คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #119 : Chapter 113 :: Feel Real (100%)
Chapter 113
Feel Real
“คุณไปนอนเถอะ เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง”
ชานยอลเงยหน้ามองเจ้าของคำพูดที่กำลังช่วยเขาเก็บโต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องดื่มมันเมา
ทั้งเหล้าเก่าแก่และแบบที่หาดื่มได้ทั่วไป
ซึ่งทุกคนต่างดื่มด่ำไปกับมันเพื่อผ่อนคลายก่อนจะเริ่มตั้งหลักออกหาเสบียงกันต่อในอีกสองวันข้างหน้า
คยองซูยังคงมีสติครบถ้วนถ้าเทียบกับจงแดที่เมาหลับคอพับไปก่อนใครอื่น
ตามด้วยแบคฮยอนที่เวียนหัวจนต้องขอตัวขึ้นห้องก่อน อี้ชิงฟุบไปแล้ว ส่วนซีวอนน็อคเป็นรายสุดท้าย
ทีแรกผู้ชายคนนั้นค่อย ๆ ดื่มและร่วมหัวเราะไปกับความตลกของอี้ชิงตอนพยายามอธิบายเป็นภาษาเกาหลีอย่างจริงจังแต่ความหมายกลับเพี้ยนไปทางเรื่องลามก
แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นอยู่ ๆ ถึงวกไปถึงเรื่องซูโฮ พ่อที่ยังทำใจเรื่องเสียลูกไม่ได้จึงกระหน่ำดื่มอย่างหนัก
“ปล่อยไว้ตรงนี้แหละ ถ้าทนปวดคอไม่ไหวผมว่าพวกเขาคงกลับไปนอนในห้องเอง” คยองซูมองสภาพของแต่ละคน คงมีแค่ซีวอนที่ปกติที่สุดเพราะท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟา
ส่วนอี้ชิงหลับคอพับกับพนักวางแขน และแย่สุดคือจงแดที่นอนจูบพรมบนพื้นอย่างไม่ได้สติ
“ผมจะไปเอาผ้าห่มมาให้
ถ้าใครคนหนึ่งเป็นหวัดตอนออกไปหาเสบียงคงไม่ดี” ชานยอลยิ้มขำ
มองสภาพแต่ละคนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันหลังเดินไป คยองซูมองตามแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่าย
ผู้ชายคนนั้นดื่มน้อยกว่าใครและคาดว่าคงเตรียมรับมือกับสถานการณ์แบบนี้โดยเฉพาะ
ในเมื่อมีคนเมาก็ต้องมีคนเก็บกวาด ซึ่งเขาชินกับตำแหน่งนี้มาตลอด
ระหว่างนั่งดื่มชานยอลจิบไปเพียงเล็กน้อยและยิ้มกับบทสนทนามากมายที่เราทุกคนหยิบยกมันขึ้นมาพูดเพื่อสร้างบรรยากาศ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวก่อนโลกเปลี่ยนไป
หรือเรื่องที่ทำให้ถอนหายใจทุกครั้งเมื่อนึกถึง
อาจเป็นเพราะดื่มเหล้าเข้าไปประมาณหนึ่ง
และตอนนี้ก็ดึกมากพอที่จะทำให้นึกถึงเรื่องแย่ ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ตั้งแต่หกล้มตอนเป็นเด็ก
ถูกเพื่อนแกล้งจนร้องไห้ พบเจอความสูญเสีย ถูกบีบบังคับให้เป็นขี้ข้า
ไปจนถึงการปล่อยมือใครคนหนึ่งให้ตกลงไปตายต่อหน้าต่อตา เรื่องเหล่านั้นยังคงกัดกินหัวใจโดคยองซูอยู่เสมอ
มันบั่นทอน... กัดกร่อนทีละนิดและเขาไม่รู้ว่าความเจ็บปวดเหล่านั้นจะสิ้นสุดเมื่อไหร่
‘ซูโฮเป็นเด็กดี’ ตอนที่พูดประโยคนั้นซีวอนไม่ได้หันมามองหน้าเขาเพื่อย้ำให้รู้สึกผิดเลยสักนิด
พ่อที่ตกอยู่ในความเศร้าเพียงยกแก้วขึ้นดื่มเพียว ๆ โดยไม่สนว่าเหล้าเก่าแก่ของบ้านหลังนี้จะแรงมากแค่ไหน
เราต่างยังคงกระอักกระอ่วนกับเรื่องที่ผ่านไปพร้อมเวลา แต่กลับหยั่งลึกอยู่ในใจตอกย้ำทุกวี่ทุกวันให้มนุษย์อย่างเขารู้ว่าความเจ็บปวดเป็นอย่างไร
เด็กหนุ่มยังถนัดการแสดงออกว่าไม่รู้สึกอะไร
จนกระทั่งวินาทีนี้
“คยองซู”
“...”
“เก็บไว้คิดวันอื่นเถอะนะครับ ให้สมองคุณได้หยุดพักบ้าง”
รอยยิ้มของปาร์คชานยอลไม่ได้เยียวยาสิ่งที่โดคยองซูกำลังเผชิญอยู่
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าประโยคเมื่อครู่ทำให้หัวใจที่กำลังร้องไห้หยุดสะอึกสะอื้นได้แม้จะไม่มีน้ำตาสักหยดไหลออกมาจากดวงตา
เด็กหนุ่มเบือนหน้าไปอีกทาง เลียริมฝีปากท่ามกลางความเงียบที่กึกก้องไปด้วยเสียงตะโกนในใจของเขา
ปาร์คชานยอลคงมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งโดยไม่ต้องถามว่า ‘ยังเศร้าเรื่องซูโฮอยู่เหรอ?’ ผู้ชายคนนั้นเพียงแค่มองมาเท่านั้น มองราวกับว่าเขาเป็นโจทย์คำถามที่อยากลองแก้เล่น
ๆ ฆ่าเวลาในค่ำคืนนี้
“ผมไม่ได้ขอให้คุณยิ้มอย่างมีความสุขเพราะเรามีบ้านกับเสบียงอาหารที่จะทำให้เราไม่ต้องดิ้นรนเหมือนก่อนหน้านี้
แต่ผมอยากให้คุณหลุดออกมาจากความทุกข์ใจบ้าง คยองซู” เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าของเสียงทุ้มต่ำกำลังมีสีหน้าแบบไหน
เด็กหนุ่มเงียบไป เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องตอบโต้บทสนทนานี้หรือเปล่า “อย่างน้อยก็ช่วงเวลาหนึ่ง”
อาจจะครึ่งนาทีหรือมากกว่านั้นที่ทั้งคู่ยืนนิ่งอยู่ในห้องนั่งเล่นโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก
คยองซูรับรู้ได้ถึงความหวังดีที่ชานยอลมีให้
แต่มันช่างน่าอึดอัดเหลือเกินสำหรับคนที่เคยชินกับการถูกมองข้ามความรู้สึกมาตลอด
ใช่ หลายคนที่วนเวียนอยู่ในชีวิตมักจะปล่อยให้โดคยองซูเข้าใจโลกใบนี้ด้วยตัวเอง
เขาจึงค่อนข้างกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อยกับความเป็นห่วงของชานยอล
“ผมจะพยายาม”
แม้มันจะเป็นเรื่องยาก
แต่ในเมื่อตั้งใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่แทนเด็กโง่อย่างซูโฮ
โดคยองซูจึงค่อย ๆ
ยกมุมปากเล็กน้อยเพื่อให้ใบหน้าของเขาแสดงสิ่งที่เรียกว่ารอยยิ้มออกมา
รอยยิ้มที่คงทำให้อีกฝ่ายรับรู้ได้ว่าเด็กกำแพงสูงคนนี้ยินดีที่รับฟัง
ชานยอลยิ้มบาง ๆ
ก่อนจะเดินขึ้นไปบนชั้นสองเพื่อเอาผ้าห่ม มือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มยังถือขวดเหล้าที่ดื่มหมดไปแล้ว
มองของมึนเมาที่ควรส่งเขาให้นอนหลับไม่ได้สติเหมือนคนอื่น ๆ แต่ตอนนี้ในห้องนั่งเล่นกลับเหลือเพียงโดคยองซูคนเดียวที่ยังอยู่กับความจริง
“...”
ชายวัยกลางคนที่นอนหลับตาอยู่บนโซฟาได้ยินบทสนทนาทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้
เขารู้ว่าคยองซูยังคงยืนอยู่ที่นี่ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงถอนหายใจของเด็กผู้ชายไม่ค่อยพูด
ซีวอนยังคงแกล้งหลับซึ่งเอาเข้าจริงเขาแค่ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรในเวลาแบบนี้
เพราะเหล้า... เขาถึงรู้สึกเหมือนตกนรกอีกครั้ง
เพราะเหล้า...
เขาถึงคิดแต่เรื่องการจากไปของลูกชาย
.
.
“ผมคิดว่าคุณหลับไปแล้วเสียอีก”
คนที่ท้าวแขนกับราวจับระเบียงหันไปด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงผู้มาใหม่
ชานยอลยังคงดูปกติเหมือนเมื่อสี่ชั่วโมงก่อนที่พวกเราเริ่มดื่มกัน สังเกตได้จากสีหน้าและท่าทางการเดินซึ่งกำลังตรงมาทางนี้
ก่อนจะหยุดยืนข้าง ๆ เขาพร้อมท้าวแขนกับระเบียงเช่นกัน
“ผมนอนพักสายตาไปแป๊บนึง พอรู้สึกดีขึ้นก็เลยออกมาสูดอากาศสักหน่อย”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองแสงสว่างระยิบระยับเป็นจุดบนท้องฟ้ามืดตามคนตัวเล็ก
“คืนนี้ดาวสวยนะครับ” แบคฮยอนเห็นด้วยกับคำพูดของอีกฝ่าย
เด็กหนุ่มปล่อยให้ความเงียบและลมเย็นสร้างบรรยากาศดี ๆ
ให้กับเราหลังจากวุ่นวายกับการขุดดินทำแปลงผักมาตลอดทั้งวันจนร่างกายเลอะไปด้วยโคลนดิน
“คนอื่น ๆ เลิกดื่มกันแล้วเหรอ?”
“ครับ สลบเหมือดกันหมด แต่เว้นคยองซูไว้คนนึงนะ” ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น แบคฮยอนจึงหัวเราะเบา ๆ “ขำอะไรครับ
เล่าให้ผมฟังด้วยสิ”
“ผมนึกถึงวันคริสมาสต์น่ะ
คืนนั้นคยองซูคอแข็งมาก มอมยังไงก็ไม่เมา ทั้งที่คนอื่น ๆ แทบยืนไม่ไหวแต่เขายังนั่งดื่มหน้าตาเฉย
ผมจำได้เลยว่าต้องช่วยคุณกาฮีหิ้วปีกอึนจีไปส่งที่ห้อง แล้วก็เดินโซซัดโซเซกลับ --” รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มจางหายไปเมื่อภาพเก่า ๆ
ย้อนกลับมาย้ำเตือนว่าค่ำคืนนั้นเป็นอดีตที่ไม่ได้สร้างไว้แต่ความทรงจำดี ๆ
‘อยากให้คนได้ยินเหรอครับถึงได้ส่งเสียงร้องไม่หยุดแบบนี้?’
‘คุณรู้ใช่ไหมว่าถ้าทำแบบนี้แล้วพรุ่งนี้ผมจะเกลียดคุณมากกว่าเดิม...’
แบคฮยอนเผลอกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
เสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยความเย็นชา ความใจร้ายในค่ำคืนนั้นยังคงตอกย้ำให้รู้สึกแย่ได้ทุกครั้งที่นึกถึง
แต่คนที่กำลังจมดิ่งไปกับเรื่องเก่า ๆ จำต้องหลุดออกมาพบความจริง เมื่อตอนนี้ร่างของเขาได้ถูกใครอีกคนรั้งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด
มันอบอุ่น แต่ก็รู้สึกชาวาบอย่างน่าใจหายเมื่อมันมาจากเจ้าของความใจร้ายในความทรงจำคืนนั้น
ชานยอลไม่ได้ถามว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ไม่แม้แต่จะหยั่งเชิงด้วยคำพูดหรือแววตาอย่างที่ชอบทำ
แบคฮยอนไม่ใช่คนอ่านใจคนอื่นเก่ง และเขาอยากรู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
รู้สึกผิดใช่ไหม หรือว่าอยากให้เด็กคนนี้เลิกพูดเรื่องแย่ ๆ เสียที
เพราะปัจจุบันนี้เราสามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่องโดยไม่ต้องมีใครถอนหายใจไปกับกำแพงที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นอย่างเช่นเมื่อก่อน
“กอดผมแน่นเกินไปแล้ว
ผมหายใจไม่ออก” แบคฮยอนไม่รู้ว่าต้องทำยังไงกับความอึดอัดในตอนนี้ดี
โอเค มันเป็นความผิดของเขาเองก็ได้ที่อยู่ ๆ ก็พูดเรื่องนั้นขึ้นมาทั้งที่ควรปล่อยให้มันตายไปพร้อมตัวเอง
“ผมรู้ว่าคุณหาทางออกได้โดยที่ผมไม่ต้องปล่อยมือออกจากตัวคุณ”
“จิตวิทยากับผมอีกแล้ว” ชานยอลดีกับเขามากขึ้นตั้งแต่ตอนถูกจับไปอยู่ในกลุ่มกินเนื้อคน
หนีตายกันอย่างทุลักทุเลกระทั่งไปเจอกับกลุ่มซงมินโฮ
ทั้งที่ระยะเวลาช่วงนั้นผ่านไปยังไม่เท่าไหร่เลยด้วยซ้ำ
แต่แบคฮยอนกลับรู้สึกเหมือนว่าเราสนิทใจกันมากขึ้นมานานแล้ว
แต่ถึงความสัมพันธ์ของเราจะดีกว่าเมื่อก่อน
แต่เขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าต้องทำยังไงกับสถานการณ์ตอนนี้
นอกจากกอดตอบแล้ว...
แบคฮยอนก็คิดอะไรไม่ออกอีกเลย
“...”
ไม่รู้ว่าชานยอลกำลังทำหน้าแบบไหนและกำลังรู้สึกยังไง
เขาเป็นแค่เด็กโง่คนหนึ่งที่อยากขับไล่ความรู้สึกแย่ ๆ ให้หายไป
ไม่ว่าจะมาจากตัวเขาเองและคนตรงหน้า
“ผมบอกแล้วว่าคุณหาทางออกให้กับเรื่องนี้ได้”
เราปลอดภัยแล้ว
ไม่มีใครต้องวิ่งหนีตายทั้งที่ยังมีเรื่องค้างคาใจเหมือนปีก่อนอีก
“คุณชอบพูดอะไรที่มันซับซ้อนเข้าใจยากอยู่เรื่อย”
“แต่คุณก็เข้าใจไม่ใช่เหรอครับ?”
“ผมไม่ได้เข้าใจสักหน่อย ผมก็แค่
--”
“คุณ?”
ชานยอลกระชับคนในอ้อมกอด เขายังคงหุบยิ้มไม่ได้หลังจากแบคฮยอนกอดตอบ ซึ่งมันตรงกับที่คาดหวังไว้
ใช่ เขาอยากให้แบคฮยอนกอดตอบ และซบศีรษะลงกับแผงอกผู้ชายขี้ขลาดอย่างเขา
“ผมแค่ทำตามที่รู้สึก”
“ผมจะไม่ถามแล้วกันว่าคุณรู้สึกอะไร
เพราะถ้าคุณเขินมากไปกว่านี้เดี๋ยวจะมีคนนอนหันหลังให้อีก”
นึกถึงเมื่อคืนแล้วก็นึกขำ
พูดด้วยความสัจจริงเลยว่าปาร์คชานยอลไม่ได้ตั้งใจทำผ้าขนหนูหลุด
แต่แบคฮยอนกลับหันมาเห็นพอดี หลังจากนั้นเด็กคนนี้ก็ไม่ยอมสบตาเขาอีกจนถึงช่วงสาย
“คุณก็เป็นซะอย่างนี้”
“ฟังดูไปทางแง่ลบนะครับ
คุณกำลังจะบอกว่าผมไม่ดีเหรอ?” คนตัวเล็กไม่ได้ตอบคำถาม
เขาผละอ้อมกอดออกมาเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นสบตากับคนอายุมากกว่าเพื่อพยายามอ่านใจอีกฝ่าย
“ชอบไล่ต้อนผมอยู่เรื่อย
เห็นเด็กอย่างผมทำตัวไม่ถูกแล้วสนุกมากเลยสินะ”
“ขอโทษครับ แต่ก็... สนุกจริง ๆ” ชานยอลอมยิ้ม ก่อนจะนิ่วหน้าเจ็บเพราะถูกคนตัวเล็กชกอกเข้าให้
แต่สีหน้าตอนแอบโมโหเล็ก ๆ ก็น่ารักไปอีกแบบเหมือนกัน
มันน่าตลกชะมัด
ที่เขามองเด็กคนนี้น่ารักไปเสียทุกอย่าง
“ที่กอดผมก็เพราะรู้สึกผิดใช่ไหมล่ะ?”
“ครับ แต่ผมคงไม่พูดว่าขอโทษอีกครั้งหรอกนะ” เขาสบตากับอีกฝ่าย
ก่อนจะเกลี่ยปอยผมออกเพื่อให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยได้ชัดขึ้น “ต่อไปนี้ผมจะพูดแค่เรื่องที่คุณอยากฟัง สำหรับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
ทั้งเรื่องดีและแย่ ผมอยากให้คุณจำเอาไว้”
อะไรกัน... ชานยอลควรบอกให้เขาลืม ๆ
มันไปไม่ใช่หรือไง?
“เพราะว่าหลังจากนี้ผมจะไม่มีวันทำให้คุณเสียใจอีก”
“...”
ไม่ใช่อย่างนี้สิ
ชานยอลควรพูดอะไรสักอย่างเพื่อให้เขาสวนกลับไปได้บ้าง
ไม่ใช่ฮุคหมัดตรงมาอย่างนั้นจนเขาทำได้แค่ยืนทำหน้าโง่แบบนี้
“ผม... จำอยู่แล้วล่ะ” แบคฮยอนเบือนสายตาไปอีกทาง พยายามคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากโลกกลม ๆ
ใบนี้ที่ชื่อว่าปาร์คชานยอล แต่มันก็ยากเหลือเกิน “คุณเคยต่อยหน้าผม
จำได้ไหม?”
“ครับ ผมจำได้” ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ พลางลูบแก้มคนตัวเล็กอย่างทะนุถนอม
กับความรู้สึกที่ช่างต่างกันราวกับฟ้าและเหว คืนนั้นเขาต่อยหน้าเพื่อเรียกสติ
เมื่อแบคฮยอนกำลังคลั่งเพราะจะออกไปตามหาหมอมารักษาพี่ชายที่ถูกกัดให้ได้
ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าโลกมันไม่เหมือนเดิมแล้ว “เจ็บมาถึงตอนนี้เลยใช่ไหม?”
คนตัวเล็กไม่ได้ตอบคำถาม
ผ่านไปเกือบสิบวินาทีเจ้าตัวจึงพยักหน้าช้า ๆ
แต่ชานยอลกลับไม่ได้ขอโทษย้อนหลังอย่างที่ควรพูดมันออกไป เพราะตอนนี้เขาโน้มใบหน้าลงไปใกล้
ๆ เพื่อจูบทับรอยช้ำที่จางหายไปแล้ว
“จำเรื่องนี้ด้วยนะครับ” เสียงกระซิบแหบพร่าชวนให้ขนลุก ทั้งคู่สบตากันในระยะใกล้ และแบคฮยอนยังคงตกอยู่ในสถานะผู้แพ้ที่ถูกไล่ต้อน
“ผมจะจำแค่เรื่องที่คุณใจร้ายกับผม”
“อืม... แบบนั้นจะทำให้คุณตีตัวออกห่างผมหรือเปล่าครับ?”
“ก็ไม่แน่ -- นี่?” คนตัวเล็กขมวดคิ้ว เอนหลังเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายโน้มใบหน้าลงมาราวกับว่าจะสั่งให้เขาหยุดพูด
นอกจากจะใช้คำที่ทำให้ต้องคิดเยอะ
ก็คงเป็นการจูบปิดปากนั่นแหละที่ชานยอลเริ่มใช้มันกับเขาบ่อยขึ้น
“ไม่ทันแล้วล่ะครับแบคฮยอน”
“...”
“ผมเคยคิดว่าจะทำทุกอย่างเหมือนปกติ
แต่พออยู่ใกล้คุณมากขึ้นผมก็เริ่มห้ามตัวเองไม่ได้”
“...”
“ขอโทษนะครับที่ผมเพิ่งตกหลุมรักคุณเอาตอนนี้”
ถ้าบอกว่าอาการมึนเมาจากการดื่มเหล้าเพิ่งออกฤทธิ์ตอนนี้ก็คงเชื่อ
แบคฮยอนรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เพียงเพราะได้ยินประโยคไม่คาดฝันจากผู้ชายคนนี้
คนที่คิดว่าต่อให้ตายจากโลกไปก็คงไม่ได้ยินคำ ๆ นั้น คำว่ารักที่แบคฮยอนคิดว่าชานยอลคงมีให้คุณโฮจองคนเดียว
“บอกผมหน่อยว่าคุณเมา โกหกก็ได้” ชายหนุ่มยิ้มขำกับสีหน้าของคนตัวเล็กซึ่งดูเหมือนว่าจะช็อกไปแล้ว
“เมาก็ได้ครับ” แบคฮยอนเบิกตาโพลงอย่างตกใจเมื่ออยู่ ๆ
อีกฝ่ายก็รั้งเอวเขาเข้าไปจนปะทะกับแผงอกแกร่ง “เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมพูดให้ฟังอีกรอบ”
“บ้าไปแล้ว... บ้าไปแล้วแน่ ๆ --
ชานยอล!”
“ชู่ว์...”
ดูริมฝีปากที่กำลังห้ามไม่ให้เขาเสียงดังนั่นสิ
แบคฮยอนจำต้องคว้าไหล่กว้างของอีกฝ่ายไว้เป็นหลักเพราะร่างของเขาถูกอุ้มขึ้นจนขาลอยจากพื้น
“ถ้าพวกกินคนข้างนอกได้ยินเสียงคุณจะแย่เอานะครับ”
“ให้ได้ยินเลย
มันจะได้รู้ว่ามีคนผีเข้าอยู่ที่นี่”
ชานยอลไม่เคยรู้ว่าตัวเองเป็นคนยิ้มเก่งขนาดนี้ กระทั่งรู้จักวิธีการแกล้งแบคฮยอน
ชายหนุ่มอุ้มคนตัวเล็กเข้าไปในห้องทั้งที่ยังสบตากันอยู่ ก่อนจะค่อย ๆ
วางลงบนเตียง
“ผมชอบเวลาคุณหน้าแดง”
“เลิกพูดแบบนี้ได้แล้ว ผมเหนื่อยนะ” เขาชี้หน้าคนตัวสูงที่อยู่ในท่าเหมือนจะคร่อมตัวเขา
ใจคอจะไม่หยุดทำให้เขินเลยหรือไง พออยู่ด้วยกันสองคนเมื่อไหร่ก็เป็นแบบนี้ทุกทีเลย
“เห็นใจผมบ้างสิ ผมไม่เคยเป็นแบบนี้กับใคร
แต่คุณคงเคยทำให้คนอื่นเขินมานักต่อนักแล้ว”
“คุณรู้สึกไม่ดีเวลาเขินเหรอครับ?” แบคฮยอนตอบคำถามนี้ไม่ได้
เพราะเขาทั้งรู้สึกดีและทำตัวไม่ถูกในเวลาเดียวกัน “ผมชอบความรู้สึกแบบนั้นนะ
มันทำให้รู้ว่าเรายังมีหัวใจอยู่”
“แต่ผมเป็นคนฟัง และผมก็รู้สึก”
“ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกครับแบคฮยอน” ชายหนุ่มยิ้มพร้อมขยับลงไปนั่งข้าง ๆ
ก่อนจะเลื่อนไปกุมมือคนขี้เขินที่กำลังขมวดคิ้วเคร่งเครียด “การที่ผมไม่พูดเสียงตะกุกตะกักหรือหลบสายตาเหมือนคุณ
นั่นไม่ได้หมายความว่าผมไม่รู้สึกนะครับ”
“...”
“อย่างเช่นตอนนี้ที่ผมอยากจูบคุณ
หัวใจผมมันกำลังเต้นแรงอยู่”
‘โกหก’
นั่นคือสิ่งที่คิด แต่ที่คนตัวเล็กทำกลับไม่ใช่การตอบโต้อย่างสมองสั่ง
เพราะตอนนี้เขากำลังค่อย ๆ หลับตาลงเมื่ออีกคนเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้
หัวใจที่เคยเข้มแข็งจนเยียวยาความเจ็บปวดเมื่อคราวนั้นได้จึงถูกละลายโดยผู้ชายคนเดิมอีกครั้ง
จูบที่เริ่มต้นอย่างเนิบนาบยังคงชวนให้ใจเต้นแรง เป็นอีกครั้งที่แบคฮยอนตกอยู่ในสภาพผู้แพ้เพราะเขาไม่สามารถไล่ต้อนชานยอลได้
หรือต่อให้ได้... ยังไงคนที่เป็นฝ่ายเริ่มจูบก็คงเป็นผู้ชายคนนี้อยู่ดี
ชายหนุ่มประคองร่างคนตัวเล็กให้นอนราบลงกับเตียงทั้งที่ยังไม่ถอนริมฝีปากออกพร้อมสองมือที่สอดประสานเรียวนิ้วจนแทบไม่เหลือให้อากาศวิ่งผ่าน
ทั้งคู่สื่อความรู้สึกกันผ่านรสจูบที่เปลี่ยนจากความขมเป็นหวานเมื่อพายุพัดผ่านไป
ชานยอลผละออกมาสบตากับคนใต้ร่าง เพียงครู่เดียวก็กลับไปลิ้มรสความหวานจากริมฝีปากคนที่คิดว่าต่อให้ตายก็คงรักไม่ได้
ครั้งหนึ่งบยอนแบคฮยอนเป็นแค่เด็กงี่เง่าติดพี่ชาย เก่งแต่เรื่องร้องไห้ โทษตัวเอง
และเอาตัวรอดไม่เก่งจนต้องคอยให้คนรอบข้างปกป้อง
ประจวบเหมาะกับตอนที่เขายังคงฝังใจเรื่องการจากไปของครอบครัวและภรรยา
จึงทำให้ความรู้สึกที่มีต่อเด็กคนนี้เกิดขึ้นช้า
ซึ่งการเริ่มต้นจากความชอบพอแต่ไม่ได้รักมันได้ทำร้ายเด็กคนนี้ไปแล้วถึงสองครั้ง
เซ็กส์ครั้งแรกในวันฝนตกหนัก และครั้งต่อมาในคืนวันคริสต์มาส
ชานยอลรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้
และเขาตั้งใจไว้เป็นอย่างดีแล้วว่าจะรักให้มากกว่าที่เคยทำให้แบคฮยอนต้องเสียใจ
โฮจองไม่ได้หายไปไหน
ผู้หญิงคนนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำ
ปาร์คชานยอลไม่อยากจมอยู่กับอดีตจนเดินไปข้างหน้าไม่ได้
ช่วงเวลาหนีตายบนถนนซึ่งเต็มไปด้วยพวกกินคนตอนไปเอารถบรรทุกทำให้เขาตระหนักได้ว่าคนเราอาจจะตายวันนี้หรือวันพรุ่ง
และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ชายหนุ่มอยากแสดงออกกับแบคฮยอนให้มากกว่าที่เคย
อยากทำหน้าที่พี่ชายแทนบยอนแบคโฮ
และคนรักที่จะคอยดูแลให้ดีที่สุด
“หนักไหมครับ?” คนตัวเล็กยิ้มบาง ๆ พร้อมส่ายหน้าปฏิเสธ
คนที่ถูกเอาใจด้วยคำตอบจึงโน้มลงไปจูบอีกครั้งและแบคฮยอนก็ตอบรับได้เป็นอย่างดี
มือที่เคยทุบตีเวลาเขินค่อย ๆ เลื่อนขึ้นกอดรอบคอคนตัวสูง
หลังจากได้ยินคำว่ารักคนที่ถูกความเขินเล่นงานก็หัวใจพองโตจนยอมปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป
“หนวดขึ้นแล้ว...”
“พรุ่งนี้โกนให้ผมได้ไหม?”
เราสองคนคงบ้าไปแล้วที่เอาแต่ยิ้มตอนสบตากัน
คนตัวเล็กพยักหน้าตกลงอย่างว่าง่ายโดยไม่บ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่นอย่างเช่นทุกครั้ง และชานยอลก็ให้ค่าตอบแทนการโกนหนวดล่วงหน้าให้เป็นจูบหวาน
ๆ ซึ่งแบคฮยอนไม่ได้นับแล้วว่าวันนี้มันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่เท่าไหร่
CUT
(WELCOME TO MALINWORLD)
50%
“ก็บอกแล้วไงว่ากูไม่เป็นไร
แหกตาดู”
“นอนอยู่บ้านอมขี้ฟันไป คราวนี้มึงไม่ต้องสาระแน”
จงอินเอามือดันหน้าเพื่อนสนิทไว้เมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะเดินขึ้นรถพร้อมคนอื่น
ๆ ที่กำลังจะออกไปเช็กถนนหนทางว่ามันพอจะมีจุดไหนในโลกที่ปลอดภัยมากพอให้ทุกคนย้ายไปปักหลักสักช่วงเวลาหนึ่ง
เรายังคงต้องเดินทางไปเรื่อย ๆ แม้จะมีจุดหมายที่อยากไปแต่ประเด็นสำคัญที่มองข้ามไม่ได้เลยก็คือภัยระหว่างทางซึ่งมีพวกกินคนเป็นหลัก
และมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่แต่ไม่รู้ว่าใครจะมาดีมาร้าย
ลู่หานเจ็บขาตั้งแต่ตอนหนีตายจากสนามบิน
อาทิตย์ต่อมาซ่าจนเจ็บตัวซ้ำเดิมอีก ปีนี้ไม่ใช่ปีชงปะวะ ทำไมอะไร ๆ ถึงได้พร้อมใจกันมาลงที่ขากู
พยายามเก็บอาการก็แล้ว ไม่รู้ควรเขินดีไหมที่มินซอกเป็นคนจับได้ว่ามีคนเจ็บขาอยู่ที่นี่
จะเหมาเอาเองแล้วกันว่าทั้งหมดนั้นล้วนมาจากความรักและความใส่ใจ แต่การเอาเรื่องนี้ไปฟ้องอี้ฟานมันใช่เรื่องเรอะ
คนรักกันไม่ควรทำอะไรแบบนี้ เซ็งเลย จะให้ช้างเท้าหน้านอนโง่อยู่บ้านแล้วปล่อยให้คนอื่นออกไปเสี่ยงเหมือนไอ้จงอินตอนสมองหายก็ไม่ใช่ไหม
“พักก่อนเถอะลู่หาน เราแค่ออกไปสำรวจกับหาน้ำมันเพิ่ม
ไม่ได้ไปหาเสบียงอย่างจริงจัง” คำพูดของอี้ฟานมีน้ำหนักเสมอ
และมันทำให้เขาเซ็งเข้าไปใหญ่
“แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ปะ
คราวสนามบินถ้าไม่มีฉัน นาย ไอ้จงอิน กับเด็กบอยแบนด์นั่นคงเป็นผีเฝ้าเทอมินอลไปละ” ได้ทีต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ให้สำเหนียกกันหน่อยว่าโลกนี้ขาดลู่หานไม่ได้
“พอได้ยินมึงพูดภาษาอังกฤษแล้วกูตื่นเต้นแปลก
ๆ” <- เทา
“นั่นสิ” <- ยูริ
“ออกเสียงเกือบชัดเลยนะคะ
ฉันว่าใช้ได้เลย” เดี๋ยว ครูก็เป็นไปกับเขาเรอะ
“กาก” <- ไอ้เพื่อนชั่ว
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับจงอิน
การตอกย้ำเรื่องภาษาจะทำให้เขาขาดความมั่นใจได้นะครับ” <- เด็กกรงหมา
“อาคารผู้โดยสารก็ได้ห่า แซวกูจังเลยเรื่องการศึกษาเนี่ย
ไอ้คนปริญญาสิบใบ ไอ้ด็อกเตอร์ระดับโลก ไอ้เหรียญทองโอลิมปิก” ด่าไอ้เพื่อนนรกกับไอ้เทาแต่สายตาของคนที่เหลือกลับมองมาเหมือนจะถามว่า ‘นี่ด่ากูด้วยปะ?’ ดังนั้นลู่หานจึงยอมหยุดเพียงเท่านี้
แต่ที่ด่า ๆ กูนี่มันเกี่ยวห่าไรกับอาการขาเจ็บวะห่านป่า
“มีควอนยูริไปด้วยกูยังต้องกลัวอะไรอีก?”
“ถ้าไม่พูดก็ไม่มีใครคิดว่านายเป็นใบ้นะ” หญิงสาวที่ยืนกอดอกพิงกับรถปรายตามองเจ้าของคำพูดซึ่งยักคิ้วอย่างกวนประสาท
พอเริ่มจำอะไรได้ทีละนิดก็เริ่มแกว่งปากหาเสี้ยนเลยนะ คงไม่ต้องเดาเลยว่าก่อนหน้านี้คิมจงอินคงนิสัยไม่ต่างจากผู้ชายอย่างลู่หาน
“ผมกับมินซอกเคยคุยกันเรื่องขับรถ
ผมคิดว่ามันน่าจะเข้าท่านะครับถ้าคุณจะสอนเขาต่อสายตรงตอนที่พวกเราออกไปข้างนอก” เด็กกรงหมาก็อีกคน แต่เหตุผลของเด็กนั่นค่อนข้างน่าฟังกว่าคนอื่น ๆ
ลู่หานหันไปสบตากับเด็กแว่นที่มองมาเหมือนอยากถามว่า ‘สอนไม่สอน
ถ้าไม่ก็นอนข้างนอก’
“ตามใจนะ ผมไม่บังคับอยู่แล้ว” มีความกดดันไปอีก...
คำพูดกับสายตาที่มองมานี่โคตรสวนทางกันยิ่งกว่าสี่แยกไฟแดงตาย
“หรือไม่ก็ช่วยกูผ่าฟืน จะเอาไง?” ไอ้เทาเสริมอีกคน ไม่เอาหรอก งานหนักแบบนั้นปล่อยแม่งทำไปคนเดียวดีกว่า
ชอบเห็นคนทรมาน
“เออได้ จะต่อสายตรง สายหน้า
สายข้าง สายหลัง สายใยแห่งรักอะไรก็มาเหอะ กูทำได้หมดจนพวกอยู่อู่ซ่อมรถมาตลอดชีวิตยังต้องเขินอะ” ลู่หานยืดอกมองหยามเพื่อนเพื่อให้มันรู้สึกแพ้บ้าง แต่เสือกเป็นจังหวะที่ไอ้จงอินหันไปคุยอะไรสักอย่างกับเด็กกรงหมาจึงไม่ได้สนใจว่าเมื่อกี้เขากวนตีนยังไง
“แล้วเราจะรีบกลับมา” ทันทีที่พูดจบ อี้ฟานก็หันไปพยักหน้าบอกให้ทุกคนขึ้นรถ
ซึ่งวันนี้แบ่งเป็นสองคัน กระบะเอาไว้ขนถังน้ำมัน ส่วนรถยนต์อีกคันเผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน
หากเจอเรื่องไม่คาดคิดจะได้ใช้หลบหนีถ้าอีกคันโดนล้อมหรือซุ่มโจมตี และเผื่อใช้ขับลากสิ่งกีดขวาง
“ลู่หานยังยืนที่เดิมอยู่เลยครับ” หลังจากรถขับออกมาเซฮุนก็มองไปด้านหลัง
เขาเข้าใจความรู้สึกของผู้ชายคนนั้นที่คงเชื่อใจตัวเองมากกว่าคนอื่น
ถึงได้ไม่อยากรออยู่เฉย ๆ ที่บ้าน
“เห็นอย่างนั้นก็นึกถึงวันที่ต้องจับไม้สั้นไม้ยาวกัน” จงอินมองกระจกมองหลังก่อนจะหันไปทางคนข้างตัว “วันที่ได้เจอนายครั้งแรกน่ะ
วันนั้นทุกคนกลัว ไม่มีใครอยากออกไปเสี่ยงตาย เราต่างแสดงความเห็นแก่ตัวออกมา
ไม่เหมือนกับตอนนี้”
นึกถึงตอนนั้นแล้วก็อุ่นใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
จากคนแปลกหน้าที่ต้องหาทางรอดไปด้วยกันด้วยความจำเป็น เหตุการณ์เฉียดตายแต่ละครั้งทำให้เราได้เห็นตัวตนของกันและกัน
อดอยากบ้าง เจ็บตัวบ้าง แต่เซฮุนก็ไม่เคยเสียใจที่ได้อยู่กับคนกลุ่มนี้
จากตัวคนเดียวเปลี่ยนเป็นครอบครัว
ผมกับคุณเป็นคำว่าเรา เขามองเห็นข้อดีมากมายในโลกที่เต็มไปด้วยความน่ากลัว
“หนึ่งปีแล้วนะครับ” เซฮุนเลื่อนกระจกลง เงยหน้ามองท้องฟ้าและต้นไม้สีเขียวเหลืองคละกันไปตลอดทั้งทาง
เด็กหนุ่มชูแขนขึ้นรับลมเย็นพร้อมนึกไปถึงเหตุการณ์วันนั้นที่เขาถูกจับไว้ในกรง
ความหวาดกลัว ความเจ็บปวด ความสิ้นหวัง ความรู้สึกเหล่านั้นเกิดขึ้นพร้อมกันและเขาคิดว่าคงกำลังจะตายตามพ่อไป
“เป็นหนึ่งปีที่มองว่าผ่านไปเร็วก็คงใช่
แต่ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกว่ามันยาวนาน”
“เพราะเจออะไรมาเยอะขนาดนั้น ไม่แปลกหรอกที่นายจะรู้สึกว่ามันนาน” มือที่เคยวางอยู่บนกระปุกเกียร์กำลังเลื่อนมากุมมือเขาเอาไว้ และตอนนี้สายตาจงอินยังคงทอดมองไปยังถนนและรถกระบะคันหน้าเหมือนในทีแรก
“ถ้าไม่นับตอนอยู่อุทยาน
พวกเราก็ผ่านอะไรมาแบบรายวันกันแทบไม่ได้หยุดพักเลย”
“นั่นสิครับ ทั้งที่แค่ปีเดียวแท้
ๆ” เซฮุนเอามืออีกข้างกุมมือจงอินไว้พลางเลียริมฝีปากระหว่างนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านไป
“แต่ผมรู้สึกเหมือนเราทุกคนเป็นครอบครัวกันมานานมากแล้ว”
“เราอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา ถึงรู้สึกผูกพันและเข้าใจกันและกันมากกว่าตอนก่อนเรื่องจะเกิดขึ้น” จงอินเว้นจังหวะไปชั่วอึดใจ “ถ้าเป็นตอนโลกยังน่ารักอยู่
คนเราก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป ฉันก็ตื่นไปอู่ซ่อมรถ ทำงานเพื่อเงินเดือนขั้นต่ำ ตกเย็นเมาหัวทิ่ม
ส่วนนายก็ตื่นเช้าไปโรงเรียน เอาความรู้เพื่อเกรดดี ๆ ไว้แลกกับงานการในอนาคต พอเรียนเสร็จก็กลับบ้าน
แล้วใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ ตอนกินข้าวเย็นคุยกับพ่อแม่
แลกเปลี่ยนความคิดกันว่าวันนี้เจออะไรมาบ้าง
หลังจากนั้นก็ต้องรีบเข้าห้องไปทำการบ้าน เล่นเกม ดูทีวี
หรือทำอะไรก็ตามเพื่อชีวิตตัวเอง”
“พอทุกอย่างเปลี่ยนไป
คนเราถึงได้ใส่ใจคนรอบข้างมากขึ้น น่าใจหายจังเลยครับ”
“เป็นการทำให้คนสำนึกได้เกินเหตุจริง
ๆ คิดงั้นไหม?” จงอินขมวดคิ้วจริงจังขณะหันมาสบตากัน
ก่อนเราทั้งคู่จะหลุดหัวเราะออกมา
“นั่นสิครับ ผมมาสำนึกได้เอาตอนนี้
ไม่ดีเลย”
“เพราะงั้นก็รีบทำดีกับฉันไว้ตั้งแต่ตอนนี้ซะ
เข้าใจหรือเปล่า?” จงอินเอื้อมมือไปยีผมเด็กหนุ่มตัวผอมที่ยอมก้มหน้าลงให้เล่นหัวอย่างว่าง่าย
“คุณก็ด้วยนะครับ ดีกับผมให้มาก ๆ
นะ”
“ดีกว่านี้ก็อุ้มขี้อุ้มเยี่ยวแล้วหนู”
“คุณอุ้มไม่ไหวหรอกครับ
ผมตัวหนักจะแย่” เด็กหนุ่มหัวเราะ ยิ้มตาหยีจนคนมองต้องย้อนถามตัวเองว่าระหว่างท้องฟ้าวันนี้กับรอยยิ้มของโอเซฮุนอะไรที่สดใสกว่ากัน
เอาอีกแล้ว คิมจงอินคิดว่าความเลี่ยนเหล่านั้นคงเป็นผลกระทบจากครั้งหนึ่งที่เคยสูญเสียความทรงจำไป
“ไหวไม่ไหวก็เคยแล้วไหม หลายครั้งด้วย อย่าให้พูด” ชายหนุ่มผิวแทนปรายตามองคนข้าง ๆ ซึ่งดูเหมือนว่าจะชะงักไปกับประโยคของเขาที่ไม่ได้ตั้งใจจะกำกวม “อะไร ทำหน้าแบบนั้นคงคิดเรื่องลามกอยู่สินะ”
“อะไรครับ
ไม่ใช่คุณเองหรอกเหรอที่พูดมันขึ้นมาเอง”
เด็กหนุ่มหน้าขึ้นสีจัด
เบิกตากว้างมองมือตัวเองที่ถูกคว้าไปกุมไว้บนตักสลับกับใบหน้าคนข้าง ๆ
“ฉันหมายถึงตอนศูนย์วิจัยนรกนั่น
แต่ถ้าจะให้นับตอนเราทำ --” ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกมือขาว ๆ
ของเด็กขี้เขินปิดไว้เสียก่อน จงอินไม่ชอบกลั้นยิ้มหรอก เขาไม่ใช่เด็กอย่างโอเซฮุนที่ชอบทำแบบนั้นเพราะมีภูมิต้านทานน้อย
“พอก่อนครับ...
ผมเขินมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
ชายหนุ่มผิวแทนยังคงขับรถอย่างใจเย็น มันเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ
ที่เขาทิ้งให้เซฮุนดิ่งไปกับความขลาดอายก่อนที่เขาจะจูบฝ่ามืออีกฝ่ายเอาให้หน้าแดงกว่าเดิม
จงอินยิ้มอย่างมีความสุขหลังจากอีกฝ่ายหันไปให้ความสนใจกับลมเย็น
ๆ นอกหน้าต่างรถ และเขาหวังว่ามันจะช่วยขับไล่ความร้อนบนแก้มของเซฮุนได้
“เซฮุน”
“ครับ?”
“ตอนที่ฉันฟังเรื่องพ่อของนายในไร่ข้าวโพด
บอกตามตรงว่าตอนนั้นฉันแค่รู้สึกเห็นใจ แต่พอเป็นตอนนี้”
ชายหนุ่มผิวแทนเคาะพวงมาลัยเป็นจังหวะ ก่อนจะหันไปสบตากับคนรักที่เคยมองเห็นเป็นแค่เด็กหน้าตาย
“ฉันกลับอยากเป็นทุกอย่างให้นาย”
จงอินไม่ยอมหยุดทำให้เขาเขินจริง ๆ ด้วย
ผู้ชายคนนี้คงคิดจะทำให้เขารู้สึกดีไปถึงเมื่อไหร่กันนะ
“ฉันรู้ว่ามันชดเชยกันไม่ได้
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่นายต้องการคนที่ให้ความรู้สึกเหมือนพ่อ พี่ชาย หรือคนรัก” จงอินยิ้มขณะมองถนน ก่อนจะจับมือของเขาไปจูบค้างไว้แล้วหันมาสบตากัน “ฉันจะทำหน้าที่นั้นทั้งหมดเอง”
“ตั้งแต่ขับรถออกมาคุณยังจีบผมไม่หยุดเลยนะครับ...” เสียงของเซฮุนแผ่วเบาไปกับความขลาดอาย และมันคงเป็นสิ่งยืนยันอีกอย่างหนึ่งว่าต่อให้เวลาผ่านไปเป็นปีแล้วแต่เขาก็ยังคงเขินกับทุกคำพูดของผู้ชายที่ชื่อคิมจงอิน
“ไม่ได้พูดบ่อย ๆ แล้วกัน
จะเขินก็รีบเขินตั้งแต่ตอนนี้” เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับความโรแมนติกของอีกฝ่ายอยู่ดี
“วันนี้อากาศดีจัง...” ทั้งที่พูดอย่างนั้น แต่ฝ่ามือของโอเซฮุนกลับชื้นไปด้วยเหงื่อ
ขณะประกบกับฝ่ามือของคนข้าง ๆ
“ชอบไหม?”
“ชอบครับ
แต่เดี๋ยวก็จะเข้าหน้าร้อนแล้ว พอถึงตอนนั้นเราคงต้องกังวลถึงเรื่องน้ำดื่ม” เซฮุนเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปทางคนขับอีกครั้ง “เหงาไหมครับที่ลู่หานไม่ได้มาด้วย?”
“ไม่มาก็ดี บางทีฉันก็อยากเดทกับนายบนรถโดยไม่ต้องฟังเสียงนกเสียงกาคอยขัดจังหวะ”
“ใช้คำว่าเดทด้วย...
วันนี้จะจีบผมจนกว่าจะถึงปั๊มเลยหรือไงครับ...”
“ถ้าไม่กลัวแหกโค้งข้างทางก็คงจับมาจูบสักทีสองทีแล้ว
มันเขี้ยวอะเข้าใจไหม เพราะงั้นนั่งเฉย ๆ ต่อไป อย่าขัดคนจะจีบ” จงอินยังพูดจาน่ารักไม่หยุด และเซฮุนก็มีความสุขมากจนเอาแต่หัวเราะจนเมื่อยแก้มไปหมดแล้ว
“ครับ... ผมจะนั่งให้คุณจีบอย่างตั้งใจเลย”
“แสนรู้”
เจ้าของใบหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความหมายหันมาสบตากันอีกครั้ง
เซฮุนยังคงยิ้มและเขาคิดว่าคงทำอะไรได้ไม่เก่งมากไปกว่านี้อีกแล้ว
ใบไม้แห้งปลิววนบนอากาศหลังจากรถสองคันขับผ่าน ข้างทางไม่มีตัวกินคนเดินเร่ร่อนอย่างที่เคยเห็นเป็นประจำ
บรรยากาศรอบด้านเริ่มเปลี่ยนแปลงซึ่งเซฮุนไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขากำลังมีความสุขอยู่หรือเปล่าทุก
ๆ อย่างถึงได้ดูดีขึ้นอย่างนั้น
70%
“งานหนักแล้ว”
ควอนยูริไม่ใช่คนพูดบ่อย
และการที่เธอพูดก็แสดงออกถึงความเบื่อหน่ายได้เป็นอย่างดี มันน่าหัวเสียและน่าคิดไปพร้อม
ๆ กันว่าทำไมละแวกนี้ถึงมีแต่ซากตัวกินคนกองอยู่ข้างทางมากกว่าจะเดินลากไส้ขวางถนนให้ต้องส่งใครสักคนลงไปตัดคอ
พวกมันตายแล้ว... และคงไม่ใช่เพราะหิวจนท้อแท้ปลิดชีวิตตัวเองด้วยการพร้อมใจกันนอนทับเป็นชั้น
ๆ อยู่ตรงนั้นแน่ ‘มีคนแวะที่นี่เหมือนกัน’
นั่นคือสิ่งที่ทุกคนคิด และมันไม่ใช่ข่าวดีสำหรับพวกเขา
“ไม่เหลือน้ำมันให้สูบสักคัน” จงอินถอนหายใจพลางปัดฝาน้ำมันกลับเข้าไป ก่อนจะกวาดสายตามองโดยรอบเพื่อสังเกตการณ์
ที่นี่เงียบสงบจนมือขวาเริ่มกำไขควงแน่นขึ้นพร้อมเตรียมรับมือกับสิ่งที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่
ถ้าหากมีใครซุ่มดักโจมตี เราคงหาทางหนียาก
“นี่ก็จุดที่สามแล้ว
ผมว่าข้างหน้าคงไม่ต่างกัน” ทุกคนเห็นด้วยกับอี้ฟาน
เพราะระหว่างทางที่ผ่านมาก็ไม่หลงเหลือน้ำมันให้สูบ
และไม่มีเสบียงให้เก็บสักอย่างเดียว
“บางทีมันอาจเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเราควรย้ายไปอยู่ที่อื่นกันได้แล้ว” จงอินเอาเท้าเขี่ยซากศพตัวบนสุดให้หงายขึ้น
เจ้าของร่างไร้วิญญาณคงอายุไม่น่าเกินสามสิบ และเขามีความสงสัยในกระเป๋ากางเกงด้านหน้าว่ามีอะไรยัดอยู่
ทำไมถึงตุงขนาดนั้น “พับขวาเหรอเราอะ”
“ไอ้คนลามกเอ๊ย” หลุดขำออกมาเพราะสีหน้าและน้ำเสียงของควอนยูริ
ยิ่งเห็นตอนอีกฝ่ายส่ายศีรษะหน่าย ๆ ก่อนจะหันไปอีกทางก็ยิ่งชอบใจ เอาน่า...
ตอนเขายังทำอะไรได้ไม่คล่องมือก็ถูกยัยนั่นกวนประสาทไปเยอะ ได้โอกาสก็ขอเอาคืนบ้างเถอะ
จงอินย่อตัวลงค้นกระเป๋ากางเกงก่อนจะพบเงินสดจำนวนหนึ่งที่ถูกมัดไว้ด้วยยางโง่
ๆ สีของมันหมองไปตามกาลเวลาและคาดว่าคงไม่ได้มาด้วยความถูกต้อง หลังจากพบว่ามีสร้อยทองคล้องติดมาด้วยสองเส้น
“ชาติเดียวกันกับไอ้ลู่หานนี่หว่า”
“คนจีนเหรอครับ?” เซฮุนชะโงกมองด้วยความสนใจ
“เปล่า โจร”
อี้ฟานหลุดขำ
อย่างน้อยบรรยากาศตอนนี้ก็ดีขึ้นกว่าตอนที่ต่างคนต่างคิดว่าข้างหน้าอาจพบความผิดหวังเช่นกัน
“ตอนนี้เพิ่งบ่ายสอง
มันยังพอมีเวลาถ้าเราจะขับไปดูเส้นรอบเมืองกัน”
“เพื่อหาเสบียงหรือบ้านใหม่ล่ะ?” ยูริมองชายหนุ่มตัวสูงที่กำลังก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ
“ทั้งสองอย่าง” อี้ฟานตอบสั้น ๆ ก่อนจะหันไปทางจงอินและเซฮุน “แต่เพื่อความรอบคอบ
เราน่าจะเข้าไปดูมินิมาร์ทด้านในให้แน่ใจก่อน”
“เผื่อเจอคิมบับสักสองสามชิ้น อย่าลืมตะโกนเรียกผมล่ะ” จงอินดีดเงินขึ้นไปบนอากาศก่อนที่มันจะโปรยปรายลงบนซากศพ
ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากได้
แต่ในตอนนี้เงินก็เป็นแค่เศษกระดาษที่เอาไว้ใช้จุดไฟประทังความหนาวยามค่ำคืนเท่านั้น
“ผมจะเอาให้คุณกินเป็นคนแรกเลยล่ะจงอิน”
*
“ช้า”
“...”
“เร็วกว่านี้สิเปาจื่อ”
“รู้แล้วน่า”
“รู้แล้วก็รีบทำให้ได้สักทีดิ
นี่กินเวลาไปตั้งเท่าไหร่ละ”
“ก็เพราะคุณนั่งอยู่ตรงนี้ผมถึงทำไม่ได้ไง
ถอยออกไปเลย” มินซอกหันไปแว๊ดใส่คนที่นอนอยู่บนเบาะหลังอย่างสบายใจ
แต่สายตาที่มองมากลับส่งไปในทางมันเขี้ยวปนเวทนาความสามารถของเขาที่ต่อสายตรงไม่ได้สักที
“พี่จริงจังนะเปาจื่อ ความจริงควรเรียกให้ไอ้เทามาสอนแทนด้วยซ้ำ
คือเราก็รู้ใช่ปะว่าพี่ไม่ชอบดุ พี่ใจดีเกินไป
พอเป็นอย่างนั้นเราก็เลยทำไม่ได้สักทีไง” พูดไปก็เอานิ้วชี้กรีดไปตามร่องสันหลังของแฟนจ๋าที่กำลังพยายามต่อสายตรงจนคนตัวเล็กดิ้นยุกยิกอย่างรำคาญ
“ไม่ชอบดุหรือไม่กล้า” โห พูดแบบนี้คนโหดหมื่นศพถึงกับดีดตัวลุกขึ้นนั่งถลึงตาสู้เลย
“ก็ไม่กล้าไง!!!”
“ก็ดีแล้ว”
มินซอกพูดเสียงเรียบ ก้มลงง่วนกับการต่อสายตรงโดยไม่สนใจใยดีคนกระจอกอีก
“ผิดสายปะ ไม่ พี่สอนว่ายังไงเปาจื่อ
บอกว่าไม่ใช่สายนั้น ไม่โว้ย เออ นั่นแหละ ทำต่อไป” หงุดหงิด
ไม่เคยแพ้ให้ใครขนาดนี้แต่ก็หวังว่าจะเอาชนะให้ได้สักครั้งนึง
ลู่หานเบะปากอย่างคนอารมณ์บ่จอย จะหันมายิ้มใส่แล้วพูดว่า ‘ล้อเล่นนะ’ นิดนึงก็ไม่ได้ ข่มกูตลอด “เซ็งว่ะ”
ลู่หานลงจากรถ ปิดประตูอัดจนคนตัวเล็กสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมองตามอย่างไม่เข้าใจ
อะไรกัน ถูกเพื่อนห้ามไม่ให้ออกไปเร่ร่อนข้างนอกแล้วมาหงุดหงิดใส่เขางั้นเหรอ
นิสัยเสียจริง ๆ
คนกวนประสาทเดินหายไปแล้ว ไม่วายคงหาที่นั่งสูบบุหรี่หรือชวนหวงจื่อเทาคุยเรื่องไร้สาระฆ่าเวลาจนกว่าคนอื่น
ๆ จะกลับมาพร้อมความผิดหวัง พอถึงตอนนั้นคนกระจอกคงหัวเราะลั่นแล้วบอกว่าที่หาเสบียงไม่ได้ก็เพราะขาดมือดีอย่างลู่หานไป
มินซอกไม่ได้ใส่ร้าย
ที่พูดไปทั้งหมดมันคือความจริงที่อีกฝ่ายบ่นให้ฟังตอนสาย ๆ
กลับมาที่การต่อสายตรงอีกครั้ง มันยากจริง ๆ
สำหรับเด็กอย่างเขา ถ้าไม่ใช่คนที่คลุกคลีอยู่กับรถมานานก็คงต้องเป็นโจรอย่างลู่หานหรือเปล่าถึงจะทำได้ง่าย
ๆ คิมมินซอกเป็นแค่นักเรียนที่อยู่กับหนังสือ สนามกีฬา หอพัก และห้องแล็บ
จะให้ฝึกทำแบบนี้มันคงต้องใช้เวลาอยู่แล้ว
ปัง!!!
คนที่กำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการต่อสายตรงสะดุ้งอีกครั้ง
พอเงยหน้าขึ้นก็พบลู่หานที่ทาบสองมืออยู่กับกระจกฝั่งคนขับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ทำอะ --”
ปัง ๆๆ
“นี่คุณ?”
มินซอกขมวดคิ้วมองอย่างหัวเสีย
ถ้าไม่ช่วยสอนให้การต่อสายตรงบ้านี่ง่ายขึ้นก็อย่ามากวนประสาทกันจะได้ไหม?
“ก้มลงทำต่อไป”
“ผมจะทำได้ไงถ้าคุณยังทุบไม่หยุดอย่างนี้” คนตัวเล็กไม่สนุกด้วยแล้ว
ถ้าลู่หานยังไม่หยุดเขาจะเททุกอย่างแล้วเลิกล้มความคิดนี้ไปจากหัวตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป
“พอถึงเวลาจริงพวกมันทุบกันแรงกว่านี้”
“...”
“หลายตัวด้วยเปาจื่อ”
“...”
“พวกกินคนมันไม่ให้เวลาเราตั้งสติหรอก”
ปัง ๆๆๆๆๆๆๆๆ
“...!!!!”
คนตัวเล็กหลับตาแน่น
ลู่หานยังคงทุบกระจกไม่หยุดจนมินซอกขวัญเสียมือสั่นเพียงเพราะนึกถึงสถานการณ์กดดันที่อาจเกิดขึ้นอย่างที่อีกคนพูด
“ตอนนี้ครูนั่งอยู่ข้างหลัง
แล้วกระจกฝั่งนั้นกำลังจะพังแล้วเปาจื่อ”
“หยุดนะ” มือทั้งสองข้างสั่นเทาจนแตะสายผิด
ๆ ถูก ๆ มินซอกเริ่มหายใจไม่ออกเมื่อถูกความกลัวกลืนกินทีละนิด
“พวกมันพังกระจกเข้ามาแล้ว
ตอนนี้ครูไม่เหลือกระสุนไว้ยิงดักพวกมันอีก”
หัวใจเต้นตุบตับ
สอดประสานกับเสียงทุบกระจกที่กดดันอยู่ทุกขณะ เหงื่อจากความอึดอัดในที่แคบซึมตามขมับ
ฝ่ามือ และซอกคอมากขึ้นเพราะสถานการณ์บีบบังคับที่อีกฝ่ายตั้งใจทำให้รู้สึกเหมือนจริง
“เร็วกว่านี้”
ปัง ๆๆๆ
“ผมพยายามอยู่!!!”
“ครูกำลังจะถูกพวกมันกินแล้วเปาจื่อ”
ปัง ๆๆๆ
“...!!!”
ครืน...
สองมือหยุดทุบกระจกทันทีที่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์สตาร์ทติด
ลู่หานพรูลมหายใจทางริมฝีปากก่อนจะเปิดประตูฝั่งคนขับออกหวังจะชื่นชมความสามารถ
แต่เขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นว่าตอนนี้มินซอกกำลังฟุบหน้าร้องไห้กับเบาะที่นั่งจนได้ยินเสียงสะอึกสะอื้น
“เปาจื่อ”
หัวใจหล่นยวบไปอยู่ปลายตีนทันทีที่เห็นน้ำหูน้ำตาเปื้อนเลนส์ไปหมด
ลู่หานถอดแว่นออกให้แล้วใช้ชายเสื้อกรัง ๆ ของเขาทำความสะอาดก่อนจะพ่นไอร้อนซ้ำลงไปแล้วเช็ด
ๆ ถู ๆ อยู่อย่างนั้นท่ามกลางเสียงสะอื้นของแฟนจ๋าที่ถูกเขากดดัน
“พี่ไม่ขอโทษนะ เพราะพี่ตั้งใจ”
“งั้นก็ไปไกล ๆ”
“ต่อให้โดนตบก็ไม่ไปหรอก --
โอ๊ย!”
พูดไม่ทันขาดคำหน้าก็หันจนแทบจูบกับกระจกประตูรถ
ลู่หานจับแก้มตัวเองพร้อมหันไปมองดวงตาคู่นั้นอย่างตัดพ้อ
แต่คาดว่านาทีนี้คงไม่ใช่เขาที่จะเป็นฝ่ายได้รับการปลอบใจ
“ทำไมต้องใช้วิธีนี้ด้วย
อยากให้ผมเป็นบ้าตายเหรอ”
“ก็วิธีแรกมันไม่เวิร์กพี่ก็เลยต้องใช้วิธีนี้ไง
โมโหมากเหรอ ตบอีกดิ” ลู่หานหันแก้มให้มินซอกตบ
แล้วน้องก็ตบจริง หน้ากูนี่สั่นเป็นไวไบรเตอร์เลย “ฮ่า! เจ็บมือเลยล่ะสิ สมน้ำหน้า!”
“...”
“...”
ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางความเงียบและลู่หานรู้ว่าวิธีประสาทแดกไม่ได้ช่วยเรียกขวัญแฟนจ๋ากลับมาได้
เขายังคงนั่งอยู่ตรงนี้ถ้ามินซอกอยากระบายความโกรธด้วยการตบอีก
มันไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกถ้าแลกมากับความคุ้มค่าที่น้องต่อสายตรงเป็น
“เมื่อกี้ผมไม่ได้นึกถึงแค่ครู”
“...”
“ผมคิดว่าคุณกับคนอื่น ๆ อยู่ในรถด้วย
แล้วถ้าผมทำไม่สำเร็จ ผมคงโทษตัวเองไปจนตาย”
“โอ้โหใจ...”
ลู่หานยกมือขึ้นทาบอก เมื่อกี้ใครถูกตบเหรอจำไม่ได้แล้ว
ถ้าจะพูดจาน่ารักแบบนี้ให้นวดหน้าด้วยฝ่าตีนทั้งสองข้างก็ยอม พักนี้น้องมันร้าย
ชอบพูดจาให้หวั่นไหวทั้ง ๆ ที่เป็นแฟนกันอยู่แล้ว “ไม่ต้องกลัวนะ
พี่อยู่ตรงนี้
เขาดึงแฟนจ๋าเข้ามากอดแล้วจูบหัวไปหนึ่งที
กอดโอ๋เหมือนเด็ก ๆ
เพื่อเรียกขวัญให้กลับมาซึ่งมินซอกก็กอดตอบแทนที่จะผละตัวออกไปเอาฝ่ามือฟาดหน้าเขาอย่างเช่นเมื่อครู่นี้
“ไม่ต้องกลัวหรอก พี่คงไม่ให้เรารู้สึกแบบนี้อีก” คนตัวเล็กผละออกมาสบตากัน
ถ้าลู่หานบอกว่า ‘พี่จะปกป้องเราเอง’
อย่างนั้นมันคงอุ่นใจดีไม่น้อย
“ทำไมเหรอ?”
มินซอกไม่ค่อยชอบตัวเองเวลาต้องเขินผู้ชายบ้า ๆ แบบนี้เลย แต่นาน ๆ
ครั้งมันก็ทำให้ตื้นตันดีเหมือนกัน
“เพราะยังไงพี่ก็ต้องเป็นคนขับรถอยู่ดี -- โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยย”
ให้ตาย... ลู่หานก็ยังเป็นลู่หานอยู่วันยังค่ำ
*
“แม้แต่น้ำตาลก็ไม่เหลือ
แช่งให้พวกแม่งเป็นเบาหวานตายไปเลยดีไหม”
จงอินถอนหายใจพลางมองแผงวางของซึ่งว่างเปล่าไม่มีอะไรให้หยิบติดมือกลับไปด้วย เหลือแต่พวกสเปรย์ดับกลิ่น
รองเท้าแตะ กับซากของสดในตู้แช่เย็นที่ส่งกลิ่นเน่าเหม็นจนอยากออกไปสูดอากาศข้างนอก
“หลักฐานก็ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าเต็มไปหมดว่ามีคนมาถึงก่อนเรา” ยูริควงมีดพกเล่นขณะนั่งพิงกับเคาน์เตอร์คิดเงิน เธอไม่ได้ห้ามคนโง่เหล่านี้ที่ยังคงมุ่งมั่นหาเสบียง
อี้ฟานยังคงอยู่ด้านในสุด ส่องไฟฉายหาความหวังลม ๆ แล้ง ๆ
ซึ่งคงรู้แก่ใจอยู่แล้วว่าคงไม่ได้อะไรกลับไป
“คิดว่าที่เอาของไปหมดจะเป็นกลุ่มเดียวกับที่ฆ่าตัวกินคนข้างนอกหรือเปล่าครับ?” เซฮุนถามความเห็น พลางคุกเข่ากับพื้นแล้วก้มลงมองข้างใต้แผงวางของ
“เป็นไปได้ แต่ก็ไม่มีอะไรฟันธงว่าใช่
เพราะบางทีอาจจะมีคนแวะเก็บก่อน แล้วพวกเร่ร่อนเหมือนกลุ่มเราที่หวังเข้ามาหาเสบียง
แต่ก็อดเพราะมีคนสอยไปก่อนแล้วก็เลยฆ่าพวกข้างนอกแก้เขิน”
“พูดแบบใช้สัญชาตญาณผู้หญิงเลยนะ
ฉันว่าเราไม่ควรอยู่ที่นี่นาน ๆ หรอก” ยูริใช้ปลายมีดแคะเล็บ
เธอดูสบายเกินกว่าจะกังวลเหมือนอย่างที่พูด
“งั้นเปลี่ยนเป็นสำรวจลู่ทางขับไปเมืองอื่นกัน
ถ้าระหว่างทางปลอดภัยมากพอเราจะได้รีบย้ายไปอยู่ในจุดที่หาเสบียงได้ง่ายกว่านี้” อี้ฟานเก็บมีดใส่สนับขาแล้วตรงไปหยุดอยู่หน้าประตูมินิมาร์ท
“มันไม่มีอะไรง่ายหรอก”
“ดักจังเลย เป็นไรอะเรา” จงอินเลิกคิ้วมองหญิงสาว “ถ้ามีไอเดียดี ๆ
ก็พูดออกมาเลย อย่าอมขี้ฟันไว้”
ยูริแกล้งหูทวนลมไม่ได้ยิน
เธอเดินออกไปข้างนอกตามอี้ฟานและตรงนี้จึงเหลือเพียงเขากับเซฮุนเท่านั้น
“ผมเก็บนี่ได้ครับ” เด็กหนุ่มยื่นอมยิ้มหลากสีสันให้ แต่จงอินกลับเลื่อนหน้าเข้ามาสบตากันในระยะใกล้จนเขาต้องเอนถอยหลังเล็กน้อย
“แกะกินเลยสิ เวลาจูบจะได้หวาน ๆ”
“...”
เซฮุนมองแผ่นหลังของคนขี้เล่นที่กำลังเดินออกไปข้างนอกซึ่งใจดีมากพอที่จะปล่อยให้เขายืนหน้าแดงตรงนี้คนเดียว
เด็กหนุ่มยกมือทาบหน้าผากซึ่งร้อนผ่าวจนเหมือนคนมีไข้
ก่อนจะเม้มริมฝีปากเพื่อไม่ให้ผิดปกติเกินไปถ้าหากว่าคุณอี้ฟานกับคุณยูริหันมาเห็น
“ก้มลง” พอออกมาข้างนอกเซฮุนก็เลิกคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจหลังจากถูกดึงให้ย่อตัวลงหลบหลังรถซึ่งจอดทิ้งไว้นานจนฝุ่นจับ
สายตาของผู้ใหญ่ทั้งสามกำลังมองไปยังถนน ก่อนเด็กหนุ่มจะได้ยินเสียงรถที่ขับเข้ามาใกล้ทุกที
คอนวอยทหาร?
“พวกเขาจะเห็นรถเราไหมครับ?”
“อาจจะ”
ยูริตอบอย่างไม่มั่นใจ พลางมองรถทั้งสองคันซึ่งไม่ได้ใหม่จนโดดเด่น
แต่ก็แปลกตาเมื่อจอดอยู่ใกล้ ๆ รถที่ถูกฝุ่นเกาะเต็มไปหมด
“...” เซฮุนก้มลงมองมือตัวเองที่ตอนนี้กำลังสอดประสานกับนิ้วคนรัก
จงอินคงรู้ว่าเขากลัว ถึงได้หันมาสบตาเพื่อบอกให้รู้ว่าตอนนี้เรายังอยู่ด้วยกัน
และจะไม่มีใครจับแยกไปทดลองอีก
“พวกเขาไปแล้ว” อี้ฟานเป็นคนแรกที่วิ่งออกไปข้างถนนตามด้วยยูริ ทั้งคู่ก้มตัวลงหลบหลังรถเพื่อดูว่าตอนนี้คอนวอยเดินทางไปไกลแค่ไหน
เซฮุนยังอยากอยู่ตรงนี้ แต่ดูเหมือนว่าจงอินคงอยากไปสังเกตการณ์กับคุณอี้ฟาน
เขาจึงยอมคลายมือออก
“ฉันรู้ว่านายกลัว
แต่ฉันคงไม่สร้างโล่ป้องกันให้นายด้วยการบอกให้หลบอยู่ตรงนี้” ชายหนุ่มผิวแทนหันไปพูดกับเด็กหนุ่มซึ่งมีสีหน้าไม่ดีนัก “เพราะงั้นจับแขนฉันไว้ ถ้าฉันอยู่ไหน นายก็จะอยู่ที่นั่นด้วย”
“ผมขอโทษนะครับจงอิน ผมรู้ว่ามันงี่เง่าแต่ผมรู้สึกเหมือนสูญเสียความเป็นตัวเองไป”
“เฮ้ อย่าคิดมาก” เขาลูบหัวอีกฝ่าย “นายมีสิทธิ์รู้สึกอย่างนั้น
แล้วฉันก็กำลังพยายามเรียกความเป็นนายกลับคืนมา”
“...”
“เหมือนที่นายเคยตามฉันกลับมาตอนที่ฉันหลงทางไงเซฮุน”
ความกลัวในใจทั้งหมดยังคงแพ้ผู้ชายที่ชื่อคิมจงอินอยู่ดี
เด็กหนุ่มตัวผอมยิ้มบาง ๆ
ก่อนจะจับท่อนแขนอีกคนไว้เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองจากกลุ่มชายชุดลายพรางเหล่านั้น
ทั้งคู่ก้มลงต่ำกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหยุดอยู่ข้าง ๆ อี้ฟานและยูริ ไม่นานนักก็พบว่าคอนวอยทหารกำลังหักเลี้ยวไปด้านซ้ายของถนน
“เหมือนที่ผมเจอกันวันนั้นเลยครับ
มาเป็นกลุ่ม รถก็เหมือนกันด้วย” ทั้งสามคนเงียบเพื่อใช้ความคิด
ซึ่งจงอินหันไปทางอี้ฟานก่อนเพื่อขอความเห็น
“คิดว่าไง?”
“น่าจะเป็นหน่วยลาดตระเวน” เสียงของยูริดึงความสนใจจากชายทั้งสาม
และเธอไม่ได้คลายความคาใจให้ด้วยการอธิบายต่อ “น่าสนใจ”
“คิดว่าอย่างนั้นนะ...” อี้ฟานยังคงมองไปยังจุดที่รถเลี้ยวเข้าไป
“แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ?”
“ดูไม่ออกหรือไง ทหารเดินรอบรถขนาดนั้นยังไงก็ออกมาลาดตระเวนอยู่แล้ว”
“ฉันถามเพราะอยากรู้มุมต่าง
สถานการณ์แบบนี้อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้หรือเปล่าแม่คุณ?”
จะเรียกว่ามีปากเสียงได้ไหมนะ แต่จงอินกับคุณยูริก็ไม่เคยคุยกันดี ๆ เลย
“อาจจะออกมาเดินเล่นแก้เครียดล่ะมั้ง
คิม จง อิน” หญิงสาวย้ำชื่ออีกฝ่ายพร้อมยิ้มเยาะ
ซึ่งชายหนุ่มผิวแทนเพียงไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“เพราะถ้าใช่อย่างที่เธอพูด
ฉันจะได้ตั้งคำถามว่าทำไมต้องเดินลาดตระเวน ตามหาคน หรือฆ่าพวกนี้” จงอินมองซากศพแล้วหันไปทางอี้ฟาน “คุณคิดว่ามันมาสไตล์เดียวกับพวกค่ายศูนย์วิจัยนั่นหรือเปล่า?”
“ผมไม่แน่ใจ แต่ระหว่างทางไปค่ายนั้นไม่มีใครเคลียร์ทางไว้แบบนี้” ชายหนุ่มตัวสูงมองซากศพข้างทาง “ตอนขับผ่านคราวก่อนยังเห็นพวกมันเดินเร่ร่อนอยู่เลย
เพราะงั้นมันคงแปลกไปหรือเปล่าถ้าจะมีค่ายปักหลักอยู่แถว ๆ นี้?”
TBC
ความคิดเห็น