คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #115 : Chapter 109 :: Airport (100%)
Chapter 109
Airport
“เราเหลือข้าวถุงเล็กครึ่งถุงซึ่งคงไม่น่ารอดยาวเกินพรุ่งนี้ น้ำอีกสี่ขวด มะเขือเทศกระป๋องสุดท้าย ผมคิดว่ามันอาจจะอร่อยได้ถ้าลองเอาไปผัดกินกับข้าวที่เหลือ ส่วนวันนี้เราจะกินไก่กระป๋องกัน”
“พ่อครัวของเราละเอียดจังเลยน้า”
“หุบปากน่ะจงแด”
“พูด – เพราะ ๆ สิ – คยองซู”
ชานยอลกับซีวอนยิ้มขำท่ามกลางบรรยากาศเงียบ ๆ ริมถนนซึ่งเป็นจุดพักรถในยามบ่ายเมื่อ แบคฮยอนก้มหน้าก้มตาก่อกองไฟเพื่อให้คยองซูทำอาหาร หลังจากที่ชานยอลเสนอว่าทุกคนควรผลัดกันทำหน้าที่ต่าง ๆ เพื่อสร้างความคุ้นชินให้ตัวเอง เผื่อในกรณีพลัดหลงจะได้ไม่ลำบาก
พรุ่งนี้เป็นคิวของแบคฮยอนที่จะต้องทำอาหาร มันเป็นโจทย์ค่อนข้างยากสำหรับวัตถุดิบซึ่งเหลืออยู่เพียงน้อยนิด และถึงจะมีมากกว่านี้คนตัวเล็กก็ไม่รู้ว่าจะดัดแปลงมันยังไงให้ออกมารสชาติใช้ได้โดยไม่มีใครต้องอาเจียน
“จะว่าไปแล้ว พวกคุณสังเกตหรือเปล่าว่าแถว ๆ นี้ไม่ค่อยเจอพวกมันเลย” ทุกคนเงียบเพื่อคิดตามที่ซีวอนพูด แล้วก็พบว่ามันจริง เนื่องจากที่เลือกจอดพักรถตรงนี้ก็เพราะทางสะดวก ไม่มีวี่แววว่าตัวกินคนจะโผล่ออกมาขัดจังหวะการกินมื้อเที่ยงควบเย็น
“ถ้าจะบอกว่าที่นี่ไม่ค่อยมีคนก็คงไม่ใช่” ชานยอลกำลังประเมินสถานการณ์และความเป็นไปได้แต่มันก็ดูมีข้อขัดแย้งอยู่ ตอนนี้เรียกว่ามาถึงปากทางเข้าโซลแล้ว ซึ่งตามความน่าจะเป็นพวกเขาควรจะได้รับการต้อนรับชุดใหญ่มากกว่าการนั่งก่อกองไฟอย่างสบายใจริมถนนอย่างนี้
แต่พอนึกย้อนกลับไปเมื่อเหตุการณ์แรกที่เขาและพวกจงอินขับรถออกมาจากโซล ทางขาออกเส้นนี้ก็ไม่ได้อัดแน่นเบียดเสียดเหมือนถนนเส้นหลักใจกลางเมือง ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ตั้งหลักไม่ทันและตายอยู่ข้างใน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนเหลือรอดออกไปได้
“แต่ตรงนี้ก็ยังเป็นรอบนอก จากตอนนั้นก็ผ่านไปนานแล้ว พวกมันอาจจะเดินเร่ร่อนเข้าไปในป่าก็ได้” ที่ซีวอนพูดก็มีเหตุผล ตัวกินคนไม่ค่อยอยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง พวกมันมักจะเดินเร่ร่อนไปอย่างไร้จุดหมาย ได้ยินเสียงอะไรก็เดินตามราวกับเด็กถูกหลอกล่อด้วยของเล่น
“ถ้าอย่างนั้นเสียงรถของเราจะล่อพวกมันออกมาหรือเปล่า?” จงแดถามพลางกวาดสายตาไปรอบตัวอย่างหวาดระแวง
“ถ้าอยู่นานกว่านี้ก็ไม่แน่ครับ” ถึงจะดับรถไปสักพักแล้วแต่ขาของผีดิบยังคงเดินอย่างไม่รู้จักเหนื่อย ถ้ายังปักหลักอยู่ตรงนี้เห็นทีว่าพวกมันอาจแวะมาทักทายกลางวงก็ได้
“คุณยังอยาก – เข้าโซล – อยู่ไหม?” อี้ชิงถามอย่างใคร่รู้ บอกตามตรงว่าเขาแทบจินตนาการไม่ออกว่ากรุงโซลจะเป็นยังไงหลังจากเกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนั้น ถ้าเข้าไปลึกกว่านี้จะมีพวกผีดิบเร่ร่อนกระจายอยู่เต็มไปหมดหรือเปล่า ที่ตรงนั้นมีความหวังอยู่จริงไหม บุรุษพยาบาลหนุ่มค่อนข้างเป็นกังวลแต่ก็ยังเชื่อใจผู้นำอย่างชานยอลและซีวอน
“ครับ ผมยังอยากไป”
“แต่ตอนนี้มันบ่ายสองแล้วนะ เราจะเดินทางต่อกันอีกนานหรือเปล่า อีกแค่เดี๋ยวเดียวฟ้าก็คงมืดแล้ว” จงแดเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า จนถึงวันนี้เขายังไม่ชินกับการออกมาเผชิญโลกภายนอกหลังจากหลบอยู่ในอุทยานมานาน ซึ่งความมืดเป็นอีกหนึ่งความอันตรายที่มนุษย์ไม่ควรเผชิญหน้าต่อสู้กับมัน
“อันที่จริงผมเพิ่งนึกอะไรออกเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว” แบคฮยอนช่วยเป็นลูกมือให้คยองซูพ่อครัวจำเป็นในวันนี้ ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นฟังชานยอลเป็นระยะ พยายามเรียนรู้จากทุกคนเพื่อที่จะโตขึ้นให้มากกว่านี้
‘ทุกอย่างต้องดีขึ้น’ แบคฮยอนบอกตัวเอง อย่างน้อยก็เริ่มต้นจากคนใกล้ตัวเช่นคยองซู ผู้ชายไม่ค่อยพูดที่เคยสร้างกำแพงสูงไม่ให้ใครก้าวเข้าไป แต่เมื่อเช้าอีกฝ่ายกลับบอกกับเขาว่า ‘ฉันไม่อยากเป็นไอ้ขี้แพ้อีกต่อไปแล้ว’ คยองซูพูดโดยไม่มองหน้าเขา และแบคฮยอนคิดว่าในวินาทีนั้นหมอนั่นคงกำลังต่อสู้กับสิ่งที่ตัวเองเป็นมาตลอดคือการถอดใจง่าย ๆ และยอมรับโชคชะตา
‘ฉันอยากมีชีวิตอยู่ต่ออย่างมีค่าแทนซูโฮ’
ในแววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดแต่ก็มุ่งมั่นจริงจัง แบคฮยอนเห็นด้วยที่คยองซูฮึดสู้ ดังนั้นทั้งคู่จึงคุยกันว่าจะเรียนรู้จากทุกสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากอี้ชิงไปจนถึงเกร็ดความรู้ทั่วไปที่สามารถใช้รักษาตัวเองและคนอื่นได้ ศึกษาเรื่องสัตว์มีพิษ ฝึกวิธีดูพืชกินได้ในป่าจากจงแด ฝึกแนวการคิดให้กว้างแบบคนมีกึ๋นอย่างซีวอน และฝึกสังเกตสิ่งรอบตัวและคิดตาม มีไหวพริบเอาตัวรอดในสถานการณ์กดดันจากชานยอล
“บ้านคุณยายผมอยู่ชานเมือง ขับไปอีกประมาณสิบกิโลก็น่าจะถึง”
“...”
นานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาไม่ได้มีจุดหมายในการไป ยิ่งเป็นบ้านของใครสักคนที่รู้จักเป็นอย่างดีก็ยิ่งรู้สึกว่ามันน่าอุ่นใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด อาหารเที่ยงควบเย็นถูกแจกจ่ายในเวลาถัดมา ไม่มีหัวข้อใด ๆ ต้องคุยกันอีกในเมื่อทุกคนกำลังตื่นเต้นกับ ‘บ้านคุณยาย’ ของชานยอลที่คิดว่ามันน่าจะดีกว่าการค้างอ้างแรมอยู่ข้างนอกเป็นไหน ๆ
“เราตั้งใจมาเที่ยวปูซาน แต่ยังไม่ทันได้เปิดห้องเรื่องก็เกิดซะก่อน”
ทั้งหกคนเดินไปบนถนนโล่งหลังจากตกลงกันแล้วว่าจะไปสนามบินคิมแฮให้เห็นกับตาว่าที่นั่นมีไอ้เครื่องบินที่ว่าอยู่จริงหรือไม่ มันเป็นของใคร มาดีหรือร้าย นั่นคือสิ่งที่ทุกคนต้องการที่จะรู้
ระหว่างทางมีผีดิบออกมาให้เฉาะหัวเล่นอยู่ประปราย จนถึงตอนนี้จงอินก็ยังมองเด็กหน้าลูกครึ่งและผองเพื่อนเป็นระยะเพื่อสังเกตดูท่าทีว่าที่พูดมาทั้งหมดมีมูลความจริงมากน้อยแค่ไหน เขาเลือกให้จอห์นนี่เป็นคนเล่าประสบการณ์สมเต่าถุยแทนที่จะปล่อยไอ้เด็กส้นตีนพูดอ้อมโลกด้วยภาษาที่สอง
“หน้าตาพวกมึงไม่เหมือนคนจน ทำไมไม่ไปเปิดห้องที่ปูซาน?” ลู่หานหรี่ตามองด้วยสายตาโจรห้าร้อยผู้เชี่ยวชาญการแสกนกระเป๋าเงินทุกคนบนโลก
อย่างไอ้สองพี่น้องพ่อมันต้องเป็นฝรั่ง มีธุรกิจอยู่ต่างประเทศและมีคอนโดไม่ก็เพนเฮาส์อยู่ย่านคังนัม พ่อมันต้องไป ๆ กลับ ๆ ส่งเสียลูกเรียนนานาชาติ แม่มันต้องเป็นผู้หญิงมีอายุแต่ยังดูสาวเพราะฉีดโบ ชอบออกงานสังคม งานการกุศลเอาหน้า เทเงินให้ลูกเอาไปพับจรวดเล่นอย่างต่ำต้องเดือนละสองล้านวอน
“Because we’re เป็นเด็กรวยที่อยากลองใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์อะพี่”
“ใครถามมึงไอ้หัวพุดเดิ้ล?” ลู่หานเลิกคิ้วหาเรื่องเด็ก อวดรวยตอนนี้จะได้รากข้าวโพดอะไรในเมื่อเงินของพวกมึงมันแดกไม่ได้ โจรที่ไหนก็เมินหน้าหนีทั้งนั้น
“ห้องที่ปูซานมันค่อนข้างแพงสำหรับคนที่ตั้งใจมาเที่ยวแบบแบ็คแพ็คเกอร์ เราตกลงกันว่าจะเปิดห้องที่คิมแฮ ก็อย่างที่จอห์นนี่ว่าครับ เรื่องมันเกิดตอนเราอยู่บนรถเมล์”
“แล้วพวกคุณรอดมาได้ยังไง?” อี้ฟานไม่ทิ้งความสงสัยไปนาน เขายิงคำถามกลับไปและหวังว่าแทยงจะเป็นคนตอบอีกครั้ง
“เหตุการณ์ชลมุน ตอนนั้นในหัวของผมเต็มไปด้วยคำถามว่า ‘ทำไม?’ คนที่ถูกกัดจะไปกัดคนอื่นต่อ มันเป็นการแพร่เชื้อที่มีทั้งคนเปลี่ยนในวินาทีถัดมา และคนที่กลายเป็นอาหารให้คนที่เปลี่ยนไปแล้ว” เขารู้สึกเหมือนเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้น เสียงกรีดร้อง เสียงคำรามในลำคอ เสียงรถชนกัน ทุกอย่างมันยังคงกึกก้องอยู่ในหู
“พี่แทยงกลัวเลือด เขาแทบจะเป็นลมตอนเห็นเลือดสาดกระจายเต็มกระจกรถเมล์” มาร์คกอดคอเพื่อนสนิทพี่ชายของตนเองพลางยักคิ้ว
“แล้วตอนนี้ล่ะ ยังกลัวอยู่หรือเปล่า?” จงอินหันไปถามซึ่งแทยงไม่ได้ตอบทันที ราวกับว่าเด็กคนนั้นอยากใช้เวลาถามตัวเองว่าตอนนี้มีความกล้ามากพอแล้วหรือยัง?
“กลัว แต่กลัวตายมากกว่า” เขาชอบคำตอบของเด็กนี่ “ผมจำเป็นต้องชินกับมัน ช่วงแรกมันหนักหนามากที่หันไปทางไหนก็มีแต่เลือดเต็มไปหมด เหมือนพระเจ้าอยากบอกให้ผมหยุดกลัวสิ่งที่มองเห็นมากกว่าสิ่งที่ทำให้เจ็บ ท่านอยากให้ผมชินกับมัน”
“นอกจากพระเจ้าก็ยังมีธรรมชาติที่มักจะสั่งสอนและกดดันเราไปพร้อม ๆ กัน” อี้ฟานยิ้มบาง ๆ ขณะทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า เขาตบหลังเด็กหนุ่มเบา ๆ เพื่อบอกให้ออกไปจัดการกับผีดิบที่คลานออกมาจากพงหญ้า ซึ่งจอห์นนี่ก็ทำตามโดยเอาเสียมเหล็กแทงหัวมันจนปักลงกับพื้น มันเป็นอาวุธที่เด็กคนนี้เคยซ่อนเอาไว้ข้างบ้านตอนแสร้งเอาปืนปลอมขู่พวกเขา
“พวกคุณดูเหมือนไม่กลัวอะไร มันทำให้ผมอยากรู้ว่าพวกคุณตื่นตูมกันหรือเปล่าตอนเรื่องมันเกิดขึ้น?” ต้องแลกกัน จอห์นนี่คิดอย่างนั้น จะไม่มีใครเป็นฝ่ายคายเรื่องส่วนตัวอยู่ฝ่ายเดียวเด็ดขาด
“กูไม่เคยกลัว” <- ลู่หาน
“Bullshit...” (ตอแหล) <- มาร์ค
“มันด่าว่าไรวะอี้ฟาน?” หนุ่มตี๋ไม่มีทักษะภาษาอังกฤษเอาศอกสะกิดคนชาติเดียวกัน อี้ฟานยิ้มขำพลางส่ายหน้าปฏิเสธ
“ทุกคนก็เริ่มจากไม่รู้เหมือนกัน การกลัวตายล้วนพาสองตีนของกูมายืนอยู่ตรงนี้” ถึงจะดิบเถื่อนไปหน่อยแต่ก็ตรงไปตรงมาไม่เกินจริงดี ผู้ใหญ่สามคนนี้คงผ่านอะไรมาเยอะกว่าพวกเขานัก
“ผมไม่เคยลืมเรื่องวันแรกได้ เสียงรถชนกัน เสียงคนเจ็บพยายามขอความช่วยเหลือ เธอทุบกระจกด้วยมือที่เปื้อนไปด้วยเลือด แต่ผมไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมที่ลุงคนขับรถเมล์เป็นคนเห็นแก่ตัว เขาถึงขับฝ่าหนีออกจากตรงนั้นโดยไม่สนใจที่จะช่วยใคร” แทยงถอนหายใจ
“ถ้าเปิดประตูได้เละเป็นโจ๊กทั้งคันแน่ ความเห็นแก่ตัวของมันทำให้พวกนายรอดมาจนถึงตอนนี้ ควรขอบคุณไอ้ลุงนั่น” จงอินนึกภาพออกเป็นฉาก ๆ กับเหตุการณ์ที่เคยเห็นเองกับตามาแล้ว มันเกิดขึ้นเร็วมากจนการตั้งสติเป็นเรื่องยาก
“จริง เรื่องนี้ผม agree with พี่เลย” มาร์คขมวดคิ้วขึงขังพยักหน้า แม้ลุงคนนั้นจะน่าโดนรุมตีนมากก็ตาม
“เราอยู่ในรถเมล์ มองคนข้างนอกถูกกัดไปทีละคน ภาพมันหลอนติดตามาจนถึงตอนนี้ ทั้งช็อค ทั้งกลัวแต่ก็ไม่กล้าลงไปช่วย ผมกลายเป็นคนปอดแหก พวกเราไม่รู้ห่าอะไรเกี่ยวกับที่เรื่องเกิดขึ้นเลยสักอย่าง” แทยงยังคงเป็นคนเล่าเรื่องวันนั้น
“เพื่อนผมคนนึงก็เกือบโดนแดกเหมือนกัน โคตรนาทีชีวิตอะ”
“มึงมีเพื่อนด้วยเหรอไอ้หัวพุดเดิ้ล?” ลู่หานหรี่ตายกยิ้มกริ่ม มองเด็กมาร์คที่เดินเกร็งตาหลังจากหลุดพูดความลับออกมาโดยไม่รู้ตัว
“Jesus...” จอห์นนี่สบถเบา ๆ พลางตบหน้าผากตัวเอง สุดท้ายน้องชายหัวฝีหัวหนองก็สร้างงานสร้างอาชีพให้อีกจนได้
“เอ่อ เคยมีไง”
“เหรี่ยลหรี๊?” ลู่หานย้ำพร้อมกอดคออีกคนเข้ามาใกล้ ไหนมึงคายออกมาซิ ความลับคำโต ๆ ที่จุกอยู่ในคอน่ะ
“กลัวไรอยู่วะ ที่ถามก็เพราะอยากรู้ว่าพวกมึงเป็นคนยังไง ระหว่างทางไปสนามบินมันเงียบ ให้เดินเฉาะหัวพวกข้างทางกับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้ว่ามันเป็นลูกเต้าเหล่าใครก็จะยังไงอยู่” จงอินมองเด็กทั้งสามคนซึ่งมองเขาด้วยแววตาที่เหมือนอยากจะบอกว่า ‘ก็พี่หน้าเหมือนคนเลว เป็นใครก็กลัวทั้งนั้น’
“เราเคยไว้ใจคน ๆ หนึ่ง แต่เขาหักหลังเรา” แทยงกล่าวเสียงเรียบหลังจากได้ให้เหตุผล
“ใครทำอะไร?” ลู่หานเลิกคิ้ว ถึงภายนอกจะเหมือนโจรห้าร้อยแต่ใจเขาเป็นมากกว่านั้น ซึ่งก็คือโจรหนึ่งพัน ผ่างงงงงงงงงง...
“คนที่มีชะตาเดียวกันในรถเมล์ เราหาทางหนีจนรอดไปด้วยกัน ผู้ชายคนนั้นดูภูมิฐาน คงอายุพอ ๆ กับพวกคุณ เขาหลอกให้เราไว้ใจสุดท้ายก็ทิ้งให้อยู่กลางถนนที่มีพวกก้อนเนื้ออยู่เต็มไปหมด”
“ฝังใจนี่เอง” จงอินเอาด้ามปืนถูหางคิ้ว
“หรือว่าจะเป็นไอ้ชานยอลวะ?”
“ตอนวันแรกชานยอลอยู่งานแต่งงานหรือเปล่าลู่หาน?” อี้ฟานถอนหายใจ ยิ่งเห็นอีกคนทำหน้ามึนพร้อมพูดเบา ๆ ว่า ‘เออว่ะ’ ก็ยิ่งอยากกุมขมับ
“เอาเถอะ เราจะแยกย้ายไปตามทางใครทางมันหลังจากเสร็จภารกิจสำรวจสนามบินแล้ว จะไม่มีใครตามไปหยิกก้นมึงถึงบ้านแน่ สัญญาด้วยเกียรติหน้าหนังหมาของเพื่อนกูเลย” พูดจบจงอินก็บีบคางเพื่อนสนิทจนปากจู๋ ลู่หานถึงกับเบิกตากว้างชี้หน้าตัวเองพร้อมคิดในใจว่าหน้าหนังหมาที่เพื่อนพูดมันแย่แค่ไหน
ความหวาดระแวงของเด็กทั้งสามคนที่เหมือนจะเข้าใจซึ่งคงอธิบายให้เปลี่ยนความคิดด้วยคำพูดทั้งหมดไม่ได้ เรื่องนี้จงอินรู้ดี ด้วยความเป็นเด็ก สามคนนี้คงกลัวที่จะไว้ใจใครอีกหลังจากเคยถูกหลอกมา
“ถ้ากูมีเจตนาไม่ดี ปืนกระบอกนี้คงพากูไปบ้านมึงมากกว่าสนามบินกิมแฮนะ”
“ปืนกระบอกเดียวพี่เขาโชว์ทั้งวันเลย -- โอ้ ๆๆๆ” มาร์ครีบหลบหลังแทยงเมื่อคนผิวแทนทำท่าจะตบหัวเขาอีกครั้ง
“อืมใช่ มันเป็นอย่างที่คุณคิด” จอห์นนี่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปทางคนอายุมากกว่า “เรามีคนมากกว่านี้”
“...”
“เรามีแหล่งกบดานที่ไม่มีใครเคยหาเจอ อยู่กับคนไม่รู้จักจนทุกคนกลายเป็นครอบครัวที่จะไม่ยอมให้ใครออกไปตายฟรี ๆ ผมกับคนอื่น ๆ ใช้ชีวิตกันอยู่ที่นั่นแบบปิด เพราะฉะนั้นพวกคุณจะได้คายความคาใจตรงนี้หนึ่งข้อเลยว่าทำไมพวกเราถึงไม่มีปืนจริง”
“อยู่แบบปิดงั้นเหรอ... หมายความว่าพวกคุณไม่ได้ออกมาข้างนอกเลย?” อี้ฟานขมวดคิ้ว
“ใช่ พวกเรารู้ว่าต้องจัดการกับพวกก้อนเนื้อยังไง แต่เราเลี่ยงที่จะสู้กับพวกมันเพื่อลดความเสี่ยง”
“ตอแหลแล้ว ถ้าไม่ออกมาข้างนอกพวกมึงจะเอาข้าวจากไหนแดก?” ลู่หานเสยหน้าเด็กทั้งสามคนด้วยความจริงที่พวกเขาเผชิญหน้ามาตลอด
“ได้สิ” ผิดคาด เมื่อเสียงนี้มาจากจงอินแทนที่จะเป็นเด็กหัวหลิมสักคน ชายหนุ่มผิวแทนคว้าข้อมือแทยงขึ้นมา ก่อนทุกสายตาจะหยุดอยู่ที่พลั่วปลายมนในมือเด็กหนุ่ม “ถ้านี่ไม่ใช่อาวุธป้องกันตัวอย่างเดียว”
“...”
“...”
“...”
เด็กทั้งสามคนหันไปมองหน้ากัน เพียงครู่เดียวจงอินก็คลายมือออกเพื่อไม่ให้แทยงรู้สึกกดดันมากเกินไป
“หมายความว่าไงวะ?” ลู่หานขมวดคิ้ว
“พวกคุณ... ปลูกผักกินเองเหรอ?” อี้ฟานเป็นคนคลายความสงสัยให้กับหนุ่มหน้าตี๋ ซึ่งจอห์นนี่ก็พยักหน้าช้า ๆ ระหว่างดูท่าทีว่าผู้ใหญ่ทั้งสามจะทำยังไงหลังจากรู้เรื่องนี้
“อยู่กันกี่คน?”
“ผมว่าคุณชักจะถามเยอะเกินไปแล้ว” จอห์นนี่เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย เขาจะให้คนเหล่านี้รู้ไม่ได้ว่ากบดานอยู่ที่ไหน
“กลัวพวกกูไปแย่งผักแดกไง๊?” ลู่หานจีบปากจีบคอพูด
“พวกพี่ดูมีอะไรอะ ถ้าเอาจริง ๆ ก็แอบสะกดรอยตามพวกเรากลับบ้านได้ปะวะ?” เด็กหัวพุดเดิ้ลมองอย่างหวาดระแวง
“ไม่เป็นไร ถ้าอยากให้รู้แค่นี้เราก็จะไม่ถามต่ออีก” หลังจากพูดจบ อี้ฟานก็หันไปสบตากับจงอินเพื่อให้รู้กันว่าจะไม่มีใครสร้างความอึดอัดให้อีกฝ่ายอีก ซึ่งชายหนุ่มผิวแทนก็ตกลง บทสนทนาถัดมาจึงเป็นเรื่องผมหยิกหยอยของมาร์คที่อยากรู้เหลือเกินว่าผีสางตนไหนดลใจให้มันทำทรงนี้
50%
บทสนทนาเงียบลงตามระยะทางเมื่อเข้าใกล้สนามบินเข้าไปทุกที เบื้องหน้าเต็มไปด้วยพงหญ้าสีเหลืองแห้งกรอบกับต้นไม้สีเขียวแก่ บังไม่ให้มองเห็นว่าจุดหมายมีความหวังมากน้อยแค่ไหน พวกกินคนไม่ได้บางตาลงไปจากก่อนหน้านี้ เพราะยิ่งเข้าใกล้สนามบินมากเท่าไหร่พวกมันก็โผล่ออกมาเป็นอุปสรรคมากขึ้นเท่านั้น
ทั้งหกคนแยกย้ายกันไปจัดการทีละตัวอย่างใจเย็นเพื่อเคลียร์ทางถ้าหากว่าจำเป็นต้องวิ่งหนีตอนขากลับ จงอินบอกให้สามคนนั้นไปด้วยกันเพราะเขาไม่มั่นใจว่าไอ้เด็กมาร์คจะเอาปากหมา ๆ ไปงัดกับผีดิบได้ อีกอย่าง... เป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเด็กพวกนั้นรอดมาจนถึงป่านนี้ได้ยังไง ดังนั้นการเซฟไม่ให้ใครไปเสี่ยงตายตามลำพังจึงเป็นทางที่ดีที่สุด
“สังหรณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” อี้ฟานกระชากมีดพกออกจากปลายคางผีดิบพร้อมกวาดสายตาไปรอบทุ่งกว้างซึ่งยังคงมีผีดิบกระจายอยู่ ตายไปหนึ่งก็มีตัวใหม่มาแทนที่ เขาทิ้งร่างไร้วิญญาณลงพื้นก่อนจะหันไปถามความเห็นจากจงอินซึ่งคงคิดเหมือนกัน
“เหมือนได้ยินเสียงนกดังออกมาจากตัวกู” ลู่หานเอานิ้วก้อยแหย่รูหูพร้อมเขย่าเบา ๆ เขาเริ่มมั่นใจแล้วว่าหากผ่านป่าข้างหน้าไปคงพบเจอความผิดหวังแทนที่จะเป็นเครื่องบินใช้ได้สักลำ
“เหมือนจะสิ้นหวังเลยพี่”
“เรื่องนี้กูรู้ตั้งแต่เมื่อวานละ” ลู่หานหันไปแขวะไอ้หัวพุดเดิ้ลที่สาระแนออกความเห็นซึ่งวิญญาณหมาแถวฮงแดยังรู้
“ไหน ๆ ก็มาแล้ว ยังไงก็ลองไปดูก่อน” จงอินยังคงเลือกเดินหน้าแม้ว่าสิ่งรอบข้างจะบอกให้รู้แล้วว่าสนามบินอาจเป็นพิกัดตื้น ๆ ซึ่งถ้าคิดในแง่ร้ายหน่อย เครื่องบินคงไม่น่าโง่จอดลงจุดที่พวกกินคนเยอะกว่าถนนเส้นรอบเมืองเป็นไหน ๆ “พวกมึงสามคนกลับไปได้แล้ว”
“ไหงงั้นอะ?” มาร์คเลิกคิ้ว
“เพราะที่นั่นอาจจะไม่มีสิ่งที่เราตามหาอยู่” ชายหนุ่มผิวแทนมองเด็กกะโหลกสามคนที่ทำหน้าเด๋อด๋าอย่างคนไม่เจนโลกอย่างที่ควรจะเป็น เขายังมีความใจดีอยู่ถึงได้บอกให้อีกฝ่ายกลับตั้งแต่ตอนนี้แทนที่จะไปเสี่ยงข้างหน้าซึ่งไม่รู้ว่ามีอันตรายแบบไหนรออยู่
“แต่คุณยืนยันว่าจะเข้าไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่มีอะไรน่ะเหรอ?” จอห์นนี่ฉายแววตาสงสัย
“พวกกูลุยทุกที่ ๆ ไปได้ ต่อให้ที่นั่นไม่มีเครื่องบิน มันก็ต้องมีอะไรสักอย่างที่กูจะเอาติดไม้ติดมือกลับไปด้วย” ลู่หานดึงหญ้าขึ้นมาเคี้ยวพลางทอดสายตาไปยังความโคตรพ่อเสียเวลาที่ทำให้เขาต้องพูดจาหล่อ ๆ กลบการเสียหน้า เพราะไอ้ห่าจงอินอยากมาที่นี่นัก เป็นไงล่ะ นกมาทั้งรัง
“สนามบินมันเสี่ยงเกินไปสำหรับคุณสามคน” อี้ฟานเป็นคนเดียวที่สุภาพกับเด็กหนุ่มทั้งสาม “คุณก็เห็นกับตาแล้วว่าพวกมันมาเยอะเรื่อย ๆ ซึ่งแน่นอนว่าสนามบินต้องมีมากกว่านี้หลายเท่า พวกคุณควรกลับไปตอนที่ยังมีโอกาสอยู่”
“ตกลง เราจะกลับ” แทยงไม่ได้คะยั้นคะยอขอไปด้วย ผิดกับมาร์คที่แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่าอยากไปเยือนสนามบินมากแค่ไหน
“ไม่เอางี้ดิพี่แทยง I don’t want to go back without anything.” มาร์คมองสีหน้าเรียบเฉยของคนข้าง ๆ “พี่แทยงแม่งเป็นงี้ตลอดเลยอะ ไม่เคยมีความกล้าผจญภัยแล้วจะรู้ได้ไงว่าตอนนี้โลกมันไปถึงไหนแล้ว you know YOLO? You only live once อะ?”
“เปรี้ยวตีนเหลือเกิน ตลอดชีวิตฝรั่งวัยลูกเจี๊ยบของมึงนี่เอาจอบเคาะหัวตัวกินคนมากี่ตัวแล้ว?” ลู่หานเบ้ปากทำจมูกบานใส่ไอ้เด็กเกรียนที่ซ่าไม่ดูสถานการณ์ เขาจินตนาการได้เป็นฉาก ๆ เลยว่ามันจะร้องไห้โยเยยังไงตอนรู้ว่าต้องตายห่าจากโลกนี้ไปเพราะถูกกัด
“More than you ever had tho” (ล่อมาเยอะกว่าพี่แล้วกัน)
“มาร์คบอกว่าเขาฆ่าไปพอสมควรแล้วน่ะ” อี้ฟานรีบห้ามทัพเพราะเห็นลู่หานทำท่าจะของขึ้นเพราะแปลภาษาอังกฤษไม่ออก
“Bro, let me ask you one last question เราจะกลับกันไปทั้งอย่างนี้จริงเหรอ?” แทยงถอนหายใจเบา ๆ กับความดื้อรั้นของน้องเล็กที่ชอบคิดเล่นพิเรนทร์อยู่เรื่อยโดยไม่สนใจว่ามันจะเสี่ยงสักแค่ไหน มาร์คกำลังกดดันกึ่งขอร้องพี่ชายแท้ ๆ จอห์นนี่ดูเหมือนจะใจร้ายแต่พอเอาเข้าจริงหมอนั่นก็ลงเรือลำเดียวกับน้องตลอด
“รอดมาได้จนถึงตอนนี้ก็ไม่ควรมาตายเพราะความไม่รู้นะ” จงอินเตือนสติและเพิ่มความกังวลให้กับเขา แทยงมองเพื่อนสนิทที่ดูชั่งใจ เพราะไม่ใช่แค่เราสามคนที่เบื่อการใช้ชีวิตอยู่แบบเดิม ๆ วนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ตื่นมารดน้ำต้นไม้กับแปลงผัก เลี้ยงสัตว์เพื่อเอาผลผลิตมาเป็นอาหาร อยู่กับสารพัดกลิ่นขี้สัตว์ที่แลกกับการให้ชีวิตปลอดภัยจากโลกภายนอก ไม่มีคนรู้ พวกก้อนเนื้อเข้าไม่ถึง ในทีแรกทุกคนต่างก็มีความสุขเพราะสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องออกไปเสี่ยง แต่พอนานไปเด็กกลุ่มนี้ก็ตั้งคำถามให้ตัวเองว่า
‘เรากำลังมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร?’
อยู่เพื่อไม่ตาย อยู่เพื่อกิน นอน และตื่นมาใช้ชีวิตในรูปแบบเดิมโดยไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น ไม่ต่างจากนักโทษที่ไม่ได้ออกมาพบเจอโลกภายนอก ซึ่งเรายังเด็กเกินกว่าจะทำใจอยู่ชีวิตแบบนั้นได้ มาร์คจึงเป็นคนกระตุ้นให้จอห์นนี่มีความคิดอยากแหกกฎ
“เราอยากไปดูพร้อมคุณ” เด็กน้อยยิ้มพอใจหลังจากได้ยินพี่ชายกล่าวคำนั้นกับชายหนุ่มอีกสามคน สุดท้ายจอห์นนี่ก็ยอมให้ความอยากรู้เอาชนะความปลอดภัยของเรา
“ถ้าโดนกัดขึ้นมากูฆ่าทิ้งจริงนะ” ลู่หานขู่ แต่เด็กกะโหลกหาได้กลัวไม่
“ก็ตามใจ” จงอินไหวไหล่ ทั้งหกคนจึงเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
“ถ้าสมมติที่นั่นมีคนกับเครื่องบินจริง ๆ พวกคุณจะทำยังไง?” คำถามของแทยงดูเหมือนจะมีสาระมากที่สุดในช่วงเวลานี้ ชายหนุ่มทั้งสามเงียบไป ก่อนจงอินจะเป็นฝ่ายให้คำตอบ
“ก็ต้องดูก่อนว่ามันมาพร้อมความหวังหรือความฉิบหาย เราจะไม่พุ่งใส่ใครสุ่มสี่สุ่มห้า”
“แต่พี่พุ่งใส่ผมนะ โอ๊ะ!!!” มาร์คกุมหัวหลังจากถูกลู่หานโบกเข้าเต็มแรง
“กลัวว่าจะเป็นคนไม่ดีเหรอ?”
“หรือนายไม่?”
“ไม่รู้สิ นาทีนี้จะมีอะไรน่ากลัวไปกว่าพวกก้อนเนื้อนั่นอีก” แทยงมองศพเดินได้ซึ่งกำลังเดินออกมาจากในป่า พวกมันมากันเป็นกลุ่มเท่า ๆ กับเรา
“ยังมีอะไรน่ากลัวกว่าที่คิดอีกเยอะ” ลู่หานผิวปากเบา ๆ พร้อมมุ่งตรงไปเปิดดาบด้วยการฟันหัวผีดิบตัวแรกจนขาดกลิ้งไปกับพื้น
“การอยู่แบบปิดอาจทำให้พวกคุณปลอดภัยจากโลกภายนอก แต่ถ้าเมื่อไหร่อยู่จุดเดิมไม่ได้ ตอนนั้นคุณจะได้เรียนรู้ว่าฝันร้ายที่แท้จริงเป็นยังไง” อี้ฟานตบบ่าเด็กหนุ่มก่อนจะตามไปช่วยลู่หาน
“พวกเขาจะไหวเหรอ?” จอห์นนี่หันไปทางชายหนุ่มผิวแทนซึ่งไม่ดูร้อนอกร้อนใจที่จะเข้าไปช่วยเพื่อนอีกสองคนเลยสักนิด
“ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวคงเรียกเอง”
“...”
เด็กทั้งสามคนละสายตาจากจงอินแล้วให้ความสนใจชายหนุ่มอีกสองคนที่มีทักษะการต่อสู้และการป้องกันตัวระดับดีจนน่าทึ่ง ไม่มีท่าทีหวาดกลัวหรือเผยจุดบอดจนอาจทำให้พลาดได้ จอห์นนี่หันไปสบตากับแทยงอย่างรู้กัน การที่พวกเขาอยู่แบบปิดมานานมันทำให้เหมือนกบในกะลาที่ไม่รู้อะไร
“ลุงสองคนนั้นเป็นสตั้นท์แมนมาก่อนใช่ไหม ดูโปรอะ”
“ไอ้เตี้ยนั่นเป็นขโมยมาก่อน ส่วนอีกคนเป็นพ่อหม้ายมนุษย์เงินเดือน” จงอินยืนกอดอกพร้อมชี้นิ้วไปทางหนุ่มเชื้อสายจีนทั้งสองที่จัดการพวกมันจนครบ “เราเริ่มจากวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนมาก่อน แล้วค่อยเริ่มหยิบของข้างตัวสู้กับมัน”
“ไม่กลัวพลาดโดนกัดเหรอ?” มาร์คฉายความสงสัยทางสายตาและจงอินก็พยักหน้าอย่างไม่โกหก
“กลัว แต่มั่นหน้าว่าต้องฆ่าได้”
“DAMN...” เด็กลูกครึ่งทำตาโตอย่างไม่อยากเชื่อว่าจะได้รับความหลงตัวเองเป็นคำตอบ เขาหรือก็อุตส่าห์คาดหวังอะไรเท่ ๆ แต่ได้ข่าวว่าเป็นเพื่อนพี่เตี้ยขี้โม้ คนศีลเสมอกันถึงคบหากันได้
“เห็นแล้ว”
ลู่หานหันกลับมาพลางผิวปากหวิว ทุกคนเงียบเพื่อรอเขาอธิบายซึ่งก็ได้รับสีหน้าผิดหวังพร้อมการส่ายศีรษะเป็นคำตอบ
“มีเครื่องบินอยู่จริงว่ะ แต่ไม่น่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ในนั้น”
หญิงสาวที่กำลังสะบัดฝุ่นจากผ้าห่มเงยหน้ามองประตูหลังจากได้ยินเสียงเคาะ ก่อนจะพบใบหน้าซื่อ ๆ ของเด็กหนุ่มตัวผอมที่ชะโงกหน้าเข้ามาราวกับรอคำอนุญาตจากเธอ
“เข้ามาสิจ๊ะ”
“ขยันจังเลยครับ ดื่มน้ำหน่อยนะ” เซฮุนยื่นน้ำที่เหลืออยู่ครึ่งขวดให้และกาฮีก็รับไว้อย่างไม่รังเกียจ “ยังปวดท้องอยู่หรือเปล่าครับ?”
“ไม่แล้วล่ะ เป็นห่วงฉันเหรอ?” เขาพยักหน้าพร้อมยื่นแมสสีขาวให้ครูสาวที่กำลังถูนิ้วชี้กับจมูกเพราะแพ้ฝุ่น
“เทาบอกว่าตั้งแต่มาถึงที่นี่คุณยังไม่ได้นั่งพักเลย อย่าแย่งหน้าที่กันสิครับ” เซฮุนพูดกลั้วหัวเราะ เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องอึดอัดแต่ก็ปล่อยให้เธอทำอยู่คนเดียวไม่ได้
“ฉันอยากให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนสามคนนั้นกลับมาน่ะ เหนื่อย ๆ ได้นอนเตียงสะอาดคงหลับสบาย”
“เรื่องนั้นให้เป็นหน้าที่เด็กอย่างผมดีกว่าครับ คุณไปนั่งยืดเส้นยืดสายก่อนนะ” เซฮุนจับข้อมือครูสาวหลวม ๆ เขารู้ว่าปาร์คกาฮีกำลังรู้สึกแย่ถึงได้หาเรื่องทำอยู่ตลอดเวลา
“ฉันไม่อยากรู้สึกเป็นภาระ เพราะฉะนั้นให้ฉันทำเถอะ”
เดาผิดซะที่ไหน...
“คุณไม่เคยเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าจะตั้งแต่ตอนแรกหรือตอนนี้” เซฮุนตอบไปตามที่คิดมาตลอด ปาร์คกาฮีเป็นหญิงแกร่งที่เคยดูแลนักเรียนมากมาย ไหนจะออกไปหาเสบียงทั้ง ๆ ที่เป็นผู้หญิง แม้ว่าพักหลังเธอจะไม่ได้ออกไปด้วยแต่เขาเชื่อว่าความกล้าของครูสาวคนนี้ยังคงเหมือนตอนนั้น
“ฉันรู้ว่าเธออยากปลอบใจ แต่ถ้าฉันบอกให้เธอนั่งอยู่เฉย ๆ ในขณะที่คนอื่นออกไปข้างนอก... เธอจะรู้สึกอะไรบ้างไหม?”
“แน่นอนว่าผมรู้สึก แต่ผมจะทำตามถ้าคนรอบข้างขอให้ผมอยู่เฉย ๆ แล้วผมก็เคยทำให้คุณเห็นมาแล้ว”
“...”
“ไว้หายดีก่อนนะครับ พอถึงตอนนั้นผมจะปล่อยให้คุณทำทุกอย่างเลย” เด็กหนุ่มยิ้มตาหยี โอเซฮุนกำลังใช้ลูกอ้อนบังคับให้เธอใจอ่อนยอมนั่งอยู่เฉย ๆ ปาร์คกาฮีรู้ดีว่าเด็กคนนี้เป็นคนยังไง เซฮุนมักจะสังเกตคนรอบข้างและแสดงออกทางอ้อมโดยไม่ถามตรง ๆ ให้รู้สึกเหมือนถูกกดดัน
อย่างเช่นตอนนี้ที่เขารู้ว่าเธอโกหก
“ครูลองไปดูตรงโซฟาหน่อยสิ ผมปวดหลังเพราะมันนุ่มเกินไปอะ เหมือนจะยอกยังไงก็ไม่รู้” เทาขมวดคิ้วพลางส่ายศีรษะเดินเข้ามาในห้อง เด็กหนุ่มตัวสูงหยุดอยู่ตรงหน้าครูสาวซึ่งกำลังมองคาดโทษเขาอย่างรู้ทัน
“หวงจื่อเทา”
“ผมพูดจริงนะเนี่ย ครูลองไปนอนดูสักสองสามชั่วโมงดิเดี๋ยวรู้เลยว่ามันนุ่มมากจนปวดหลังแค่ไหน” เด็กหนุ่มหัวเราะ “พอถึงมื้อเย็นค่อยตื่นมารายงานผม”
“ครูครับ ใบนี้หรือใบนี้ดี?” กาฮีหันไปทางมินซอกที่ยืนถือหมอนสองใบอยู่หน้าประตู สายตาของเด็กคนนั้นเรียบเฉยราวกับว่าเป็นคำถามปกติ ทั้งที่เด็กคนนั้นคงรวมหัวกันวางแผนกับเพื่อนอีกสองคนมาดิบดีแล้ว
“พวกเธอนี่... จริง ๆ เลยนะ”
“ใบนั้นสูงไป เอาใบซ้ายแล้วกัน” เทาชี้นิ้วย้ำ ๆ มินซอกจึงไหวไหล่แล้วเดินออกไปตรงห้องนั่งเล่น
“เทา ช่วยฉันขึงผ้าปูที่นอนหน่อยได้ไหม?”
“ได้อยู่แล้ว อ่า... ครูถอยออกไปหน่อยสิ อยู่ตรงนี้แล้วเกะกะ” เด็กหนุ่มตัวสูงทำมือปัด ๆ ก่อนจะหัวเราะร่วนทันทีที่ถูกกาฮีฟาดแขน เด็กหนุ่มทั้งสองคนยิ้มขำขณะมองตามหญิงสาวที่ถอนหายใจอย่างเถียงไม่ได้ จนต้องยอมออกไปนอนตามที่เด็ก ๆ ต้องการ
“ควอนยูริไปไหนแล้วล่ะ?” เทาถามเบา ๆ เพื่อให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“เห็นว่าออกไปสำรวจละแวกนี้ เดี๋ยวก็คงกลับมามั้ง”
“อา จริง ๆ เลยนะผู้หญิงคนนั้น”
“ปล่อยไปก่อนเถอะ เธอกำลังเสียใจ” เซฮุนขึงผ้าปูที่นอนใหม่และพยายามกรีดให้เรียบแต่มันก็ยังคงหลงเหลือรอยยับอยู่
“แต่เธอก็น่าจะฟังคนอื่นบ้าง”
“นายคาดหวังกับเธอเกินไปแล้ว คุณยูริเป็นยังไงก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ” เด็กหนุ่มสองคนยังคงง่วนอยู่กับการจัดห้องนอน เทาจิ๊ปากเบา ๆ เพราะพอคิดดี ๆ แล้วเขาก็ไม่เข้าใจควอนยูริเอาเสียเลย
“คิดว่าสูญเสียอยู่คนเดียวหรือไงกัน”
“นายมีวิธีจัดการความรู้สึกในแบบของนาย คุณยูริก็เหมือนกัน”
“จะบ่นหรือไง ฉันกำลังระบายให้ฟังไม่ได้บอกให้นายซ้ำฉันนะโอเซฮุน” คนตัวผอมไหวไหล่ใส่ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ เมื่อนึกถึงหญิงสาวที่จากไปอย่างน่าสงสาร “ฉันเห็นควอนยูริคุยกับไอ้ลู่หานคนเดียวตั้งแต่ตอนออกไปหาเสบียงด้วยกันวันนั้น”
“เพราะลู่หานช่วยเธอไว้น่ะ” มินซอกเข้ามาในห้องพร้อมกล่องอะไรบางอย่าง เขาวางมันลงบนที่นอนเด็กหนุ่มทั้งสองถึงรู้ว่ามันคือเกมบิงโก เซฮุนกับเทามองหน้าเพื่อนตัวเล็ก ทั้งคู่กำลังตั้งใจฟังในเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน “ตอนนั้นคงเป็นวินาทีแรกที่เธอคิดอยากไว้ใจใครสักคน”
“...” เด็กหนุ่มทั้งสองคนนิ่งไปและไม่มีใครอยากพูดถึงควอนยูริในแง่ร้ายอีก
“คุณยูริอาจพูดจาแข็งไปบ้าง แต่ความจริงเธอเป็นคนอ่อนโยนนะ” เซฮุนแกะกล่องบิงโกออกมาดู “ต้องให้เวลาเธออีกสักพัก ระหว่างนี้เราทุกคนก็ช่วยกันทำให้เธอรู้สึกว่านี่แหละคือครอบครัว”
“ต้องถามยัยนั่นด้วยว่าอยากเป็นไหม” เทาหัวเราะ
“บอกตามตรงว่าฉันอึดอัดที่จะคุยกับเธอ” มินซอกตอบอย่างไม่โกหก และเขาไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะต้องพยายามเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่คุยกันแทบนับคำได้
“ไม่เป็นไรหรอก แค่ไม่มองข้ามเดี๋ยวอะไร ๆ ก็เป็นไปตามธรรมชาติเอง” เด็กหนุ่มชาวจีนไหวไหล่พลางหันไปเบะปากกับมินซอกในความโลกสวยของเซฮุน
“ตอนนี้ทุกคนดูเสียหลัก โดยเฉพาะควอนยูริที่เสียจองซูยอนไป ไอ้จงอินก็หายหัวไปเป็นวัน พอกลับมามันก็แปลก ๆ แต่ก็รู้สึกเหมือนเดิม... งงไหม?” เทาขมวดคิ้ว เขาไม่รู้จะอธิบายยังไงกับความรู้สึกตัวเอง
“ถามเซฮุนสิ เขาสนิทกับจงอินพอ ๆ กับลู่หาน” มินซอกมองไปทางเจ้าของชื่อ ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้อีกฝ่ายก็คงตั้งคำถามให้ตัวเองเช่นกัน
“เราทะเลาะกัน จงอินโมโหก็เลยออกไปอยู่เงียบ ๆ คนเดียวน่ะ”
“มันคงเริ่มจำอะไรมากกว่าเมื่อก่อนแล้วล่ะดูท่า ว่าแต่ตอนนี้คุยกันปกติยัง?”
เซฮุนพยักหน้า “เรื่องนั้นฉันผิดเอง”
“เออ ก่อนมาหานาย ไอ้วิทยุหอกหักเครื่องนั้นมันดังอีกแล้วนะ” เทาเปลี่ยนเรื่องเมื่อลำดับความสำคัญได้มากกว่า เขายังคงตื่นเต้นกับเสียงคลื่นแปลก ๆ ที่พอตั้งใจฟังก็รู้ว่าเป็นเสียงคนกำลังสื่อสารกันอยู่
“ว่าไงบ้าง?” มินซอกถามอย่างสนใจ
“ไม่รู้ จับใจความไม่ได้เลย เสียงมันขาด ๆ หาย ๆ แต่สาบานได้ว่าเป็นอาการเดียวกับเมื่อคืน”
“...”
“...”
เด็กหนุ่มทั้งสามคนมองหน้ากันแต่ก็ไม่มีใครกล้าดีใจกับสัญญาณปริศนา จากประสบการณ์เก่าที่เพิ่งผ่านพ้นไปได้ไม่นานทำให้ทุกคนหวาดกลัวความหวังซึ่งไม่รู้ว่าจะนำพาความเดือดร้อนมาให้หรือไม่
“นายคิดว่าไงเซฮุน?” เทาอยากได้ความเห็น และเด็กหนุ่มตัวผอมก็เงียบไปครู่หนึ่ง สายตาคู่นั้นจดจ้องอยู่กับกระดาษบิงโกสี่เหลี่ยมที่คงไม่มีใครเอามันออกมาเล่นนานแล้ว
ความกลัวย้อนกลับมาในหัวเป็นฉาก ๆ ภาพห้องทดลอง ทหาร และนักวิทยาศาสตร์ในชุดกาวน์ทำให้เขาขนลุกจนไม่อยากขยับตัว มินซอกสะกิดเพื่อนชาวจีนเบา ๆ เมื่อรู้สึกว่าเซฮุนกำลังบีบมือตัวเองจนเลือดห้อ เทาจึงกุมมือเพื่อนหลวม ๆ เพื่อบอกให้ผ่อนคลาย
เซฮุนเลียริมฝีปากที่แห้งผากก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขาทั้งคู่ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ได้ความทรงจำมาจากศูนย์วิจัย หลังจากรอดมาได้เขาก็บอกกับตัวเองมาตลอดว่าจะไม่ยอมเชื่อคนอื่นนอกจากคนในครอบครัวอีก
“ฉัน... ไม่คิดว่าต้นเหตุเสียงจากวิทยุนั่นจะเป็นฮีโร่ที่จะมาช่วยพวกเรา”
“เงียบชะมัด...”
จงแดกับแบคฮยอนทาบมือติดกับหน้าต่าง สายตาจับจ้องอยู่กับต้นไม้สูงมากมายตามริมทางเข้าหมู่บ้านคุณยายของชานยอลอย่างตื่นเต้น ไม่มีผีดิบเดินเพ่นพ่านให้รู้สึกจิตตกเลยสักตัวเดียว ใบไม้แห้งปลิวว่อนลอยไปบนอากาศตามหลังรถที่วิ่งผ่าน มีเพียงซีวอนกับคยองซูเท่านั้นที่นั่งอยู่ท้ายกระบะ สุดพาดท่อนแขนลงกับขอบกั้นพร้อมเอนศีรษะนอนลงไป ชายวัยกลางคนมองเด็กหนุ่มที่กำลังหลงใหลไปกับลมเย็น แบมือออกบังแสงแดดยามบ่ายที่ทะลุผ่านต้นไม้ใบหญ้า และที่ตรงนี้ไม่มีกลิ่นเหม็นของซากศพลอยมาทำลายสุขภาพจิต
‘อากาศดีจังเลยครับพ่อ’
หากซูโฮยังอยู่ เด็กคนนั้นคงหันมามอบรอยยิ้มให้กับเขาอย่างที่จินตนาการเอาไว้
“ปิดจมูกด้วยสิ ฝุ่นมันเยอะ” พอได้ยินคำเตือน คยองซูจึงหันหลังไปทางชายวัยกลางคนที่นั่งชันเข่าพิงกับขอบกระบะฝั่งตรงข้าม ซีวอนไม่ได้รู้สึกผิดที่เห็นคยองซูเป็นตัวแทนลูกชายตัวเอง และเขาไม่สนใจด้วยว่าเด็กคนนี้จะรู้สึกอึดอัดหรือไม่
คยองซูยังไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะปล่อยไปได้ ดังนั้นเด็กคนนี้จึงจำเป็นต้องมีคนดูแล เขามองดวงตาคู่นั้นไม่เคยสดใสเลย ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าก่อนหน้าที่โลกจะเปลี่ยนไปคยองซูเคยใช้ชีวิตยังไง มีความสุขกับอะไร และสิ่งไหนที่ทำให้เด็กคนนี้ยิ้มได้
“คุณก็โกนหนวดด้วย มันรุงรัง”
“...”
“ผมพูดเล่น”
ความคิดเมื่อครู่ถูกตบหน้าด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ของโดคยองซูซึ่งเกินความคาดหมายไปมาก แต่ถ้าหากการนั่งรับลมเย็นท้ายกระบะตอนไปบ้านคุณยายของชานยอลมันคือความสุขเล็ก ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ของเด็กคนนี้ ชเวซีวอนคิดว่ามันก็พอจะฟังขึ้นอยู่ เขายิ้มขำพลางส่ายศีรษะเบา ๆ พลางเท้าแขนกับขอบกระบะ ก่อนจะหลับตารับความสดชื่นจากสายลมเพื่อเก็บเกี่ยวความสุขจากธรรมชาติที่โลกนี้ยังไม่พรากมันไป
และในที่สุดทั้งหกคนก็มาถึงบ้านคุณยายของชานยอล
“เงียบจัง” จงแดกลอกตาไปรอบตัวขณะที่หลานชายเจ้าของบ้านกำลังตรงไปเปิดประตูรั้ว
เสียงสนิมบ่งบอกว่าไม่ได้ใช้งานมานานแค่ไหน คยองซูกับจงแดมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมชานยอลถึงเดินตัวเบาเข้าไปโดยไม่ระวังตัวอย่างที่เคยเป็น คิดว่าคุ้นที่แล้วจะเดินพลิ้วยังไงก็ได้งั้นเหรอ ให้ตายสิ
“บรรยากาศมันเคว้ง ๆ ยังไงชอบกล” เจ้าหน้าที่หนุ่มรู้สึกหวั่นใจอยู่นิด ๆ ยิ่งตอนลมพัดแล้วใบไม้ปลิวว่อนไปบนอากาศก็ยิ่งขนลุกซู่ “อย่างกับบ้านผีสิงในหนังแน่ะ”
“ขอโทษนะ แต่ฉันไม่คิดว่าสิ่งที่น่ากลัวในตอนนี้จะเป็นวิญญาณผีสักตัว” คยองซูหรี่ตามองคนข้าง ๆ แบคฮยอนจึงยิ้มขำกับท่าทางของทั้งคู่
“ไม่ได้บอกว่ากลัวสักหน่อย ผมแค่คิดว่ามันแปลก ๆ เอง ดูชานยอลสิ เขากำลังคิดจะทำอะไรนะ” ทุกคนเปลี่ยนความสนใจไปทางหลานเจ้าของบ้านซึ่งกำลังยกกระถางต้นไม้ใบเล็กตรงข้างหินทางเดินเท้าออกเพื่อเอากุญแจ โดยมีซีวอนประกบอยู่ข้าง ๆ และคิดว่าคงคุยเรื่องมีสาระกันอยู่
“หา – กุญแจ – บ้าน”
“ขอบคุณนะอี้ชิง คำตอบของคุณเป็นประโยชน์กับผมมากเลยล่ะ” จงแดยิ้มกว้างก่อนจะหุบลงภายในวินาทีสั้น ๆ “ข้างในจะมีคนอยู่หรือเปล่านะ... คุณคิดว่าชานยอลจะทำยังไงถ้าเกิดเขาเห็นว่าคุณยายเปลี่ยนไปแล้ว” จงแดถามความเห็นแต่คยองซูก็ไม่ยอมตอบ เขาจึงรีบวิ่งไปคว้าข้อมือคนตัวสูงไว้ได้ทันก่อนที่จะหมุนลูกบิด
“ครับ?”
“ให้ซีวอนทำดีกว่า”
“ผม? ทำไม?” เจ้าของชื่อชี้หน้าตัวเองพร้อมเลิกคิ้ว แบคฮยอน อี้ชิง คยองซูจึงเดินตามมาหยุดยืนอยู่ข้างหลัง
“เขากลัวคุณทำใจไม่ได้ถ้าเกิดเห็นศพคุณยายยืนสาวไส้ตัวเองอยู่หน้าเตาผิง”
“ผมไม่ได้พูดขนาดนั้นเลยนะ คยองซูกำลังใส่ไฟชัด ๆ”
ทุกคนหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ยกเว้นชานยอลที่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจหมุนลูกบิดแล้วดันประตูเข้าไป ทุกคนยืนลุ้นอยู่ข้างนอกอย่างตั้งใจขณะชายหนุ่มตัวสูงเดินนำเข้าไปแล้ว ซีวอนกับแบคฮยอนจึงเปิดไฟฉายพร้อมส่องไปรอบ ๆ
ชานยอลเปิดผ้าม่านออกเพื่อให้แสงสว่างฉายเข้ามาด้านใน พวกเขาจึงได้เห็นอย่างเต็มตาว่าที่นี่ไม่ได้มีความกังวลใจอย่างที่จงแดคาดเอาไว้ ไม่มีซากศพหรือกลิ่นเหม็นเน่าให้รู้สึกผวา เพราะที่นี่มีเพียงเศษฝุ่นที่เกาะอยู่ทุกที่เพราะไม่ได้รับการปัดกวาด
“แบคฮยอนฉายไฟไปตรงนั้นหน่อยสิ เขาไม่ระวังตัวเอาเสียเลย” จงแดพูดเบา ๆ เพราะกลัวว่าจะมีผีดิบคุณตาคุณยายหลบอยู่ที่ไหนสักแห่ง
“ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ที่นี่ไม่มีใคร”
“...”
“ทุกคนไปงานแต่งงานของผม และตอนนี้พวกเขาคงยังอยู่ที่นั่น”
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกหลังจากได้ยินคำตอบที่ทำให้จุกไปตาม ๆ กัน แบคฮยอนมองแผ่นหลังกว้างของผู้ชายคนนั้นซึ่งคงเจ็บอยู่ไม่น้อยที่ต้องนึกถึงเรื่องเก่า ๆ เมื่อมาถึงที่นี่ คิดถึงพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย เพื่อนสนิทมากมาย รวมถึงเจ้าสาวที่เป็นคนกลั้นใจฆ่าเองกับมือ
“ถ้าจำไม่ผิดหลังบ้านน่าจะมีเครื่องปั่นไฟอยู่ ผมว่าจะไปดูมันสักหน่อย มันคงดีถ้าหากทำให้ใช้งานได้ก่อนฟ้ามืด”
“หมายความว่า – เรา – จะได้อาบ – น้ำอุ่น – ใช่ไหม?” อี้ชิงเลิกคิ้วถาม เขาตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยที่ได้รู้ว่าบ้านหลังนี้อาจใช้ไฟฟ้าได้
“ถ้ามันปั่นติดนะครับ”
“แทบัก...” จงแดสบถ
“ชานยอล ห้องน้ำไปไหน?”
“ตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายครับ”
ซีวอนแยกไปทำธุระส่วนตัว อี้ชิงกับจงแดจึงทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาสำหรับผู้สูงอายุ ยืดเส้นยืดสายให้สบายตัวหลังจากเดินทางมาตลอดทั้งวัน ส่วนคยองซูกำลังให้ความสนใจกับเปียโนสีขาวเก่า ๆ หลังหนึ่ง โดยมีชื่อสลักไว้ให้รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ
“ของน้าสาวผมเอง ส่วนนั่นคือชื่อลูกสาวของเธอ”
“เธอเป็นครูสอนดนตรีเหรอ?”
“ครับ คุณยายก็เหมือนกัน” ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยุดสายตาอยู่กับคนตัวเล็กซึ่งค่อย ๆ ขยับไปทางซ้ายเพื่อไล่ดูกรอบรูปมากมายที่คุณตากับคุณยายติดไว้บนผนัง
“...” แบคฮยอนสะดุ้งเพราะไม่รู้ตัวว่าชานยอลมายืนซ้อนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ คนตัวสูงชี้รูปสมัยเด็กให้ดูพร้อมบอกว่ากำลังทำอะไรอยู่กับคุณตาคุณยาย ตอนนั้นมีอายุเท่าไหร่ พูดทั้ง ๆ ที่เสียงทุ้มต่ำอยู่ข้างหูของเขา
“รูปนี้เป็นตอนที่คุณตาพาผมไปตกปลา จะว่าไปแล้วหลังบ้านมีเรือถีบด้วยนะครับ”
“มีสระน้ำด้วยเหรอ”
“ครับ เชื่อมต่อไปบ้านหลังอื่นที่อยู่ละแวกนี้ได้ พรุ่งนี้ไปสำรวจด้วยกันไหม?” ทำไมถึงรู้สึกแปลก ๆ ล่ะ ชานยอลกำลังชวนเขาไปสำรวจความปลอดภัยละแวกนี้และคงหาเสบียงด้วย แต่ทำไมรู้สึกเหมือนกำลังถูกชวนไปเดทยังไงก็ไม่รู้
“เอาสิ ชวนคยองซูกับจงแดด้วย”
“เรือถีบมีแค่ลำเดียวนี่สิ ทำไงดีครับ?” ยังจะถามอีกว่าทำยังไง...
“ผมจะรู้เหรอ”
“งั้นคืนนี้มานอนด้วยกันสิครับ จะได้วางแผนว่าพรุ่งนี้เราจะทำอะไรกันบ้าง” แบคฮยอนเบิกตาโพลงกับประโยคที่เหมือนจะธรรมดาแต่ก็ฟังดูแปลกขึ้นมาเพราะรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อ ๆ ของผู้ชายคนนี้
คนตัวเล็กหันขวับกลับไปสนใจกรอบรูปวันจบการศึกษาของเด็กหนุ่มมอปลายที่มีคนในครอบครัวยืนประกบข้าง เขาไม่อยากฟังชานยอลพูดแล้ว คนอะไรหาเรื่องให้เขินอยู่ได้
“รู้สึกแย่หรือเปล่า?”
“หมายถึงเรื่องอะไร?” คนตัวเล็กเลิกคิ้วกับคำถามที่ชานยอลตั้งใจให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“ที่ผมพูดถึงเรื่องงานแต่ง”
“ผมจะรู้สึกอย่างนั้นได้ไงล่ะ คุณต่างหาก” ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ จ้องมองเด็กคนนี้ที่กำลังบอกให้รู้ผ่านทางแววตาว่าไม่ได้โกหก “มันเหมือนตอกย้ำตัวเองใช่ไหม?”
“ครับ”
“จงแดคงไม่ทันนึกถึง เพราะงั้นคุณพยายามคิดเรื่องอื่นไว้นะจะได้ไม่เศร้า” ชานยอลอดที่จะยิ้มไม่ได้เพราะแบคฮยอนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าซื่อ ๆ อย่างนี้ “ยิ้มอะไร ผมกำลังจริงจังอยู่นะ”
“ก็คุณบอกให้ผมพยายามคิดเรื่องอื่น ผมก็เลยยิ้มไงครับ”
“...” ชานยอลจะก้มลงมาใกล้เกินไปแล้ว จงแดกับอี้ชิงก็นั่งอยู่ข้างหลังไม่กลัวถูกเห็นเลยหรือไงกัน...
“และที่ทำให้ผมยิ้มได้ก็คือเรื่องของเด็กที่ชื่อบยอนแบคฮยอน คุณพอจะรู้จักเด็กคนนั้นหรือเปล่าครับ?”
TBC
ตอนแรกกะว่าจะพาลุยสนามบินตอนนี้เลยนะ แต่ลุยไม่ได้นะเจ็ดพันกว่าคำแล้ว TT
เลื่อนปิดโอนเป็นวันที่ 2 ก.พ. นี้นะคะ <3 เข้าไปดูได้ในลิงค์นี้จ้า https://docs.google.com/forms/d/1FnD4VHdFlQzY1e6Jxvmcr81kdXVUZYp0cyxbwzJMmT0/edit?usp=drive_web
ขอบคุณ @pekozzang @iberriiz_fic ที่ช่วยแปลภาษาอังกฤษให้นะค้า
ความคิดเห็น