บ้างนะครับ”

    “รู้แล้วน่า”

    “อย่าลืม – นะ” จงอินมองนิ้วทั้งสี่ที่อีกคนชูขึ้นมาระดับหัวไหล่ “หา – ใบโคลเวอร์ – สี่แฉก – ของคุณให้เจอ”

    จางอี้ชิงเดินจากไปพร้อมประโยคที่ทิ้งเอาไว้ให้คิด ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง จงอินนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นตามลำพังกับเรื่องที่วิ่งวนอยู่ในหัวอย่างเชื่องช้าแต่ก็ไม่หนีหายไปไหน ‘ใบโคลเวอร์สี่แฉกงั้นเหรอ... มันจะไปช่วยอะไรได้?’

    แต่สิ่งที่เขาทำได้ดีมากที่สุดกลับไม่ใช่การปล่อยคำพูดของจางอี้ชิงให้เลยผ่านไป คิมจงอินกำลังคิดว่าใบหน้าโง่อะไรนั่นหน้าตาเป็นยังไง และมันได้ผลจริงหรือ?

    “นี่ไอ้หนู”

    “ฮะ?”

    “รู้จักใบโคลเวอร์สี่แฉกหรือเปล่า?”

    จงอินมองเด็กเล็กกลุ่มหนึ่งที่กำลังโยนลูกบอลเล่นกันบนถนน หนึ่งในนั้นหันไปหาเพื่อนราวกับจะขอตัวช่วย ซึ่งคิมจงอินไม่น่าคาดหวังว่าเด็กมันจะรู้จักทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองยังนึกไม่ออกว่าไอ้ใบสี่แฉกนั่นหน้าตาเป็นยังไง

    “รู้จักฮะ ผมเคยเห็นในหนังสือระบายสีวิชาศิลปะ” อ้าวเวร ทำไมเด็กมันรู้จักวะ

    “แล้วแถวนี้มีไหม?”

    เด็กน้อยหันไปมองหน้ากันอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมาส่ายศีรษะ “ผมไม่รู้ แต่เดี๋ยวจะไปถามแม่ให้นะ”

    “ไม่เป็นไร ไม่ต้อง มานี่ซิ” จงอินพยักหน้าเรียก เด็กตัวเล็กที่สุดจึงเดินมาพร้อมลูกบอลยาง ก่อนเจ้าตัวจะถูกประคองให้เข้ามายืนอยู่ตรงกลางระหว่างขาของเขา “หน้าตามันเป็นยังไง? อธิบายหน่อยสิ”

    “ใบโคลเวอร์น่ะเหรอ?” ทั้งคู่สบตากัน พี่ชายตัวโตจึงพยักหน้า “มันจะมีหลาย ๆ แฉกแบบนี้ ๆ แต่ว่าสี่แฉกจะหายากที่สุด ใครหาเจอจะโชคดีมาก ๆ เลย”

    “หายากด้วย?”

    “ฮะ พี่จะเอาไปทำอะไรเหรอ?”

    “มีคนบอกว่าถ้าหามันเจอแล้วจะโชคดี ตอนนี้คนที่พี่รักกำลังไม่สบาย พี่อยากหามาให้เขา” ผู้ชายที่เชื่อตัวเองมากกว่าปาฏิหาริย์กำลังพยายามถามถึงอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นจากความเชื่อปากต่อปาก

    “เขาไม่ได้ถูกพวกข้างนอกกัดมาใช่ไหมฮะ?” ประโยคทิ่มแทงใจทำชายหนุ่มชะงักไป “ถ้าใช่… ใบโคลเวอร์จะช่วยได้เหรอ…?”

    “ไม่ได้หรอก ใครถูกกัดก็ต้องตายเหมือนพ่อของนาย” เด็กชายที่อยู่ข้างหลังแย้งเพื่อบอกให้ทุกคนอยู่กับความจริงที่โหดร้ายว่าใครก็ตามที่ถูกกัดก็จะเปลี่ยนไปเป็นเหมือนพวกมัน

    “เฮ้ พูดให้มันดี ๆ หน่อย” เด็กชายเหล่านั้นชะงัก ฉายแววตาหวาดกลัวต่อเจ้าของคำพูดที่มองมาด้วยแววตาเรียบเฉย “มีคน ๆ นึงเคยคนถูกกัดแต่ไม่เปลี่ยน และเขายังมีชีวิตอยู่”

    “จริงเหรอฮะ?!”

    “สุดยอดไปเลย แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนเหรอฮะ?!”

    เด็กน้อยต่างตาโตเป็นประกายกับความตื่นเต้นที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน ขณะที่คนถูกถามกลับนั่งนิ่ง เพราะไม่สามารถพูดออกไปได้อย่างเต็มปากว่าคน ๆ นั้นอยู่ในอาการโคม่า

    “เขาอยู่แถว ๆ นี้แหละ ไว้ว่าง ๆ จะพามาแนะนำให้รู้จัก” ชายหนุ่มผิวแทนพยายามเก็บสีหน้าให้เป็นปกติมากที่สุด เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่ โกหกเด็กด้วยเรื่องที่อยากให้เป็นความจริงหรือไง?

    “คนนั้นต้องเป็นซุปเปอร์ฮีโร่แน่เลย ถูกกัดแล้วไม่เปลี่ยนแสดงว่าจะออกไปสู้กับพวกข้างนอกกี่ครั้งก็ได้”

    เสียงไร้เดียงสาของเหล่าเด็กน้อยทำเขาเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน กับความจริงที่ว่าโอเซฮุนเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ของพวกเขาทุกคน ตั้งแต่ตอนที่ไม่มีใครอยากเสี่ยงเข้าไปในโรงเรียนเพื่อเอายามารักษาเด็ก แต่เด็กคนนั้นก็มีความกล้าแม้ว่าจะกลัวไม่ต่างจากคนอื่น

    เซฮุนเสี่ยงตายมาแล้วกี่ครั้ง มันมากเกินไปที่เด็กคนหนึ่งจะรับไหว

    “ใช่ เขาเป็นซุปเปอร์ฮีโร่” จงอินยิ้มบาง ๆ ขณะมองรอยยิ้มของเด็กน้อย “และพี่อยากให้ทุกคนเข้มแข็งเหมือนกับเขา”

    “เข้มแข็งเหรอ…?”

    “แต่ถ้าผมถูกกัดแล้วจะตายนะ ผมไม่มีพลังพิเศษ”

    “ทุกคนมีพลังพิเศษไม่เหมือนกัน พี่ก็มี แต่พี่ไม่บอกหรอกนะว่ามันคืออะไร” รอยยิ้มของพี่ชายตัวโตช่างเศร้าเหลือเกิน เด็กน้อยที่เคยทำหน้าหวาด ๆ ในทีแรกเริ่มขยับเข้ามาใกล้ เมื่อการพูดคุยเริ่มคละคลุ้งไปด้วยความไว้ใจ

    “พวกเรามีพลังวิเศษเหรอฮะ?”

    “อืม” จงอินลูบหัวเด็กน้อย “เข้มแข็งเพื่อคนที่อยู่เพื่อเรา นั่นคือสิ่งที่พี่และซุปเปอร์ฮีโร่คนนั้นมีเหมือนกัน”

    “...”

    “และอีกอย่างที่เรามีเหมือนกันก็คือ...”

    เด็กน้อยจ้องมองพี่ชายตัวโตอย่างตั้งใจ

    ‘แล้วถ้าเหตุผลที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่คือคุณ... มันจะฟังขึ้นหรือเปล่าครับจงอิน?’

    “เหตุผลของการมีชีวิตอยู่”

    “มันเป็นใบสีเขียวฮะ คุณครูบอกว่าจะเกิดขึ้นตามพงหญ้า แต่ผมไม่รู้ว่าแถวนี้จะมีไหม” เพิ่งรู้ตัวว่าเด็กที่อยู่ตรงกลางระหว่างขาหายตัวไปก็ตอนที่เจ้าตัวเดินกลับมาพร้อมสมุดเล่มเล็กกับดินสอหนึ่งแท่งที่วาดรูปใบไม้สี่แฉกด้วยลายเส้นยึกยือ

    “ขอบใจนะไอ้หนู” จงอินยีผมเจ้าตัวน้อยที่ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงเดินไปทำอย่างอื่น ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การนั่งคุยกับเด็กด้วยหัวข้อที่เขาเคยคิดว่ามันไร้สาระ

    หลายครั้งที่ชายหนุ่มต่อสู้กับความคิดตัวเอง ที่มันพาลคิดแต่เรื่องไม่ดีเพียงเพราะทำได้แค่รอ คิมจงอินต้องสร้างความหวังให้ตัวเองอยู่ทุกขณะ ให้ได้สักครึ่งหนึ่งของเซฮุนตอนใช้ชีวิตอยู่เพื่อรอเขากลับไป เรื่องเมื่อตอนต้นปีทำเด็กคนนั้นเจ็บปวดแค่ไหน… มันคงไม่ต่างจากเขาในตอนนี้เลยใช่ไหม?




    *




    อาการชานยอลยังคงไม่ดีขึ้นในวันสองวัน แต่สีหน้าหมอนั่นก็ดูสดใสขึ้นเมื่อได้อยู่กับพวกซีวอน เห็นแล้วอยากให้คนที่เหลือได้มาเห็นกับตาว่าแท้จริงแล้วปาร์คชานยอลก็ไม่ได้เก่งแต่ทำหน้านิ่ง ขมวดคิ้วตลอดเวลาอย่างที่เห็นมาตลอด โดยเฉพาะไอ้ลู่หานที่พร้อมจะแซะทุกวิถีทางเพื่อให้รอยยิ้มบนใบหน้าอีกฝ่ายหายไป

    คนเหล่านั้นเริ่มปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้แล้ว อี้ชิงเริ่มต้นจากป้อนข้าวคนไข้ที่ป่วยเพราะโรคคนแก่ และช่วยเหลือพยาบาลเรื่องสัพเพเหระได้เป็นอย่างดี ซีวอน และแบคฮยอนช่วยเรื่องเก็บของกินของใช้เข้าคลัง จงแดใช้เวลาว่างให้ความรู้เด็กเกี่ยวกับสัตว์ป่าสงวน คยองซูทำได้แค่นั่ง ๆ นอน ๆ รอแผลหาย

    ส่วนคิมจงอินไม่ได้ทำประโยชน์ให้สังคมนัก เพราะเขาเอาแต่เดินวนไปวนมาอยู่ละแวกนี้สักพักแล้ว ไม่สิ ต้องบอกว่าผู้ชายไม่เชื่อใจโลกและเรื่องเหนือธรรมชาติได้ทำเรื่องบ้าบอคอแตกตั้งแต่ตอนกลางวันมาจนถึงฟ้ามืดถึงจะถูก จงอินไม่เคยคิดว่าจะมาทำอะไรแบบนี้ กระทั่งเขารู้สึกว่าการสร้างความหวังอันน้อยนิดมันมีค่ากับหัวใจมากแค่ไหน

    ในมือมีใบโคลเวอร์สามแฉกอยู่จำนวนหนึ่ง พิสูจน์จากแม่บ้านสาวที่เดินผ่านมาแล้วว่ามันใช่ของจริง แต่ถึงอย่างนั้นการหาสี่แฉกก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องทำต่อไป จงอินอยากได้มันเมื่อใบสามแฉกยังพาไปไม่ถึงเรื่องความเชื่อ เขาจึงตั้งใจว่าจะหาต่ออีกสักหน่อย แต่ถ้าที่นี่ไม่มีจริง ๆ เขาจะยอมถอดใจ

    เอาใบโคลเวอร์สามแฉกขึ้นมามองใกล้ ๆ สำหรับคนไม่มีความรู้อย่างเขา มันก็เป็นแค่หญ้าต้นเล็ก ๆ ที่พอโดนเหยียบก็ตาย ไม่น่าเชื่อเลยว่าใครหลายคนจะมองเห็นมันเป็นสัญลักษณ์ของความหวัง ซึ่งกำหนดความสมหวังไว้ที่ระดับความหายากของมัน

    “ถ้ามึงช่วยเซฮุนได้ กูจะหาดอกไม้สวย ๆ มาปลูกประดับให้เต็มรั้วเลย” เขาพูดกับต้นใบเขียวที่รู้ดีว่ามันคงพูดไม่ได้ และไม่รับรู้ถึงความคาดหวังที่เขาฝากไว้

    จงอินหลุดยิ้มเพราะนึกออกว่าเด็กคนนั้นจะทำหน้าแบบไหนตอนเห็นคนห่าม ๆ ก้มหน้าก้มตาหาใบโคลเวอร์สี่แฉกอย่างจริงจังมากกว่าการขับรถออกไปข้างนอกเพื่อตามล่าหมอเก่ง ๆ สักคนในโลกมารักษา

    และรอยยิ้มก็เริ่มจางหายไปเมื่อนึกถึงประตูบานนั้นที่เขาได้แต่ยืนจ้องมัน แต่กลับไม่มีโอกาสเห็นว่าข้างในนั้นเซฮุนเป็นอยู่ยังไง จงอินพยายามไม่สร้างปัญหาหรือเข้าไปวุ่นวายมากเกินจำเป็น ชายหนุ่มผิวแทนเพียงนั่งอยู่แถว ๆ นั้นเพื่อให้ทีมแพทย์และทหารเห็นว่าเขายังรอฟังข่าวดีอยู่

    แต่เมื่อไหร่คนข้างในนั้นจะออกมาบอกเล่าความคืบหน้าสักที?

    “กูรำคาญพวกนักวิทยาศาสตร์ฉิบหาย ขี้เก๊ก ทำเหมือนรู้มาก”

    “มึงก็ร้อนเกินไป แค่เรื่องเรียนก็คนละสายแล้ว มึงจะทะเลาะกับมันทำไมวะ?”

    คืนนี้อากาศเย็นเหมือนกับทุกวัน การได้บุหรี่สูบสักตัวเป็นการเพิ่มความอบอุ่นให้ทหารที่คอยเดินลาดตระเวนหรือเฝ้ายามเป็นจุด ๆ ได้ จงอินหันไปทางทหารสองนายที่กำลังอัดควันขม ๆ เข้าปอดเพื่อดับความหัวเสียที่เกิดขึ้น

    “กูอธิบายไปตามที่เจอมา แต่แม่งก็เอาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาแย้งอยู่ได้ว่ามันต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ไอ้ห่า พวกที่อยู่แต่ในแลปจะเข้าใจเวลาสู้กับพวกข้างนอกได้ยังไง ประสบการณ์ที่กูมีกับความรู้ที่พวกมันเรียนมาทั้งชีวิตมันเทียบกันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ พอออกไปเดินข้างนอกความรู้จะช่วยอะไรได้”

    “มึงเป็นทหารส่วนมันเป็นนักวิทยาศาสตร์ จะเอามาเทียบกันก็ไม่ถูกเปล่าวะ?”

    “เหอะ ทำเป็นอวดเก่ง กล้าพูดปะล่ะว่าเด็กนั่นตายไปแล้ว ก็ไม่กล้าไง กลัวโดนหยามว่ากระจอก”

    “เอาน่า”

    “พยายามช่วยอะไร กูได้ยินชาวบ้านคุยกันว่าเด็กที่นั่งฮอล์มาจากทางใต้ตายตั้งแต่คืนแรกแล้ว จะเอาอะไรไปรอด”

    เสียงหวีดหวิวดังกึกก้องอยู่ในหูหลังจากสิ้นสุดประโยคเมื่อครู่ หัวใจที่เคยทำงานในจังหวะปกติกำลังเต้นเร็วแรงและปวดหนึบขึ้นมาเมื่อสมองมันสั่งการว่าเรื่องที่ได้ยินอาจจะเกี่ยวข้องกับตน

    “สงสารก็แต่ไอ้คนที่มานั่งรอหน้าตึกทุกวัน ก็เข้าใจนะว่าคาดหวัง แต่การเชื่อในปาฏิหาริย์ที่ไม่มีอยู่จริงนั่นมันก็เหมือนการหลอกตัวเอง”

    “เดี๋ยว...” ทหารทั้งสองนายหันไปทางคนที่เพิ่งกล่าวถึงซึ่งไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ชายหนุ่มผิวแทนไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตากับเขาเลยด้วยซ้ำ ดวงตาคู่นั้นเพียงหลุบลงมองต่ำ ราวกับว่ากำลังเรียบเรียงคำพูด “เด็กที่นั่งฮอล์มาที่ว่า...”

    เสียงหวีดยังคงกึกก้องอยู่ในหัวประสานกับเสียงหัวใจของตัวเอง จงอินรู้สึกว่าการหายใจเริ่มเป็นเรื่องยากกับการถามเอาคำตอบที่ทั้งอยากรู้และกลัวที่จะฟังในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มผิวแทนคว้าข้อมือทหาร ก่อนบุหรี่ตัวนั้นจะร่วงตกพื้นเพราะเขาออกแรงบีบโดยไม่ตั้งใจ

    “หมายถึงใคร?”

    “ฉัน...”

    “ถามว่าหมายถึงใคร?!” รู้ตัวอีกทีมือข้างนั้นก็เปลี่ยนเป็นกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ๆ สบตากันเพื่อบีบบังคับเอาคำตอบให้ได้เมื่อการรอเพียงวินาทีเดียวกลายเป็นเรื่องที่เขาไม่ต้องการอีกต่อไป

    “เฮ้ ๆ ใจเย็นก่อน” ทหารอีกนายพยายามแยกชายหนุ่มผิวแทนออก ก่อนทหารยามที่อยู่ละแวกนั้นจะเข้ามาสมทบ จงอินถูกรวบแขนทั้งสองข้างพร้อมดึงออกมา แต่คนรอที่กำลังถูกฆ่าให้ตายด้วยคำว่าความกลัวก็มีเรี่ยวแรงมากจนต้องใช้ทหารสามนายในการหยุด

    “กูถามว่าใครตาย?!” แม้ตรงนั้นจะมีเสาไฟเพียงต้นเดียว แต่ทหารทั้งสี่นายก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคิมจงอินมีสีหน้ายังไง สำหรับคนที่อยู่รออย่างมีความหวังมาเป็นอาทิตย์ มันช่างบ้าบอเหลือเกินที่บังเอิญมาได้ยินเรื่องแบบนี้

    “น้องชายคุณ”

    “...”

    “ผมได้ยินข่าวลือว่าเขาตายไปหลายวันแล้วเพราะต้านเชื้อไว้ไม่ไหว”

    เป็นทหารอีกคนที่คลายความคาใจ จงอินรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังลงภายในพริบตากับเรื่องที่เขาหวังว่าจะไม่มีทางเกิดขึ้นกับเด็กคนนั้น ร่างที่เคยยื้อดึงเมื่อครู่ยืนแน่นิ่งไป ชายหนุ่มผิวแทนส่ายหน้าอย่างไม่อยากยอมรับพลางพึมพำคำว่า ‘ไม่’ ซ้ำ ๆ

    ทหารสองนายหันไปมองหน้ากัน พวกเขาเข้าใจความรู้สึกนั้นที่ต้องยอมรับการสูญเสียที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น

    “เด็กคนนั้นจะตายได้ยังไง เขาเคยถูกกัดมาแล้วตั้งหลายครั้ง แล้วเขาก็รอด” ถ้าเทียบกับค่ายทดลองนั่น จงอินคิดว่าคราวนั้นเขามีความหวังมากกว่านี้ว่าต่อให้จะเกิดอะไรขึ้น... เซฮุนก็จะปลอดภัย

    ‘จงอินครับ’

    ‘ว่า?’

    ‘ผมรักคุณจัง’

    ไม่...

    ถ้าพระเจ้ามีจริงและอยากพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าปาฏิหาริย์หน้าตาเป็นยังไงงั้นก็รีบทำมันซะตั้งแต่ตอนนี้ จะให้แลกด้วยการถูกตีหัวจนจำตัวเองไม่ได้ หรือนอนจมกองเลือดตายท่ามกลางหิมะที่หนาวไปจนถึงขั้วหัวใจเขาก็ยอมทั้งนั้น แต่ขอแค่ให้เซฮุนมีชีวิตอยู่... แค่นั้นได้ไหม เพียงเรื่องเดียวที่คิมจงอินอยากวอนขอต่อพระเจ้าสักครั้ง

    เขาดันอกคนตรงหน้าออกให้พ้นทาง ทหารเหล่านั้นมองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มผิวแทนที่คล้ายว่ากำลังปล่อยให้ตัวเองได้ทบทวนความคิด ก่อนจะตัดสินใจวิ่งเข้าไปในอาคารโดยไม่สนว่าใครหน้าไหนจะขวางทาง

    “เซฮุน...”

    หากความหวังและความบ้าบิ่นของคิมจงอินเป็นด้ายเส้นบาง ๆ เขาคิดว่ามันคงขาดผึงไปแล้ว

    ไม่มีทางเป็นความจริงเด็ดขาด... เซฮุนจะตายได้ยังไงกัน? ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เขาทั้งคู่อยากทำร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการตื่นมาตอนเช้าเพื่อเห็นว่าคนข้างตัวยังผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ ขับรถออกไปหาเสบียงด้วยกันและร้องเพลงบัลลาดจนเสียงหลง เขายังอยากกอดอีกฝ่ายเอาไว้ อยากกระซิบบอกให้ได้ยินกันสองคนว่าคิมจงอินคนนี้รักโอเซฮุนมากแค่ไหน

    เขารักเด็กคนนั้นมากเสียจนอยากให้พระเจ้าเอาชีวิตเขาไปแทน

    ชายหนุ่มผิวแทนทิ้งมารยาทและความเกรงใจไว้ข้างหลังแล้วตรงเข้าไปหาประตูสีขาวที่ไม่เคยเปิดรับเขาเข้าไป ทหารสองนายที่เคยเฝ้าอยู่หน้าตึกรีบเข้ามาขวางไว้ คว้าแขนทั้งสองข้างของผู้ฝ่าฝืนกฎพร้อมดึงให้ออกห่างจากห้องทดลอง

    “เซฮุน!!!” เขาตะโกนโดยไม่สามารถควบคุมสติได้อีก จงอินไม่ได้ยินเสียงใด ๆ นอกจากเสียงของเด็กคนนั้นที่อยู่ในความทรงจำ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่ทั้งคู่ไม่ชอบขี้หน้ากัน กระทั่งความรู้สึกก่อตัวขึ้นจนคนหยาบกระด้างอย่างคิมจงอินได้รู้จักคำว่าความรัก

    รอยยิ้มและแววตาคู่นั้นที่บอกให้รู้ได้ว่าโอเซฮุนรักเขามากแค่ไหนแม้ไม่ได้พูดออกมา กับเสียงหัวเราะที่เกิดขึ้นแม้ว่าตอนนั้นเราจะเจ็บปวดจากโลกใบนี้มากเพียงใด

    “ไม่...”

    ‘คราวหลังเขย่าตัวผมเลยนะครับ ถ้าเป็นคุณปลุก ผมจะรีบตื่นทันทีเลย’

    “ปล่อยให้ฉันเข้าไปปลุกเขา...”

    “พอสักทีเถอะน่า!” ร่างของจงอินถูกกระชากลากดึงไม่หยุด เขาจึงผลักคนในเครื่องแบบออกพร้อมซัดหมัดลุ่น ๆ ใส่จนทหารอีกนายล้มลงไป ขายาวก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง ประตูบานนั้นเคยน่ากลัวแค่ไหนวันนี้มันก็ยังให้ความรู้สึกไม่ต่างจากเดิม

    ภาพตรงหน้าพร่ามัวและชัดขึ้นตามลำดับเมื่อน้ำตาไหลออกมาแม้ไม่ได้บีบ มือหยาบกร้านเคยซ่อมรถมาครึ่งชีวิตกำลังเอื้อมไขว่คว้าหาหัวใจตัวเองที่อยู่หลังประตูบานนั้นก่อนร่างของเขาจะถูกซัดจากข้างหลังจนล้มลงไปคุกเข่า

    “...!!!” ทหารมองหน้ากัน เขาจำเป็นต้องทำแบบนี้เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมหยุดสร้างความวุ่นวายในยามค่ำคืน จงอินมองใบสีเขียวสามแฉกที่ถูกบี้จนแทบแหลกละเอียดคามือระหว่างทางที่วิ่งมา จนเกิดคำถามอย่างคนสิ้นหวังว่าถ้าหากเขาเจอใบโคลเวอร์สี่แฉกแล้วเรื่องดี ๆ จะเกิดขึ้นจริงอย่างที่ใครว่าไว้หรือไม่

    เพราะสามแฉกมันไม่พอกับความโชคดีที่เด็กคนนั้นควรได้รับใช่ไหม คิมจงอินต้องหาใบโคลเวอร์สี่แฉกอีกสักเท่าไหร่ถึงจะได้เซฮุนกลับคืนมา

    “คุณไม่ควรสร้างความวุ่นวายแบบนี้” ชายหนุ่มผิวแทนถูกประคองให้ลุกขึ้นยืน จงอินได้ยินเสียงใครสักคนถอนหายใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพยายามผลักดันทุกอย่างออกให้ห่างตัวเพื่อหาทางเข้าไปยังประตูบานนั้น

    “ฉันจะไปเจอเขา”

    “คุณเข้าไปไม่ได้”

    “งั้นก็พาเซฮุนออกมา”

    “ผมว่าคุณเริ่มพูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว ไปสงบสติอารมณ์ก่อนเถอะ มีอะไรค่อยว่ากันพรุ่งนี้”

    “ไม่” จงอินกลืนน้ำลายอย่างลำบาก “พรุ่งนี้มันนานเกินไป ฉันจะเจอเซฮุนตอนนี้” เขายังคงยื้อดึง ท่ามกลางความเงียบที่ไม่มีเสียงทหารคอยห้ามด้วยคำพูดอย่างเช่นก่อนหน้านี้

    “ถ้าคุณยังไม่หยุด เห็นทีว่าผมคงต้องพาคุณเข้าไปขังในห้องใต้ดิน”

    “เอาเซฮุนออกมา แล้วหลังจากนั้นอยากจะทำอะไรกับฉันก็เชิญ”

    “ผมจะพาออกมาก็ต่อเมื่อเขาเป็นศพแล้ว” จงอินไม่รู้ว่าทหารนายนี้เป็นใคร และรู้เรื่องข้างในนั้นมากแค่ไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชายคนนี้เป็นคนจุดเทียนท่ามกลางสายฝนที่มาพร้อมพายุหิมะในใจเขา

    “ทหารข้างนอกนั่นบอกว่าเขาตายแล้ว”

    “ผมไม่รู้ว่าคุณได้ยินอะไรมา แต่ถ้าจะอยู่ที่นี่ก็ต้องหัดเคารพคนอื่นและกฎที่ต้องเป็นไปตามระบบ ซึ่งผมคิดว่าคุณน่าจะรู้อยู่แก่ใจดีแล้ว”

    “ใช่ แต่ที่ฉันไม่รู้ก็คือทำไมถึงไม่มีใครบอกสักคำว่าเด็กคนนั้นเป็นอยู่ยังไงบ้างหลังจากเข้าไปในนั้นแล้วเป็นอาทิตย์?”

    “พวกเขาไม่ใช่หมอที่จะออกรายงานอาการคนไข้ให้ญาติรับรู้ ที่นี่เหลือนักวิทยาศาสตร์จากทั่วประเทศแค่ไม่กี่คน ลำพังพวกเขาก็งานยุ่งจนแทบไม่ได้นอนแล้ว คุณจะให้เขาลำดับความสำคัญของเรื่องส่วนรวมมาเพื่อคุณคนเดียวหรือไง?”

    “...”

    “ผมกับทหารอีกเป็นสิบ ๆ คนต้องยืนเฝ้ายามไปจนเช้าเพื่อให้พวกคุณทุกคนนอนหลับโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีตัวอะไรโผล่เข้ามาสร้างความหวาดผวาให้ เราทุกคนมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำแตกต่างกันไป เหนื่อยน้อยเหนื่อยมากตามสายอาชีพ ไม่ใช่แค่ผมกับนักวิทยาศาสตร์ แต่ยังมีหมอ พยาบาลอีกสามสี่คนในตึกผู้ป่วยที่ได้นอนแค่วันละสอง-สามชั่วโมง พลเมืองที่ดูแลแปลงผักไว้เอามาทำอาหาร และคนธรรมดาเหมือนคุณที่อาสาออกไปทำความสะอาดตึกนั่นที่เมื่อก่อนเคยมีพวกมันอยู่เป็นร้อย มีคนเสียสละตัวเองจนตายเพื่อกระจายพื้นที่ให้ครอบครัวและผู้รอดชีวิตที่มีที่หลับนอน แล้วคุณล่ะ คุณทำอะไร?”

    ชายหนุ่มผิวแทนยืนนิ่งกับความจริงที่ซัดหน้าเขาได้เจ็บแสบกว่าหมัดของใครในโลกนี้

    “ถ้าคุณต้องการความจริงจากข้างในไว้ตอนเช้าผมจะเดินเรื่องให้ แต่ตอนนี้ช่วยอยู่อย่างสงบก่อน”

    จงอินไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่แม้แต่จะยื้อดึงเพื่อหาทางผลักประตูห้องทดลองเข้าไปอย่างที่ใจหวัง ทหารจึงยอมปล่อยเขา ชายหนุ่มผิวแทนเสยผมขึ้นแล้วค้างมือไว้กลางศีรษะ เพิ่งฟ้ามืดได้ไม่นาน ดังนั้นการรอไปจนถึงรุ่งสางจึงเป็นเรื่องยากเหลือเกิน

    เขาอยากเจอเซฮุนเดี๋ยวนี้ อยากเห็นกับตาว่าเด็กคนนั้นยังหายใจอยู่โดยไม่ถูกเอาไปทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่ง เขากลัว กลัวว่าเรื่องที่ไม่อยากยอมรับจะเกิดขึ้นไปแล้ว

    “ไอ้จงอิน” เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงที่คุ้นเคย ก่อนจะเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของไอ้เพื่อนชั่วที่เข้ามาช่วยเยียวยาผู้ชายอย่างคิมจงอิน เขาต้องการคนอยู่เคียงข้างในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญอยู่กับความหวาดกลัวแบบนี้

    ลู่หานตรงเข้ามากอดเพื่อนอย่างไม่เสียเวลาคิด เขากดศีรษะทุยลงกับไหล่ตนเองพร้อมตบหลังปลอบไอ้หน้าโง่ที่โวยวายเสียงดังจนเขารู้ได้โดยไม่ต้องถามคนแถวนี้ มีอยู่ไม่กี่เรื่องที่ทำให้ไอ้จงอินเป็นบ้าได้ และลู่หานมั่นใจว่าเด็กกรงหมาที่อยู่คาบเส้นความเป็นความตายคือหนึ่งเดียวที่ทำให้เพื่อนเขามีสภาพแบบนี้

    ครั้งแรกที่เคยกอดกันคือตอนที่ไอ้หน้าโง่เห็นว่าเขายังไม่ตายจากการตกท่อ ซึ่งความรู้สึกตอนนั้นมันต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง ลู่หานไม่เคยเห็นเพื่อนอ่อนแอและเสียหลักจนแทบยืนไม่ไหวอย่างนี้ ไอ้จงอินเทน้ำหนักลงมาเหมือนอยากบอกให้รู้ว่ามันประคองเรื่องห่าเหวไว้บนไหล่ไม่ไหวแล้ว

    ลู่หานหันไปทางอี้ฟาน ยูริ มินซอก และปาร์คกาฮีที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ อย่างเป็นกังวล ทุกคนคงมีคำถามเหมือนกันว่าเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นไปแล้วหรือไม่ ความหวังอันน้อยนิดที่เราทุกคนมีได้ดับไปแล้วหรือ แต่การขอคำตอบจากปากจงอินตอนนี้คงไม่ใช่เวลานัก

    *

    “งั้นเจอกันพรุ่งนี้เช้านะคะ”

    ครูสาวกล่าวกับชายหนุ่มทั้งสี่ที่ได้ชานยอลเข้ามาเพิ่มอีกคน เธอหยุดสายตาที่จงอินอย่างเป็นกังวล แต่ถึงอย่างนั้นการเข้าไปจัดแจงพื้นที่ส่วนตัวในโรงนอนหญิงก็เป็นเรื่องที่ต้องทำเดี๋ยวนี้สำหรับคนเพิ่งมาใหม่ ซึ่งออกจะยุ่งยากกว่าโรงนอนชายไปสักหน่อย ยูริพยักหน้าเพื่อบอกให้กาฮีไปด้วยกัน โดยทั้งคู่จะไปส่งมินซอกก่อน

    บนถนนเส้นเล็กกระจายไปด้วยความเงียบ มันช่างเข้าได้ดีกับความมืดที่มาพร้อมความโศกเศร้าในใจเหลือเกิน กาฮีก้มลงมองมือตัวเองที่ถูกกุมไว้ด้วยมือของลูกศิษย์ สายตาของมินซอกที่กำลังมองมานั้นเธอสามารถเข้าใจโดยที่ไม่ต้องถามว่าอีกฝ่ายอยากพูดอะไร

    “ไม่เป็นไร เราปลอดภัยแล้ว” มินซอกอยากพูดแบบนี้กับครูของเขาเช่นกัน คนตัวเล็กยิ้มบาง ๆ ก่อนจะสอดประสานเรียวนิ้วกับเธอ ก่อนทั้งสามคนจะหยุดชะงักเมื่อเดินมาถึงโรงนอนชายที่มีใครคนหนึ่งเดินออกมาพร้อมตะกร้าเสื้อผ้าใช้แล้ว

    “...”

    “...”

    ครูสาวยกมือขึ้นปิดปาก เสี้ยววินาทีหนึ่งเธอคิดว่าบางทีตอนนี้มันอาจจะเป็นความฝันที่เห็นผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ตรงนี้ หัวใจที่เคยแหลกละเอียดเพราะความสูญเสียลูกศิษย์คนสนิทยังคงบอบช้ำ หากแต่ตอนนี้มันกำลังเต้นเร็วแรงเมื่อคนตรงหน้าทิ้งตะกร้าผ้าลงแล้วเข้ามากอดเธอ

    “อี้ชิง...”

    “Thank God you're safe...”

    ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างและนิ่งงันในอ้อมกอดชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนสองมือที่เคยวางอยู่ข้างตัวจะยกขึ้นกอดตอบคนตรงหน้าพร้อมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาโดยไม่สามารถกลั้นไว้ได้ เธอคิดว่าคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ปาร์คกาฮีไม่กล้าคาดหวังว่าจะมีโอกาสได้พบผู้ชายคนนี้อีก แต่สุดท้ายโชคชะตาก็ไม่ได้ใจร้ายกับเธอนัก

    อี้ชิงผละอ้อมกอดออก เขาโอบใบหน้าหญิงสาวเอาไว้ก่อนจะไล้น้ำตาออกให้อย่างเบามือ ชายหนุ่มเอาแต่ถามว่า ‘คุณเจ็บตรงไหนไหม?’ และมองเธอด้วยความเป็นห่วง

    เรื่องของหวงจื่อเทายังคงเป็นบาดแผลสดสำหรับครู มินซอกได้แต่หวังว่าผู้ชายคนนี้จะช่วยเยียวยาให้เธอกลับมาเข้มแข็งอีกครั้งได้ ซึ่งเขาก็จะพยายามด้วยอีกแรงเช่นกัน คิมมินซอกจะเป็นคนที่เข้มแข็ง เพื่อปกป้องครูแทนเทา อึนจี และยุนฮาให้ได้

    “พวกคุณ – โอเค – นะครับ?” คนถูกถามพยักหน้าเป็นคำตอบ

    “เดี๋ยวฉันจัดการเรื่องที่นอนเอง ถ้าคุยกันเสร็จเมื่อไหร่ก็พาเธอไปส่งด้วยแล้วกัน” ยูริตบบ่ามินซอกเบา ๆ พร้อมมองครูสาวเป็นครั้งสุดท้าย มันไม่ใช่เรื่องแย่สักนิดถ้าหากเธอจะเดินไปโรงนอนตามลำพัง มันคงดีกว่าถ้าให้ยัยนั่นได้รับคำปลอบโยนจากผู้ชายซื่อ ๆ อย่างจางอี้ชิง แทนที่จะนอนเหม่อลอยอยู่ข้างตัวเธอเหมือนกับทุกคืนที่ผ่านมา

    “ยูริ”

    “...?”

    “ฉันจะรีบตามไปนะคะ”

    เธอไม่ได้ตอบแบบขอไปทีหรือพูดให้คู่สนทนาหน้าเสียเหมือนกับทุกครั้ง เมื่อควอนยูริเพียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วพยักหน้าตกลง

    *

    “ทหารอาจจะพูดกันปากต่อปาก ใจเย็นก่อนนะครับ”

    “ฉันเย็นมาตลอดอาทิตย์แล้ว เย็นจนได้ยินพวกมันบอกว่าเซฮุนตายไปตั้งแต่คืนแรก”

    “ถ้าเป็นก่อนหน้านี้กูคงเห็นด้วยกับมึง แต่ตอนนี้กูอยากให้มึงฟังไอ้ชานยอลหน่อยว่ะ” ลู่หานวางมือลงบนบ่าเพื่อนพลางถอนหายใจ เขากับคนอื่น ๆ มาถึงตั้งแต่กลางวันแล้ว แต่เป็นเพราะมีพลเรือนจากเมืองอื่นติดสอยห้อยตามมาประมาณหนึ่งจึงทำให้ใช้เวลาตรวจร่างกายนาน กว่าจะเสร็จก็พลบค่ำ และแน่นอนว่าเขาต้องการเจอไอ้จงอินก่อนผ้าปูที่นอนกับหมอนสักใบ แต่พอตรงมาทางอาคารคนไข้เขากลับได้ยินเสียงคนโหวกเหวกโวยวายซะอย่างนั้น

    “ผมขอถามอะไรคุณอย่าง” อี้ฟานสบตากับจงอิน “ว่าถ้ามันเป็นเรื่องจริง คุณจะทำยังไง?”

    “...” ชายหนุ่มผิวแทนไม่ได้คิดว่าต้องรับมือกับเรื่องนี้ยังไง เพราะทั้งหัวใจและสมองของเขามันปิดกั้นเพราะไม่อยากยอมรับ

    “ผมสลัดเรื่องค่ายทดลองนั่นออกไปจากหัวไม่ได้เลย” อี้ฟานถอนหายใจพลางหลุบสายตาลงมองมือตัวเอง “ที่นั่นมีคนบริสุทธิ์ที่ไม่รู้เรื่องทดลอง พวกเขาแค่ใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความตาย แต่บางคนต้องจบชีวิตลงเพราะเราอยากช่วยเซฮุนออกมา”

    “...”

    “ผมไม่ห้ามถ้าคุณจะคิดหาทางเข้าไปช่วยเซฮุนเหมือนคราวนั้น แต่ผมอยากให้คุณทบทวนถึงสิ่งรอบข้างสักหน่อย คุณเข้าใจผมใช่ไหมจงอิน?” เจ้าของชื่อยังคงเงียบ ไม่ได้ขานตอบเพื่อแสดงให้รู้ว่าคิดไปในทางเดียวกันหรือไปในทางตรงข้ามอย่างสุดกู่

    “ผมเห็นด้วยกับอี้ฟาน” ชานยอลเสริม “เราเดินทางกันมาไกล ขึ้นเหนือลงใต้ ผ่านอะไรมามากมาย ไม่ใช่แค่คนบริสุทธิ์ที่ไม่ควรมองข้าม แต่ที่ ๆ เราอยู่ตรงนี้ก็สำคัญ”

    ลู่หานมองทั้งสองคนสลับกัน เมื่ออี้ฟานกับชานยอลได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ความคิดความอ่านแม่งก็เป็นไปในทางเดียวกันจนเพื่อนกูนั่งหน้าแห้งเลยไอ้ฉิบหาย

    “ค่ายนี้ยังเล็กมาก ผมคิดว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทุกคนจะช่วยกันบูรณะมัน แต่ถ้าค่ายนี้มีจุดจบเหมือนค่ายนั้น ผมเกรงว่าความหวังที่จะทำให้โลกกลับไปเป็นเหมือนเดิมจะยืดออกไป”

    “หรืออาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”

    ห่า ชานยอลแม่งขยี้ไม่หยุดเลย

    “พวกนายคิดว่าเซฮุนตายไปแล้วใช่ไหม?” ไอ้จงอินคงไม่อยากสนใจว่าค่ายนรกแตกนี่จะเป็นอยู่ยังไง เพราะในหัวของมันคงมีแต่เรื่องเด็กกรงหมา “กลัวฉันฆ่าทุกคนเพื่อเอาศพเด็กคนนั้นออกมาหรือไง?”

    “ใช่ กูตอบแทนเลย” ลู่หานตอบอย่างไม่เสียเวลาคิด “มึงถามพวกกูแล้วก็อย่าลืมถามตัวเองด้วย”

    “ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับเซฮุน แต่เป็นเพราะมันเคยเกิดขึ้นกับคนรอบตัวเรามาแล้วหลายครั้ง และที่ทำให้เห็นชัดมากที่สุดคือกรณีของเทาที่เพิ่งผ่านไปไม่นานมานี้ จงอิน ขอมือซ้ายให้ผมหน่อย” ทันทีที่พูดจบอี้ฟานก็แบมือออกมา และจงอินไม่แน่ใจว่าเขาอยากฟังอีกฝ่ายพูดต่อหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมวางมือลงไป “คราวนี้ก็มือขวาของคุณ”

    ลู่หานไม่ได้ยิงมุกโง่ ๆ ออกมา เขาเพียงมองหน้าอี้ฟานเพื่อพยายามอ่านความคิด และคาดว่าชานยอลคงได้คำตอบก่อนเขาแล้ว

    “ชีวิตเรามีให้เลือกหลายทาง มือซ้ายคุณคือทางเลือกแรก มือขวาคือทางเลือกที่สอง ผมจะเอาค่ายทดลองนั่นมายกเป็นตัวอย่างให้เห็นภาพแล้วกัน ว่าถ้าหากคุณไม่ช่วยให้พวกเราหนีออกมาก่อน ตอนนั้นอาจจะเป็นใครสักคนที่ถูกทำร้ายจนสูญเสียความทรงจำ หรือไม่ก็ตายไปแล้ว”

    “...”

    “แต่คุณเลือกอีกทางเพื่อไม่ให้เรื่องที่ผมพูดเกิดขึ้น” อี้ฟานดันนิ้วมือทั้งห้าของอีกคนให้กำเข้าหากัน “และตอนนี้ผมอยากให้คุณนึกถึงทางอื่นที่อาจดีกว่าการทำลายที่นี่ ได้ไหมจงอิน?”

    ชายหนุ่มผิวแทนเลียริมฝีปากพลางหลุบสายตาลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อรู้สึกได้ถึงมือที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลวางลงบนฝ่ามือตัวเอง “พวกเราอยู่ข้างคุณเสมอ”

    ลู่หานจึงรีบวางมือลงบนหัวเพื่อนเพราะอยากเป็นส่วนหนึ่งในการให้กำลังใจ “กูด้วย”

    “ความจริงฉันไม่ได้มีแผนอะไรอยู่ในหัวเลยนอกจากนั่งรอเซฮุนออกมา ไม่เคยคิดว่าจะทำร้ายใครทั้งนั้น” จงอินพูดอย่างไม่โกหก และอี้ฟานกับชานยอลก็กระชับมือเพื่อให้รู้ว่าทั้งคู่เชื่อ

    “จนกว่าจะได้เห็นเองกับตา ผมอยากให้คุณรอมีความหวังนะครับ” ชายหนุ่มผิวแทนมองเจ้าของคำพูดที่เจ็บหนักกว่าใคร เพื่อยืนยันให้รู้ว่าปาร์คชานยอลยังคงมีชีวิตอยู่แม้จะผ่านเหตุการณ์เสี่ยงตายมาแล้ว “เหมือนเรื่องของอี้ฟานที่ผมเคยปักใจเชื่อว่าเขาตายไปแล้วเพราะผมเห็นกับตาว่าเขาถูกยิง แต่ลู่หานเป็นคนพิสูจน์ให้รู้ว่าถ้าเราเชื่อในความหวังที่มีตัวตนจับต้องได้ ก็อย่าเพิ่งถอดใจจนกว่าจะหมดหนทาง”

    อี้ฟานยิ้มบาง ๆ เป็นกำลังใจให้คนที่กำลังจมดิ่งไปกับความมืดมิด แม้ว่าทุกคนจะกังวลไม่ต่างกัน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากรอคอยเวลารุ่งสางอย่างมีความหวัง ลู่หานลูบหัวเพื่อนเป็นลูกหมา เพื่อให้รู้ว่าต่อให้เรื่องห่าเหวจะเกิดขึ้นกับชีวิตแค่ไหน เขาและคนอื่น ๆ จะอยู่ตรงนี้ ตรงที่เพื่อนหันมามองเห็นได้

    “บอกฉันที” เสียงของจงอินเบาหวิว หัวใจของเขาแหลกสลายไปแล้วตั้งแต่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น มันอ่อนแอเหลือเกินเมื่อเป็นเรื่องของเซฮุน “ว่าจะมีวันพรุ่งนี้เพื่อเด็กคนนั้น”

     “มีดิวะ” มีเพียงลู่หานที่ตอบอย่างไม่เสียเวลาคิด “ที่นี่มีรั้วกั้นแน่นหนา มีคนเฝ้ายามให้ตลอดวัน มีที่ซุกหัวนอน มีข้าวให้กิน ถ้ากูเป็นเด็กกรงหมาคงไม่ยอมตายง่าย ๆ หรอก ถ้าเซฮุนรู้ว่ามึงร้องไห้คงเสียใจที่ไม่ได้อยู่ล้อเรื่องนี้ เพราะงั้นมึงรอมันตื่นมาหัวเราะเยาะใส่มึงก่อน มันจะทำตาหยีอย่างนี้ ป้องปากหัวเราะแล้วพูดว่า ‘ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ’ แล้วแม่งก็หันหน้าไปขำต่อ เหอะ พอนึกย้อนกลับไปก็อยากเคาะกะโหลกสักที ไอ้เด็กนั่นนิสัยเสียได้ใครวะ” ลู่หานพูดเป็นต่อยหอย ท่ามกลางความอึดอัดที่กดดันเราทุกคนไปจนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นมาให้ความสว่างบนท้องฟ้า

    “ขอบใจ” จงอินมองทั้งสามคน “แต่ไปนอนพักเถอะว่ะ เดินทางกันมาเหนื่อย ๆ นายเองก็เหมือนกัน เจ็บตัวขนาดนั้นยังมานั่งตากลมอยู่ได้”

    “เราไม่ได้นั่งคุยกันแบบนี้มานานแค่ไหน มันคงน่าเสียดายแย่นะครับถ้าผมจะกลับไปนอนบนเตียงคนไข้ ทั้งที่พวกคุณยังอยู่ตรงนี้”

    “จริง กูมีความเสี้ยนมวยอยากด่าคนแถวนี้ให้หายคันปาก และกูต้องการมีพยานนั่งฟังว่าศึกครั้งนี้กูเป็นฝ่ายชนะ” ลู่หานเลิกคิ้วมองเพื่อน “กูจะอยู่ อย่าสาระแนไล่”

    “ผมยังไม่ง่วงเลย แล้วคุณล่ะชานยอล ห่วงคุยกว่าสุขภาพระวังจะหายช้าเอานะ” อี้ฟานหันไปถามคนเจ็บ

    “ถ้าจะได้เอาคืนลู่หานสักครั้ง การยอมทนเจ็บอีกสักหน่อยก็คุ้มค่าดีนะครับ” ชานยอลยิ้มขำพลางมองอีกคนที่เบ้อย่างท้าทาย

    “ว่าแต่กินข้าวกันมาหรือยัง?”

    “ทำไม จะไปหามาให้พวกกูแดกไง?”

    “มึงยังคาดหวังจากคนที่เพิ่งถูกทหารยามฟาดซ้ำรอยเดิมอีกเหรอวะ?”

    “ก็ไม่หรอก แต่ก็นิดนึง” ลู่หานกล่าวหน้านิ่ง จีบมือเป็นท่าประกอบ แล้วปล่อยให้ความเงียบทำงาน

    พอเอาเข้าจริงก็ไม่มีใครอยากแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง พวกเขาเอาแต่เงียบเหมือนว่าสิ่งที่ต้องการมากที่สุดตอนนี้คือท้องฟ้าตอนเช้า และหลังจากนั้นจะพูดจะเล่าอะไรก็ว่ามาให้หมด

    “จะว่าไปแล้วเมื่อก่อนกูก็เกลียดโลกนี้เอาเรื่องเลยว่ะ” ลู่หานเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ สายตาของเขาจดจ้องอยู่กับหมู่ดาวบนท้องฟ้าราวกับอยากรู้ว่าบนนั้นมีอะไร มันเหนื่อยเหมือนมนุษย์ที่ยังหายใจอยู่บนโลกสกปรกใบนี้ไหม “เคยโทษนู่นนี่นั่นที่ทำให้ชีวิตกูลำบากจนต้องไปขโมยของคนอื่น”

    “อันนั้นมึงเหี้ยเอง”

    “เออ กูรู้ พวกมึงทุกคนกำลังคิดว่ากูเลือกเดินทางสกปรกทั้งที่จะเป็นคนดีก็ได้สินะ” โจรกระจอกแค่นหัวเราะพลางก่ายขาลงบนตักเพื่อนสนิท ชานยอลอมยิ้มขณะมองภาพตรงหน้า ลู่หานยังคงเป็นลู่หานที่ไม่ชอบความอึดอัดและความเศร้า จึงเลือกทำตัวบ้าบอเพื่อให้คนรอบข้างหัวเราะได้

    “ผมเชื่อว่าทุกคนก็เคยคิดเหมือนคุณ” อี้ฟานกวาดสายตามองที่พักในค่ายทหาร ทุกหลังคาเรือนมืดสนิทและมีเพียงเสาไฟข้างถนนบางจุดเท่านั้นที่ให้ความสว่าง “แต่เพราะมันคือโลก เราถึงเอาแต่ใจกับมันไม่ได้”

    “ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ สู้ยอมรับชะตากรรมแบบเดิมแล้วทนอยู่ในสังคมที่มีคนเดินเพ่นพ่านโดยไม่มีใครกระโดดกัดคอใครซะยังดีกว่า” อย่างน้อยการถูกจับได้ตอนขโมยของก็จบที่ห้องขัง ไม่ใช่ความตายที่ไม่รู้ว่าจุดจบอยู่ตรงไหน ความว่างเปล่าเหรอ ความรู้สึกแบบนั้นมันร้ายกาจเกินไปสำหรับคนที่ยังอยากอยู่กับครอบครัว

    “เพราะไม่เคยพอใจกับโลกที่เป็นอยู่ พอมันเปลี่ยนไปเราถึงโหยหาโลกใบเดิม” ชานยอลเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “ผมเคยจมอยู่กับคำถามว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้กับผมและครอบครัว คนสำคัญทุกคนตายจากไปในวันงานแต่งของผมเพราะสิ่งที่ไม่รู้ว่าต้นเหตุมันมาจากอะไร พอเวลาผ่านไปความเจ็บปวดจากการสูญเสียที่เกิดขึ้นมันยังคงอยู่ในใจ แต่ผมได้เรียนรู้ว่าคนเราควรเรียนรู้การมีชีวิตอยู่และยอมรับมันให้ได้”

    “เอาจริงไหม ถ้าไม่ใช่พวกคลั่งความฉิบหายจนสติหลุด ไล่แทง ไล่กราดยิงใส่คนแปลกหน้า ก็คงไม่มีใครมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรอก” ลู่หานว่า

    “แต่มันไม่แย่ขนาดนั้น” ทุกคนมองเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มผิวแทนที่พูดขึ้นมาหลังจากนั่งเงียบไปสักพัก “อย่างน้อยมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ใครหลายคนมาเจอกันทั้งที่เคมีเข้ากันไม่ได้”

    “นั่นสิ” อี้ฟานยิ้ม “นึกถึงตอนที่พวกคุณงัดประตูบ้านผมแล้วก็ตลกดี แม้แต่ตอนที่ลงเรือลำเดียวกันแล้วผมยังนึกไม่ออกเลยว่าเราทุกคนจะรอดไปด้วยกันได้ยังไง” จงอินกับลู่หานก็ดูพึ่งพาไม่ได้เพราะด้วยนิสัยเป็นคนใช้ความรู้สึกนำไปก่อนเหตุผล ส่วนชานยอลก็เก็บตัวเงียบเพราะเพิ่งสูญเสียภรรยา ไหนจะมีปากเสียงกับเด็กอย่างแบคฮยอนที่เพิ่งเสียพี่ชายทั้งคนไปอีก

    “เพราะมีคนเก่งอยู่ด้วยไง เนี่ย นั่งอยู่ตรงนี้” ลู่หานทุบอกฟีบ ๆ ของตัวเอง ก่อนจะหันไปทางเพื่อนสนิทอย่างใจชื้นที่มันยิ้มออกมาได้บ้างแล้ว

    “มีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นตลอดทาง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นเลย” ชายหนุ่มผิวแทนมองไปยังตึกเดิม แม้จะถูกพังความหวังไปแล้ว แต่เขาจะไม่ยอมถอดใจจนกว่าจะได้เห็นเองกับตา

    สำหรับคิมจงอิน ท่ามกลางความสูญเสีย หวาดกลัว ไปจนถึงความอดอยากหิวโหย เขาได้พบมิตรภาพดี ๆ จากคนมากมาย ตั้งแต่โรงเรียนมัธยมชุงช็องใต้ เด็กเหล่านั้นที่ตายไปเพราะความโหดร้ายของโลกใบนี้ และอีกหลายคนที่จากไประหว่างทาง ยุนฮา อึนจี ซูโฮ ซูยอน และไอ้เทา ที่แม้ว่าวินาทีสุดท้ายของชีวิตจะจากไปพร้อมความเจ็บปวด แต่ตอนอยู่ด้วยกัน... เด็กเหล่านั้นก็เคยหัวเราะอย่างมีความสุขในช่วงเวลาหนึ่ง

    รวมถึงโอเซฮุน คนที่เคยมองเขาด้วยแววตาเรียบเฉย ไร้ความรู้สึก ราวกับพร้อมยอมรับความตายที่มาจากรอยกัดในวันนั้น ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คิมจงอินรู้ตัวว่าหัวใจมันเต้นแรงขึ้นเมื่อมองหน้าอีกฝ่าย จนอยากสัมผัส อยากกอดเอาไว้แน่น ๆ เพื่อให้รู้ว่าเรายังมีกันและกัน

    เราผ่านเรื่องมากมายมาด้วยกันจนผู้ชายคนนี้ขาดเซฮุนไปไม่ได้

    “คิมจงอิน”

    “...”

    เจ้าของชื่อหันไปทางใครคนหนึ่งที่ตรงมาทางนี้ ชายคนนั้นคือทหารที่บอกให้คิมจงอินรอฟ้าสางเพื่อที่จะได้ไปเจอเซฮุน ชายหนุ่มผิวแทนค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เขาพยายามมองหาความหวังจากแววตาคนที่เพิ่งหยุดฝีเท้าเพื่อรักษาระยะห่าง

    และเขาก็ไม่ได้รับสัญญาณที่ดี

    “ผมจะพาคุณเข้าไปข้างใน”

    *

    เพราะข้างในเป็นพื้นที่ต้องห้าม ลู่หาน อี้ฟาน และชานยอลจึงทำได้แค่รอจงอินเข้าไปในประตูบานนั้น หัวใจของชายหนุ่มผิวแทนเต้นเร็วแรงจนรู้สึกเหมือนจะพุ่งออกมาจากอก ใบโคลเวอร์สามแฉกอยู่ในมือเย็นเฉียบเพราะความรู้สึกมากมายที่ประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน เขาเก็บมันมาอีกครั้งราวกับว่าความเชื่อจะช่วยอะไรได้

    ยังไม่ทันรุ่งสางด้วยซ้ำ จงอินไม่แน่ใจว่าควรขอบคุณทหารนายนี้หรือไม่ที่พาเขามาก่อนเวลา บนทางเดินยาวล้อมไปด้วยกำแพงสีขาวคล้ำ บ่งบอกว่านักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องใช้ที่นี่เพื่อการทดลองรักษา มันไม่ได้ขาวสะอาดเหมือนค่ายนรกที่เขาเคยฝ่าเข้าไปช่วยเซฮุน แต่ก็ให้ความรู้สึกชวนใจเสียไม่ต่างกัน

    “ข้างในมีคนรอคุณอยู่”

    “รอ?”

    “เขามีเรื่องจะคุยกับคุณ”

    จงอินขมวดคิ้วกับเรื่องที่ไม่เป็นไปอย่างที่คิด เขาควรได้เข้าไปเจอเซฮุนให้รู้ผลว่าที่พวกทหารปากพล่อยนั่นพูดเป็นจริงหรือเปล่าไม่ใช่หรือไง แต่ทำไมถึงมีคนรออยู่?

    รอ... เพื่อคุยกับเขาน่ะเหรอ?

    ทันทีที่ประตูเปิดออกก็พบห้องแคบที่มีเตียงสองชั้นและตู้วางเอกสารติดผนังอยู่ทุกมุม มันคงเป็นห้องพักซึ่งเจ้าของมันคงเป็นชายสวมกาวน์สีขาวที่ยืนหันหลังอยู่ข้าง ๆ กาน้ำร้อนและซองกาแฟสำเร็จรูป คนที่อยากเจอเขาคือนักวิทยาศาสตร์?

    เสียงปิดประตูทำให้ชายคนนั้นหันมา จงอินไม่อยากเชื่อเลยว่าหลอดไฟสลัวในห้องแคบแห่งนี้จะทำให้เห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดจนเหมือนฟื้นความทรงจำเก่า ๆ กลับคืนมา จงอินลดระดับสายตาลงมองป้ายห้อยคอที่อยู่กลางอกนักวิทยาศาสตร์หนุ่ม ก่อนนิ้วทั้งสิบจะกำเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว

    “อีทงเฮ...”

    “ครับ” เจ้าของชื่อขานตอบราวกับหยั่งเชิงว่าเขาจะตรงเข้าไปซัดหน้าให้สาสมกับเรื่องเมื่อต้นปีหรือไม่ ในหัวคิมจงอินมีคำถามมากมาย ว่าทำไมไอ้นักวิทยาศาสตร์ชั่วถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้ทั้งที่ค่ายนรกก็เละเทะไม่เป็นท่าด้วยฝีมือเขาและคนอื่น ๆ ไปแล้ว “คุณคงมีคำถาม แต่อีกใจหนึ่งคุณก็อยากได้คำตอบจากเรื่องอื่นมากกว่า”

    “ฉันจะฆ่าแก” ชายหนุ่มผิวแทนพูดเสียงลอดไรฟัน เขารู้สึกหวั่นใจขึ้นมาเพียงเพราะคิดว่าชีวิตเซฮุนตกไปอยู่ในมือไอ้เวรนี่อีกครั้ง

    ทงเฮยิ้มพลางคนกาแฟร้อนในแก้ว ปล่อยให้ความเงียบกดดันแข่งกับความอดทนของคิมจงอินที่คงมีไม่มากนัก “คุณเป็นคนรักษาสัญญาเก่ง”

    “...”

    “ถ้าจำไม่ผิด วันนั้นคุณพูดว่า ‘ถ้าได้เจอกันอีก ฉันขอสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้แกกลับไปได้แน่ ๆ’ ใช่ไหม?” จงอินมองไม่เห็นหนทางว่าจะได้เจอเซฮุนอีกเมื่อคนตรงหน้าคือผู้ชายคนนี้ เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกเอาคืนจากเรื่องราวเมื่อตอนนั้น

    “ฉันมาที่นี่เพื่อเจอเซฮุน”

    “ผมรู้” ทงเฮจิบกาแฟ “สักแก้วไหม?”

    “พาฉันไปหาเขาตอนที่ฉันยังพูดดี ๆ กับนายอยู่”

    “เอาสิครับ” นักวิทยาศาสตร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยพลางเงยหน้าขึ้นมองผนังรอบด้าน “ในห้องนี้ไม่มีกล้องวงจรปิด ถ้าคุณฆ่าผม คุณก็ยังพอจะมีเวลาสักห้านาทีเพื่อหนีไปจากที่นี่”

    แววตาของอีทงเฮเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย และเขารู้ว่ามันมาจากเหตุการณ์ในศูนย์วิจัยคราวนั้น ไอ้เวรนี่กำลังคิดจะเล่นจิตวิทยากับเขาหรือไง?

    “คุณยังใจร้อนเหมือนเดิม เวลาไม่ได้เปลี่ยนคุณเลย”

    “ฉันจะยอมนั่งคุยกับนายหลังจากได้เจอเซฮุนแล้ว”

    “แล้วก็ยังเอาแต่ใจเหมือนเดิมอีกด้วย” อีทงเฮวางท่าเหมือนคนถือไพ่เหนือกว่า ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริง ตอนนี้คิมจงอินทำได้แค่ยืนกำหมัดแน่น และปล่อยให้อีกฝ่ายพูดยั่วโมโหเท่าที่ต้องการ “เป็นยังไงบ้างครับ ความรู้สึกของการถูกไล่ต้อน?”

    “ฉันไม่ตลก”

    “จะมีใครตลกกับเรื่องนี้ล่ะครับ เรื่องเมื่อตอนต้นปีก็เหมือนกัน” นักวิทยาศาสตร์หนุ่มเปิดประตูออกไปข้างนอก จงอินจึงต้องเดินตามอย่างจำใจ “ตอนนี้คุณกำลังมาขอความช่วยเหลือจากสิ่งที่คุณทำลายมันโดยไม่คิดถึงอะไรนอกจากตัวเอง ถ้าตลกก็บ้าแล้ว ว่าไหมครับ?”

    “ทางเลือกของฉันไม่ได้มีมากขนาดนั้น”

    “คุณไม่ได้คิดทางเลือกไว้เพราะคุณมีคำตอบเดียวในใจอยู่แล้วต่างหาก” จงอินมองแผ่นหลังของคนตรงหน้าที่กำลังเดินไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางบรรยากาศรอบข้างที่ไม่ได้ช่วยให้อุ่นใจเลยแม้แต่นิด เขาเดินหลบขวาเมื่อเตียงเข็นศพเคลื่อนผ่านไป ตามด้วยนักวิทยาศาสตร์ในห้องกระจกแคบที่กำลังค้นคว้าทดลองอะไรบางอย่างกับอุปกรณ์ที่ไม่ได้มีมากมายอย่างที่ควรจะเป็น

    “นายเรียกฉันมาทำไม?” หลังจากเข้ามาลึกพอสมควรห้องทดลองที่เคยเห็นก็เปลี่ยนเป็นกำแพงปูนดิบซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกสร้างเมื่อไม่นานมานี้ เขารู้สึกได้จากกลิ่นของปูนที่คละคลุ้งอยู่ใต้จมูก

    “มาเอาคำตอบที่คุณอยากได้” ทงเฮกดรหัสหกหลักก่อนประตูจะเปิดออก จงอินกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ เขามองหน้านักวิทยาศาสตร์ที่ครั้งหนึ่งอยากฆ่าให้ตาย ก่อนสายตาจะมองเข้าไปยังห้องแคบด้านในที่ถูกกั้นด้วยกระจกอีกที

    ร่างขาวซีดนอนอยู่บนเตียงคนไข้มีสายระโยงระยางอยู่เต็มไปหมด แม้จะมีท่อช่วยหายใจครอบปากกับจมูกเขาก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าคนที่อยู่ตรงนั้นคือใคร

    “เซฮุน!” จงอินรีบตรงเข้าไปพร้อมแนบมือลงบนกระจกใสที่กั้นเขาและเด็กคนนั้นเอาไว้ หัวใจที่เคยตายไปเพราะความสิ้นหวังเริ่มกลับมาเต้นแรงอีกครั้งเพียงเพราะเห็นเครื่องช่วยหายใจขึ้นฝ้าขาวก่อนจะจางหายไปตามจังหวะการหายใจ

    ทงเฮมองด้านหลังของผู้ชายบ้าบิ่น ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ พร้อมทอดสายตาไปยังร่างไร้สติของเด็กหนุ่มที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี

    “เขายังไม่ตายใช่ไหม เขายังหายใจอยู่ใช่หรือเปล่า?” จงอินถามอย่างคนโง่ เสียงของเขาสั่นจนเหมือนน้ำตาจะไหลออกมาทุกขณะ

    “ใช่ เขายังหายใจ” นักวิทยาศาสตร์หนุ่มวางแก้วกาแฟลง พร้อมมองไปยังเด็กคนนั้น “แต่ร่างกายเซฮุนอ่อนแอมาก เราต้องเฝ้าดูอาการไปอีกระยะ หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับเขาแล้วว่าจะสู้ไหวไหม ถ้าไหวเปอร์เซ็นต์รอดก็พอมี แต่ถ้าไม่...”

    “...”

    “ผมใช้เวลาอยู่กับเขาในห้องทดลองทั้งหมดสี่วันเต็ม ๆ หัวใจเซฮุนหยุดเต้นไปหลายครั้ง แต่ผมกับทีมแพทย์ก็พยายามพาเขากลับมา” มันช่างเป็นสี่วันที่ทรหด อีทงเฮและทีมแพทย์มีเวลางีบพักแค่สองชั่วโมงเท่านั้นก่อนจะกลับมาทำเรื่องสำคัญต่อ “หนึ่งในนั้นถามผมว่า ‘ทำไมถึงพยายามขนาดนี้ ทั้งที่เปอร์เซ็นต์รอดของเขาแทบจะไม่มี’”

    นักวิทยาศาสตร์หนุ่มหันไปสบตากับคนข้างตัว

    “ทั้งที่ผมโกรธคุณกับเพื่อนของคุณ แต่ทำไมผมถึงช่วยเขา?” ทงเฮมองเสี้ยวหน้าของคิมจงอินที่ยังคงจับจ้องอยู่กับคนบนเตียง มองน้ำตาที่ไหลออกมาแม้ว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้กระพริบตา

    “เพราะอะไร?” ชายหนุ่มผิวแทนกลืนน้ำลาย เขาไม่อยากเสียเวลามองไปที่ไหนทั้งนั้น คิมจงอินอยากมองโอเซฮุนที่ยังหายใจอยู่ นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการในวินาทีนี้

    “ผมรู้สึกผิดกับเขา”

    “...”

    “แววตาเซฮุนตอนนั้นกับตอนที่เขาถูกพาเข้ามาที่นี่... มันเหมือนกันไม่มีผิด” อีทงเฮจำได้ว่าเขาตกใจมากแค่ไหนที่เห็นเด็กคนนั้นอีกครั้ง “แววตาที่กำลังอ้อนวอน ร้องรอให้ผมช่วยปลดปล่อยเขา แต่มันต่างกันตรงที่คราวนี้เป็นการปลดปล่อยจากความตาย”

    “ได้ยังไง?” จงอินหันหน้าเข้าหาคนข้าง ๆ “ทั้งที่นายเคยบอกว่าถ้าถูกกัดอีกครั้ง เขาจะไม่รอด”

    “ใช่ ผมคิดอย่างนั้น” นักวิทยาศาสตร์หนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ความเงียบโรยตัวอยู่ท่ามกลางความสงสัย ทั้งคู่ต่างมีความรู้สึกผิดอัดแน่นอยู่ในใจที่เคยลงมือทำร้ายสิ่งสำคัญของกันและกัน “แต่ที่เซฮุนยังหายใจอยู่เป็นเพราะเขาได้เลือดของตัวเอง”

    “...”

    “เลือดที่เคยเสียสละเพื่อการทดลองเมื่อตอนต้นปี” ทงเฮเลียริมฝีปากกับความรู้สึกมากมายในใจ “เพราะเหตุการณ์นั้นทำให้ผมต้องย้ายกลับมาอยู่โซล ผมเก็บเลือดของเขาและคนอื่น ๆ มาที่นี่เพื่อพัฒนาให้มันมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเริ่มใช้รักษาคนที่ถูกกัด มันเคยได้ผลจนพวกเราหลงไปกับความดีใจ แต่พอผ่านพ้นข้ามคืนไปคนเหล่านั้นก็เปลี่ยนเพราะมันยังมีประสิทธิภาพไม่มากพอ จนถึงเซฮุน เด็กที่เป็นเจ้าของเลือด”

    “...”

    “เขาผ่านข้ามคืนได้ในขณะที่หลายคนทำไม่ได้ ซึ่งถ้าเขาฟื้นขึ้นมาและหิวข้าวมากกว่าเนื้อสด นั่นหมายพวกเราทุกคน...” นักวิทยาศาสตร์ลูบใบหน้าตัวเองกับความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดปี “อาจจะมีความหวัง”

    จงอินหลุบสายตาลงระหว่างให้ความคิดในหัวได้ทำงาน ค่ายนรกนั่นที่เขาเคยคิดว่าเลวไม่มีชิ้นดี ในวันนี้มันเป็นส่วนหนึ่งที่ยื้อชีวิตเซฮุนเอาไว้งั้นเหรอ?

    “ต้องรอไปถึงเมื่อไหร่ถึงจะรู้ผล?” น้ำเสียงของชายหนุ่มผิวแทนไม่ได้เต็มไปด้วยความเกลียดชังเท่าก่อนหน้านี้ ทงเฮมองเข้าไปในห้องกระจกแคบ กับคำถามที่เขาเองก็อยากได้คำตอบเช่นกัน

    “จนกว่าเขาจะตื่น”

    ว่าสิ่งที่เขาและนักวิทยาศาสตร์ทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้จะทำอะไรได้มากกว่าความล้มเหลวในการทดลองหรือไม่?

    “หรืออาจจะเป็นเจ้าชายนิทราตลอดไป”

    *

    จงอินได้สิทธิ์เข้าไปเยี่ยมเซฮุนได้แค่วันละห้านาทีเท่านั้น แต่นั่นก็มากเพียงพอสำหรับคนรอที่อยู่ได้จากเครื่องบอกชีพจรและฝ้าสีขาวจากเครื่องช่วยหายใจ ชายหนุ่มผิวแทนวางใบโคลเวอร์สามแฉกลงหน้ากระจกข้าง ๆ ของเมื่อวานและวันก่อน ๆ เพื่อให้ความหวังอยู่ใกล้หัวใจเด็กคนนั้นมากที่สุด

    ‘ผมยังคงโกรธคุณ แต่เลือดที่ได้มาจากเซฮุนและอาการของเขาในตอนนี้มันทำให้ผมอยากเปลี่ยนเป็นคำขอบคุณซะมากกว่า ใช่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมหวังว่าเซฮุนจะเป็นหนึ่งในความสำเร็จ แต่เชื่อเถอะว่าการอยากให้ชีวิตกับเขามันมีมากกว่า’

    ‘ความถูกต้องของผมในวันนั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้องสำหรับคุณ และความถูกต้องของคุณเป็นความร้ายแรงกับนักวิทยาศาสตร์อย่างผมที่ต้องทดลองไปจนกว่าจะหาทางแก้ให้กับโรคนี้ได้ เราต่างให้บทเรียนกันและกันในโลกที่มันสกปรกจนกลืนกินสีขาวไปจนเกือบหมด’

    เขายังคงมองเซฮุนไปจนกว่าจะครบห้านาที พร้อมความรู้สึกผิดหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวมากมายจากปากอีทงเฮ ใช่ เรามีเหตุผลที่ต่างกัน คิมจงอินยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยโอเซฮุนเพียงคนเดียว ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นเลือกช่วยคนหมู่มาก ตอนนั้นความถูกต้องของคนอื่นไม่เคยสำคัญสำหรับเขา ในเมื่อโลกใบนี้มันเปลี่ยนไปแล้วจนความตายจ่ออยู่ใต้จมูก เขากล้ายอมรับอย่างเต็มปากว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว

    จงอินยังคงมารอ ข้ามวันข้ามคืนผ่านไปเป็นเดือน กระทั่งชานยอลกับคยองซูสามารถออกมาทำประโยชน์ให้กับส่วนรวมได้แล้ว ส่วนเขาไม่ได้สร้างความวุ่นวายใด ๆ อีก คิมจงอินยอมทำตามกฎของที่นี่ตั้งแต่การไปรอเจอเซฮุนให้ครบทุกห้านาที วางใบโคลเวอร์สามแฉกกับดอกหญ้าที่เกิดขึ้นข้างรั้วลงบนจุดเดิมและเริ่มหันไปช่วยส่วนรวม

    จงอินรับหน้าที่ดูแลเรื่องซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ ก่อนเขาและคนอื่น ๆ จะถูกเรียกไปคุยเป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องออกไปหาเสบียงว่าพอจะมีใครอาสาช่วยเหลือทหารได้หรือไม่ ทางค่ายไม่ได้บีบบังคับว่าจะต้องมีคนออกไป แต่เนื่องจากจำนวนทหารที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ การอยู่ที่นี่จึงต้องมีความถ้อยทีถ้อยอาศัยกันกว่าที่เคย

    และแน่นอนว่าพวกเขาตกลง

    ที่นี่ไม่ได้เคร่งครัดอย่างที่เคยคิดไว้ในทีแรก กลับกันแล้วทหารยังให้สิทธิ์พลเรือนได้ออกความเห็นและทำหน้าที่สำคัญในส่วนที่ถนัด มินซอกอาสาเฝ้าเวรบนดาดฟ้าที่ตอนแรกไม่ได้รับการอนุมัติ เนื่องจากอายุยังน้อยเกินไปและภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูห่างไกลจากการจับปืน ก่อนเด็กนั่นจะแสดงให้เห็นว่าการยิงไรเฟิลใส่กระป๋องจากดาดฟ้าตึกตรงข้ามในนัดเดียวเป็นยังไง

    ผมหน้าม้าเซฮุนเริ่มยาวแล้ว มันปรกหัวคิ้วจนเขาอยากเข้าไปเกลี่ยออกจากหน้าผากมนแล้วจูบลงไปเบา ๆ เขาอยากเป็นคนเช็ดตัวให้แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้สึกตัว หรือลองพยายามอ่านหนังสือสักเล่มให้ฟัง เพียงเพราะแบคฮยอนบอกว่าอาจจะช่วยได้

    “ย่าห์ นอนนานเกินไปแล้วหรือเปล่า ตื่นได้แล้ว” ชายหนุ่มผิวแทนพูดกับกระจกที่รู้ดีว่าเสียงของเขาไม่มีทางส่งเข้าไปถึงคนที่อยู่ด้านใน “ไม่คิดถึงกันบ้างหรือไง ถ้าช้ากว่านี้ฉันจะไปหาสาว ๆ นมโตแล้วนะ”

    ไม่มีการตอบรับ เหมือนกับทุกวันที่คิมจงอินเอาแต่พูดอยู่คนเดียว แต่เขาก็ไม่คิดที่จะหยุด

    “คิดจะเอาคืนเหรอ ให้ตาย ตอนเสียความทรงจำอย่างน้อยฉันก็ยังเดินเพ่นพ่านทำตัวโง่ให้นายเห็นนะ ตื่นมาคุยกันหน่อยสิ”

    ชายหนุ่มทาบฝ่ามือลงบนกระจก และปล่อยให้เวลาเดินเข้าไปหานาทีที่ห้าซึ่งจะมาถึงในอีกไม่ช้า

    “ฉันคิดถึงนายจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว” เกิดคำถามว่าตอนที่เขาถูกฟาดหัวจนหลงไปอยู่กับยูริและซูยอนตั้งนานสองนานนั้นเซฮุนทนได้ยังไง เด็กคนนั้นมีความอดทนสูงงั้นเหรอ ก็คงใช่ ไม่อย่างนั้นคงอยู่กับเขาไม่ได้จนถึงตอนนี้

    โอเซฮุนเลือกรออย่างมีความหวังและอยู่เคียงข้างในวันที่คิมจงอินจำอะไรไม่ได้แม้กระทั่งชื่อตัวเอง ไม่ยัดเยียดความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจให้เขาได้รับรู้ว่าตนเองรู้สึกยังไง คิดถึงมากแค่ไหน ซึ่งคิมจงอินคนโง่ทำได้แค่สงสัยในแววตาคู่นั้น แต่กลับคิดไม่ออกว่าเคยผูกพันกันมากเท่าไร

    คราวนี้มันถึงคราวของเขาแล้วที่จะเป็นฝ่ายรอ และไม่ว่าจะกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี คิมจงอินก็จะยืนอยู่ตรงนี้ เพื่อรอโอเซฮุนกลับคืนมา

    ไม่คาดหวังว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม มันอาจจะดีขึ้นหรือแย่ลง แต่การไม่เสียเด็กคนนั้นไปก็คือข่าวดีที่สุดในชีวิตที่เหลืออยู่ของผู้ชายคนนี้แล้ว เขาอยากอยู่กับเซฮุนไปเรื่อย ๆ

    จงอินไม่เคยคิดออกว่าชีวิตในวันข้างหน้าจะเป็นแบบไหน แต่เซฮุนทำให้เขาลองคิดภาพตัวเองตอนแก่ที่มีเด็กคนนั้นอยู่ข้างตัว ผู้ชายสองคนกุมมือเหี่ยวย่นของกันและกัน ทอดสายตามองโลกใบนี้ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นกว่าช่วงวัยหนุ่มที่เคยวิ่งหนีตายหัวซุกหัวซุน

    ชีวิตที่สามารถเดินบนท้องถนนได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีตัวกินคนรุมกัด หรือถูกยิงโดยผู้คนสติหลุด จงอินอยากใช้ชีวิตแบบนั้นกับเซฮุนและเพื่อนทุกคนจริง ๆ

    “ครบห้านาทีแล้ว” ชายหนุ่มผิวพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปทางคนบนเตียงที่ยังคงหลับใหลไม่ได้สติอย่างเช่นทุกวัน

    “นายคงกำลังฝันอยู่ และถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็อยากให้มันเป็นฝันที่ดี” จงอินยิ้มบาง ๆ พลางมองต้นโคลเวอร์และดอกไม้ที่เขาวางเอาไว้ “ฉันอยากเข้าไปปกป้องนายแม้กระทั่งในฝัน ก็คิดดูแล้วกันว่าฉันคิดถึงนายแค่ไหน”

    รู้ว่าทหารยืนกดดันอยู่ แต่คิมจงอินกลับยืดเวลาอยู่ตรงนี้เพื่อให้มองเห็นอีกฝ่ายได้นานขึ้น ก่อนจะเคาะกระจกสามครั้งเหมือนกับทุกวัน มันเป็นความพยายามอันน้อยนิดที่คนอย่างเขาพยายามสื่อหาเด็กหนุ่มที่หลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียง

    ทั้งที่เซฮุนไม่เคยตื่นขึ้นมาจากเสียงเบา ๆ เพียงไม่กี่ครั้ง แต่เขาก็อยากทำมันทุกวันเผื่อว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นกับเขาบ้าง คิมจงอินไม่ใช่คนดี ใช่ เรื่องนี้เขาและพระเจ้ารู้เป็นอย่างดี แต่เขาอยากยื่นข้อเสนอให้ท่านลองพิจารณาดูสักนิด

    ได้โปรด...

    คืนโอเซฮุนให้กับเขาด้วยเถอะ...

    จงอินอาจจะจมอยู่กับความคิดถึงมากเกินไป สายตาของเขาถึงพร่าเบลอจนเห็นว่านิ้วมือที่เคยวางอยู่บนเตียงมันเริ่มขยับ “ครบห้านาทีแล้ว”

    “เดี๋ยว” ชายหนุ่มผิวแทนยกมือห้ามทหารที่ตรงเข้ามาหวังจะพาตัวเขาออกไป เขายังคงไม่ละสายตาออกห่างจากคนบนเตียง พร้อมถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่าเมื่อครู่นี้แค่ตาฝาดไปหรือไม่?

    เขารู้ตัวว่าคิดถึงเซฮุนจนเก็บไปฝันอยู่หลายครั้ง แต่ --

    ชายหนุ่มผิวแทนและทหารนายนั้นยืนนิ่งงันเมื่อเด็กหนุ่มที่หลับเป็นเจ้าชายนิทรามาตลอดเดือนกำลังค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

    “บ้าน่า...” ทหารสบถขณะที่จงอินกำลังกำมือแน่นพร้อมเพ่งมองอย่างมีความหวังว่าดวงตาที่เคยสดใสในวันนั้นจะเปลี่ยนเป็นต้อขาวหรือไม่ ชายหนุ่มผิวแทนกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ เขาแทบลืมหายใจไปชั่วขณะ กระทั่งเด็กตัวผอมเริ่มกระพริบตา

    และมองมาเพื่อยืนยันให้เห็นว่าเด็กคนนั้นยังคงเป็นโอเซฮุนคนเดิม

    “...”

    “จางซอก! ตามอีทงเฮมาที่ห้อง E04 เดี๋ยวนี้!” การวอเรียกทหารไม่ได้ทำให้เขาอยากยกมือขึ้นปิดหูเลยสักนิด กลับกันแล้วชายหนุ่มผิวแทนเพียงยืนยิ้มให้กับคนป่วยบนเตียงที่กำลังจ้องเขาคล้ายอยากยืนยันกับตัวเองว่าผู้ชายคนนี้ใช่คิมจงอินหรือไม่

    “ไง” เสียงที่อยู่ฝั่งนี้เบาหวิวคล้ายกระซิบ แต่เขาเชื่อว่าเด็กคนนั้นคงรับรู้ได้ เซฮุนยิ้มบาง ๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง พร้อมนิ้วชี้ที่กระดกขึ้นเล็กน้อยราวกับอยากสื่อสารกับเขา ซึ่งคิมจงอินมีเวลามากพอที่จะรอ...

    รอจนกว่าคนที่เขารักจะหายดีและพูดมันด้วยตัวเอง

    ‘ความหวังของแต่ละคนหน้าตาไม่เหมือนกัน ความหวังของผมหน้าตาเป็นหลอดแก้วที่สามารถเยียวยาหาทางรักษาคนจากเชื้อนรกนี่’

    รู้สึกเหมือนเวลามันย้อนกลับไปในวันแรกที่ได้เจอกัน มองตัวเองที่ย่อตัวนั่งลงสบตากับเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนที่ถูกมัดมือและปิดปากด้วยเทปผ้าเอาไว้ ในวินาทีนั้นโอเซฮุนอยู่ใกล้คำว่า ‘ความตาย’ แต่คิมจงอินเลือกที่จะเปิดผ้าปิดปากและป้อนข้าวผัดฝีมือไอ้ลู่หานที่ไหม้จนหมาแทบไม่อยากมองให้อีกฝ่ายกิน

    รวมไปถึงเรื่องเล่าในบ้านไร่ข้าวโพด กับร่างกายที่เปียกปอนไปด้วยฝน เราสองคนบดเบียดกันอยู่ในผ้าห่มผืนเล็ก ๆ พูดคุยกันท่ามกลางเสียงฟ้าร้องไห้จนเริ่มมองอีกฝ่ายในมุมที่ต่างออกไป จนความสัมพันธ์มันขยับเข้าไปใกล้คำว่าความสนิทสนมจนเรียกว่าครอบครัว

    ความหวังของทุกคนคืออะไร บางคนอาจจะเป็นการขับรถหาที่ซุกหัวนอนไปเรื่อย ๆ ฝ่าฝูงตัวกินคนมากมายจนเกือบตาย เพื่อแลกกับเสบียงไว้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ใช่ มันต้องเป็นอย่างนั้น แต่นั่นยังไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่จะพาชายหนุ่มผิวแทนไปถึงวินาทีสุดท้าย เพราะการยังหายใจ และกินเพื่ออิ่มท้องมันยังไม่ใช่สิ่งที่จงอินคิดว่ามันคือความหวังสูงสุดของชีวิต

    ‘แล้วคุณล่ะจงอิน... ความหวังของคุณหน้าตาเป็นแบบไหน?

    ความหวังของผู้ชายอย่างเขาน่ะเหรอ?

    อืม... มันมีหน้าตาเหมือนโอเซฮุนไม่มีผิด



    THE END



    “เฮ้ย ไอ้ช่างซ่อมขี้กาก ปะ แดกเหล้ากัน”

    เสียงไอ้ลู่หานน่ารำคาญกว่าเสียงเครื่องยนต์ที่เขากำลังซ่อมอยู่อีก จงอินถอนหายใจพลางยกเท้าขึ้นส่ายปฏิเสธเมื่อปากของเขายังคงคาบอุปกรณ์อยู่ใต้ท้องรถ

    “ไม่เอาน่า งวดนี้เราได้เบียร์มาเยอะเลยนะเว้ย แต่ทางค่ายแม่งเสือกบอกไม่สำคัญ ให้เอาไปทำห่าอะไรก็ได้ แล้วมึงคิดดูว่ากูจะยอมยกให้พวกแม่บ้านเอาไปหมักผมปะ ฝันเอาเด้อ ของดีขนาดนี้” ลู่หานนั่งบนรถยนต์เด็ก พลางงอเข่าขึ้นเอาขาไถกับพื้นเล่นจนลืมอายุ

    จงอินสไลด์ตัวออกมาจากใต้ท้องรถแล้ววางอุปกรณ์ซ่อมไว้ข้างตัว มองเพื่อนสนิทด้วยสายตาที่อยากบอกให้รู้ว่าเขาเอือมระอากับความเฒ่าทารกของมันแค่ไหน “เมื่อวานก็แดก วันนี้ก็จะแดก แถมชวนกูกลางวันแสก ๆ อีก สมแล้วที่เด็กดาดฟ้าไม่ให้นอนด้วย”

    “มันเป็นเอฟเฟ็คลูกโซ่ไงเพื่อน ถ้าเปาจื่อยอมให้กูนอนด้วยตั้งแต่แรกกูก็ไม่เครียดปะ พอกูไม่เครียดกูก็ไม่พึ่งเหล้าพึ่งเบียร์ เนี่ย ทุกอย่างมีเหตุมีผล”

    “อ้าง” จงอินตบหัวไอ้ขี้เมาเสียงดัง “ไปชวนอี้ฟานกับชานยอลดิ”

    “อี้ฟานไม่แดกอยู่แล้ว ส่วนไอ้ชานยอลไม่อยากพูดถึง รำคาญ”

    “แหม่ ทีตอนมันใกล้หายคนเสิร์ฟข้าวเสิร์ฟน้ำมันคือหมาตัวไหนวะถ้าไม่ใช่มึง?” ทำเป็นบอกว่าอยากช่วยอี้ชิง ที่จริงคือรู้สึกผิดที่ปากเหี้ยใส่ชานยอลมานานเลยอยากชดใช้ “ลงได้ละ เดี๋ยวของเล่นเด็กพัง กูไม่อยากได้ยินเสียงใครร้องไห้”

    ลู่หานจำใจลงจากของเล่นเด็กแล้วยืนพิงกับผนังที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ซ่อมรถ วันนี้เขาว่างเกินไป ว่างจนอยากขึ้นไปบนดาดฟ้าเพื่อขอความรักจากแฟนจ๋า แต่ก็กลัวจะโดนสันปืนฟาดหน้าเข้าให้ ทะเลาะกันเพราะเรื่องดึงกางเกงในน้องเข้าวิน แต่นั่นก็หลายวันแล้วเปล่าวะ ไม่รู้จะงอนอะไรนักหนา

    นี่ก็ผ่านมาห้าเดือนแล้วหลังจากเด็กกรงหมาได้สติ แต่ทางไอ้นักวิทยาศาสตร์กากนั่นกลับบอกให้อยู่ต่อก่อนอีกสักครึ่งปีเพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจว่าเด็กนั่นจะไม่กลายเป็นพาหะแพร่เชื้อให้กับคนอื่น คือถ้าใช้เวลานานขนาดนั้นไม่จับเด็กกรงหมาเพาะเห็ดไปเลยล่ะห่า บอกเลยนะว่าถ้ามันเล่นตุกติกอีกคราวนี้จะได้มีนักวิทยาศาสตร์ถูกสับเล่นด้วยดาบคาตาน่ายอดรักโชว์ประชาชน

    เซฮุนถ่ายเลือดออกไปทดลองเป็นระยะ ไอ้ทงเฮอะไรนั่นบอกว่าเป็นกรณีศึกษาว่ะ ซึ่งตอนแรกลู่หานไม่อยากเชื่อใจมันเลยสักนิด วันนั้นเดินไปหามันกะตำหน้าด้วยความหล่อ แต่สุดท้ายเสือกถูกตอกกลับมาด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เขาโคตรจะไม่เข้าใจ

    ชานยอล อี้ฟาน และซีวอนกลายเป็นพวกหัวกะทิในค่ายไปแล้ว พวกทหารค่อนข้างถูกใจสามคนนั้นเพราะความฉลาดที่สามารถวางแผนได้เป็นอย่างดีว่าควรนำทหารกี่นายไปเคลียร์พวกกินคน ไหนจะเรื่องหาท่อนไม้แข็งแรงมาเหลาให้แหลม ๆ เพื่อสร้างเป็นกำแพง เรื่องปลูกพืชผักก็ด้วย ดินแบบไหนควรปลูกอะไร บลา ๆ พวกมีความรู้น่ารำคาญจังโว้ย

    ไอ้จงอินได้อู่ซ่อมรถเล็ก ๆ ไว้ให้มันรำลึกความหลัง ส่วนเขานอนอพาร์ทเม้นท์กับมินซอก แน่นอนว่าทุกคนยังคงมีความกลัวอยู่ในใจ แต่ถึงอย่างนั้นการอยู่ที่นี่และพัฒนาค่ายจนกลายเป็นชุมชนใหญ่ก็เป็นเป้าหมายใหม่ที่ดีกว่าการหนีไปเรื่อย ๆ

    “เดี๋ยวกูไปหาตอนหัวค่ำ ตอนนี้ขอทำงานก่อน หมวดคังต้องใช้รถพรุ่งนี้เช้า”

    “เออ กูแวะมาหยอกเล่นตามประสาผัวคิดถึงเมียเฉย ๆ แดกข้าวด้วยล่ะ อาหารหมาเหลือเยอะ”

    “พูดมากจังนะมึง ขอยืมปากไปฝากตีนหน่อย”

    “อู้ว” ลู่หานทำท่าอ้อร้อจนคนมองทนไม่ไหว ถอดรองเท้าบูทหนังเขวี้ยงใส่แต่ไอ้นรกแตกมันโยกตัวหนีทัน

    จงอินสบถคำหยาบพลางส่ายศีรษะ ก่อนจะสไลด์ตัวเข้าไปใต้ท้องรถอีกครั้ง แม้จะกลับมาทำเรื่องเดิม ๆ เหมือนตอนที่โลกยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่เขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นที่ได้อยู่กับกลิ่นน้ำมัน รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ไปจนถึงอุปกรณ์มากมายที่คุ้นมือเป็นอย่างดี

    แกร๊ง!

    ช่างซ่อมรถคนหนึ่งจะถูกขัดจังหวะได้สักกี่ครั้งกัน จงอินถอนหายใจพลางสไลด์ตัวออกจากรถอีกครั้ง พร้อมปฏิญาณกับตัวเองว่าถ้าเป็นไอ้ลู่หานเขาจะลุกขึ้นไปกระโดดถีบยอดหน้ามันสักทีเอาให้หายเปลี่ยวจากแฟนเด็ก

    แต่แผนเตรียมกระทืบเพื่อนก็ถูกพับเก็บเมื่อพบว่าคนที่เตะกล่องอุปกรณ์เมื่อครู่คือเด็กหนุ่มผิวขาวที่ถือรองเท้าของเขาเอาไว้ข้างหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นดูตระหนกและดีใจไปพร้อม ๆ กัน ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางความเงียบซึ่งมีเพียงหัวใจที่เอาแต่กระโดดโลดเต้นเหมือนคนบ้า ก่อนคนทนไม่ไหวจะเป็นผู้ชายที่ใช้ชีวิตอยู่กับการรอมาตลอดครึ่งปี

    ไม่รู้ว่าเซฮุนเจ็บตัวจากการทดลองบ้างหรือเปล่า เขาได้แต่หวังว่าจะไม่กอดเด็กคนนี้แน่นจนเกินไป จงอินกดศีรษะทุยลงบนไหล่ตนเอง ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้เราจะแข่งกันระบายความคิดถึงออกมาเป็นอ้อมกอดที่แนบแน่นยิ่งขึ้น

    ชายหนุ่มผิวแทนกดจูบศีรษะคนในอ้อมกอดอย่างใคร่รัก เขาคิดไม่ออกเลยว่าควรพูดอะไรออกมาในวินาทีที่หัวใจมันถูกเติมเต็มอย่างนี้

    “นี่ต้องเป็นรองเท้าคุณแน่เลย”

    “เก็บได้แล้วรู้จักเอาคืนเจ้าของเหรอ เด็กดีว่ะ” จงอินผละอ้อมกอดออกมาจ้องตาอีกฝ่ายในระยะใกล้ ก่อนจะบีบจมูกรั้นเบา ๆ

    “คุณทงเฮบอกให้ผมกลับบ้านได้ แต่ผมไม่รู้ว่าบ้านอยู่ไหน คุณพอจะพาผมกลับบ้านได้ไหมครับ” จงอินอมยิ้มเล็ก ๆ ระหว่างมองปฏิกิริยาของคนตรงหน้า เด็กที่ชอบเลียริมฝีปากคลายความประหม่าเอาแต่ก้ม ๆ เงย ๆ อย่างขลาดอายที่ได้คุยกันอีกครั้ง

    เพราะตั้งแต่เซฮุนฟื้นตัว ทั้งคู่ก็ได้เจอกันน้อยลง เนื่องจากภาระหน้าที่ที่จงอินจำเป็นต้องทำ จึงทำให้เวลาไม่ตรงกัน พอเขาเลิกงานเด็กคนนี้ก็หลับ ถึงเซฮุนจะรอดพ้นจากความตายแล้วแต่อีทงเฮก็ยังต้องเทคยาให้เป็นระยะและถ่ายเลือดออก ซึ่งจงอินยังทำได้มากที่สุดแค่มองอีกฝ่ายผ่านกระจกและ รู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านล่วงเลยมาหลายเดือนแล้ว

    “บ้านเหรอ ใช่หลังนี้ไหม?” จงอินชี้ไปนิ้วโป้งไปด้านหลังทั้งที่ยังสบตากับเจ้าของใบหน้าขาว เซฮุนอมยิ้ม แกล้งชะเง้อหน้ามองอยู่ในทีพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด

    “อืม... หลังนี้หรือเปล่านะ...”

    “ที่มีเตียงเดียวกับหมอนข้างชื่อคิมจงอินน่ะ ว่าไง มันใช่บ้านของนายหรือเปล่า?” เขาแสร้งทำหน้าตาย เลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย น่ามันเขี้ยวเหลือเกินที่เซฮุนแกล้งรับมุข วางรองเท้าของเขาลงแล้วก้าวเข้าไปด้านในก่อนจะสะดุดตากับกรอบรูปเล็ก ๆ ที่เป็นรูปคนป่วยหน้าซีดชูสองนิ้วอยู่บนเตียง

    “ใช่แล้วล่ะครับ... นี่มันรูปผม” เด็กหนุ่มอมยิ้มอย่างขลาดอาย ไล้นิ้วมือลงบนรูปเซลฟี่ในวันนั้นที่จงอินมาเยี่ยมเขาพร้อมกล้อง ทั้งคู่ถ่ายรูปกันผ่านกระจกใส ชูสองนิ้วเหมือนเด็ก ๆ อย่างที่ไม่คิดว่าจงอินจะยอมทำตาม ซึ่งเซฮุนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะล้างรูปแล้วเอามาใส่กรอบไว้

    ผ้าห่มที่เคยให้ความอบอุ่นมาตลอดหลายเดือนสู้อ้อมกอดของจงอินไม่ได้เลย เซฮุนชอบตัวเองเวลายิ้มออกมาได้ง่าย ๆ เพียงเพราะถูกอีกฝ่ายกอดจากข้างหลัง เด็กหนุ่มตัวผอมจับท่อนแขนแกร่งเอาไว้แล้วเอี้ยวหน้าหันไปสบตากันในระยะใกล้

    “อยู่ได้ไหม ถ้าที่นี่มันจะมีแต่กลิ่นน้ำมันเครื่องกับเสียงซ่อมรถ” เซฮุนรู้สึกเหมือนกำลังถูกขอแต่งงานยังไงอย่างนั้น จงอินจะรู้บ้างไหมว่าเด็กอย่างเขาอยู่ที่ไหนก็ได้แค่ขอได้อยู่ด้วยกัน

    “อยู่ได้ครับ แต่มีข้อแม้อย่างนึง”

    “หือ เดี๋ยวนี้หัดมีข้อต่อรองแล้วเหรอ?” เด็กหนุ่มหัวเราะกับคำถามที่มาพร้อมคิ้วทั้งสองข้างของจงอินที่ขมวดเข้าหากัน

    “ผมจะยอมอยู่ที่นี่ก็ต่อเมื่อคุณยอมสอนให้ผมซ่อมรถนะครับ”

    โธ่ สภาพแบบนี้แค่ปะยางยังจะรอดเปล่าเถอะ?

    “ของแบบนี้ต้องให้ผมลองก่อนแล้วค่อยตัดสินนะครับ” เซฮุนก็ยังคงเป็นเซฮุน ที่ไม่เคยงอนหรือหัวร้อนไปกับคำพูดน่าหงุดหงิดของเขา

    ยกเว้นช่วงแรก ๆ ที่คิมจงอินปากหมาใส่ไปหน่อยน่ะนะ...

    “ผมยาวแล้ว” เขาจับผมสีเข้มที่ยาวจนเรียกว่าหน้าม้าไม่ได้ แต่ก็น่ารักไปอีกแบบเหมือนกัน

    “คุณทงเฮบอกว่ามีช่างตัดผมอยู่ตรงแฟลทสอง แต่ผมอยากมาหาคุณก่อนก็เลยยังไม่ได้ไปตัดผมครับ”

    “เดี๋ยวฉันพาไปตัด แต่ขอล้างมือก่อน”

    “อ่า จริงด้วยครับ แขนผมเปื้อนน้ำมันเครื่องจากมือคุณแล้ว” เด็กหนุ่มตัวผอมก้มลงมองตัวเอง ขยับปากสีเชอร์รี่พูดความน่ารักออกมาไม่หยุด และเขารักที่จะมองอีกฝ่ายไปอย่างนี้

    “ไม่ใช่แค่แขนนะ แก้มนายก็เลอะ” เซฮุนเบิกตาโพลง รีบจับแก้มตัวเองจนเห็นว่ามีคราบน้ำมันเครื่องติดอยู่จริง ๆ “เหมือนคนป่าเลยว่ะ”

    “คุณก็เป็นคนป่าด้วย” ปากสีเชอร์รี่เม้มแน่นตอนป้ายคราบน้ำมันลงบนแก้มเขา ทั้งคู่สบตากันแล้วหัวเราะออกมาอย่างคนโง่ เพราะสุดท้ายแล้วเราก็ช่วยกันเช็ดคราบน้ำมันเครื่องออกจากแก้มกันและกันอยู่ดี

    *

    อู่ซ่อมรถเล็ก ๆ หันป้ายปิดทำการ จงอินแบมือออกมาข้างหน้า และเซฮุนก็วางมือลงมาบนมือของเขาอย่างไม่อายว่าใครจะคิดยังไงถ้าหากว่าเห็นผู้ชายสองคนจับมือกันอยู่ ชีวิตของคนเรามันสั้นเกินไป ดังนั้นเซฮุนจึงอยากทำทุกอย่างที่ใจคิดเพื่อไม่ให้เสียใจทีหลัง

    “ผมพร้อมจะทำงานแล้วจริง ๆ นะครับ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลย จะช่วยคุณหรือให้ไปช่วยในค่ายก็ได้”

    “เฟี้ยวจริงนะ ถ้าเป็นลมล้มพับขึ้นมาเดี๋ยวรู้เรื่อง”

    “ไม่เอาหรอกครับ นอนนาน ๆ เดี๋ยวคุณคิดถึงแย่”

    “นอกจากจะเริ่มมีข้อแม้แล้วยังหัดหยอดอีกด้วย...” จงอินหรี่ตามองคนข้าง ๆ ที่ปิดปากยิ้มราวกับเพิ่งนึกได้ว่าควรเขินคำพูดของตัวเอง

    “คุณเป็นคนบอกผมเองว่าให้ฝึกจีบบ่อย ๆ จะได้ชิน”

    “เออมาเหอะ เดี๋ยวเจอจีบคืนแล้วจะรู้ว่าหน้าแดงไปจนถึงหูเป็นยังไง” เขากระชับนิ้วทั้งห้าจนสอดประสานกันแนบแน่น ก่อนคิมจงอินจะระบายความคิดถึงออกมาเป็นการขโมยหอมแก้มเด็กคนนี้แรง ๆ สักที

    “จงอินครับ ผมมีอะไรจะเล่าให้ฟัง”

    “ว่า...?”

    ในความฝันที่ไร้ความหวังนั้น... เซฮุนยังจำกลิ่นคาวเลือดและความหวาดกลัวตอนพยายามตามหาไขควงได้ เด็กหนุ่มถูกไล่ต้อนไปจนถึงห้องแคบก่อนประตูที่เคยโดนทุบโดยพวกกินคนจะถูกเปิดออก เซฮุนมองความว่างเปล่าข้างนอกนั่น ก่อนใครคนหนึ่งจะรีบวิ่งเข้ามาประคองเขาขึ้นแนบอก โอบกอดให้ความอบอุ่นพร้อมกระซิบบางอย่างที่ทำให้ความหวาดกลัวในใจหายไป

    ‘เฮ้ นายจะมาหลับตรงนี้ไม่ได้นะ’

    ‘จงอิน... นั่นคุณเหรอครับ...?’

    ‘ใช่ ฉันเอง’

    ‘...’

    ‘ฉันคือผู้ชายคนนั้น คิมจงอินของนาย’

    “ผมรักษาสัญญาและกฎสามข้อแล้วนะครับ” จงอินเลิกคิ้วมองเสี้ยวหน้าของเด็กหนุ่มตัวผอมที่กำลังทอดสายตาไปยังชุมชนเล็ก ๆ เบื้องหน้า

    “ขอบคุณ” มีเพียงคำนี้เท่านั้นที่เขาอยากบอก ทั้งคู่หยุดฝีเท้าแล้วหันหน้าเข้าหากัน และจงอินคิดว่าในวินาทีนี้นั้นคงไม่มีอะไรดีไปกว่ารอยยิ้มของเซฮุน

    “ขอบคุณที่รอผมเหมือนกันนะครับ”

    “ฉันมีอะไรจะบอกนายเหมือนกัน”

    “อะไรเหรอครับ?”

    “ฉันรักนาย”

    “ครับ?” เซฮุนเลิกคิ้วถามย้ำเมื่ออีกฝ่ายพูดมันเร็วเสียจนแทบฟังไม่ทัน

    “ยังจะครับอีก ตอนพูดทำไมไม่ตั้งใจฟัง” ชายหนุ่มผิวแทนเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม แกล้งมองคาดโทษคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนว่าจะระเบิดหัวเราะออกมาเต็มแก่ที่เห็นเขาเสียฟอร์ม

    “พูดอีกครั้งก็ไม่ได้เหรอครับ ผมยังบอกคุณได้ง่าย ๆ เลย จงอินครับ ผมรักคุณนะ แบบนี้” อีทงเฮใส่ยาอะไรลงไปหรือว่าเราห่างเหินกันไปนาน เขาถึงได้รู้สึกว่าเซฮุนทำตัวน่ารักขึ้น

    “ฉันจะไม่พูดซ้ำ เพราะมันเป็นกฎข้อสี่ที่นายต้องท่องจำให้ขึ้นใจ”

    “อ่า กฎเฉยเลย...”  

    “ยังไม่จบนะ มันมีอีกข้อ”

    เซฮุนพยักหน้าตาใส คนมองที่คิดว่าคงต้านความน่ารักไม่ไหวจึงต้องขมวดคิ้วเบนสายตาไปอีกทาง ก่อนจะชี้หน้าสั่ง

    “นายต้องรักฉันแล้วก็ห้ามตายก่อน นั่นคือกฎข้อใหญ่ที่ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด โอเคนะ?”

    “ข้อสุดท้ายควบสองเลยเหรอครับ” เซฮุนยิ้มจนตาหยี เขาจึงล็อกคอเด็กช่างพูดเข้ามากอดแล้วเดินไปข้างหน้าด้วยกัน

    “มันเขี้ยวว่ะ”

    “ห้ามจูบผมนะครับ ตรงนั้นมีเด็ก” เด็กหนุ่มไม่สามารถหุบยิ้มได้เลย สิ่งที่เขาทำตอนนี้คือเอาหัวถูกับอกจงอินพร้อมกอดเอวหนาไว้เป็นหลัก

    “เออรู้ ไว้กลับบ้านเจอดีแน่ ตอนนี้ทำซ่าไปก่อนเถอะ”

    “จงอินครับ ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมยังไม่อยากตัดผม”

    “แล้วอยากทำอะไร?” ชายหนุ่มผิวแทนยีกลุ่มผมสีเข้มอย่างเอ็นดู พร้อมโบกมือทักทายแบคฮยอน คยองซู และจงแดที่หยุดฝีเท้ากลางถนนเมื่อเห็นว่าเซฮุนอยู่ตรงนี้ สายตาคนเหล่านั้นเล่นใหญ่กว่าเขาเสียอีกให้ตายสิ

    “ผมอยากไปหาทุกคนครับ เริ่มต้นจากสามคนนั้นก่อนเลย”

    ฝันร้ายครั้งหนึ่งได้ผ่านไปแล้ว ซึ่งเซฮุนรู้ว่าวันข้างหน้ายังมีฝันร้ายรออยู่อีกนับครั้งไม่ถ้วน แต่ผู้ชายคนนี้จะเป็นคนเยียวยาความหวาดกลัวเหล่านั้นให้เมื่อเขาตื่นนอน ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไปแล้ว ตราบใดที่ข้างตัวยังมีคคนรักและครอบครัวยืนอยู่

    “เอาสิ วันนี้เป็นวันของนายแล้วเซฮุน”

    พวกเขาจะสู้ไปด้วยกัน... จนกว่าความหวังของโลกใบนี้จะมาถึง



    THE REAL END


    จบแล้วววววว


                   มหากาพย์ฟิค 100 กว่าตอน ในที่สุดก็เดินทางมาจนถึงตอนจบจนได้
    ส่วนตัว ทั้งดีใจและเศร้าใจในเวลาเดียวกัน หนึ่งคือเราชอบอะไรที่เป็นซอมบี้มาก เคยพูดไปแล้วว่าจุดเริ่มต้นของเราคือเกม Resident Evil (หรือ Biohazard) ที่ทำให้เราเริ่มเขียนซอมบี้เป็นครั้งแรก (เมื่อสมัยปี 52)

    จนกระทั่งเราดู The Walking Dead ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ Zombies Hard Creeper ได้ออกมาเป็นเรื่องเป็นราว อิเวนเอ่ย แค่ชื่อเรื่องก็งงแล้ว มันไม่มีความหมายอะไรเลย คือเราเขียนกะเอาเท่เพราะไม่คิดว่าจะมีคนมาอ่าน

    เราเคยเขียนฟิคซอมบี้มาทั้งหมด น่าจะราว ๆ 4 เรื่อง (วงเก่า) แต่ก็เขียนไม่จบสักที เนื่องจากเมื่อก่อนเราวางพล็อตไม่เป็น เขียนไปเรื่อย ๆ ไร้จุดหมาย พอมาเป็นซอมบี้เรื่องนี้ ได้ใครหลายคนช่วยคิดพล็อต ปะช่องโหว่ให้ที่เราคงคิดเองคนเดียวไม่ไหว จาก Intro มาจนถึงตอน 117 เราได้ฝึกเขียนมาเรื่อย ๆ ด้วยภาษากาก ๆ จนดีขึ้นมานิดนึง แต่ก็ไม่ใช่ภาษาที่เรียกว่าสวย เราเรียนรู้จากการเขียนฟิคเรื่องนี้มากจริง ๆ เราสอนตัวเองในเรื่องที่ทำไม่ได้ หรือไม่เคยทำ ระบายความรู้สึกที่เคยเจอเอง หรืออยากคิดแบบนั้นให้ได้ลงไป จนเราคิดว่าตัวละครในเรื่องไม่ใช่ศิลปิน แต่เป็นคนที่มีชีวิตอยู่จริง ๆ เพราะเราผูกพันกับพวกเขาไปแล้ว ตอนเขียนตอนจบ คือร้องไห้ไปเยอะมาก ใจหาย แล้วก็อินกับตัวละครจนงงตัวเอง 55555555555555555 

    ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านมาจนถึงตอนนี้นะคะ เราอาจจะเขียนอะไรผิดบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง หรืออัพช้ามาก เพราะฟิคช่วงหลัง ๆ เนื้อเรื่องมันตึงเครียดจริง ๆ ค่ะ 55555555555 บวกกับปีก่อนหน้านี้เราไปหาหมอหลายครั้ง เพราะอาการซึมเศร้ามันพีค ครึ่งปีหลังเราแทบเขียนฟิคไม่ได้เลย เพราะยามันส่งผลทำให้เราเฉื่อยมาก นั่งเด๋อ ๆ กันไป

    ยังไงก็ ดูแลสุขภาพกายและใจให้ดีนะคะ ขอให้พวกคุณมีชีวิตที่ดี มีความรักที่ดี อยู่ท่ามกลางคนที่รักและเข้าใจคุณนะ สวัสดีปีใหม่นะคะ :D

     

    ปล. ยังเหลือสเปอีกน้า เดี๋ยวเราค่อย ๆ เอามาทยอยลงให้อ่านนะคะ 



     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×