คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : CHAPTER 05 :: FIRST IMPRESSION (100%)
CHAPTER 05
FIRST IMPRESSION
“นี่แหละลูกค้าที่ฉันบอกว่านัดไว้ตอนบ่ายโมง”
เสียงของช่างสักสาวไม่ได้ช่วยคลายความอึดอัดซึ่งก่อตัวเป็นก้อนเมฆสีดำที่ลอยอยู่โดยรอบเลยสักนิด จากทีแรกกัปตันปาร์คก็ดูมึนตึงอยู่แล้ว ตอนนี้ให้คูณร้อยเข้าไปอีกพอมีหมวดจงอินเพิ่มมาอีกคน
คนเป็นหัวหน้าจัดการเรื่องค่าเสียหายทั้งหมดโดยที่แบคฮยอนไม่ถูกไล่ออกจากทีม นับว่าเป็นเรื่องดีที่เราทุกคนไม่ถูกกราดกระสุนไล่ออกจากโซนค้าขายเสรีจนเรื่องนี้ถูกยื่นไปยังศาลทหาร ไหนจะได้มานั่งดมกลิ่นนมเบอร์รี่บนพื้นในร้านวาฟเฟิลที่เต็มไปด้วยเศษซากความเสียหายที่เขาเป็นคนก่อขึ้นเองกับมืออีก วันแรกก็สร้างเรื่องแล้ว เยี่ยมไปเลยแบคฮยอน
ชายหนุ่มทั้งสองยังไม่ละสายตาออกห่างไปไหน ราวกับว่าพวกเขากำลังหยั่งเชิงกันแม้ว่าจะไม่ปริปากพูดอะไร หญิงสาวยกมือขึ้นบังปลายบุหรี่พร้อมจุดสูบ จากท่าทีแล้วช่างสักฮยอนอาดูไม่เดือดไม่ร้อนกับสถานการณ์นี้เลยสักนิด ผิดกับเด็กอย่างเขาที่กำลังทำตัวไม่ถูก
คนนึงก็กัปตัน อีกคนก็ไอดอล อีกคนก็ช่างสักอกอึ๋ม
“รู้ไว้เลยนะว่าฉันไม่ได้บอกใครเรื่องที่นายจะมาที่นี่” ฮยอนอารีบแก้ตัว จริงอยู่ที่เธอสนิทกับปาร์คชานยอลมานาน แต่เรื่องที่เธอได้เจอคิมจงอินเดินเข้ามาในร้านพร้อมเลือกรอยสักเมื่อปีก่อนน่ะ... สาบานได้เลยว่าไม่เคยบอกใคร
“ผมรู้ และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไร” ทำไมหมวดถึงเท่ได้ขนาดนี้ แม้แต่การพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไปจนถึงแววตาคู่นั้นที่เอาแต่จ้องกัปตันอย่างไม่เกรงกลัวนั่นน่ะ สุดยอดไปเลย โลกต้องการคนจริงอย่างนี้
“คุณถูกเปลี่ยน” ประโยคแรกที่หลุดออกมาจากปากกัปตันปาร์คช่างตรงไปตรงมาจนเด็กหนุ่มถึงกับนั่งตัวแข็งแทนหมวดที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม หากแต่คนถูกถามกลับไม่แสดงท่าทีต่างไปจากเดิมเลยสักนิด
“ถ้าเป็นอย่างนั้นกัปตันจะเอาปืนขึ้นมาจ่อหัวผมหรือไง”
“ถ้าผมคิดจะทำคงไม่ปล่อยผ่านมาจนถึงตอนนี้หรอก”
“หนักแน่นและตัดสินใจรวดเร็วเหมือนเดิมสินะ ผมไม่เคยแปลกใจเลยเวลาได้ยินเหล่าพลทหารเรียกคุณว่า ‘ปาร์คสามวิ’” ชายหนุ่มยิ้มขำกับฉายาที่ทหารนิรนามตั้งให้ กับการตัดสินใจฉับไวเพื่อเป้าหมายที่ชัดเจน
อันที่จริงแบคฮยอนคิดว่าหมวดจงอินกำลังแค่นหัวเราะและเสียดสีแดกดันกัปตันปาร์คอยู่ ถ้าไม่มองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป
“กับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ทุกอย่างอาจพังได้ถ้าหัวหน้าทีมตัดสินใจช้าไปแค่วินาทีเดียว”
“นั่นเป็นเหตุผลที่คุณควรได้รับโล่เกียรติยศ” จงอินยกยิ้มมุมปาก เอนหลังพิงกับพนักโซฟาอย่างสบาย ๆ “ซื้อตู้ใหม่หรือยังล่ะ ผมคิดว่าคุณควรมีเอาไว้เก็บของพรรค์นั้นไว้ดูให้ชื่นใจ หลังจากที่ทหารของคุณได้ตีตั๋วไปไม่กลับนรกกันยกทีม”
“นายสองคนอยากคุยกันตามลำพังหรือเปล่า?” หญิงสาวถาม ก่อนจะหันไปทางเด็กใหม่ที่เอาแต่กระพริบตาปริบ ๆ อย่างตั้งใจฟัง
“อยู่ตรงนี้แหละ ผมไม่มีความลับต้องปิดบังใคร”
“แต่คุณก็เลือกไม่ตอบคำถามผมตรง ๆ” กัปตันปาร์คควรทำตัวเป็นน้ำเย็นมากกว่าน้ำมันถ้าหากหมวดจงอินคือไฟ โอเค บยอนแบคฮยอนอาจจะเป็นแค่เด็กใหม่ที่ไม่รู้เรื่องวงในทีมมิเนอร์วา แต่ข่าวลือที่เด็กฝึกด้วยกันเล่าให้ฟังว่ากัปตันปาร์คทิ้งหมวดจงอินทิ้งไว้กลางทางตอนทำภารกิจลับสุดยอด มันก็น่าคิดเมื่ออีกฝ่ายแสดงท่าทีมึนตึงอย่างถึงขีดสุดเหมือนที่เห็น
“‘ความลับที่ต้องปิดบัง’ กับ ‘คำตอบที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์’ มันไม่เหมือนกันนี่กัปตัน คุณอย่าทำเหมือนว่าอยากชี้นิ้วสั่งให้ผมทำตามที่คุณต้องการนักเลย ทุกอย่างมันจบลงแล้ว”
“คุณพูดว่ามันจบทั้งที่คุณก็ยังนั่งหายใจอยู่ตรงนี้น่ะเหรอหมวดจงอิน?”
“คุณไม่รู้หรอกว่าบนโลกใบนี้มีใครบ้างที่ยังหายใจอยู่” เสียงของชายหนุ่มผมขาวกดลงต่ำ พร้อมสายตาที่มองไปยังคนยศสูงกว่า
“...”
“มิเนอร์วาทูล่มไปแล้ว เกาหลีใต้จัดงานศพสรรเสริญทหารที่ตายในหน้าที่กันเสียใหญ่โต ในสุสานทหารพร้อมติดเหรียญเกียรติยศลงบนโลงศพเปล่า ๆ ที่ไม่มีใครนอนอยู่ในนั้น ยิงปืนขึ้นฟ้าทำความเคารพ สร้างภาพให้คนทั้งประเทศเห็นว่าพวกคุณรู้สึกเสียใจกับความสูญเสียมากแค่ไหน”
“ไม่มีใครรู้ว่าคุณยังอยู่ อีกทั้งระบบจับสัญญาณชีพจรของคุณที่ดับไป”
“แล้วหลังจากนั้นเป็นยังไง คุณรู้สึกผิดในใจบ้างหรือเปล่าล่ะกัปตัน?”
“...”
“มองชื่อคนในทีมมิเนอร์วาทูทุกคนขึ้นสถานะ K.I.A. แล้วหันไปบอกจ่าจงแดให้รีบจัดการแถลง เอารูปพวกเราขึ้นจอใหญ่ให้ประชาชนจดจำสักสองสามวัน หลังจากนั้นทุกอย่างก็จบน่ะเหรอ?”
*K.I.A. (Killed in action) = เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ หมายความว่า เป็นการตายที่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือศัตรู หรือโดย ‘การยิงพวกเดียวกัน (Friendly fire)’ ระหว่างทำสงคราม
แบคฮยอนมองชายหนุ่มที่กำลังพ่นความในใจออกมาไม่หยุด ในขณะที่กัปตันปาร์คยังคงนั่งนิ่งและรับฟังโดยไม่แสดงสีหน้าต่างไปจากเดิม คิมฮยอนอาถอนหายใจ การเป็นคนกลางที่รู้เหตุผลของทั้งสองฝ่ายแต่พูดอะไรไม่ได้มันช่างน่าอึดอัดเหลือเกิน
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ”
“...”
เป็นครั้งที่สองที่จงอินรู้สึกถูกเอามีดกรีดอก ครั้งแรกเป็นตอนที่คิมฮยอนอาถาม หลังจากได้เจอกันครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว ปีศาจสยายปีกเทวดาเต็มกลางแผ่นหลังกว้างช่างมีเสน่ห์จนหญิงสาวเผลอลูบมันเบา ๆ อย่างหลงใหล นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นรอยสักบนแผ่นหลังของเขา
จงอินเล่าให้ฟังว่าเขาตัดสินใจสักลายนี้หลังจากฆ่าคนเป็นครั้งแรก ซึ่งมันก็หลายปีมาแล้ว ในสงครามที่มนุษย์เข้ามาในสนามรบขณะทำภารกิจอยู่
ปีกสีขาวที่สยายออกกว้างเต็มแผ่นหลังคือความถูกต้อง ส่วนเขาคือปีศาจตนนั้นที่ทำความถูกต้องในความผิดของศัตรู ทหารต้องปฏิบัติตามหน้าที่ให้ภารกิจสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี มันเป็นสิ่งเตือนใจว่าในความถูกต้องนั้น เขาก็เป็นปีศาจสำหรับใครหลายคนเช่นกัน
จงอินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังขณะที่เธอกำลังสักชื่อเพื่อนร่วมทีมทุกคนลงไปบนแผ่นหลังกว้าง ไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงคนนี้ไว้ใจได้มากน้อยแค่ไหน ชายหนุ่มคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างหัวมันปะไร เขาไม่จำเป็นต้องแคร์ห่าเหวอะไรอีกแล้ว
“ผมเปลี่ยนเป็นเหมือนพวกมัน”
แบคฮยอนเบิกตากว้างกับคำตอบที่หลุดออกมาจากปากเจ้าตัว จริงอยู่ที่หมวดจงอินดูไม่เหมือนมนุษย์สักเท่าไหร่ แต่ลึก ๆ แล้วเด็กหนุ่มก็ยังคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
“แอนตี้ไวรัสเฮงซวยนั่นช่วยให้ผมมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ แทนที่จะเป็นผีดิบเดินป้วนเปี้ยนอยู่ริมหาด แล้วพุ่งไปกัดพร้อมกระชากเนื้อจนหลุดออกมาเป็นริ้วเพียงแค่ได้กลิ่นมนุษย์” ชายหนุ่มถูจมูกเบา ๆ ขณะกวาดสายตามองมนุษย์ทั้งสาม
“...”
“มันทำปฏิกิริยากับร่างกายผม” ชายหนุ่มไม่ได้มีความสุขกับการมีชีวิตมาจนถึงตอนนี้เลยสักนิด ทุกครั้งที่นึกถึงมัน คิมจงอินก็รู้สึกรังเกียจตัวเอง “ช่วงแรกผมแทบเป็นบ้า คุณจินตนาการไม่ออกหรอกว่าตอนอยากฉีกเนื้อคนเป็นชิ้น ๆ เข้าปากมันเป็นยังไง”
“...”
“ผมเคยคิดอยากตายหลายครั้ง แน่นอนว่าถ้าผมตายทุกอย่างก็จบ ผมจะไม่ต้องทนอยู่กับความโหดร้ายแบบนี้อีก แต่ไหน ๆ ก็คิดว่าต้องตายแล้ว ผมเลยหาทางเข้าไปในนั้นอีกครั้ง” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ “นับว่าเป็นโชคดีได้ไหมที่พวกมันไม่เอะใจเลย แหงล่ะ เพียงแค่ปลอมตัวด้วยเครื่องแบบทหารของฝั่งนั้นทุกอย่างก็เรียบร้อย ผมไม่มีกลิ่นมนุษย์ ไม่ได้ฆ่าใคร ก็แค่เข้าไปเงียบ ๆ แล้วค้นข้อมูลนิด ๆ หน่อย ๆ”
“...”
“แล้วผมก็ได้รู้เรื่องราวบางอย่าง ที่ทำให้ผมคิดว่าการตายยังไม่ใช่จุดจบในตอนนี้”
“...”
“ผมพยายามเก็บข้อมูล สืบให้รู้ว่าทำไมผมถึงเป็นแบบนี้แทนที่จะเป็นผีดิบทันทีที่ตายไป”
ร้อยปีก่อนการเกิด แก่ เจ็บ ตายแล้วกลายเป็นศพมันอาจคือการเรียงลำดับวงจรชีวิตได้อย่างถูกต้อง แต่ในปัจจุบันมันไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อการตายของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ไม่ได้จบลงที่การเป็นศพนอนแน่นิ่งอยู่ในโลง แต่มันคือการเปลี่ยนเป็นผีดิบ
หมอทุกคนต้องรู้วิธีจัดการศพผู้ป่วยที่เสียชีวิตไปก่อนที่จะฟื้นตัวเปลี่ยนเป็นผีดิบ และนั่นเป็นเหตุให้ห้องฉุกเฉินมีระบบนิรภัยที่แน่นหนา แม้ว่าไม่ถูกกัด แต่ถ้าหากตายไปก็กลายเป็นผีดิบได้อยู่ดี
“ผมพยายามจะเอายาออกมาอีกครั้ง แต่--” สีหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความแค้นเคืองเริ่มผ่อนลงจนเปลี่ยนเป็นความทุกข์ใจเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ “พวกมันไหวตัวทัน แอนตี้ไวรัสที่เคยเก็บไว้ในคลังถูกย้ายไปไว้ที่อื่นแล้ว”
“คุณรู้หรือเปล่าว่าที่ไหน?” เรื่องบาดหมางส่วนตัวถูกแทนที่ด้วยความสำคัญระดับโลก แบคฮยอนมองทั้งคู่สลับกันไปมาแล้วปล่อยให้สมองได้ประมวลผลกับเรื่องราวที่เพิ่งได้รู้
“มอสโค” จงอินลูบใบหน้าแล้วสบตากับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเมื่อต่างคนต่างรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ปาร์คชานยอลเป็นคนปากหนักและอีโก้สูง เรื่องนี้ทหารรู้กันทั้งกรม แต่ในวินาทีนี้กับข้อมูลที่อีกฝ่ายมอบให้ มันทำให้เขารู้ว่าคิมจงอินไม่เคยทิ้งประเทศชาติไว้ข้างหลังเลย ผู้ชายคนนี้ยังพยายามหาทางแก้ไขโลกที่บิดเบี้ยวไปเพราะเชื้อไวรัสนั่น
“ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมวดบ้าง แต่ผมชื่นชมหมวดจากใจจริง ๆ ครับ!” เด็กหนุ่มยืนตัวตรงพร้อมตะเบ๊ะทำความเคารพ “ช่วงเวลาที่ต้องอยู่ตามลำพังข้างนอกหมวดลำบากแค่ไหนผมคงจินตนาการไม่ออก ผมเห็นหลายประเทศยอมเปลี่ยนเป็นพวกเดนตายเพราะไม่อยากแก่ เพราะความกลัว หรือเพราะอะไรก็ตาม แต่มันเป็นเหตุผลที่จะทำให้พวกเขาเจ็บปวดน้อยลงกว่าตอนเป็นมนุษย์”
“...”
“ซึ่งหมวดจะเป็นแบบนั้นก็ได้ แต่การที่ผมเห็นว่าหมวดกำลังพยายามหาทางออกทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครมอบหมายหน้าที่ให้... มันทำให้ผมอดที่จะชื่นชมหมวดไม่ได้จริง ๆ”
ทั้งสามคนนิ่งไปขณะเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่กำลังดูจริงจังหมดคราบลูกลิงที่ชอบตีลังกาห้อยโหนศีรษะลงมาจากที่สูง จากท่าทางและสีหน้าที่แสดงออกว่าตื่นเต้นแค่ไหนระหว่างพูดความในใจออกมา คิมจงอินเพิ่งรู้ว่าตรงนี้มีเด็กอยู่ด้วย
“นายเป็นใคร”
“ผม! บยอนแบคฮยอน! เพิ่งบรรจุเข้าทีมมิเนอร์วาเมื่อวานนี้ครับหมวด!”
“...”
แบคฮยอนยืนนิ่ง สิ่งเดียวที่ขยับได้คือลูกตาที่กลอกไปมาระหว่างรอดูว่าอีกฝ่ายจะตอบอะไรกลับมาหรือไม่ สีหน้าหมวดจงอินไม่รู้สึกยินดีเลยสักนิดเดียว สักนิดก็ไม่ แววตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย ว่าไอ้เด็กนี่มายืนทำบื้ออะไรอยู่ตรงนี้
“นั่งลง” ชานยอลกระตุกแขนจนเด็กหนุ่มทรุดตัวลงไปนั่งที่เดิม
“ผมต้องถามไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับมิเนอร์วา คุณถึงรับเขาเข้าทีมได้”
“เรื่องมันยาวจนผมไม่รู้เลยว่าจะต้องอธิบายยังไงคนอื่นถึงจะไม่นินทามิเนอร์วาลับหลัง”
แบคฮยอนทำตาโต ขยับปากพูดแบบไม่มีเสียงว่า ‘ผมปาร์กัวร์ได้ ยิงปืนก็ได้ วิ่งเร็วด้วยครับหมวด’ แต่ดูเหมือนว่าผู้ชายผมขาวจะอ่านปากเขาได้แค่คำว่า ‘ผมปาร์--’ เท่านั้น
“นายจัดการเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้หรอกจงอิน ฉันเคยบอกไปแล้ว” หญิงสาวพ่นควันสีหม่นเป็นวงกลม ก่อนจะหันไปมองเสี้ยวหน้าคนข้าง ๆ “นายต้องมีทีม”
กับภารกิจใหญ่หลวงที่คงทำคนเดียวไม่ได้ หญิงสาวถอนหายใจกับความแค้นฝังหุ่นของอีกฝ่ายที่มีต่อหัวหน้าทีม ซึ่งไอ้กัปตันนั่นก็อีโก้สูงออกไปนอกโลกจนเหมือนว่าการยอมอ่อนลงเพื่อเจรจากันดี ๆ จะเป็นเรื่องยาก
ก็เล่นไม่ยอมหักยอมงอกันเลย ทั้งคู่นั่นแหละ
“ทีมผมตายไปแล้ว”
“แต่ผมยังไม่ตาย”
แบคฮยอนกับช่างสักสาวหันขวับไปทางคนปากหนักที่พูดออกไปอย่างไม่ลังเล ทั้งคู่สบตากันอย่างหยั่งเชิง ราวกับว่ากัปตันปาร์คอยากบอกอีกฝ่ายให้แยกแยะเรื่องภาระหน้าที่กับเรื่องส่วนตัวให้ออก
“ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะแค้นฝังใจกับเรื่องในอดีตสักแค่ไหน แต่ถ้าคุณอยากกลับไปจัดการภารกิจที่ยังค้างคา ทีมมิเนอร์วาก็พร้อมต้อนรับคุณกลับมาเสมอ”
“...”
“คิดให้ดีนะหมวดจงอิน ตอนนี้ประเทศชาติขึ้นอยู่กับคุณแล้ว”
50%
ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดมนหม่นหมองเหมือนกับความรู้สึกของชายหนุ่มที่นอนบนหลังคาบ้านในป่าลึก ซึ่งทุกอย่างถูกสร้างด้วยไม้จากช่างมีฝีมือ ตั้งแต่ตัวบ้านไปจนถึงระเบียง หน้าต่าง อีกทั้งยังสร้างหลังคาที่มีไว้ให้นอนดูดาวเล่นอีกด้วย ผู้ชายคนนั้นบอกว่า ‘เราควรเลือกมองความสวยงามบ้าง’ ซึ่งเขาเข้าใจความหมายนั้นดี กับโลกโสมมที่หันไปทางไหนก็เจอแต่เลือด สงคราม มันเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่มนุษย์เราจะมีความสุขได้
ชายคนนั้นเป็นผีดิบเหมือนกัน ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้บ้านเสร็จในเวลาอันสั้นเพราะความไม่รู้จักเหนื่อย น่าขันเหลือเกินที่คิมจงอินเคยรังเกียจคนเหล่านี้แทบตาย แต่พอถึงเวลา ช่างไม้วัยห้าสิบมาตลอดยี่สิบสองปีกลับเป็นคนเดียวที่ชวนเขาไปนั่งในบ้าน แบ่งเนื้อสดให้กิน ชวนคุยสารพัดโดยที่ไม่ถามสักคำว่าเขาเป็นใครมาจากไหน
การสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ ในป่าลึกนั้นเขาไม่ได้เสียเงินสักแดงเดียว ผู้ชายวัยห้าสิบให้เหตุผลว่าเป็นค่าตอบแทนที่จงอินช่วยเอารถติดหล่มออกจากโคลนตมได้ แม้ว่าเขาจะบอกว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องตอบแทน แต่ผู้ชายคนนั้นกลับตอบว่า ‘เรื่องเล็กน้อยของคนหนึ่ง อาจเป็นเรื่องที่มีค่าของใครสักคนก็ได้’
ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้เขารู้สึกดี หลังจากทุกอย่างมันพังไม่เหลือ
เสียงแมลงในป่าเป็นสิ่งเดียวที่ทำลายความเงียบละแวกนี้ แม้ว่าจะอยู่ตามลำพังมาตลอดหลายปี แต่เขากลับไม่เคยคุ้นชินความรู้สึกแบบนี้เลย ทุกครั้งที่รู้ตัวว่าไม่ใช่มนุษย์ ทุกครั้งที่หิวจนแทบคลั่ง ทุกครั้งที่หันไปไม่เจอคนรอบข้าง หรือแม้แต่ตอนที่รู้ตัวว่ากลับไปอยู่จุดที่เคยจากมาไม่ได้แล้ว
ช่วงเวลาเหล่านั้น... มันช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน
เคยคิดว่าสักวันคงชินไปเอง แต่ไม่ใช่อย่างนั้น มันคือเรื่องคิดไปเองเสียมากกว่า คิดว่าพอเวลาผ่านไปคงปรับสภาพอยู่กับสิ่งแวดล้อมได้ และเคยชินกับมันโดยไม่โหยหาอดีตอีก แต่เปล่าเลย เขายังคงนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ เมื่อตอนเป็นทหารฝึกหัด เข้าฝึกซ้อมกับเพื่อนทหารตั้งแต่เช้าตรู่ยันดึกดื่นเพื่อฝึกด้านพละกำลังไปจนถึงด้านสติปัญญา ทหารต้องเก่งในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสนามรบ หรือการปลอมตัวเพื่อแทรกซึมเข้าไปในถิ่นฐานศัตรู
พวกเขาต้องศึกษาทุกอย่างมากกว่ามนุษย์ทั่วไป
มันเป็นเรื่องปกติของทหาร พวกเขาแทบจำอดีตก่อนเข้าหน่วยไม่ได้เพราะเข้าฝึกตั้งแต่เด็กและเติบโตจากที่นี่ ตื่นเช้ามาเจอครูฝึก เพื่อนในหน่วย ปืน เศษซากกระสุน มีแค่ช่วงเวลาเดียวเท่านั้นที่ได้อยู่ตามลำพังก็คือตอนถูกขังไว้ในห้องสี่เหลี่ยมในการสอบ โดยไร้อาวุธติดตัวเข้าไป ซึ่งผีดิบไร้สมองจะถูกปล่อยออกมาจากทุกมุม และมีดพกจะปักอกออกมากับผีดิบตัวที่เท่าไหร่นั่นคือเรื่องที่ต้องลุ้น ถ้าไม่ยื้อชีวิตเอาไว้ก็แค่ตาย ซึ่งมันเป็นเรื่องดีที่ผีดิบตัวที่เก้าไม่ทำให้เขาผิดหวัง
การถูกขังให้อยู่กับซากศพห้าสิบตัวทั้งคืนไม่ใช่เรื่องน่าพึงประสงค์นัก แต่ถ้าหากเขาอยู่กับพวกนรกนี่ไม่ได้ จบจากหน่วย Strength ไปก็คงลงสนามรบลำบาก ประตูจะถูกเปิดตอนเจ็ดโมงเช้า นั่นเป็นครั้งแรกที่คิมจงอินรู้สึกดีกับการได้เห็นท้องฟ้าที่วาดไปด้วยก้อนเมฆสีขาว
และจินตนาการทุกอย่างก็เลือนหายไปพร้อมแทนที่ด้วยความมืดไร้กลุ่มดาว ชายหนุ่มยังคงเหม่อมองไปอย่างไร้จุดหมาย ถ้าหากในวันนั้นทุกคนไม่ต้องพบกับจุดจบ ในตอนนี้พวกเขาคงนั่งอยู่ในบาร์ ดื่มเบียร์เคล้าเสียงเพลงเบา ๆ แล้วพนันกันว่าคืนนั้นชานซองจะได้งาบแม่สาวเซ็กซี่ที่นั่งโชว์หวออยู่โต๊ะด้านหลังหรือเปล่า
ความทรมานของการเป็นผีดิบเดนตายคือไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่ง่วง ไม่ต้องการพักผ่อน ราวกับอยากตอกย้ำให้เขาอยู่กับความเป็นจริงทุกวินาที สมองยังคงทำงานหนัก คิดไปต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับการตัดสินใจเมื่อตอนกลางวันเพียงเพราะเลือดรักชาติมันแล่นพล่านจนแทบทนรอไปมอสโคไม่ไหว
ความแค้นเคืองยังคงไม่จางหายไป แต่หน้าที่ย่อมมาก่อนเสมอ ที่เหลือก็แค่รอกัปตันไปตกลงเรื่องนี้กับผู้บัญชาการทหารสูงสุดเพื่อส่งเรื่องไปยังประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย กับการเอาผีดิบเดนตายเข้าเมืองที่เต็มไปด้วยมนุษย์
กัปตันปาร์คบอกว่าถ้าทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี พรุ่งนี้จะส่งจ่าจงแดมารับเพราะคิดว่าเขาคงไม่อยากเจอหน้ากัปตันบ่อยนัก ซึ่งมันก็ถูก ผู้ชายคนนั้นคาดเดาไม่ผิดแม้ว่าเขาจะไม่ปริปากพูดสักคำ
แต่ถึงไม่ได้รับการอนุมัติชายหนุ่มก็ตั้งใจว่าจะสานต่อเรื่องนี้อยู่ดี เขาจะไม่ยอมปล่อยให้คนพวกนั้นสาดเทความสกปรกใส่โลกใบนี้อีกต่อไป เพราะฉะนั้นก่อนตาย คิมจงอินจะขอจากไปอย่างมีคุณค่าให้สมกับการเป็นชายชาติทหาร
แต่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนใหม่ก็สร้างความประหลาดใจให้กับเขา เมื่อเช้าวันรุ่งขึ้น คิมจงอินได้พบกับรอยยิ้มของหัวหน้าทีมเมอร์คิวรี่สองศูนย์ที่ยืนตะเบ๊ะอยู่ข้างรถจี๊ปปรับแต่ง
“อรุณสวัสดิ์ครับหมวด เมื่อคืนหลับสบายหรือเปล่าครับ!”
“คุณอยากมีเรื่องกับผมใช่ไหมจ่า”
ทั้งคู่หลุดยิ้มออกมา แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันหลายปี เขาก็ยังรู้สึกอบอุ่นใจเสมอเมื่อเห็นรอยยิ้มของรุ่นน้องที่เคยทำงานด้วยกัน จงอินเดินลงจากบ้านไม้ซึ่งเป็นที่พักอาศัยให้กับเขามาตลอดสามปี ก่อนจะโยนกระเป๋าใส่ทหารรุ่นน้อง และเจ้าตัวก็รับมันได้อย่างทุลักทุเล
“นั่งหลังเถอะครับหมวด”
“...หืม?”
“ผมอยากขับรถให้หมวดนั่งสักครั้งน่ะครับ” จงแดหัวเราะ ซึ่งมันเป็นธรรมเนียมมาช้านาน ทหารผู้ใดได้ขับรถให้ทหารยศสูงกว่า ทหารผู้นั้นจะรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และสิ่งที่ทหารรุ่นน้องแสดงออก มันทำให้เขารู้สึกดีจนยิ้มออกมาได้ในรอบหลายปี
“ประธานาธิบดีคนใหม่เป็นยังไงบ้าง?”
“เรื่องดำรงตำแหน่งเหรอครับ ผมว่าเขาพยายามได้ดี แต่มันก็ยังไม่มากพอสำหรับใครหลายคน” จงแดมองชายหนุ่มผมขาวในชุดเสื้อยืดทับด้วยเสื้อหนังสีน้ำตาลเข้ากับกางเกงยีนส์ขายาว “ประธานาธิบดีจุนมยอนยังเด็กอยู่ แต่หลายคนไม่เข้าใจแล้วก็สาดคำพูดแย่ ๆ ใส่เขา แต่หมวดเชื่อเถอะว่าเด็กอายุยี่สิบเอ็ดที่เข้ารับตำแหน่งเพียงแค่ปีเดียว คงไม่มีใครเก่งไปกว่าเขาอีกแล้ว”
“ผมเคยเจอเขาอยู่สองครั้ง ตอนงานเฉลิมฉลองสถาปนาประเทศ ตอนนั้นเขายังเด็กจริง ๆ ผมเคยได้ยินว่าจุนมยอนเป็นเด็กฉลาด เขามีความสนใจเกี่ยวกับ-- วิทยาศาสตร์ใช่ไหม?” จงอินสบตากับอีกฝ่ายผ่านกระจกมองหลังซึ่งจงแดก็ขานตอบในลำคอ
“ใช่ครับ ก่อนหน้านี้เขาเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ในแลปวิจัย แต่พอขึ้นรับตำแหน่งก็ห่างหายจากตรงนั้นมา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเสียดายอยู่หน่อย ๆ แต่หน้าที่ผู้นำประเทศก็รัดคอเป็นงูเลย” เขาหัวเราะ
“ความรู้สึกคงเหมือนให้คุณเอาระเบิดเวลาไปแปะกับรถถังท่ามกลางห่ากระสุนในสนามรบล่ะมั้ง”
“นั่นนรกชัด ๆ จากใจเลยนะหมวด ผมคงไม่ไปถึงรถถังด้วยซ้ำ” พูดจบทั้งคู่ก็หลุดขำออกมาเบา ๆ ก่อนที่ความเงียบก็โรยตัวอีกครั้ง
ชายหนุ่มทอดสายตาไปยังใบไม้ผลัดสีรอบข้างถนน เป็นสัญญาณบอกว่าอีกแค่ชั่วอึดใจเดียวเขาก็จะได้กลับเข้าสู่ถิ่นฐานที่จากไป สามปีที่อยู่ข้างนอก แต่ดูเหมือนว่ามันนานเหลือเกิน
“หมวดครับ”
เสียงของสารถีที่บังคับพวงมาลัยอยู่ตรงเบาะหน้าเรียกความสนใจจากชายหนุ่ม จ่าจงแดเว้นจังหวะไปชั่วอึดใจราวกับกำลังเรียบเรียงความคิด เมื่อประตูใหญ่ทางเข้าประเทศเริ่มเปิดออกอย่างช้า ๆ
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมอยากให้หมวดรู้ว่ายังมีคนที่เข้าใจ และเคารพในตัวหมวดเสมอนะครับ”
“คุณกลัวผมจะทนแรงกดดันจากประชาชนไม่ได้งั้นเหรอจ่าจงแด?” จงอินไม่ได้ยี่หระกับเรื่องนี้นัก มันเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามนุษย์ย่อมรังเกียจพวกผีดิบเดนตาย
“นิดหน่อยครับ ผมไม่อยากให้หมวดต้องรู้สึกแย่เพราะความคิดของใคร”
“ผมมีเป้าหมายอยู่แล้ว คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
จงอินปล่อยให้ทหารประจำทางเข้าตรวจม่านตาและเช็กไอดี เพียงแค่ครู่เดียวข้อมูลก็ขึ้นมา ซึ่งมันน่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่มันยังคงอยู่ทั้งที่ควรถูกปั๊มตราสีแดงบ่งบอกว่าเป็นคนตายไปแล้ว แต่พอเห็นว่าจ่าจงแดกำลังคุยกับทหารนายนั้น เขาก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น
ว่าหมอนี่คงเป็นคนจัดการกู้ประวัติของเขาใส่เข้าไปในระบบอีกครั้ง
“ยินดีต้อนรับครับหมวด!” นายทหารถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะตะเบ๊ะทำความเคารพเมื่อตรวจเช็กความเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว จงอินตะเบ๊ะตอบก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวเข้าไปในประเทศเกาหลีใต้
“หลังจากประธานาธิบดีจุนมยอนกล่าวปราศรัยเรื่องที่หมวดจะกลับมา ประชาชนบางส่วนก็สติแตก ปาผักผลไม้เข้าไปในธรรมเนียบรัฐบาล พวกเขารับไม่ได้ที่จะ--”
“เอาพวกเดนตายเข้าเมือง”
จงแดเลียริมฝีปากคลายความลำบากใจ เขาพยายามเรียบเรียงคำพูดให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้หมวดจงอินรู้สึกไม่ดี แต่อีกฝ่ายกลับพูดแทรกขึ้นมาจนเล่นเอาเขาจุกจนไปต่อไม่ได้ หมวดยังคงเป็นคนเถรตรงอยู่เหมือนเดิม
“กัปตันปาร์คไปพูดยังไงประธานาธิบดีถึงยอมให้ผมกลับมาล่ะ”
“เขาแทบจะไม่ได้พูดอะไรเลยครับ เท่าที่รู้ ประธานาธิบดีจุนมยอนตอบตกลงเพียงเพราะรู้ว่าหมวดไม่ได้กัดกินคนเหมือนพวกข้างนอก”
นึกย้อนไปถึงร้านวาฟเฟิลเมื่อวาน หนึ่งคำถามก่อนปาร์คชานยอลกลับไปก็คือ ‘คุณกินอะไรเป็นอาหาร’ น่าขันเหลือเกินที่ผู้ชายคนนั้นคิดจะถาม ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าพวกเดนตายกินอะไร ราวกับคาดหวังคำตอบดี ๆ จากเขา ซึ่งก็มีให้จริง ๆ เสียด้วย
ใช่ คิมจงอินห้ามความหิวเนื้อมนุษย์ได้
“ถ้าผมถาม มันจะดูหยาบคายไปหรือเปล่า”
“ผมไม่เซนซิทีฟขนาดนั้น อยากรู้อะไรก็ถามสิ”
“อ่าครับ... หมวด... กินอะไรเป็นอาหารเหรอครับ?” ในเมื่อไม่กินเนื้อคน คำถามนี้คงเกิดในหัวได้ไม่ยาก
“กินเหมือนที่เคยกิน” คำตอบทำเอาคนที่กำลังจดจ่ออยู่กับถนนต้องละสายตาหันมามองกระจกหลังในทันที
“รสชาติมันไม่แปลกไปเหรอครับ เพราะจากที่รู้มา คนที่เปลี่ยนไปแล้วก็ยังกินเนื้อสดเหมือนพวกผีดิบ แบบว่า--”
“อาหารที่คุณคิดว่ามันหอมน่ากิน แต่ผมกลับได้กลิ่นแต่ความเหม็นเน่า ผักที่กินเข้าไปรสชาติไม่ต่างจากหญ้า ถ้าคุณเคยลองกินมันเล่น ๆ ในวัยเด็กคงจินตนาการออกได้ไม่ยาก”
“อ่า--”
“ช่วงแรกก็มีตบะแตกกินเนื้อสัตว์สด ๆ บ้าง รสชาติอาจสู้คนเป็น ๆ ไม่ได้ แต่มันก็อร่อยใช้ได้ในระดับหนึ่งและไม่ทำให้ผมรู้สึกผิดบาปในใจน่ะ”
“พอเถอะครับ หมวดกำลังทำให้ผมอยากกลายเป็นมังสวิรัติ”
“ไม่เอาน่า ตอนฝึกคุณก็น่าจะเคยเจอหลักสูตรพวกนี้ไม่ใช่หรือไง?” จงอินมองอีกคนผ่านกระจกมองหลัง ดูเหมือนว่าตอนนี้จ่าจงแดทำท่าเหมือนจะสำรอกของเก่าออกมาอยู่รอมร่อ
“อันนั้นแค่ฆ่าผีดิบนี่ครับ ไม่ได้กินมันสักหน่อย ผมว่าเราเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่า-- โว้ว!!!”
ทั้งคู่เบิกตาอย่างตกใจเมื่ออยู่ ๆ ก็มีใครคนหนึ่งโหนหน้าต่างก่อนจะสอดสองขาเข้ามาตรงเบาะหลังขณะที่รถกำลังวิ่งอยู่ จงอินมองผู้มาใหม่ในชุดเสื้อแขนยาวเข้ารูปสีดำกับกางเกงยีนส์สีซีดขาดเข่า กลุ่มผมสีเทาอ่อนถูกเสยขึ้นจนเห็นหน้าผากและโครงหน้าได้รูป ก่อนที่เขาจะได้สบตากับอีกฝ่าย
“สีผมสวยดีนี่”
“...”
จงอินมองอีกคนที่ยักคิ้วพร้อมยิ้มกวนประสาทโดยไม่มีคำขอโทษหลุดออกมาจากปากสักคำ ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถาม เขาเพียงแค่ยกมือขวาขึ้นตั้งการ์ดโดยอัตโนมัติเมื่ออีกฝ่ายขยับตัว ก่อนจะได้ยินเสียงใครคนหนึ่งตะโกนไล่ตามหลังรถมา
“ไอ้เด็กเวร แน่จริงกลับมานี่สิวะ!”
“วิ่งดิจ่าวิ่ง!” บุคคลมาใหม่โผล่หน้าออกไปข้างนอก พูดอ้อร้อคนที่กำลังวิ่งตามมาติด ๆ ก่อนที่รองเท้าข้างซ้ายจะปลิวว่อนมาจนเจ้าตัวต้องหดศีรษะเข้ามาข้างในทั้งที่ยังไม่หยุดขำ
“ไปทำอะไรให้ลู่หานโกรธอีกล่ะ”
“ไม่ได้ทำอะไรเลย ผมก็แค่พลั้งมือไปโดนปุ่มล้างข้อมูล ไฟล์อนิเมชั่นหนังโป๊ที่จ่าหานสร้างเลยถูกลบเกลี้ยงไม่มีเหลือ กู้ไม่ได้ด้วย”
“สมควรหรอก ไม่รู้เหรอว่าลู่หานหวงมันยิ่งกว่าอะไรดี ต่อให้เรื่องที่เขาทำมันจะไร้สาระสมเต่าถุยแค่ไหนก็เถอะ แต่กว่ามันจะเป็นรูปร่างมันก็ยากมากนะ ให้ตาย นี่ฉันกำลังพูดอะไรอยู่ นายไม่เคยฝึกสายไอทีมาคงไม่เข้าใจ” จงแดถอนหายใจ ในขณะที่อีกฝ่ายเอาแต่หัวเราะอยู่ตรงเบาะหลัง
“ขี้บ่นแบบนี้ติดเชื้อปาร์คสามวิมาแน่ ๆ ผมรู้ ผมเรียนมา”
“หุบปากไปเลยไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” จงแดมองค้อนเจ้าของคำพูดที่ยั่วโทสะเขากลางวันแสก ๆ ถ้าไม่ติดว่าหมวดจงอินอยู่ด้วยนะ ไอ้เด็กนี่ต้องโดนมากกว่านี้
“นี่คุณ” ชายหนุ่มที่นั่งฟังเงียบ ๆ อยู่นานกำลังชั่งใจอยู่ว่าควรหันไปให้ความสนใจเจ้าของเสียงนั่นไหม แต่สุดท้ายเขาก็หันไป “ทำสีที่ร้านไหน”
“...”
“เป็นใบ้เหรอ”
“ระวังปากด้วย เขาเป็นถึงหมวด ยศสูงกว่านายหลายขุม”
“ผมรู้น่า ผมเรียนมา” เด็กหนุ่มยังคงกวนประสาททางคำพูดและสายตาไม่เลิก ซึ่งจงอินคิดว่ามันไม่ใช่ความจำเป็นที่เขาต้องคุยกับเด็กนี่เลยสักนิด “ขอทางหน่อยหมวด”
“เฮ้!” จงอินขมวดคิ้ว เอนหลังติดเบาะเมื่ออีกคนปีนป่ายมาจนหัวเข่าข้างหนึ่งยันอยู่ตรงช่องว่างระหว่างขาของเขา ท่าทางโก้งโค้งแปลก ๆ ทำให้ใบหน้าของเราห่างกันแค่คืบเดียว อีกทั้งสายตามองมาพร้อมรอยยิ้มกวนนั่น เขาคิดว่าอีกฝ่ายยังคงสนุกกับการเล่นสงครามประสาท
เด็กหนุ่มตัวผอมกระโดดลงไปบนถนนทั้งที่รถยังวิ่งอยู่ จงอินทิ้งจังหวะไปกับความสงสัยอยู่เพียงไม่กี่วิ ก่อนจะค่อย ๆ เอี้ยวหันกลับไปมองเด็กหนุ่มคนเดิมที่เพิ่งกระโดดลงไป อะไรกัน เจ้าเด็กนั่นไม่มีท่าทีว่าจะเสียหลักเลยสักนิด แถมยังปีนป่ายขึ้นไปบนหลังคาตึกพาณิชย์พร้อมข้ามไปยังตึกถัดไปได้ง่ายดายเสียด้วย
“อย่าแปลกใจเลยหมวด เจ้าเด็กนั่นมาจากหน่วย Agility เป็นกลุ่มแรกที่จบหลักสูตรปาร์กัวร์มา”
“อะไรนะ เขาเป็นทหารเหรอ?” เขาไม่อยากเชื่อสักเท่าไหร่ ก็พอจะรู้อยู่ว่าในแต่ละหน่วยมักจะหาลูกเล่นมาเติมแต่งให้แต่ละสายแข็งแกร่งขึ้นอยู่เสมอ แต่การห้อยโหนเป็นนักกายกรรมแบบนั้นก็ดูจะแปลกไปสักหน่อย
“ครับ เขาเพิ่งเข้าทีมมิเนอร์วาวันตอนที่หมวดหายไปได้ประมาณหกเดือน”
“...”
“เขาชื่อโอเซฮุน อายุยี่สิบห้าปี”
ชายหนุ่มก้มลงมองหมวกสีดำที่เจ้าเด็กนั่นทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า ก่อนจะหยิบขึ้นมาดูใกล้ ๆ แล้วนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เจ้าเด็กนั่นไวอย่างกับลิง ท่าทางคงไม่ใช่เล่น ๆ ถึงเข้าทีมมิเนอร์วาวันได้ แต่มารยาทที่มีต่อทหารยศสูงกว่าถึงขั้นติดลบ โอเซฮุนควรระวังปากให้มากกว่านี้ ถ้าหากว่าสักวันหนึ่งเขาจำเป็นต้องทำงานร่วมกัน
โยนหมวกทิ้งลงบนเบาะด้านข้าง ก่อนจะทอดสายตาไปยังอาคารบ้านเรือนที่อยู่ริมถนน รถจี๊ปยังคงขับไปเพื่อตรงไปยังตึกสูงใจกลางเมืองที่เขาเคยอยู่ ก่อนที่วันพรุ่งนี้จะเข้าพบผู้บังคับบัญชาการทหารสูงสุดและประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
TBC
ความคิดเห็น