ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZOMBIES HARD CREEPER | KAIHUN CHANBAEK FT.EXO

    ลำดับตอนที่ #102 : Chapter 97 :: Men In Black

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.52K
      112
      30 ธ.ค. 58

    ? Tenpoints!

     

     

     

    Chapter 97

    Men In Black

     

     


     

    ที่จริงคุณส่งแค่หน้าประตูก็ได้

    ผมไม่ได้มาส่งคุณออกไปหาเสบียงนะซีวอน อี้ฟานยิ้ม

    เมื่อขับออกมาจากอุทยานได้ประมาณสองกิโล ตอนนี้ทั้งคู่ยืนอยู่กลางถนนสายยาวซึ่งหิมะละลายไปพอสมควรแล้ว ข้างตัวซีวอนมีรถยนต์คันสีดำ ในนั้นมีกระเป๋าเสื้อผ้าและเป้เสบียงจำนวนหนึ่ง ที่สามารถทำให้ผู้ชายคนนี้อยู่ได้ราว ๆ สองวันโดยไม่ต้องออกไปเสี่ยงหาเสบียงตามลำพัง

     “ไม่รู้ว่าอนาคตเราจะบังเอิญได้เจอกันอีกหรือเปล่า ผมคงยืนโบกมือลาอยู่หน้าอุทยานแล้วปล่อยให้คุณขับรถออกมาคนเดียวไม่ได้

    ที่ผมตั้งใจออกมาตอนที่ทุกคนยังหลับอยู่ก็เพราะไม่อยากดราม่า คุณอย่าเป็นคนทำมันพังสิอี้ฟานคงเป็นคำพูดติดตลกครั้งแรกในรอบหลายวันที่ได้ยินจากปากซีวอน ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบบนโลกใบนี้ทำงาน ขณะที่อี้ชิงรออยู่ในรถอีกคัน

    เขาแค่นั่งเฉย ๆ ระหว่างให้ชายหนุ่มทั้งสองร่ำลากัน หลังจากที่ซีวอนตัดสินใจได้แล้วว่าจะแยกตัวออกไปตามลำพัง โดยที่ไม่บอกลาคนอื่น ๆ ในอุทยาน ผู้ชายคนนั้นอ้างว่าไม่ชอบบรรยากาศของการบอกลา แต่อี้ฟานก็ไม่ยอมให้ซีวอนทำตามที่ต้องการ เขาจึงอาสาเป็นคนขับรถให้ เพราะลำพังคนขาเจ็บคงทำอะไรลำบาก

    ต่อไปนี้คงเหนื่อยกว่าเดิม รีบหายไว ๆ ล่ะ

    คุณก็เหมือนกัน

    ให้ตายสิ ทั้งที่ปากบอกว่าไม่ชอบเรื่องแบบนี้ แต่ผมกลับกำลังฝากฝังคุณอยู่ ซีวอนหัวเราะ ขณะทอดสายตาไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้าที่รอเขาอยู่

    เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ แล้วผมจะบอกคนอื่น ๆ ว่าเราออกมาสังเกตการณ์ข้างนอก จนถึงตอนนี้อี้ฟานก็ยังคงพยายามรั้งอีกฝ่าย แม้จะรู้ดีว่าใจซีวอนคงไม่อยากอยู่ต่อแล้ว

    อย่าเลย

    ชายวัยกลางคนถอนหายใจ แล้วปล่อยให้ความเงียบทำงานอีกครั้ง ตอนนี้เขาต้องการอยู่ตามลำพัง ใช้เวลาไปกับการทำใจในชีวิตที่ไม่มีลูก ครั้นอยู่ร่วมกับกลุ่มนี้ต่อไปก็รังแต่จะสร้างภาระ เปลืองอาหารเปล่า ๆ เพราะปัจจุบันชเวซีวอนไม่มีกระจิตกระใจออกไปทำอะไรอีก

    พวกคุณกลับไปได้แล้ว มันอันตราย

    อี้ฟานรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากยืดเวลานานไปกว่านี้ จึงตัดบทสนทนาด้วยประโยคดังกล่าว สายตาของซีวอนที่มองไปยังบุรุษพยาบาลหนุ่มในรถ สื่อความหมายได้ทั้งขอบคุณและขอโทษแม้ว่าเจ้าตัวจะหาเหตุผลให้เรื่องเหล่านั้นไม่ได้

    หลายครั้งที่ซีวอนกับอี้ชิงใช้เวลาร่วมกันไปกับการรักษาคนเจ็บ ทั้งคู่ต่างเหน็ดเหนื่อย แต่ทุกอย่างก็ล้วนมาจากความเต็มใจ

    โชคดีนะ

    เช่นกัน

    อี้ชิงยิ้มบาง ๆ ทั้งคู่สบตากันอยู่ชั่วอึดใจก่อนที่ชายวัยกลางคนจะวางมือลงบนลาดไหล่คนอายุน้อยกว่าพร้อมบีบเบา ๆ เป็นการฝากฝังให้อู๋อี้ฟานอดทนและดูแลคนที่เหลือให้ดี แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยากบนโลกใบนี้

    คุณเห็นใช่ไหม

    อืม

    หาคนออกไปจัดการซะ ทีละนิดก็ยังดีกว่าปล่อยให้พวกมันหลุดเข้าไปใกล้ประตูอุทยาน

    อี้ฟานพยักหน้า หลังจากเห็นว่ามีพวกกินคนจำนวนหนึ่งเดินเพ่นพ่านอยู่บนถนน ซึ่งพอมองออกไปสุดสายตาก็พบว่ายังมีอีกมากมายที่กระจายตัวอยู่ และการที่รถสองคันขับออกมาข้างนอก มันก็เป็นเหมือนการเป่านกหวีดเรียกพวกมัน

    ผมต้องไปแล้ว โชคดีนะ

    การบอกลาได้สิ้นสุดลง อี้ฟานถอยหลังออกมาสองก้าวพร้อมมองไปยังรถที่อีกคนแทรกตัวเข้าไปด้านใน ซีวอนไม่ได้หันมายิ้มหรือโบกมือลาเป็นครั้งสุดท้าย ผู้ชายคนนั้นสตาร์ทรถแล้วขับออกไป เพื่อยืนยันว่าเกลียดการบอกลาจริง ๆ

    อี้ชิงบิดกุญแจเมื่ออี้ฟานเข้ามานั่งข้าง ๆ ทั้งคู่ทอดสายตาไปยังรถยนต์สีดำที่ขับไกลออกไปจนสุดสายตา ไม่มีใครรู้ว่าชเวซีวอนจะไปที่ไหน ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร ทุกอย่างมันว่างเปล่า โหวงเหวง เหมือนบรรยากาศเงียบ ๆ ที่รายล้อมอยู่รอบด้าน

    รู้สึกใจหายยังไงก็ไม่รู้สิบุรุษพยาบาลหนุ่มเลี้ยวรถกลับไปทางเดิม โดยไม่หันไปถามความเห็นคนข้าง ๆ ว่ารู้สึกเหมือนกันหรือไม่

    ทุกคนพยายามแล้ว แต่ในเมื่อเขายืนยันว่าจะไป เราก็คงห้ามไว้ไม่ได้

    ที่ซีวอนพูดเมื่อกี้ หมายความว่าเราต้องหาคนออกไปเคลียร์ตรงปากทางเข้าใช่ไหม อี้ชิงหันเข้าหาอีกคน ก่อนจะกลับไปมองถนนตรงหน้าอีกครั้ง

    ใช่ แต่ผมคงไม่ให้พวกเขาออกไปถึงปากทาง อาจจะแค่เคลียร์ส่วนในป่าข้างประตูเข้าอุทยานด้านในก่อน กำลังคนของเราทำได้แค่นี้เป็นอีกครั้งที่สีหน้าของอี้ฟานเต็มไปด้วยความกังวล อี้ชิงเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่ก้มลงมองมือตัวเอง ทอดถอนหายใจกับสิ่งที่ตนยังทำไม่ได้ในช่วงนี้

    ถ้าจะบอกไม่ให้กังวลคงไม่ได้ แต่ผมกับคนอื่น ๆ จะออกไปจัดการเอง

    ...

    คนตัวสูงมองเสี้ยวหน้าบุรุษพยาบาลหนุ่ม รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อยกับประโยคเมื่อครู่ และแน่นอนว่าเขาค่อนข้างไม่เห็นด้วย

    ฟังนะอี้ชิง ไม่ใช่ทุกคนที่จะออกไปเสี่ยงได้เพราะมีความกล้า

    ก่อนจะออกไปก็ต้องมีความกล้าก่อนไม่ใช่เหรอ ผมมีจุดเริ่มต้นที่ดี เชื่อเถอะว่ามันไม่ใช่ความคิดชั่ววูบ ทุกอย่างมันผ่านการคิดมาแล้ว อี้ชิงยิ้มบาง ๆ เขายังคงให้ความสนใจกับถนนเส้นยาวเบื้องหน้าโดยไม่หันไปสบตากับอีกฝ่ายเด็ก ๆ กับคุณกาฮีสอนวิธีใช้อาวุธให้ผมบ้างแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ลองใช้มันจริง ๆ

    ...

    ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วง พอถึงเวลานั้นผมรู้ว่าควรยืนตรงไหน ต้องทำยังไงเพื่อไม่ให้ตกอยู่ในอันตรายและไม่เป็นภาระของคนอื่น ผมจะพยายามอยู่ให้ใกล้ประตูทางเข้าอุทยานให้มากที่สุด

    อี้ชิง

    ผมทนเห็นพวกคุณเจ็บแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว

    คำพูดทุกอย่างถูกกลืนลงคอไปหมด ลักยิ้มบนแก้มบุรุษพยาบาลหนุ่มจางหายไปแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ความจริงจังที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าจางอี้ชิงอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

    เพราะผมเอาแต่หลบอยู่ข้างหลัง พวกคุณถึงได้ลำบากกันอย่างนี้เขามองหน้าอีกฝ่าย “มันถึงเวลาแล้วที่ผมควรจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง

    แต่ก่อนทำ คุณก็ต้องฝึกก่อน ผมพูดถูกไหม?

    ใช่ แต่ฝึกใช้อาวุธเฉย ๆ มันจะมีค่าอะไร ถ้าผมไม่คิดจะสู้กับพวกมันจริง ๆอี้ชิงเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งผมทำแผลได้ แต่มันคงดีกว่าเป็นไหน ๆ ถ้าผมออกไปสู้ด้วยกัน เพื่อให้พวกคุณเจ็บตัวน้อยลง

    ...

     “คุณบอกว่าเราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะฉะนั้นผมจึงไม่อยากให้ใครทำเพื่อผมฝ่ายเดียว อี้ชิงหันมายิ้มอีกครั้ง

    อยากจะพูดแทรกแต่ก็ทำได้แค่ฟังความตั้งใจของบุรุษพยาบาลหนุ่ม เขาพอจะรู้ว่าพักหลังจางอี้ชิงเริ่มขลุกอยู่กับพวกเด็ก ๆ และปาร์คกาฮี เพื่อเรียนรู้วิธีป้องกันตัว แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะอยากออกไปลองข้างนอกเร็วขนาดนี้

    ให้โลกใบนี้สั่งสอนผมเถอะ ถ้ามันถึงเวลาจริง ๆ ตอนนั้นคุณก็รู้ไว้เลยว่าผมเต็มใจยอมรับมันแล้ว

     

     

     

     

    อุณหภูมิปัจจุบันไม่สาหัสเท่าช่วงปีใหม่ที่ต้องต่อสู้กับผีดิบในฤดูหนาวและหิมะซึ่งตกลงมาอย่างหนักจนสร้างปัญหาให้กับการเดินทาง การดำรงชีวิตที่ยากลำบาก

    เด็กหนุ่มคิดว่าตอนนี้แดดคงส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง เขาถึงรู้สึกอุ่นมากกว่าทุกวันอย่างนี้ แต่พอลืมตาก็พบว่าคิดผิด เมื่อความอบอุ่นนั้นเกิดขึ้นจากใครอีกคนที่นอนซุกจมูกอยู่กับซอกคอจากข้างหลัง พร้อมวงแขนที่รวบกอดร่างของเขาไว้ เซฮุนหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เพียงรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ ซึ่งผ่อนเข้าออกจากคนที่ยังหลับอยู่

    เขาค่อย ๆ พลิกตัวหันเข้าหาอีกฝ่าย จงอินยังคงหลับลึก ซึ่งมันเป็นเรื่องดีแล้ว เพราะการข่มตาหลับในโลกที่เต็มไปด้วยฝันร้ายอย่างนี้มันเป็นเรื่องยาก เพราะฉะนั้นเซฮุนเลยอยากให้ทุกคนหลับสนิทเพื่อตื่นมาต่อสู้กับวันต่อไป

    มือข้างซ้ายทาบลงบนแก้มคนหลับ คนผิวแทนยังคงผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ หลังจากโอเซฮุนเป็นฝ่ายเริ่มเรื่องลามกเมื่อคืน

    รู้สึกร้อนไปทั้งใบหน้าเพียงนึกไปถึงความแก่แดดของตน ต่อให้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่การเป็นฝ่ายเริ่มก่อนมันก็น่าอายอยู่ดี แต่เซฮุนก็คิดถึงจงอินมากจนอยากกอดไว้แน่น ๆ ซึ่งได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่มองเขาแย่ลงเพราะเรื่องเมื่อคืนนี้

    ประคองมือที่ถูกพันผ้าก๊อซขึ้นมาดูใกล้ ๆ พลางพลิกเล็กน้อยเพื่อดูอาการอย่างเป็นห่วง คงมีเรื่องนี้ที่เห็นได้ชัดว่าจงอินไม่ได้ต่างไปจากคนเดิมมากนัก กับการทำตัวเหมือนปกติทั้งที่มีบาดแผลอยู่ตามตัว

    ดูสิ... มือเยินขนาดนี้--

    เซฮุนชะงักไปเมื่อพบว่าอีกคนกำลังจ้องหน้าเขาอยู่ ราวกับว่าจงอินตื่นได้เพียงเพราะได้ยินเสียงความคิดของเขา ทั้งคู่สบตากันเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ยาวนาน สำหรับคนสองคนที่ห่างเหินกันไปช่วงเวลาหนึ่ง

    ไง

    อะ-- อรุณสวัสดิ์ครับ

    หลายครั้งที่ความเงียบเป็นคำตอบได้หลายอย่าง ทั้งความอึดอัด ความเศร้า ไปจนถึงความตื้นตันใจที่เซฮุนได้เห็นเงาตนเองในดวงตาคู่นั้น จงอินไม่ได้มองมาอย่างเฉยชา ไม่ได้หลบสายตาไปตามความรู้สึกที่พยายามวิ่งหนีมาตลอดเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว

    มือข้างที่เคยผลักไสกำลังรวบเอวเขาเข้าไปใกล้ ๆ เราสบตากันจนรู้สึกได้ถึงความอุ่นของลมหายใจ แววตาของผู้ชายคนนี้ยังคงประหม่า คล้ายว่ากำลังรวบรวมความกล้าก่อนจะตัดสินใจจูบเขาในที่สุด

    ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเนิบนาบ อบอุ่นขัดกับอากาศด้านนอกที่คอยซ้ำเติมมนุษย์ที่ต้องต่อสู้กับโลกใบนี้ เสียงลิ้นตอนกระหวัดดูดดึง ประสานเสียงลมหายใจตอนกำลังขาดห้วง ไม่มีใครผละออกก่อน จูบที่เริ่มต้นอย่างช้า ๆ เริ่มหนักหน่วงยิ่งขึ้นราวกับว่าจงอินอยากให้เขาระเบิดตาย

    นานพอสมควรคนเอาแต่ใจถึงยอมถอนริมฝีปากออก เซฮุนพอจะเดาออกว่าทำไมจงอินถึงยิ้มขำ เพราะตอนนี้สีหน้าของเขามันคงตลกเพราะถูกความขลาดเขินเล่นงาน เขาชอบเวลานี้จริง ๆ นะ ชอบเวลาจงอินมองมาด้วยแววตาเอ็นดูเด็กอย่างเขา แล้วปิดท้ายด้วยการจูบอีกครั้ง ทำอย่างนั้นอยู่ซ้ำ ๆ ในช่วงเวลาที่โลกนี้มีเพียงแค่เราสองคน

     

     

    หรือความจริงแล้ว โอเซฮุนชอบทุกช่วงเวลาที่มีคิมจงอินกันนะ?

     

     

     

     

     

     

    ซูยอน

    เจ้าของชื่อหยุดฝีเท้าพร้อมยิ้มทักทายผู้มาใหม่ที่เดินมาจากทางลงเขา ปาร์คกาฮีในชุดวอร์มมีเหงื่อเกาะพราวอยู่ตามใบหน้า บ่งบอกว่าวันนี้เธอคงเหนื่อยไปกับการออกกำลังกายเหมือนทุกวันหลังจากที่ช้างเท้าหน้าต่างบาดเจ็บสาหัส

    กาฮีหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาวตัวผอมบาง เธอเห็นอีกฝ่ายถือตะกร้าถุงเมล็ดพันธุ์ไว้ คาดว่าคงมีอะไรให้ทำแต่เช้าจะไปไหนเหรอจ๊ะ?

    เมื่อคืนอี้ชิงบอกว่าถ้าฉันว่างก็อยากให้เข้าไปชวนคุณจงแดคุยหน่อยน่ะค่ะ แล้วมันก็คือหัวข้อบทสนทนาของวันนี้ ซูยอนก้มลงยิ้มให้กับตะกร้าในมือเขาบอกว่าอีกไม่นานพวกเราก็จะย้ายออกแล้ว ถ้าสร้างความทรงจำดี ๆ เอาไว้ เราก็จะยิ้มได้ทุกครั้งที่นึกถึงอุทยาน พี่คิดอย่างนั้นหรือเปล่าคะ?

    กาฮีมองดวงหน้าขาวอย่างนึกเวทนา ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เธอคงยิ้มแล้วพยักหน้าหลังจากได้ฟังประโยคเมื่อครู่ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปตั้งแต่โอเซฮุนขึ้นไปคุยกับเธอบนเขา เด็กคนนั้นเล่าทุกอย่าง และฝากฝังให้เธอช่วยดูแลซูยอนเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ซึ่งปาร์คกาฮีก็ตอบตกลงอย่างเต็มใจ

    ฉันคิดเหมือนเธอจ้ะ ซูยอนยิ้มตามเพียงเพราะเห็นลักยิ้มบนแก้มคนอายุมากกว่าอี้ชิงเป็นคนจิตใจดี เขามักจะนึกถึงคนรอบข้างอยู่เสมอ

    นั่นสิคะ ขนาดฉันไม่ค่อยได้คุยกับเขายังสัมผัสได้เลย เธอหัวเราะ

    เธอเองก็เหมือนกัน

    คำพูดของกาฮีทำเอาหญิงสาวตัวผอมบางยิ้มเก้อ ซูยอนไม่เข้าใจว่าทำไมถึงชะงักกับประโยคนี้ ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายก็ยิ้มมาอย่างจริงใจ และดูเหมือนคนตรงหน้าจะรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ปาร์คกาฮีจึงยิ้มกว้างกว่าเดิมเล็กน้อย

    ทุกคนมีทั้งด้านดีและด้านแย่ เคยทำเรื่องไม่ดีมาก่อน ครูสาวยิ้มอย่างเช่นฉัน ซูยอนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า สิ่งที่ฉันคิดว่าเลวร้ายที่สุด ก็คือตอนมีความคิดอยากฆ่าคนอื่นเพื่อปกป้องคนรอบข้าง

    ...

    เคยนอนร้องไห้เพราะนึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้น ฉันรู้ว่ากลับไปแก้ไขไม่ได้ อย่างเช่นตอนที่ได้ยินเสียงนักเรียนกรีดร้อง และตอนนั้นฉันทำก็คือวิ่งตามหลังหวงจื่อเทา

    สีหน้าของครูสาวลดลงไปจากเดิมหลังจากถูกความเศร้าเข้ามาแทนที่ จองซูยอนเกลียดความทรงจำแย่ ๆ ที่คอยตามหลอกหลอน เพราะฉะนั้นเธอจึงเข้าใจดีว่ามันแย่แค่ไหนกับการที่ต้องเล่าให้ใครสักคนฟัง

    มันคงเป็นแผลในใจของพี่ ฉันเข้าใจนะคะ ฉันไม่อยากให้พี่โทษตัวเองทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของพี่ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอกค่ะ

    นั่นสินะ

    หญิงสาวทั้งสองยิ้มให้กันและกัน คล้ายว่าเป็นเรื่องจำเป็นเพราะมันมาจากการยิ้มฝืน ไม่มีใครอยากยิ้ม ไม่มีใครอยากหัวเราะ ทุกคนต่างมีความทุกข์ในใจที่บั่นทอนความรู้สึกตนเอง และการที่อีกฝ่ายหยุดยืนอยู่ตรงนี้ มันทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเพราะอะไรปาร์คกาฮีถึงคุยกับเธอ

    พี่อยากพูดอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ?

    คนถูกถามไม่ได้ตอบในทันที กาฮีแค่มองดวงตาคู่สวยที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงเท่านั้น เธอยิ้มแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบ ก่อนจะวางมือลงบนไหล่คนอายุน้อยกว่า

    ฉันเสียนักเรียนไปมากมาย เพราะพวกเขาเอาตัวรอดไม่เป็น

    ...

    เพราะฉะนั้นมันคงดีถ้าเธอเริ่มฝึกใช้อาวุธตั้งแต่ตอนนี้ รู้ใช่ไหมซูยอน?

    ยอมรับว่าเธอพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องนี้มาตลอด เหตุผลข้อแรกคือจองซูยอนยังไม่มีความกล้ามากพอที่จะต่อสู้กับใคร ไม่ว่าจะเป็นพวกผีดิบด้านนอกหรือมนุษย์ด้วยกัน ฉะนั้นคำพูดของปาร์คกาฮีจึงทำให้เธอเงียบไป

    ไม่ใช่แค่เธอ ฉันเองก็เหมือนกัน อย่างน้อยก็ฝึกพอให้เอาตัวรอด เพราะถ้าเกิดเหตุฉุกละหุกจริง ๆ เราคงหวังพึ่งคนอื่นไม่ได้ ทั้งคู่สบตากัน อย่างที่อี้ชิงบอก ว่าอีกไม่นานเราก็ต้องย้ายไปจากอุทยาน นั่นหมายความว่าบ้านใหม่อาจจะไม่ปลอดภัยเท่าที่นี่

    พูดอย่างกับว่าที่นี่ปลอดภัย

    ทั้งคู่หันไปตามเสียงทันทีที่ได้ยินใครอีกคนพูดแทรกขึ้นมา ก่อนจะพบควอนยูริที่ถือขวานไว้ในมือเหมือนว่าคุ้นชินกับมันมาแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งสายตาที่มองมานั้นไม่ได้ส่งไปในทางเป็นมิตรนัก ซึ่งปาร์คกาฮีก็ไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะยิ้มให้

    ยูริเลือกตรงมาทางนี้มากกว่าเดินเข้าหาท่อนซุงข้าง ๆ กองไฟ หญิงสาววางด้ามขวานไว้บนไหล่ มองครูสาวไม่ต่างจากเดิม ก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่ซูยอน

    มีอะไรหรือเปล่ายูริ

    ถ้าไม่มี พี่เข้ามาคุยด้วยไม่ได้เหรอ?

    ถ้ามองในมุมของคนนอก บทสนทนาของสองพี่น้องก็คงดูปกติ แต่สำหรับคนที่รู้ความลับอยู่แก่ใจอย่างปาร์คกาฮี เธอจึงสังเกตเห็นได้ว่าทั้งคู่คงมีเรื่องไม่พอใจกันอยู่

    ฉันกำลังบอกให้ซูยอนฝึกป้องกันตัวไว้น่ะค่ะ

    ฝึก? ฝึกทำไม

    พี่กาฮีแค่อยากให้ฉันมีฝีมือติดตัวไว้ ไม่มีอะไรหรอก ซูยอนรู้จักควอนยูริดี เธอรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เข้ามาแทรกกลางเพราะอยากเข้าร่วมบทสนทนา

    ฉันปกป้องเธอได้อยู่แล้ว จะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรกัน?

    แล้วถ้าเวลาคุณต้องสู้กับพวกมัน โดยที่ซูยอนอยู่ข้างหลังล่ะคะ?

    ... หญิงสาวผอมสูงชักสีหน้า สบตากับคนอายุมากกว่าซึ่งมองมาอย่างท้าทาย ปาร์คกาฮีมีเจตนาอย่างไรใครจะสน มันนานแค่ไหนแล้วที่ควอนยูริดูแลปกป้องจองซูยอน ซึ่งเธอทำได้ดีมาตลอด เรื่องอะไรจะปล่อยให้ยัยนี่ออกไปเสี่ยงข้างนอก

    ฉันหวังดี ทุกคนที่นี่ควรมีพื้นฐานเรื่องนี้เอาไว้

    จางอี้ชิงล่ะ?

    เขาเริ่มฝึกไปบ้างแล้วค่ะ ไม่ต้องห่วง เป็นอีกครั้งที่ควอนยูริยกจางอี้ชิงขึ้นมาเพื่อที่จะหาเรื่องทบถม ซึ่งเธอคงไม่ปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้พูดจาแย่ ๆ ถึงเขาอีกแล้ว

    นั่นสินะ ไม่งั้นหมอนั่นคงไม่กล้าขับรถพาอู๋อี้ฟานออกไปส่งชเวซีวอนข้างนอกหรอก ประโยคดังกล่าวทำหญิงสาวทั้งสองคนขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

    ไปส่งซีวอน?

    อ่า คงยังไม่รู้สินะ ว่าเขาย้ายออกไปจากที่นี่แล้วยูริยกยิ้มขณะมองหญิงสาวตรงหน้าทั้งสอง

    ว่าไงนะ? ซูยอนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินนัก เธอหันไปสบตากับครูสาว ก่อนที่ควอนยูริจะอธิบายต่อ

    ตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ ฉันก็เพิ่งรู้ตอนเห็นลู่หานกับหวงจื่อเทาออกไปจัดการพวกนอกรั้วนั่น เอาน่า มันเป็นเรื่องที่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าชเวซีวอนครั่นเนื้อครั่นตัวอยากย้ายออกไปเต็มแก่ ผู้ชายคนนั้นก็แค่ทำให้มันเร็วขึ้น

    ...

     ปาร์คกาฮีหลุบสายตาลงพลางขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปทางประตูทางออกอุทยาน ที่บุรุษพยาบาลหนุ่มและนักเรียนของเธอกำลังเดินกลับเข้ามาพร้อมอาวุธในมือ ท่าทางเหนื่อยหอบอิดโรยบ่งบอกว่าจางอี้ชิงกับคิมมินซอกคงผ่านการต่อสู้กับพวกกินคนข้างนอกมาอย่างหนัก

    ฉันขอตัวก่อนนะ

    หญิงสาวกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าไปหาชายทั้งสองคน ก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้า อี้ชิงเม้มริมฝีปาก เขารู้ดีว่าจุดประสงค์ที่ปาร์คกาฮีมาอยู่ตรงนี้เพราะอะไร

    เทาบอกว่าข้างนอกพวกกัดคนเริ่มเยอะขึ้น ลำพังเขากับลู่หานสองคนคงจัดการไม่ไหว ผม อี้ชิง จงอิน เซฮุนเลยไปสมทบครับ มินซอกรู้ว่าครูเป็นห่วงเขา สังเกตได้จากสีหน้าที่แสดงออกอย่างชัดเจน

    ขอครูคุยกับอี้ชิงหน่อยนะ

    เด็กน้อยพยักหน้าแล้วเดินกลับไปพัก หลังจากที่มือใหม่อย่างเขาและอี้ชิงได้ทำการฝึกฆ่าพวกผีดิบด้านนอก มันทุลักทุเลและเหนื่อยไปกว่าทุกครั้ง ถ้าลู่หานไม่ไล่กลับมาพัก เขาทั้งสองคงอยู่ต่ออีกสักหน่อย

    เรื่อง – ซีวอน – ใช่ไหมครับ? บุรุษพยาบาลหนุ่มเปิดบทสนทนาก่อน ซึ่งการที่อีกฝ่ายเอาแต่จ้องหน้าเขาโดยไม่พูดอะไร มันก็ทำให้รู้คำตอบได้ไม่ยาก ว่าปาร์คกาฮีคงไม่พอใจอยู่ลึก ๆ กับการที่ชเวซีวอนย้ายออกไปจากที่นี่โดยไม่บอกใคร ยกเว้นเขาและอี้ฟาน

    นั่นก็ส่วนนึงค่ะ

    เธอยังคงไม่ละสายตาจากใบหน้ามอมแมมของชายหนุ่ม เป็นครั้งแรกที่กาฮีเห็นอี้ชิงอยู่ในสภาพเละเทะขนาดนี้ ไม่รู้ไปสู้อีท่าไหน เสื้อผ้าบางส่วนเปียกเป็นดวง คาดว่าคงล้มไปเกลือกกลั้วกับหิมะมา อีกทั้งยังมีเศษใบไม้ใบหญ้าเกาะ แต่การที่อีกฝ่ายจะอยู่ในสภาพนี้ ก็ต้องเริ่มจากการมีความกล้า ซึ่งใช่ว่าทุกคนจะมี

    คุณเนี่ยนะ...

    อี้ชิงยืนนิ่ง ฟังเสียงบ่นในลำคอเบา ๆ จากหญิงสาวตรงหน้าซึ่งกำลังช่วยปัดเศษใบไม้ออกจากร่างกายเขา บุรุษพยาบาลหนุ่มกำลังทำตัวไม่ถูก ในหัวปั่นป่วนและคิดว่าอะไรที่ยากกว่ากัน ระหว่างจัดการผีดิบด้านนอกโดยไม่ให้พลาดโดนกัด หรือการพยายามเก็บสีหน้าให้เป็นปกติที่สุดเมื่ออยู่กับเธอ

    ผม – ปลอดภัย

    แน่ล่ะ ถ้าคุณถูกกัดคงไม่กล้ามองหน้าฉันอย่างนี้

    ซีวอน – ก็ต้องปลอดภัย

    ห่วงตัวเองก่อนก็ได้ค่ะ ฉันไม่ได้รีบเอาคำตอบจากคุณสักหน่อย เธอถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นสบตากับชายหนุ่มเป็นระยะ ซึ่งอี้ชิงเพียงแค่ยิ้มเจื่อนพลางเกาท้ายทอยเบา ๆ

    ข้างนอก – ตัวกินคน – เยอะ – แล้ว

    ชายหนุ่มหันไปทางประตูทางออกอุทยาน ที่ตอนนี้คนอื่น ๆ กำลังพยายามกวาดล้างพวกที่เข้ามาใกล้ประตูด้านในให้ได้มากที่สุด ซึ่งคงเป็นเรื่องยาก และนั่นเป็นเหตุผลที่ลู่หานไล่ให้คนประสบการณ์น้อยกลับมาพักก่อน เพราะหากเข้าไปลึกกว่านั้น พวกเขาอาจพลาดท่าโดนกัดจากผีดิบที่ไม่รู้ว่าหลบซ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง

    เรา – ต้อง – ช่วยกัน

    คุณกลับเข้าไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันจะออกไปช่วยพวกเขาเอง

    คุณ – หายเหนื่อย – แล้วเหรอครับ? อี้ชิงมองดวงหน้าขาวด้วยความเป็นห่วง กาฮีขึ้นไปวิ่งบนเขาทุกวันเรื่องนั้นเขารู้ดี ครั้นจะให้ออกไปสู้กับผีดิบด้านนอกก็กลัวจะไม่ไหว ใจอยากปัดปอยผมออกให้แต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะรู้สึกไม่ดี

     “คุณยังรู้จักฉันน้อยไป ฉันไม่ได้แรงน้อยอย่างที่คิดหรอกนะคะ เธอหัวเราะ

    งั้น – ออกไปด้วยกัน

    ไม่ได้ค่ะ คุณต้องกลับเข้าไปพัก หญิงสาวขมวดคิ้ว ยิ้มกับคำพูดคำจาซื่อ ๆ ของคนตรงหน้า

    ผม – ยังไม่ได้ – เล่า – เรื่องซีวอน – เลย อี้ชิงกลอกตา ปั้นหน้านิ่งหาข้ออ้างออกไปกับเธอ

    เห็นทีว่าการฝึกให้ซูยอนคงต้องเอาไว้ทีหลัง เมื่อตอนนี้พวกกัดคนด้านนอกได้เข้ามาใกล้อุทยานเข้าไปทุกทีแล้ว กาฮียืนกอดอก สบตากับชายหนุ่มที่ยังคงยืนยันว่าจะออกไปด้วยกัน เธอถอนหายใจเบา ๆ แล้วพยักหน้าตกลง

     

    และสุดท้ายเธอก็ยอมให้ผู้ชายคนนี้เป็นลูกศิษย์อีกครั้ง

     

     

     
     

     

    ไหวแน่นะครับ?

    ผมเดินให้คุณดูแล้วนี่ อย่ากังวลเลย

    แบคฮยอนหัวเราะแล้วตรงไปหยุดอยู่หน้าประตูรังหนูแคบ ๆ ที่พวกเขาใช้เป็นที่พักมาตลอดหลายวันกับการอยู่ฟื้นตัวให้ข้อเท้าดีขึ้น ซึ่งดูเหมือนว่าชานยอลจะยังไม่เชื่อเสียทีเดียว และคนตัวเล็กรู้ว่าถ้าขืนปักหลักอยู่ที่นี่นานเกินไปกว่านี้ก็มีแต่จะลำบาก เพราะอีกฝ่ายต้องออกไปเสี่ยงหาเสบียงข้างนอก

    คนตัวสูงหลุบสายตาลงมองตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเพื่อความแน่ใจ ถ้าจะบังคับให้แบคฮยอนนั่งเฉย ๆ เจ้าตัวก็คงไม่ยอมแน่ ซึ่งเขาก็ไม่อยากอ้าปากบังคับให้อีกฝ่ายทำตาม อีกทั้งตัวเขาก็มองเห็นปัญหาที่รายล้อมอยู่รอบข้างเช่นกัน

    ชายหนุ่มหมุนลูกบิดออกพร้อมสายลมที่พัดผ่านมา มันปะปนกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพ เบื้องหน้าเต็มไปด้วยรถราบนท้องถนนซึ่งขึ้นฝ้ามัวจากสภาพอากาศและหิมะเล็กน้อย ชานยอลกวาดสายตาอย่างรอบคอบ เห็นผีดิบที่ยืนโหยหวนอยู่ตามจุดที่จำเป็นต้องผ่าน เขาจึงส่งสัญญาณมือบอกให้แบคฮยอนเข้าไปจัดการตัวซ้าย ส่วนเขาจัดการอีกตัว และทุกอย่างก็เริ่มต้นและจบอย่างเงียบเชียบ

    นานพอสมควรกับการหาทางออกจากจุดที่เต็มไปด้วยผีดิบจำนวนมาก ทุลักทุเล ลุ้นทุกชั่วหายใจแต่ก็แลกมากับความปลอดภัย แทนที่จะเลือกรถสักคันแล้วส่งเสียงเรียกพวกมันมายังจุด ๆ เดียว

    ชานยอลหันไปมองคนตัวเล็กที่กำลังกะเผลกตามมา ริมฝีปากที่โกยอากาศเข้าปอดนั้นทำให้เขาหยุดฝีเท้าพร้อมยื่นท่อนแขนออกไป คว้ามือเล็กขึ้นมาจับมันเอาไว้เป็นหลักในการเดิน

    แบคฮยอนดูไม่ค่อยอยากแตะต้องตัวเขา แต่เจ้าตัวคงรู้ว่าปาร์คชานยอลจะทำยังไงหากไม่เชื่อฟังกันในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ ชายหนุ่มกางขาออกพร้อมประสานมือไว้ใต้หัวเข็มขัด เป็นฐานให้คนตัวเล็กปีนขึ้นไปบนกำแพงสูง ก่อนที่เขาจะตามขึ้นไป โดยความช่วยเหลือของอีกคนที่ช่วยดึงจากด้านบน

    กลิ่นซากศพลอยเตะจมูกอีกครั้ง ชานยอลกระโดดลงไปข้างล่างก่อนจะช่วยรับแบคฮยอนที่กระโดดตามลงมาด้วยท่าเจ้าสาว เขาวางคนตัวเล็กลงแล้วกวาดสายตาไปในบ้านสองชั้นเบื้องหน้า ซึ่งคาดว่ามันจะเป็นทางลัดให้เขาทั้งคู่ออกไปหารถกลับอุทยานได้ง่ายกว่าอ้อมไปตามถนน

    หญ้าสูงเกือบถึงเข่าบ่งบอกถึงการถูกปล่อยปะละเลย แน่ล่ะ ในโลกปัจจุบันคงไม่มีใครอารมณ์ดีลุกขึ้นมาตัดหญ้าให้เหี้ยนเกรียนในระดับข้อเท้า เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องระวังตัวกินคนที่อาจนอนฝังตัวอยู่ใต้พงหญ้าซึ่งอำพรางตัวด้วยหิมะมาตลอดฤดูหนาว

    พักก่อนไหมครับ?

    ไม่เป็นไร ผมยังไหว

    บอกตามตรงว่าผมเป็นห่วงขาคุณจริง ๆ อย่างน้อยก็สักสิบนาทีเถอะ

    ...

    ผมเหนื่อย

    แบคฮยอนได้แค่มองอีกคนอย่างอ่อนใจ สุดท้ายชานยอลก็หาเหตุผลบนโลกใบนี้มาอ้างให้เขายอมจนได้

    คนตัวเล็กถูกประคองให้ไปนั่งบนเก้าอี้หวายหน้าบ้าน เขามองแผ่นหลังกว้างของคนตัวสูงที่เดินไปหยุดอยู่หน้าประตูทางออก หันซ้ายทีขวาทีดูลาดเลา ซึ่งถ้ามองจากตรงนี้ก็สามารถเห็นตัวกินคนที่ยืนโงนเงนอยู่ด้านนอกถึงสองตัว ก่อนจะเดินกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

    ข้างนอกมีพวกมันกระจายตัวอยู่เต็มไปหมด ผมคิดว่าเราคงต้องข้ามรั้วบ้านไปอีกหลายหลัง พูดจบก็หลุบสายตามองขาคนตัวเล็ก ถ้ามีทางที่ปลอดภัยกว่านี้ แน่นอนว่าปาร์คชานยอลคงไม่ลังเลที่จะเลือก แต่ถ้าปีนรั้วออกไปวิ่งบนถนนด้านนอก เขาก็กลัวว่าจะพลาดท่าเข้าเพราะทางมันแคบพอสมควร

    ผมไหว เราจะกันไปเลยไหม?

    ...

    ไปกันเถอะ ผมเป็นห่วงคนที่อุทยาน

    แบคฮยอนคงไม่เข้าใจผิดไป กับสายตาอีกฝ่ายที่มองมาด้วยความเป็นห่วงขาของเขา คนตัวเล็กรู้ดีว่าทั้งคู่คงอยู่ในละแวกนี้ได้อีกไม่นาน ไหนจะปัญหาเรื่องเสบียง เป็นห่วงคนที่อุทยาน จึงคิดว่าถ้าอดทนสักหน่อยก็คงหารถขับกลับไปได้

    ผมจะปีนขึ้นไปก่อน แล้วรอรับคุณจากข้างล่าง ถึงจะไม่เต็มใจแต่ชานยอลก็ยอมทำตามที่เขาพูด แบคฮยอนพยักหน้ารับ ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มปีนรั้วไปบ้านอีกหลัง

    ผ่านไปจนถึงทางแยก รั้วนี้ค่อนข้างสูง ซึ่งชานยอลเอาเก้าอี้จากในบ้านออกมาตั้งไว้เป็นฐานเพื่อปีนขึ้นไปข้างบน ชายหนุ่มก้มตัวลงมาพร้อมยื่นมือดึงคนตัวเล็ก จากระดับความสูงที่ยากลำบาก แต่มันก็คงไม่โง่ไปกว่าการออกทางประตูซึ่งมีพวกกินคนที่ยืนอออยู่ด้านนอกพร้อมส่งเสียงโหยหวน

    ...!!!”

    แบคฮยอนนิ่วหน้าเจ็บ แม้ชานยอลจะรับไว้ได้ทันแต่การที่เขากระโดดลงมาจากรั้วสูงมันก็ทำให้เสียการทรงตัวอยู่พอสมควร ไหนจะขาที่ยังไม่หายดี แต่ก็นับว่าไม่แย่เมื่อเขาไม่หลุดโอดครวญออกมาจนผีดิบที่อยู่ไม่ห่างจากตรงนี้ได้ยินเข้า

    ไหวไหม?

    ผมโอเค

    ชานยอลไม่ปล่อยให้เขาเดินเองอีก เมื่อตอนนี้อีกฝ่ายประคองไหล่คนตัวเล็กให้เดินไปด้วยกัน สายตาของร่างสูงกวาดมองไปรอบข้างอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหยุดฝีเท้าพร้อมละมือออกจากไหล่ ตรงไปข้างหน้าเพื่อจัดการผีดิบที่ขวางทางอยู่

    ถนนลาดชันมีรถยนต์จอดกินเลนส์เส้นหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อบังคับว่าต้องใช้ทางนี้ในการหาทางออก ในเมื่อกำแพงบ้านหลังต่อไปมันสูงเกินกว่าที่เขาทั้งคู่จะข้ามไปได้ บนถนนมีผีดิบหลายตัวยืนโงนเงนอยู่ตามจุด ถามว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย ก็คงตอบได้ว่าเป็นเรื่องดีอยู่ ตราบใดที่พวกมันยังไม่หันมาพร้อม ๆ กัน

    เสียงครางฮือในลำคอทำให้บรรยากาศเยือกเย็นน่าขนลุกเข้าไปอีก มันคงไม่แย่นักถ้าทั้งคู่จะค่อย ๆ จัดการกับพวกมันทีละตัว เสียเวลาหน่อย แต่ถ้าแลกมากับความปลอดภัยก็ย่อมดีกว่าเป็นไหน ๆ ชานยอลเข้าไปจัดการผีดิบด้วยชะแลงเหล็ก ฟาดให้เสียหลักล้มลงไปก่อนจะแทงลงกลางลูกตาอย่างแรง พร้อมชักออกจนเลือดสีเข้มทะลัก

    กรรรซ์

    แบคฮยอนขมวดคิ้ว มองไปยังตัวกินคนที่ออกมาจากตรอกแคบด้านข้าง เขากำมีดทำครัวไว้แน่น ยืนตั้งหลักพลางหันไปทางคนตัวสูงที่กำลังจัดการผีดิบตัวถัดไปที่ตามออกมาหลังจากได้ยินพวกเดียวกันส่งเสียงร้อง

    มันไม่ได้เล่นพวก แต่ตามสัญชาติญาณเหล่าตัวกินคนคือการมาตามเสียง ซึ่งไม่มีข้อยกเว้น เพราะฉะนั้นแบคฮยอนจึงต้องจัดการตัวนี้ด้วยตนเอง แม้จะทุลักทุเลเพราะขาที่อาการแย่ลงทุกที เนื่องจากพยายามหลบหนี ปีนป่ายข้ามรั้วมาจนถึงตอนนี้

    อะ...

    คนตัวเล็กนิ่วหน้ากัดฟันแน่น เมื่อรู้สึกได้ถึงความเจ็บซึ่งแล่นปราดจากข้อเท้าทันทีที่ขยับตัว เขากะเผลกไปข้างหน้า แทงเข้าไปตรงกลางอกแล้วผลักออกไป

    เพราะมีดทำครัวไม่สามารถแทงศีรษะผีดิบได้ ของแหลมคมที่เคยใช้เป็นอาวุธตอนออกมาจากที่พักก็หักงอไปแล้วหลังจากฆ่าพวกมันไปแค่ไม่กี่ตัว ครั้นจะหามีดพกหรืออาวุธชิ้นอื่นในย่านนี้ก็คงเป็นเรื่องยาก แค่ได้มีดทำครัวมาก็ถือว่าเป็นโชคของเขาแล้ว

    ผีดิบร่างโสมมค่อย ๆ ลุกขึ้น ส่งเสียงหวีดร้องกับเหยื่อตรงหน้าที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนต่อมความหิว สำหรับพวกมันมนุษย์ก็เป็นแค่อาหารอันโอชะที่กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักอิ่ม แบคฮยอนหันไปทางชานยอลที่ยังคงพยายามจัดการเหล่าเหล่าผีดิบที่ทยอยออกมาเรื่อย ๆ



    หนึ่งตัว... สองตัว... และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากเสียงโหยหวนของพวกเดียวกัน



    ถอยออกมา แบคฮยอน!”

    การใช้ชะแลงเหล็กต้องออกแรงเยอะมากพอสมควรกว่าจะแทงทะลุกะโหลกผีดิบได้ ซึ่งนอกจากการทำให้มันล้มแล้วแทง วิธีอื่นจึงเป็นเรื่องยาก กว่าจะฆ่าแต่ละตัวให้ตายมันไม่ง่ายเหมือนตอนใช้มีดพกหรือของแหลมคมชนิดอื่น

    ชายหนุ่มหันกลับไปมองคนตัวเล็กเป็นระยะ แบคฮยอนที่กะเผลกถอยออกมาจากตรงนั้นกำลังเจอปัญหาใหญ่เมื่อเหล่าผีดิบกำลังมุ่งตรงมาจากทุกซอกมุมที่พวกมันเคยอยู่

    ชานยอลเปลี่ยนจากการฆ่าเป็นซัดให้พวกมันเสียหลัก ออกแรงถีบอย่างแรงจนตัวกินคนเซถอยไปข้างหลัง แต่พวกมันไม่รู้จักความเจ็บปวด ไม่ถึงเสี้ยววินาทีผีดิบก็หยัดยืนตรงได้อีกครั้งพร้อมแผดเสียงลั่น

    กร๊าซซซซซซซซซซซซ!!!”

    ชานยอล!”

    ชายหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าตอนนี้เขาและแบคฮยอนอยู่ห่างกันจนน่าตกใจเพราะต่างคนต่างถูกไล่ต้อน คนตัวเล็กพยายามเปิดประตูรถเพื่อหาทางหนี แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อสัญญาณกันขโมยดังขึ้นจนต้องเปลี่ยนเป็นปีนขึ้นไปบนหลังคาแทน

    แบคฮยอนถดตัวหลบมือจำนวนมากที่ปะป่ายขึ้นมาหวังจะกระชากขาเขาลงไปฉีกกิน เหงื่อจากความกลัวและความกดดันไหลซึมตามขมับ คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่กำลังตกอยู่ในสภาวะไม่ต่างกันนัก และดูเหมือนว่าจะอันตรายกว่าด้วยซ้ำเมื่อชานยอลพยายามหาทางมาช่วยเขา

    ข้างหลังคุณ!”

    ร่างสูงเบี่ยงตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด คิ้วหนาขมวดมุ่นกับปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้เขาคิดว่าน่าจะควบคุมทุกอย่างไว้ได้ แต่ทุกอย่างก็ผิดคาดไปหมด ในวินาทีนี้ปาร์คชานยอลรู้แล้วว่าความจริงสามารถสวนทางกับสิ่งที่เขาคิดไว้ได้เหมือนกัน

    กับมนุษย์ยังใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกล่อได้ แต่สำหรับผีดิบที่ไร้ความคิดและเชื่อความหิวมากกว่าเสียงร้องขอชีวิตคงเป็นเรื่องยาก ไม่คิดเลยว่าทุกอย่างจะผิดพลาดได้ถึงขนาดนี้ เขากำลังจวนตัว และไม่สามารถเข้าไปช่วยแบคฮยอนได้

    อะ!!!”

    คนตัวเล็กล้มหงายหลังหัวฟาดหลังคารถอย่างแรงทันทีที่ถูกตัวกินคนดึงข้อเท้า แบคฮยอนนิ่วหน้ากับอาการมึนก่อนจะปะป่ายหาที่ยึดเหนี่ยวเมื่อร่างของเขากำลังจะถูกลากลงไป

    แบคฮยอน!!!”

    ช่วยด้วย!!!”

    เสียงนิ้วทั้งสิบครูดไปกับหลังคารถ ปะปนกับเสียงโหยหวนของผีดิบนับสิบที่เบียดเสียดกันเข้ามาหาเหยื่อที่ดิ้นพล่านอยู่บนนั้น แบคฮยอนพยายามยึดร่างของตนไว้พร้อมถีบขาไม่หยุด ชานยอลขมวดคิ้วอย่างหัวเสีย ฟาดชะแลงเหล็กเข้ากับศีรษะตัวกินคนอย่างแรงจนส่วนงอฝังลงกะโหลก ก่อนจะรีบชักออกแล้วปีนขึ้นไปบนหลังคารถเพื่อหาทางไปช่วยแบคฮยอนที่อยู่ห่างจากตรงนี้อีกสามคัน

    รถยนต์ส่ายด้วยแรงเขย่าของผีดิบด้านล่าง ชายหนุ่มพยายามทรงตัวเอาไว้ และปัญหาหลักในวินาทีนี้คือเขาไม่สามารถกระโดดข้ามไปอีกคันได้ ด้วยช่องว่างระหว่างคันซึ่งมีตัวกินคนสองตัวยืนขวางอยู่

    เสียงหวีดร้องของแบคฮยอนเป็นเหมือนระเบิดเวลา ที่ตะโกนบอกข้างหูว่าถ้าหากช้ากว่านี้คนตัวเล็กต้องตายแน่ ๆ ชานยอลหวดชะแลงเหล็กอย่างแรงหวังให้พวกมันพ้นทาง แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ให้มันเซเท่านั้น

    ร่างของแบคฮยอนกำลังถูกลากลงไปตามส่วนโค้งของหลังคารถด้านหลัง แม้จะพยายามยื้อตัวไว้สักแค่ไหน แต่จากสภาพที่ไม่เต็มร้อยก็ทำให้การหลบหนีในครั้งนี้ยากขึ้นเป็นเท่าตัว

    ไม่นะ... เขาจะตายตรงนี้ไม่ได้...

    ชานยอล!!!”

     
     

    ปัง!

     
     

    กรรรรรรรรรซ์!!!”

     
     

    ปัง!

    ปัง!

    ปัง!

     
     

    นัยน์ตาที่คลอหน่วงไปด้วยหยดน้ำใสมองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ เมื่อผีดิบที่กำลังลากเขาลงไปสู่ความตายได้หงายหลังลงไปทันทีที่ถูกกระสุนเจาะหัวทีละตัว แบคฮยอนมีเวลาตั้งสติไม่มากนัก เขารีบปะป่ายขึ้นไปบนหลังคารถอีกครั้ง ก่อนจะเห็นว่าตอนนี้มีคนชุดดำกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาพร้อมอาวุธครบมือ

     

     

    ทั้งตัดหัวผีดิบจนขาด ทั้งจามด้วยขวาน และยิงปืนปิดท้าย

     

     

    ลงมาจากตรงนั้น เร็วเข้า!”

    สิ้นสุดเสียงนั้น ชานยอลก็รีบกระโดดข้ามหลังคารถเพื่อไปช่วยประคองแบคฮยอนหนีออกมา ในขณะที่คนกลุ่มนั้นยังคงกระจายตัวกันฆ่าเหล่าผีดิบที่ทยอยออกมาเรื่อย ๆ

    ตามเขาไป!”

    ชายหนุ่มก้มตัวลงเพื่อให้คนตัวเล็กขึ้นขี่หลัง เมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงชี้ไปทางชายชุดดำอีกคนที่อยู่จุดสูงกว่า ขายาวรีบวิ่งตามชายหมวกโม่งที่วิ่งสะพายปืนไรเฟิลอยู่บนกำแพงก่อนจะกระโดดลงมาบนพื้นราวกับว่าเป็นเรื่องง่าย

    ไม่มีเวลาให้เกิดคำถามกับการได้รับความช่วยเหลือในครั้งนี้ แบคฮยอนกอดรอบคอชานยอลไว้แน่นทั้งที่ยังร่างกายสั่นเทา หลังจากผ่านพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิด

     

     
     

     

     
     

    รถยนต์สองคันเทียบจอดข้างทางซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ ทั้งคู่นั่งนิ่งมาตลอดทั้งทางโดยไม่ยิงคำถามไป ชานยอลเพียงสบตากับคนขับผ่านกระจกมองหลังซึ่งอยู่ในชุดดำหมวกโม่งเหมือนในทีแรก ไม่มีใครเปิดเผยหน้าตา และแน่นอนว่าถ้าในวินาทีนั้นไม่จวนตัวจริง ๆ เขาก็คงไม่ขอความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้าที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

    แต่ในเมื่อปาร์คชานยอลไม่มีโอกาสหาทางไปช่วยแบคฮยอนได้อย่างที่เคยทำ เขาจึงต้องยอมรับความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงนี้เอาไว้แต่เพียงผู้เดียว แม้จะนึกขอบคุณ แต่อีกหนึ่งความคิดที่แทรกเข้ามาในหัวก็คือ

     

     

    กลุ่มนี้เป็นคนแบบไหน?

     

     

    ลงมา

    ชายหนุ่มทั้งหกยืนล้อมรถคันนี้เอาไว้แล้ว ชานยอลไม่ได้ทำตามที่อีกฝ่ายสั่งในทันที แต่เขารู้ดีว่าถ้าหากทิ้งเวลานานไปกว่านี้เรื่องแย่ ๆ อาจจะเกิดขึ้น ร่างสูงลงจากรถและไม่ลืมที่จะหันไปประคองแบคฮยอนให้ลงมาด้วยกัน

    ภาพชายชุดดำหมวกโม่งยืนถืออาวุธครบมืออยู่ตรงหน้าไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นนัก ถ้าเรียกว่าหนีเสือปะจระเข้ก็อาจจะถูก แบคฮยอนกลอกตามอง จากประสบการณ์ที่ผ่านมามันยากที่จะไว้ใจใครเพียงเพราะได้รับการช่วยเหลือ

    ถ้าคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่อยู่ได้เพราะกินเนื้อคนอย่างพวกในแฟลทนรกนั่นล่ะ เขากับชานยอลอาจจะรอดตายจากผีดิบมาเพื่อเจอความโหดร้ายที่ยิ่งกว่าก็ได้

    ชื่ออะไร

    บยอนชานยอล คนตัวสูงก็คงคิดเหมือนกัน ถึงได้เลือกโกหกมากกว่าจะพูดความจริง ส่วนนี่น้องชายผม บยอนแบคฮยอน

    อายุเท่าไหร่

    ยี่สิบหก ส่วนน้องชายผมยี่สิบสอง

    มาจากไหน

    ยังซัน

    ยังซัน?

    ครับ

    แล้วมาทำอะไรที่นี่

    เราออกมาหาเสบียง

    โกหก ชายอีกคนพูดขึ้นมา หาเสบียงประสาอะไรไม่มีกระเป๋าสักใบ

    มันตกไปตอนที่เรากำลังวิ่งหนีน่ะ ชานยอลยังคงตอบโต้บทสนทนาโดยไม่ทิ้งช่วงให้อีกฝ่ายสงสัย

    พวกฉันอุตส่าห์บากหน้าเข้าไปช่วยโดยที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรเลยสักนิด นี่ยังมีหน้ามาโกหกอีกเหรอ ให้ตายเหอะว่ะ คาดว่าผู้ชายคนนี้คงเป็นผู้นำ จากส่วนสูง จุดที่ยืนอยู่ และคำพูดคำจา

    พวกเราถูกจับมาครับ ชานยอลหันไปทางคนตัวเล็กที่เลือกพูดความจริงซึ่งไม่รู้ว่าจะช่วยให้เขาทั้งคู่รอดจากเงื้อมมือคนพวกนี้ไปได้หรือเปล่า

    กลุ่มชายชุดดำหมวกโม่งเงียบแล้วหันไปมองหน้ากัน ราวกับกำลังขอความเห็นผ่านสายตา ชั่วอึดใจเดียวคนเป็นผู้นำก็หันกลับมาอีกครั้ง

    ใครจับ?

    เรา--

    พวกกินเนื้อคน เราหนีออกมาได้เพราะถูกพวกกิน-- พวกผีดิบด้านนอกล้อม ชานยอลยังไม่ทันได้อธิบาย คนตัวเล็กก็รีบพูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง

    ให้ตายเถอะ แบคฮยอนควรจะยืนเฉย ๆ แล้วปล่อยให้เขาจัดการเหมือนกับทุกครั้งมากกว่าการพยายามอธิบายให้คนกลุ่มนี้เข้าใจ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเข้าใจหรือไม่

    ฟังไม่ขึ้น ชายชุดดำคนหนึ่งยืนกอดอก

    จริง ๆ นะ จากจุดที่โดนล้อมก็อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มาก ผมสาบานได้เลย พวกเราจนตรอกขนาดนี้แล้วไม่โกหกแน่นอน

    ตรงนั้นไง ทุกคนหันไปสนใจผู้ชายที่สะพายไรเฟิลอยู่ด้านขวาสุด ทางที่เราต้องผ่าน แต่กลับมีรถจอดขวาง ตรงนั้นมีพวกนรกรุมกินซากศพอยู่

    แบคฮยอนกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ส่วนชานยอลกำลังสังเกตท่าทีฝั่งตรงข้ามว่าจะมาดีหรือมาร้าย ซึ่งไม่มีอะไรที่ยืนยันได้เลย

    ตอนนี้คนชุดดำส่วนหนึ่งกำลังหันหน้าปรึกษากัน ซึ่งแน่นอนว่าฝั่งนั้นไม่มีทางปล่อยให้เขาทั้งคู่คลาดสายตาไปได้ ชานยอลหลุบสายตามองคาดโทษคนตัวเล็ก แต่แบคฮยอนกลับช้อนตามองเป็นเชิงขอความเห็นใจ

    คุณนี่นะ...

    คุณโกหกไปแล้วครั้งหนึ่ง... คิดว่าพวกเขาจะยังอยากเชื่อคุณอยู่หรือไง...

    ทั้งคู่กระซิบกระซาบกัน ใจก็อยากจะพูดอะไรต่ออีกสักนิด แต่ภาพตอนแบคฮยอนตกอยู่ในอันตรายเมื่อครู่ก็ทำให้เขารู้สึกผิดจนพูดอะไรไม่ออก

    เอาล่ะ

    ทั้งสองคนหันกลับเข้าหากลุ่มชายชุดดำ ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบไปก่อนที่คนเป็นผู้นำจะดึงหมวกโม่งออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง ซึ่งก็ไม่ต่างจากเดิมมากนัก ดุดันไม่เหมือนคนใจดี แต่ก็ไม่เลวร้ายอย่างที่กลัว

    ฉันซงมินโฮ ยินดีที่ได้รู้จัก

    แบคฮยอนรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เมื่อการทักทายของคนแปลกหน้าที่เพิ่งช่วยเขามาพร้อมมือที่ยื่นออกมาหวังผูกมิตร ไม่ใช่การเอาอาวุธจ่อหัวเพื่อขู่ให้เขาทำตามที่ต้องการ

    และชานยอลก็คงประหลาดใจไม่แพ้กัน เมื่อผู้ชายคนนี้หลุบสายตาลงมองมือแกร่งที่สวมด้วยถุงมือสีดำ มันไร้อาวุธ และยังคงค้างอยู่ท่านั้น ไม่มีการแสดงออกทางสีหน้าว่ากำลังหัวเสีย จนกระทั่งร่างสูงจับมือด้วย

    ส่วนนี่พี่น้องของฉัน แต่ไม่ได้คลานตามตูดกันออกมาหรอกนะ ถ้าจะให้ว่าเพื่อนร่วมโลกก็คงจะโหดร้ายเกินไป ไอ้หมอนี่ชื่อบ๊อบบี้ ถัดไปคือคิมจินอู อีซึงฮุน คังซึงยุน แล้วก็นั่น ที่ช่วยชีวิตน้องชายนายเอาไว้ นัมแทฮยอน

    ชายหนุ่มคนสุดท้ายถอดหมวกโม่งออก ก่อนจะเสยผมหยักศกที่ระหัวคิ้วขึ้นไป เจ้าของชื่อยักคิ้วทักทาย ก่อนจะกะเทาะซองบุหรี่ออกมาคาบไว้กับปาก

     

     

    นายสองคนติดหนี้หมอนั่น หาบุหรี่มาชดใช้หนี้ด้วยล่ะ

     

     

     

     

    TBC

     

     

    หวัดดีปีใหม่จ้า




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×