คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 10 :: Hope
Chapter 10
Hope
ซ่า...
กระแสฝนที่ตกลงมาอย่างหนักพร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังก้องไปทั่ว ทางด้านขวามีนักเรียนในชุดกันฝนสีขาวโปร่งใสกลุ่มหนึ่งกำลังใช้เหล็กกับชะแลงแทงเข้าที่หัวผีดิบ ดูเก้ ๆ กัง ๆ ราวกับไม่เคยสู้รบกับพวกมัน
นักเรียนที่เหลือรอดชีวิตทั้งหมดมีเพียงแค่กลุ่มที่ออกไปหาอาหารเท่านั้นที่เคยสู้กับพวกกินคน ส่วนคนอื่น ๆ ก็ได้แค่ทำหน้าที่ทั่วไปอย่างเช่นทำอาหาร เฝ้าเวรยาม ซักผ้า ไม่เคยได้ลองเผชิญหน้ากับพวกมันด้วยตัวเองสักครั้งหลังจากที่หนีตายกันอย่างไม่คิดชีวิตตั้งแต่เหตุการณ์วันแรก
“คุณต้องเรียกความสนใจมันไปฝั่งนั้น เพื่อที่จะให้พวกเราปีนเข้าไปข้างในได้” อี้ฟานชี้ไปยังทางด้านขวา ร่างของพวกเขาเปียกโชกไปด้วยน้ำฝน กาฮีพยักหน้าแล้วมองทุกคนอีกครั้ง
“โชคดีนะคะ”
เธอพูดประโยคสุดท้ายก่อนจะเดินไปหากลุ่มนักเรียนพร้อมกับใช้เหล็กครูดไปตามรั้วเพื่อเรียกความสนใจให้เหล่าผีดิบแห่กันมาอยู่เป็นจุดเดียว พวกเขาทั้งสี่ใช้จังหวะนั้นปีนรั้วขึ้นไปแล้วกระโดดลงให้เบาเสียงที่สุด ความมืดรอบด้านเพิ่มความน่ากลัวขึ้นอีกเป็นเท่าตัว แต่พอปรับสายตาเข้ากับความมืดได้ ก็พอมองเห็นพวกกินคนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้าง
ทั้งสี่คนเดินก้มต่ำไปเรื่อย ๆ พวกเขาเลือกจะเลี่ยงประทะกับมันมากกว่าการเข้าสู้ อี้ฟานลุกขึ้นแทงเข้าที่กลางท้ายทอยเสยขึ้นทะลุหัวผีดิบที่ยืนขวางประตูเล็กตรงทางเข้าออกหอหญิงจนร่างนั้นร่วงลงไปนอนกับพื้นซีเมนต์ที่มีน้ำฝนขังอยู่
รองเท้าหนังสีดำย่ำลงบนพื้นน้ำเจิ่งนองก่อนจะเปิดไฟฉายเมื่อพวกเขาทั้งสี่คนผ่านระยะอันตรายในลานอเนกประสงค์มาได้แล้ว
“ถ้าเราผ่านหอพักหญิงไปได้ทางก็สะดวกขึ้น เพราะโรงอาหารมันมีทางอ้อมไปข้างหลัง” เทาพูดพร้อมกับหันไปมองข้างหลังเป็นระยะแล้วก็พบว่ายังมีพวกแพร่เชื้อบางตัวที่เดินเพ่นพ่านอยู่กลางลานกว้างในขณะที่ตัวอื่น ๆ แห่กันไปตามเสียงโหวกเหวกตรงข้างรั้ว
“ทำไมถึงต้องผ่านหอพักหญิงล่ะ ไม่มีทางผ่านอื่นแล้วหรือไง?” ชานยอลถามด้วยความสงสัย ตามหลักความน่าจะเป็นแล้วหากเด็กจากหอชายจะต้องใช้ทางเดินไปที่ตึกอาคารเรียนแน่นอนว่าทางโรงเรียนคงไม่ให้เดินทะลุหอหญิงไปแน่ ๆ
“ได้สิ แต่คุณดูตรงนั้น” เทาส่องไฟฉายไปยังประตูออกทางด้านซ้ายมือที่ถูกขวางเอาไว้ด้วยรถบัสโรงเรียน เขาทั้งสี่เดินไปหยุดอยู่ตรงนั้นพร้อมกับส่องไฟฉายสำรวจความเรียบร้อย
“เป็นไปได้ไหมที่เราจะปีนข้ามไปฝั่งนั้น?” อี้ฟานถามความเห็นคนที่มาด้วยกันแล้วมองประตูกรงที่ถูกล็อคเอาไว้ด้วยแม่กุญแจใหญ่ ร่างสูงเดินเปิดส่วนที่เป็นประตูเล็กออกและก็มีค่าเท่าเดิมเพราะมีรถขวางทางอยู่ ทุกคนเงียบราวกับใช้ความคิดก่อนที่เซฮุนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
“ฝั่งนั้นคืออะไร”
“เป็นถนนยาวไปจนถึงหน้าโรงเรียน ทางด้านซ้ายมือเป็นโรงยิมแล้วก็ห้องเก็บอุปกรณ์กีฬา ตรงไปอีกนิดก็เจอตึกสามแล้ว ถ้าเข้าทางนี้ได้เราก็ไม่ต้องเสี่ยงตายผ่านหอหญิง” เทาสาธยายแผนผังโรงเรียนพลางหันมองข้างหลัง เด็กหนุ่มเห็นผีดิบนักเรียนชายอยู่ใกล้ระยะก็ควักมีดออกมาแล้วเข้าไปแทงกลางหัวมันตอนทีเผลอก่อนจะกลับมาที่เดิม
“ถ้าเกิดผมปีนข้ามไปฝั่งนั้นเพื่อเอารถฟออก...” เซฮุนเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่งแล้วหันกลับไปที่รั้ว
“...”
“พวกคุณคิดว่าไง?”
“แล้วจะปีนด้วยวิธีไหนล่ะ?” เทาถามเพราะการปีนประตูคงเป็นไปไม่ได้เพราะข้างบนคือซีเมนต์หนาที่ลาดยาวไปถึงกำแพงสูงด้านข้าง และถึงปีนขึ้นไปก็ลอดผ่านไม่ได้อยู่ดีเพราะช่องว่างระหว่างซีเมนต์กับประตูมีเพียงแค่คืบเดียวเท่านั้น
สุดท้ายอี้ฟานกับชานยอลก็ต้องย่อตัวเป็นเพื่อนฐานให้เซฮุนปีนขึ้นไปบนกำแพงสูง ถึงจะทุลักทุเลแต่ก็ได้เทาอีกคนที่มาช่วยประคองให้เขาขึ้นมาข้างบนได้ เซฮุนส่องไฟฉายลงไปข้างล่างเพื่อสำรวจทางหนีทีไล่ แล้วก็เห็นผีดิบในชุดนักการเดินเพ่นพ่านอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ถัดไปอีกนิดก็มีนักเรียนหญิงอยู่อีกคน...ตรงนั้นก็ด้วย...
ฝีเท้าเหยียบลงบนหลังคารสบัสสีเหลืองพร้อมกับก้มตัวลงต่ำ สายตามองรายระเอียดรอบข้างอย่างระมัดระวัง ภารกิจใหญ่หลวงที่โอเซฮุนเสนอหน้ารับไว้เองคือการข้ามฝั่งมาเลื่อนรถคันนี้ออกจากประตู แน่นอนว่าเขาไม่มีทางออกแรงดันรถคันนี้ได้ด้วยมือทั้งสองข้าง
ร่างบางเดินมาหยุดอยู่ข้างหน้าก่อนจะสไลด์ตัวลงมาที่กระโปรงหน้ารถ มองผ่านกระจกใสที่มีน้ำฝนไหลลงมาอย่างต่อเนื่องแล้วใช้ฝ่ามือปาดน้ำฝนออกเพื่อส่องไฟฉายเข้าไป สำรวจความเรียบร้อยให้แน่ใจแล้วก็กระโดดลงไปข้างล่าง
ถึงจะฝนตกหนักแต่ก็ยังพอมีแสงสว่างจากดวงจันทร์อยู่บ้าง หันไปทางซ้ายพร้อมกับส่องไฟฉายไปแล้วก็พบประตูรถบัสเปิดอยู่ ร่างบางกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังกดดันเขาเพราะความกังวลกับเรื่องเพื่อนร่วมทางอีกสามคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกกินคนอีกเกือบร้อยตัว เขาต้องรีบทำมันให้เสร็จ...
ใช้มือซ้ายดันประตูให้อ้าออกส่วนมือขวาส่องไฟฉายเข้าไปด้านใน แต่ขึ้นไปได้แค่สองก้าวก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกอะไรบางอย่างคว้าข้อเท้าเอาไว้ เซฮุนส่องไฟฉายลงไปพร้อมกับพยายามสะบัดออกจากแรงดึงของผีดิบที่กำลังคืบคลานอยู่บนพื้น ใบหน้าของมันซูบติดกระดูกเพราะไม่มีอาหารตกถึงท้องมาเป็นเวลานานแล้ว
“ฮืออออออ...”
“!!!” สุดท้ายเขาก็สะบัดออกจากพันธนาการนี้ได้ เพราะความหวาดกลัวกับภาพตรงหน้าเซฮุนออกแรงเหยียบกะโหลกผีดิบไม่ยั้งจนสมองและเลือดทะลักออกมาเต็มพื้น
ร่างบางเดินถอยหลังไปสามก้าวพร้อมกับสาดไฟฉายไปรอบตัวรถทั้งที่มือสั่น ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกแต่เพราะความตายมันคลานเข้ามาหาโดยไม่ทันตั้งตัวเขาถึงได้เป็นแบบนี้
ใช้เวลายืนสงบสติแค่ครู่เดียวก็นึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาไล่บี้หัวผีดิบ ฝั่งตรงข้ามรั้วยังมีเพื่อนอีกสามคนยืนรอความหวังจากเขาอยู่ เซฮุนเดินไปตรงที่นั่งคนขับแล้วกำหมัดแน่นเมื่อเห็นกุญแจรถเสียบเอาไว้แล้ว
“เยส!”
เสียงสตาร์ทรถและแสงสว่างจากไฟหน้าเรียกความจนใจจากผีดิบที่อยู่ในระยะใกล้ให้หันกลับมามอง...เด็กหนุ่มใช้เวลาทำความเข้าใจกับระบบรถบัสว่ามันคงไม่ต่างอะไรจากรถยนต์ทั่วไปแล้วสุดท้ายก็ให้สัญชาติญาณตัดสินใจเอง
“!!!” เด็กหนุ่มโยกตัวไปข้างหน้าจากแรงกระชากเพราะเข้าเกียร์ผิด แต่ถึงอย่างนั้นเซฮุนก็ยังพยายามจนกระทั่งหักรถเลี้ยวออกมาจากประตูได้
ทั้งสามคนรีบเข้ามาในประตูเล็กและไม่ลืมที่จะปิดประตูเอาไว้ พวกเขาตรงดิ่งเข้าไปกำจัดนักการและนักเรียนที่เดินขวางทางอยู่ก่อนที่ร่างบางจะวิ่งตามมา อี้ฟานยีหัวเซฮุนเบา ๆ เมื่อเห็นความเด็ดเดี่ยวของเด็กคนนี้
“ข้างหน้านั่น” เทาชี้ไปยังตึกที่อยู่ไม่ห่างจากตรงนี้นัก พวกเขาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นจนกระทั่งเข้ามาหยุดตั้งหลักที่ชั้นหนึ่งของอาคารเรียน ข้างหน้ามีผีดิบเดินอยู่สองสามตัวแต่นั่นไม่ใช่ปัญหา
“เราต้องแยกกันไปเอายากับไปเอากล้องจุลทรรศน์ ห้องแลปอยู่ที่ชั้นสี่ ส่วนห้องพยาบาลอยู่ที่ชั้นสาม”
“งั้นผมกับอี้ฟานจะไปห้องแลปเอง”
“ได้ งั้นมาเจอกันตรงนี้อีกสิบนาทีข้างหน้า”
“สิบนาทีเหรอ?” เซฮุนทวนคำถามแล้วขมวดคิ้วมองเทา
“ใช่ ช้าไปเหรอ หรือจะห้านาที”
“สิบแล้วกัน” อี้ฟานพูดตัดบทแล้วควักมีดออกมาไขว้กับมือข้างที่ถือไฟฉาย ขาทั้งสองข้างก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ก่อนจะลอบฆ่าผีดิบจากข้างหลัง
ปลายมีดแหลมเสียบเข้าอย่างจังก่อนจะชักมีดกลับ ผีดิบในชุดครูสาวล้มลงไปกับพื้น ร่างสูงส่องไฟฉายขึ้นไปบนบันไดที่มีสภาพเละเทะไม่เหลือชิ้นดี ทั้งสี่คนค่อย ๆ ก้าวขึ้นไปอย่างระมัดระวังจนกระทั่งถึงชั้นสามได้อย่างปลอดภัย เซฮุนกับเทาแยกออกจากกลุ่มเพื่อไปเอายาในห้องพยาบาลในขณะที่อี้ฟานกับชานยอลกำลังขึ้นไปบนชั้นสี่เพื่อตรงไปยังห้องแลป
ทางเดินยาวที่เต็มไปด้วยเศษซากของความหายนะ โต๊ะ เก้าอี้ หนังสือ กระดาษรวมไปถึงขยะในถังเละเทะเรี่ยราดส่งกลิ่นเหม็น แน่นอนว่ากลิ่นที่พูดถึงนั่นไม่ใช่แค่ขยะที่อยู่เกลื่อนพื้นเสียทีเดียว หนึ่งในกลิ่นของความอัปยศนั่นคือกลิ่นจากซากศพที่เหลือเพียงแค่หัวและตับไตที่ปะปนกับเลือดบนพื้น เด็กหนุ่มทั้งสองยกมือขึ้นปิดจมูกพร้อมกับหาช่องว่างเดินไปตามทางยาวของชั้นเรียน
“ฮือออ...”
เสียงโอดครวญจากผีดิบที่คลานอยู่บนพื้นเรียกให้ร่างสูงเข้าไปเหยียบกะโหลกให้สมองเละออกมาทางเบ้าตา เซฮุนส่องไฟฉายไปที่หน้าอีกฝ่ายที่ยังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉย
“อะไร?”
“เปล่า ไม่คิดว่าจะโหดขนาดนี้”
“แล้วฉันเท่ไหมล่ะ?”
“นั่นคือคำถามที่ต้องการคำตอบหรือเปล่า?” เซฮุนถามทั้งที่ไม่มองหน้าอีกฝ่าย กลับกันแล้วร่างบางยังเดินนำไปข้างหน้าอีกต่างหาก เทาเสียเซลฟ์เล็กน้อยกับคำพูดของร่างบางแต่ในตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมาต่อปากต่อคำกันนี่?
“นายชื่ออะไรนะ”
“โอเซฮุน”
“อ้อ...ตอนแรกฉันคิดว่านายเป็นใบ้ซะอีก ไม่เห็นพูดอะไรสักคำ” ร่างสูงแค่นหัวเราะแล้วส่องไฟฉายไปยังป้ายเหนือศีรษะที่เขียนบอกว่า ‘ห้องพยาบาล’
“ก็เกือบเป็นแล้ว”
“ก็ดีที่ยังไม่เป็น” มือแกร่งปัดฝุ่นที่เกาะกรังอยู่บนกระจกประตูห้องออกลวก ๆ เพื่อส่องเข้าไปสำรวจความเรียบร้อยข้างในห้องแต่ก็ไม่พบความผิดปกติ หลุบสายตาลงแล้วหมุนลูกบิดพร้อมกับออกแรงดันหากแต่ประตูนั้นกลับเปิดไม่ออก
แกร่ก...
“แย่แล้วสิ ครูฮโยรินคงล็อคไว้ก่อนออกไปแน่เลย” ร่างสูงจิ๊ปาก ถึงว่าทำไมข้างในยังคงอยู่ในสภาพปกติดีอีกทั้งยังไม่มีพวกตัวประหลาดอยู่ข้างในนั้นอีก
“มีวิธีดี ๆ หรือเปล่า?”
“ถ้าทุบกระจกเข้าไปพวกมันได้แห่กันมาทั้งตึกแน่” เทาขมวดคิ้วพลางใช้ความคิด
“แล้วนายงัดประตูเป็นไหม?”
“หา?” เทาขมวดคิ้วแล้วหันไปมองเซฮุนที่ถามอะไรแปลก ๆ
“อย่างเช่น...ใช้ลวดเปิดประตูอะไรทำนองนั้นน่ะ”
ครั้งหนึ่งลู่หานเคย ‘เล่นมายากล’ ให้ดูตอนอยู่บ้านอี้ฟาน หมอนั่นสามารถเอาของรอบตัวมาใช้ประโยชน์ในทางไม่ดีได้หลายอย่างแม้กระทั่งใช้เปิดประตูห้องน้ำตอนที่คิมจงอินกำลังเปลือยเปล่าอยู่ในนั้น จำได้ว่าภาพตอนผู้ชายผิวสีแทนห่อผ้าเตี่ยววิ่งไล่กระทืบคนมันไม่ค่อยน่าดูสักเท่าไหร่
แล้วทำไมเขาต้องนึกถึงคนพรรค์นั้นในเวลาแบบนี้ด้วยนะ...
“ไม่เคยหรอก หน้าฉันเหมือนพวกมิจฉาชีพหรือไง?”
“อืม เหมือนมากเลยล่ะ”
“...ไอ้” อยากจะสบถด่าถ้าไม่ติดว่าไอ้หมอนี่มันน่ารัก เทาหายใจฮึดฮัดแล้วก้ม ๆ เงย ๆ หาทางเปิดประตู
เซฮุนหันไปทางด้านซ้ายแล้วเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องเรียนข้าง ๆ พอส่องไฟฉายเข้าไปก็พบสภาพห้องที่เละเทะไม่ต่างจากข้างนอก โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาดพร้อมกับผีดิบสองตัวที่อ้าปากออกกว้างทันทีที่เห็นเขาส่องไฟฉายเข้าไป
“เทา มาตรงนี้หน่อย”
“...” ร่างสูงมองไปยังผีดิบที่กำลังก้าวเข้ามาพวกเขาอย่างทุลักทุเล ตัวหนึ่งสะดุดขาเก้าอี้ล้มลงไปชนกับเหลี่ยมโต๊ะจนเกิดเสียงดัง พอเห็นอย่างนั้นทั้งคู่เลยนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรปล่อยให้พวกมันเป็นฝ่ายเข้ามาหาแบบนี้
ทั้งคู่แยกกันไปกำจัดคนละตัวก่อนจะถอยออกมาหยุดอยู่หน้าชั้นเรียน เทาหันไปมองคนข้าง ๆ ด้วยความสงสัยในขณะที่เซฮุนเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างเพื่อสำรวจอะไรบางอย่าง
“จะทำอะไร?”
“กลับไปรอหน้าห้องพยาบาล เดี๋ยวฉันจะปีนเข้าไปเอง” เทายักไหล่ เขาไม่คิดจะห้ามอะไรเพราะเซฮุนเสนอตัวเอง อีกอย่างตรงระเบียงติดหน้าต่างก็ไม่ได้แคบขนาดที่จะตกลงไปข้างล่างได้ง่าย ๆ แต่มันก็ไม่กว้างขนาดที่จะเดินตัวเบาได้อย่างปกติเพราะตรงนั้นมีไว้วางต้นไม้ประดับเท่านั้น
แค่ชั่วอึดใจเทาก็เห็นเซฮุนปีนเข้ามาทางหน้าต่างได้ ร่างบางเดินมาเปิดประตูแล้วทั้งคู่คงไม่ปล่อยให้เสียเวลามากไปกว่านี้ เซฮุนกับเทาตรงดิ่งไปที่ตู้ยาพร้อมกับเลื่อนกระจกออก คว้ากระปุกสีขาวมาพร้อมกันสองกระปุกแล้วใช้ไฟฉายส่องใกล้ ๆ
“เราต้องใช้อะไรบ้าง ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ ยาแก้ภูมิแพ้ แล้วก็อะไรอีก” เซฮุนถามพร้อมกับรูดซิบกระเป๋าเป้ออกแล้วยัดกระปุกยาใส่เข้าไปขณะที่เทาเดินไปหยิบเก้าอี้แล้วปีนขึ้นไปเอายาที่อยู่ข้างบนสุด
“เกลือแร่ ยาลดน้ำมูก ลดไข้ แก้ท้องเสียอะไรก็ยัด ๆ ใส่เข้าไปเถอะ เราไม่มีเวลาคิดแล้ว” เทาพูดทั้งที่ยังคงยุ่งอยู่กับแผงยาตรงหน้า
ร่างสูงเบิกตากว้างเมื่อเห็นผีดิบหลายตัวกำลังเดินผ่านหน้าห้องและดูเหมือนว่าจะมีตัวหนึ่งกำลังมองมาทางนี้ เทากระโดดลงจากเก้าอี้แล้วตรงดิ่งไปที่หน้าห้องพยาบาลด้วยความเร็วทั้งหมดที่เขามีก่อนจะแง้มปิดประตูห้องให้เบาเสียงที่สุด
เซฮุนส่องไฟฉายไปยังคนที่นั่งอยู่ติดกับประตูห้องก่อนที่ร่างสูงจะเอานิ้วชี้แตะริมฝีปากราวกับจะบอกให้ร่างบางเงียบเอาไว้ กลุ่มผีดิบยังคงเดินผ่านไปทั้งที่ไม่รู้ว่ามีเหยื่ออันโอชะอยู่ใกล้แค่นี้
แกร่ก...
เทาล็อคประตูแล้วเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกกับเหตุการณ์เมื่อครู่ เพราะความสะเพร่าของเขาแท้ ๆ ถ้าหันไปเห็นไม่ทันมีหวังพวกนั้นคงแห่เข้ามาเพราะเห็นแสงไฟแน่
“ฉันว่าพวกคารามาย ผ้าพันแผล พลาสเตอร์ก็จำเป็นนะ”
“เอาดิ อะไรที่ว่าดีก็ยัด ๆ ใส่กระเป๋าเลย”
“โอเค”
“แล้วเก็บหมดหรือยัง”
“อื้ม ฉันว่ามันน่าจะพอนะ หรือนายคิดว่าเราควรเอาอะไรกลับไปอีก?” เซฮุนถามพลางส่องไฟฉายไปยังตู้ยาอีกครั้ง
“คงไม่...”
ตึง!!!!
“!!”
ทั้งคู่สะดุ้งพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเพดานเมื่อต้นเสียงมาจากชั้นบนก่อนที่กลุ่มผีดิบจะเดินกลับมาทางเดิมแล้วผ่านห้องพยาบาลไป ทั้งคู่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแต่ก็ได้คำตอบเมื่อเดินออกไปข้างนอกแล้วเห็นอี้ฟานกับชานยอลวิ่งกระหืดกระหอบลงมาจากฝั่งทางด้านขวา
“พวกมันมีกันเยอะมาก เราต้องรีบไปจากที่นี่!” อี้ฟานกับชานยอลวิ่งมาหยุดอยู่หน้าห้องพยาบาล พวกเขาทั้งคู่หอบอย่างหนัก
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ พวกมันถึงได้แห่กันมาล่ะ?”
“ผมไม่รู้ แต่ตอนนี้เราลงไปข้างล่างไม่ได้แล้ว พวกมันอยู่กันเต็มไปหมด”
“เข้ามาในนี้ก่อน” เทาเปิดประตูห้องพบาบาลให้ทุกคนเข้าไปข้างในและไม่ลืมที่จะปิดประตู พวกเขาย่อตัวลงต่ำก่อนที่ชานยอลจะวางกล้องจุลทรรศน์ลงบนพื้นพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่ง
“เมื่อกี้เฉียดตายไปแล้ว” ชานยอลหลับตาลง ตอนนี้ทั้งสองคนยังคงโกยอากาศเข้าปอดหลังจากวิ่งหนีกลุ่มผีดิบมาจากชั้นบน
“หรือว่าพวกมันได้ยินเสียงโต๊ะล้มเมื่อกี้?” เทาหันไปถามเซฮุน ร่างบางถอนหายใจแล้วก็กำหมัดแน่น ถ้ามันเป็นอย่างนั้นก็เพราะเขาสินะ
ตึง...ตึง...ตึง!!!
“ฮือออ...”
เสียงผีดิบทุบประตูห้องพยาบาลจนกระจกเริ่มร้าว ทั้งสี่คนมองหน้ากันในภาวะกดดันแบบนี้ เซฮุนกัดฟันแน่นแล้วยื่นกระเป๋าเป้ให้อี้ฟาน
“...”
“คุณเอากลับไป”
“หมายความว่ายังไงที่บอกว่า ‘เอากลับไป’ ?” อี้ฟานถามเมื่อเห็นเซฮุนนั่งผูกรองเท้าใหม่ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“เฮ้!” เทามองอีกคนที่ไม่ยอมพูดอะไรเอาแต่ก้มหน้าผูกเชือกรองเท้าอยู่อย่างนั้น
“ผมจะล่อมันไว้แล้วพวกคุณใช้จังหวะนี้หนีลงไปข้างล่างซะ ไม่ต้องรอผม รีบกลับไปที่หอพักให้เร็วที่สุด”
“...”
“มันไม่ใช่วิธีที่เข้าท่าเลยนะเซฮุน” ชานยอลดูไม่สบอารมณ์กับการติดสินใจเอาเองของร่างบาง ชานยอลขมวดคิ้วแล้วลุกขึ้นยืนมองคนตรงหน้า “มันต้องมีทางที่ดีกว่านี้สิ ทิ้งกล้องไว้ที่นี่ เรายังมีปืนของอี้ฟานอีกกระบอกถ้าเราจำเป็นต้องใช้มัน”
“ไม่ได้ ผมจำเป็นต้องเอากล้องกลับไป” เทาแย้งขึ้นมา ทุกคนมองหน้าอีกฝ่ายที่ฉายแววนิ่งเฉย
“บอกเหตุผลมาสิว่าทำไมคุณถึงต้องใช้มันในสถานการณ์แบบนี้?” ชานยอลถามหากแต่เทากลับเลือกที่จะไม่ตอบ
“ถ้ายิงปืน พวกที่อยู่ข้างนอกโรงเรียนจะมาที่นี่กันหมด พอถึงตอนนั้นผมกลัวว่าคนอี่น ๆ จะแย่ไปด้วย”
ทุกคนนิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกจนกระทั่งเซฮุนเดินห่างออกไปหยุดตรงหน้าต่าง พวกเขาได้เพียงแค่มองเด็กหนุ่มด้วยความเจ็บใจ ทำไมถึงต้องให้ใครสักคนออกไปเสี่ยงแบบนี้แทนที่จะหาทางหนีออกไปด้วยกัน...?
“ทางนี้!!! เข้ามาสิ!!! เร็วเข้า!!! หิวกันมากไม่ใช่เหรอ?!!!”
ทั้งสามคนเบิกตากว้างเมื่อเห็นเหล่าผีดิบที่เคยทุบกระจกจนร้าวละความสนใจจากพวกเขาแล้วหันไปทางด้านขวามือ...พวกมันครวญครางพร้อมกับเอื้อมมือไปข้างหน้าเมื่อเห็นเหยื่ออยู่ในระยะสายตา อดีตครูและนักเรียนกำลังตรงมาที่เขา เซฮุนหยิบไม้กวาดที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมาฟาดโต๊ะจนเกิดเสียงดัง
ตึง ตึง ตึง!!!
“เวรเอ๊ย!” เทากัดฟันกรอด เพราะความกดดันทำให้เขาทนไม่ไหว ร่างสูงผลักประตูออกไปแล้วแทงเข้าที่หัวผีดิบที่กำลังเดินไปทางเซฮุนอย่างจัง พออี้ฟานเห็นอย่างนั้นเลยคว้ากระเป๋าเป้แล้ววิ่งตามออกมาพร้อมกับชานยอลที่ถือกล้องจุลทรรศน์ไว้ในมือทั้งสองข้าง
“รีบไป!!!”
เทาไม่ฟังคำสั่งของเซฮุนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขายังคงตะบี้ตะบันฆ่าผีดิบตรงหน้าจนกระทั่งพวกมันบางตัวเปลี่ยนความสนใจมาที่เขา เพราะมันมีกันหลายตัวเทาเลยไม่ทันระวังนัก ปากอ้ากว้างเตรียมจะกัดเข้าที่แขนเด็กหนุ่มชะงักไปแค่เสี้ยววินาทีเมื่ออี้ฟานถีบผีดิบตัวนั้นออกห่างได้อย่างเฉียดฉิว
“ฉันบอกให้ไปไง!!!”
“ไม่!! นายเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาตายเพื่อคนอื่นแบบนี้?!!!”
“ถ้าฉันตายคนเดียวกับเพื่อนนายตายอีกสิบคนนายจะเลือกอะไร?!!!”
“...”
“ถ้าฉันจะตายก็คงตายเพราะถูกกินไม่ใช่เพราะถูกกัด!”
“...”
ทั้งคู่สบตากันแค่ครู่เดียว...แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นที่เทาได้เห็นแววตาเด็ดเดี่ยวคู่นั้น...
ประโยคสองแง่สร้างความสงสัยจนต้องหยุดชะงักทุกอย่างไว้ อี้ฟานคว้าแขนเด็กหนุ่มตรงหน้าให้ออกมาด้วยกันอย่างจำใจแม้ว่าเขาจะอยากช่วยคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมากสักแค่ไหน...
แต่ในเมื่อเซฮุนเลือกแล้ว...เขาก็ต้องทำใจยอมรับมันอย่างปฏิเสธไม่ได้...
“อะ...หยุดทำไมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงแหบพร่า ปลายนิ้วเรียวกรีดไปตามโครงหน้าอีกฝ่ายอย่างยั่วยวน สองมือหนาวางอยู่ที่บั้นท้ายกลมก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมาวางกับเอวคอด
“เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ากำลังนอนกับแฟนคนอื่น” ร่างหนาพูดพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะมองใบหน้าสวยที่นั่งคร่อมตักเขาอยู่
เพราะถูกให้ท่าเลยตามมาง่าย ๆ ตามสัญชาติญาณความเป็นผู้ชาย แล้วห้องที่เธอพักอยู่ตอนนี้ก็เป็นอดีตห้องของหวงจื่อเทาเสียด้วย พอถามนิดหน่อยก็ได้ใจความมาว่าครั้งหนึ่งสองคนนี้เคยแอบกุ๊กกิ๊กกัน
“แฟนเฟินอะไรกัน ฮานาตัดขาดกับหมอนั่นไปตั้งนานแล้วเถอะ ไปได้ยินใครพูดอะไรมาอีกล่ะ? ยัยอึนจีใช่ไหม? เหอะ” เธอดูอารมณ์เสียเมื่อนึกถึงเรื่องของใครอีกคน จงอินขยับตัวเล็กน้อยนั่นทำให้หญิงสาวสะดุ้งจนต้องโอบรอบคอหนาเอาไว้ ดวงตาคู่สวยจ้องมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะโน้มตัวลงมาจุ๊บปากเบา ๆ
“ก็ได้ยินผ่าน ๆ หูมาน่ะ...ทำไมล่ะ ลีลาไอ้เด็กนั่นไม่เด็ดถึงใจเธอหรือไง?”
“โอ๊ย! เรื่องลีลาน่ะลืมไปได้เลย หมอนั่นใจแข็ง...เอ่อ...เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวหรอกค่ะ แต่ที่ฮานาไม่ยุ่ง ก็เพราะว่าจื่อเทาเขาติดเชื้อ~” ประโยคหลังพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เธอเอาหน้าอกบดเบียดเข้ามาราวกับจะยั่วอารมณ์ให้เขาเริ่มเกมต่ออีกครั้งหลังจากหยุดไปเสียดื้อ ๆ
แต่เรื่องที่คิมฮานาพูดเมื่อครู่ทำให้เขาลืมอารมณ์ความต้องการไปจนหมดสิ้น
“เมื่อกี้ว่าไงนะ?”
“เอ่อ...คือ...” คิมฮานาตะปบปากตัวเองทันทีเมื่อรู้ว่าพลาดพูดเรื่องไม่ควรออกไป หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นแล้วจ้องมองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ
“เธอกำลังจะบอกว่า...หวงจื่อเทาถูกกัดแล้วงั้นเหรอ?”
“จงอินคะ ฮานาว่าเรามา...”
“หยุดเลย ถ้าเธอไม่พูด ฉันก็จะไม่ทำอะไรทั้งนั้น” จงอินวางอีกคนลงบนเตียงแล้วลุกขึ้นยืน สวมกางเกงยีนส์ลวก ๆ แล้วหันกลับไปมองหญิงสาวที่สีหน้ายังเต็มไปด้วยความต้องการ
“มันไม่เห็นสำคัญอะไรเลยนี่นา~”
“ไม่สำคัญได้ยังไง? หมอนั่นถูกกัดตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ตั้งแต่วันแรกที่เกิดเรื่อง พอใจยังคะ?” คิมฮานาตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก เธอก้มลงไปเก็บยกทรงกับเสื้อตัวนอกขึ้นมาใส่แล้วกระทืบเท้าออกไปอย่างหัวเสีย ทิ้งไว้เพียงแค่ความสงสัยเท่านั้น...
หวงจื่อเทา...ก็เป็นเหมือนกับโอเซฮุนงั้นเหรอ?
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?” ร่างระหงหันไปมองผู้มาใหม่ที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าประตูห้อง หญิงสาวในชุดกาวน์ที่กำลังเช็ดตัวให้เก็บเด็กหนุ่มลุกขึ้นแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาแล้วยิ้มบาง ๆ
“เธอ?”
“บยอนแบคฮยอนครับ ตอนแรกผมว่าจะไปช่วยที่รั้วแต่ตรงนั้นคนเยอะแล้ว คุณกาฮีก็เลยบอกให้ผมมาช่วยที่นี่น่ะ” แบคฮยอนยิ้มแห้ง ๆ จริง ๆ แล้วจะขึ้นไปนอนบนห้องก็ได้ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาไม่อยากฟุ้งซ่านนั่งรอการกลับมาของใครอีกแล้ว
“งั้นเข้ามาก่อนสิจ๊ะ” ฮโยรินยิ้มแล้วเดินนำเข้าไป “ตอนนี้ฉันกำลังยุ่งมาก ถ้าเด็กผู้หญิงพวกนี้ขอความช่วยเหลืออะไรก็ช่วย ๆ ไปก่อนแล้วกันนะจ๊ะ”
แบคฮยอนพยักหน้า ข้างในมีนักเรียนนอนป่วยอยู่ราว ๆ หกเจ็ดคน ไม่มีเตียงคนไข้...มีเพียงแค่ที่นอนราว ๆ สามฟุตเท่านั้นที่กางอยู่บนพื้นให้คนไข้หลับนอน รอบข้างมีเด็กสาวอยู่สามคนที่คอยวิ่งหน้าวิ่งหลัง แบคฮยอนหันไปมองรอบ ๆ แล้วก็ทำตัวไม่ถูก
“นายน่ะ ช่วยถือถุงน้ำเกลือให้หน่อยสิ ย่าห์! ซนนาอึน ฉันบอกให้เธอไปเอาค้อน กับตะปูในห้องของฉันตั้งแต่สิบนาทีที่แล้วเมื่อไหร่จะได้ห๊า!” เด็กสาวตัวเล็กหน้าตาดุ ๆ คนหนึ่งตะโกนด่าข้ามหัวแม้ว่าจะมีคนป่วยนอนอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นครูห้องพยาบาลกลับไม่ต่อว่าเธอสักคำ
“ฉันก็ยุ่งอยู่ทางนี้เหมือนกันนี่นา”
“แล้วคิมฮานาหายหัวไปไหน?!”
“ฉันจะรู้ไหมเล่า โธ่...เลิกเสียงดังสักทีเถอะน่าอึนจี”
แบคฮยอนรับถุงน้ำเกลือมาถือไว้อย่างงง ๆ เด็กผู้หญิงคนนี้ชื่ออึนจีสินะ เขามองเด็กสาวตรงหน้าที่คล่องตัวยิ่งกว่าเขาที่เป็นผู้ชายแล้วก็นึกชื่นชมอยู่ในใจ
“ถือสูง ๆ กว่านี้ได้ไหม” เธอเงยหน้าขึ้นมาทำหน้าดุ แบคฮยอนสะดุ้งน้อย ๆ แล้วชูมือสูงขึ้น
“เธอ”
“อะไร?” เด็กสาวขานตอบทั้งที่ยังคงปฐมพยาบาลให้กับเด็กผู้ชายอีกคนอยู่
“ถุงน้ำเกลือนี่น่ะ...ทำเองเหรอ?”
“เปล่า ครูฮโยรินเป็นคนทำ เธอเอาของที่พวกผู้ชายหามาได้จากข้างนอกมาทำแก้ขัด ถุงน้ำเกลือแฮนเมดในสถานการณ์แบบนี้มันเจ๋งใช่ไหมล่ะ?” เธอเงยหน้าขึ้นมายักคิ้วให้เขา ใบหน้าซน ๆ ของเธอทำให้แบคฮยอนยิ้มออกมาได้
“เจ๋งมากเลยล่ะ พวกเธอก็ด้วย เหมือนพยาบาลเลย” เด็กสาวชะงักมือ เธอเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยแววตานิ่งเฉยก่อนจะอมยิ้มเขินเมื่อนึกขึ้นได้ว่าถูกชม
“แหม...เห็นแบบนี้แต่ฉันสอบได้เกือบที่โหล่ของห้องเลยนะ...เอ้อ! มาพอดีเลย มินซอก ๆ ช่วยไปเอาค้อนกับตะปูในห้องฉันหน่อยได้ไหม?” อึนจีตะโกนผ่านหน้าเขาไป แบคฮยอนหันกลับไปมองข้างหลังและคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือลู่หานกับเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่ง
“ห้องเธอเหรอ?”
“ใช่ ห้อง 104 นะ เร็ว ๆ เลย”
“มันจะดีเหรอ นั่นห้องส่วนตัวของเธอนะ”
“ดีที่สุดแล้ว เข้าไปเอาเถอะน่า ห้องฉันไม่มีอะไรนอกจากยกทรงที่วางอยู่บนเตียงกับขยะในห้อง รีบไปเอามาเร็ว ๆ นะ!” พอได้ยินแบบนั้นมินซอกก็ทำหน้าเหยเก แบคฮยอนเห็นลู่หานก้มหน้าไปคุยกับเด็กคนนั้นแถมยังมีบีบจมูกกันอีก ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ไม่ให้ไปเป็นเพื่อนแน่นะ?”
“ผมไม่ใช่เด็กอนุบาล” มินซอกมองค้อนแล้วเดินออกไปทิ้งไว้แค่ใครอีกคนที่ยืนยิ้มพอใจอยู่ตรงนั้น
ลู่หานละสายตาจากอีกคนแล้วหันไปมองแบคฮยอนที่กำลังจ้องเขาอยู่ แววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยนั้นทำให้เขารู้สึกดีอยู่ไม่น้อย
“อะไรเหรอ?” แกล้งถามลองเชิงไปอย่างนั้น อยากจะรู้เหมือนกันว่าแบคฮยอนจะพูดอะไรบ้างถ้าเห็นเขาสนิทกับคนอื่น คนตัวเล็กยังคงมองหน้าลู่หานแต่สุดท้ายก็หลุบสายตาลง
“ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
นั่นไง...
“สนิทเหรอ? ก็...ไม่ได้สนิทอะไรมากมาย แค่คุยกันถูกคอน่ะ เด็กคนนั้นก็น่ารักด้วย น่ารักกว่าคนแถวนี้ตั้งเยอะ” ลู่หานยืนล้วงกระเป๋ากางเกงพร้อมกับเหล่มองคนตัวเล็กกว่า แบคฮยอนยังคงถือถุงน้ำเกลือเหมือนในทีแรกแต่ที่ถามไปก็เพราะสงสัยเท่านั้น
“ที่หายไปตั้งนานนี่อยู่กับคนนั้นตลอดเลยเหรอ?” น้ำเสียงเรียบเฉยราวกับไม่สบอารมณ์แต่สร้างรอยยิ้มให้กับคนข้าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
“ก็ทำนองนั้น”
“อืม” ขานตอบในลำคอเบา ๆ เพราะไม่อยากถามอะไรต่อแล้ว น่าแปลก...ทั้งที่คุยเรื่องเดียวกันแต่กลับคิดต่างกัน
หนึ่งคนคิดว่าคนตัวเล็กกำลังหึงที่เห็นเขาไปสนิทกับคนอื่น...
แต่อีกหนึ่งคน...กำลังรู้สึกไม่ดีเพราะคนข้าง ๆ เอาเวลาไปนั่งตีสนิทกับอีกคนทั้งที่คนอื่นออกไปเสี่ยงตายกันข้างนอก
“อ่ะ ขอบใจมากเพื่อน!” อึนจียิ้มตาปิดทันทีที่เห็นมินซอกถือของเข้ามา เธอลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายแล้วคว้าตะปูกับค้อนขึ้นมาวัดระยะแล้วตอกตะปูลงกับผนัง เธอออกแรงแค่สี่ห้าครั้งตะปูก็ฝังลึกลงไปได้แล้ว เด็กสาวเอาถุงน้ำเกลือจากมือแบคฮยอนไปห้อยไว้กับตะปู เธอตบบ่าแบคฮยอนปุ ๆ พร้อมกับยิ้มให้ “ขอบใจมากนะ”
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเหมือนได้เพื่อนผู้หญิงเพิ่มมาอีกคน แบคฮยอนยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวก่อนจะพยักหน้าให้ อึนจีย้ายไปหาคนไข้รายอื่นและไม่ลืมที่จะกวักมือเรียกมินซอกให้เข้าไปช่วย
“ไม่มีอะไรแล้ว นายไปพักผ่อนเถอะ ขอบใจมากที่มาช่วย ชัลจา!” อึนจีโบกมือลาแล้วทำมือปัด ๆ ไล่แบคฮยอนให้ออกไปข้างนอก พอเห็นแบบนั้นคนตัวเล็กกับลู่หานเลยเดินออกมาด้วยกัน
ร่างโปร่งส่องไฟฉายไปข้างหน้าทั้งที่มีเทียนจุดอยู่เป็นบางจุด เสียงสายฝนจากข้างนอกยังมีมาให้ได้ยินไม่ขาด ไม่มีใครเปิดบทสนทนาอีกแม้ว่าลู่หานจะอยากชวนคนตัวเล็กคุยสักแค่ไหน แต่ทำไมมันถึงเป็นเรื่องยากขนาดนี้ล่ะ?
เพราะว่าเขามองแบคฮยอนด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไปแล้วใช่ไหม?
“นี่เตี้ย”
“อะไรคนเตี้ยที่สูงกว่า”
“ช็อคโกแลตกับสตอเบอรรี่ชอบอะไร”
“ชอบบลูเบอรี่”
“ขวางโลก ฉันถามแค่สองอย่างนะ หัดเลือกของที่มันมีอยู่บ้างดิ” ไม่พูดอย่างเดียว ลู่หานหันไปหยิกแก้มคนข้าง ๆ จนแบคฮยอนเอนตัวไปตามแรงของอีกฝ่าย คนตัวเล็กฟาดมือลู่หานแรง ๆ แล้วมองคาดโทษ
“ไม่เลือกอะไรทั้งนั้นแหละ”
“เมนส์มาเหรอถึงได้เดือดขนาดนี้ ต้องให้จูบขมับดับอารมณ์ขุ่นไหม?”
“ไม่ ไปไกล ๆ เลยนะคนเห็นแก่ตัว” แบคฮยอนผลักอกคนตรงหน้าแรง ๆ จนลู่หานเซถอยหลังไปก้าวนึง ร่างโปร่งเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัยแล้วก็แกล้งคนตัวเล็กด้วยการส่องไฟฉายใส่หน้า แบคฮยอนหมดความอดทน เข้าไปทุบตีลู่หานไม่ยั้งมือหากแต่คนถูกกระทำกับหัวเราะชอบใจ
“โอ๊ย ๆ แบคฮยอนอา~ อ๊า รู้สึกดีจัง”
“ลู่หาน!” คนตัวเล็กหน้าขึ้นสีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายครางเสียงอุบาทว์ ๆ ออกมา มือเล็กฟาดเข้าไปที่แขนเป็นครั้งสุดท้ายจนคนถูกทำร้ายสะดุ้งทั้งรอยยิ้ม
“จ๋าเบบี๋”
“ทำไมนายเป็นคนแบบนี้ห๊ะ?”
“ก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วไม่รู้เหรอ แต่มันแค่มากขึ้นเวลาอยู่กับนายก็เท่านั้น” ลู่หานหัวเราะ เขารู้สึกดีจังที่เห็นแบคฮยอนเป็นแบบนี้
ใช่...ลู่หานชอบให้แบคฮยอนโมโหเขาแค่คนเดียว
ปัง!!!
“ฮึ่ย! ไอ้คนเฮงซวยเอ๊ย!”
เสียงสบถด่ามาพร้อมกับร่างหญิงสาวในสภาพเสื้อผ้าหลุดรุ่ยเล็กน้อย ลู่หานส่องตามหลังผู้หญิงคนนั้นที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องก่อนที่ใครอีกคนจะเดินตามออกมาทีหลัง
“จงอินเหรอ?” แบคฮยอนส่องไฟฉายไปแล้วก็เห็นร่างหนากำลังสวมเสื้อยืดอยู่
“นั่นใครน่ะ?” ลู่หานสาดไฟฉายใส่หน้าจนเขาต้องยกมือขึ้นบังระดับสายตา
“เปล่า พ่อมึงเอง”
“กวนตีนละสัด ไม่หลับไม่นอนกันหรือไง?” จงอินเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าทั้งสองแล้วก็เห็นแบคฮยอนจ้องเขาตาเขม็ง
“จงอินนอนกับผู้หญิงคนนั้นมาเหรอ”
“ใช่ ไม่เสร็จด้วย แล้วคนอื่น ๆ หายไปไหน นอนกันหมดแล้วเหรอ?” จงอินหันไปมองรอบข้างแล้วก็เกาหัว
“...”
“ฮัลโหล” ร่างหนาก้มหน้าลงแล้วก็ยังเห็นคนตัวเล็กจ้องเขาด้วยสายตาแปลก ๆ อยู่ แบคฮยอนถอยหลังออกมาก้าวนึงแล้วมองจงอินกับลู่หานสลับกัน
“นายสองคนนี่...”
“สงสัยจะงอน” ลู่หานหัวเราะ
“งอนอะไรมา ใครแย่งของเล่นเด็กน้อยของพวกเราหื้ม?” จงอินเข้าไปหยุดตรงหน้าคนตัวเล็กแล้วยีหัวเบา ๆ แต่แบคฮยอนกลับปัดมือทิ้ง
“ถึงฉันจะไม่มีประโยชน์ เป็นได้แค่ภาระ แต่ในเวลาที่คนอื่นเดือดร้อน ฉันก็ไม่เคยไปนั่งจ๊ะจ๋ากับคนอื่นเหมือนนายสองคน”
“...”
“ห๊ะ? ใครเป็นภาระใคร แล้วใครกำลังเดือดร้อน?” จงอินขมวดคิ้ว แบคฮยอนเบือนหน้าหลบไปอีกทางแล้วหายใจเข้าลึก ๆ
“ที่ห้องพยาบาลมีคนป่วยเกือบสิบคน พวกเขาไม่มียารักษา...อี้ฟาน ชานยอล เซฮุน และก็เทาอาสาข้ามรั้วที่มีแต่พวกกินคนไปหายารักษาที่ห้องพยาบาลในโรงเรียน”
“...นรกแล้วมึง”
“เดี๋ยวนะ...ในรั้วนั่นน่ะเหรอ?” จงอินชี้ไปข้างหลัง คนตัวเล็กหันกลับมามองด้วยแววตาเย็นชาราวกับโกรธทั้งคู่มาก
“ใช่ เพราะพวกเขาไม่อยากรบกวนเวลาของนายไง ตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะ...ว่าทำไมเซฮุนถึงพูดแบบนั้น”
‘ก็คงจริง ในเวลาแบบนี้เขาคงอยากใช้เวลาส่วนตัวมากกว่าไปวิ่งฟันคอตัวกินคนที่ไหน’
“พวกเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ชั่วโมงที่แล้ว”
ตึก ตึก ตึก!!
เสียงฝีเท้าวิ่งออกมาข้างนอกตึกพร้อมกับน้ำขังที่กระเด็นจนเลอะขากางเกงยีนส์สีเข้ม หญิงสาวและนักเรียนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาฆ่าผีดิบอยู่ตรงรั้วหันกลับไปมองชายหนุ่มทั้งสามที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้
“กูว่าปีนเลยดีกว่า! แม่งเอ๊ย! เรื่องแบบนี้ลืมกูไปได้ไงวะ?!” ลู่หานเกาะรั้วไว้ทำท่าจะปีนขึ้นไปแต่ก็ถูกจงอินรั้งเอาไว้เสียก่อน
“ไม่ได้ มึงต้องอยู่ที่นี่...เพราะถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะได้มีคนที่พึ่งพาได้” ทั้งคู่สบตากันอยู่อย่างนั้นก่อนที่ลู่หานจะกระชากเสื้อออกจากมืออีกคนอย่างหัวเสีย
“พวกคุณ?”
“ผมจะไปที่ตึกนั่นได้ยังไง?” ไม่ถามต้นเหตุอะไรทั้งสิ้น แค่คิดว่าเพื่อนร่วมทางกำลังตกอยู่ในอันตรายคิมจงอินก็พร้อมที่จะบากหน้าเข้าไปสู้กับตัวกินคนฝั่งนั้น กาฮีดูตระหนกเล็กน้อยเธอมองหน้าเด็กหนุ่มทั้งสามก่อนจะหันไปมองฝั่งตรงข้าม
“ถ้าคุณจะไปหาพวกเขา คุณต้องปีนข้ามไปฝั่งนั้นแล้วผ่านหอพักหญิงกับโรงอาหาร แล้วคุณจะเห็นตึกสีครีมน้ำตาล พวกเขาอยู่ที่ตึกนั้น”
“หอหญิง...โรงอาหาร...ตึกสีครีมน้ำตาล...โอเค ขอบคุณนะ” จงอินปีนรั้วข้ามไปอย่างง่ายดาย กาฮีเอื้อมมือไปข้างหน้าหวังจะพูดประโยคถัดไปหากแต่ผู้ชายบ้าระห่ำคนนั้นกลับไม่ยอมหยุดฟังเธอเสียก่อน
“ให้ตายเถอะ เขารู้หรือไงว่าห้องพยาบาลอยู่ที่ชั้นไหน?” กาฮีพึมพำ ในขณะที่ลู่หานได้แต่ยืนถอนหายใจเพราะทำอะไรไม่ได้
“ทางนั้นน่ะ ซ้ายมือ!!” เทาชี้ไปข้างหน้าขณะที่เขาทั้งสามกำลังวิ่งหนีฝูงผีดิบที่ไล่ตามมาติด ๆ บางตัวเคลื่อนไหวเร็วจนแทบเรียกได้ว่าวิ่ง บางตัวก็เดินช้าจนคิดว่าคงไล่ตามมาไม่ทัน แต่สุดท้ายพวกที่วิ่งเร็วก็ไล่กวดเขามากันติด ๆ
“รีบปีนขึ้นไป!” ชานยอลตะโกนบอกเทาที่วิ่งไล่หลังมา อี้ฟานกับเขาช่วยดันเทาให้ข้ามประตูรั้วข้างหอหญิงที่อดีตเคยใช้เป็นทางลัดจนเด็กหนุ่มร่วงลงพื้นเพราะไม่ได้ตั้งหลัก
เทานิ่วหน้าเจ็บ ไม่มีเวลาให้เขาได้โอดครวญนัก ร่างสูงยันตัวลลูกขึ้นพร้อมกับเหวี่ยงกระเป๋าเป้ไปข้างหลังแล้วเอื้อมมือไปรับกล้องจุลทรรศน์มาจากชานยอลที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ชายหนุ่มทั้งสองลนลานไม่แพ้กันสุดท้ายอี้ฟานก็ตัดสินใจช่วยชานยอลให้ข้ามขึ้นไปก่อนแล้วหันกลับไปสู้พวกกินคนที่เข้ามาประชิดตัว ชานยอลกับเทาก็อยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ไม่ต่างกันเพราะทางเดินแคบตรงหน้าเต็มไปด้วยผีดิบกลุ่มหนึ่ง
ทั้งคู่วางของลงกับพื้น ชานยอลล้มถังขยะที่อยู่ข้างตัวเพื่อถ่วงเวลาให้พวกมันเดินช้าลง และมันก็ได้ผล ผีดิบตัวหน้าล้มลงไปกับพื้นเพราะพยายามเดินฝ่าถังขยะแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังตะเกียกตะกายคลานมาหาพวกเขา
“คุณซ้าย ผมขวา โอเคนะ?”
“ได้” เทารับคำแล้วทั้งคู่ก็เข้าไปสู้กับผีดิบที่อยู่ตรงหน้า แต่มีดก็คือมีด มันไม่มีทางกำจัดผีดิบได้โดยวิธีอื่นนอกจากปักมันลงที่กลางหัว และมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะเข้าไปปลิดชีวิตมันด้วยวิธีดังกล่าว
อี้ฟานปีนรั้วเข้ามาได้อย่างทุลักทุเล ผีดิบกลุ่มใหญ่แห่มาหยุดอยู่หน้าประตูทางลัดพร้อมกับเขย่ากรงประตูเมื่อเห็นเหยื่ออยู่ฝั่งตรงข้าม ร่างสูงหอบหายใจหนัก พอลืมตาขึ้นก็เห็นเทากับชานยอลเข้ามาหิ้วปีกเขาให้ลุกขึ้นยืน
“คุณโอเคไหม?”
“ผมโอเค” ร่างสูงเสยผมขึ้นลวก ๆ ก่อนจะก้มลงเก็บของแล้วรีบวิ่งไปตามทางเดินยาว
“เดี๋ยว!” อี้ฟานยกมือห้ามอีกสองคนให้หยุดยืนกับที่เมื่อเห็นผีดิบยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามทางออกประตูที่เชื่อมกับลานอเนกประสงค์
“ล่อมันเข้ามาใกล้ ๆ ประตูดีไหม?”
“มันอยู่ห่างเกินไป แต่ถ้าข้ามไปฝั่งนั้นมันคงเข้าถึงตัวก่อนที่เราจะตั้งหลักได้แน่”
“แล้วจะ...”
ฉึ่ก!!!
“...”
ทั้งสามคนยืนนิ่งเมื่อเห็นผีดิบตัวนั้นถูกแทงด้วยมีด วินาทีถัดมาก็เห็นร่างใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นทันทีที่ส่องไฟฉายเข้าไป
“จงอิน?”
“ยินดีที่ได้เจออีกครั้ง”
เอ่ยทักทายเพียงแค่นั้นทั้งสามคนก็ปีนรั้วออกมา จงอินมองกลับเข้าไปตรงทางเดินแคบเพื่อมองหาใครอีกคนก่อนจะหันไปมองอี้ฟานที่วางมือลงบนไหล่เขา
“เซฮุนเขา...”
“เดี๋ยว” จงอินยกมือขึ้นระดับหัวไหล่ เขากำลังประมวลผลกับสิ่งที่สมองกำลังคิดและมันก็ไปในทางที่แย่เสียด้วยสิ “คุณคงไม่ได้กำลังจะบอกผมว่าเด็กนั่น...?”
“เขาล่อพวกมันเอาไว้แล้วช่วยให้พวกเราออกมา ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เซฮุนเป็นยังไงบ้าง...”
“บ้าเอ๊ย...” จงอินกัดฟันกรอด ทั้งโมโหความอวดดีของเซฮุน ทั้งหงุดหงิด ทุกอย่างสุมอยู่ในอกเขา ทุกอย่างเพราะเด็กนั่นคนเดียว
“พวกมันมีเยอะมาก เราพยายามแล้ว แต่หมอนั่นไม่ยอมฟังเลย” เทาพยายามอธิบายให้ฟังหากแต่ร่างหนากลับไม่รู้สึกดีกับประโยคนั้น
“ฉันจะไปตามหาหมอนั่น”
“ผมไปด้วย”
“...” จงอินหันไปมองอี้ฟานที่ยื่นกระเป๋าเป้ให้กับชานยอลก่อนจะเดินมาหาเขา
“ผมพอจะจำทางหนีทีไล่ได้ ส่วนคุณกับชานยอลรีบกลับไปที่หอพักเถอะ ผมคิดว่าคุณฮโยรินคงกำลังรอยาพวกนี้อยู่” อี้ฟานบอกเพื่อนร่วมทางทั้งสอง ชานยอลกับเทาพยักหน้าแล้วหันหลังกลับ
“หวงจื่อเทา”
ร่างสูงหยุดชะงัก เขาเอี้ยวตัวหันกลับมามองใบหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่าย
“ถ้ากลับไปได้เห็นทีว่าเราคงมีเรื่องที่ต้องคุยกันหน่อยแล้ว”
“...” เทาเห็นดวงตาคู่นั้นที่มองมาราวกับรู้อะไรบางอย่าง เด็กหนุ่มยืนนิ่งก่อนจะพยักหน้ารับส่ง ๆ แล้วหันหลังเดินกลับไปที่หอพัก
“คุณจะคุยอะไรกับเขางั้นเหรอ?” อี้ฟานถามขณะที่พวกเขากำลังปีนรั้วข้ามไปอีกฝั่ง จงอินแค่นหัวเราะแล้วส่องไฟฉายไปข้างหน้า
“เรื่องที่หมอนั่นโชคดียิ่งกว่าถูกหวยน่ะ”
“ฮืออออ....”
เสียงร้องโหยหวนยังคงลอดเข้ามาให้ได้ยินแม้ว่าตอนนี้เด็กหนุ่มจะนั่งหลบอยู่ข้างหลังโต๊ะอาจารย์ในห้องเรียน ไม่รู้ว่าพวกผีดิบได้กลิ่นหรือเซนส์ดีกันแน่ถึงได้ตามเข้ามาอย่างกับรู้แบบนี้ หรือว่าพวกกินคนมีอยู่เต็มไปหมดจนไม่ว่าจะไปทางไหนก็เจอพวกมันอยู่ดี
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอแล้วโผล่หน้าออกไปสังเกตการณ์ภายในห้องเรียนแล้วก็พบว่าพวกมันหลายตัวกำลังเดินเข้ามาในนี้...
“โธ่เว๊ย...”
เซฮุนถอนหายใจแล้วรวบรวมความกล้า ตอนนี้เขาเจอทางตันเข้าซะแล้วเมื่อทั้งประตูหน้าแหละประตูทางออกตรงหลังห้องเต็มไปด้วยพวกมัน ถ้าออกไปเขาคงกลายเป็นอาหารค่ำชั้นเลิศแน่ ๆ
“ในเมื่อท่านให้ลูกรอดมาถึงตอนนี้แล้ว...ก็ให้รอดไปได้อีกสักครั้งจะเป็นไรครับ” พึมพำถึงพระเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัดฟันวิ่งไปตรงหน้าต่าง ผีดิบเด็กสาวหันไปมองตามร่างนั้นก่อนจะสงเสียงงึมงำในลำคอจนกระทั่งเหยื่อปีนออกไปจากหน้าต่างได้
ริมฝีปากสั่นระริก กระแสฝนยังตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้เป็นเพราะความหนาวเหน็บของสภาพอากาศในตอนนี้หรือเป็นเพราะความกลัวทีเกิดขึ้นในหัวกันแน่เขาถึงได้สั่นไปหมด
โอเซฮุนตัวคนเดียว...
เขาอยู่คนเดียวท่ามกลางพวกมันเป็นร้อย ๆ ตัวในโรงเรียนประจำแห่งนี้...
ก้มลงมองฝีเท้าตัวเองก็พบกับพื้นซีเมนต์ที่เหยียบอยู่ มันกว้างขนาดหนึ่งช่วงศอกไม่แคบและไม่กว้างจนเกินไป แต่ถ้าพลาดนิดเดียวเขาก็ตกลงไปคอหักตายได้เหมือนกัน
“ฮือ...”
หันไปมองทางที่เพิ่งหนีออกมาแล้วก็พบกับผีดิบทีเกาะอยู่ตรงหน้าต่าง มันโผล่ตัวออกมาเกือบครึ่งพร้อมกับยื่นแขนคว้าอากาศเมื่อเห็นเขาก่อนตัวที่สองจะยื่นแขนออกมาในช่องหน้าต่างเดียวกัน ผีดิบตัวแรกฝืนตัวออกมาเกินครึ่งตัวจนมันร่วงลงมาจากหน้าต่าง หัวกระแทกกับพื้นซีเมนต์ที่เขาเหยียบอยู่ก่อนจะตกลงไปข้างล่างในวินาทีถัดมา
“...”
หากพวกผีดิบมีสมองสักนิดมันคงเป็นเรื่องง่ายกับเกมวิ่งไล่จับแบบนี้ เซฮุนแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างเคยตัวแล้วค่อย ๆ เดินเลียบไปตามทาง
“อย่ามองลงไป...มองข้างหน้าเอาไว้...นั่นแหละ...” ปลอบใจตัวเองแล้วหายใจเข้าปอดลึก ๆ ฝ่ามือเรียวทาบอยู่กับผนังตึก ลูบไปตามซีเมนส์สากทั้งที่มือสั่นเครือ
ไม่รู้ว่าจะหนีไปทางไหน ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเจออะไร แต่ที่ทำได้ก็ทำไปหมดแล้ว...
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซ!!!”
“!!!” นัยน์ตาเรียวเบิกโพลงเมื่อจู่ ๆ ก็มีวงแขนโผล่ออกมาจากหน้าต่างแล้วคว้ารอบคอเขาเอาไว้
“อึ่ก!”
ร่างบางพยายามยื้อตัวออกมาแต่พอร่างของเขาเซไปข้างหน้าก็รู้สึกวูบเพราะความสูงจนต้องเอนถอยหลังกลับ มือเรียวพยายามแกะวงแขนนี้ออกหากแต่ไม่เป็นผล พอหันกลับไปก็พบกับใบหน้าสุดสยดสยองของผีดิบร่างสูงใหญ่ตัวหนึ่ง ริมฝีปากของมันหายไปเหลือเพียงแค่ฟันบนเรียงเป็นแถวให้เห็นหากแต่ฟันล่างนั้นหายไป
ถ้าขยับตัวมากกว่านี้ก็กลัวว่าจะตกลงไปข้างล่าง แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็คงกลายเป็นอาหารให้ไอ้ตัวประหลาดนี่ ร่างบางพยายามเอื้อมมือไปข้างหลังหวังจะคว้าท้ายทอยอีกฝ่ายแล้วตั้งหลักเหวี่ยงมันลงไปข้างล่าง
แต่แรงของเขามีไม่มากพอ ยื้อยึดกันอยู่อย่างนั้นจนสุดท้ายร่างบางก็นิ่วหน้าเจ็บเมื่อถูกกัดเข้าที่ข้อมืออย่างแรง...
“อ...อ๊ากกกกก!!!”
ความคมของเล็บที่เคยจิกลงผิวหนังว่าเจ็บแล้วคงต้องเจอความคมของฟัน เขารู้สึกได้ถึงแรงที่ฝังลงมาราวกับจะกัดให้เนื้อเขาหลุดเป็นชิ้น ๆ ความเจ็บปวดครั้งนี้มันไม่ต่างอะไรจากคราวที่แล้วนักแต่โอเซฮุนกลับไม่เคยรู้สึกคุ้นชินกับมัน
วินาทีต่อไปข้างหน้านี้จะเป็นยังไง?
แขนของเขาจะถูกเลาะเนื้อออกเป็นชิ้น ๆ และถูกเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยใช่หรือเปล่า?
หลังจากนั้นล่ะ...ถ้าเขาทนความเจ็บปวดไม่ไหว...
ก็ต้องตายไปอย่างช้า ๆ ใช่ไหม?
ไม่...ถ้าเขาจะตายก็ขอยอมเจ็บแค่ครั้งเดียวดีกว่าจะต้องทรมานให้พวกมันแทะเล็มร่างกายของเขาทีละสวน ถึงพวกมันจะตะกละ แต่ความเจ็บปวดราวกับตายทั้งเป็นแบบนี้เขาไม่เอาด้วยหรอก...
ถ้าจะเป็นแบบนั้น...
นัยน์ตาเรียวหลุบลงมองไปในความมืดเบื้องล่าง เขาไม่รู้หรอกว่าตรงนั้นจะมีพวกเปรตนี่กี่ตัว แต่ที่รู้ ๆ คือเขาจะทนเจ็บแค่เพียงเสี้ยววินาทีตอนที่ร่วงตกถึงพื้นและหลังจากนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันเถอะ
บางที...โอเซฮุนอาจจะเดินมาไกลได้เพียงแค่นี้...
ฉึ่ก!!!!!
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
เสียงหวีดร้องอยู่ใกล้หูหายไปพร้อมกับวงแขนที่คลายออกจากรอบคอของเขา ร่างบางปล่อยให้ร่างกายทิ้งไปตามแรงโน้มถ่วง เพียงแค่ช่วงวินาทีสั้น ๆ ภาพช่วงเวลาดี ๆ ที่เคยมีหลังเกิดเหตุการณ์ร้าย ๆ ก็ลอยเข้ามาในหัว
รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ สีหน้าตื่นกลัว ความเจ็บปวดจากการสูญเสียและทุกคนที่อยู่กับเขาจนวินาทีสุดท้าย...
‘ไปหิ้วเด็กนี่มาจากไหน?’
‘ในเมืองน่ะ’
‘แล้วช่วยมาทำไม เห็น ๆ อยู่ว่าเขาถูกกัดแล้ว’
ฮะ ๆ ขนาดในเวลาแบบนี้ภาพของผู้ชายคนนั้นก็ยังตามมาหลอกหลอนจนวินาทีสุดท้ายสินะ เซฮุนคลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหลับตาลงเพื่อปล่อยให้ร่างของเขาร่วงลงไปในความมืดเบื้องล่าง...ถึงมันจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เขาก็รู้สึกดีที่ได้อยู่กับทุกคน...
‘ถึงจะเพิ่งได้เจอกัน แต่ก็ยินดีที่ได้รู้จักนะ...โอเซฮุน’
หมั่บ...
เปลือกตาบางค่อย ๆ ลืมขึ้นเมื่อร่างของเขาถูกรวบตัวเอาไว้ก่อนที่เขาจะร่วงลงไปข้างล่าง รู้สึกกระตุกวูบเพราะแรงกระชากให้ถอยกลับเข้าไป ร่างบางรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากวงแขนนี้อย่างน่าประหลาด นัยน์ตาเรียวหลุบลงมองท่อนแขนที่คาดผ่านริมฝีปากเขา ในทีแรกมันช่างเย็นยะเยือกเพราะน้ำฝนที่เกาะอยู่ตามพื้นผิว แต่เพียงแค่ครู่เดียว...ก็แปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่น
น้ำตาหยดลงบนท่อนแขนแกร่งโดยที่ไม่ได้บีบออกมาเมื่อเจ้าของวงแขนออกแรงกอดมากยิ่งขึ้นราวกับกลัวว่าเขาจะตกลงไปข้างล่าง
นี่เขาตายแล้วหรือไง...
ทำไมถึงได้กลิ่นของผู้ชายป่าเถื่อนคนนั้นในเวลาแบบนี้?
“อย่าแม้แต่จะคิด...” เสียงแหบพร่าที่พูดอยู่ใกล้หูทั้งที่ยังหอบหายใจหนัก เจ้าของวงแขนแกร่งค่อย ๆ เลื่อนมือขึ้นมาวางไว้บนหัวเขาแล้วดันให้เอนมาซบกับหัวของคนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง ตอนนี้ใบหน้าของเขาทั้งคู่ห่างกันแค่นิดเดียวเท่านั้น
“...”
ได้ยินเสียงผีดิบโหยหวนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแต่เสียงนั่นน่าจะเป็นเสียงสุดท้ายก่อนตายซ้ำสองเสียมากกว่า ข้างหลังกำลังเกิดการต่อสู้ แต่เขาไม่รู้หรอก...ไม่รู้เลยว่าใครอยู่ตรงนั้นแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่เจ้าของอ้อมกอดเพียงคนเดียวที่อยู่ตรงนี้ โอเซฮุนไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าจะมีใครมาช่วยเขานอกจาก...
‘ถูกกัดยังไม่ตาย จะมาตายเพราะไฟคลอกแค่นี้น่ะเหรอ ฉันบอกให้ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ไง!’
‘ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้ นี่คือคำสั่ง!’
“จงอิน...”
“...ฉันอยู่นี่”
“...”
น้ำเสียงที่เคยคิดว่าหยาบคายที่สุดกำลังทำให้น้ำตาอีกคนไหลออกมาอย่างไร้สาเหตุ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร รู้แค่ว่ามันอุ่นใจที่ได้ยินเสียงของคน ๆ นี้ ร่างบางถูกประคองเข้ามาผ่านหน้าต่างก่อนที่ร่างหนาจะวางเขาไว้ตรงกลางหว่างขา
มือหยาบกร้านของคนปากดีเลื่อนขึ้นมาไล้น้ำตาออกจากดวงหน้าหวานอย่างเบามือจนคนถูกกระทำประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ไม่มีคำพูดถากถาง ไม่มีคำพูดแย่ ๆ หลุดออกมาจากปากผู้ชายคนนี้ มีแต่สัมผัสอ่อนโยนเหมือนกับเหตุการณ์ไฟไหม้วันนั้น
ริมฝีปากบางสั่นเครือ ปรือตามองใบหน้าย้อนแสงของใครอีกคน ถึงจะมองไม่เห็นว่าตอนนี้คิมจงอินกำลังทำสีหน้ายังไงอยู่ แต่ก็ไม่เป็นไร...
เพราะที่เป็นอยู่ตอนนี้...มันก็เพียงพอแล้ว...
TBC
ใครบอกว่ามลินเป็นแอนตี้แฟนน้องฮุนคะ มลินเปล่า…
เอาดิ เซฮุนไม่ใช่ตัวประหลาดคนเดียวละ ตอนนี้มีเทาอีกคนนะคะ หลายคนบอกถ้าให้จงอินกับพี่ลู่มาแต่แรกก็จบแล้ว รายนั้นเขาโหดMAX แต่เราอยากอวดความเทอะทะ เงอะงะของตัวละครประกอบตัวอื่น ๆ บ้าง ตัวเอกทั้งสองแย่งซีนมาทั้งเรื่องแล้วไง ให้เขาผ่อนคลายบ้างอะไรบ้าง *ผ่อนคลายกับชะนีเหรอยะ* (โดนตบ)
ตอนหน้าจะเป็นยังไง หลายคนคงคิดว่าเอ๊...น้องฮุนตายแล้วเหรอ? คือถ้ามลินเขียนให้น้องฮุนตายตอนนี้คงโดนเผาบ้านแน่นอนค่ะ เพราะฉะนั้นยังไม่เสี่ยง 555555555555
เออ น้ำเน่าไปนะตอนท้ายเรื่อง *เปิดเพลง crazy of you ของ hyorin*
ไปดู opv กันมายัง น้องโอ้ทำให้ คือดีงาม คือเลอค่าเวอร์ว่าวู่วี่ ตามไปดูเดี๋ยวนี้เลยนะคะ ปฏิบัติ! ลิงค์จ้าที่รัก --------- >>>> http://www.youtube.com/watch?v=-J37cU2ELHA
ชอบก็โหวต สะใจก็คอมเมนท์ตามใจชอบได้เลยจ้า จะบ่นจะอะไรก็ตามจาย
#ficzombie
แท๊กนี้ที่ทวิตเตอร์นะคะที่รัก
ความคิดเห็น