คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #117 : Chapter 111 :: Airplane (100%)
Chapter 111
Airplane
“อ๊า นี่มันสวรรค์ชัด ๆ มีเครื่องปั่นไฟให้ได้อาบน้ำอุ่น มีกาแฟสดหอม ๆ กับเสื้อผ้าที่ซักแล้ว ไหนจะมีไวน์เก่าแก่อีก”
“ยังดื่ม – ไวน์ – ตอนนี้ – ไม่ได้นะ – จงแด” คนที่อยู่ในครัวชะโงกหน้าออกมา คนถูกเตือนจึงหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี
“ผมรู้น่า”
จงแดวางแก้วกาแฟลงข้างของล้ำค่าในโลกปัจจุบันที่ใช้เงินแลกซื้อไม่ได้ เขาไม่ใช่คนมีความรู้เรื่องความเก่าแก่ของไวน์และเหล้าฝรั่งนัก แต่แค่เห็นตัวอักษรหลายภาษาแปะอยู่บนขวดก็พอทำให้นึกภาพออกว่าท่านคงเป็นคนค่อนข้างมีรสนิยมดีเลยทีเดียว คืนนี้เราอาจจะเมาแอ้เพราะบ้านหลังนี้มีทั้งไวน์ เหล้า และเบียร์อีกเป็นลังในห้องเก็บของ
ชานยอลบอกว่าคุณตาเป็นคนชอบดื่มกาแฟสด ท่านจึงซื้อเมล็ดกาแฟมากักตุนไว้เพราะไม่ได้เข้าเมืองบ่อย และด้วยความที่อายุเมล็ดเก็บอยู่ได้ไม่นาน จึงต้องบรรจุใส่กระป๋องพร้อมอัดแก๊สไนโตรเจนเข้าไปเพื่อให้ยืดเวลาเก็บได้นานขึ้นเป็นปี คนที่รอดชีวิตมาจนถึงตอนนี้ถึงมีโอกาสได้ลิ้มรสชาติกาแฟสดอีกครั้งหลังจากดื่มแบบสำเร็จรูปมานาน
เจ้าหน้าที่หนุ่มเงยหน้ามองเพดานเพื่อซึมซับความสุขที่เรียบง่ายซึ่งมันช่วยเยียวยาจิตใจคนที่หนีตายหัวซุกหัวซุนได้เป็นอย่างดี บ้านที่อบอุ่นงั้นเหรอ จงแดไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสรู้สึกแบบนี้อีกหลังจากเสียอุทยานไป ตอนนี้สัตว์ที่นั่นจะเป็นยังไงบ้าง เขาอยากคิดในแง่ดี แต่ความกลัวก็เป็นเหมือนมีดจ่อคอบอกให้คิมจงแดยอมรับสักทีว่าปาฏิหาริย์ไม่มีอยู่จริง
แม้จะพูดคุยและหัวเราะกับคนรอบข้าง แต่ในใจของเจ้าหน้าที่คิมจงแดก็ยังเต็มไปด้วยความกังวล
หลังจากช่วยกันทำความสะอาดบ้านเรียบร้อยทุกคนก็แยกกันไปจัดการในแต่ละส่วนซึ่งชานยอลเป็นคนแจกแจงว่าในบ้านหลังนี้มีอะไรบ้าง อี้ชิงอาสาทำมื้อเย็นที่ไม่ต้องออกไปหาวัตถุดิบจากข้างนอกเพราะในห้องเก็บของมีอาหารกระป๋องอยู่ส่วนหนึ่งที่พอจะยืดเวลาพักผ่อนให้คนกลุ่มนี้ไปได้อีกสักสองวัน ส่วนแบคฮยอนกับคยองซูช่วยกันแยกวัตถุดิบเป็นหมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็นไก่กระป๋อง ผักดอง
ที่นี่คือสวรรค์ชัด ๆ เขาเริ่มไม่อยากไปในตัวเมืองแล้ว
“แบคฮยอน” เจ้าของชื่อวางอาการกระป๋องลงแล้วเดินไปตามเสียงเรียก ก่อนจะเห็นว่าชานยอลโผล่ออกมาจากห้องน้ำเล็กน้อยพร้อมพยักหน้าเป็นเชิงเรียก “ช่วยไปเอาผ้าขนหนูให้หน่อยสิครับ ผมมัวแต่คุยกับซีวอนก็เลยลืมวางไว้ตรงราวจับบันได”
“คุยจนลืม?” เด็กน้อยเลิกคิ้วมองอย่างรู้ทัน อาบน้ำจนเสร็จแต่เพิ่งนึกออกว่าลืมผ้าขนหนูเนี่ยนะ...
รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของคนที่โชว์ท่อนบนเปลือยเปล่าให้เห็นก็คงยืนยันได้ว่าเขาคิดไม่ผิด
“ครับ ลืม” กลิ่นสบู่อ่อน ๆ มาพร้อมความอุ่นของไอน้ำจากด้านในไม่ใช่เรื่องน่าตลกสำหรับเด็กที่ต้องสู้กับความร้ายกาจของผู้ชายคนนี้เลยสักนิด ไม่ชอบที่จะรู้สึกดีแบบนี้เลย เขารู้หรอกว่าชานยอลแกล้งทำเป็นลืม แต่สุดท้ายผู้อาศัยก็ยอมเดินไปหยิบผ้าขนหนูแล้วยื่นให้โดยไม่พูดอะไรอีก “ใจดีจังเลยครับ”
“อาบน้ำอุ่นแล้วคงสบายตัวสบายใจขึ้นมากสินะถึงแกล้งผมได้?”
“ผมดูเป็นอย่างนั้นเหรอ?” เบื่อใบหน้าหล่อ ๆ ตอนแสร้งทำเป็นเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจจริง ๆ ทั้งที่ตอนแรกยังซึมเพราะบ้านหลังนี้ทำให้นึกถึงญาติพี่น้องที่เสียชีวิตในงานแต่งของตัวเองแท้ ๆ แต่พอรู้ว่าที่นี่ปลอดภัยสำหรับเราทุกคน มีอาหาร มีน้ำอุ่น มีไฟให้ใช้ ปาร์คชานยอลก็ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
“ผมไม่เล่นสงครามประสาทกับคุณหรอก” แบคฮยอนยื่นผ้าขนหนูให้ และแทนที่จะรับไปดี ๆ แต่อีกฝ่ายกลับดึงมันจนร่างของเขาถลาไปจุ๊บกับแผงอกด้านซ้ายที่เปียกไปด้วยหยดน้ำอย่างไม่ตั้งใจ “คุณ!” เด็กน้อยยกมือขึ้นปิดปากตัวเองพลางหันซ้ายขวาเพื่อดูว่ามีใครมองอยู่หรือไม่ จริงอยู่ที่อี้ชิงกับคยองซูอยู่ในครัวและซีวอนก็นอนแช่น้ำอุ่นอยู่บนชั้นสอง แต่จงแดยังอยู่ในห้องนั่งเล่นและตรงนั้นกับตรงนี้ไม่ได้อยู่ไกลกันเลย!
“ความสบายใจไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการอาบน้ำอย่างเดียวหรอกนะครับ”
“ผมไม่สนหรอก -- ชานยอล!” แบคฮยอนปล่อยผ้าขนหนูออกแล้วแต่อีกฝ่ายกลับดึงแก้มเขาอีกทั้งยังหัวเราะในลำคอราวกับว่าสนุกนักหนาที่ได้แกล้งเด็กคนนี้
“ตรงนั้นเป็นอะไรหรือเปล่า“!” จงแดตะโกนถามพลางชะโงกหน้าดู เด็กน้อยของบ้านหลังนี้จึงถอยหลังสองก้าวโดยอัตโนมัติก่อนจะหันไปส่ายหน้าปฏิเสธ
“ป... เปล่า”
“นึกว่าชานยอลลื่นล้มในห้องน้ำซะอีก ผมตั้งใจขัดอย่างดีแล้วนะ”
“ถ้าลื่นได้ก็ดี...”
“ว่าไงนะครับ?” แบคฮยอนชำเลืองมองเจ้าของคำถามที่ยังคงโผล่ออกมาครึ่งตัวและทำหน้ามึนเหมือนว่าข้องใจกับคำพูดเมื่อครู่
“กลับเข้าไปเช็ดตัวสิ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอกครับ”
“เป็นห่วงผมเหรอ?”
“ผม – ไม่ – ตอบ – หรอก” เด็กน้อยย่นจมูกใส่คนที่เอาแต่ไล่ต้อนเขาให้จนมุม ไม่เอาด้วยหรอก ไม่อยากประหม่าเพราะผู้ชายคนนี้อีกแล้ว มันเหนื่อยมาก ชานยอลควรจะเข้าใจความรู้สึกแบบนี้
ชายหนุ่มมองตามคนตัวเล็กโดยไม่ยอมเข้าไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย แบคฮยอนแกล้งเบลอไม่สนใจ ก้าวดุ่ม ๆ ไปตามทางเดินแต่พอจะพ้นทางโค้งจึงหันกลับไปดูว่าตอนนี้คนขี้แกล้งเข้าไปในห้องน้ำหรือยัง แต่บยอนแบคฮยอนกำลังหาเรื่องใส่ตัวชัด ๆ เพราะมันผิดคาดไปสักหน่อย
ไม่สิ... มากเลยล่ะ
เลือดบนใบหน้าเริ่มสูบฉีดเพราะชานยอลกำลังเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพผ้าขนหนูพันรอบเอว โชว์ท่อนบนเปลือยเปล่าที่ทำให้ต้องย้อนถามตัวเองว่าทำไมต้องรู้สึกแปลก ๆ ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ชานยอลเสยผมที่เปียกเข้ากับโครงหน้าขึ้นกลางศีรษะจนเห็นสันกรามและลูกกระเดือก ดวงตาที่เคยฉายทั้งความร้ายกาจและความอ่อนโยนกำลังมองมาทางนี้
ปาร์คชานยอลยังคงเป็นผู้ชายที่ดีแต่เก่งกับเด็กอย่างเขาเสมอ
“แบคฮยอน – ไปเรียก – ซีวอน – หน่อย – กับข้าว – เสร็จ – แล้ว”
“อะ... อ้อ! ได้เลย!”
ชายหนุ่มอมยิ้มกับท่าทางเลิ่กลั่กของคนตัวเล็กที่ต้องแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และยังต้องจำใจเดินกลับมาทางเดิมเพราะบันไดทางขึ้นชั้นสองอยู่ข้างห้องน้ำที่เขายืนอยู่ ปาร์คชานยอลคงนิสัยเสียจริง ๆ ที่ไม่สามารถอมยิ้มแล้วให้สายตาสื่อความหมายเหมือนอย่างที่เคยทำมาตลอด ก็ถ้าบยอนแบคฮยอนไม่ทำตัวน่ารัก เขาก็คงเป็นผู้ชายปากหนักและดีแต่พูดว่า ‘ครับ’ ทุกครั้งที่ไม่อยากตอบคำถามใด ๆ
“รู้ใช่ไหมครับว่าถ้าหยิบหมอนไปขอนอนเบียดกับคนอื่นมันจะทำให้พวกเขาอึดอัดไม่สบายตัว”
“...” แบคฮยอนยืนห่อไหล่พลางเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของเสียงทุ้มต่ำที่เท้ามือไว้กับผนังกั้นไว้ไม่ให้เขาเดินผ่าน
“แบ่งเป็นห้องละสองคน ลงตัวแล้วนะครับ ซีวอนกับอี้ชิงนอนห้องน้าสาวของผม จงแดกับคยองซูนอนห้องคุณตาคุณยาย” ชานยอลอมยิ้มก่อนจะก้มลงไปกระซิบข้างหูคนตัวเล็ก “เหลือเราสองคนกับห้องนอนของผม”
“ผมเกลียดคุณจัง”
“ได้ยินแบบนี้ก็ชื่นใจครับ” แบคฮยอนขยับปากบ่นแบบไม่มีเสียง ก่อนจะก้มหัวลอดผ่านท่อนแขนแกร่งไปโดยไม่สนใจแล้วว่าตอนนี้ชานยอลจะหัวเราะในลำคอเพราะสนุกกับการแกล้งเขามากสักแค่ไหน
อันที่จริงแบคฮยอนก็เก็บสีหน้าไม่ได้ ตั้งแต่ตอนที่ผู้ชายคนนั้นเลือกเสื้อผ้าให้ในห้องที่เราต้องนอนด้วยกันในค่ำคืนนี้
“พวกมันยังครางกันอยู่เลยพี่”
“ถ้าใช้คำว่า ‘โหยหวน หรือ กรีดร้อง’ อะไรเทือก ๆ นั้นน่าจะเข้าท่ากว่านะ” อี้ฟานถอนหายใจพลางมองเด็กลูกครึ่งที่กำลังทำตาปริบ ๆ ขณะกวาดสายตามองเหล่าผีดิบที่กระจายอยู่บนรันเวย์ผ่านทางหน้าต่างเครื่องบิน
“คำนั้นมันผิดเหรอ?”
“มันฟังดูแปลก ๆ น่ะ” นอกจากลูกสาว แบคฮยอน และมินซอกแล้ว อู๋อี้ฟานก็ไม่คิดว่าจะต้องสอนใครอีกกระทั่งได้เจอกับเด็กอย่างมาร์ค
“ทำไมอะ?” ดวงตากลมโตหรี่ลง ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจว่าตนเองใช้คำผิดตรงไหน
“เสียใจไหมที่ต้องมาอยู่ตรงนี้” จงอินถามเพื่อนร่วมทางอย่างเห็นอกเห็นใจ นึกสภาพอีกกลุ่มไม่ออกเลยว่าจะปวดหัวแค่ไหนที่ต้องคอยอธิบายเรื่องง่าย ๆ ให้ไอ้เด็กนี่รู้ แต่ก็ไม่แน่ บางทีมันอาจเป็นแบบนี้กันทั้งกลุ่ม
“ตอนแรกก็ไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ผมเริ่มคิดแล้ว” เขาต้องอธิบายด้วยวิธีไหน เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะถึงจะเข้าใจได้ง่าย ๆ ว่าคำนั้นน่ะ...
“โหย ไม่รู้ก็อธิบายให้ฟังได้ไงพี่ ผมเป็นเด็กอยู่ในวัยกำลังเรียนรู้”
“แถวบ้านกูเรียกโง่” จงอินมองไอ้เด็กเกรียน มือจะลั่นหลายทีแล้วแต่ยังยั้งไว้ได้อยู่
“บ้านพี่อยู่ไหน?” มาร์คเชิดหน้าถาม แล้วก็ได้คำตอบเป็นฝ่ามือของพี่ชายผิวสีแทนซึ่งเหมือนว่าจะรอจังหวะนี้มาตั้งแต่ชาติก่อน “เจ็บนะเอาจริง”
“สมองไม่ไหลออกมาก็บุญแล้ว”
“ดุเกิ๊น” คนอายุน้อยจิ๊ปากรัวพลางหันไปทางผู้ชายตัวสูงดูภูมิฐานที่น่าจะคุยภาษาเดียวกับเขารู้เรื่อง แต่ยังไม่ทันอ้าปากคุยกับพี่อี้ฟาน ผู้ชายสายโหดก็พูดดักขึ้นมาก่อน
“ปิดหน้าต่างลง”
“ได้พี่ได้” มาร์ครีบทำตามคำสั่งเพราะไม่อยากขัดใจผู้ชายที่วิ่งสี่คูณร้อยเพื่อช่วยชีวิตเขา เด็กน้อยคลานออกมาจากเบาะนั่งพลางเงยหน้าทำตาปริบ ๆ เพื่อขอความเอ็นดู แต่เหมือนว่าพี่จงอินจะอยากเอาไขควงแทงหัวเขามากกว่าจะรู้สึกอย่างนั้น
“เอาไป”
“ให้โทรหาใครเหรอพี่? โอ๊ะ!!!” มาร์คกุมหัวตัวเองทันทีที่โดนตบหัวจนหูอื้อ เขาปล่อยให้สมองได้ประมวลผลว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ก่อนจะก้มลงมองสมาร์ทโฟนที่อีกคนยื่นให้
“หาป้ามึงมั้ง ทุกวันนี้มีสัญญาณโทรศัพท์เหรอ?” จงอินมองไอ้เด็กเกรียนที่ถามอะไรไม่รู้เรื่อง
“เราจะใช้มันส่องไฟฉายหาของจำเป็นหลังฟ้ามืดน่ะ ถ้าไม่ปิดหน้าต่างพวกมันก็มองเห็นแสงจากตรงนี้ถูกไหม?” อี้ฟานเป็นคนให้คำอธิบายง่าย ๆ สำหรับเด็กที่ไม่ค่อยประสีประสานัก มาร์คอ้าปากค้างพร้อมพยักหน้าเข้าใจ
“เค เก็ทเลย” พอรู้เจตนา เด็กน้อยก็รีบวิ่งข้ามศพไปปิดหน้าต่างช่วยคนโหดแดนสนามบิน พอถึงบานสุดท้ายเครื่องบินลำเล็กก็มืดลงจนมองอะไรไม่เห็น ทั้งสามคนจึงเปิดไฟฉายจากสมาร์ทโฟนที่ค้นได้จากศพผู้โดยสาร
“ขับเครื่องบินเป็นไหม?” อี้ฟานไม่คิดว่าจงอินอยากเล่นมุกตลกตอนนี้ แต่ก็ถือว่าตลกใช้ได้เพราะมันเป็นคำถามที่ค่อนข้างน่าขำ
“ผมก็อยากขับเป็นเหมือนกันนะ” ทั้งคู่สบตากันอย่างเคว้งคว้างกับหนทางหนีที่ช่างริบหรี่เหลือเกิน
“ถ้าชานยอลอยู่ด้วยก็อาจมีสิทธิ์”
“ก็น่าอยู่”
“ใครเหรอพี่?” มาร์คถามอย่างสนอกสนใจ
“เสือก”
“เค”
จงอินมองประตูทางเข้าห้องนักบินแล้วก็นึกเสียดาย มันคงงัดเข้าไปไม่ได้และต่อให้มีปัญญาเข้าไปก็ไม่น่าใช้สมองอันน้อยนิดบังคับเครื่องบินให้ลอยตัวขึ้นได้
“ไม่รู้ป่านนี้พวกไอ้ลู่หานเป็นยังไงบ้าง” ชายหนุ่มผิวแทนถอนหายใจ ก่อนจะหันหลังไปเผชิญหน้ากับอีกสองคน “พี่มึงกับเพื่อนพี่มึง หนึ่งในนั้นมีคนเจ็บ”
“...” อี้ฟานไม่ได้ห้ามถ้าหากจงอินอยากสั่งสอนให้มาร์คเข้าใจโลกมากขึ้นด้วยคำพูดที่ทำให้คนฟังรู้สึกผิดไปทั้งใจ จริงอยู่ที่มนุษย์เราควรรักษาน้ำใจกันให้มาก แต่เด็กอย่างมาร์คคงไม่รู้สึกจนกว่าจะเจอเองกับตัว
“พี่ผมจะรอดไหม...”
“ถามกูแล้วกูจะไปถามใคร?” มาร์คเบะปาก คิ้วตกเป็นหมาเมื่อนึกถึงภาพสุดท้ายที่เขาเห็นพี่ชายทั้งสองคน เป็นเพราะเขาแท้ ๆ ถึงได้แยกเป็นสองกลุ่มแบบนี้ ฝั่งจอห์นนี่จะเป็นยังไงบ้าง พี่ลู่หานจะช่วยทั้งสองคนไว้ได้ไหม เขาเป็นห่วง “แต่ถ้าอยากได้คำตอบก็ต้องช่วยกันหาทางออกไปจากเครื่องบินลำนี้ เข้าใจที่พูดใช่ไหม?”
แววตาจริงจัง แน่วแน่ของผู้ชายคนนั้นทำให้เด็กที่ตกอยู่ในความกลัวมีความหวังขึ้นมาบ้าง มาร์คจึงพยักหน้าช้า ๆ เป็นคำตอบ
“เอาล่ะ แผนของเราตอนนี้คือหาอะไรยัดลงท้องก่อน” จงอินพรูลมหายใจทางริมฝีปากแล้วตรงไปยังช่องแคบใกล้ประตูที่มีไว้สำหรับเก็บเสบียงส่วนหนึ่งไว้บริการผู้โดยสาร “กองทัพเดินด้วยท้อง”
อี้ฟานรับซองขนมกับน้ำแก้วน้ำพลาสติกใสที่จงอินโยนให้ได้โดยไม่พลาดเหมือนมาร์คที่รับแล้วรับอีกอย่างทุลักทุเลแต่สุดท้ายก็ตกลงพื้นอยู่ดี
ไม่มีพิธีรีตอง ไม่มีมารยาทที่ต้องรอให้ใครคนหนึ่งกินก่อน พี่ชายทั้งสองฉีกซองแล้วยัดขนมใส่ปากเคี้ยวเอา ๆ ทำเหมือนว่าเราต้องรีบทำมันให้จบ ๆ ไป
“ไหนดูซิมีอะไรน่าสนใจบ้าง” พี่จงอินกินเสร็จโคตรไว มาร์คทำตาปริบ ๆ มองตามอีกคนที่กำลังเดินมาทางนี้พร้อมขยำแก้วพลาสติกจนบี้คามือก่อนจะโยนใส่หัวเขาอย่างหน้าตาเฉย ไรวะ ไม่มีพี่เตี้ยคนนั้นอยู่กูก็โดนจากพี่จงอินอยู่ดี!
“ผมช่วย” อี้ฟานส่องไฟฉายจากสมาร์ทโฟนไปยังชั้นเก็บของเหนือศีรษะ จงอินจึงใช้สองมือง่ายขึ้น มาร์คค่อย ๆ กินขนมทีละคำอย่างไม่เร่งรีบ ถึงโลกจะเป็นแบบนี้แต่เรื่องมารยาทพ่อกับแม่เขาสอนมาดีมาก อย่าตะกละ ยูโน๊ว
“ส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัว”
เพราะถ้าจะมีเสบียงที่เป็นของฝากก็น่าจะโหลดลงใต้เครื่องซึ่งมันโคตรยากที่จะหาทางลงไปรื้อได้โดยไม่โดนพวกกินคนลากคอไปแดกเสียก่อน อี้ฟานช่วยจงอินอีกแรงด้วยการหาของจากอีกฝั่งหนึ่ง ประโยชน์ของเด็กอย่างมาร์คจึงทำได้แค่ใช้สองมือถือโทรศัพท์เพื่อส่องไฟฉาย
ค่ำคืนนี้คงอีกยาวไกล... และเขาคงทำให้เด็กคนนั้นเป็นห่วงอีกแล้ว
ขอโทษนะเซฮุน
“ครูให้มาถามว่านายสองคนหิวหรือยัง ถ้ายังจะได้รอสามคนนั้นต่อ” เซฮุนกับเทาหันไปทางเพื่อนตัวเล็กที่เดินออกมาพร้อมไฟฉาย
“เราจะรออีกหน่อย” มินซอกมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของเซฮุน ก่อนจะกวาดสายตามองความมืดที่อยู่รอบตัวหลังจากดวงอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ตอนนี้มีเพียงแสงสว่างจากไฟฉายในมือเขาเท่านั้นที่ทำให้มองเห็นสีหน้าเพื่อนอีกสองคนได้
“ครูครับ เรายังไม่หิว” คนตัวเล็กตะโกนบอกครูสาวที่นั่งอยู่ด้านใน
“ไปถึงไหนกันวะ ป่านนี้แล้วยังไม่กลับอีก” เทามองนาฬิกาข้อมือ แทบนับไม่ได้แล้วว่าเขาให้ความสนใจกับเวลาไปทั้งหมดกี่ครั้ง “รู้งี้ออกไปด้วยก็ดีหรอก”
“รถอาจจะน้ำมันหมดหรือหลงทางก็ได้”
“ฉันว่าพวกเขาไม่น่าหลงทางนะ” จากที่เดินทางด้วยกันมานาน เซฮุนเชื่อว่าเรื่องแบบนั้นคงเกิดขึ้นยากหน่อย อย่างน้อยลู่หานก็เป็นคนหนึ่งที่ดูจะถนัดเรื่องการเดินทางบนท้องถนน
“เอาจริงไหม ที่ทำให้ฉันปวดหัวตอนนี้คืออี้ฟาน เขาเลือกออกไปลองของทั้งที่ขาเพิ่งหายดี ไหนจะไอ้จงอินอีก ถึงมันจะดูมีสติสตางค์มากขึ้นแล้วแต่ก็น่าเป็นห่วงอยู่ดี”
“...” คำพูดของเทาทำให้เซฮุนเป็นกังวลยิ่งขึ้นไปอีก ต่อให้จะเป็นจงอินคนเดิมหรือคนที่สูญเสียความทรงจำ แค่อยู่ห่างกันเด็กอย่างเขาก็ไม่สามารถนั่งรออย่างสบายใจได้แล้ว
‘เป็นห่วง’ นั่นคือสิ่งเดียวที่เซฮุนรู้สึกในตอนนี้
“ฉันขอไปรอข้างถนนได้ไหม?” เทากับมินซอกหันขวับมองหน้าเพื่อนตัวผอมที่พูดพร้อมแววตาเว้าวอน
“ฉันไม่คิดว่าครูจะอนุญาตนะ นายอยู่ในช่วงต้องรักษาตัว” คนตัวเล็กกล่าวเสียงเรียบ และเซฮุนรู้ดีว่ามินซอกคงไม่ยอมคล้อยตามง่าย ๆ
“ที่เลือดกำเดาไหลคงเพราะเหนื่อยน่ะ แต่ตอนนี้ฉันสบายดีแล้วนะ ดูหน้าฉันสิมินซอก” เด็กหนุ่มตัวผอมจับข้อมือเพื่อนเพื่อขอความเห็นใจ เทาจึงมองทั้งคู่สลับกันและทบทวนว่าควรเอาไงในสถานการณ์ที่เขาเองก็ร้อนใจไม่แพ้เซฮุนเหมือนกัน
“นายไปคนเดียวไม่ได้” เทาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “เพราะถ้าจะไป เราก็ต้องไปด้วยกัน”
“ถ้าครูรู้เรื่องนี้ฉันจะโทษว่าเป็นความผิดของนาย หวงจื่อเทา”
“เชื่อเถอะว่าครูคงไม่บ่นแค่ฉันคนเดียวหรอก” เด็กหนุ่มตัวสูงพูดกลั้วหัวเราะ ขณะที่เขาและเพื่อนอีกสองคนกำลังเดินไปตามทางลูกรังซึ่งมีเพียงไฟฉายสองกระบอกเท่านั้นที่ทำให้เด็กเหล่านี้ไม่สะดุดล้ม
รอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้และพงหญ้าทำให้รู้สึกหลอนอยู่ลึก ๆ ถ้าเป็นคนกลัวผี อันที่จริงเราทุกคนต่างก็เลยจุดที่ต้องกลัวเรื่องพรรค์นั้นมาแล้วตั้งแต่คุ้นชินกับการเห็นตัวกัดคนเดินเพ่นพ่านอยู่บนถนน พวกมันน่ากลัวกว่าวิญญาณเสียอีก
มินซอกเงียบเพราะไม่รู้จะเอาอะไรไปโต้แย้งกับความต้องการของเพื่อนทั้งสองคนอีก ใจหนึ่งก็อยากให้ทุกคนรออยู่บ้านเฉย ๆ โดยไม่ต้องออกมาข้างนอกเพื่อเสี่ยงกับโลกตอนกลางคืน แต่อีกใจเขาก็เป็นห่วงลู่หานจนต้องคล้อยตามโอเซฮุนจนได้
จริงอยู่ที่ผู้ชายคนนั้นเอาตัวรอดเก่งกว่าใครหลายคน บางครั้งเพราะโชคช่วย บางครั้งเพราะไหวพริบและความสามารถ แต่อัตราการเสี่ยงก็มีเต็มร้อยทุกครั้งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพวกมัน ความรักอันตรายจริง ๆ ถ้าเขาเลือกเห็นแก่ตัวด้วยการไม่รักใคร ป่านนี้ก็คงนั่งอย่างสบายใจอยู่บ้านแล้ว
“ทำอะไร?” เทาหันไปถามเพื่อนตัวผอมที่สอดประสานสองมือไว้ใต้คางโดยมีสร้อยคอเส้นหนึ่งอยู่ตรงกลางฝ่ามือ “อธิษฐานให้สามคนนั้นปลอดภัยเหรอ?”
เด็กหนุ่มตัวสูงหัวเราะทันทีที่เห็นว่าเซฮุนพยักหน้าเป็นคำตอบ เพื่อนของเขาช่างอ่อนไหวอะไรขนาดนี้ เอาจริง ๆ สามคนนั้นก็น่าเป็นห่วงนั่นแหละ แต่ก็ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เคยเกิดขึ้นเสียเมื่อไหร่ ยกตัวอย่างเช่นตอนไอ้จงอินหายไปเป็นคืนแล้วโผล่หัวกลับมารับเซฮุนออกไปอีกรอบ นั่นก็เพิ่งเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้เองไม่ใช่เหรอวะ
“วินาทีนี้พระเจ้าคงช่วยใครไม่ได้หรอก ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับฝีมือทั้งนั้น โอ๊ย!!!!”
เทาแหกปากลั่นทันทีที่โดนตบหัวท่ามกลางความมืด แน่นอนว่าไม่ใช่ฝีมือเซฮุนแน่เพราะเขามองอีกฝ่ายอยู่ตลอด งั้นมันจะเป็นใครไปได้อีกที่เดินมาด้วยกันนอกเสียจาก...
คิมมินซอกที่มองมาอย่างหน้าตาเฉยราวกับว่าการตบหัวเขามันสมควรแล้ว
“พูดให้คนอื่นเสียกำลังใจมันไม่ได้เท่เลยนะ”
“นายก็ทำบ่อยไม่ใช่หรือไงเล่า?” เทาลูบหัวตัวเองขณะสบตากับเพื่อนตัวเล็ก คิมมินซอกน่ะตัวดีเลย!
“แต่เมื่อกี้ฉันไม่ได้พูด”
“โอเค ฉันผิดเอง พอใจไหม?” เด็กหนุ่มตัวสูงถลึงตาใส่อย่างเหลืออด เสียงวิ้งยังก้องอยู่ในหูอยู่เลย ตัวก็เล็กแค่นั้นแต่มือโคตรหนัก
“พระเจ้ามีตัวตนอยู่จริงในความเชื่อของคน ๆ หนึ่งนะ” เซฮุนเก็บสร้อยเข้าไปในคอเสื้อแล้วยิ้มบาง ๆ หลังจากสร้างความสบายใจให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว “ท่านไม่ได้อยู่เพื่อสร้างปาฏิหาริย์ แต่ท่านอยู่เพื่อสร้างกำลังใจให้กับฉัน”
“...”
“นายก็ควรมีพระเจ้าเป็นของตัวเองบ้างนะเทา”
อยากจะตอบว่า ‘ไร้สาระน่าเซฮุน’ แต่เขาก็ทำได้แค่มองรอยยิ้มที่สะท้อนจากแสงของไฟฉายโดยที่ไม่พูดอะไรอีก โอเค เขามันปากหมาเองที่เก่งแต่ดับฝันคนอื่นโดยลืมนึกว่าคนบางคนก็ยังต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้มแข็งได้ ไม่สิ... ไม่ใช่ทุกคนที่จะ ‘แสดงออกว่าเข้มแข็งได้’
เขาเคยเป็นเหมือนเซฮุน แต่ความผิดหวังทำให้ความเชื่อเหล่านั้นพังทลายจนไม่เหลือชิ้นดี
“ดูนั่น” ทั้งสามคนหยุดฝีเท้าข้างถนนพร้อมมองไปยังฝั่งขวามือตามที่มินซอกชี้ให้ดู
แสงสว่างสาดส่องมาทางนี้และแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดีที่พวกเขาจะโผล่หน้าออกไปทักทายผู้รอดชีวิต หวงจื่อเทาดึงเพื่อนทั้งสองถอยหลังเข้าพงหญ้าพร้อมกดไหล่ให้หมอบลงต่ำ พร้อมคำถามในหัวที่ว่าคนเหล่านั้นมองเห็นแล้วหรือไม่
“ปิดไฟฉาย!”
มินซอกทำตามทันทีที่เพื่อนสั่ง แสงสว่างจากตรงนั้นเริ่มใกล้เข้ามาทุกทีพร้อมเสียงเครื่องยนต์ที่ชัดขึ้น เด็กทั้งสามมองทะลุผ่านพงหญ้าสูงเกือบถึงเอวจึงเห็นว่าด้านหน้าเป็นคอนวอยซึ่งมีชายฉกรรจ์ในชุดลายพรางหิมะเดินขนาบข้างตัวรถ
หัวใจเต้นระส่ำตามระยะที่เคลื่อนตัวเข้าใกล้มาเรื่อย ๆ ทั้งสามรีบเอาหน้าแนบพื้นดินเมื่ออยู่ ๆ คอนวอยก็จอดลงพร้อมฉายไฟปาดผ่านไป เสียงพูดคุยของชายชุดลายพรางจากมุมนั้นทำให้จับใจความไม่ได้ เสียงความหนักของคอมแบตก้าวบนถนน... มันชัดเสียจนเด็กทั้งสามคนรู้สึกเหมือนทหารกลุ่มนั้นเดินอยู่ข้างตัว
“ให้ไวหน่อย เรายังต้องเดินทางกันอีกไกล”
“รู้แล้วน่า”
แม้คนที่เดินทางด้วยเท้ามาตลอดจะเป็นทหารรอบคอนวอย แต่คนที่หอบหายใจจนเหนื่อยกลับเป็นเด็กที่หลบอยู่ในพงหญ้า เสียงหัวเข็มขัดกับเสียงรูดซิปกางเกงของเงาดำทหารสองนายกลายเป็นความน่ากลัวกว่าฝูงตัวกินคน
เสียงขับของเสียเป็นน้ำอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก เทาค่อย ๆ กวาดมองไปโดยรอบเพื่อดูว่าทหารกลุ่มนี้มาจากไหน ค่ายนรกนั่นหรือไง หรือว่าเป็นของค่ายอื่น เรื่องนี้เขาไม่สามารถหาคำตอบได้และคงไม่คิดจะออกไปถามเพื่อความอยากรู้
“เหนื่อยว่ะ”
“ทุกคนก็เหนื่อยหมดนั่นแหละ อดทนอีกหน่อย”
“อีกหน่อยของแกมันนานแค่ไหนกันวะ?”
“นานกว่าตอนขาดใจตายนิดนึง”
“ตลกตายห่า”
“เอาน่า นายสั่งเราก็ต้องทำตาม คนที่อยู่โซลเหนื่อยกว่านี้”
“...”
“ถ้าไม่ทำก็ตาย นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ฉันถือปืนกลหนักเกือบสิกิโลทั้งวันได้”
เสียงของนายทหารสองคนนั้นเงียบไปเมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว กลุ่มฉายฉกรรจ์ชุดลายพรางหิมะเริ่มกลับไปประจำที่ เสียงคอมแบตยังคงข่มขวัญเด็กทั้งสามที่ไร้อาวุธติดมือมาด้วย เทามองรถหทารสามคันซึ่งด้านหลังถูกคลุมไปด้วยผ้ายางสีเขียว ความสงสัยยังคงทำงานหนักอย่างต่อเนื่องว่าด้านหลังมีอะไร
และ ‘คนที่อยู่โซล’ น่ะ... หมายความว่ายังไง“
คอนวอยเริ่มออกเดินทางต่อและทั้งสามยังคงหมอบอยู่ในท่าเดิมเพื่อไม่ให้ทหารสังเกตเห็น เทาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมสีหน้าเซฮุนตอนนี้ถึงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ทั้งที่มันไม่ใช่นิสัยปกติของเพื่อนคนนี้ คนที่ออกไปเสี่ยงตายเพื่อเอายาตั้งแต่ตอนมาถึงโรงเรียนเขาในวันแรก คนที่อาสาเข้าไปในค่ายทหาร คนที่ไม่เคยแสดงความหวาดกลัวต่อการออกไปเผชิญหน้าข้างนอก...
กำลังตัวสั่น
“เซฮุน...”
เจ้าของชื่อหลับตาพร้อมบีบแขนเพื่อนตัวสูงแน่นเมื่อเสียงพูดของนักวิทยาศาสต์และภาพเก่า ๆ ตอนถูกกักขังในศูนย์วิจัยฉายเข้ามาหลอกหลอนในความคิดจนรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว เสียงของอีทงเฮ ความสิ้นหวัง ความหวาดกลัว
‘คุณจะทำอะไรน่ะ? อย่านะ!’
‘อยู่เฉย ๆ’
‘ไม่! นี่มันไม่ได้อยู่ในข้อตกลงไม่ใช่เหรอ?!’
ทุกอย่างมันย้อนกลับมาทำร้ายโอเซฮุนอีกครั้ง
“พวกทหารไปแล้ว” มินซอกหันมาสะกิดเพื่อน เทาจึงประคองร่างคนตัวผอมให้ลุกขึ้นนั่งพร้อมตบแก้มเบา ๆ เพื่อเรียกสติ
“เฮ้ เซฮุน”
มินซอกเริ่มเป็นกังวลจึงหันไปเช็กอีกครั้งว่าคอนวอยไปไกลมากพอที่เขาจะเปิดไฟฉายได้แล้วหรือยัง คนตัวเล็กกดไฟฉายลงต่ำเอาพอให้มองเห็น แล้วก็พบว่าตอนนี้เซฮุนเอาแต่นั่งนิ่ง ตาแข็ง “เขาเป็นอะไร?”
“ฉันไม่รู้ หายใจเข้าลึก ๆ เซฮุน” เทาจับสองมือที่เย็นเฉียบของเพื่อนตัวผอมขึ้นมาเพื่อพ่นลมหายใจรดลงไป ก่อนจะถูเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ ทำอย่างนั้นอยู่นานอยู่หลายนาทีกว่าเซฮุนจะกลับเข้าสู่สภาพปกติ
“นายโอเคไหม?” มินซอกวางมือลงบนบ่าเพื่อน คนถูกถามจึงพยักหน้าช้า ๆ พลางกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ “เมื่อกี้นายเป็นอะไรไป ฉันตกใจแทบแย่”
ทั้งสามคนยังคงนั่งอยู่ในพงหญ้าท่ามกลางความมืดในค่ำคืนที่มีเพียงแสงจากดวงจันทร์กับไฟฉายขนาดเล็กเท่านั้นที่ทำให้มองเห็นหน้าของกันและกันได้ แผลเป็นในใจกับความทรงจำเมื่อตอนนั้นยังคงกัดกินโอเซฮุนจนถึงวินาทีนี้ เพราะมันคือการตัดสินใจโง่ ๆ ของเขาที่ทำให้เกือบเสียจงอินไปจากชีวิต
“ฉัน...”
“...”
“อยากเจอจงอิน...”
60%
“เฮ้ย ตื่น”
จอห์นนี่ยกมือขึ้นบังระดับสายตาเมื่อรู้สึกได้ถึงแสงสว่างซึ่งไม่ใช่แสงจากดวงอาทิตย์อย่างที่ควรจะเป็น
แสงไฟฉายจากรุ่นพี่ตีนผีปลุกให้ตื่นขึ้นมาพบความจริงว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลานอนเขาจึงตื่นอย่างเต็มตา
เด็กหนุ่มคว้าแขนเพื่อนที่นั่งซบไหล่อยู่ข้าง ๆ พร้อมเขย่าเบา ๆ เป็นเชิงปลุก
“ไหวไหม?”
“ไหว...”
สีหน้าแทยงไม่สู้ดีเพราะเสียเลือดและไม่ได้ทำแผลอย่างถูกต้อง คาดว่าตอนนี้เท้าของเด็กคนนี้คงอักเสบและบวมพอสมควร
“ตีห้าแล้วว่ะ
มันคงไม่มีเวลาไหนเหมาะไปกว่าตอนนี้อีก”
ลู่หานคว้าข้อมือจอห์นนี่มาดูนาฬิกา ก่อนจะฉายไฟขึ้นบนเพดานซึ่งมีช่องแอร์ขนาดเล็กพอให้ลอดออกไปได้
“ผมพร้อมแล้ว” เด็กหนุ่มตัวสูงสบตากับอีกฝ่ายอย่างจริงจัง หลังจากวางแผนกันตั้งแต่เมื่อคืนเรื่องหาทางเอาตัวรอดไปจากที่นี่
ซึ่งความเสี่ยงรอบด้านและอาการบาดเจ็บของแทยงจึงทำให้ทุกอย่างยากขึ้น
แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ถ้าไม่รีบพาเด็กนี่ไปทำแผลอะไร ๆ อาจจะแย่ไปกว่านี้
“อดทนหน่อย อย่าเพิ่งชิงตายไปก่อนล่ะ” ลู่หานตบแก้มคนเจ็บเบา ๆ ซึ่งแทยงก็ไม่งี่เง่าบ่นอิดออดสักคำ
คนมากประสบการณ์หลุบสายตามองมือแกร่งที่คว้าแขนเขาไว้
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับความจริงจังที่จอห์นนี่ส่งมาให้เขาได้รับรู้
“ได้โปรดพาเราออกไปจากที่นี่”
“...”
“ผมขอร้อง”
ใจอยากจะแซวให้เขินว่าสุดท้ายเด็กปากแข็งก็ต้องพึ่งคนอย่างเขาอยู่ดี
แต่ในเวลานี้ผู้ชายอย่างลู่หานดันเสือกจริงจังขึ้นมาเพราะนึกถึงเพื่อนร่วมทางอีกสองคนกับไอ้เด็กกะโหลกที่ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอยู่อย่างไร
จริงอยู่ที่ไอ้จงอินมันจำทุกอย่างได้แล้ว
แต่เพื่อนเขาไม่ใช่ซุปเปอร์แมนที่จะถูกกระหน่ำตีนแค่ไหนก็ไม่ตาย
ข้างนอกนั่นมีพวกมันอยู่เป็นร้อย
เมื่อคืนก็คิดหนักจนนอนไม่หลับเพราะเป็นห่วง
ใจอยากคิดในแง่ดีแต่สภาพโลกนี้เสือกไม่เห็นด้วย ลู่หานเลียริมฝีปากพลางหันไปอีกทาง
ก่อนจะมองสภาพคนเจ็บที่เห็นแล้วโคตรสงสารจึงพยักหน้ารับ
“งั้นเริ่มแผนกันตอนนี้เลย”
“มาร์ค ตื่น”
“อือ...”
“ถึงเวลาแล้ว”
“...”
เด็กน้อยสะลึมสะลือปรือตามองเครื่องบินลำเล็กซึ่งมีเพียงแสงสว่างจากมือถือเท่านั้นที่ทำให้มองเห็นว่าตอนนี้พี่จงอินกับพี่อี้ฟานกำลังช่วยกันขนย้ายศพ
มาร์คขยี้ตาลุกขึ้นยืนนิ่งเพื่อตั้งสติมองซากศพที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าตลอดทั้งคืนถูกวางซ้อนทับกันบนทางเดินสามแถวจนสูงถึงคอ
ไม่มีสายตาดุหรือคำก่นด่าหลุดออกจากปากพี่จงอิน
พี่ชายสายโหดคนนั้นคงรู้ว่าเด็กอย่างเขาคงช่วยอะไรไม่ได้ถึงปล่อยให้นอนยาวมาจนถึงตอนที่ทุกอย่างใกล้จะเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“มีอะไรเหลือให้ผมช่วยไหมอะ?”
“สะพายเป้แล้ววิ่งออกไปจากสนามบินก็พอ”
“แค่นั้นเหรอ?”
“แถมให้อีกอย่างก็ได้ ‘อย่าเสือกตาย’ โอเคนะ?”
มาร์คทำปากยื่นใส่ก่อนจะยกมือขึ้นบังองศามือของพี่ชายผิวแทนซึ่งเหนี่ยวมาอย่างไว
แผนที่วางไว้ไม่ได้ซับซ้อนอะไรนัก... อันนี้พูดในกรณีเด็กที่ต้องวิ่งอย่างเดียว
แต่สำหรับพี่ชายตัวโตอีกสองคนคงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแผนที่วางไว้คือการให้พี่จงอินหลอกล่อพวกก้อนเนื้อให้มารวมฝั่งประตู
ส่วนพี่อี้ฟานรอแสตนด์บายรอเปิดประตูฉุกเฉิน
ใช่... เราจะใช้มันเป็นทางหนี
“พร้อมนะจงอิน?”
เจ้าของชื่อพยักหน้าก่อนจะสบตากับเพื่อนร่วมทางที่ผ่านเรื่องราวมากมายมาด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน
และครั้งนี้พวกเขาก็จะรอดไปได้อีกเช่นกัน
“อย่าทำหน้าเหมือนที่นี่เป็นจุดจบของทุกสิ่งสิ” จงอินหัวเราะพลางตบแขนแกร่งเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายยิ่งขึ้น
“ถ้าเครื่องบินลำนี้มันกว้างมากพอให้คุณวิ่ง
ผมก็คงสบายใจขึ้นมาหน่อย”
“ไม่ดีหรอก เพราะถ้ามีทางเดินสองเลนเราคงได้ฉิบหายกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” พอได้ยินอย่างนั้น อี้ฟานจึงหลุดขำออกมาเบา ๆ นั่นสินะ
ถึงเครื่องบินลำเล็กจะทำให้ลำบากในการวิ่ง
แต่มันก็ดีตรงที่ไม่ต้องพยายามกันพวกผีดิบจากทุกช่องทางถ้าหากเป็นเครื่องบินลำใหญ่
“อย่ารอผม”
“ทำไมพูดงั้นอะ...” มาร์คไม่ชอบคำนี้เลย มันฟังแล้วดูใจหายยังไงก็ไม่รู้
ยิ่งคิดว่าต้นเหตุของความฉิบหายครั้งนี้มาจากตัวเขาเองก็ยิ่งรู้สึกผิด
“วิ่งไปข้างหน้า อย่าหันหลัง”
“ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ผม --”
“อี้ฟาน
พวกมันเป็นแค่ซากศพไม่มีหัวคิด แต่เรามี”
ชายหนุ่มผิวแทนเคาะขมับขณะสบตากับคนอายุมากกว่า จงอินนึกถึงตอนท่าเรือที่ต้องวิ่งหนีตายอย่างสุดชีวิต
คราวนั้นหนักหนาสาหัสและคิดว่าคงไม่รอดแต่สุดท้ายก็ได้กลับไปพบกับทุกคนอีก เขาจะไม่ยอมตายทั้งที่เพิ่งปรับความเข้าใจกับเซฮุนได้เด็ดขาด
คิมจงอินไม่มีเวลาให้ความกลัวและความไม่แน่ใจอีกต่อไปแล้ว
“เชื่อใจผมเหมือนที่คุณเคยเชื่อ
นั่นคือสิ่งที่ผมอยากขอให้คุณทำตอนนี้”
“...”
“เรื่องตายน่ะเอาไว้คุยวันหลังแล้วกัน”
อี้ฟานหลุบสายตาลงระหว่างทำใจยอมรับกับเรื่องนี้
ความจริงเขาควรจะเป็นคนล่อผีดิบแต่จงอินกลับขอทำเองโดยใช้ข้ออ้างว่าเปิดประตูฉุกเฉินไม่เป็น
ช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่วินาที...
อู๋อี้ฟานได้ตระหนักว่าเพราะอะไรเราทุกคนถึงพาตัวเองเดินเข้าหาความตายอย่างนี้
เพราะความหิวงั้นหรือ? ใช่... เพราะถ้าไม่มีอาหาร
ทุกคนก็ต้องหิวโซและอดตายไปในที่สุด มันเป็นอย่างนี้มาตลอด ซึ่งเขาและคนอื่น ๆ
ต้องยอมรับให้ได้ แต่ลึก ๆ ก็หวังว่าสักวันหนึ่งโลกจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก
แม้ว่าความหวังมันจะริบหรี่มากก็ตาม
อี้ฟานพยักหน้าแล้วคว้ากระเป๋าสองใบขึ้นสะพายไหล่
สบตากับเพื่อนร่วมทางเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินถอยหลังทีละก้าวไปหยุดอยู่ข้างประตูฉุกเฉิน
เมื่อถึงเวลาทั้งสามคนก็ต้องเริ่มทำตามแผน
จงอินปีนข้ามเบาะที่นั่งไปอีกฝั่งเมื่อทางเดินถูกขวางไว้ด้วยกองซากศพ
ประตูเครื่องบินที่แง้มไว้ตลอดคืนถูกดันออกจนเกิดเสียงฝืด
เหล่าตัวกินคนจำนวนมากยังคงเดินโซซัดโซเซอยู่บนรันเวย์อย่างไม่รู้จักเหนื่อย
เสียงโหยหวนดังแว่วไปตามสายลมชวนให้ขนลุก จงอินเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มก่อนจะหันไปส่งสัญญาณบอกอี้ฟานว่าแผนกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
“เฮ้!!!” ชายหนุ่มผิวแทนตะโกนพร้อมผิวปากซ้ำ เซ็ทแก้วราคาแพงของผู้โดยสารที่คงซื้อเป็นของขวัญให้ใครสักคนถูกโยนลงพื้นจนตกแตกเพื่อดึงความสนใจจากผีดิบส่วนที่อยู่อีกฝั่งของเครื่องบิน
เสียงโหยหวนดังขึ้นจนเรียกได้ว่าคำราม
บันไดทางขึ้นที่โดนถีบออกไปอยู่ตรงกลางกำลังถูกดันกลับเข้ามาโดยฝูงตัวกินคน
เป็นจังหวะเดียวกับที่อี้ฟานและมาร์คเปิดหน้าต่างบานเล็กขึ้นเพื่อดูว่าพวกก้อนเนื้ออีกฝั่งหายไปบ้างแล้วหรือยัง
มันได้ผล...
ตัวกินคนไร้ความคิดกำลังเดินไปตามเสียงแก้วแตกที่จงอินไม่ได้โยนลงไปเพียงครั้งเดียว
ชายหนุ่มผิวแทนทิ้งระยะเวลาไปราว ๆ สิบวิ แม้อากาศช่วงเช้าจะเย็นจนค่อนไปทางหนาว
แต่เหงื่อกลับไหลซึมตามขมับและซอกคอชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูเครื่องบิน
“กร๊าซซซซซซซซ!”
“มานี่ไอ้หนู...” ผีดิบมากมายแย่งกันปีนขึ้นบันไดจนตกลงไปกระแทกกับพื้น ส่งเสียงหวีดร้องประสานกันจนดังกึกก้องไปทั่วรันเวย์
บางตัวลุกขึ้นยืนได้โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดใด ๆ
บางตัวหัวแตกตายคาที่เพราะกะโหลกบอบบาง “ไป!”
อี้ฟานพยักหน้าแล้วเปิดประตูฉุกเฉิน
มาร์คสไลด์ลงไปก่อนเนื่องจากตอนนี้ทางด้านขวาโล่งมากพอที่จะให้โอกาสเด็กคนนี้ได้ตั้งหลักวิ่ง
เขาหันไปทางจงอินที่กำลังถีบสกัดผีดิบซึ่งดาหน้าเข้ามาพร้อมกันจนคิดว่าถ้าเขายังไม่รีบลงไปตอนนี้อีกฝ่ายคงต้านไว้ไม่ไหวแน่
ครั้งนี้มาร์ครู้งานจนไม่ต้องตะโกนสั่ง เด็กคนนั้นสะพายกระเป๋าอย่างทุลักทุเลแล้ววิ่งไปตามรันเวย์ยาวท่ามกลางก้อนเนื้อมากมายที่ต่างให้ความสนใจเด็กคนนั้น
ไม่ว่าจะจากทางซ้าย ขวา หน้า หลัง... ใช่... มันเสี่ยงที่ให้มาร์ควิ่งไปก่อน
แต่คงเสี่ยงกว่านี้แน่ถ้าหากให้อีกฝ่ายตามมาทีหลังจนพื้นที่ให้วิ่งแคบลง
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซ!!!” ทันทีที่เห็นว่าอี้ฟานกับมาร์คไม่อยู่แล้ว
ชายหนุ่มผิวแทนจึงกึ่งวิ่งกึ่งเดินถอยหลังเข้าเครื่องบิน
ผีดิบที่เข้าเส้นชัยเป็นตัวแรกล้มลุกคลุกคลานตะเกียกตะกายอยู่บนพื้น แต่ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นก็ถูกเหยียบโดยผองเพื่อนที่ดาหน้าเข้ามาหวังจะตะครุบเหยื่อ
จงอินคว้ากระเป๋ากล้องดีเอสแอลอาร์เขวี้ยงอัดหน้าผีดิบจนเซ
ก่อนจะใช้จังหวะนั้นปีนข้ามเบาะนั่งแล้วคว้ากระเป๋าเป้โดยไม่เสียเวลาทิ้งไปแม้แต่วินาทีเดียว
ตัวกินคนส่งเสียงหวีดร้องลั่นเครื่องบิน
บางตัวพยายามข้ามฝั่งมาทางนี้ด้วยการปีนข้ามเบาะอย่างทุลักทุเล
แต่บางตัวก็ยังติดอยู่กับกำแพงซากศพที่ขวางตรงทางเดิน
ขายาวรีบวิ่งไปยังประตูฉุกเฉิน
สุดสายตามีผีดิบมากมายที่กำลังวิ่งไล่ตามอี้ฟานและมาร์ค
ซึ่งทั้งคู่วิ่งแยกกันเป็นตัววี
ด้านล่างมีพวกมันรอต้อนรับอยู่และเขาไม่มีเวลาตั้งหลักมากไปกว่านี้แล้ว
จงอินหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะสไลด์ลงไป
“กรรรรรรรรรรซ์!!!”
ผีดิบพนักงานขนถ่ายสัมภาระคร่อมทับร่างชายหนุ่มผิวแทนที่ไม่มีโอกาสได้ตั้งหลักเมื่อถึงพื้น
จงอินใช้ท้องแขนดันคอซากศพมีชีวิตไว้พร้อมเบี่ยงหน้าหลบน้ำลายเหนียวที่สุดแสนจะน่าขยะแขยง
ฟันเน่าขบกันซ้ำ ๆ หวังจะกัดกินเหยื่อที่อยู่ใต้ร่าง
สองมือปะป่ายหวังจะฉีกเนื้อเขาออกเป็นชิ้น ๆ
ใบหน้าคมหันไปทางด้านข้างแล้วก็พบว่าภัยใหญ่หลวงยังไม่ใช่ผีดิบตัวนี้เมื่อยังมีอีกหลายตัวกำลังตรงมาทางนี้
และถ้าหากคิมจงอินยังนอนโง่โดยไม่ย้ายก้นไปไหน
สนามบินคงได้กลายเป็นสุสานให้กับเขาเป็นแน่
“กรรรรรรรรซ์”
“เมื่อไหร่จะได้
นี่จงใจเหยียบหัวผมหรือเปล่าเนี่ย?”
“บ่นไรนักหนาวะ
เดี๋ยวก็ได้แล้วเนี่ย”
คนที่กำลังงัดฝาช่องแอร์แอบลอบยิ้มหลังจากได้เหยียบทั้งหลังทั้งหัวไอ้เด็กจอห์นนี่เพราะมันยอมเป็นฐานให้
“เสียงกระจกแตกครั้งที่สองนะ เข้าใจ๋?”
“รู้แล้ว”
“อ้าวนี่ขึ้นเสียง?” ลู่หานก้มลงถลึงตาใส่เด็กหนุ่มที่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าเพราะความหนัก “เดี๋ยวทิ้งให้ตายอยู่ในห้องนี้กันทั้งคู่เลยดีไหม
คือถ้ากูออกไปได้ยังไงก็รอดไงเพราะกูหล่อ”
“ถ้าคิดงั้นแล้วสบายใจ”
“ยังอีก ยัง”
“ขอโทษครับ พอใจไหม?” จอห์นนี่ถลึงตาสู้ พอเห็นอีกฝ่ายทำหน้าลิงใส่ก็ยิ่งหงุดหงิด
“ให้มันได้อย่างนี้
ฮึกเหิมกันหน่อยดิวะ ความฉิบหายกำลังจะมาถึงแล้ว!”
“...!!!”
จอห์นนี่กัดฟันกรอดเมื่อรุ่นพี่ตีนผีพยายามเอาเท้าเขี่ยแก้มเขาอย่างกวนตีนก่อนจะลอดเข้าไปในช่องแอร์พร้อมมีดดาบคู่ใจ
แทยงยันผนังลุกขึ้นยืนมองใครอีกคนที่กำลังคลานเข้าไปอย่างช้า
ๆ กระทั่งแสงสว่างจากไฟฉายหายไป ในห้องเหม็นอับมีเพียงความมืดและเสียงลมหายใจของเขาและจอห์นนี่เท่านั้นที่หลงเหลืออยู่
ผ่านไปหลายนาทีแล้วแต่ความกังวลและความหวาดกลัวยังไม่จางหายไปตราบใดที่ทั้งคู่ยังรอดไปจากตรงนี้ไปไม่ได้
“นายคิดว่าเขาจะช่วยเราจริงไหม?”
“...”
“ฉันคิดว่าเขาเป็นคนดี
แต่ในสถานการณ์แบบนี้ถ้าเป็นฉัน... ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะวกกลับมาช่วยคนเจ็บท่ามกลางพวกมันเป็นร้อยหรือเปล่า?”
แทยงกลั่นความในใจออกมาอย่างห้ามไม่ได้
เขาไม่อยากคิดอย่างนั้นแต่การมองข้ามความเป็นจริงก็คงดูเป็นคนโง่เกินไป
กับคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงวัน... ไม่มีความผูกพันกันใด ๆ มาก่อนน่ะเหรอจะย้อนกลับมาช่วยเขาทั้งคู่
ให้ตายยังไงก็เป็นแค่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ
“แต่เราไม่มีทางเลือกไหนที่ดีไปกว่าการเชื่อเขาแล้ว”
“...”
“เราสามคนเลือกมาที่นี่เอง ถ้าผู้ชายคนนั้นจะทิ้งเราไว้ที่นี่
--”
เพล้ง!!!
“...”
คำพูดทั้งหมดถูกกลืนลงคอไปหมดทันทีที่ได้ยินเสียงกระจกแตก
มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบยิ่งกว่าเดิมพร้อมหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ผู้ชายปากร้ายคนนั้นรักษาคำพูดกับเขาจริงหรือ?
เด็กหนุ่มถามตัวเองในใจ จอห์นนี่เลียริมฝีปากคลายความประหม่า
เขากุมมือเพื่อนเอาไว้ท่ามกลางความมืดมิดเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนจะหันหน้าเข้าหาประตู
ถ้าได้ยินเสียงกระจกแตกอีกครั้งจอห์นนี่ต้องพาแทยงวิ่งออกไปจากที่นี่
ได้โปรด... ขอแค่อีกครั้งเดียว
แล้วเขาจะเลิกกังขาผู้ชายคนนั้น
“พร้อมนะ?”
“อืม”
เสียงพวกก้อนเนื้อด้านนอกบ่งบอกได้ว่าตอนนี้พวกมันเจออาหารเช้าอันโอชะแล้ว
เด็กหนุ่มกำลูกบิดเอาไว้พร้อมหายใจลึก ๆ ภาวนาขอให้ผู้ชายคนนั้นปลอดภัย
ขอให้พระเจ้าอยู่กับพวกเขาไปจนกว่าทุกอย่างจะจบลง
เพล้ง!!!
เด็กหนุ่มค่อย ๆ
ดึงประตูเข้าหาตัวก่อนจะพบว่าด้านหน้ายังเหลือพวกผีดิบกระจายอยู่ประปราย
แต่ก็ไม่รอต้อนรับแนบอยู่กับประตูอย่างเมื่อวานนี้
จอห์นนี่หิ้วปีกแทยงออกไปด้านนอกอย่างทุลักทุเล
หันซ้ายขวาดูลาดเลาเพื่อหาทางโล่งที่วิ่งไปแล้วจะไม่เจอทางตัน
ก่อนจะสะดุดตากับฝูงก้อนเนื้อที่กำลังแย่งกันขึ้นบันไดเครื่องบินซึ่งจอดอยู่กลางรันเวย์
และตรงนั้นมีใครคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าเครื่องบิน
“เราต้องรีบแล้วแทยง”
“ฉันพร้อมแล้ว”
เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น วิ่งเขย่งขาเดียวหลบองศามือของผีดิบที่อยู่ข้างทาง
จอห์นนี่ใช้ขายาวของตนได้เป็นประโยชน์มากที่สุดก็วันนี้
เขาใช้มันถีบซากศพมีชีวิตให้ถอยออกไปพร้อมวิ่งไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
โดยมีจุดหมายเดียวคือต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้แม้จะไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน
“กร๊าซซซซซซซซซซซซ!”
“จอห์นนี่ ระวัง!”
แทยงผลักเพื่อนออกก่อนที่ผีดิบจะกัดได้อย่างเฉียดฉิว
ทั้งคู่ล้มลงไปกับพื้นซึ่งเด็กหนุ่มตัวสูงรู้ดีว่าเขาและอีกคนมีเวลาไม่มากแล้ว
จอห์นนี่รีบลุกขึ้นพุ่งไปรวบเอวตัวก้อนเนื้อจนล้มลงชนกับเก้าอี้ยาวเพื่อถ่วงเวลา
แทยงประคองตัวเองให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะได้เพื่อนมามาช่วยหิ้วปีกอีกแรง
“นายโดนกัดหรือเปล่า?”
“ไม่ ฉันไม่เป็นไร”
“เฮ้ย!!!”
เด็กทั้งสองเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเมื่อพบว่าผู้ชายปากดีขับกระบะพ่วงรถขนสัมภาระมาเทียบจอดด้านนอกกระจก
ลู่หานพยักหน้าเร่งให้เราทั้งคู่รีบทำเวลา ท่ามกลางตัวก้อนเนื้ออีกมากมายที่กำลังตรงมาทางนี้และอีกขบวนใหญ่
ๆ ซึ่งวิ่งตามหลังรถคันนั้น
จอห์นนี่กัดฟันเฮือกสุดท้าย
หิ้วปีกเพื่อนสนิทออกไปด้านนอกประตูกระจกซึ่งเปิดทิ้งไว้บานหนึ่ง พยายามวิ่งหลบแทนที่จะต่อสู้เหมือนผู้ชายสามคนนั้นเคยแสดงให้ดูเป็นตัวอย่าง
ฝีเท้าย่ำก้าวไปอย่างยากลำบาก แต่สุดท้ายจอห์นนี่ก็พาแทยงเข้าไปนั่งเบาะหลังได้อย่างปลอดภัย
“เมื่อกี้ผมเห็นเขา!”
“เออ เกาะแน่น ๆ ล่ะ เที่ยวบิน
Hell 407 กำลังจะพาซิ่งแล้ว” ลู่หานเข้าเกียร์
มองฝูงตัวกินคนที่ใกล้เข้ามาผ่านกระจกมองหลังด้วยแววตามุ่งมั่น
กระบะพ่วงรถขนสัมภาระบดยางจนเกิดรอยเพื่อดึงดูดความสนใจ
จอห์นนี่กับแทยงจัดท่านั่งที่เหมาะสมสำหรับเที่ยวบินนรกซึ่งเขาพอจะรู้ว่ามันน่าหวาดเสียวแค่ไหนหลังจากเห็นสีหน้าคนขับ
บนรันเวย์ยังคงเต็มไปด้วยผีดิบมากมาย ลู่หานเหยียบคันเร่งพร้อมมุ่งไปตามเป้าหมายซึ่งถ้าหากทำเวลาหน่อยก็คงไปช่วยเพื่อนร่วมทางได้ทัน
ก่อนหน้านี้ระหว่างหาทางหนีก็ได้ยินเสียงพวกกินคนดังมาจากอีกฝั่ง
ลู่หานถึงรู้ว่าเพื่อนนรกที่อยู่ด้วยกันมานานมันยังกล้าหายใจจนถึงตอนนี้ได้ทั้งที่บนเครื่องบินน่าจะมีตัวแดกตับอยู่ไม่น้อย
แต่ก่อนจะคิดช่วยคนอื่นจังหวะนั้นต้องหาลู่ทางให้ตัวเองกับเด็กอีกสองคนเสียก่อน
เขาวิ่งฝ่าดงตีนจนหอบแดกสักพักถึงได้เห็นสวรรค์อยู่ตรงหน้าเป็นกระบะสีเทาพ่วงรถขนสัมภาระ
จึงย้อนกลับมาช่วยเด็กที่ไม่ถนัดเรื่องเอาตัวรอดแล้วค่อยตามไปช่วยเพื่อนทีหลัง
ชายหนุ่มเหยียบคันเร่งชนตัวกินคนที่ยืนขวางทางอย่างไม่กลัวเครื่องยนต์พัง
แทยงนิ่วหน้ากับภาพความสยองที่มาพร้อมเลือดสีเข้มสาดเต็มกระจกจนต้องเปิดน้ำและใช้ใบปัดฝนชะล้างออก
เสียงหวีดร้องของพวกมันยังคงกรอกเข้าหูเรื่อย ๆ ลู่หานเร่งความเร็วยิ่งขึ้นจนรถส่ายเมื่อต้องเลี้ยว
ให้ตายเหอะ เรียกว่าดริฟท์ยังปลอดภัยเกินไปเลย!
“ลื้อขับรถเป็นไหมวะ?”
“เอ่อ ได้นะ?”
“งั้นมา”
“อะไรคืองั้นมา?” จอห์นนี่ขมวดคิ้วก่อนจะหน้าพุ่งหัวโขกกับเบาะเพราะอยู่ ๆ
อีกฝ่ายก็เหยียบเบรกกะทันหัน
“มาขับแทน
กูจะลงไปรับผู้โดยสารชั้นบิวซี่เนส!!”
เด็กหนุ่มทั้งสองอ้าปากหวอโดยที่ไม่รู้ว่าควรทำอะไรในตอนนี้ดี
อยู่ ๆ ลู่หานก็เปิดประตูออกไปพร้อมมีดดาบแถมฟันฉับจนหัวก้อนเนื้อแหว่งโดยไม่หยุดวิ่งอีกด้วย
อันที่จริงแทยงอยากให้เพื่อนมีเวลาตั้งสติมากกว่านี้แต่สภาพแวดล้อมรอบข้างไม่อำนวยเอาเสียเลย
เขาจึงรีบเขย่าแขนคนข้าง ๆ จอห์นนี่ถึงรีบปีนข้ามไปนั่งเบาะคนขับเพื่อทำหน้าที่แทนผู้ชายคนนั้น
“ชั้นบิวซี่เนสบ้าบออะไรกัน
เขาเรียกชั้นบิสสิเนสต่างหาก”
เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเองพร้อมถอยหลังชนอุปสรรคเดินได้ก่อนจะหักเลี้ยวไปตามทางที่ลู่หานกำลังวิ่งฝ่าพวกก้อนเนื้อซึ่งเข้าใกล้ผู้ชายผิวแทนที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินสู้กับพวกมันไปตามรันเว
“Here we go.” จอห์นนี่มองเป้าหมายอย่างมุ่งมั่นพร้อมเหยียบคันเร่งขับชนผีดิบเบื้องหน้าจนกระเด็นอย่างที่ผู้ชายบ้าพลังเคยทำเป็นตัวอย่าง
ลู่หานได้ยินเสียงความซิ่งจากด้านหลังจึงหันไปขมวดคิ้วมองอย่างประหลาดใจ
แต่ก็แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นก็ต้องหันไปให้ความสำคัญกับพวกเศษสวะด้วยคมดาบ
“พ่อมาแล้ว!!!”
“ไอ้ฉิบหายเอ๊ย ช่วยเฉย ๆ
โดยไม่ต้องแหกปากได้ไหมวะ?” จงอินพูดลอดไรฟันพร้อมแทงไขควงเสยคางผีดิบที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดแล้วกระชากออกอย่างแรง
“เร็วเข้า!!!”
จอห์นนี่ลดกระจกลงตะโกนเรียกชายหนุ่มอีกสองคนที่กำลังเจอศึกหนักรอบด้าน
ลู่หานพยายามเคลียร์ทางให้เพื่อนวิ่งง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้วยคมดาบในมือหรือเสียงของความวุ่นวายที่ดึงความสนใจจากพวกมันได้เป็นอย่างดี
ไม่มีเวลาถามสารทุกข์สุขดิบ ลู่หานหาทางวิ่งเข้าไปขนาบข้างเพื่อนได้สำเร็จพร้อมตวัดมีดดาบจนเลือดสีเข้มสาดกระจาย
สองเพื่อนซี้วิ่งไปข้างหน้าและครั้งนี้มีจุดหมาย
หลายครั้งที่จงอินคิดว่ากลิ่นความตายมันอยู่ใต้จมูกแต่มันก็จางหายไปเมื่อมีเพื่อนวิ่งอยู่ข้าง
ๆ
ทั้งคู่กระโดดขึ้นท้ายกระบะซึ่งคนขับก็เหยียบคันเร่งออกไปจากตรงนั้นอย่างรู้งาน
จงอินกับลู่หานกันพวกผีดิบที่พยายามเกาะด้านข้าง ทั้งฟันหัวขาด ทั้งถีบให้หลุด
แต่ก็ต้องประคองร่างตัวเองไม่ให้ล้มบนรถที่ขับด้วยความเร็วซึ่งส่ายเป็นระยะเมื่อชนกับเหล่าผีดิบ
ความลำบากยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนเหมือนหาจุดสิ้นสุดไม่ได้
ลู่หานเกือบหน้าคะมำจูบท้ายกระบะจังหวะรถขับพุ่งชนรั้วกั้น แต่โชคดีที่จงอินคว้าคอเสื้อเขาไว้ได้ทันท่วงทีไม่อย่างนั้นมีดดาบยอดรักคงได้แทงไส้ตัวเองตายแน่
สองเพื่อนซี้ทิ้งตัวนั่งลงพิงกับขอบรถพร้อมโกยอากาศเข้าปอดเมื่อรถขับออกจากสนามบินได้
ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากจนไม่อยากเชื่อว่าตอนนี้พวกเขารอดพ้นจากความตายแล้ว ลู่หานโยนมีดดาบทิ้งข้างตัวอย่างไม่ใยดีก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับไอ้หอกหักตีนผีซึ่งทำให้เขาคิดไม่ผิดที่เชื่อความรู้สึกตัวเองว่าไอ้ห่าจงอินมันต้องรอด
“ตอนโลกยังไม่เป็นแบบนี้มึงเคยตื่นมาแดกกาแฟตอนเช้าปะ?”
“กาแฟเอาไว้ให้มนุษย์เงินเดือนกับพวกคนรวยแดกเถอะว่ะ
อย่างกูได้เครื่องดื่มชูกำลังมาเยียวยาชีวิตวันนั้นก็หรูแล้ว” หลังจากได้ยินคำตอบลู่หานก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างไม่กักเก็บกับความสมถุยของชีวิตช่างซ่อมรถที่ต้องหาเช้าลงขวดค่ำ
“แต่กูไม่นะ เพราะกูตื่นบ่าย”
“อย่างมึงน่าจะนอนไปตลอดชีวิต”
“มึงด้วย”
สองเพื่อนสนิทสบตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ลู่หานจึงหวังเอาชนะด้วยการเอาตีนยันอีกฝ่ายซึ่งไอ้จงอินแม่งเสือกสู้ ทั้งคู่เล่นกันโดยไม่แคร์ว่าที่ทำอยู่จะเหมือนเด็กมากแค่ไหน
บางครั้งการหาวิธีผ่อนคลายหลังจากจมอยู่กับความเครียดทั้งคืนด้วยวิธีบ้า ๆ ...มันก็อาจจะเยียวยาความรู้สึกคนเราได้เหมือนกัน
“งั้นกลับไปลองต้มแบบซองใส่แก้วเซรามิกส์หรู
ๆ แดกสักถ้วยไหมล่ะ เผื่อมึงจะได้ดูเป็นโจรกระจอกที่ดูฮิปสเตอร์ขึ้นมาหน่อย”
“บรรยากาศแบบนี้ต้องฉลองด้วยเบียร์สักลังสิวะ
กาฟงกาแฟอะไรปัญญาอ่อน ของแบบนั้นเอาไว้ให้พวกขี้เก๊กแดก”
ลู่หานเลิกคิ้วพร้อมจิ๊ปากรัว ๆ มองไอ้กรังที่วาดแขนลงกับราวจับท้ายกระบะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามเช้า
ลมเย็นที่ทำให้รู้สึกหนาวไปทั้งกายในเวลานี้บ่งบอกว่าเราทุกคนยังเป็นคนอยู่
แม้จะต้องทิ้งกระเป๋าเป้ใบนั้นไว้กลางทางเพราะเป็นอุปสรรคต่อการหนี
แต่การห่วงหน้าพะวงหลังในช่วงเวลาแบบนั้นคงไม่ใช่เรื่องที่สมควรนัก
หลังจากผ่านเหตุการณ์เฉียดตายอีกครั้งชายหนุ่มผิวแทนจึงตระหนักได้ว่าเหตุผลการมีชีวิตอยู่ต่อไปของผู้ชายอย่างคิมจงอินนั้นมันช่างแรงกล้าเสียเหลือเกิน
แค่คิดว่าจะไม่ได้เจอเด็กคนนั้นอีก... ร่างกายที่เคยเหนื่อยล้าก็ได้เรี่ยวแรงจากไหนก็ไม่รู้ไปสู้กับผีดิบนับไม่ถ้วน
ก็ถ้ามีคนถามว่าโอเซฮุนสำคัญมากแค่ไหน...
เขาก็คงตอบได้ง่าย ๆ ว่า ‘มากจนความตายยังอยู่ห่างไกลผู้ชายอย่างคิมจงอินนัก’
“...”
กระบะสีเทาเทียบจอดข้างทางจนสองเพื่อนสนิทต้องชะโงกหน้ามอง
และพวกเขาก็ได้พบข่าวดีอีกอย่างในเช้าวันนี้ ลู่หานลุกขึ้นยืนท้ายกระบะ
สบตากับเพื่อนร่วมทางที่เขายังจำได้ดีว่าตอนงัดประตูเข้าบ้านหมอนั่นจนถูกเอาปืนจ่อมันหวาดเสียวแก้มก้นมากแค่ไหน
จอห์นนี่รีบเปิดประตูแล้ววิ่งไปหาน้องชายแท้ ๆ ที่กำลังตรงมาทางนี้
ทั้งคู่สวมกอดกันแนบแน่นเพื่อยืนยันกับตัวเองว่าอีกฝ่ายปลอดภัยแล้ว มาร์คร้องไห้ในอ้อมกอดพี่ชายราวกับเด็กตัวเล็ก
ๆ ที่ไม่ได้ก้าวร้าวเกรียนแตกอย่างที่พยายามแสดงออกให้ใครเห็น แทยงอมยิ้มกับภาพตรงหน้า
เขาคิดว่าการเสี่ยงตายครั้งนี้ก็ไม่ได้แย่นักเมื่อมันทำให้สองพี่น้องได้กลับมาแสดงความรักอีกครั้งหลังจากใช้คำพูดห่าม
ๆ ต่อกันมานานหลายปี
“ขาโอเคเปล่า?!!!” ลู่หานตะโกนถามคนอายุมากกว่าที่กำลังเดินมาทางนี้อย่างไม่เร่งรีบ
“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
คุณช่วยแบกผมขึ้นหลังได้ไหมลู่หาน?!”
“ตลกแดกกกกกกกกกกก”
ทั้งสามคนหลุดหัวเราะออกมากับบทสนทนาโง่ ๆ ซึ่งไม่มีใครตัดพ้อก่นด่าว่าที่ต้องมาตกอยู่ในสภาพเฉียดตายอย่างนี้มันเป็นเพราะใคร
อี้ฟานโยนกระเป๋าขึ้นท้ายกระบะและลู่หานก็รับไว้ได้ทันท่วงที ทุกสายตาหันไปทางสองพี่น้องที่กำลังเดินกลับมาทางนี้
จงอินคิดว่าเด็กทั้งสามคนคงได้บทเรียนชิ้นใหญ่กลับไป
ส่วนตัวเขาก็จะใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้น
เพราะวินาทีที่คิดว่าจะต้องตายโดยไม่ได้เจอโอเซฮุนอีกมันแย่มากจริง ๆ
“ไอ้ลู่หาน”
“เออ”
“อย่าเล่าเรื่องนี้ให้เซฮุนฟังนะ”
TBC
ความคิดเห็น