คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 08 :: Teach me how to be your girlfriend. (100%)
Chapter 8
Teach me how to be your girlfriend
แบคฮีไม่ชอบโกหก แต่การตอบเซฮุนตรง ๆ ก็ดูจะเป็นการสร้างปัญหาให้ตัวเองเปล่า ๆ ‘ปวดหัว ไปนอนห้องพยาบาลมา’ จึงเป็นคำตอบที่ทำปลอดภัยมากที่สุด
ทีแรกเธอคิดว่าการชวนเดทวันเสาร์คงเป็นแค่คำพูดปิดท้ายก่อนเราจะแยกย้ายกันไปใส่เสื้อผ้า แต่พอเห็นว่ามีข้อความเข้าจากเบอร์ 1234 ความรู้สึกดี ๆ ก็ก่อตัวขึ้นอย่างไม่อยากยอมรับ
‘ผมพูดจริง เสาร์นี้ห้ามเบี้ยวนัดนะครับ’
ประโยคขอร้องกึ่งบังคับทำให้บยอนแบคฮีรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กมอต้นที่ถนัดเรื่องเพ้อฝัน แม้ตอนนี้สีหน้าของเธอจะเรียบเฉยเหมือนคนไร้ความรู้สึก แต่ในใจกลับเต้นตุบตับอย่างไม่สามารถหยุดตัวเองได้
อันตราย... อันตรายต่อใจอะไรขนาดนี้...
ผู้ชายคนนั้นทำอะไรเหนือความคาดหมายบ่อยเกินไป ทั้ง ๆ ที่คิดว่าจับทางถูกแล้ว แต่พอเจอความธรรมดา ความใจดีเข้าไปหน่อยก็หวั่นไหว แต่ก็ยังดีที่อาจารย์ยังแสดงมุมหื่นเหมือนผู้ชายทั่วไป เธอจะได้ไม่ปักใจง่าย ๆ ว่าอาจารย์เป็นคนดีจนไม่ลังเลที่จะรัก
แต่เรื่องขโมยล่ะ... อาจารย์รู้ได้ยังไง?
มันเป็นความคาใจที่ลึก ๆ อยากรู้ว่าใครทำ และอาจารย์เป็นเหตุทำให้ได้ของคืนจริงหรือเปล่า หรือแค่ทำเป็นเออออพูดอ้อมโลกไปอย่างนั้นเพื่อให้ได้ฟันเธอ แต่คนอย่างอาจารย์ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องโกหกเพื่อเหตุผลนั้น
“มีอะไรอีก?”
“ขอคืนเถอะนะ”
“อะไร?”
“แฟลชไดร์ฟงานของฉัน... นะจูอึน...” เสียงของเด็กสาวเจ้าเนื้อเบาหวิว แต่เพื่อนร่วมห้องก็พยายามตั้งใจฟังจนรับรู้ว่าวันนี้คิมมินซอกถูกแกล้งอีกแล้ว
ใบหน้าของเธอซีดเผือด โทรมเพราะไม่ดูแลตัวเองและป่วยติดกันมาหลายวัน แต่ถึงอย่างนั้นกลุ่มจูอึนก็ไม่คิดที่จะหยุด การแกล้งมินซอกกลายเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว หากไม่พอใจใครก็มาลงกับเธอ หรือถ้าอารมณ์ดีก็คงไม่รอดเหมือนกัน
“นี่หล่อนอาบน้ำมาหรือเปล่า ตัวเหม็นอย่างกับหมูเน่า”
“เอาน่าจูอึน คนอ้วนก็ต้องมีกลิ่นตัวเป็นธรรมดา นางอาจจะอาบน้ำมา แต่น้ำที่บ้านดันสกปรกก็ได้”
“หน้าเป็นสิวขนาดนี้ใช้น้ำล้างจานล้างหน้าหรือไง?”
“ฮ่า ๆ”
มินซอกกำหมัดแน่น กี่ครั้งแล้วที่ต้องทนฟังพวกสวะเหล่านี้ดูถูก เธอก้มหน้านิ่งเมื่อจูอึนยืนขึ้น สองขาเรียวก้าวเข้ามาทางนี้พร้อมตบแก้มเธอเบา ๆ
“อะไร จะเอาเหรอ ฮะ?”
เด็กสาวเจ้าเนื้อเดินถอยหลังทีละก้าวจนชนกับโต๊ะว่างที่เจ้าของยังไม่มา แบคฮีเห็นว่ามินซอกเกือบล้มเพราะไม่สามารถพยุงตัวเองไว้ได้ สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นแย่ลงเข้าไปทุกที แต่ก็ไม่มีใครยื่นมือเข้าไปช่วย
“กำมือทำไม?”
“...”
“ตอบสิ เก่งไม่ใช่เหรอ?” จูอึนตบแก้มคนตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนข้อมือเล็กจะถูกคว้าไว้กลางอากาศโดยใครอีกคน
มินซอกมองใบหน้าหล่อที่ใครหลายคนหลงใหล โอเซฮุนสบตากับจูอึนราวกับจะบอกให้หยุดโดยไม่ต้องพูด ซึ่งเด็กสาวก็ไม่กล้าขัดขืนเพียงเพราะอีกฝ่ายคือคนที่เพื่อนชอบ
“พอได้ยัง?”
“...” จูอึนหันไปสบตากับเพื่อนสนิทหวังขอความช่วยเหลือ ซึ่งดาซมก็ลังเลว่าควรทำอย่างไร เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าเซฮุนไม่เคยฟังคำพูดของเธอเลยสักนิด แต่เด็กสาวก็ไม่อยากห้ามสิ่งที่จูอึนทำ
“มินซอกกล่าวหาพวกเราก่อนนะ”
“เรื่องอะไร?” เซฮุนถามเสียงแข็ง ดาซมมองตัดพ้อเด็กหนุ่มที่เธอชอบ ก่อนจะหันไปทางอีอ้วนที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างหลังคนตัวสูง
“นางหาว่าฉันขโมยแฟลชไดร์ฟนางไป” จูอึนตอบ เธอจะไม่ยอมให้เซฮุนเข้าใจดาซมผิดเด็ดขาด
“แล้วได้เอาไปไหม?”
“ไม่แน่นอน”
“ถ้าไม่ได้เอาไปก็ปฏิเสธตรง ๆ ดิ เรื่องง่ายแค่นี้ทำไมไม่ทำ”
“แต่ฉัน --”
“พอได้หรือยังดาซม?”
กลุ่มเด็กผู้ชายต่างส่งเสียงฮือฮา กับความใจเด็ดของเซฮุนที่ไม่คิดว่าจะกล้าพูดกับสาวสวยประจำห้อง เป็นอีกครั้งที่ดาซมรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบ เธอหงุดหงิด หัวเสีย และน้อยใจจนอยากกรี๊ดดัง ๆ กับเรื่องที่ไม่ได้ทำแต่ก็ถูกเข้าใจผิดไปแล้ว
“เศร้าเวอร์... คือฉันไม่เห็นดาซมทำอะไรเลยนะวันนี้” แชรอนจิ๊ปากเบา ๆ ขณะมองฉากร้อนเป็นไฟของคนกลุ่มนั้น
“ก็ใช่น่ะสิ นางแค่นั่งเฉย ๆ แต่คงเป็นเพราะออกตัวปกป้องจูอึนเลยโดนเข้าใจว่ามีส่วนร่วมด้วยมั้ง”
“ป่านนี้อีอ้วนคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ในใจแล้ว มีผู้ชายหล่อ ๆ เข้ามาช่วย”
“แรดเงียบ ทำเป็นสำออยไม่สบาย ในใจลึก ๆ ก็คงอยากให้เซฮุนอุ้มไปห้องพยาบาล”
ถ้าไม่นับเรื่องความอิจฉาของเพื่อนในกลุ่มที่กำลังซุบซิบนินทาอยู่ตอนนี้ ความกล้าของโอเซฮุนก็คงนำเด่นจนเรียกรอยยิ้มจากเธอได้ แบคฮีเท้าคางมองความเท่ที่น้อยครั้งจะได้เห็นจากหมอนั่น นอกจากหื่นก็หล่อเป็นเหมือนกันนี่
คนตัวเล็กหุบยิ้มลงเมื่อเห็นแววตาของเด็กสาวร่างท้วมซึ่งมองมาทางนี้ แต่แค่ครู่เดียวเท่านั้นมินซอกก็เดินออกไปโดยไม่สนใจว่าใครจะยินดียินร้ายอีก
“เป็นฉันคงลาออกไปแล้ว ทนอยู่ให้โดนแกล้งแบบนี้ทุกวันไม่ไหวหรอก” แชรอนส่ายศีรษะ
“แล้วจูอึนเอาแฟลชไดร์ฟงานมินซอกไปจริงหรือเปล่า?” แบคฮีละความสนใจจากฝั่งนั้นและหันเข้าหาเพื่อนในกลุ่ม
“พลาดได้เหรอ เอาไปซ่อน ที่ไหนนะพาดา?” ทั้งสามคนหันไปทางเด็กสาวที่นั่งนิ่งอยู่เงียบ ๆ ซึ่งผิดปกติสำหรับคนที่ไม่เคยพลาดเรื่องนินทาคนอื่น
“...ว่าไงนะ?”
“ที่เธอเล่าว่าเจอจูอึนในห้องน้ำเลยเอาแฟลชไดร์ฟมินซอกไปซ่อนด้วยกันไง แล้วมันที่ไหนอะ?” แชรอนเลิกคิ้วถามอย่างใคร่รู้
“ฉันไม่เกี่ยว!”
“...”
ทุกคนหันมาทางกลุ่มเด็กสาวสี่คนเป็นตาเดียวกัน เมื่ออยู่ ๆ คิมพาดาก็ลุกพรวดพร้อมตะโกนปฏิเสธกับสิ่งที่ไม่มีใครยัดเยียดความผิดให้ เด็กสาวไม่สามารถตั้งสติได้ สายตาของทุกคนตอนนี้ราวกับรู้หมดแล้วว่าคิมพาดาทำอะไรลงไป
“หล่อนเป็นอะไร?”
“...”
“ผีเข้าเหรอ?”
รู้สึกเหมือนมีใครเอามีดมาจ่อคอให้สารภาพว่าเธอคือนังหัวขโมย และมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องแฟลชไดร์ฟของคิมมินซอก มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบ สั่นเทาเหมือนตอนที่ถูกอาจารย์ชานยอลจับได้ ความรู้สึกนั้นยังตามหลอกหลอนมาจนถึงวินาทีนี้
“ฉันเห็นจูอึนเอาไปซ่อนในพงหญ้าหลังตึก แค่นั้น ฉันไม่ได้เป็นคนทำ ฉันไม่เกี่ยว”
ทั้งสามคนมองตามแผ่นหลังอีกคนที่เดินออกไปจากห้องโดยไม่ชวนใครออกไปด้วยเหมือนอย่างเคย ท่ามกลางความประหลาดใจของทั้งสามคนที่แม้แต่ยูจินยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนสนิท
พาดากำมือแน่น กลอกตาลอกแล่กกับเสียงในหัวที่ทั้งบอกว่า ‘เธอไม่ผิด’ และ ‘แกมันเลว’ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอรู้สึกแบบนี้ มันนับไม่ถ้วนแล้วกับการปลอบใจตัวเองว่าที่ทำไปมันไม่ใช่เรื่องผิด ตั้งแต่สมัยประถมที่เธอหัดลักเล็กขโมยน้อย เริ่มต้นจากอยากได้ของสิ่งนั้น กระทั่งสิ่งที่ทำมันหล่อหลอมให้คิมพาดาขโมยเพราะแค่รู้สึกว่าอยากขโมย
ในลิ้นชักของเธอเต็มไปด้วยสิ่งของมากมายตั้งแต่ปากกา สีไม้ กล่องดินสอ สร้อย ต่างหู ของเพื่อนสมัยประถมถึงมัธยมต้น แต่ก็หยุดช่วงมอปลายเพราะไม่กล้าขโมยของเพื่อน ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวที่จริงใจกับเธอมากที่สุดตั้งแต่เคยคบเพื่อนมา
แต่ที่ตัดสินใจขโมยของของแบคฮี ก็เพราะผู้หญิงคนนั้นยังไม่เข้าใกล้คำว่าเพื่อน บวกกับฐานะที่ทำให้พาดาล้างสมองตัวเองว่าต่อให้หายไปกี่ร้อยชิ้น อีกฝ่ายก็หามันใหม่ได้โดยไม่ลำบากอยู่ดี
ทุกวันนี้ยังไม่มีใครรู้นอกจากอาจารย์ชานยอล แต่เธอก็ไม่สามารถวางใจได้ว่าอีกฝ่ายจะเก็บความลับไว้ได้ ความกลัว ความกังวล ยังคงหลอกหลอนทุกวินาที ถึงแม้ว่าทุกคนจะทำตัวเหมือนปกติ แต่สายตาของคนเดียวที่รู้ความจริงยังคงจดจำอยู่ในความรู้สึก
สายตาและคำพูดของอาจารย์ชานยอลในวันนั้น มันยังคงตอกหน้าผู้หญิงอย่างเธอมาจนถึงวันนี้
‘คุณหลอกคนอื่นได้ แต่ไม่ว่ายังไงคุณก็หนีความจริงไม่พ้น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกสิ่งที่คุณตัดสินใจทำลงไป ไม่ว่าจะเพราะความชั่ววูบหรือตั้งใจ ความรู้สึกเหล่านั้นจะตามคุณไปในทุก ๆ ที่’
*
แบคฮีไม่ได้คิดจะเป็นฮีโร่ แต่เพราะพรุ่งนี้ต้องส่งงานชิ้นใหญ่และมินซอกยังหาแฟลชไดร์ฟไม่เจอ เธอถึงได้มาแถวหลังตึกเพื่อคุ้ยพงหญ้าหา อย่างน้อยการแอบเอาไปคืนมันก็น่าจะช่วยยัยนั่นได้บ้าง เห็นหน้าซีด ๆ คงบั่นทำงานใหม่ทั้งคืนไม่ไหวแน่
เด็กสาวใช้เวลาช่วงหลังเลิกเรียนอยู่เกือบชั่วโมง สุดท้ายก็เห็นแฟลชไดร์ฟเจ้าปัญหาที่ปั่นป่วนเด็กเรียนดีเด่นอย่างคิมมินซอกตลอดทั้งวัน แบคฮีเป่าฝุ่นออกพร้อมเอาชายกระโปรงเช็ดให้ ภายนอกดูมอมแมมไปหน่อย แต่ส่วนที่ใช้เสียบกับคอมยังปกติดีไม่มีปัญหา
คนตัวเล็กเดินขึ้นบันไดไปจนถึงทางเลี้ยว สองขาหยุดยืนอยู่กับที่เมื่อเห็นว่าเด็กสาวร่างท้วมเดินร้องไห้ออกมาจากห้องศิลปะ ผู้หญิงคนนั้นยังคงตามหาของอย่างไร้จุดหมาย
มินซอกกระแอมไอ เธอหยุดฝีเท้าทันทีที่เห็นในมืออีกคนมีสิ่งของที่เธอตามหามาตลอดทั้งวัน เด็กสาวทั้งสองคนสบตากันท่ามกลางแสงสีส้มยามเย็นที่กำลังจะลับหายไปเพื่อต้อนรับความมืด สีหน้าและแววตาของบยอนแบคฮียังคงหยิ่งจองหองเหมือนทุกครั้ง ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ
“นี่ของเธอใช่ไหม?”
“...”
มินซอกไม่แน่ใจว่าคำถามนั้นมาจากความไม่รู้หรือแค่จะลองเชิงก่อนหาทางแกล้งเธอเหมือนคนอื่น เธอเคยคิดว่าบยอนแบคฮีเป็นคนดีเพราะเคยช่วยเอาขยะไปทิ้งในวันนั้น แต่มันก็แค่ครั้งเดียว ถ้าเทียบกับสายตาเวทนาตลอดเวลาที่เธอถูกแกล้งและสิ่งที่อยู่ในมือตอนนี้
บยอนแบคฮีก็อาจจะไม่ได้ต่างจากคนอื่นนักหรอก
“จูอึนสั่งให้เธอทำ หรือว่าเธอทำเอง”
“ฮะ?” คนตัวเล็กขมวดคิ้ว มือของเธอยังคงยื่นแฟลชไดร์ฟไปข้างหน้า ทั้งคู่สบตากันซึ่งแบคฮีพอจะรู้แล้วว่าในหัวของผู้หญิงฉลาดเรื่องการเรียนกำลังคิดเรื่องไม่ดีอยู่
“สนุกมากใช่ไหม?”
“...”
“รู้หรือเปล่าว่าฉันเรียนไม่รู้เรื่องทั้งวันเพราะไม่รู้ว่าจะหามันเจอจากที่ไหน”
“แล้วฉันจะไปรู้กับเธอหรือไง?” แบคฮีพูดเสียงลอดไรฟัน เมื่อความหวังดีของเธอกลายเป็นพิษเสียแล้ว
“อยากให้ฉันเกรดตกมากนักใช่ไหม เอาเลยสิ เผางานฉัน ทำให้ฉันเรียนแย่ลง พวกเธอจะได้ดูฉลาดขึ้นไง สนุกมากเลยสิ ดูถูกหน้าตาฉัน สัดส่วนบนร่างกายฉัน ทำให้ฉันเป็นตัวตลก”
“...”
“สะใจมากใช่ไหมกับการพังชีวิตคนอื่น ฉันเคยคิดว่าเธอจะต่างจากคนพวกนั้น แต่มันไม่ใช่เลย เธอเอากระเป๋าฉันไปซ่อน หัวเราะเยาะลับหลังตอนฉันถูกคนพวกนั้นแกล้ง โกรธที่เซฮุนเข้ามาช่วยฉันใช่ไหมล่ะ เธอมันก็ร้ายเงียบอย่างที่คนอื่นพูดไม่มีผิด”
เด็กสาวร่างท้วมหน้าหันทันทีที่ถูกตบอย่างแรง แก้มขาวร้อนผ่าวขนขึ้นริ้วแดง เพียงครู่เดียวความชาก็แล่นปราดไปทั้งใบหน้า อาจจะสักสิบวินาทีที่คิมมินซอกได้ใช้เวลาอยู่กับความคิดตนเอง เมื่อได้เข้าใจแล้วว่าตบเมื่อครู่ไม่ใช่เพราะความสะใจ แต่เป็นตบเพื่อสั่งให้เธอหยุด
“คิดว่าถูกทำร้ายอยู่คนเดียวหรือไง?”
“...”
“ไม่ใช่เพราะเธอเป็นแบบนี้เหรอถึงได้ถูกคนพวกนั้นรังแกไม่หยุด”
“...”
“เอาแต่ร้องไห้ ทำตัวน่าสงสาร รอให้คนอื่นมาปกป้อง เคยคิดที่จะแข็งข้อบ้างไหม ยอมให้คนอื่นกดหัวอยู่แบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะหายใจได้อย่างมีความสุข”
“...”
“พวกนั้นมีสิบมือเหรอ ก็ไม่ ก็เห็นว่ามีมือมีเท้าเท่ากัน”
“...”
ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางความเงียบตรงระเบียงทางเดิน เด็กสาวร่างท้วมน้ำตาคลอกับความจริงจากปากอีกฝ่ายที่เธอไม่สามารถปฏิเสธได้ มันไม่มีอะไรจริงไปกว่านั้นอีกแล้ว คิมมินซอกเป็นผู้หญิงอ้วนที่อ่อนแอ ไม่กล้ามีปากเสียงกับใคร ไม่กล้าอยู่ในจุดยืนของตนเอง ในใจของเธอเพียงแต่ภาวนาขอให้กลุ่มของจูอึนเลิกแกล้งเธอ หรือไม่ก็มีใครสักคนกล้าหยุดคนพวกนั้นอย่างที่โอเซฮุนทำ
“ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะยื่นขาเข้ามายุ่งเรื่องของเธอ อยากโทษทุกคนในโลกมากนักก็เชิญตามสบาย”
มินซอกสะอื้นน้ำตาไหลอาบแก้ม เธอลดระดับสายตามองอีกคนที่วางแฟลชไดร์ฟลงบนพื้นโดยไม่ปามันใส่หน้าเธออย่างที่ควรทำ ตอนนั้นเด็กสาวถึงได้เห็นว่ากระโปรงของแบคฮีเลอะโคลนดิน
เด็กสาวร่างท้วมมองตามแผ่นหลังของคนตัวเล็กที่มีพร้อมทุกอย่างจนน่าอิจฉา บยอนแบคฮีตัวก็แค่นั้น แต่กลับมีความกล้าเผชิญหน้ากับกลุ่มดาซมมากกว่าเธอเสียอีก มินซอกกำลังรู้สึกผิดกับความเก็บกดในใจที่สาดใส่อีกฝ่าย ซึ่งถ้าคิดดูดี ๆ ก็จะเข้าใจได้ง่าย ๆ ว่าบยอนแบคฮีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลยสักนิด
ไม่เลย...
“ขอโทษ!!!”
“...”
“ฉันขอโทษนะ... ขอโทษที่พูดไม่ดี!!!” มินซอกตะโกนไล่หลังคนตัวเล็ก เสียงของเธอกำลังสั่นและน่าสมเพช เด็กสาวร่างท้วมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยากได้ยินคำนี้หรือไม่ แต่มันคงดีกว่าการปล่อยให้ผ่านไปเฉย ๆ
ขอโทษที่ไม่เอาไหน ขอโทษที่เลือกมองแบคฮีผิด ๆ คิมมินซอกอ่อนแอเอง ถึงได้พาลว่าทุกคนในโลกรุมทำร้ายเธอ ปิดหูปิดตาตัวเองจนไม่ยอมมองเห็นความดีของใครทั้งนั้น
แบคฮีหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับผู้หญิงที่ร้องไห้ฟูมฟายราวกับความอึดอัดใจในรูปแบบความเศร้ามันถูกระเบิดออกมา คนตัวเล็กไม่ชอบเห็นใครร้องไห้เลย มันทำให้คนหยาบกระด้างอย่างเธอใจอ่อนจนลืมความโกรธเคืองเรื่องเมื่อครู่ไปโดยปลิดทิ้ง
“เวลามีคนเอาของมาให้ต้องพูดว่าขอบคุณไม่ใช่หรือไง โง่จริง”
น้ำตายังคงไหล แต่น่าแปลกเหลือเกินที่คนฟังกำลังรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก เพียงเพราะประโยคเมื่อครู่และรอยยิ้มเล็ก ๆ จากคนฟอร์มจัด แบคฮีไม่ได้พูดอะไรอีก ผู้หญิงคนนั้นเพียงชี้นิ้วไปยังแฟลชไดร์ฟบนพื้น ก่อนจะเดินออกไปจากตรงนี้ และเหลือทิ้งไว้เพียงแสงแดดอุ่น ๆ ยามเย็นที่ทำให้เด็กผู้หญิงที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวมานานรู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ
*
( คิดไว้หรือยังครับว่าพรุ่งนี้จะใส่ชุดไหนไปเดทกับผม? )
แบคฮีแกล้งไม่สนใจเสียงคนที่เปิดกล้องคุยกันอยู่ เธอนั่งลงบนโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมชำเลืองมองใบหน้าของอาจารย์หนุ่มในจอขณะเช็ดผมให้แห้งหลังจากอาบน้ำเสร็จ ผู้ชายคนนั้นกำลังออกกำลังกายด้วยเครื่องอะไรสักอย่างที่มันค่อนข้างหนัก เหงื่อที่ไหลโทรมกายทำเสื้อสีเทาเปียกรอบคอเสื้อ เธอหัวเสียจริง ๆ กับความเซ็กซี่ที่ไม่ได้ตั้งใจของอาจารย์
“หนูต้องคิดด้วยเหรอ ก็แค่เดทธรรมดา”
( ไม่เคยมีคำว่าธรรมดากับคนพิเศษหรอกนะครับ )
“จะเข้าข้างว่าตัวเองเป็นคนพิเศษหรือไงคะ?” แบคฮีเลิกคิ้วมองค้อนคนในสายที่เอาแต่ยิ้มขำขณะดันเครื่องออกกำลังกายขึ้นเหนือศีรษะ “หนูก็แค่ว่างเลยหาเรื่องกินอาจารย์อีกครั้ง”
( ตรงไปตรงมาจังครับ ผมเขินเลย เห็นทีว่าต้องเตรียมกางเกงในตัวเก่งซะแล้ว สีเทาหรือสีดำดีนะ )
“...” เด็กสาวหรี่ตามองคนในจอมือถืออย่างหัวเสีย กับท่าทางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แกล้งทำเป็นเขินทั้ง ๆ ที่อาจารย์เจนโลกยิ่งกว่าเธอเป็นไหน ๆ ยังมาแกล้งทำเป็นไร้เดียงสา
( คิวผมไม่ได้ชนกับเซฮุนใช่ไหม? )
“ถามทำไมคะ อยากให้เขาไปด้วยเหรอ?”
( ก็ได้นะครับ ถ้าคุณอยากเห็นคนหึงลมออกหู พอถึงตอนนั้นคนที่เดือดร้อนท่าทางจะไม่ใช่ผมซะด้วยสิ )
“อะไรที่ทำให้มั่นใจขนาดนั้น เซฮุนหมัดหนักนะคะ ตอนต่อยพวกปากเสียจนเลือดกบปากน่ะเท่อย่าบอกใครเลย” แบคฮีเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าพร้อมหยิบกางเกงในออกมาแกว่งโชว์หน้ากล้องโทรศัพท์
ชานยอลมองเด็กตัวแสบที่กระตุ้นด้วยเรื่องโอเซฮุนอีกครั้งพร้อมยั่วเขาไปด้วย ชายหนุ่มปล่อยมือจากเครื่องออกกำลังกายพร้อมคว้าขวดน้ำเปล่าขึ้นมายก ทั้งที่สายตายังคงไม่ละจากชุดคลุมอาบน้ำสีขาวที่ผูกอย่างหมิ่นเหม่จนทำให้มองเห็นหน้าอกกลม ๆ เมื่อเด็กสาวก้มตัวลงไปใส่กางเกงใน
( งั้นก็ชวนเขาสิครับ เที่ยวกันสามคนไม่น่าจะเสียหายอะไร )
จะได้รู้กันไปว่าใครจะเป็นฝ่ายอยู่ไม่ได้ระหว่างโอเซฮุนหรือเด็กจอมยั่ว
“คงไม่ได้คิดเรื่องลามกประหลาด ๆ อยู่ใช่ไหม หนูไม่ชอบทำกับผู้ชายสองคนพร้อมกันนะ”
( คิดไปโน่นเลย ผมแค่พูดถึงเรื่องไปเที่ยวพร้อมกันสามคนครับ )
“ใครจะรู้ ในหัวอาจารย์ก็คิดแต่เรื่องแบบนั้นกับหนูไม่ใช่หรือไง?”
( ครับ )
“เอ๊ะ?”
( ผมล้อเล่น )
แบคฮีมองค้อนคนทะเล้นที่เอาแต่ยิ้มอยู่ได้ อาจารย์เดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่นพร้อมยกกล้องขึ้นสูงกว่าระดับใบหน้า เราสบตากันผ่านกล้องมือถือโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก เราไม่ได้คุยกันอย่างถูกคอ เราก็แค่หลงใหลในตัวกันและกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่าแบคฮีชอบที่จะมีอาจารย์อยู่ในสาย
( ชักอยากรู้แล้วสิว่าแป้งบนตัวคุณจะหอมแค่ไหน )
“ถ้าหนูท้าให้พิสูจน์เอง อาจารย์จะมาไหม?” คนตัวเล็กถามอย่างหยั่งเชิง เลิกคิ้วมองใบหน้าหล่อในกล้องที่ชื้นไปด้วยเหงื่อ
( อืม... มันขึ้นอยู่กับว่ารางวัลหลังเสี่ยงลูกปืนจะคุ้มค่าหรือเปล่าน่ะครับ )
CUT
(WELCOME TO MALINWORLD)
อัสคาบันสาขาสอง เชิน #ผายมือ
50%
หลังจากทำเรื่องหน้าไม่อายจนเสร็จ เราทั้งคู่ก็ยังกล้าเฟสไทม์กันต่อโดยไม่รู้สึกขลาดอายใด ๆ ราวกับเรื่องแบบนั้นมันช่างปกติและจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ แบคฮีไม่คุ้นกับการเปิดกล้องคุยกับใครนาน ๆ แบบนี้เลย นอกจากจงแดแล้วอาจารย์ก็เป็นผู้ชายอีกคนที่เธอยอมคุยด้วยแม้ว่าอีกฝ่ายกำลังอาบน้ำอยู่
เด็กสาวมองเห็นเพียงเพดาน และได้ยินเสียงน้ำที่ไหลออกมาชะล้างเหงื่อออกจากร่างกายกำยำซึ่งเคยตรึงสายตาเธอไว้ได้ทุกครั้ง น่าตลกดีที่วูบหนึ่งแบคฮีคิดว่าเราเหมือนคู่รักใหม่ที่กำลังเห่อกันสุด ๆ จนไม่อยากวางสายไปสักวินาทีเดียว
เธอเบื่อความหล่อของอาจารย์ โดยเฉพาะรอยยิ้มตอนหันมามองกล้องแล้วบอกว่าหน้าสดของเธอน่ารักกว่าตอนแต่งหน้าจัด ๆ เสียอีก ผู้ชายก็อย่างนี้ ทำเป็นพูดดีว่าชอบหน้าตาแบบธรรมชาติแต่สุดท้ายก็มองผู้หญิงสวยเพราะแต่งหน้าอยู่ดี
เราคุยกันจนต้องชาร์จแบตรอบสอง ถึงจะกลัวระเบิดเหมือนในข่าวแต่ถ้าให้วางสายเพื่อรอแบตเต็ม แบคฮีก็อยากลองเสี่ยงกับระเบิดดูสักครั้ง เรานอนคุยกันเรื่องไร้สาระ อาจารย์เล่าตั้งแต่เรื่องสมัยเด็ก จบจากโรงเรียนไหน มีเพื่อนสนิทกี่คน และอะไรที่ทำให้ยังคบอู๋อี้ฝานเป็นเพื่อนมาจนถึงทุกวันนี้ แต่พอถึงคราวที่ต้องเล่าบ้างในหัวของเธอก็ตันไปหมด บยอนแบคฮีแทบไม่มีความทรงจำดี ๆ กับเพื่อนที่โรงเรียนเลย เธอจึงเล่าเรื่องความใจดีของจงแดให้ฟัง และเป็นอีกครั้งที่คำพูดของอาจารย์ทำให้เด็กผู้หญิงแข็งกระด้างคนนี้กลายเป็นคนจิตใจบอบบาง
‘ผมอยากให้คุณเห็นตัวเองเวลาพูดถึงจงแด’
‘ทั้งสีหน้าและแววตา ความสุขที่ได้พูดถึงเพื่อนสนิททำให้คุณไม่หลงเหลือภาพลักษณ์เด็กแก่แดดอยู่เลยสักนิด’
‘ถ้าคุณบอกว่าโลกนี้เป็นสีดำ งั้นจงแดก็คงเป็นแสงสว่างที่จะตามคุณไปในทุก ๆ ที่ รู้สึกอย่างนั้นหรือเปล่าครับ?’
เรื่องแบบนั้นแบคฮีรู้สึกได้เองมาตั้งนานแล้ว แต่พออาจารย์ย้ำอีกครั้งเธอจึงยิ้มบาง ๆ แล้วพยักหน้าเพื่อบอกให้รู้ว่าที่พูดมาทั้งหมดไม่มีข้อไหนผิดเลย คิมจงแดจะเป็นเพื่อนรักของบยอนแบคฮีตลอดไป และหวังว่าอีกฝ่ายจะคิดแบบนี้เช่นกัน
จากที่ไม่รู้ว่าจะคุยอะไร แต่ทั้งคู่ก็ต่อบทสนทนากันมาได้จนถึงตีหนึ่ง สุดท้ายอาจารย์ก็ขอวางสายเพราะอยากให้แบคฮีพักผ่อนเพื่อเดทสำหรับพรุ่งนี้ แต่คนอย่างปาร์คชานยอลน่ะหรือจะยอมวางไปเฉย ๆ
‘ไหน ๆ ก็จะไปเดทกันแล้ว มันจะเป็นไรไหมครับถ้าหากว่าเราจะเป็นแฟนกันจริง ๆ จัง ๆ สักวันนึง?’
แทนที่จะได้นอน บยอนแบคฮีก็ต้องแขนก่ายหน้าผากมองเพดานเพราะคำพูดทีเล่นทีจริงของอาจารย์อีกแล้ว
*
นิ้วเรียวยาวเคาะกับพวงมาลัยตามจังหวะเพลงที่เปิดคลอเบา ๆ ในรถ วันนี้อากาศดีจนชายหนุ่มไม่ได้สนใจว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่ นานแค่ไหนแล้วที่ปาร์คชานยอลไม่ได้ขับรถมารับใครสักคนออกไปเดทกัน มันคงนานมากเสียจนจำไม่ได้แล้วว่าเมื่อก่อนเคยตื่นเต้นกับการแต่งตัวของผู้หญิงคนหนึ่งได้เท่าวันนี้หรือเปล่า
เด็กสาวเดรสสีฟ้ากระโปรงบานเลยเข่าขึ้นมาเพียงเล็กน้อยกำลังเดินมาทางนี้ เสื้อแขนยาวคอปกน่ารักแบบเด็กผู้หญิงธรรมดาทั่วไปสร้างความประหลาดใจให้ชายหนุ่มจนต้องเปิดประตูรถออกมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
ส้นสูงสีขาวทำให้แบคฮีสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แก้มสีชมพูระเรื่อกับต่างหูเล็ก ๆ ค่อนข้างเหนือความคาดหมายไปพอสมควรเลยทีเดียว อันที่จริงชานยอลคิดไว้ว่าแบคฮีคงแต่งตัวเจ็บ ๆ แสบ ๆ เพื่อหาเรื่องยั่วให้เขาตบะแตกตอนขับรถ แต่พอเห็นแบบนี้แล้วก็อดยิ้มไม่ได้
“หนูสวยล่ะสิ”
“ให้มากสุดได้แค่น่ารักครับ”
“โกหก เมื่อกี้ตาอาจารย์มองหนูตาไม่กระพริบเลย” แบคฮีจะไม่ยอมแสดงออกให้อีกฝ่ายเห็นเด็ดขาดว่าเธอกำลังเขิน กับการแต่งตัวที่ดูเหมือนแฟนหนุ่มทั่วไปไม่หลงเหลือคราบอาจารย์สอนพละ และสายตาที่มองมาโดยไม่มีความทะลึ่งตึงตังแฝงอยู่
“ไม่ให้มองแฟนแล้วจะให้มองใครครับ?”
ทั้งที่เพิ่งเจอกันแท้ ๆ แต่อาจารย์ก็ฮุคหมัดตรงใส่หน้าแบคฮีจนแทบหงายเพราะคำพูด ประโยคเดียว เด็กสาวกลอกตาลอกแล่ก ก่อนจะก้มลงมองข้อมือตนเองซึ่งกำลังถูกจูงให้เดินอ้อมไปอีกฝั่ง คนตัวเล็กช้อนตามองคนตรงหน้าที่เปิดประตูรถให้ สุดท้ายรอยยิ้มอ่อนโยนของผู้ชายที่บอกว่าวันนี้เราจะเป็นแฟนกันหนึ่งวันก็ทำคนปากแข็งอย่างเธอหลุดยิ้มออกมาจนได้
“เราจะไปไหนกัน?”
“คุณอยากไปไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
“อาจารย์ไม่ได้คิดมาก่อนเหรอว่าอยากพาหนูไปไหน?” แบคฮีคาดเข็มขัดพลางหันไปมองคนข้างตัว
“ไม่ครับ มีแต่เด็กเท่านั้นแหละที่วางแผนก่อนออกเดทกับผู้หญิง”
“แหม...” เด็กสาวจิ๊ปาก ก่อนจะเบิกตากว้างเพราะถูกอาจารย์บีบปากจนเหมือนเป็ด “อื้อ!”
“น่ารัก”
“เดี๋ยวลิปสติกหนูหลุด นั่นไง เห็นไหม พูดไม่ทันขาดคำ สมน้ำหน้า เลอะมือไปเลย” แบคฮีจับมือที่เลอะลิปสติกสีพีชก่อนจะตีไปแรง ๆ แต่อาจารย์กลับอมยิ้มอย่างอารมณ์ดี พร้อมจับมือเธอวางลงไปวางบนหน้าขาแกร่ง แล้วค่อย ๆ สอดประสานเรียวนิ้วกันจนไม่เหลือช่องว่างให้อากาศวิ่งผ่าน
“จับไว้เลยครับ ชอบตีดีนัก”
“เพราะอาจารย์นั่นแหละ”
“เพราะผมก็ได้”
“หนูน่าจะตีให้แรงกว่านี้” เด็กสาวพึมพำ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ปล่อยให้ความอบอุ่นจากฝ่ามืออีกฝ่ายจัดการมือซน ๆ ของเธอโดยไม่ชักกลับ
‘เป็นแฟนกันหนึ่งวัน’ งั้นเหรอ...
แบคฮีรู้สึกเหมือนระเบิดในตัวมันเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเพราะการกระทำของอีกฝ่าย เธอไม่อยากคิดว่าเพราะเรากำลังเล่นกันอาจารย์ถึงได้ทำให้ใจเต้นไม่หยุดแบบนี้ เราสองคนก็แค่เหงาและยังตื่นเต้น แต่บยอนแบคฮีก็รู้สึกดีจนต้องปลดสายเข็มขัดเพื่อเอนศีรษะลงไปซบกับไหล่กว้างของคนตัวโตกว่า
“หลังจากผ่านคืนนี้ไป อาจารย์ห้ามเอาเรื่องวันนี้มาแซวหนูนะ”
“ครับ ผมจะไม่พูดถึง”
“นิดเดียวก็ห้าม เกี่ยวก้อยสัญญากับหนู” แบคฮีช้อนตามองหนุ่มแว่นที่กำลังอมยิ้มกับความเป็นเด็กของเธอ ก่อนจะก้มลงมองมือของเราที่สอดประสานกัน นิ้วก้อยของอาจารย์ที่ชี้ออกมานั้นเพิ่มความน่ารักให้กับผู้ชายลามกที่อยู่ในโหมดอบอุ่นจริง ๆ
“ถ้าเรียก ‘โอป้า’ แล้วจะยอมทุกอย่างเลยครับ”
แบคฮีตอนนี้เหมือนเด็กห้าขวบขี้อายที่ถูกบอกให้ออกไปเต้นหน้าห้องจริง ๆ สายตาลอกแล่กฉายความขลาดอายแบบคนฟอร์มจัดทำให้เขาอยากแกล้งหนัก ๆ เสียจริง เจ้าตัวจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าเวลาไม่ต้องฝืนตัวเองเพื่อเอาชนะมันน่ารักมากสักเท่าไหร่
*
เป็นเพราะไม่มีการวางแผนล่วงหน้าและยังไม่มีใครหิว ชานยอลจึงพาแฟนสาวของเขาขับรถออกไปแถบชานเมืองเพื่อเดทเงียบ ๆ ในที่ ๆ ไม่มีใครรู้จัก เพราะมันคงไม่ดีนักถ้าหากมีนักเรียนหรืออาจารย์สักคนเห็นเข้าว่าเราไปไหนมาไหนด้วยกัน ซึ่งแบคฮีก็ตกลงอย่างว่าง่ายโดยไม่แสดงอาการน้อยใจเลยสักนิด เด็กผู้หญิงคนนี้ฉลาดมากพอที่จะรู้ว่าการเดทในละแวกนั้นมันเสี่ยงกับความเดือดร้อน
ร้านอาหารสไตล์อิตาเลียนติดกับทุ่งดอกทานตะวันคือจุดพักกินอาหารเช้าควบเที่ยง ชายหนุ่มอมยิ้มเมื่อคนตัวเล็กเลือกย้ายมานั่งเก้าอี้ยาวตัวเดียวกันแทนที่จะนั่งฝั่งตรงข้ามอย่างคู่รักโต๊ะอื่น
เด็กผู้หญิงที่เคยแสดงออกแต่มุมแก่แดดกำลังเผยความน่ารักออกมาทีละนิด ตั้งแต่ชวนถ่ายเซลฟี่ด้วยกันแล้วอ้างว่าจะลบทิ้งหลังจากหมดวันนี้ไปจนถึงคำว่า 'โอป้า' ที่ทำให้เขารู้สึกดีจนต้องเบือนหน้าหลบไปอีกทาง
“ข้าง ๆ มีร้านขายของที่ระลึกด้วย”
“อยากเข้าไปดูไหมครับ?”
เด็กสาวพยักหน้า เขาจึงโอบไหล่เธอให้เข้าไปข้างในร้านซึ่งตกแต่งด้วยสไตล์วินเทจ แบคฮีกำลังให้ความสนใจกับกล่องเล็ก ๆ ที่ผู้หญิงน่าจะเอาไว้เก็บเครื่องประดับ เป็นอีกครั้งที่ชานยอลแอบถ่ายรูปเธอในจังหวะทีเผลอ รูปที่มีความเป็นธรรมชาติ ไม่มีการปรุงแต่ง
ผ่านไปสิบนาทีแบคฮีก็เดินออกมาพร้อมของในถุง เด็กสาวเก็บมันไว้ในกระโปรงหลังรถแล้วเดินไปหาชายหนุ่มที่ยื่นมือมาระหว่างอยู่ตรงทางเข้าทุ่งดอกทานตะวัน เราจับมือกันอีกครั้งจนกลายเป็นความเคยชินในช่วงเวลาสั้น ๆ ผลัดกันถ่ายรูปกับความสวยงามซึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นเหตุผลที่ทำให้ดอกทานตะวันสดใส รวมถึงรอยยิ้มของบยอนแบคฮีด้วยเช่นกัน เด็กผู้หญิงคนนั้นเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าการซ่อนความในใจไว้ใต้ใบหน้าเรียบเฉย
“ตอนมีแฟนอาจารย์พาเธอไปเที่ยวที่ไหนบ้าง?”
“อืม... อันที่จริงเราไม่ค่อยได้ไปไหนกันบ่อย ๆ เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างเรียนด้วย ก็เลยมีโอกาสไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันบ้างเป็นบางครั้ง ส่วนมากเราจะออกไปกินข้าว เดินเล่นกันเสียมากกว่า”
“เคยอยู่ด้วยกันไหมคะ?”
“ครับ หึงไหม?” ชายหนุ่มโน้มหน้าเข้าหาคนตัวเล็ก สบตากันท่ามกลางดอกทานตะวันที่โอบล้อมเราเอาไว้จนไม่มีใครมองเห็น
“หึง”
“งั้นทำยังไงดีครับ?” ชานยอลอมยิ้มกับสีหน้าของเด็กสาวที่แสดงออกให้รู้ว่าไม่ได้โกหก มันอาจจะไม่ต่างกันนักถ้าให้เทียบกับตอนที่เขาได้ยินเรื่องของโอเซฮุน
“หนูจะทำทุกอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยทำกับอาจารย์ไง วันนี้อาจารย์เป็นแฟนหนูนะ” ดูคำพูดคำจาน่ารักนั่นสิ น่ามันเขี้ยวน้อยเสียที่ไหน
ชานยอลโน้มลงไปจูบแก้มอมชมพูค้างไว้แล้วผละออกมาเล็กน้อย สบตากับเด็กสาวที่เกี่ยวนิ้วก้อยของเขาเอาไว้หลวม ๆ ก่อนเปลือกตาคู่สวยจะปิดลงรับจูบท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ ในทุ่งดอกทานตะวัน
“ต่อให้ทำซ้ำกับคนอื่นอีกสักกี่เรื่อง แต่ถ้าปัจจุบันหนูเป็นคนพิเศษ ไม่ว่าจะทำอะไรมันก็กลายเป็นความพิเศษสำหรับพี่อยู่ดีค่ะ” ไม่แน่ใจว่าเสียงทุ้มต่ำตอนแทนตัวเองว่าพี่หรือประโยคหวาน ๆ ที่ทำให้ใจเต้นแรงมากกว่ากัน
เด็กสาวไม่ต้องพยายามกักกั้นความรู้สึกใด ๆ เอาไว้อีกแล้วเมื่อวันนี้มีคำว่า ‘แฟนหนึ่งวัน’ เป็นข้ออ้างให้บยอนแบคฮีทำตามใจอย่างไรก็ได้เท่าที่ต้องการ คนตัวเล็กวางสองมือลงบนไหล่กว้างพร้อมเขย่งขาหอมแก้มคนตรงหน้าแช่ไว้โดยไม่ยอมผละออก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นจุ๊บซ้ำ ๆ จนเจ้าตัวต้องผละออกมาทำตาโตเพราะเห็นว่าแก้มเขามีรอยลิปสติก
ชานยอลยิ้มขำกับความขี้อ้อนแบบแฟนสาวที่คงไม่ได้เห็นอย่างนี้บ่อย ๆ แบคฮีกำลังเอามือนิ่ม ๆ เช็ดแก้มเขาพร้อมพึมพำอยู่ในลำคอ เขาจึงย่อเข่าลงเล็กน้อยแล้วตวัดกอดเอวคอดอุ้มขึ้นจนร่างผอมบางลอยจากพื้น
“วันนึงกินอะไรบ้างครับ”
“กินทุกอย่างยกเว้นผัก”
“กินเยอะกว่านี้อีกนิดนึงสิ จะได้มีเนื้อมีหนังบ้าง หนูผอมเกินไปแล้วนะ”
“งั้นหนูกินอาจารย์ได้ไหม...” เด็กสาวก้มลงไปกระซิบ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ กับความขี้เล่นที่เราต่างรู้ดีว่าตอนนี้ความอบอุ่นใจมันนำหน้ามาก่อนความต้องการเรื่องอย่างว่า “วันนี้อาจารย์น่ารักจัง”
“เรียกพี่ชานยอลอีกสิครับ”
“ชอบให้เรียกแบบนั้นเหรอคะ?”
“อืม... แต่ชอบน้อยกว่าหนูนิดนึงนะ”
แบคฮีก้มหน้าลงไปจุ๊บคนปากหวานโดยไม่สนใจว่าปากอาจารย์จะติดลิปสติกเธอหรือไม่ สองมือโอบใบหน้าหล่อไว้ขณะสบตากัน ก่อนจะตวัดกอดรอบคอแกร่งแล้วซบแก้มลงไปรับความอบอุ่นทั้งหมดที่วันนี้บยอนแบคฮีมีสิทธิ์ได้รับเพียงผู้เดียว
ชายหนุ่มเกลี่ยผมดำขลับออกพร้อมหอมซอกคอขาว ท่ามกลางความเงียบงันที่มีเพียงสองเรา ปาร์คชานยอลอยากปกป้องรอยยิ้มของเด็กผู้หญิงคนนี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุด แม้ว่าระยะเวลาทั้งหมดจะมีเพียงหนึ่งวันเท่านั้น
*
“ขออนุญาตที่บ้านแล้วแน่นะ?”
“หนูไม่โกหกหรอกน่า หนูจะเซอร์วิสเป็นแฟนอาจารย์ไปจนถึงเช้าวันพรุ่งนี้เลย”
“แบมือมาครับ”
“คะ?”
“แบมือ” แบคฮีเลิกคิ้วมองคนข้างตัวที่มองหน้าเธอสลับกับถนนเบื้องหน้า แม้จะงงว่าอาจารย์จะทำอะไร แต่เด็กสาวก็แบมือออกไป แล้วก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเพราะถูกตี
“อะไรเนี่ย!”
“ข้อหาทำเสียบรรยากาศ”
“หนูเนี่ยนะทำ?” คนตัวเล็กขมวดคิ้ว หันไปตีหน้าขาแกร่งก่อนจะถลึงตาสู้แฟนหนุ่มหนึ่งวันที่ถลึงตาใส่เธอ
“ที่อยู่ด้วยกันมาครึ่งวันคือการเซอร์วิสเหรอครับ?”
“หรืออาจารย์จะบอกว่าทำเพราะรู้สึกจริง ๆ ล่ะ?” คำถามเสี่ยงชะมัด ถ้าตอบไม่ตรงกับที่ใจอยากฟังเธอคงชักสีหน้าไปจนถึงพรุ่งนี้เช้าแน่ ๆ
เพราะใครล่ะที่ทำเสียบรรยากาศ ไม่ใช่อาจารย์หรอกเหรอที่รับโทรศัพท์ผู้หญิงในรถวันนั้นแล้วคุยกันตั้งนานสองนาน อีกทั้งยังไม่ยอมเล่าด้วยว่าคุยอะไรกัน พอกลับมาก็ดูมึน ๆ ตึง ๆ ไป ไม่อยากน้อยใจหรอกนะ แต่ในเมื่อเล่นเป็นแฟนกันหนึ่งวันบยอนแบคฮีก็ต้องมีสิทธิ์ทำตัวไม่น่ารักได้เหมือนกัน
“เฮ้อ พูดจาไม่น่ารักแบบนี้แยกกันเที่ยวดีกว่าครับ”
“อะไร จะไปไหนน่ะ?” เธอมองตามอีกคนที่เปิดประตูลงจากรถเมื่อเรามาถึงโรงแรมแถบชานเมือง แบคฮีรีบตามออกไปแต่อาจารย์ก็เดินตัวเบาไม่สนใจเธอเลยสักนิด “อาจารย์! ย๊า!!!”
ตะโกนใส่ขนาดนี้แล้วยังทำเป็นไม่ได้ยิน อาจารย์มีสิทธิ์งอนเธอด้วยหรือไง ไม่รู้ตัวเลยสักนิดสินะว่าทำอะไรเอาไว้ วันนี้เธอยังไม่ได้พูดถึงเซฮุนเลยสักคำถือว่าให้เกียรติการเป็นแฟนกันหนึ่งวันมากแค่ไหนลองคิดดู อาจารย์ควรสำนึกบ้างว่าไม่ควรทำให้เธอไม่พอใจ เห็นพูดจาน่ารักบ่อยหน่อยเลยเหลิงสินะ ได้ แยกกันเที่ยวก็ได้ เดี๋ยวจะเปิดห้องนอนแยกให้ดู ถ้ามาเคาะกลางดึกก็จะไม่เปิดประตูให้ด้วย
“แบคฮี!”
“...”
ไม่ใช่แค่เจ้าของชื่อที่หยุดฝีเท้า ชานยอลหันหลังกลับไปตามต้นเสียงก่อนจะเห็นว่ามีใครคนหนึ่งในชุดเสื้อวอร์มสีน้ำเงินขาวยืนอยู่ไม่ห่างจากรถบัสซึ่งมีชายหนุ่มอีกนับสิบที่แต่งตัวเหมือนกันกำลังทยอยลงมาทีละคน
เมื่อแน่ใจว่าไม่ได้ทักผิดคนชายหนุ่มผิวสีแทนก็วิ่งตรงมาหาเธอพร้อมรอยยิ้ม แบคฮีไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองนักว่าจะบังเอิญได้เจอแฟนเก่าหลังจากห่างหายกันไปนานหลายปี
“ใช่เราจริง ๆ ด้วย”
“พี่จงอินมาทำอะไรที่นี่คะ?”
“มาแข่งกับมหาลัยอันดงน่ะ ก็เลยค้างโรงแรมหนึ่งคืน” หนุ่มนักฟุตบอลทีมมหาลัยเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง พลางกวาดสายตามองความเปลี่ยนแปลงของเด็กสาวตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ไม่ว่าจะเป็นส่วนสูง หน้าตาและรูปร่างที่สมส่วนขึ้นเมื่อโตเป็นสาว “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“อ่า นั่นสิคะ” คนตัวเล็กยิ้มเจื่อน กับความกระอักกระอ่วนที่บอกตัวเองว่าควรรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็วที่สุด
“ตั้งแต่เราเปลี่ยนเบอร์ ลบเฟสบุ๊กกับไลน์ไปพี่ก็ไม่รู้เลยว่าจะติดต่อยังไง อ่า... หมายถึงว่าหลังจากลบไปแล้วพี่ก็ไม่รู้ว่าเราเป็นอยู่ยังไงบ้างน่ะ”
“อ๋อ หนูซื้อโทรศัพท์ใหม่ก็เลยเปลี่ยนเบอร์กับไลน์ด้วย ส่วนเฟสบุ๊กไม่รู้เป็นอะไรเข้าไม่ได้ ก็เลยปล่อยตามเลย” แบคฮีโกหกคำโต อันที่จริงมันเป็นเพราะเธอทนเห็นจงอินมีแฟนใหม่ไม่ได้จึงลบทุกอย่างทิ้งไปเพื่อตัดช่องทรมานของตนเอง
“สบายดีใช่ไหม?”
“ค่ะ พี่ก็เหมือนกันใช่ไหม?”
“พี่ก็เรื่อย ๆ ซ้อมฟุตบอลจนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นเลย” เขาพูดกลั้วหัวเราะ
“คุยกับใครเหรอครับ?” คนตัวเล็กหันไปสบตากับเจ้าของเสียงทุ้มต่ำที่เดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ โดยไม่สนใจแล้วว่ากำลังงอนเธออยู่
“อ่า คุณคนนี้คือ...?” จงอินยิ้มเจื่อน มองเด็กสาวตรงหน้าสลับกับชายหนุ่มตัวสูงซึ่งคงต้องการคำตอบจากปากเธอเช่นกัน
รอยยิ้มของคนไม่รู้ความผิดตัวเองคงเรียกคำตอบน่ารักจากปากบยอนแบคฮีไม่ได้ คนตัวเล็กชำเลืองมองแฟนหนุ่มหนึ่งวันที่กดดันทางสายตากราย ๆ ว่าให้ตอบในสิ่งที่เขาอยากได้ยิน และแน่นอนว่าแบคฮีจะไม่ยอมง่าย ๆ อย่างนั้น
“อ๋อ รุ่นพี่ค่ะ”
“ครับ?” <- แฟนวันนี้
“อ่า?” <- แฟนเก่า
“อือ รุ่นพี่” ต้องขอบคุณอาจารย์ที่เข้ามาได้ถูกจังหวะ เพราะตอนนี้แบคฮีอยากเอาคืนคนนิสัยไม่ดีมากกว่าต้องฝืนยิ้มต่อหน้าแฟนเก่าเพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอไม่เป็นอะไร
“สวัสดีครับ ผมปาร์คชานยอล เป็นรุ่นพี่ของแบคฮีครับ” เน้นประโยคหลังไม่พอ ยังหันมายิ้มถลึงตาใส่อีก แล้วไง เธอทำได้มากกว่านี้อีกถ้าอาจารย์อยากลอง
“ผมจงอินครับ คิมจงอิน”
“เพื่อนหนูเหรอครับ?” คนที่ปากบอกว่าเป็นรุ่นพี่โอบไหล่เด็กตัวแสบไว้พร้อมหันไปสบตากับคนผิวแทนที่ดูกระอักกระอ่วนกับมือเขาอยู่ไม่น้อย
“...”
“หืม?”
“อ๋อ เรา” จงอินเกาท้ายทอย ไม่แน่ใจว่าควรระบุสถานะระหว่างเขาและเธออย่างไร เพราะไม่ว่า ‘รุ่นพี่’ หรือ ‘แฟนเก่า’ มันก็คงใจร้ายเกินไปสำหรับความรู้สึกเราทั้งคู่ แม้คำพูดในการจบความสัมพันธ์วันนั้นจะทำให้เขาคิดเอาเองไปว่า ‘เราเลิกกันด้วยดี’ แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย
จงอินรู้ตัวดีว่าการขอลดสถานะเป็นพี่น้องมันคือวิธีของคนเห็นแก่ตัวซึ่งจะไม่มีใครเป็นคนผิด และที่คิดว่าเป็นเพื่อนเป็นพี่น้องกันได้ก็คือก็คงมีแค่คนที่อยากเลิก ซึ่งเขารู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้กับความอึดอัดในช่วงเวลานั้นที่ส่งผลถึงความคิดถึงระยะยาว
“พี่จงอินเป็นแฟนเก่าหนูเอง”
ผู้ชายคนนั้นไม่แสดงท่าทีอย่างที่จงอินกังวลนัก ดวงตาคมที่อ่านความคิดยากลดระดับลงมองตรามหา’ลัยบนเสื้อวอร์มของเขาก่อนจะยิ้มบาง ๆ “จงอินเป็นนักฟุตบอลของยอนเซเหรอครับ?”
“ครับ” ชายหนุ่มผิวแทนยังคงเป็นคนนอบน้อม สุภาพกับทุกคนเสมอไม่ว่าจะอายุมากกว่าหรือน้อยกว่า เรื่องนี้แบคฮีรู้ดี
“ผมเองก็เรียนจบจากที่นั่น บังเอิญเหมือนกันนะครับที่ได้เจอรุ่นน้องร่วมสถาบันที่นี่”
“อ่า จริงเหรอครับ งั้นผมต้องเรียกว่ารุ่นพี่ชานยอลซะแล้ว”
อาจารย์ยิ้มโดยไม่แสดงทีท่าแฟนหนุ่มขี้หึงหลังจากได้ยินคำว่า ‘แฟนเก่า’ อย่างที่เธอคาดหวังไว้ แบคฮีค่อนข้างผิดหวัง แต่ก็พอจะเข้าใจว่าผู้ชายที่ขอคบแค่วันเดียวคงไม่มีทางรู้สึกอย่างนั้น
“คะแนนกำลังมาแรงเลยใช่ไหมครับช่วงนี้ โค้ชจองคงเข้มกับพวกคุณน่าดู”
“รุ่นพี่ทราบด้วยเหรอครับ?”
“ผมพอจะตามข่าวกีฬาของมหา’ลัยอยู่บ้าง แต่ไม่มีเวลาตามไปติดถึงขอบสนามสักที ส่วนโค้ชจองก็เคยไปนั่งดื่มด้วยกันสองสามครั้งตอนที่เขานึกอยากจะเมาน่ะครับ”
ได้ไง... แบคฮีได้แต่กลอกตามองทั้งคู่สลับกัน จากทีแรกเหมือนบรรยากาศจะแปลก ๆ แต่ตอนนี้กลายเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบันยืนทำความรู้จักกันอย่างถูกคอเสียอย่างนั้น
“วันนี้โค้ชก็มานะครับ เขาอยู่ตรงล็อบบี้”
“งั้นเดินเข้าไปพร้อมกันเลยดีไหม ผมกับแบคฮีก็กำลังจะเปิดห้องอยู่เหมือนกัน” จงอินยิ้มค้าง เขาได้แต่มองคนตัวเล็กเพื่อให้ช่วยขยายคำพูดประโยคหลังซึ่งมันดูแปลก ๆ ไปสักหน่อยสำหรับคนที่ปากบอกว่าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน
เขาแทบลืมคิดไปว่าการที่ผู้ชายกับผู้หญิงมาโรงแรมด้วยกันด้วยสถานะรุ่นพี่รุ่นน้องมันก็ดูแปลกเกินไปสักหน่อย จะหาว่ามองโลกในแง่ร้ายก็ได้ แต่จงอินไม่อยากให้มันเป็นอย่างที่ความคิดในหัวกำลังบอกเลย
“ครับ”
*
“ไม่ใช่แค่รุ่นพี่รุ่นน้องใช่ไหม?”
“คะ?”
“ขอโทษนะ พี่ไม่ควรถามแบบนี้เลย” จงอินพูดกลั้วหัวเราะ เขามองไปทางรุ่นพี่หน้าหล่อที่กำลังนั่งคุยกับโค้ชจองอย่างออกรสอยู่บนโซฟาหน้าล็อบบี้ ส่วนเขาและเธอนั่งอยู่โซนกาแฟเล็ก ๆ ซึ่งไม่ห่างจากตรงนั้นมากนัก
“ใช่ค่ะ เราไม่ใช่รุ่นพี่รุ่นน้องกัน แต่ก็ไม่ใช่แฟน”
ยิ่งได้ยินคำตอบ จงอินก็ยิ่งอยากรู้มากยิ่งขึ้น ความรู้สึกเดิม ๆ ย้อนกลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกผิด ความคิดถึงที่พยายามเก็บไว้ในใจมาตลอด ในวินาทีนี้มันชัดเจนเสียจนไม่อยากลุกไปไหน เขาอยากคุยกับแบคฮีให้มากกว่านี้ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ คุยเรื่องไร้สาระเพื่อให้รู้ว่าทุกวันนี้เธอเป็นอยู่อย่างไร มีความสุขหรือไม่ ยังชอบกินของโปรดเดิม ๆ อยู่ไหม แต่คิมจงอินก็ทำได้แค่ค่อย ๆ ปล่อยออกไปทีละคำถามเพื่อไม่ให้คนตัวเล็กรู้สึกอึดอัด
คนที่บอกเลิกไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไร เขาได้แต่บอกตัวเองอย่างนี้
“พี่ยังคบกับแฟนคนนั้นอยู่หรือเปล่า?”
“ซึลกิเหรอ เลิกไปตั้งนานแล้วล่ะ” ยิ่งคุยกันก็ยิ่งกระอักกระอ่วน แต่ชายหนุ่มผิวแทนก็ไม่สามารถหยุดบทสนทนาระหว่างเราได้เลย
“พี่จงอิน”
“หืม?”
“มองหน้าหนู”
“...” ชายหนุ่มมองมือเล็กที่วางลงบนหน้าขาของเขา แววตาของเธอในตอนนี้ต่างจากเมื่อสามปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง ทั้งคำพูดคำจาและน้ำเสียง แบคฮีได้เปลี่ยนไปแล้ว
“ถ้าจะคุยกัน ก็อย่าทำเหมือนว่ารู้สึกผิด”
“...”
“ดูสิ คิ้วจะผูกกันเป็นโบว์อยู่แล้ว เครียดอะไรขนาดนั้นคะ” เด็กสาวยิ้มขำ ดึงแก้มชายหนุ่มที่เป็นรักแรกเบา ๆ ก่อนมือของเธอจะถูกคว้าเอาไว้ทั้งที่ยังสบตากันอยู่
“งั้นก็อย่าหลบหน้าพี่อีก ได้ไหม?”
“...”
“พี่รู้ว่ามันฟังดูเห็นแก่ตัว แต่มันแย่มากที่พี่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเราเลย”
จงอินรู้ดีว่ากำลังทำเรื่องโง่ ๆ แต่เขาก็ไม่สามารถยิ้มแล้วปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปเหมือนที่เคยทำ ในหัวมีความย้อนแย้ง ที่บอกว่าควรปล่อยเธอไป แต่อีกใจก็อยากคว้าโอกาสนี้เอาไว้ และคิดว่าบางทีเราอาจจะกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ได้
“ให้พี่กลับไปอยู่ในโลกของเราอีกครั้งได้ไหม?”
“...”
“เอ่อ ไม่ใช่แบบที่คิดนะ พี่หมายความว่าเราน่าจะคุยกันบ้าง ไม่ใช่หายจากกันไปเลย”
แววตาจริงจังและน้ำเสียงที่หนักแน่นนั้นแบคฮีสัมผัสได้ เด็กสาวรู้ดีว่าผู้ชายคนนี้ไม่มีทางหลอกเธอ แต่คิมจงอินคงไม่รู้ว่าไม่มีบยอนแบคฮีโลกใบนั้นแล้ว เพราะตอนนี้เหลือเพียงเธอคนนี้
“คุยกันเหรอคะ เรื่องไหนดีล่ะ?” ผู้ชายใจดีกำลังทำอะไรไม่ถูกเพียงเพราะคนตัวเล็กขยับกายเข้ามาใกล้
“อะไรก็ได้ อย่างเช่นเรื่องที่เราชอบ”
“อืม... เรื่องอะไรดีนะ” คนตัวเล็กขยับเข้าไปเล็กน้อยพร้อมยกมือขึ้นป้องปากกระซิบข้างหู “เรื่องโลกของหนูที่ตอนนี้มีผู้ชายอาศัยอยู่สองคนดีไหม?”
บยอนแบคฮีน่ะ... ใจร้ายที่สุดเลย
“คนนึงเป็นเพื่อนในห้อง หัวร้อน ขี้หึง ส่วนอีกคน... ก็รุ่นพี่ร่วมสถาบันของพี่”
จงอินรู้สึกชาไปทั้งตัว ภาพเด็กสาวขี้อายที่เคยยิ้มและหัวเราะด้วยกันฉายเข้ามาในหัวราวกับม้วนหนังสลับกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของคนตรงหน้าในเวลานี้ เขามองไปทางโซฟาหน้าล็อบบี้ สายตาของรุ่นพี่ที่มองเราทั้งคู่มันต่างจากตอนทำความรู้จักกันเป็นไหน ๆ
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นนะ เราไม่เห็นต้องพูดแบบนี้เลย”
“หนูแค่อยากให้พี่รู้ ว่าตอนนี้หนูเปลี่ยนไปมากแค่ไหนแล้ว”
“ทำไมล่ะแบคฮี เพราะพี่เหรอ?” ชายหนุ่มถามอย่างรู้สึกผิด ถ้าหากคิมจงอินเป็นต้นเหตุของทุกอย่าง เขาจะไม่ยอมให้อภัยตัวเองเลย
“เพราะตัวหนูเอง อย่าหาคนผิดเลยค่ะ” เด็กสาวเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “กลับไปอยู่โลกของพี่เถอะ โลกของหนูมันสกปรกเกินไป”
แบคฮีคิดว่าเธอทำถูกแล้ว และคงไม่มีวิธีไหนเหมาะกับความรู้สึกของเราที่มันยังค้างคาใจแม้ว่าจะผ่านไปนานแล้วถึงสามปี คนตัวเล็กลุกขึ้นยืนแต่ก็ถูกแฟนเก่าคว้าข้อมือไว้ สายตาของเขาหยุดอยู่กับแก้วกาแฟโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองเธอเลยสักนิด
“เราไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้น?”
“ที่พูดไปทั้งหมดก็เพราะไม่อยากให้พี่กลับเข้ามาในชีวิตเรา... ใช่ไหม?” ประโยคนี้มีผลต่อใจคนฟังอยู่ไม่น้อย แบคฮีสบตากับคนที่เคยทิ้งเธอไป ผู้ชายคนนี้กำลังท้าทายให้เธอพูดคำร้าย ๆ ออกมาเพื่อยืนยันว่าที่เห็นอยู่ในตอนนี้คือความจริง
“เห็นไหม เรากลับมาคุยกันไม่ได้หรอก แค่ตอนนี้ยังไม่รอดเลย” เด็กสาวยิ้มพร้อมโน้มใบหน้าลงไปใกล้ “ไม่มีใครเหมือนเดิมตลอดไปหรอกค่ะ พี่ก็เหมือนกัน”
*
“เป็นยังไงครับ คุยกับแฟนเก่าสนุกไหม?”
“แค่คุยกันเฉย ๆ จะสนุกได้ไง”
คนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟา อีกคนนั่งไขว่ห้างอยู่ปลายเตียง สบตากันอย่างหยั่งเชิงหลังจากขึ้นมาบนห้อง ไม่มีใครหลงเหลือความรู้สึกดี ๆ เมื่อตอนกลางวันอยู่อีกเพราะถูกความหึงหวงเล่นงาน
“อะไรที่ทำให้แตะต้องตัวผู้ชายอื่นต่อหน้าผมได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยครับ?”
“ทีอาจารย์ยังไปคุยโทรศัพท์กับผู้หญิงอื่นแล้วทิ้งหนูไว้ในรถเลย”
“แต่มันไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนยังไง?”
“แน่นอนว่าไม่”
“ก็เล่ามาสิ หนูอยากรู้” ไม่ชอบเวลาตัวเองงี่เง่าเลย แต่แบคฮีก็ทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ทั้งเรื่องอาจารย์และเรื่องแฟนเก่าที่กลับมากระตุ้นให้รู้สึกแย่อีกครั้ง เธออยากเอาแต่ใจบ้าง เพราะวันนี้มันใกล้จะหมดเวลาของเราแล้ว
“ผมจะเล่าหลังจากที่คุณเล่าเรื่องจงอินจบแล้ว” ชายหนุ่มเอนหลังพิงกับพนักโซฟาเดี่ยว คว้ากระป๋องเบียร์ขึ้นมาดื่มพลางมองหน้างอ ๆ ของเด็กสาวที่ทำให้เขาหัวเสียเป็นชั่วโมง
“หนูลบทุกอย่างเกี่ยวกับพี่จงอินทิ้งตั้งแต่ตอนเห็นว่าเขามีแฟนใหม่ หนูรู้ว่ามันเป็นวิธีแบบเด็ก ๆ แต่หนูไม่อยากเห็นอะไรอีก แล้ววันนี้เขาก็บอกว่าอยากกลับมาคุยกัน”
“แล้วคุณตอบไปว่าไงครับ”
“หนูยั่วเขา”
“หืม?” ชานยอลขมวดคิ้วกับคำตอบซื่อ ๆ แต่ก็ร้ายกาจไม่ใช่เล่น
“หนูอยากให้พี่จงอินเห็นว่าหนูเป็นเด็กนิสัยไม่ดี เขาจะได้เลิกคิดสักทีว่าหนูไร้เดียงสา”
“เด็กน้อย” ชายหนุ่มส่ายศีรษะ คนฟังจึงหัวร้อนรีบลุกจากเตียงไปนั่งคร่อมร่างคนที่นั่งอยู่บนโซฟาพร้อมโอบใบหน้าให้เงยขึ้นรับจูบจาก ‘เด็ก’ อย่างเธอ
ชานยอลจูบตอบ ตวัดดูดลิ้นเล็กที่พยายามไล่ต้อนให้เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ หากแต่มือแกร่งไม่ได้สอดเข้าไปใต้เดรสสีฟ้าหรือขยำหน้าอกอย่างที่เคยทำเหมือนทุกครั้ง เขาเพียงกอดร่างของเด็กตัวแสบไว้ก่อนจะถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง
“มีวิธีอีกเป็นร้อยที่เอาไว้ปฏิเสธแฟนเก่า หนึ่งในนั้นคือการเรียกผม”
“หนูไม่เรียกคนที่ทำได้ดีแค่นั่งมองหนูคุยกับคนอื่นหรอก” น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจทำให้เด็กสาวน่าเอ็นดูจนต้องเกลี่ยปอยผมพร้อมลูบแก้มปลอบใจ
“ถ้าคุณตอบเขาไปแต่แรกว่าเราเป็นแฟนกัน ผมคงเดินไปตรงนั้นได้โดยไม่ต้องหาข้ออ้าง แต่เพราะคุณบอกว่าเราเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง ผมเลยคิดว่าคุณคงต้องการเวลาอยู่กับเขา”
“ไม่ต้องตามใจหนูทุกเรื่องก็ได้ แสดงความเป็นเจ้าของต่อหน้าเขาสิ ทำให้ทุกคนบนโลกรู้ว่าไปเลยว่าอาจารย์หึงมากแค่ไหน วันนี้หนูเป็นแฟนอาจารย์นะ” ชานยอลใช้นิ้วหัวแม่มือไล้น้ำตาออกจากดวงหน้าหวาน ถึงขั้นร้องไห้แบบนี้แสดงว่าแบคฮีคงรู้สึกแย่มากจริง ๆ
“ไม่ร้องนะครับเด็กดี ชู่ว์...” ชายหนุ่มจูบหน้าผากมนพร้อมยิ้มบาง ๆ ขณะโอ๋เด็กขี้แยที่ปล่อยน้ำตาออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “ผมขอโทษ”
“ถ้าผู้หญิงคนนั้นสำคัญมาก ทำไมไม่ชวนเธอแทนล่ะ ชวนหนูทำไม” คนบนตักซบหน้าลงกับไหล่กว้าง ตวัดแขนกอดรอบคอแกร่งร้องไห้จนแจ็คเกตตัวนอกของชายหนุ่มเปียกเป็นดวง ชานยอลจึงปลอบใจโดยการลูบศีรษะเธอเบา ๆ
“ผู้หญิงคนนั้นโทรมาย้ำว่าอีกสองวันคือวันครบวันตายน้องสาวผม”
“...”
“เธอเป็นเพื่อนสนิทกันน่ะครับ” ชานยอลยิ้ม เมื่อนึกถึงเด็กผู้หญิงสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน
แบคฮีผละออกจากอ้อมกอดสบตากับอาจารย์หนุ่มซึ่งไม่มีทีท่าว่าสิ่งที่พูดออกมาจะเป็นเรื่องล้อเล่น เธอนั่งนิ่ง ๆ บนตักเพื่อรอคำอธิบาย สีหน้าของอาจารย์ยังคงเหมือนเดิม แต่ต่างไปตรงที่ดวงตาคู่นี้เศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
“เธอจมน้ำตายตอนไปเข้าค่ายในปีที่ผมเพิ่งได้บรรจุเป็นครู”
“...”
“มันยากสำหรับผมมากที่ต้องเปิดผ้าขาวออกเพื่อให้เห็นกับตาว่ามันเป็นเรื่องจริง ตอนนั้นในหัวมันมีแต่คำว่า ‘ถ้า’ อยู่เต็มไปหมด ถ้าผมได้ไปค่ายด้วย ถ้าผมไม่ตามใจเธอเกินไป ผมคงบังคับให้เธอหัดว่ายน้ำได้ และถ้าผมอยู่ตรงนั้น --”
แบคฮีกำลังรู้สึกผิดที่อยากฟังคำตอบที่ส่งผลกระทบทางจิตใจคนพูด เด็กสาวมองดวงตาคู่นั้นที่เคยแพรวพราว เจ้าเล่ห์ แต่ตอนนี้กลับแดงก่ำและคลอไปด้วยน้ำตา
“มันเป็นเหตุผลที่อาจารย์อยากสอนหนูว่ายน้ำหรือเปล่าคะ?”
“...” ชานยอลเงยหน้าขึ้นสบตากับเด็กสาว ก่อนจะผงกศีรษะเป็นคำตอบ
‘อาจารย์มีพี่น้องไหม?’
‘ผมมีน้องสาวหนึ่งคน แล้วคุณล่ะ?’
คนตัวเล็กโอบใบหน้าอีกคนไว้ ตอนนี้เธอเป็นฝ่ายเช็ดน้ำตาให้ผู้ชายที่คิดมาตลอดว่าเข้มแข็งและคงไม่มีจุดอ่อนใด ๆ แบคฮีรั้งคนตรงหน้าเข้ามากอดพร้อมเกยคางลงบนศีรษะ เราต่างกระชับกอดกันแน่นยิ่งขึ้นเพื่อขับไล่ความเศร้าในใจที่คงตามหลอกหลอนอาจารย์ทุกครั้งที่นึกถึง
“หนูขอโทษนะ”
แบคฮีไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายพยักหน้าหรือพูดอะไรสักอย่างเพื่อให้เธอรู้สึกดีขึ้น เด็กสาวยังคงช็อกกับเรื่องที่ได้ฟัง มันทำให้นึกย้อนไปถึงช่วงแรก ๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน ตอนถูกผลักตกลงน้ำ และสีหน้าตอนอธิบายว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น ทุกอย่างมันมีเหตุผลทั้งหมด
อาจารย์จะรู้สึกอย่างไรตอนเห็นน้ำ?
มันเป็นสิ่งที่เขาชอบและคงเป็นสิ่งที่ทำให้นึกถึงน้องสาวทุกครั้ง แต่อาจารย์ก็ซ่อนความรู้สึกเอาไว้มาจนถึงตอนนี้ บยอนแบคฮีจึงตระหนักได้ว่าเราต่างก็รู้จักกันและกันน้อยเกินไป น้อยจนอยากรู้อะไรให้มากกว่านี้
“ขอโทษเหมือนกันนะครับ ผมทำเดทวันนี้พังไม่เป็นท่าเลย” ชานยอลผละออกจากอ้อมกอดเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นสบตากับคนตัวเล็กที่ไม่หลงเหลือความขี้งอน น้อยใจ แก่แดดอยู่เลยสักนิด
“ยังไม่หมดวันสักหน่อย เหลืออีกตั้งหลายชั่วโมง”
“เบื่ออยู่กับผู้ชายอย่างผมไหมครับ?” น่าตลกดี ที่คนซ่อนความรู้สึกเก่งกำลังเช็ดน้ำตาให้กันและกัน แบคฮีส่ายศีรษะเป็นคำตอบพร้อมโน้มลงไปจูบหน้าผากคนอายุมากกว่า ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางความเงียบ ก่อนร่างของเด็กสาวจะถูกอุ้มขึ้นไปบนเตียง
ชายหนุ่มขึ้นคร่อมร่างผอมบาง สบตากันโดยไม่มีการยั่วยวนจากคนตัวเล็ก แบคฮีเอาแต่มองเขาราวกับอยากพูดว่าขอโทษอีกครั้ง ซึ่งชานยอลรู้สึกดีเหลือเกินที่เด็กคนนี้ยอมแสดงมุมอ่อนโยนออกมาให้ได้เห็น
“วันนี้หนูหึงเหมือนหมาบ้าเลย”
“งั้นตรงนี้ก็คงมีหมาบ้าสองตัว”
“ดูโง่ด้วย”
“รู้สึกเหมือนกันเลยครับ”
“หนูรู้สึกผิดที่พูดถึงผู้หญิงคนนั้นจนทำให้อาจารย์นึกถึงน้องสาว”
“ไม่หรอกครับ การนึกถึงเธอมันไม่ใช่เรื่องแย่สำหรับผม อย่าคิดมากเลย” ชานยอลเกลี่ยปอยผมออกจากแก้มเนียน เขาไม่อยากให้แบคฮีโทษตัวเองกับความจริงที่ต้องอยู่กับมันให้ได้
“หนูจะเชื่อฟังอาจารย์ไปจนถึงพรุ่งนี้ จะไม่งี่เง่าอีก สัญญา” เด็กสาวชูนิ้วก้อยขึ้นมาก่อนจะถูกงับไว้เบา ๆ
“คนที่บอกให้ไปใส่กางเกงในยังไม่อยากใส่เนี่ยนะครับจะเชื่อฟังผม” ชานยอลยิ้มขำเมื่อนึกถึงความแก่นแก้วของคนตัวเล็ก
“‘นี่กางเกงในของคุณครับแบคฮี’ แบบนั้นคือประโยคคำสั่งเหรอ หนูนึกว่าอาจารย์บอกเฉย ๆ แต่จะใส่ไม่ใส่ก็ได้”
“ที่บอกก็เพราะอยากให้ใส่ ทำไมต้องให้แปลความหมายทุกคำพูดเลยครับเด็กดื้อ”
“ที่ไม่ใส่ก็เพราะหนูรู้ไงว่าอาจารย์ต้องถอดมันอีกรอบ...” แบคฮีแตะนิ้วชี้ลงบนริมฝีปากหยัก ชานยอลจึงหลุดขำแล้วลุกขึ้นเดินไปหยิบของที่วางอยู่บนโต๊ะ “เมินหนูแบบนี้คืออะไร?”
“เป็นลูกแมวได้ไม่ถึงสิบนาทีก็กลับไปเป็นแม่เสือสาวอีกแล้ว” เขากลับมาพร้อมกล่องกระดาษสีน้ำตาล แบคฮีจึงเบ้ปากใส่คนตัวโตที่ไม่สนใจการยั่วยวนของเธอเลยสักนิด
“คะ?”
“ผมให้” คนตัวเล็กชี้หน้าตัวเอง พลางมองกล่องดนตรีม้าหมุนสีขาวขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือที่อาจารย์ยื่นให้ “ตอนอยู่ร้านขายของที่ระลึก ผมเห็นว่ามันน่ารักดีก็เลยคิดว่ามันอาจช่วยอาการนอนไม่หลับของคุณได้”
“นึกอยากเซอร์ไพรส์หรือไง?”
“ผู้หญิงดูชอบอะไรแบบนี้นี่ครับ” เขายิ้มพลางมองความน่ารักของเด็กสาวที่กำลังพลิกมันไปมาอย่างสนใจก่อนจะช้อนตามอง “ไม่ชอบเหรอ?”
“อือ”
“อ่า...”
“อาจารย์ไม่ควรซื้ออะไรให้หนู” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่สายตาของแบคฮีก็ยังไม่ยอมละออกจากของขวัญที่แฟนหนุ่มหนึ่งวันซื้อให้ “เพราะมันจะทำให้หนูนึกถึงอาจารย์ทุกครั้งที่เห็นมัน”
“มันแย่สำหรับคุณเหรอครับ?” ทันทีที่ได้ยินคำถาม แบคฮีจึงพยักหน้า
“หลังจากวันนี้ถ้าหนูเห็นนาฬิกายาง กล่องดนตรี หรือทุ่งดอกทานตะวัน คนแรกที่หนูจะนึกถึงก็คืออาจารย์ แล้วมันคงแย่มากถ้าหากว่าตรงนั้นมีแค่หนูยืนอยู่คนเดียว”
“...”
“เราควรไปกินข้าว นอนด้วยกัน แล้วก็กลับไปใช้ชีวิตเหมือนปกติ หนูจะได้ไม่ต้องจดจำอะไรมากนัก”
คนที่รู้สึกมากกว่าย่อมเจ็บมากกว่า แม้จะบอกตัวเองว่าวันนี้ก็แค่เดทขำ ๆ หนึ่งวัน แต่มันก็เป็นเพียงการปลอบใจโง่ ๆ เท่านั้น บยอนแบคฮีรู้ดีแก่ใจว่าลึก ๆ แล้วเธอจริงจังกับวันนี้มากแค่ไหน ผู้หญิงที่กลัวการจริงจังกับความรักได้พลาดตกลงไปในหลุมนั้นแล้ว ถึงจะพยายามฉุดตัวเองไว้ตลอด แต่ใจที่แสนบอบบางของบยอนแบคฮีก็ไม่สามารถต้านทานความเป็นอาจารย์ได้เลย
“ให้ผมเป็นกรณียกเว้นไม่ได้เหรอครับ?”
“...” เด็กสาวช้อนตามองคนตรงหน้า มองแววตาจริงจังคู่นั้นในวินาทีที่เธอตกอยู่ในความกลัว
“จดจำผมในแบบที่จะทำให้คุณไม่เจ็บ เพราะผมเองก็จดจำทุกอย่างที่เป็นคุณ”
“แต่อาจารย์ไม่ได้ชอบหนู”
“รู้ได้ยังไงครับ คุณเองก็ไม่ได้เข้ามานั่งอยู่ในใจผม”
“ไม่มีใครชอบผู้หญิงที่นอนกับผู้ชายหลายคนหรอก อาจารย์ก็แค่พูดให้มันคลุมเครือเหมือนทุกครั้ง สุดท้ายเราก็จบลงแค่การนอนด้วยกัน”
เกือบจะดีอยู่แล้ว แต่สุดท้ายแบคฮีก็ปล่อยความกลัวออกมาเล่นงานตัวเองอีกจนได้ ชานยอลเอากล่องดนตรีจากมือเล็กไปวางข้างโต๊ะหัวเตียง ก่อนจะดันร่างผอมบางให้นอนราบลงกับฟูกนุ่ม สอดประสานเรียวนิ้วกับเธอ และปล่อยให้ความเงียบทำงานอยู่ครู่หนึ่ง
“ถูกครับ ผมไม่ชอบให้คุณนอนกับคนอื่น แต่การที่ผู้ชายคนนึงจะไม่พอใจเรื่องนี้ มันไม่ได้หมายความว่าเขารู้สึกกับเธอมากกว่าคู่นอนเหรอครับ?”
“...”
“การที่อาจารย์คนหนึ่งชวนนักเรียนของเขาออกเดท และใช้ข้ออ้างเรื่องเป็นแฟนหนึ่งวันเพราะอยากแสดงออกให้มากกว่าที่เคย นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาพยายามจีบเธออยู่เหรอครับ?”
“...”
“ต้องบอกไหมครับว่าผมหงุดหงิดจนแทบอยู่ไม่ได้แค่ไหนตอนจินตนาการว่าคุณนอนบนเตียงเซฮุนโดยไม่ใส่เสื้อผ้า ต้องบอกหรือเปล่าว่าผมมองคุณจากดาดฟ้าทุกวัน มองตั้งแต่ความรู้สึกผมเริ่มต้นจากศูนย์ จนตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่ามันเกินร้อยไปแล้วหรือยัง”
“...”
“เพราะผมเป็นผู้ใหญ่เหรอครับ คุณถึงคิดว่าเด็กเท่านั้นที่จะจริงจังได้มากกว่า”
หัวใจเต้นตึกตักไปกว่าทุกครั้งเพราะคำพูดและสายตาของอาจารย์ในตอนนี้ แบคฮีไม่รู้จะพูดอย่างไรดีกับสิ่งที่คาดไม่ถึงว่าอาจารย์จะคิดกับเธอมากถึงขนาดนี้
“ถ้าความรู้สึกของเราคือเกม ตอนนี้คงมีคนแพ้แล้วครับ”
เด็กสาวเพียงนอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียง มองอีกคนที่จูบหลังมือเธออย่างแผ่วเบาราวกับว่าบยอนแบคฮีเป็นเจ้าหญิงที่น่าทะนุถนอม อาจารย์จับมือเธอกอดรอบคอก่อนจะเลื่อนขึ้นมาคลอเคลียริมฝีปาก จูบเบา ๆ แล้วผละออกมาสบตากัน ทำอย่างนั้นซ้ำ ๆ โดยไม่มีการล่วงล้ำเข้าไปในกระโปรง
“และคน ๆ นั้นคือผมเอง”
กำแพงสูงของบยอนแบคฮีถูกพังทลายด้วยความชัดเจนของอาจารย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
TBC
มีคนรีเคว้ดมาว่า พี่คะ ขอแบบหวาน ๆ หน่อยได้มะ แบบหวานเฉย ๆ ไม่ต้องตรั่บ ๆ กันอะคร๊
ชั้นก็เรยจัดให้เค้า เพราะชั้นคิดว่าผู้หญิงคนนึงน่าจะเปงคนดีสักตอนได้
มันคงน่าเกลียดเกินไปถ้าชั้นจะเขียนฉากตรั่บสองคัทในตอนเดียวเหมือนชาปเท่อที่แล้ว
พอมานั่งทบทวนตัวเองประมาณสามวิชั้นก็รู้สึกไม่ดี ชั้นก็เลยตัดไปไว้ครึ่งแรกตอนหน้าแทน
#อิเวง
ความคิดเห็น