คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : CHAPTER 06 :: MISSION (100%)
CHAPTER 06
MISSION
“Experience is the mother of wisdom.”
ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้าประตูสีเทา ทั้งที่เคยเห็นมันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกแปลกเพียงเพราะต้องกดรหัสผ่านเข้าไปอีกครั้ง หลังจากหายไปสามปี
ประตูถูกเปิดเข้าไปก่อนที่ไฟสีส้มอ่อนจะค่อย ๆ ติดทีละดวงจนห้องโถงกว้างสว่าง ทุกอย่างยังคงตั้งอยู่ที่เดิม แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถเข้ามาได้นอกจากว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นแฮคเกอร์ฝีมือดี ซึ่งเขาค่อนข้างมั่นใจว่าจ่าจงแดคงไม่ทำอย่างนั้นแน่ แม้แต่จ่าลู่หานที่ทำตัวขวางโลกไปวัน ๆ ก็คงไม่ว่างมากพอที่จะมายุ่งข้าวของเครื่องใช้ทหารที่ขึ้นชื่อว่าตายไปแล้ว
[ ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะหมวด ]
“ฉันนึกว่าเธอจะไม่อยู่รอแล้วเสียอีก” ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ ขณะมองไปยัง AI เด็กผู้หญิงชาวต่างชาติตัวเล็กตากลมโต ผมยาวตกหลังและชุดกระโปรงบานของเธอ
[ ทางเดียวที่หมวดจะกำจัดหนูไปจากชีวิตได้ คือยิงไวรัสเข้ามาทำลายระบบ ซึ่งหนูรู้ว่าหมวดคงไม่ทำอย่างนั้นแน่ ]
“อะไรที่ทำให้เธอมั่นใจขนาดนั้นล่ะชาร์ลอตต์” จงอินนั่งลงบนโซฟา ก่อนที่ร่างสีน้ำเงินของเด็กสาวจะมานั่งข้าง ๆ
[ เพราะหมวดรักหนู ]
“อ่า แก่แดดจัง”
[ แล้วหนูก็รักหมวดด้วยค่ะ ]
“คงมีแค่เธอคนเดียวที่พูดแบบนี้”
[ นั่นเป็นเรื่องดีสำหรับหนู ขอโทษด้วยค่ะ ถึงจะเป็นแค่ระบบปัญญาประดิษฐ์ แต่หนูก็มีความเห็นแก่ตัวที่ไม่อยากให้หมวดเอ็นดูใครมากไปกว่าหนูอีกแล้ว ]
เด็กสาวตัวสีน้ำเงินเตะขาเล่นขณะมองใบหน้าชายหนุ่มที่เธอต้องดูแลมาตลอดหลายปีตั้งแต่ถูกสร้างขึ้นมา ชาร์ลอตต์เป็นเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวที่คิมจงอินปล่อยให้เข้ามาในโลกของเขาได้ มันเป็นเรื่องตลกในกลุ่มผองเพื่อน เมื่อเขาไม่ยอมคบหาผู้หญิงสักคนให้กระชุ่มกระชวยหัวใจ จนถูกแซวว่าเป็นไอ้ตายด้านไม่รู้จักกอบโกยเอาความสุขใส่ตัว
คิมจงอินก็แค่เห็นเรื่องชาติมาก่อนความรัก แต่ทุกคนย่อมมีเหตุผลเป็นของตัวเอง เหมือนกับพวกไอ้งั่งนั่นที่อยากมีเซ็กส์กับผู้หญิงสวย ๆ เพื่อเป็นกำไรชีวิต สุดท้ายก็ผูกพันกันจนเลิกไม่ได้
เห็นทีว่าเขาควรหาเวลาว่างไปเยี่ยมภรรยาของแทคยอนและลูกที่ป่านนี้คงอายุสักสี่ขวบแล้ว
[ เหนื่อยใช่ไหมคะ ]
“เปล่าเลย ให้ไปวิ่งรอบโลกตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเหงื่อจะผุดออกมาสักเม็ดหรือเปล่า ความเหน็ดเหนื่อยเป็นยังไงฉันแทบจำมันไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ”
[ หนูหมายถึงหัวใจของหมวด มันคงเหนื่อยมากเลยใช่ไหมคะ ]
“...”
[ ถึง AI ทุกตัวจะถูกสร้างขึ้นมาให้ใกล้เคียงความเป็นมนุษย์มากที่สุด แต่พวกหนูก็เป็นได้แค่ปัญญาประดิษฐ์ที่เข้าถึงความลึกซึ้งของสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรู้สึก’ ไม่ได้ ]
ชายหนุ่มนั่งนิ่ง ปล่อยให้สายตาหยุดอยู่กับพรมปูพื้นสีน้ำตาลขณะฟังเสียงเล็ก ๆ ที่เป็นกำลังใจให้กับเขาทุกครั้งเวลาเหนื่อยกับโลกภายนอก ชาร์ลอตต์เป็นเหมือนน้องสาวแท้ ๆ ที่อยู่กับเขามาตั้งแต่เข้ามิเนอร์วาทู เด็กผู้หญิงคนนี้คือความสดใสเดียวที่คิมจงอินสัมผัสได้
[ แต่หนูถูกปลูกฝังมาว่ามนุษย์มักจะเจ็บปวดเพราะคำพูดของคนอื่น ]
“...”
[ ‘เป็นทหารอย่าอ่อนแอ’ หนูจำประโยคนี้ที่หมวดพูดกับพลทหารได้ แต่ไม่เป็นไรนะคะ ]
จงอินไม่รู้สึกถึงสัมผัสบนหลังมือหลังจากเด็กสาววางมือลงมา แต่เชื่อเถอะว่าเขาสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้ ชาร์ลอตต์ลุกขึ้นยืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม ดวงตาคู่นั้นมองมาพร้อมริมฝีปากที่ยกยิ้มอย่างสดใส ก่อนที่เธอจะทำท่าตวัดแขนกอดตัวเอง
[ ถ้าหนูมีตัวตน หนูจะกอดหมวดไว้แน่น ๆ อย่างนี้ ]
“...”
[ หมวดคนเก่งของหนูสู้ ๆ นะคะ ]
“ให้ตายเถอะ เธอนี่นะ...” จงอินยิ้มขำพลางส่ายหน้ากับความสดใสของเด็กสาวไม่มีชีวิต เสียงหัวเราะคิกคักเหมือนกำลังวิ่งในสนามเด็กเล่นทำให้เขารู้สึกดีขึ้นจริง ๆ
“พูดจริงนะเซฮุน ฉันไม่อยากให้แกเสนอหน้าเข้าไปกวนตีนหมวดบ่อย ๆ”
“เฮ้ย พูดงี้ไม่ได้ดิ องค์กรจะไม่มีวันได้รู้ทันศัตรูถ้าไม่ส่งสปายเข้าไปล้วงความลับนะเว้ย”
“แต่เซฮุนไม่ใช่สปาย แล้วหมวดก็ไม่ใช่ศัตรูด้วย ไอ้โง่”
“แต่เราก็ควรรู้เรื่องของหมวดไว้ไม่ใช่เหรอวะ ทุกคนควรได้รับคำตอบเพื่อให้ความคาใจจางหายไป”
“การเสือกทุกงานไม่ได้ช่วยให้พวกเดนตายหมดโลกไป แล้วก็ไม่ได้ช่วยกู้อนิเมะโข่ง ๆ ที่แกใช้เวลาทำเป็นเดือนคืนมาด้วย”
“พูดแบบนี้พี่เจ็บไปจนถึงม้ามตับยันซีรีบรัมเลย”
คนตัวผอมบนเปลสีเขียวไขว้แขนไว้ใต้ท้ายทอยในโรงเก็บเครื่องบิน เคี้ยวหมากฝรั่งอย่างใจเย็นขณะฟังบทสนทนาของสองเพื่อนซี้คู่กัดที่เอาแต่ถกเถียงเรื่องที่เขาไปป๊ะหน้ากับหมวดจงอินมา
“แต่พูดก็พูดเถอะ มันคาใจจริง ๆ นะเว้ยคยองซู บางทีหมวดอาจจะเปลี่ยนไปเข้าทีมพวกเดนตายแล้วก็ได้ อารมณ์แบบกำลังคิดทำการใหญ่ โดยการส่งหมวดจงอินกลับเข้าเกาหลีใต้ กัดประชาชนให้เปลี่ยนเป็นผีดิบ ทำลายประเทศเราไม่มีเหลือ”
“ถ้าเป็นงั้นจริง ฉันจะภาวนาให้แกถูกล่อเป็นคนแรก” เสียงสว่านดังขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่คยองซูพูดจบ “ประเทศเราไม่ใช่ศัตรูหมายเลขหนึ่งที่พวกมันต้องกลัว ฝั่งอเมริกายุโรปโน่นที่ควรกลัว พวกประเทศที่มีอาวุธเตรียมทำสงครามครบมือ ไม่ใช่ประเทศที่พวกมันมองเป็นอาหารอย่างนี้”
ลู่หานเบะปาก พอรู้ตัวว่าเป็นเพียงแค่อาหารที่พวกมันจะกินเมื่อไหร่ก็ได้แล้วก็เจ็บหัวใจเหลือเกิน พวกเดนตายควรเกรงใจการศึกษาที่มนุษย์ร่ำเรียนมาบ้างสิ!
“ทำไมคนแก่ชอบทะเลาะกันนักวะ หาเมียไหม เผื่อจะได้เป็นผู้ฟังบ้าง”
“แกน่ะเงียบไปเลย ไอ้เด็กชั่ว” ลู่หานชี้หน้ารุ่นน้องที่นอนอยู่บนเปลตัวเดิม แถมยังโยนถั่วขึ้นบนอากาศแล้วปล่อยให้มันเข้าปากได้อย่างง่าย ๆ อีกด้วย หล่อมากมั้งมึงเนี่ย
“หวังว่าแกจะมีโอกาสได้หายใจจนอายุเท่าฉันนะ” เสียงของนักบินคยองซูเรียกรอยยิ้มจากคนเป็นรุ่นน้องได้เป็นอย่างดี
“ทำไมทุกคนต้องเกรงใจหมวดจงอินขนาดนั้น กลัวโดนกัดไง?”
“โธ่ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน แกมันไม่รู้อะไร จะหมัดจะมวยจะหวยจะเบอร์หมวดจงอินก็ฟาดมาหมดแล้ว นี่เหลืองัดกับปาร์คสามวิ ถ้ามีวันนั้นจริงรับรองสังเวียนต้องพังกันไปข้าง มวยคู่เอกชนิดว่าถ้าได้ลองจริงอาจมีใครสักคนหยอดน้ำเกลือ”
“ไม่ต้องถึงกับกัด หมวดก็เล่นเอาแกตายได้แล้ว” คยองซูเสริม
แค่นึกถึงภาพตอนหมวดจงอินตอนดวลกับทหารหุ่นใหญ่ยักษ์สามคนบนสังเวียนจนหมอบเรียบทุกคนเหมือนไม่ใช่เรื่องยากนี่ก็น่ากลัวเหลือทนแล้ว
“จบจาก Agility มานี่เคยรู้จักชาวบ้านชาวช่องเขาบ้างไหม หรือต้องคอยให้รุ่นพี่แนะนำตลอด?” คยองซูโผล่หน้าออกมามองหน้าหล่อ ๆ ของรุ่นน้อง แต่เจ้าตัวเพียงแค่ไหวไหล่ราวกับไม่สะทกสะท้าน
“ทำไมผมต้องรู้จักคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็โคตรเก่งด้วยวะพี่”
“ฟังไว้สหาย” ลู่หานชี้ไปยังเด็กหนุ่มตัวสูงขณะปั้นหน้าจริงจังใส่คนเป็นเพื่อน “ปากแบบนี้รับรองไม่ได้ตายดี”
“เอาจริงนะ ผมเป็นห่วงว่าจ่าจะตายห่าไปก่อนเพราะเล่นว่าวตอนดูหนังโป๊มากกว่าเป็นห่วงตัวเองอีก”
“ไอ้ห่า เดี๋ยวนี้ไม่ได้เล่นแล้วเว้ย” ลู่หานปาชิ้นส่วนเครื่องบินเก่าที่วางอยู่ใกล้มือใส่ไอ้เด็กบ้านั่นอย่างเหลืออด
“อันนี้ฉันคอนเฟิร์ม ตั้งแต่มันถูกทิ้งไปเป็นปีก็ไม่มีหญิงที่ไหนกล้าเอาไอ้ลู่หานอีกเลย บอกแล้วว่าอย่าเซ็กส์จัดมาก ถ้ามีอารมณ์ก็ให้ใช้สองมือช่วยหน่อย ไม่ก็ให้นัง AI ผีบ้าของแกช่วยขย่มให้” คยองซูโผล่หน้าออกมาอีกครั้ง เล่นเอาคนฟังถึงกับถลึงตามอง
“อย่า... ก้าวร้าวกับนัตสึมิจังอย่างนั้น” ลู่หานชี้หน้าคาดโทษเพื่อนสนิทที่ระเบิดหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กับไอ้เด็กหอกจากทีมมิเนอร์วาวัน
“งั้นผมไปเตรียมตัวก่อน ไว้เจอกันอีกทีในห้องประชุมลับแล้วกัน” เซฮุนดีดตัวลุกขึ้นจากเปล ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วพยักหน้าบอกรุ่นพี่ที่ยังง่วนอยู่กับการเช็กสภาพเครื่องลูกชายสุดที่รักอยู่ แต่เดินออกไปยังไม่ถึงสามก้าวก็ต้องหยุดฝีเท้าแล้วกวาดสายตามองไปรอบข้าง
“หาไรวะ”
“จ่าเห็นหมวกผมไหม?”
“จะไปรู้กับแกเปล่าล่ะ เดินเหินเหมือนคนปกติก็ว่าไปอย่าง เล่นตีลังกาหน้าเจ็ดถอยหลังสิบแบบนี้ไม่คิดว่ามันจะร่วงหล่นไปกลางทางเหรอ” ลู่หานหรี่ตามองไอ้เด็กตัวสูงที่ยืนเกาศีรษะตนเองอย่างงง ๆ
“ตอนวิ่งหนีตีนลู่หานก็ยังเห็นใส่อยู่นี่ ลองคิดดูดี ๆ เผื่อตกอยู่ข้างถนน” คยองซูเสริม เซฮุนขมวดคิ้วนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ก่อนที่ภาพต่าง ๆ จะฉายเข้ามาในหัว
ผมสีขาว... ใบหน้ามึนตึงเหมือนคนมีอะไรในใจของหมวดจงอินนั่น...
เซฮุนยิ้มมุมปากเมื่อนึกอะไรดี ๆ ออก เขาหันกลับไปมองรุ่นพี่ทั้งสองที่ยังคงง่วนอยู่กับเรื่องของตัวเอง ก่อนจะเดินออกมาจากอู่เครื่องบิน เพื่อตรงไปยังเป้าหมายที่เพิ่งนึกได้เมื่อครู่นี้
ไปทำความรู้จักหมวดจงอินถึงที่ก็น่าจะดีเหมือนกัน
[ มีคนมา! ]
ชายหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับการใส่เสื้อก้าวขาออกมาจากห้องนอนพร้อมมองไปยังร่างสีฟ้าของเด็กสาวที่วิ่งไปหยุดอยู่หน้าประตูหลังจากที่เสียงออดดังขึ้น จงอินดึงชายเสื้อกล้ามลงจนปิดถึงหัวกางเกง ก่อนจะหยุดนิ่งเมื่อภาพในจอสี่เหลี่ยมฉายขึ้นมากลางอากาศ เผยให้เห็นใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตู
“มีอะไร”
จากใจว่าไม่จำเป็นต้องมีมารยาทกับเด็กที่เสียมารยาทกับเขาก่อน เจ้าของใบหน้าขาวนั้นเงยขึ้นมองกล้องพร้อมรอยยิ้มอีกแล้ว คำถามแรกคือไอ้เด็กที่ทำตัวเป็นนักกายกรรมนั่นไปเสพความอารมณ์ดีมาจากไหนกัน
( ตามมารยาทหมวดต้องเปิดประตูให้ผมก่อนแล้วค่อยถามไม่ใช่เหรอ )
“คุณรู้จักมารยาทหน้าประตู แต่ไม่รู้จักมารยาทตอนเจอทหารยศสูงกว่าในครั้งแรกสินะ”
( อ๋อ ที่แท้ก็งอน )
“อย่าใช้คำน่าขนลุกแบบนั้นกับผม มีอะไรก็รีบว่ามา”
( ขอเข้าไปหน่อย )
[ อย่าให้เขาเข้ามานะ! ] เด็กสาวหันมาเบะปากแสดงความไม่พอใจ
“Negative.” (ปฏิเสธ) *เป็นศัพท์ทหาร
( ไม่เอาน่า ขอคุยด้วยนิดนึงสิ ไหน ๆ ก็ต้องทำงานด้วยกันแล้ว )
“อะไรที่ทำให้คุณคิดว่าเราต้องทำงานด้วยกัน?” ชายหนุ่มยังคงมองอีกฝ่ายผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมที่ฉายอยู่บนอากาศ เจ้าตัวยิ้มพอใจแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
( เพราะผมคือหนึ่งในทหารที่ถูกเรียกเข้าประชุม นั่นหมายความว่าภารกิจนี้เราต้องได้ทำงานร่วมกันแน่ )
[ เขาชื่อโอเซฮุน อายุยี่สิบห้าปี พักอยู่ที่ตึก 44 สนิทกับจ่าลู่หาน หนูวัดระดับความเจ้าเล่ห์ของเขาได้ถึง 99% ค่ะ ]
“คุณคงหาข้อมูลพอสมควรก่อนมาหาผมที่นี่” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ จากนิสัยไร้มารยาทของเจ้าเด็กนั่น คาดว่าคงไปถามใครต่อใครมาหมดแล้วว่าเขาอยู่ที่ไหน และต้องทำยังไงถึงจะกวนประสาทคิมจงอินคนนี้ต่อได้หลังจากประสบความสำเร็จครั้งแรกบนรถ
( ผมเป็นเด็กฉลาด เรื่องนี้ครูฝึกที่ Agility รู้ดี )
[ แหวะ ถ้าฉลาดจริงก็พังประตูเข้ามาให้ได้สิ ] ชาร์ลอตต์แลบลิ้น
“แต่คุณก็ไม่รู้จักผม”
( อันนี้ถามเพราะน้อยใจหรืออะไร ) เขาเห็นว่าเด็กเซฮุนนั่นทำตาโต เอียงใบหน้าเอาฝ่ามือไว้หลังหูแล้วขยับเข้ามาใกล้จอ ( เป็นคนหลงตัวเองเหรอนี่ถามจริง คือหมวดก็ไม่ใช่ดาราเปล่าครับ ชาวบ้านจะได้รู้จักหมด )
[ งั้นก็ย้ายก้นของคุณออกไปซะสิ ทุกคนก็รู้จักหมวดทั้งนั้นแหละ! ]
ชาร์ลอตต์ยังคงตะโกนเถียงกับประตูห้องโดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสได้ยิน คิมจงอินได้แต่คิดว่าเพราะเหตุผลอะไรเจ้าเด็กกายกรรมถึงลงทุนหาข้อมูลเพื่อมาหาเขาถึงที่นี่ แล้วพูดกวนประสาทได้อย่างไม่สิ้นสุดอย่างนี้
เขาควรดับจอเพื่อตัดปัญหาไปซะ นึกหงุดหงิดกัปตันปาร์คเหลือเกินที่ไม่รู้จักควบคุมลูกทีมให้ดี ถ้ายังปล่อยไว้อย่างนี้โอเซฮุนอาจตายก่อนลงสนามรบก็เป็นได้
“งั้นก็รอคุยกันหลังประชุม”
( แต่ประธานาธิบดีฝากนี่มาให้หมวดนะ? )
จงอินขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายชูกระดาษสีขาวขึ้นมา แถมยังทำท่าเหมือนอยากเปิดมันออกดูเสียเต็มแก่ ชายหนุ่มเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มเมื่อได้ยินเสียงพึมพำว่ามันเป็นจดหมายลับที่จะให้ใครรู้ไม่ได้ เลยต้องพึ่งให้เด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างโอเซฮุนคาบสารมาส่ง
[ อย่าหลงกลเขานะคะหมวด! ]
( โอเค ถ้าหมวดไม่เปิดประตูงั้นผมวางไว้ตรงนี้นะ อ้าว นั่นใครเดินมาล่ะเนี่ย รอเขาเดินผ่านไปก่อนแล้วกัน )
ถ้าโอเซฮุนไม่ได้มีเจตนาเพื่อส่งสารจริง ๆ เจ้าเด็กนั่นก็คงเป็นคนมีความพยายามเพื่อที่จะกวนประสาทคนอื่นสุด ๆ จงอินมองไปยังเด็กสาวที่ส่ายหน้าพรืดเป็นเชิงห้าม แต่สุดท้ายประตูห้องก็ถูกเปิดออกเมื่อเขากดปุ่มตรงกลางอากาศ
[ หมวดคะ! ]
“โว้ว! ตกใจหมด นึกว่าเสียงใคร?” เซฮุนยกมือขึ้นทาบอก มองไปยังปัญญาประดิษฐ์ร่างสีน้ำเงินที่ยืนทำหน้าบึ้งตึงเท้าสะเอวขู่อยู่ข้าง ๆ
[ หนูชื่อชาร์ลอตต์! ]
“ช่างชื่อหนูเถอะค่ะ” ชายหนุ่มตัวผอมไม่ฟังอะไรทั้งนั้น เขาเดินทะลุร่างสีน้ำเงินไปโดยไม่สนใจว่าตอนนี้เธอกำลังทำตาโตอ้าปากหวอสักแค่ไหน เมื่อเป้าหมายคือหมวดที่ยืนแบมือรออยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก
50%
“ต้องพูดไหมว่าคุณต้องส่งมันให้ผมแล้วก็เดินออกไปทางประตู” ชายหนุ่มยืนกอดอกพลางชี้นิ้วไปยังประตูที่อีกฝ่ายเดินเข้ามา
“พูดว่าขอบคุณกับผมสิหมวด” ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็แค่นหัวเราะ จงอินตรงเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่ายแล้วเพ่งมองใบหน้าอ่อนประสบการณ์อย่างเอาเรื่อง
เจ้านี่ชักจะเอาใหญ่แล้ว เห็นทีว่าคงไม่ต้องรอให้ถึงตอนประชุมลับ เรื่องของโอเซฮุนก็ควรถูกยื่นไปให้ถึงหูหัวหน้าทีมอย่างปาร์คชานยอลอย่างเป็นทางการ เผื่อจะสั่งสอนเด็กในสังกัดได้ว่าไม่ควรเที่ยวพูดจากวนโอ๊ยคนอื่น ยิ่งอีกฝ่ายกลายสภาพเป็นครึ่งคนครึ่งผีดิบอย่างนี้
“เป็นเด็กที่ชอบรีดไถคำขอบคุณจากคนยศสูงกว่าหรือไง?” พูดจบก็ดึงกระดาษสีขาวออกมาจากมืออีกคน
“ชอบกดหัวคนอื่นด้วยยศเหรอหมวด เสียความรู้สึกเลยอะ ไม่ปลื้มแล้ว” เซฮุนเบ้ปากพลางหลุบตามองมืออีกคนที่กำลังคลี่กระดาษออกดูข้อความข้างใน
เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นคิมจงอินก็รู้ตัวว่ากำลังถูกหลอก เมื่อเนื้อความบนกระดาษมีแค่ตัวเลขซึ่งบ่งบอกถึงราคาพิซซ่าถาดใหญ่ที่ลงนามด้วยชื่อจ่าลู่หาน ชายหนุ่มหลับตาลงพลางหายใจเข้าลึก ๆ เขาต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากที่จะไม่เข้าไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเข้ามาแล้วกัดคอจนเนื้อหลุดเป็นริ้ว ๆ
“ร้านนั้นชีสเยิ้มเลยนะหมวด อร่อยเหาะเหมือนขึ้นไปกินบน Viper 12 เลย”
“อยากตายใช่ไหม?” เสียงลอดไรฟันทำให้คนตัวผอมรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนอารมณ์ขันสักเท่าไหร่ เสียงกระดาษในกำมือที่ถูกขย้ำจนเป็นก้อนเล็ก ๆ นั้นก็เหมือนกัน มันดุดันไม่ต่างจากหน้าตาผู้ชายผมขาวเลยสักนิด
“ก็หมวดยึกยักไม่ยอมให้ผมเข้ามาสักที ก็เลยใช้ลูกเล่นสักหน่อย”
“แล้วมันมีเหตุผลอะไรที่คุณต้องเข้ามาในห้องของผม สิบ – โท – โอ – เซ – ฮุน?”
เจ้าของชื่อไม่มีท่าทีเกรงกลัวเลยสักนิด หนำซ้ำยังยิ้มพร้อมขยับปากพูด ‘ว้าว’ ราวกับประหลาดใจที่เขารู้จักชื่อและยศของตน จงอินคว้าคออีกฝ่ายไว้ด้วยมือเดียวก่อนที่แผ่นหลังคนตัวผอมจะชนกับผนังห้องจนเกิดเสียง ออกแรงบีบกรามข่มขู่ให้อีกฝ่ายรู้เสียบ้างว่าใครเป็นใคร
[ จัดการเขา! ]
“ผู้ใหญ่จะคุยกัน หนูไม่ยุ่งสิคะ”
เซฮุนหันไปถลึงตาใส่ AI เด็กที่พูดแทรกขึ้นมาอีกแล้ว ต้องขอบคุณอีกคนที่กดปิดระบบปัญญาประดิษฐ์ให้เลิกพล่ามสักที ไม่อย่างนั้นเขาอาจได้เสียน้ำลายกับเด็กมากกว่านี้ พอหันกลับมาก็ต้องสะดุ้งกับสายตาดุดัน ก่อนจะคว้าคว้าข้อมือคนขี้โมโหไว้พร้อมยิ้มสู้
“หมวดจะโหดกับผมจริงดิ?”
“ผมกลับมาที่นี่เพื่อทำภารกิจ ไม่ใช่มาเพื่อเล่นกับคุณ”
เซฮุนทำตาโตพลางนิ่งไปครู่หนึ่ง กลอกตาไปมาแล้วยกมือขึ้นเหนือศีรษะเป็นเชิงบอกว่ายอมแพ้ เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นที่เห็นว่าอีกฝ่ายเผลอ เซฮุนก็ปัดมืออีกคนลงอย่างแรงแล้วตีลังกาหนีไปด้านหลัง
จงอินถอนหายใจหนัก ๆ พลางเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม เขาเอี้ยวตัวหันกลับไปมองคนตัวผอมที่กำลังกรีดปลายนิ้วชี้ไปตามโต๊ะกระจก ลูบ ๆ คลำ ๆ โซฟาราคาแพงเหมือนคนไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
“ตอนเลื่อนยศเป็นสิบโทก็คิดว่าได้ห้องก็หรูแล้ว พอมาเจอห้องหมวดแบบนี้ผมนี่ฮึดอยากเลื่อนขั้นเลย”
“เร็วไปสิบปี ไอ้หนู”
“ไม่ถึงสิบปีหรอกหมวด ถ้าเทียบกับหมวดเมื่อก่อน ผมว่าผมเก็บชั่วโมงบินได้เร็วกว่าเยอะ” เซฮุนมองปลายนิ้วตนเองที่ไร้ฝุ่น
“ออกไป”
“Negative.” (ปฏิเสธ) เด็กนั่นกำลังยอกย้อนด้วยคำพูดของเขาว่ะ จงอินแค่นหัวเราะพลางมองไปยังอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มอย่างพอใจ “เสียรู้ให้ผมเข้าห้องอย่างง่าย ๆ แล้วก็พลาดท่าจนผมหนีออกมาได้ จุดอ่อนหมวดเยอะจนแทบต้องยกนิ้วขึ้นนับเลยนะ”
“พลาดท่ากับรำคาญจนไม่อยากใช้ความรุนแรงมันเหมือนกันเหรอสิบโท?”
“จะบอกว่าเมื่อกี้ยั้งมือไว้เหรอ พูดงี้ครูฝึกปาร์กัวร์ในหน่วย Agility น้ำตาคงไหลเป็นน้ำตกไนแองการ่า” เซฮุนปั้นหน้าเหมือนจะร้องไห้ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา “แต่พูดก็พูดเถอะ ที่ผมหนีออกมาจากกรงเล็บหมวดได้ก็เพราะมีฝีมือ”
“เชิญออกไปหลงตัวเองข้างนอก” จงอินผินหน้าไปทางประตู ไม่สนใจคำพูดเด็กน้อยที่อยากอวดอมยิ้มในมือเต็มที
“นอยด์ที่ทำไม่ได้อย่างผมล่ะสิ แต่เข้าใจนะ สมัยหมวดเป็นเด็กฝึกทางเลือกคงมีน้อยเลยต้องลง Strength เพราะไม่รู้จะเอาดีทางสายไหน” จงอินนับความอดทนจากคำพูดอีกคน หนึ่งคำที่ชวนโมโหก็นับเป็นหนึ่ง และตอนนี้โอเซฮุนได้ใช้ไปแล้วถึงสาม
“ผมไม่สนว่าคุณจะพราวด์ความสามารถของตัวเองสักแค่ไหน แต่ถ้าผมคิดจะฆ่าคุณจริง ๆ มันก็คงไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง”
“แค่หมวดคิด ผมก็กระโดดหนีไปถึงไหนต่อไหนแล้ว Strength ช้ากว่า Agility หนึ่งก้าวเสมอไม่รู้เหรอ”
“ผมถูกฝึกมาให้สู้ ไม่ได้ถูกฝึกให้หนี”
“จุกเลย จุก...” คนตัวผอมยกมือข้างขวาขึ้นทาบอก ขมวดคิ้วเบ้หน้าเจ็บปวดเกินจริงก่อนจะเทตัวลงบนโซฟาหรูแล้วยิ้มให้คนยศสูงกว่า “แต่ยังไงหมวดก็ต้องพึ่งผมอยู่ดี เรามันเคมีเข้ากันได้”
“ออกไป”
“คำก็ไล่ สองคำก็ไล่ เดี๋ยวกัดให้กลับเป็นคนเลยดีไหม” เซฮุนถลึงตามอง อ้าปากงับอากาศจนได้ยินเสียงฟันกระทบกัน แต่พอเห็นว่าสายตาอีกฝ่ายเริ่มจริงจังจนถึงขั้นเรียกว่าโหดจัดเลยต้องยิ้มสู้ “ล้อเล่น อย่าทำหน้าแบบนั้นบ่อยนักสิ ผมกลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้ว”
“ออก – ไป”
“Negative.” (ปฏิเสธ)
ตัดภาพมาอีกทีโอเซฮุนก็ถูกโยนออกมานอกห้องโดยไม่มีโอกาสได้ใช้ทักษะปาร์กัวร์เลยสักนิด คนตัวผอมชำเลืองมองไปยังประตูที่เพิ่งกระแทกปิดอย่างแรงและดูเหมือนว่ามันคงไม่เปิดรับเขาอีกเป็นครั้งที่สองแน่
คนตัวผอมเบ้ปากแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงพลางก้าวถอยหลัง มองประตูเบื้องหน้าแล้วจินตนาการไปว่าตอนนี้คนครึ่งผีครึ่งคนจะหัวเสียแค่ไหนกับการได้คุยกันครั้งแรกในวันนี้
แสงไฟติดโดยอัตโนมัติตามเซนเซอร์การเคลื่อนไหวเมื่อคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา เก้าอี้หนังสีดำล้อมรอบโต๊ะถูกจับจองโดยทหารที่ได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจนี้ ซึ่งไม่ได้มีแค่ทีมไหนทีมหนึ่ง
จงอินเข้ามาทีหลังสุด มันไม่ช้าเกินไปสำหรับเวลานัดที่เหลืออีกห้านาทีก่อนที่ชาซึงวอนในชุดไปรเวทจะเริ่มมีน้ำโหกับเรื่องตรงต่อเวลา
เขาพยายามทำตัวให้เป็นปกติ ไม่หันไปสนใจสายตาใครหลายคนที่กำลังให้ความสนใจสีผมของเขา หรือคำถามในหัวคนเหล่านั้นว่าคิมจงอินรอดมาได้อย่างไรหลังจากเหตุการณ์นั้น
ชายหนุ่มหยัดตัวนั่งลงบนเก้าอี้หนังสีดำ ซึ่งเขาเลือกแล้วว่าการนั่งข้างพันตรีปาร์คกาฮี หัวหน้าทีมไดอาน่าคงจะเข้าท่าที่สุด เธอยิ้มเมื่อเขาทำความเคารพก่อนจะคลายมือที่กอดอกออกมาผายมือให้เขาทำตัวสบาย ๆ ในการทำภารกิจร่วมกันในครั้งนี้
ฝั่งตรงข้ามคือนักบินคยองซู จ่าจงแด และจ่าลู่หาน สำหรับสองคนแรกได้ทักทายกันไปแล้วระหว่างยืนฉี่ข้างกันในห้องน้ำ มันเกิดขึ้นด้วยความห่วงใยแบบแปลก ๆ ว่า
‘ผมดีใจที่ร่างกายหมวดยังขับถ่ายได้อยู่’
ซึ่งมันเรียกรอยยิ้มจากเขาทั้งสามคนได้ไม่น้อย แต่สำหรับจ่าลู่หานที่มองมาราวกับว่าต้องการแกะรหัสถ้าหากเขาเป็นตู้เซฟ หมอนั่นชูนิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างขึ้นมาพร้อมขยับปากชมแบบไม่เสียง ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าไอ้จ่าเส็งเคร็งนั่นต้องการจะสื่ออะไร
ฝั่งตรงข้ามด้านขวามือคือกัปตันปาร์คกับเจ้าเด็กวาฟเฟิลที่เอาแต่ยิ้มกว้างโบกมือทักทายเหมือนคนไม่ได้เจอกันมาชาติเศษ ก่อนจะไปสะดุดเอากับสายตาเจ้าเด็กกายกรรมที่กำลังเท้าคางมองมาอย่างหยาดเยิ้ม
ถัดไปอีกสองที่คือหัวหน้าทีมมาร์สอย่างคิมนัมจุนและลูกทีมอีกสามคน ถึงช่วงเป็นเด็กฝึกจะไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่ แต่คิมจงอินก็ดีใจที่ยังเห็นไอ้เวรนั่นทำหน้าจองหองอยู่ในห้องนี้ได้โดยที่ไม่ได้ยินจากปากใครว่ามันตายห่าไปแล้ว
“ทำความเคารพ” ทหารโดยรอบลุกขึ้นยืนพร้อมตะเบ๊ะทำความเคารพตามคำสั่งของชาซึงวอนทันทีที่ร่างของเด็กหนุ่มในชุดสูทสุภาพถูกฉายออกมาจากเครื่องยิงโฮโลแกรม
“นั่งลงได้” ทหารทุกนายนั่งลงและปล่อยให้บรรยากาศผ่อนคลายก่อนเข้าสู่ความตึงเครียดของภารกิจ “เริ่มได้เลย”
ลู่หานอาจจะคาดหวังเกินไปว่าท่านประธานาธิบดีวัยยี่สิบเอ็ดจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่พอหันไปเห็นสายตาซื่อ ๆ ของทหารลูกเจี๊ยบที่เพิ่งฟักจากไข่อย่างบยอนแบคฮยอนซึ่งอายุพอ ๆ กันกับท่านประธานาธิบดี เขาจึงเลิกล้มความคิดนั้นไป
“พวกคุณคงรู้ข้อมูลคร่าว ๆ สำหรับภารกิจนี้และเรื่องของหมวดจงอินบ้างแล้ว ผมต้องอธิบายให้พวกคุณเข้าใจก่อนว่าเพราะอะไรท่านประธานาธิบดีถึงยอมให้เขากลับเข้ามาทำภารกิจนี้ทั้งที่เขาเปลี่ยนไปแล้ว” เสียงของผู้บัญชาการทหารสูงสุดทำลายความเงียบในตัวห้อง “เพราะข้อมูลเรื่องแอนตี้ไวรัสที่มอสโคว์ที่หมวดจงอินให้มามันเป็นเรื่องจริง”
“...”
“จากแหล่งข่าวประเทศพันธมิตรที่น่าเชื่อถือได้ เมื่อพวกคุณไปถึง เธอจะคอยช่วยประสานงานเป็นอย่างดี ส่วนนี่คือเป้าหมายหลักในภารกิจนี้”
ภาพชายวัยกลางคนชาวต่างชาติถูกฉายขึ้นมาบนอากาศพร้อมชื่อ อายุ ส่วนสูง น้ำหนัก ทั้งเป็นภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว มันถูกจับได้โดยกล้องโดรนในละแวกนั้น ซึ่งการตามหาคงไม่ยาก จนกระทั่งเห็นบอดี้การ์ดจำนวนหนึ่งเดินประกบอยู่ไม่ห่าง
“เจสัน คลอว์ เป็น ‘พ่อค้า’ ที่เข้าถึงตัวยาก การบุกเข้าไปรีดเอาข้อมูลโต้ง ๆ คงไม่ใช่เรื่องง่าย มอสโคว์ไม่ใช่ดินแดนที่พวกคุณจะทำอะไรได้ง่าย ๆ เพราะฉะนั้นผมจึงรวมตัวพวกคุณทุกคนมาที่นี่”
“ที่จริงมีแค่ทีมผมกับไดอาน่าก็พอแล้ว” นัมจุนพูดเสียงเรียบ แต่ก็สร้างความไม่พอใจให้กับใครหลายคนในที่นี้
“ทีมเอ็งแฮคข้อมูลได้ไหมล่ะหื้อ” ลู่หานถลึงตามอง ก่อนจะเอนหลังกลับไปนั่งพิงพนักเก้าอี้ด้วยมือของคยองซู
“นายอาจจะจำเป็น แต่มิเนอร์วาล่ะ?” นัมจุนยิ้มพลางมองไปยังกัปตันทีมอย่างปาร์คชานยอลที่นั่งนิ่งมาตลอดโดยที่ไม่ออกความเห็นใด ๆ “ทีมที่รับเด็กใหม่เข้าตลอดสามปีเพราะมีคนตายอยู่ตลอด แบบนี้จะเอาไปทำภารกิจใหญ่ได้ยังไง?”
แบคฮยอนรู้สึกเหมือนถูกดูแคลน ไม่สิ มันใช่เลยล่ะ แต่การตะโกนใส่อีกฝ่ายแล้วบอกถึงความสามารถตนเองคงไม่ช่วยอะไรเพราะเขาก็ไม่เคยลองสนามจริงมาก่อน เด็กหนุ่มยังสดใหม่กับเรื่องเหล่านี้ และทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้มอบหมายภารกิจ
“เปลี่ยนแค่คน แต่ไม่เคยเปลี่ยนฟันหน้านะ” รอยยิ้มของหัวหน้าทีมมาร์สหายไปในทันทีเมื่อได้ยินเสียงของโอเซฮุน มันกล้าเอาเรื่องที่เขาฟันหักในสนามรบมาล้อกลางห้องประชุมงั้นเหรอ?!
“พอได้แล้ว พวกคุณเป็นทหาร ทะเลาะกันเหมือนเด็ก ๆ ต่อหน้าประธานาธิบดีได้ยังไง?” เสียงดุของชาซึงวอนเริ่มไม่มีน้ำหนักเมื่อคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประธานาธิบดีดันเป็นเด็กกว่าพวกเขาทุกคนในที่นี้
“ไม่เป็นไร ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องดีที่พวกคุณถกเถียงกันเกี่ยวกับปัญหาที่ไม่เห็นพ้องต้องกันเพื่อให้ทุกอย่างลงรอย ตอนทำภารกิจจะได้ไม่อึดอัด” จุนมยอนยิ้ม เขาหวังว่าบรรยากาศจะผ่อนคลายขึ้นมาบ้างกับการเข้าประชุมอย่างจริงจังในครั้งแรกในรอบสามปีที่ขึ้นปกครองประเทศ
“ทำยังไงก็อึดอัด พูดเลย”
“จ่าลู่หาน”
เจ้าของชื่อกลอกตามองบน เอนหลังพิงกับพนักอีกครั้งเพราะไม่อยากขึ้นศาลทหารด้วยคำสั่งของชาซึงวอนอีก ผู้บัญชาการทหารสูงสุดสไลด์มือไปบนโต๊ะตามทิศทางจนครบจำนวนคน แจกจ่ายรายละเอียดหน้าที่เป็นข้อมูลภาพสีน้ำเงินซึ่งฉายขึ้นบนโต๊ะ
“มอสโคว์เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ลำพังแค่วิ่งหนีแล้วยิงสู้อย่างเดียวคงเอาตัวเองกลับบ้านเกิดยาก เพราะฉะนั้นภารกิจครั้งนี้จึงจำเป็นต้องมีเด็กที่จบปาร์กัวร์จากหน่วย Agility ซึ่งเซฮุนก็เคยสร้างผลงานดี ๆ ไว้หลายครั้ง ส่วนเด็กใหม่อย่างบยอนแบคฮยอน มันเป็นเรื่องที่เขาต้องห่วงชีวิตตัวเองกับภารกิจแรก เพราะฉะนั้นผมอยากให้พวกคุณทุกคนโฟกัสหน้าที่ของตัวเองให้ดี”
ทุกสายตามองไปยังคนอายุน้อยที่สุด เด็กหนุ่มยิ้มแห้งพลางเกาท้ายทอยอย่างขลาดอายกับการถูกให้ความสนใจในห้องประชุม
“ภารกิจครั้งนี้เราจะไปเงียบ ๆ และกลับอย่างเงียบ ๆ โดยให้จ่าคยองซูเป็นสารถี จ่าลู่หานจัดการเรื่องปลอมประวัติพร้อมทำพาสปอร์ตให้ทุกคนด้วย”
เจ้าของชื่อพยักหน้ารับ เขากัดปลอกปากกาแล้วดึงออก ก่อนจะลิสต์รายการที่จำเป็นต้องทำเอาไว้
“สถานที่คือผับ Candle Light เจสัน คลอว์มีนัดคุยกับลูกค้าที่นั่นตอนเที่ยงคืนสิบห้า คงรู้นะว่าต้องทำอะไร”
หลังจากจบประชุม ทหารที่ได้รับมอบหมายภารกิจนี้ต่างก็แยกย้ายกันกลับไปที่พักเพื่อเตรียมข้าวของสำหรับไปจุดนัดพบ ซึ่งนั่นก็คือโรงจอดเครื่องบินที่จ่าคยองซู จ่าจงแด และจ่าลู่หานรออยู่แล้ว
พวกเขาไม่ต้องเตรียมอะไรไปมากมายนัก นอกจากสิ่งของจำเป็นที่ต้องใช้ และยาสร้างกลิ่นเป็นพวกเดนตายที่ประธานาธิบดีคิมจุนมยอนเป็นคนต้นคิดได้ มันยังไม่ถูกกฎหมายและไม่จำเป็นต้องถูก เมื่อทหารกลุ่มนี้จำเป็นต้องใช้แค่ในภารกิจในเขตแดนเสี่ยงตายเท่านั้น ยาหนึ่งเม็ดสามารถดับกลิ่นความเป็นมนุษย์ได้ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงโดยประมาณ มันช่วยให้ต.ม.ยอมปล่อยเข้าประเทศได้ง่ายขึ้นมากกว่าการเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไป
“กัปตันปาร์ค เดี๋ยว ๆ อย่าเพิ่ง” ลู่หานกวักมือเรียกชายหนุ่มที่กำลังจะเดินขึ้นคาร์โก้
“อะไร”
“กัปตันไม่มีตั๋วเที่ยวนี้ครับ” คนยศน้อยกว่าลุกขึ้นยืนจิ๊ปากพร้อมกระดิกนิ้ว ชานยอลถอนหายใจกับเวลาอันน้อยนิดที่เขากำลังจะเสียมันไปเพราะจ่าลู่หาน คนที่หาสาระได้น้อยพอ ๆ กับการนั่งคุยกับยอดหญ้า
เขาหันจอโน้ตบุ๊กคู่ใจให้ดู บนนั้นเป็นรูปตัดต่อของเขาซึ่งมีชื่อว่า ฌอห์ณ มิลเลอร์ พร้อมประวัติความเป็นผีดิบผู้ดีมีการศึกษา พ่วงกับผู้พันปาร์คกาฮีที่ได้ชื่อใหม่ว่า ซินเธียร์ ลอว์เรน คู่รักผีดิบสาวแซ่บ
“แล้ว?”
“กัปตันและผู้พันต้องเดินทางด้วยเครื่องบินโดยสารทั่วไปครับ นี่พาสปอร์ต ไปถึงก็จัดการเลือกห้องสวีทเตียงน้ำเลย ลงไปทำท่าสั่งเค้กสมองคนเอามาวางประดับโต๊ะเล่น ๆ แล้วเซลฟี่สักสองสามรูปก็ได้ ฮันนีมูนให้สนุกนะครับ Welcome to Russia!” ลู่หานอ้าแขนออกกว้างจนทหารที่ได้รับภารกิจนี้ทุกนายหันมามองอย่างเอือม ๆ
“คำถามแรกคือ ผีดิบที่ประวัติการศึกษาดีขนาดนี้เขาไปทำอะไรในผับห่วย ๆ นั่น?” ชานยอลขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวหุ่นผอมสูงที่เข้ามาเย้าหยอกควงแขนเขา
“ก็เพราะประวัติดีถึงได้ใจแตกเพราะผู้หญิงอย่างฉันนี่ไง”
“คุณดูสนุกนะครับผู้พัน”
“แหงอยู่แล้ว ทหารหญิงเกือบทั้งค่ายอยากคว้าโอกาสนี้ไว้ทั้งนั้น คิดดูสิ ฉันได้สวมบทเป็นคู่รักกัปตันปาร์คเลยนะ” เธอพูดกลั้วหัวเราะพร้อมจัดกลุ่มผมให้คนตรงหน้าอย่างเอ็นดู
“ไม่ได้อยากหยาบคายนะ แต่ผู้พันเหมือนเป็นแม่กัปตัน-- โอ๊ย!!!!” พูดยังไม่ทันจบหัวก็แทบยุบเพราะถูกฝ่ามือหนัก ๆ เน้น ๆ ของผู้พันปาร์คกาฮี หญิงสาวแค่นยิ้มก่อนจะเหน็บผมบ็อบสั้นกับใบหู
“พูดเพราะ ๆ กับฉันสิคะจ่าลู่หาน”
“ผมจะบอกว่า... แม่คุณ... ทูนหัว...”
“Good Boy.” หญิงสาวยิ้มแล้วหันไปเท้าแขนไว้กับไหล่คนตัวสูง “หรือจะให้เป็นเฮซล่ะ แต่อาจจะยากหน่อยนะ เด็กนั่นไม่ชอบให้ผู้ชายที่ไหนแตะต้องตัวสักเท่าไหร่” กาฮีมองไปยังสาวห้าวที่นั่งลับมีดอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก
“ไม่ได้หรอกผู้พัน เฮซเหมาะกับบทผู้หญิงขี้ยาที่นั่งพี้กัญชาอยู่แถวประตูทางเข้ามากกว่า ให้เธอคอยดูต้นทางแหละดีแล้ว”
“แล้วเซฮุนกับแบคฮยอนล่ะ?” ถึงสองคนนั้นจะน่ารำคาญ แต่ก็น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย ยิ่งเจ้าเด็กพริกขี้หนูที่สร้างเรื่องในร้านวาฟเฟิลจนเกือบไม่ได้ลงภารกิจแรกนั่นน่ะ อ้อ... นั่งแพ็คกระเป๋าอยู่ในคาร์โก้แล้ว
“เซฮุนโคงานกับหมวดจงอิน มันไม่ตายห่าหรอกกัปตันวางใจได้ ส่วนแบคฮยอนประกบคู่กับเฮซ นัมจุนกับลูกทีมจะจัดการเรื่องสลับตัวลูกค้าให้หมวดจงอิน ส่วนผมกับจ่าจงแดกำลังตกลงกันอยู่ว่าจะเอายังไง?”
“มีปัญหางั้นเหรอ?” กาฮีกอดอกมองชายหนุ่มที่กำลังขมวดคิ้วอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊กพกพา
“ไม่เชิงครับ” ลู่หานเลียริมฝีปาก ก่อนที่จงแดจะเดินมายืนขนาบข้าง
“ทีมเมอร์คิวรี่ต้องคอยดูแลศูนย์บัญชาการ มีแค่ผมที่เข้าร่วมได้ ส่วนคนอื่น ๆ ที่ลงภาคสนามเป็นก็แทบจะไม่มี ก็เลยจำเป็นต้องรับเด็กที่อาสาเข้ามาแทน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะลงภาคสนามได้หรือเปล่า” จงแดว่า เพราะจะให้อี้ชิงลงสนามก็เกรงว่าจะยากหน่อย อย่างน้อยที่ศูนย์บัญชาการก็ต้องมีเฮดหลักที่คอยสั่งงานได้นอกจากเขา
“จงแดควบคุมระบบอยู่ในรถ ส่วนผมก็ต้องหามือแฮคเกอร์อีกคนเข้าไปในผับด้วยไอ้ทำคนเดียวมันก็ได้หรอกนะผู้พัน แต่คงไม่เนียน”
ลู่หานถอนหายใจ การบุกมอสโคว์ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะหน้าต่างมีหูประตูมีตา และในผับนั่นก็ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง เขาต้องเข้าไปตัดระบบข้างในเพื่อที่จะช่วยให้หมวดจงอินทำภารกิจง่ายขึ้น แต่ถ้าเอาจ่าจงแดเข้าไปด้วย เกิดมียิงเปรี้ยงปร้างขึ้นมามันจะหอบไส้ตัวเองออกมายังไงไหว
“เด็กของแกจะไหวเหรอวะจงแด”
“ไหวไม่ไหวเด็กมันก็อาสาไปตายคู่กับแกแล้วกัน”
ลู่หานเบะปาก ก่อนจะหันไปทางด้านขวาเมื่อได้ยินเสียงรองเท้าย่ำบนพื้นปูน ทุกคนให้ความสนใจกับผู้มาใหม่ที่สะพายกระเป๋าเป้สีดำไว้ด้วยไหล่ซ้ายข้างเดียว กับรูปร่างส่วนสูงที่ต่ำกว่ามาตรฐาน มีสิ่งเดียวที่ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นทหารก็คือเสื้อประจำทีมเมอร์คิวรี่
“ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าผมมาช้าไปหรือเปล่า?”
จากน้ำเสียง หน้าตา และองค์ประกอบหลายอย่าง คาดว่าเด็กคนนี้คงเพิ่งจบจาก Intelligence มาได้ไม่นานแน่ ๆ ผู้มาใหม่ยิ้มเจื่อนก่อนจะยืนเท้าชิดกัน ตะเบ๊ะทำความเคารพทหารยศสูงกว่าตรงหน้าด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“คิมมินซอกจากทีมเมอร์คิวรี่สองหนึ่ง รายงานตัวครับผม!”
“โอ้ ทีมเรามีเด็กคนนี้อยู่ด้วยเหรอเนี่ย” ลู่หานมองไปยังคนตัวเล็กที่ยืนเกร็งจนรู้สึกเหนื่อยแทน ชานยอลพยักหน้าแบบขอไปทีก่อนจะกระซิบบอกหัวหน้าทีมไดอาน่าว่าจะไปรอบนรถเพื่อตกลงกันว่าจะไปมอสโคว์กันเที่ยวบินไหน
“ไม่เป็นไร เรายังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงก่อนขึ้นเครื่อง” จงแดเข้าไปโอบใหล่เด็กใหม่หวังให้เจ้าตัวผ่อนคลาย “ว่าแต่คิดดีแล้วใช่ไหมที่จะลงภารกิจนี้จริง ๆ ยังมีเวลาอีกห้านาทีสำหรับการถอนตัวนะ”
“ผมตัดสินใจแล้วครับจ่า”
“ทำอะไรเป็นบ้างเราอะ?” ลู่หานเลิกคิ้วมองอย่างเอาเรื่อง ถ้าเด็กมันคุยอวดว่าแฮคนาซ่าได้พี่จะหัวเราะจนโรงจอดเครื่องบินระเบิดให้ดู
“ผมพูดไม่เก่ง แต่ถ้าภารกิจนี้จำเป็นต้องเนียนเข้าไปจริง ๆ ผมก็เป็นลูกมือที่ดีให้จ่าได้” เด็กมันยิ้มให้ ลู่หานคิดว่าคิมมินซอกคงกำลังพยายามใจดีสู้เสือซึ่งบอกเลยว่านี่ไม่ใช่ขี้ ๆ
“เช่นอะไร ไหนยกตัวอย่างมาซิว่าจะทำยังไงที่จะไม่ให้ฉันซวยถ้าเข้าไปในผับกับนายสองคน?”
คนตัวเล็กกลอกตาอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะคลายสายกระเป๋าเป้แล้วรูดซิปออก ลู่หานยืนกอดอกกระดิกเท้า หันกลับไปมองทหารนายอื่นที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมของเพื่อเที่ยวบินนี้ที่มีโดคยองซูพาทัวร์
พอหันกลับมาอีกทีก็แทบผงะถอยหลัง เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กตรงหน้าเปลี่ยนไปราวกับคนละคนเพียงแค่สวมวิกผมยาวสีน้ำตาลเป็นลอนอ่อน ๆ อีกทั้งส่งยิ้มมาราวกับว่ากำลังอ่อยยังไงอย่างนั้น
เดี๋ยวนะ... ถ้านัตสึมิจังเป็นคนก็คงหน้าตาประมาณนี้แหละ
“มีคนเคยบอกว่าผมหน้าหวาน ถ้าแต่งตัวธรรมดาเข้าไปในผับอาจโดนมองว่ามาทำอะไร แต่ถ้าแต่งเป็นผู้หญิงก็อาจจะลดความสงสัยไปได้บ้าง”
“โห นี่แหละใช่เลย...”
“ไอ้หอกหัก กับทหารด้วยกันก็ยังไม่เว้น” หน้าแทบคว่ำเพราะถูกฝ่ามือจากเพื่อนรักอย่างโดคยองซู ผู้พันสาวและจ่าทั้งสามมองมือแฮคเกอร์จำเป็นที่กำลังจัดเผ้าผมให้เข้าที่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากันอีกครั้ง
“แบบนี้ผมเป็นแฟนสาวของจ่าลู่หานได้หรือยังครับ?”
“...”
หญิงสาวไหวไหล่ก่อนจะถอยออกจากตรงนี้แล้วปล่อยให้ฝ่ายไอทีคุยกันเอง คยองซูกับจงแดชำเลืองมองไอ้หน้าม่อที่ยืนทำตาหยาดเยิ้มใส่มินซอกอย่างเก็บไม่มิด ก็รู้นะว่าไอ้นี่มันเข้าขั้นโอตาคุบ้าความโมเอะแต่ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้
“มีชื่อหรือยังจ๊ะ เดี๋ยวพี่ตั้งให้เดี๋ยวนี้เลย”
TBC
ความคุของจ่าเขานั้น
กำลังจะไปมอสโคว์กันแล้ว ใครจะทำหน้าที่ไหน อะไรยังไง จะตามหา ‘พ่อค้า’ คนนั้นได้หรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป
อันนี้ทำคลิปเล่น ๆ เข้าไปดูกันได้น้า
[FANFICTION] #ficUndying https://t.co/pXRQqfxqcY
ความคิดเห็น