คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #107 : Chapter 102 :: Survival
Chapter 102
Survival
“ห่าเอ๊ย ใจคอจะกระจายกันอยู่ทุกตารางนิ้วแผ่นดินเกาหลีเลยไงวะ กลับไปเดินวนในบ้านช่องบ้างก็ได้ไอ้ฉิบหาย”
เสียงบ่นของลู่หานคือสิ่งเดียวที่จงอินกับเซฮุนได้ยินมาตลอดทั้งทาง ซึ่งเด็กหนุ่มเข้าใจความรู้สึกคนที่ต้องขับรถวนไปวนมาเกือบทั้งวันเพื่อหาช่องทางที่ปลอดภัยสำหรับชีวิตทุกคน แต่ยิ่งขับไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเจออุปสรรคเมื่อพบแต่ซากศพมีชีวิตอยู่เต็มถนนจนไม่สามารถขับฝ่าไปได้
“ตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้วกูเห็นมึงเงียบอยู่ครั้งเดียวคือตอนพ่นควันบุหรี่ ไอ้ห่า โคตรมลพิษทางหู”
“ใช่สิ คนไม่รักทำอะไรก็ผิดไปหมดอยู่แล้ว” ลู่หานจีบปากจีบคอว่า พลางหันไปมองตัดพ้อเพื่อนสนิทซึ่งดูเหมือนจะไม่อินกับมุกที่เขาตบไปเลยสักนิด
“เอาเหรียญไปอมเล่นไหม กูบังเอิญได้มาห้าร้อยวอน” จงอินชำเลืองมองก่อนจะดีดเหรียญไปทางฝั่งคนขับ ซึ่งลู่หานก็ใช้มือขวากำไว้ได้อย่างแม่นยำ
“ไงเซฮุน พี่หล่อไหม” หนุ่มเชื้อสายจีนหันไปถามเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลัง ซึ่งเจ้าของชื่อก็ยิ้มแล้วพยักหน้า
“เท่มากเลยครับลู่หาน”
“ได้ยินปะ เต็มสองหูเลยลู่หานเท่มากครับ” คนบ้ายอระเบิดหัวเราะออกมาก่อนจะหันไปถลึงตามองคนข้างตัวที่ตบหัวเขาอย่างแรง
“คราวนี้ได้ยินอย่างชัด”
“ควายเอ๊ย วิ๊งทั้งบ้องหูเลย” ลู่หานพรูลมหายใจพลางเขย่าหัวไล่ความมึนงง โชคดีที่เขาเป็นคนเก่งไปหมดทุกอย่าง ไม่งั้นเมื่อกี้อาจมีเสียหลักดริ๊ฟท์ลงข้างทางเพราะโดนโบกหัว
หนุ่มหน้าตี๋ขมวดคิ้วพลางมองกระจกหลังเมื่อเห็นรถบ้านที่ขับตามตูดมาติด ๆ ชะลอความเร็วลงพร้อมเปิดสัญญาณไฟขอทาง เขาจึงเหยียบเบรกแล้วหันไปมองหน้าคนข้าง ๆ ซึ่งไอ้โง่ที่ทำสมองหายไปก็ไม่มีแววว่าจะให้การคาดเดาที่ดีได้เลย
“ถ้าขับไปแบบไม่มีจุดหมายอย่างนี้คงน้ำมันหมดกลางทางแน่” สิ้นเสียงของยูริ กาฮีและเทาก็ช่วยประคองอี้ฟานลงมาจากรถบ้านคันที่สอง
“ใช่ ฉันถึงได้ถามไงว่าจะเอายังไง เพราะทางนี้ไปต่อไม่ได้แล้ว นอกจากจะขับกลับวนไปทางเดิมซึ่งก็ต้องหาจุดพักดูดเอาน้ำมันจากรถคันอื่น ๆ ก่อน” ลู่หานถอนหายใจ พลางคาบมวนบุหรี่ไว้ในปากแล้วจุดสูบคลายความหนาว เขาไม่อยากโทษว่าเป็นเพราะการคาดเดาของควอนยูริถึงได้วิ่งมาเจอทางตันแบบนี้ เพราะถ้าลู่หานอ้าปากพูด คงได้ฉะกับผู้หญิงจนโดนตราหน้าว่าเป็นไอ้หน้าตัวเมียแหง
“ถ้ากลับไปทางเดิมก็คงเริ่มยากหน่อยแล้ว เพราะพวกมันคงอยู่กันเต็มถนน” จริงอย่างที่หวงจื่อเทาพูด เพราะการรถขับผ่านมาทุกครั้ง เหล่าผีดิบที่เคยอยู่ข้างทางก็ปีนขึ้นมาบนถนน เดินตามมาเรื่อย ๆ จนเหมือนดึงพวกมันให้มากระจุกอยู่ด้วยกันตรงกลาง
“ผมว่ามันเสี่ยงเกินไป” อี้ฟานขมวดคิ้วก่อนจะเงียบไปหลังจากพูดจบ เป็นเพราะตลอดทางเขาได้แต่นั่งอยู่หลังรถบ้านจึงไม่มีโอกาสได้สังเกตการณ์อย่างที่ใจคิด พอขอไปนั่งข้างหน้าด้วยกันควอนยูริก็ไม่ตกลง โดยอ้างว่าถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินเธออยากจะวิ่งไปช่วยคนอื่นมากกว่าพะวงว่าอู๋อี้ฟานจะพาตัวเองลงจากรถบ้านอย่างไร
“เอ่อ ขอพูดอะไรอย่างนึงนะ” ทุกคนมองไปยังจงอินที่ดูเหมือนว่ายังมีความลังเลหลังจากพูดแทรกขึ้นมา “เมื่อสิบห้านาทีก่อนฉันเห็นมีถนนเล็ก ๆ เส้นนึงอยู่ทางขวามือ แต่ตรงนั้นมีรถขวางอยู่ จากความน่าจะเป็น... ฉันคิดว่ามันน่าจะทะลุออกไปถนนเส้นอื่นได้”
“เส้นไหนวะ”
“เส้นที่มีรถโม่ปูนจอดขวางอยู่”
“...” ลู่หานขมวดคิ้ว กลอกตามองบนก่อนจะอ้าปากเมื่อนึกขึ้นได้ “อ๋อ ตรงนั้น”
“ถ้าเป็นถนนเส้นเล็กแล้วมีรถจอดขวาง ฉันคิดว่ามันคงเสี่ยงกับการขับไปติดแหงกกลางทางได้” ยูริยืนกอดอกมอง
“ก็อย่าเพิ่งขับเข้าไป ที่ฉันจะบอกก็คือถ้าเราเลือกสำรวจเส้นทางนั้นมันอาจจะดีกว่าการขับกลับฝ่าออกไปทางเดิมก็ได้” จงอินไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกใครหลายคนมองอยู่ และจนถึงตอนนี้ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกประหม่า ไม่มั่นใจในความคิดตนเอง แต่ลึก ๆ มันก็มีความเด็ดขาดจึงตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด
“ผมเห็นด้วยกับจงอิน” เสียงของอี้ฟานทำให้รู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ราวกับว่าความคิดโง่ ๆ ของเขากำลังถูกยอมรับโดยชายหนุ่มที่เป็นผู้นำ ซึ่งมันค่อนข้างมีน้ำหนักมากกว่าใครหลายคนในที่นี้
“แล้วที่บอกว่าอย่าเพิ่งเข้าไปคือยังไง เราต้องเกณฑ์คนเข้าไปเคลียร์ทางก่อนน่ะเหรอ ยังไงฉันก็คิดว่าเสี่ยงอยู่ดี” ยูริยังไม่หยุดที่จะหาความชัดเจนและปลอดภัยให้สำหรับทางเลือกนี้
“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ฉันคิดว่ามันคงดี เพราะถนนเส้นเล็กน่าจะจัดการพวกมันง่ายกว่าถนนเส้นใหญ่ที่แห่มาจากทุกทิศจนใช้นิ้วมือกับนิ้วตีนนับจำนวนไม่ได้” จงอินพูดตามสิ่งที่คิด
อาจเป็นเพราะไม่ได้เดินทางไกลกันมานาน ครั้งนี้พวกเขาจึงดูล่องลอยและไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ พอหิมะละลาย พวกกินคนที่เคยถูกแช่แข็งไว้ก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ไม่สิ... อันที่จริงต้องบอกว่าพวกมันไม่เคยตายเลยถึงจะถูก
“พวกคุณคิดว่าไง?”
“ฉันเห็นด้วยกับจงอินค่ะ เพราะถ้าเป็นถนนเส้นเล็ก เราน่าจะค่อย ๆ ไล่เก็บมันทีละตัวได้ ฉันก็จะได้ลงไปช่วยอีกแรง” กาฮีเสริม
“ผมได้หมด” ในเมื่อครูสาวเห็นด้วย มีหรือหวงจื่อเทาจะแย้งไปอีกทาง เด็กหนุ่มหันไปทางเพื่อนตัวเล็ก ซึ่งเด็กแว่นก็พยักหน้าตามอย่างไม่อิดออด
“ว่าไงว่าตามกัน” ไม่มีเหตุผลอะไรที่ลู่หานต้องแย้ง เพราะลึก ๆ เขาก็แอบประทับใจที่ไอ้ควายสมองหายเกิดนึกไอเดียได้ ต่อให้จะยังไม่เห็นจุดหมายดี ๆ อย่างชัดเจนเลยก็ตาม
“ผมเห็นด้วยกับคุณครับ” เซฮุนยิ้มบาง ๆ เขากำลังรู้สึกดีที่ไม่มีใครตบหน้าจงอินด้วยคำว่า ‘ไม่เห็นด้วย’ จนอีกฝ่ายไม่กล้าออกความคิดเห็นใด ๆ อีก
อี้ฟานเคยบอกว่าต้องปล่อยให้จงอินได้ลองผิดลองถูกบ้าง เพราะก่อนที่จะเรียกความทรงจำกลับคืนมาได้ ทุกคนก็ต้องทำให้ผู้ชายคนนี้เลิกปิดกั้น โทษตัวเอง และเข้าใจตัวเองเสียก่อน
“เอาล่ะ เทา มินซอก เซฮุน พวกคุณไปเปิดกล่องอาวุธในรถบ้านแล้วแบ่งเอาไปไว้บนรถทีละคันตามจำนวนคน เอาแค่พอจำเป็นนะ เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน ลู่หาน คุณช่วยเป็นธุระเรื่องดูดเอาน้ำมันจากรถแถวนี้ที ส่วนคุณกาฮีไปกับผม เราจะค้นรถในละแวกนี้เพื่อหาของที่อาจเอาไปใช้ได้”
ไม่มีใครแย้งกับคำพูดของอี้ฟาน ลู่หานเป็นคนแรกที่กลับไปรถเพื่อเอาถังเปล่าและสายยางออกมา ทุกคนจึงแยกย้ายไปทำตามที่ได้รับมอบหมายอย่างกระฉับกระเฉงเพื่อไม่ให้เสียเวลามากไปกว่านี้ อย่างน้อยก่อนฟ้ามืดพวกเขาต้องได้จุดพักค้างคืนที่ปลอดภัย
“คุณไปรอในรถก่อนก็ได้นะครับ” หลังจากเอาปืนสามกระบอกมาไว้ในรถกันเหนียวแล้วเซฮุนก็ตรงมานั่งลงยอง ๆ ข้างคนผิวแทนที่กำลังพยายามดูดเอาน้ำมันออกจากรถ
“รออะไรล่ะ เลอะเทอะ” เซฮุนหลับตาแน่นเพราะถูกดีดหน้าผาก เขาลืมตาขึ้นมองคนที่ยังจำอะไรไม่ค่อยได้มากนัก แต่พอเห็นว่าจงอินมีใจอยากเรียนรู้ เด็กหนุ่มจึงหลุดยิ้มออกมา
“จงอินครับ”
“ว่า”
“ไม่ครับ ฝั่งนี้ไม่ได้” เด็กหนุ่มตัวผอมรีบคว้ามืออีกคนไว้พลางส่ายหน้าพรืด จงอินมองมือตนเองสลับกับใบหน้าซื่อ ๆ ของเด็กผู้ชายที่เขามักจะตั้งคำถามให้ตนเองอยู่บ่อย ๆ ว่าอะไรที่ทำให้โอเซฮุนเป็นคนจิตใจดีถึงขนาดนี้ “คุณต้องใช้ปากกับฝั่งนี้นะครับ”
“หะ”
“ฝั่งนี้มันจุ่มน้ำมันไปแล้ว คุณจะอมไม่ได้นะ” ทั้งคู่สบตากัน ท่ามกลางเสียงฝีเท้าของคนอื่น ๆ ซึ่งยังคงง่วนอยู่กับงานที่ทำอยู่
“แล้วอะไรที่อมได้” ชายหนุ่มผิวแทนถามทั้งที่ยังไม่ยอมละสายตาไปไหน
“ครับ?”
“อะไรที่ฉันใช้ปากด้วยได้”
“...”
“หยอกเล่นนะ”
“...”
“โอ๊ย!!!!” จงอินรีบตะปบปากตนเองทันทีที่รู้ตัวว่ากำลังส่งเสียงล่อพวกกินคนให้แห่มาที่นี่ เขาหันไปถลึงตามองเด็กหนุ่มที่หยิกเอวเขาเมื่อครู่ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาเพราะเห็นว่าตอนนี้สีหน้านิ่ง ๆ ของเซฮุนกำลังขึ้นสีจัดเพราะความทะลึ่งของเขา
“เป็นเหี้ยไรครับทางนั้นอะ รถถอยมาเหยียบตีนเหรอ” ลู่หานขมวดคิ้ว ชะโงกหน้ามองเพื่อนไร้สมองที่กำลังทำหน้าทำตาล่อตีนให้เข้าไปกระทืบซ้ำจนเสียความทรงจำอีกรอบ เสียงดังมากเดี๋ยวพ่อมึงก็ได้แห่กันมาหรอก
“เปล่า กูเจอพ่อมึงแอบอยู่ในนี้” จงอินชี้เข้าไปใต้ท้องรถขณะสบตากับเพื่อนสนิท
“เออ งั้นฝากดูด้วยว่าเจอแม่มึงนอนหงายอยู่ใต้ร่างพ่อกูไหม” ชายหนุ่มผิวแทนยิ้ม ก่อนจะทำมือโอเคแล้วเอานิ้วนางกับนิ้วก้อยลงจนเหลือแต่นิ้วกลาง ซึ่งลู่หานก็ตอบโต้มาในรูปแบบเดียวกัน
“เร่งมือกันหน่อย กว่าจะย้อนกลับไปคงใช้เวลาหลายชั่วโมง” อี้ฟานไม่พูดเปล่า แม้จะยังเจ็บขาอยู่แต่เขาก็ใช้ไม้เท้าพาตนเองไปสำรวจรถคันอื่น ๆ เพื่อค้นหาสิ่งของจำเป็น
“หัวเราะอะไร?” จงอินมองคนข้าง ๆ ซึ่งเซฮุนก็เม้มริมฝีปากแล้วสบตากับเขา
“ผมแค่คิดว่าบางทีเราอาจะยิ้มได้กับเรื่องเล็ก ๆ น่ะครับ”
“ว่าไป ฉันฟังอยู่” ชายหนุ่มผิวแทนกำลังทำความรู้จักกับสายยางในมือเพื่อดูดเอาน้ำมันออกมาจากรถ ซึ่งคงเป็นสิ่งที่ตัวเขาคงคุ้นชินกับมันมากที่สุด แต่ตอนนี้คิมจงอินกลับรู้สึกเด๋อ ๆ ด๋า ๆ แปลก ๆ
“ผมเคยคิดว่าเราอาจจะยิ้มได้ยากหน่อยกับโลกที่เป็นแบบนี้ แต่มันก็ไม่แย่ซะทีเดียวหรอกนะครับ ยกตัวอย่างเช่นเวลาคุณคุยกันกับลู่หาน ในตอนแรกที่เพิ่งรู้จักกันผมคิดว่าหยาบคายเป็นบ้า แต่ใครจะรู้ว่าในวินาทีนี้มันกลับเป็นบทสนทนาที่ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจมากที่สุด”
จงอินหันไปมองคนข้างตัวที่กำลังส่องเข้าไปในช่องน้ำมันระหว่างพูด ก่อนที่เราจะหันมาสบตากันอีกครั้ง ซึ่งชายหนุ่มผิวแทนคิดว่ามันคงเป็นอย่างนั้น เพราะเขากำลังรู้สึกดีกับเรื่องง่าย ๆ เพียงเพราะเห็นว่าใบหน้าของโอเซฮุนมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่
“ไม่เป็นไรนะครับจงอิน ตอนนี้คุณอาจจะท้อเพราะรู้สึกเหมือนกลับไปอยู่จุดเริ่มต้น แต่ถ้าคุณมองดี ๆ คุณจะเห็นว่าพวกเราทุกคนหยุดรอคุณอยู่ข้างหน้านะครับ”
“...”
“ไม่ต้องรีบวิ่งนะ พวกเรารอได้”
“ใจคอก็จะทำตัวน่ารักตลอดเวลาเลยเหรอ คิมจงอินคนเก่ามันจะว่ายังไงถ้าเกิดได้ยินนายเอาแต่พูดแบบนี้?”
“ครับ?” เซฮุนเลิกคิ้วมอง ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อถูกจู่โจมด้วยจมูกโด่งที่ฝังลงบนแก้มตนเองโดยไม่ทันตั้งตัว “...คุณ”
“สมน้ำหน้า”
“...”
สีหน้าและแววตาของจงอินไม่ได้ฉายถึงความขลาดอายเลยแม้แต่นิดเดียว กลับกันแล้วดันกลายเป็นโอเซฮุนต่างหากที่รู้สึกเหมือนว่าใบหน้ามันกำลังร้อนผ่าวราวกับการถูกหอมแก้มครั้งนี้มันเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
“เขินจนตายไปเลย พูดมากดีนัก” พูดจบก็ดูดลมเข้าสายยาง กระทั่งน้ำมันไหลออกมาตามสายเขาจึงใส่มันลงไปในถัง
“คนอื่นเห็นหรือเปล่านะ...”
“บอกว่าฉันเสียการทรงตัวจนล้มจมูกไปชนแก้มนายสิ เหมือนในหนังไง” จงอินยักคิ้ว บอกตามตรงว่าเซฮุนไม่ใช่คนชอบใช้กำลัง แต่อยู่ ๆ ผู้ชายคนนี้ก็ทำให้เขานึกอยากฟาดขึ้นมา
“จำได้ด้วยเหรอครับว่าในหนังเป็นยังไง”
“ได้สิ โดยเฉพาะหนังสดที่ต้องแก้ผ้า --” ยังไม่ทันที่คิมจงอินจะลามกได้จนจบประโยค เขาก็ถูกโอเซฮุนเอามือปิดปากไว้เสียก่อน ชายหนุ่มยิ้มขำที่แกล้งอีกฝ่ายได้สำเร็จ ก่อนรอยยิ้มจะค่อย ๆ เลือนหายไปเมื่อเห็นว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังหน้าขึ้นสีจัดทั้ง ๆ ที่พยายามปั้นหน้านิ่งอย่างถึงที่สุดแล้ว
“ไม่เอาครับ ผมยอมแล้ว”
“...”
“ผม... ไปช่วยอี้ฟานดีกว่า” นอกจากจะหน้าแดงจนเหมือนลูกสตรอว์เบอร์รี่แล้ว โอเซฮุนยังไม่ยอมสบตากับเขาตอนคุยกันอีกด้วย
จงอินมองตามแผ่นหลังของเด็กหนุ่มตัวผอมที่กำลังเข้าไปช่วยอี้ฟานกับครูสาวค้นหาของใช้ในรถเก่า ๆ ซึ่งจอดเทียบอยู่ข้างทาง แม้เด็กนั่นจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจเขา แต่สุดท้ายโอเซฮุนที่เอาแต่ทำตัวน่ารักก็แอบหันมาสบตากันจนได้อยู่ดี
“ผมขอแค่ข้างเดียวพอ เดี๋ยวผมใส่ให้คุณข้างหนึ่งนะครับ”
“...”
“แบ่งกันนะ อย่าให้ผมปลอดภัยคนเดียวเลย”
ชานยอลเงยหน้าขึ้นสบตากับเด็กน้อยที่กำลังมองมาเป็นเชิงขอร้องอีกครั้ง หลังจากที่เขาค้นใต้คอนโซลรถแล้วเจอหนังสือโป๊เล่มไม่หนามากอยู่ทั้งหมดสองเล่ม ชายหนุ่มจึงเอามันมาพันรอบแขนแบคฮยอนให้เพื่อเซฟความปลอดภัย
“ผมช่วย” คนตัวเล็กเอาหนังสืออีกเล่มมาจากมือแกร่ง พันรอบแขนซ้ายคนตรงหน้าและได้เทปผ้าที่วางอยู่ด้วยกันมาพันรอบท่อนแขน
แบคฮยอนรู้ว่าอีกฝ่ายต้องจัดการทุกอย่างให้ทั้งหมด ฉะนั้นเขาถึงอยากเอาแต่ใจสักครั้งเพื่อให้ชานยอลได้มีสิ่งของไว้ป้องกันตัวเองบ้าง เพราะการเข้าไปเสี่ยงข้างในมันคงหนักหนาเอาเรื่องถ้าให้เทียบกับตอนไปเอารถบรรทุกที่มีตึกเป็นทางลัดอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เราแทบจะไม่มีอะไรเลย นอกจากสติที่ต้องยึดมันไว้ให้ได้
แบคฮยอนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบคนงอแง ไม่ชอบคนขึ้นเสียง ไม่ชอบคนเอาแต่ใจ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเป็นคำขอร้องและทำให้ชานยอลรับรู้ถึงความเป็นห่วงด้วย ซึ่งการที่ผู้ชายคนนี้ยอมนั่งอยู่เฉย ๆ ให้เขาพันหนังสือลามกเล่มนี้รอบแขน... แค่นี้ก็รู้สึกขอบคุณแล้ว
“ถ้าถูกโจมตีให้ยกแขนซ้ายขึ้นอย่างนี้นะครับ” ชายหนุ่มทำให้ดู ซึ่งแบคฮยอนก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย “ผมรู้ว่ามันยากที่จะตั้งสติ แต่ถ้ามือข้างขวาคุณถืออาวุธอยู่ แขนซ้ายคุณจะยกขึ้นบล็อกโดยสัญชาตญาณ ผมคิดว่าฟันหรือเล็บของมันคงไม่คมขนาดที่จะฝังทะลุลงหนังสือจำนวนร้อยสิบห้าหน้าได้”
“ผมพร้อมแล้ว”
พอได้ยินอย่างนี้ชายหนุ่มจึงนิ่งไปราว ๆ สองวินาที ก่อนจะพยักหน้าแล้วเปิดประตูรถออกไปพร้อมกัน ชานยอลส่งสัญญาณมือเรียกให้คนตัวเล็กเดินตามมาในป่าข้างทาง ซึ่งการเลือกเส้นทางนี้เพื่อเข้าไปให้ถึงประตูด้านในฝั่งที่เคยมีฝูงลิงคงปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้ชายสองคนซึ่งมีเพียงปืนสองกระบอกและกระสุนจำนวนจำกัด กับโล่ที่ทำจากหนังสือโป๊ซึ่งคงช่วยป้องกันได้ดีจากกรงเล็บและฟันที่เต็มไปด้วยเชื้อของผีดิบ
แต่ทางเดินที่ปลอดภัยกว่าย่อมมีข้อเสียเป็นเรื่องเวลา ชานยอลและแบคฮยอนเร่งฝีเท้าจนเปลี่ยนเป็นวิ่ง ซึ่งทั้งคู่ก็คล่องตัวมากพอที่จะไม่ลื่นล้มกับอุปสรรครอบด้าน ชายหนุ่มส่งสัญญาณมือให้แยกกันไปจัดการ แบคฮยอนจึงได้โอกาสใช้มีดพกเล่มเล็กที่ชานยอลให้มาตั้งแต่เช้า
“กรรรรรรรรซ์!”
มีดใบเล็กแทงเข้าหลังศีรษะผีดิบพร้อมกดข้อมือเพื่อให้มันแทงเสยขึ้นไปถึงสมอง ก่อนจะชักมีดกลับแล้วหันซ้ายขวาอย่างระมัดระวัง แบคฮยอนเข้าไปจัดการตัวที่สองในขณะที่ชานยอลถีบเข้ากลางอกผีดิบตัวแรกจนมันล้มลงไปศีรษะโขกกับก้อนหิน
เลือดเหนียวหนืดกับเส้นผมติดกะโหลกหลุดออกมาพร้อมหนังศีรษะเมื่อผีดิบค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้น ริมฝีปากแห้งผากร้องโหยหวนกับเหยื่อที่มองเห็นด้วยตาและเสียงการเคลื่อนไหว สองมือเอื้อมไปข้างหน้าหวังคว้าเอาให้ได้ พร้อมเลือดสีเข้มที่เหนียวเป็นเมือกจากหนังศีรษะที่เพิ่มความน่าขยะแขยงให้กับตัวมัน
ชานยอลก้มลงคว้าเอาก้อนหินขนาดเหมาะมือขึ้นมา ฟาดเฉียงตามองศาจนกะโหลกยุบ ก่อนจะกระชากคอเสื้อคอโปโลเก่า ๆ ของผีดิบอีกตัวซึ่งอยู่ทางด้านขวามือ เหวี่ยงจนแผ่นหลังกระแทกกับต้นไม้ ก่อนจะกำกลุ่มผมที่มีเพียงน้อยนิดเพื่อโขกศีรษะใส่ต้นไม้ใหญ่อย่างแรงจนเลือดและสมองทะลักในวินาทีถัดมา
สักพักเลยทีเดียวที่เสียเวลาไปกับการฆ่าพวกมัน กระทั่งมาถึงปากทางเข้าซึ่งเมื่อก่อนเคยสร้างฝันร้ายให้กับพวกเขาด้วยฝูงลิงติดเชื้อ ทั้งคู่ย่อตัวลงหลบหลังพุ่มไม้ มองจากตรงนี้สามารถเห็นกระบะออฟโรดสีแดงจอดอยู่ มันมีขนาดล้อที่ใหญ่กว่ารถทั่วไปและยกสูงขึ้นซึ่งเหมาะสำหรับขับฝ่าน้ำท่วม
แต่คำถามคือ... นั่นรถของใคร
“คุณคิดว่าไงชานยอล”
“ยังมีรอยล้อบนถนน ดูจากสภาพรถภายนอกผมคิดว่าคงจอดอยู่ตรงนั้นได้ไม่กี่วัน”
“...”
แบคฮยอนเริ่มใจไม่ดี เพราะตั้งแต่พลัดหลงกับทุกคนก็จำได้ว่าไม่เคยมีรถคันนี้จอดอยู่ในอุทยาน ทีแรกเขาคิดว่าข้างในนั้นต้องเป็นพวกอี้ฟานแน่ ๆ แต่พอเห็นว่ามีรถของใครก็ไม่รู้มาจอดอยู่ฝั่งนี้ ก็ทำให้นึกไปถึงเหตุการณ์ตอนจงแดถูกยิงขึ้นมา
คนตัวเล็กเม้มริมฝีปากแน่น ถ้าต้นเหตุของเสียงปืนนั้นไม่ใช่ของพวกอี้ฟานจริง ๆ แล้วจะเป็นใคร และต่อให้ไม่ใช่... คนอื่น ๆ จะยังอยู่ข้างในหรือเปล่า นั่นคือสิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุด
“ผมขอไปสำรวจรถก่อน คุณรออยู่ตรงนี้นะ”
“เดี๋ยว --”
ปัง!!
เสียงปืนที่ลั่นขึ้นเรียกความสนใจจากทั้งสองคนให้หันไปทางประตูด้านขวามือ ทั้งคู่ยันตัวลุกขึ้นยืนก่อนชายหนุ่มตัวสูงจะคว้าปืนออกมาถือไว้ แบคฮยอนทำตามในทันทีเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์เบื้องหน้าซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นของเขาหรือเป็นใคร
ปัง ๆๆ
ผีดิบที่อยู่ในป่ายังคงปะปราย แต่มันจะเริ่มมากขึ้นก็เพราะเสียงปืนซึ่งดังขึ้นเป็นระยะ ชานยอลก้มตัวลงต่ำ วิ่งเลียบไปตามทางก่อนจะเล็งปืนเข้าไปในซอกประตูกรงบานใหญ่ซึ่งสามารถมองเห็นด้านในได้อย่างชัดเจน
มันชัดมากพอที่จะเห็นว่ามีชายคนหนึ่งกำลังแบกใครอีกคนขี่หลังมาทางนี้ ตามด้วยชายอีกคนซึ่งดูเหมือนว่าจะใช้ปืนไม่ถนัดนัก ผู้ชายคนนั้นวิ่งตามหลังมาติด ๆ คอยหันไปยิงเพื่อให้ผีดิบเสียหลักทั้งที่ตนเองก็วิ่งเป๋จนเกือบล้ม
“เดี๋ยว... นั่นอี้ชิงใช่ไหม?”
“ใช่ ส่วนผู้ชายคนนั้นคือซีวอน” สิ้นเสียงทุ้มต่ำ ชานยอลก็ตั้งปืนขึ้นระดับปลายคาง เอียงคอเล็กน้อยเพื่อปรับองศาก่อนจะเหนี่ยวไกนัดแรกใส่ผีดิบที่วิ่งไล่หลังอี้ชิงมาติด ๆ
เสียงปืนปริศนาทำคนที่กำลังวิ่งหนีหน้าตั้งเบิกตากว้าง บุรุษพยาบาลหนุ่มมั่นใจว่ามันไม่ใช่เสียงสะท้อนจากปืนที่เขาเพิ่งยิงไปแน่ ๆ กระทั่งเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง มันรัวติดกันพร้อมร่างตัวกินคนที่ร่วงลงไปนอนบนพื้น
“แบคฮยอน คุ้มกันผมด้วย” เจ้าของชื่อพยักหน้าอย่างไม่อิดออด แบคฮยอนจับปืนไว้มั่นพร้อมเล็งผ่านเข้าไปในช่องกรงของประตูทางเข้าอุทยาน เหนี่ยวไกตามความจำเป็นใส่ตัวที่วิ่งจ่อหลังชายหนุ่มสองคนซึ่งกำลังวิ่งหนีความตายในขณะที่ชานยอลกำลังปีนขึ้นไปบนกำแพง
เสียงผิวปากเป็นเหมือนสัญญาณสวรรค์ที่ทำให้ชเวซีวอนรู้ว่าพระเจ้ายังอยู่กับพวกเขา ชายวัยกลางคนมองไปยังต้นเสียงพร้อมเร่งฝีเท้าเพื่อให้ไปถึงที่นั่นโดยเร็วที่สุด กระทั่งเห็นชัดเต็มสองตาว่าคนที่มาช่วยพวกเขาคือคนที่หายตัวจากกลุ่มไปได้สักพักแล้ว
“ส่งคยองซูมา”
ชานยอลยื่นมือลงไปและได้อี้ชิงกับซีวอนช่วยดันร่างเด็กหนุ่มที่ไร้เรี่ยวแรงขึ้นไปบนกำแพง เสียงปืนจากแบคฮยอนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งชายหนุ่มตัวสูงก็ผิวปากเพียงเบา ๆ เพื่อส่งสัญญาณให้คนตัวเล็กมารับช่วงต่อ เพื่อที่เขาจะได้ช่วยอีกสองคนที่เหลือ
“ผมไม่ได้ล็อกรถ พาเขาเข้าไปเลย!”
แบคฮยอนรีบหิ้วปีกคนเจ็บไปอย่างทุลักทุเล ก่อนจะยกปืนขึ้นยิงผีดิบที่เดินเซออกมาจากป่า แม้จะพลาดเป้าแต่ช่วยถ่วงเวลาไว้ได้ครู่หนึ่ง แต่เขาไม่ได้โชคดีขนาดนั้น เมื่อกระสุนปืนนัดสุดท้ายได้ลั่นใส่กลางอกผีดิบตัวเมื่อครู่ แต่ด้านหน้ายังมีมาอีกสาม
คนตัวเล็กรีบเปิดประตูกระบะออฟโรดแล้วดันคยองซูเข้าไปอยู่ตรงเบาะหลังในเสี้ยววินาทีอันสั้น มันทุลักทุเลเพราะความสูงของรถและร่างกายอันไร้เรี่ยวแรงของอีกคนที่ทำให้เป็นเรื่องยาก แบคฮยอนผลักร่างไร้วิญญาณออกไปให้พ้นระยะแล้วปีนขึ้นไปบนรถ นัยน์ตาเรียวสั่นคลอน ช้อนมองชานยอลที่อยู่บนกำแพงและกำลังเหนี่ยวไกปืนช่วยคนฝั่งนั้น
ความกดดันถาโถมเข้ามาในคราวเดียวกัน บยอนแบคฮยอนมือสั่นอย่างเห็นได้ชัดตอนค้นเอากระสุนออกมาจากกระเป๋าเสื้อเพื่อยัดมันเข้าไปในแม็กกาซีน เด็กน้อยกลัวเหลือเกินว่าคนอื่นจะเป็นอะไรไปโดยที่เขายังไม่มีโอกาสได้ช่วย
ตึง ๆๆๆ
“กร๊าซซซซซซซซซซซซ!!!”
“...!!!!” แบคฮยอนสะดุ้งเฮือก มองกระจกรถที่ถูกมือสกปรกปะป่ายและทุบอย่างแรง เสียงของพวกมันยังคงสร้างความกดดันได้อย่างดีเยี่ยมแม้ว่าตอนนี้เขาและคยองซูจะปลอดภัยแล้ว แต่พอเงยหน้าขึ้นเห็นว่าผีดิบที่อยู่ในป่ากำลังเริ่มทยอยกันไปหาชายหนุ่มที่อยู่บนกำแพง แบคฮยอนจึงกำกระสุนในมือแน่นแล้วรีบยัดมันใส่เข้าไปจนเต็มแม็กกาซีน
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่าลุกขึ้นมานะ”
“...” เด็กหนุ่มปรือตามองคนคุ้นหน้าที่ไม่ได้เจอกันมานานเหลือเกิน คยองซูเพียงพยักหน้าอย่างช้า ๆ เขาเห็นภาพลาง ๆ ว่าแบคฮยอนเปิดประตูออกเพียงนิดก่อนจะกระแทกมันออกอย่างแรงจนพวกมันเสียหลักล้มลงไปกับพื้นพร้อม ๆ กัน
มือขวากำมีดพกที่จำเป็นต้องใช้ตอนนี้มากที่สุด เขาแทงหัวตัวที่กำลังพยายามลุกขึ้นแล้วรีบชักมีดออก ก่อนจะหันไปแทงตัวที่สองและใช้ปืนพกยิงอัดปากที่อ้ากว้างด้วยมือข้างซ้าย ซึ่งมันต้องพลาดแน่ถ้าหากเขายิงมันจากระยะไกลด้วยข้างที่ไม่ถนัด
แบคฮยอนรีบปิดประตูรถแล้ววิ่งไปที่กำแพงรั้ว กราดกระสุนยิงใส่พวกที่อยู่รอบข้าง แล้วก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อยที่เห็นอี้ชิงกำลังปีนตามลงมาสมทบ แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้นที่ทั้งคู่ได้สบตากัน ก่อนจะหันไปจัดการกับพวกผีดิบที่เริ่มทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ
“เร็วหน่อย พวกมันมากันแล้ว!”
ชายหนุ่มได้ยินเสียงคนตัวเล็กที่กำลังรายงานสถานการณ์ จึงรัวกระสุนชุดสุดท้ายจนหมดแม็กแล้วคว้ามือชายวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่ข้างล่าง เกร็งแขนจนเส้นเลือดขึ้นในจังหวะที่ดึงซีวอนขึ้นมากระทั่งลงไปได้สำเร็จ
“ครบแล้วใช่ไหม?” ชานยอลถามพลางหอบหายใจ ซึ่งการส่ายหน้าพรืดของอี้ชิงนั้นกำลังเป็นข่าวร้ายที่ไม่มีใครอยากได้ยิน
“จงแดยังอยู่ในนั้น เขา -- เขาล่อพวกมันออกไปอีกทางเพื่อให้เราพาคยองซูหนีออกมาก่อน” ซีวอนหอบฮักพลางกลืนน้ำลายขณะมองทะลุกรงเข้าไปในอุทยาน
“ล่อพวกมันไปอีกทางเหรอ” สีหน้าแบคฮยอนไม่สู้ดีนัก อันที่จริงทุกคนต่างคิดไปในทางเดียวกันว่าตอนนี้จงแดจะเป็นอยู่ยังไง เปอร์เซ็นต์รอดของผู้ชายคนนั้นมีมากสักเท่าไหร่... ดูเหมือนว่ามันค่อนข้างที่จะน้อยอยู่พอสมควร
“เขาล่อไปทางไหน มีอะไรเป็นอาวุธบ้าง?”
“หน้าไม้อย่างเดียว แล้วผมคิดว่าเขาคงไม่มีเวลากลับไปดึงลูกดอกออกมาจากศพพวกมันด้วย” ซีวอนหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน เขารู้สึกผิดเหลือเกินที่ยอมตกลงให้จงแดวิ่งล่อพวกมันไปอีกทาง เพียงเพราะอีกฝ่ายอ้างว่าไม่มีใครรู้จักอุทยานได้ดีเท่าเจ้าหน้าที่อีก หากไม่ใช่คิมจงแด รับรองได้เลยว่าคงวิ่งหลงป่าและตายอยู่ในนั้น
แบคฮยอนกำมือแน่นเมื่อนึกถึงเจ้าหน้าที่หนุ่มซึ่งรักอุทยานเหมือนชีวิตตัวเอง และเขาคิดว่าทุกคนต่างก็คงรู้เรื่องนี้ดี แต่การวิ่งล่อผีดิบตัวคนเดียวโดยที่มีพวกมันกระจายอยู่เต็มป่า ก็ยากที่จะจินตนาการออกเลยว่าผู้เชี่ยวชาญการเดินอุทยานแต่กลับอ่อนประสบการณ์เรื่องเอาตัวรอดอย่างคิมจงแดจะรอดจากที่นั่นได้หรือไม่
“ได้โปรด – กลับไป – ช่วย – เขา” สีหน้าอี้ชิงทั้งอิดโรยและอ่อนแรง คนที่อยู่กับความกดดันมาตั้งแต่เช้าเมื่อวานปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างเหลืออด ซึ่งบุรุษพยาบาลหนุ่มพอจะรู้ว่าคำพูดเมื่อครู่มันคงฟังดูลม ๆ แล้ง ๆ ในสถานการณ์แบบนี้
เราไม่มีอาวุธเพียงพอที่จะกราดยิงใส่เหล่าผีดิบด้านใน ไม่มีผู้คนมากพอที่จะช่วยกันฝ่าเข้าไป และสุดท้ายคือ... จางอี้ชิงไม่กล้าคาดหวังกับผู้ชายที่ทิ้งเขาไว้ตามลำพังในร้านเหล้าเล็ก ๆ คืนนั้น...
“ผมจะกลับเข้าไปดูเขาเอง”
“...”
ไม่มีใครอยากเชื่อว่าประโยคนี้จะหลุดออกมาจากปากปาร์คชานยอล ชายหนุ่มตัวสูงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งจนยากที่จะเข้าใจว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่จางอี้ชิงก็รู้สึกขอบคุณเหลือเกินที่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเดินถอยหลังทีละก้าวพร้อมคว้าเอากระสุนออกมาจากเสื้อหนึ่งกำมือและยัดใส่เข้าไปในแม็กกาซีน
“ชานยอล คุณคิดดีแล้วใช่ไหม?” ซีวอนขมวดคิ้ว พลางกวาดสายตาไปโดยรอบ ตอนนี้พวกกินคนยังคงทยอยเข้ามาเป็นระยะ ซึ่งเราก็ทิ้งจังหวะแยกย้ายกันไปจัดการทีละตัวก่อนจะกลับมาปรึกษากันอีกครั้ง
“ผมจะเข้าไปดูว่าเขายังอยู่หรือเปล่า” ชานยอลยัดกระสุนนัดสุดท้ายใส่เข้าไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับคนอายุมากกว่า “ผมขอเวลาสิบนาที ถ้าไม่เจอเขาผมจะรีบออกมา แต่ถ้าช้ากว่านั้นก็ให้ออกไปรอที่จุดนัดพบ แบคฮยอนรู้ว่าอยู่ตรงไหน และถ้าในหนึ่งชั่วโมงผมยังเงียบหายก็ให้ออกเดินทางได้เลย”
“ชานยอล”
“ดูแลคนอื่น ๆ ด้วยนะครับ” ชายหนุ่มวางมือลงบนศีรษะทุย เขาไม่แม้แต่ยิ้มเพื่อหลอกให้แบคฮยอนคิดว่าทุกอย่างต้องโอเค แต่เขาอยากให้อีกฝ่ายเชื่อในตัวเขาเท่าที่ใจอยากจะเชื่อได้
ชานยอลปีนขึ้นไปบนกำแพงและกระโดดลงไปข้างล่าง คนตัวเล็กมองตามแผ่นหลังกว้างด้วยความกังวลที่อัดแน่นอยู่ในใจ กระทั่งซีวอนวางมือลงบนไหล่ เราจึงต้องกลับไปที่รถเพื่อรอทั้งคู่กลับมา
“แฮ่ก... แฮ่ก... แฮ่ก!!”
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
“อ๊ากกกกก!!!”
ร่างของชายหนุ่มไถลไปตามก้อนหินและรากไม้หลังจากลื่นตะไคร่จนเสียหลัก เจ้าหน้าที่อุทยานนิ่วหน้าเจ็บจากแรงกระแทกที่ทำให้รู้สึกระบมไปทุกสัดส่วน แต่เขาไม่มีแม้แต่เวลาถลกแขนเสื้อขึ้นเพื่อดูว่ามีร่องรอยเกิดขึ้นตรงไหนบ้าง เมื่อเหล่าซากศพเดินได้ยังคงตามจ่อก้นเขามาติด ๆ เป็นสิบตัว
“บ้าเอ๊ย!”
จงแดนิ่วหน้ากับความเจ็บที่แล่นปราดไปทั่วร่างกาย เขาพยายามประคองร่างตนเองขึ้นแล้ววิ่งแหวกกิ่งก้านไปไม้ต่อไปอย่างไม่คิดชีวิต เสียงช้างป่าร้องโอดครวญจากที่ไกลเป็นเหมือนมีดซึ่งกำลังกรีดลงกลางอกเจ้าหน้าที่ที่ดูแลอุทยานด้วยความรักอย่างเขา คิมจงแดไม่อยากคาดเดาเลยว่าพวกเดนตายกำลังรุมกัดกินสัตว์ที่นี่อย่างตะกละตะกลามแค่ไหน
“ฉันจะไม่ยอมตายที่นี่แน่... ไม่ยอม” เจ้าหน้าที่หนุ่มพึมพำกับตัวเองระหว่างวิ่งหนีความตาย จนมาถึงวินาทีนี้ เขาถึงได้รู้ว่าการยอมเสียสละมันไม่ใช่เรื่องที่เข้าท่าเลยสักนิด และการที่คิมจงแดบอกว่าจะเป็นตัวล่อให้ก็เพราะมั่นใจที่สุดแล้วว่ามันเป็นหนทางที่ดีที่สุด แต่ทางที่ดีกับการตายแทนมันคนละเรื่องกัน
จะไม่มีใครตายแทนใครทั้งนั้น คิมจงแดจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
“ไปให้พ้นนะโว้ย!” ตั้งแต่เกิดมา มีอยู่ไม่กี่ครั้งที่ชายหนุ่มสติหลุดจนต้องตะโกน ครั้งแรกคือตอนเกิด และครั้งที่สองคือตอนนี้
จงแดซัดหมัดเข้าโหนกแก้มผีดิบเท่าที่แรงผู้ชายวิ่งมานานจะทำได้ เขาทั้งเจ็บและหอบหายใจหนักจนรู้สึกเหมือนจะไม่ไหว แต่คำว่าตายมันค้ำอยู่ที่คอจึงต้องฝืนพาขาที่กำลังอ่อนแรงวิ่งไปให้ได้
กิ่งก้านใบไม้ฟาดหน้าจนรู้สึกแสบไปหมด จงแดไม่รู้ว่าตอนนี้ที่มันไหลเข้าตาจนเห็นทุกอย่างพร่ามัวนั้นคือเหงื่อหรือว่าน้ำตาแห่งความผิดหวังกันแน่ ชายหนุ่มก้มลงเก็บก้อนหินโง่ ๆ ขึ้นมาเป็นอาวุธ ก้อนแรกเอาไว้กันเหนียว ส่วนก้อนที่สองเอาไว้โยนใส่หน้าเพื่อถ่วงเวลาแต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ช่วยอะไร
“ทางนี้โว้ย!” ราวกับเข้าใกล้ความตายเข้าไปทุกที ตอนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนสะพานที่เชือกใกล้ขาด คิมจงแดถึงได้สติหลุดจนเริ่มทำอะไรบ้าบิ่นขึ้นเรื่อย ๆ
ตอนนี้พวกซีวอนจะยังรออยู่ไหม มันจะตลกไปหรือเปล่าถ้าหากรู้อยู่แก่ใจว่าข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่บ้าง แต่เขาก็ยังคาดหวังว่าจะรอดออกไปได้
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!!”
ให้ตาย! ทำไมพวกนี้มันตื๊อเก่งนักนะ?!
จงแดกัดฟันแน่นแล้วหักหลบไปทางด้านซ้าย ก่อนจะหยุดฝีเท้าทันทีที่เห็นว่ามีเหล่าผีดิบรอฉีกเนื้อเขาเป็นชิ้น ๆ อยู่ตรงนั้นราว ๆ หกตัวถ้าไม่นับที่รอเก็บสแปร์อยู่ข้างหลังอีกสาม เจ้าหน้าที่หนุ่มหอบฮัก ค่อย ๆ ก้าวถอยหลัง พอหมุนตัวกลับก็พบว่าเหมือนจะไม่ทันแล้ว
“กรรรรรรรรรรซ์...”
มีช่องว่างทางขวาให้วิ่งไปตายเอาดาบหน้าต่อ หลังจากจินตนาการตอนเห็นไส้ตนเองโดนควักออกมาจากท้องเขาจึงไม่เสียเวลาลังเลใจเลยสักนิด แต่การพยายามหนีทั้งที่มีพวกมันอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี
“...!!!”
จงแดล้มลุกคลุกคลาน สะบัดแขนออกทันทีที่เกือบโดนคว้าตัว ถ้าเกิดเสียหลักตอนนี้คงไม่มีโอกาสได้ลุกอีกแน่ เขาต้องพยายามตั้งสติแล้ววิ่งต่อ
แต่...
“หมอบลง”
เจ้าหน้าที่หนุ่มเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง กับภาพชายหนุ่มตัวสูงที่เล็งปืนมาที่กลางหน้าผากเขาจนรู้สึกได้ถึงความเย็นของมัน จงแดเรียกสติตัวเองกลับมาในระยะเวลาอันสั้น และทันทีที่หมอบลงเสียงเหนี่ยวไกปืนก็ดังขึ้น
“ยังวิ่งไหวหรือเปล่า?”
“ไม่ไหวก็ต้องไหวแล้ว อ๊า! พระเจ้า ขอบคุณที่คุณมา... ไม่สิ -- ชานยอล คุณคือปาร์คชานยอล” จงแดเม้มริมฝีปากแน่น คว้ามือแกร่งอีกคนไว้เป็นหลักเพื่อดึงตนเองให้ลุกขึ้น ก่อนที่เราทั้งคู่จะเริ่มวิ่งกันอีกครั้ง
ไม่มีเวลาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ ไม่มีเวลาให้พูดว่าขอบคุณที่โผล่เข้ามาช่วยได้ทันเวลาทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าลมอะไรพัดมาปาร์คชานยอลถึงได้กลายเป็นฮีโร่ในใจเขาได้
“เราปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ มันตามเสียงปืนมา แบบนี้จะทำให้พวกเขาขึ้นรถไม่ได้ด้วยนะครับซีวอน”
“งั้นเราต้องเลื่อนกระจกลงแล้วจัดการพวกที่เกาะข้างกระจกก่อน ระวังถูกกัดล่ะ”
“ครับ”
แบคฮยอนขานรับและชะโงกหน้าสังเกตการณ์ พอเห็นว่าพวกกินคนยังคงปะป่ายมือมา จึงใช้มือซ้ายกำกลุ่มผมไว้แล้วแทงเข้าไปที่หัว อี้ชิงเงยหน้ามองเป็นระยะ เป็นห่วงทั้งคนในอุทยานและคนเจ็บที่ไข้ขึ้นสูงจัด
ปัง ๆๆๆๆ
เสียงปืนดังขึ้นอีกแล้ว และคราวนี้มันเข้ามาใกล้ซึ่งเป็นสัญญาณดีว่าคนในนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ คนในรถมองภาพสยดสยองตรงหน้าผ่านกรงเหล็ก ผีดิบมากมายที่มาพร้อมซีวอนในชุดแรกยังคงอยู่ และตอนนี้พวกมันกำลังมาสมทบอีกละลอกเมื่อเหยื่อคือชายหนุ่มสองคนที่กำลังวิ่งมาทางนี้อย่างไม่คิดชีวิต
ซีวอนหันมาสบตากับแบคฮยอน ก่อนจะสตาร์ทรถแล้วขับไปหยุดอยู่หน้าประตูเพื่อให้หลุดจากเหล่าผีดิบที่เกาะอยู่ข้างรถ ทั้งคู่เตรียมอาวุธพร้อมสำหรับการคุ้มกัน แต่เหนือสิ่งใดนั้นพวกเขาต้องจัดการพวกที่จ้องจะตามมาเกาะขอบรถเสียก่อน
“พวกเขาหาทางขึ้นไม่ได้แน่ ยังไงก็ไม่ได้”
“คุณเอาปืนผมไป” แบคฮยอนยัดปืนพกใส่มืออีกฝ่ายซึ่งเหลือกระสุนชุดสุดท้ายแล้ว “ถ้าเขาปีนออกมาไม่ได้ เราก็ต้องพาเขาออกมา”
“...”
ชายวัยกลางคนมองเด็กหนุ่มข้างตัวที่เอาพลุแฟร์ออกมาจากกระเป๋า ทั้งสองสบตากันเพียงครู่เดียวเท่านั้นชเวซีวอนก็รีบลงจากรถแล้วใช้มีดใบใหญ่ฟันหน้าผีดิบจนแหว่ง ก่อนขายาวจะก้าวไปหยุดอยู่หน้ากรงประตูบานใหญ่ วางมีดลงแล้วยกปืนขึ้นเล็งเป้าไปยังผีดิบที่วิ่งจ่อหลังจงแดก่อนจะเหนี่ยวไก
แบคฮยอนกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ หันซ้ายทีขวาทีก่อนจะตัดสินใจปีนขึ้นไปบนกำแพงรั้ว เสียงปืนของซีวอนดังทีละนัดเป็นระยะอย่างใจเย็น เด็กน้อยเห็นว่าผู้ชายคนนั้นยิงเท่าที่จำเป็นและตอนนี้มันถึงจังหวะที่เขาต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว
คนตัวเล็กจุดแฟร์แล้วเขวี้ยงไปด้านขวามือ มันไกลมากพอที่จะดึงตัวกินคนไร้สมองออกไปได้บ้างแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด แบคฮยอนชำเลืองมองไปยังชานยอลและจงแดที่กำลังหาจังหวะและจุดปีนขึ้นรั้วที่เหมาะสม ซึ่งแน่นอนว่าทั้งคู่ไม่สามารถใช้ทางเดิมได้อีก
แฟร์อันที่สองถูกจุดแต่คราวนี้เขาเลือกที่จะโบกมันไปบนอากาศเพื่อหลอกล่อก่อนที่จะเขวี้ยงไปยังด้านหน้าอีกครั้งซึ่งมันห่างจากจุดเดิมไม่เท่าไหร่ แต่ก็สามารถดึงความสนใจจากพวกที่วิ่งตามหลังชานยอลและจงแดได้พอสมควร
“ชานยอล ทางนี้!” ซีวอนตะโกนบอกพร้อมชี้ไปทางซ้ายมือของตน ก่อนจะวิ่งกลับไปขึ้นรถและสตาร์ทเครื่องอีกครั้งพร้อมขับเลียบชิดกำแพงเข้าไปในป่า
พอเห็นว่าทางนั้นกำลังปีนรั้วได้แล้วแบคฮยอนจึงกระโดดลงมา ใช้มีดพกใบเล็กแทงเสยคางผีดิบที่รอต้อนรับอยู่ด้านล่างแล้วรีบวิ่งไปยังรถกระบะออฟโรดซึ่งห่างจากตรงนี้ไม่มากนัก หลายครั้งที่เกือบถูกคว้าตัวไว้ แต่สุดท้ายแบคฮยอนก็หลบสองมือที่ยื่นออกมาหวังจะคว้าตัวเขาอย่างเฉียดฉิวได้ในที่สุด
เด็กน้อยรีบปีนขึ้นท้ายกระบะแล้วถีบผีดิบที่เข้ามาใกล้รถออกไป เพียงชั่วอึดใจเดียวจงแดก็กระโดดจากรั้วและพาร่างลงสู่ท้ายกระบะได้โดยสวัสดิภาพ ตามด้วยชานยอลที่กระโดดตามลงมา
ทันทีที่ผู้โดยสารขึ้นครบ กระบะออฟโรดสีแดงก็ขับถอยชนผีดิบจนไถลลงไปอยู่ใต้ท้องรถ ก่อนจะหักออกซ้ายเพื่อมุ่งตรงออกไปจากอุทยาน ...ที่ ๆ เป็นทั้งฝันร้ายและบ้านของพวกเขาในช่วงเวลาหนึ่ง
ซีวอนเลียริมฝีปากที่แห้งผากขณะสายตาทอดมองไปยังถนนเบื้องหน้าที่กำลังจะพาพวกเราออกไปจากขุมนรกบนดิน เขาล้วงมือเข้าไปในคอเสื้อแล้วกำสร้อยไม้กางเขนออกมาจูบ พร้อมขยับริมฝีปากขอบคุณพระเจ้าที่ต่อลมหายใจให้มนุษย์ผู้โง่เขลากลุ่มนี้อีกครั้ง
“ขอบคุณ... ขอบคุณ...” จงแดพึมพำทั้งที่ยังหลับตาอยู่ เขาปล่อยให้สายลมหนาวพัดผ่านเอาความกลัวออกไปก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองใบหน้าของทั้งคู่ให้ชัด ๆ
“ดีใจที่ได้เจอคุณอีก” ชานยอลยิ้มบาง ๆ พร้อมยื่นมือลงไป ซึ่งจงแดก็คว้ามือเขาไว้แล้วดึงตนเองให้ลุกขึ้นนั่ง
“ว่าแต่ทำไมเหลือกันอยู่แค่นี้ล่ะครับ คนอื่น ๆ ไปกันหมดแล้วเหรอ?” คำถามของแบคฮยอนกลืนทุกอย่างบนใบหน้าจงแดไปหมด เจ้าหน้าที่หนุ่มนิ่งไปเพียงครู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเด็กน้อย
“ใช่ เหลือแค่ผมนี่แหละที่ดื้อจะอยู่ต่อ”
“คนอื่น ๆ ไปไหนกัน คยองซูทำไมอาการหนักแบบนั้น เขาคงไม่ได้ถูกกัดใช่ไหม?”
“ค่อย ๆ ถามทีละข้อเถอะแบคฮยอน ใจร้อนชะมัด” จงแดถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ซึ่งเด็กน้อยก็ยิ้มเจื่อนอย่างรู้สึกผิด “เขาไม่ได้โดนกัด แต่โดนยิง รักษาตัวมาเรื่อย ๆ แล้วก็ไข้ขึ้น”
“โดนยิง?” ชานยอลขมวดคิ้ว พาลนึกไปถึงเรื่องร้าย ๆ ที่จินตนาการไม่ออกระหว่างที่เขาไม่ได้อยู่อุทยาน
“เรื่องมันยาวมาก ผมขอเล่าคืนนี้แล้วกันนะ ตอนนี้ขอหายใจก่อน พวกคุณมีของกินหรือเปล่า?” เจ้าหน้าที่หนุ่มยกมือเป็นเชิงห้าม ซึ่งชานยอลและแบคฮยอนก็ไม่ได้รบเร้าต่อ
“บนรถของเราพอจะมีเสบียงอยู่บ้างครับ” พอได้ฟังคำตอบ คนที่หิวโซมาตลอดทั้งคืนก็ชูนิ้วหัวแม่มือให้
“ว่าแต่ซูโฮก็ไปกับพวกอี้ฟานเหรอ เขายอมแยกกับลูกได้ยังไงนะ?”
ในที่สุดจงแดก็ไม่ได้หยุดพักหายใจอย่างที่คิดไว้ เขาควรพูดเรื่องนี้ให้ทั้งคู่ฟังก่อนจะปล่อยให้ไปถามซีวอนด้วยตัวเอง ชายหนุ่มคว้าแขนเด็กน้อยไว้แล้วมองด้วยสายตาจริงจัง ซึ่งชานยอลก็มองภาพตรงหน้าก่อนจงแดจะหันมาสบตากับเขาในที่สุด
“เขาตายแล้ว”
“...”
“...”
“เหตุการณ์เดียวกับคยองซู และผมยังคงยืนยันว่าอยากเล่ามันคืนนี้ แต่ขออย่างเดียวว่าอย่าเอ่ยชื่อซูโฮขึ้นมาเด็ดขาด ซีวอนเขายังไม่เข้มแข็งพอสำหรับเรื่องนี้” จงแดยังคงมองเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ ซึ่งคนที่ห่างหายจากอุทยานไปนานจึงพยักหน้าช้า ๆ แล้วปล่อยให้ความเงียบกลืนกิน
“เดี๋ยวนะ... จงแด”
เจ้าหน้าที่หนุ่มเอนศีรษะพิงกับรถ ก่อนจะมองชายหนุ่มตัวสูงที่นั่งอยู่กับขอบกระบะด้านขวา สายตาคู่นั้นกำลังมองมาแปลก ๆ อีกทั้งคิ้วหนาที่ขมวดคิ้วหากันราวกับเกิดคำถาม ซึ่งคิมจงแดยังคงยืนยันว่าเขาอยากหายใจเข้าปอดมากกว่าเล่าเรื่องปัญหาโลกแตกบนโลกใบนี้
“คอคุณไปโดนอะไรมา?”
“...”
คนถูกทักนิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะค่อย ๆ เอื้อมมือขึ้นมาแตะที่ซอกคอตนเองซึ่งอยู่ ๆ ก็รู้สึกแสบร้อนหลังจากถูกทัก สายตาของชานยอลและแบคฮยอนน่าเป็นกังวลยิ่งกว่าเสียอะไรในตอนนี้
แต่มันคงไม่แย่เท่ากับการที่คิมจงแดละมือออกแล้วเห็นว่ามีเลือดติดมากับนิ้วตัวเอง
“...ไม่จริงน่า”
TBC
WAITING FOR THE END TO COMEEEEE
ความคิดเห็น