คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : CHAPTER 04 :: LIBERTY
CHAPTER 04
LIBERTY
“Do as you would be done by.”
แสงแดดยามเช้าที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาไม่ใช่นาฬิกาปลุกให้ชายหนุ่มร่างเปลือยเปล่าบนเตียงหกฟุตตื่นจากความฝัน เขาถอนหายใจกับความน่ารำคาญของสัญญาณเตือนจากอุปกรณ์สื่อสารไฮเทคซึ่งมีแค่ทหารเท่านั้นที่ได้ใช้มัน
สาวผมบลอนด์ทองขยับตัวพลางส่งเสียงอื้ออึงในลำคอเมื่อรู้สึกได้ถึงริมฝีปากซึ่งกดจูบลงบนไหล่เนียนของเธอ แพขนตายาวค่อย ๆ กระพริบปรับระดับสายตา สาวลูกครึ่งในชุดนอนผ้าซาตินสายเดี่ยวสีดำหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง เสยผมลอนปัดไปด้านข้างขณะมองชายหนุ่มที่กำลังควานเอากางเกงยีนส์สีเข้มซึ่งกองอยู่ปลายเตียงขึ้นมาใส่
“จะไปแล้วเหรอ?”
“อืม ผมจะเข้าไปเช็กเครื่องลูกชายหน่อย” นึกถึงหน้า ‘Viper’ ยอดรักแล้วก็เป็นห่วง เขาเป็นนักบินคนเดียวที่เช็กอาการเครื่องอยู่ประจำในขณะที่คนอื่นต้องยกให้ช่างเป็นฝ่ายดูแลรักษา
“คุณหมายถึงลูกชายคนไหน? คนนั้น” เธอลดระดับสายตาลงมองหัวเข็มขัดสีเงินที่ส่งเสียงกระทบกันก่อนจะสบตากับอีกฝ่าย “หรือว่าเครื่องบินเศษเหล็กนั่น”
“อยากลองขึ้นไปหวาดเสียวบนเศษเหล็กเหนือชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ไหมล่ะสาวน้อย” สายตาของคยองซูดูเจ้าชู้จนน่าหมั่นไส้ หญิงสาวบุ้ยปากแล้วลุกขึ้นไปยืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มพร้อมช่วยติดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้
“ฉันไม่กลัวความสูงหรอกนะ อย่ามาขู่กันให้ยาก”
“นั่นแหละสเปคเลย”
“คยองซู” เสียงของหญิงสาวแผ่วเบาคล้ายกระซิบ เธอช้อนตามองชายหนุ่มตรงหน้า เสียดสีปลายจมูกเสียดกันเล็กน้อย เล็บยาวเคลือบสีมุกค่อย ๆ กรีดนิ้วขึ้นไปจนถึงกระดุมเม็ดสุดท้าย เธอปล่อยมันทิ้งไว้อย่างนั้น ก่อนจะคล้องแขนกับต้นคออีกฝ่ายในวินาทีถัดมา “เราจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่คะ?”
“เมื่อตอนคุณเลิกเรียกลูกรักผมว่าเศษเหล็ก”
“เกลียดจัง คุณจะหายไปอีกนาน ฉันรู้” น้ำเสียงตัดพ้อน้อยใจขณะร้องขอเอาความรักจากชายหนุ่มตรงหน้าที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าเขาคงให้เธอไม่ได้
ความสัมพันธ์ฉาบฉวยระหว่างทั้งคู่เกิดขึ้นมาสักพักใหญ่แล้ว ซึ่งคยองซูต้องการให้อยู่ในสถานะแบบนี้มากกว่าย้ายมาอยู่ด้วยกันเพื่อนั่งมองบั้นท้ายเธอยามเช้าตอนกินแพนเค้ก มีเซ็กส์อย่างสุดเหวี่ยงติดต่อกันถึงสองรอบจนหมดแรงหลับไปอะไรเทือก ๆ นั้น
คยองซูเป็นทหารที่อาจตายเมื่อไหร่ก็ได้เรื่องนี้เธอรู้ตั้งแต่แรก แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็อยากใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายคนนี้ แต่ในเมื่อเขาไม่ต้องการ เธอจะทำอะไรได้อีกนอกจากรอให้อีกฝ่ายมาหา
“ระหว่างนั้นผมคงคิดถึงคุณแย่”
“โกหก”
“ปากคุณตอนพูดว่า ‘โกหก’ นี่น่ากัดเป็นบ้าเลยทูนหัว” ชายหนุ่มยังไม่ละสายตาจากคนตรงหน้า ก่อนจะฟาดมือลงบนสะโพกกลมกลึงพร้อมบีบเค้นเบา ๆ จนหญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย “ไหน ๆ ก็จะไม่ได้เจอกันอีกนาน เรามาสั่งลากันสักรอบหน่อยดีไหม?”
“คุณต้องรีบไปไม่ใช่หรือไง” หญิงสาวรั้งท้ายทอยคนตรงหน้าเข้ามาใกล้ คลอเคลียปลายจมูกโด่ง บดเบียดร่างกายเข้าหาไออุ่นยามเช้า
“สิบนาทีก็ลาเสร็จแล้ว...”
เสียงลมหายใจสอดประสานก่อนที่ริมฝีปากจะบดเบียดเข้าหากันอย่างหลงใหล หญิงสาวช่วยปลดหัวเข็มขัดที่อีกฝ่ายเพิ่งใส่ไปเมื่อครู่ ก่อนที่ร่างของเธอจะเอนราบนอนลงไปกับผืนเตียงทั้งที่ยังไม่ละริมฝีปากออกห่าง เรียวขาขาวแยกออกรับร่างชายหนุ่มเข้ามาก่อนที่ความหวือหวายามเช้าจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
[ วันนี้อากาศแจ่มใส เหมาะแก่การออกไปสูดอากาศ ดิฉันว่าคงดีไม่น้อยถ้ากัปตันเลือกไปสวนสาธารณะมากกว่าค่ายทหาร ]
‘Beatrice (เบียทริซ)’ ระบบควบคุมความปลอดภัยประจำห้องสูทกว้างพูดกับชายหนุ่มในชุดเสื้อแจ็กเก็ตเข้ากับกางเกงยีนส์แบรนด์ชื่อดัง เขานั่งสวมรองเท้าบูทหนังสีน้ำตาลบนโซฟาเยื้องทางออกประตู ก่อนจะเงยหน้ามองเงาจาง ๆ ของหญิงสาวหุ่นเซ็กซี่ตรงหน้า ซึ่งระบบสร้างขึ้นจากตัวอักษรจนกลายเป็นรูปร่างสีฟ้า
“ผมจะออกไปข้างนอก”
[ ที่ไหนหรือคะ? จากระบบเซนเซอร์ ดิฉันไม่รู้สึกถึงชุดทหารบนร่างกำยำของกัปตัน ]
“Liberty น่ะ ผมจะพาเด็กใหม่ไปเปิดโลกสักหน่อย”
[ อ้อ สิบตรีบยอนแบคฮยอน ]
“อืม” ชายหนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งขณะนึกถึงหน้าเด็กคนนั้น “เช็กประวัติครอบครัวเด็กคนนั้นคร่าว ๆ ให้ผมทีสิ”
[ ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ ดิฉันกำลังดึงข้อมูลและประมวลผล ]
ชานยอลมองนาฬิกาข้อมือ เขายังพอมีเวลาอีกเหลือเฟือก่อนไปถึงจุดนัดพบ ขายาวก้าวไปหยุดอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ขนาดเท่าตัว ตรวจสอบความเรียบร้อยอยู่ชั่วอึดใจก่อนที่ข้อมูลจะฉายขึ้นมาบนกระจก
[ จางซูอึน มารดาของสิบตรีบยอน เกิดปี 2076 อาชีพพนักงานร้านฟ้าสฟู้ด Morning Call บ้านอยู่ถนน 74 สามีของเธอเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็งตับเมื่อปี 2100 ]
“ตอนนั้นสิบตรีเพิ่งอายุแค่สองขวบเองน่ะสิ?”
ชายหนุ่มปัดภาพถ่ายบนกระจกไปด้านซ้ายก่อนที่ภาพต่อไปจะสไลด์มาอยู่ตรงกลาง นิ้วชี้เรียวยาวทั้งสองลากมุมออกเพื่อขยายภาพ เขากดปุ่มสามเหลี่ยมตรงกลางก่อนที่ภาพนิ่งจะเคลื่อนไหวเป็นคลิป
[ หลังจากนั้นหนึ่งปีเธอก็แต่งงานใหม่กับการ์ดดูแลทางเข้าผับ Xero ชื่อฮันจุนฮยอน เขาติดยาและเคยมีประวัติซ้อมภรรยาและลูกบุญธรรม แต่โทษของเขาเพียงแค่จำคุกหนึ่งคืน เพราะจางซูอึนไม่เอาโทษ ]
คลิปงานแต่งเล็ก ๆ กำลังเล่นไปบนกระจก จากสภาพแวดล้อมคาดว่าโปรโตคอลคงจัดการให้ทั้งหมด โดยมีแขกจำนวนหนึ่งแสดงความยินดีอยู่โดยรอบ พร้อมชายแก่ผู้ซึ่งเป็นผู้นำลัทธิยืนอยู่ตรงกลาง และอวยพรให้ความรักของทั้งคู่ยืนยาว พิธีเหล่านี้ไม่ต่างจากบาทหลวงในโบสถ์นัก
สายตาพลันไปหยุดอยู่ที่เด็กชายตัวเล็ก ๆ ด้านข้าง ซึ่งกำลังเงยยืนมองมารดาของตนกับชายอีกคนที่กำลังจะมาทำหน้าที่เป็นพ่อเลี้ยง สีหน้าไร้รอยยิ้มและแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ต่างจากคนเป็นแม่ที่กำลังยิ้มกว้างราวกับว่าบนโลกใบนี้ไม่มีใครสุขได้เท่าเธออีก
จนกระทั่งเด็กคนนั้นถูกผู้ใหญ่ดึงออกมาให้ถอยจากพรมสีแดงเข้มซึ่งทอดยาวออกไปจนถึงประตูทางออก มันเป็นความเชื่อของโปรโตคอลว่ามันคือหนทางแห่งความรัก หากใครก้าวเข้ามา ผู้นั้นจะกลายเป็นมารการใช้ชีวิตคู่
[ ดิฉันว่าเขาน่ารักดีนะคะ ]
“เป็น AI รู้ด้วยเหรอว่าความน่ารักเป็นยังไง?”
ชานยอลคิดว่าเบียทริซชักจะพูดมากเกินไปแล้ว ปกติเธอไม่พูดเรื่องอื่นนอกเหนือจากภารกิจ การจราจร หรือบอกเล่าสภาพอากาศในแต่ละวัน ไม่อยากคิดไปเองเลยว่ามันเป็นเพราะเขาส่งชิปให้ทีมเมอร์คิวรี่ปรับปรุงเพิ่มเติมข้อมูลใส่ลงไปเมื่อวาน
*AI (Artificial Intelligence) = ปัญญาประดิษฐ์ คือการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ให้มีพฤติกรรมเหมือนมนุษย์ โดยเฉพาะความสามารถในการเรียนรู้และความสามารถทางประสาทสัมผัสซึ่งเลียนแบบการเรียนรู้และการตัดสินใจของมนุษย์ (Laudon & Laudon , 2001)
[ ดิฉันใช้โปรแกรมวัดระดับหน้าตาที่จ่าลู่หานสร้างขึ้นค่ะ สำหรับสิบตรีบยอน เขาได้ถึงเก้าสิบสองเปอร์เซ็นต์ ]
รูปถ่ายของเด็กคนนั้นตอนอยู่หน่วยฝึกถูกฉายขึ้นมาบนกระจก พร้อมตัวเลขสีแดงตัวใหญ่เพื่อยืนยันว่าเธอไม่ได้โกหก ก่อนจะตามด้วยรูปของเขาในสภาพหลังจบจากสนามรบ ใบหน้ามอมแมม ร่างกายเปื้อนไปด้วยโคลน
[ ขอโทษค่ะกัปตัน คุณได้แค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ]
“...”
[ ถึงระบบจะวัดออกมาไม่ได้อย่างที่คาดหวัง แต่เชื่อเถอะว่าสำหรับฉันแล้ว กัปตันดูดีที่สุดค่ะ ]
“คุณปล่อยให้โปรแกรมขยะอย่างนั้นอยู่ในระบบได้ยังไง ลบมันทิ้งไปซะ” ชานยอลรู้สึกหัวเสียเล็กน้อย เพียงแค่นึกถึงหน้าตี๋ ๆ ของคนสร้างโปรแกรมนี้แล้วก็อยากส่งเข้าไปเยี่ยมศาลทหารอีกครั้งจริง ๆ ที่เธอเป็นแบบนี้ก็เพราะหมอนั่นสินะ
[ มันแย่หรือคะ? ]
“ผมไม่อยากถูกฮาร์ดสปายแวร์ คุณมีเวลาอีกสิบวินาทีในการตัดสินใจ เบียทริซ” ชายหนุ่มกำมือก่อนที่ภาพบนจอกระจกทั้งหมดจะยุบลง “ผมจะกลับมาตอนหัวค่ำ”
[ รับทราบค่ะ, เที่ยวให้สนุกนะคะกัปตัน ]
*Spyware = โปรแกรมเล็ก ๆ ที่ถูกเขียนขึ้นมาสอดส่อง (สปาย) การใช้งาน อาจจะเพื่อโฆษณาสินค้าต่าง ๆ สปายแวร์บางตัวก็สร้างความรำคาญเพราะจะเปิดหน้าต่างโฆษณาบ่อย ๆ แต่บางตัวร้ายกว่านั้นคือทำให้ใช้อินเทอร์เน็ทไม่ได้ แต่ Hard Spyware ที่ทีมเมอร์คิวรี่สร้างขึ้นมันสาหัสกว่า คือการยุ่งเรื่องชาวบ้านไปทั่วเพื่อความสนุก
CLINTx ซุปเปอร์คาร์สีดำด้านสไตล์ยุโรปถูกแปลงมาจาก Hennessey Venom GT เมื่อร้อยปีก่อนกำลังจอดเทียบข้างทาง ชายหนุ่มก้าวออกมาและไม่ลืมที่จะกดรีโมทล็อก บรรยากาศรอบข้างยังคงเหมือนกับทุกวัน ผู้คนเพ่นพ่านในวันทำงานกับโดรนรักษาการบินว่อนอยู่บนฟ้า
ขายาวก้าวผ่านย่านสินค้าจนกระทั่งมาถึงที่หมาย มันเป็นเรื่องดีที่เขาเห็นเด็กคนนั้นนั่งอยู่ข้างน้ำพุมากกว่าห้อยหัวลงมาจากท่อนเหล็กที่เอาไว้แขวนป้ายร้านกาแฟ หรือยืนอยู่บนยอดสูงสุดของรูปปั้นจิตรกรรมในทำเนียบประธานาธิบดี
“...!!!”
เด็กหนุ่มหยัดตัวลุกขึ้นยืนตะเบ๊ะเมื่อกัปตันทีมเดินมาถึง ทั้งคู่สบตากันอยู่ชั่วอึดใจก่อนที่คนตัวสูงจะพยักหน้า “มาถึงนานแล้วหรือยัง”
“สองชั่วโมงเองครับ”
“รีบเหรอ ผมนัดคุณแปดโมง”
“ทหารที่ดีต้องตรงต่อเวลา แต่ทหารที่ดีกว่าต้องเร็วกว่าเวลาครับกัปตัน”
หาคำพูดมาเถียงได้ตลอดสิน่า...
“ที่จริงผมตื่นเต้นมาก ๆ ก็เลย--”
“หยิบกระเป๋าแล้วตามผมมา”
ชานยอลไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้ อย่างที่ใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนอัธยาศัยดีที่จะหยิบยกเรื่องทั่วไปมาเป็นบทสนทนาเพื่อสานความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น ยิ่งกับเด็กอายุน้อยกว่าเป็นสิบปีอย่างนี้ เรื่องหน้าที่การงานอาจจะเป็นบทสนทนาเดียวที่เขาจำเป็นต้องคุยกัน
“มิสเตอร์คลินท์บอกว่ากัปตันจะพาผมไปหาที่พัก เอาจริงนะ ผมยังไม่เคยไปรอบเมืองเลย ตอนอยู่ในหน่วยฝึกไปได้ไกลสุดคือสนามสอบสุดท้ายในป่านอกเมือง”
“...”
“ตอนนั้นผมตื่นเต้นจนมือเย็นไปหมด มันเป็นช่วงฤดูหนาวด้วย ควันนี่ออกปากเลย แต่ผมเพิ่งรู้ว่าถ้าได้เข้าทีมแล้วจะมีอุปกรณ์กันหนาวให้สำหรับชุดเตรียมรบ มันสุดยอดไปเลย”
“...”
“ผมพยายามตั้งสติ ยิงทีละนัดให้โดนหัว แต่ในสนามฝึกกับสนามสอบมันต่างกันใช่ไหมล่ะครับ ผมกับเพื่อนเกือบวิ่งชนกัน เรายืนขนาบข้าง แล้วยิงสู้ผีดิบที่เอาแต่ตะโกนร้องขู่ จังหวะนั้นกระสุนของเพื่อนก็กระเด็นเข้ามาในเสื้อผม มันร้อนมากจนผมชักดิ้นชักงอเป็นผีเข้าเลย”
ชายหนุ่มยังคงเดินไปข้างหน้าโดยไม่สนใจเสียงจ้อเจื้อยของคนที่เดินตามหลังมาติด ๆ เด็กมือเจ็บคนเมื่อวานที่เอาแต่นั่งทำหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบนั่นหายไปไหนแล้ว ตอนนี้เหลือแต่เด็กบ้านนอกตื่นเมืองที่เอาแต่พูดไม่หยุด
“ปีนี้กัปตันอายุเท่าไหร่แล้วครับ”
“สามสิบสี่”
“โอ้โห ตอนผมเกิดกัปตันก็อายุสิบสามแล้วเหรอ ตอนนั้นคงเข้าฝึกแล้วใช่ไหมครับ”
“อืม”
“แล้วกัป--”
“หยุด” ชายหนุ่มเอี้ยวตัวหันไปชี้หน้าอีกฝ่ายเป็นเชิงห้าม เด็กหนุ่มยืนทำตาปริบ ๆ ก่อนจะขยับเท้าซ้ายชิดเท้าขวาจนตัวตรง “เสียงของคุณทำให้ผมปวดหัว”
“กัปตันปวดหัวง่ายแบบนี้เวลาลงภาคสนามไม่ต้องอัดเพนคิลเลอร์ไปยิงปืนไปเหรอครับ” ชานยอลขมวดคิ้วคาดโทษอีกฝ่ายที่เม้มปากแน่นก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะแห้ง “ผมแค่ไม่อยากกดดันเวลาอยู่กับหัวหน้าทีมน่ะ”
*Painkiller = ยาแก้ปวด
“มันเป็นเรื่องที่คุณต้องรู้สึก ผมไม่อยากให้ใครมาตีซี้ทั้งนั้น”
“ผมไม่ได้ตีซี้สักหน่อย เราทำงานด้วยกัน ถ้าคุยกันได้ทุกเรื่องก็น่าจะดีไม่ใช่เหรอครับ”
“ยกเว้นผมไว้คนหนึ่ง” คนอายุน้อยกว่าหรี่ตาลงเผยอปากทำหน้าตลกตอนที่อีกฝ่ายหันหลังให้
ประตูถูกเปิดออกหลังจากกรอกรหัสผ่านหกหลัก แบคฮยอนก้าวเข้าไปหยุดยืนอยู่กลางห้องพร้อมวางกระเป๋าลง เขาไม่รู้ตัวว่ากำลังอ้าปากค้างขณะกวาดสายตาไปรอบ ๆ ชานยอลยืนกอดอกพิงพนังหินแกรนิตซึ่งถูกออกแบบโดยสถาปนิกฝีมือดี แต่ถึงอย่างนั้นที่นี่ก็ยังดูธรรมดาเมื่อเทียบกับห้องสูทกว้างของทหารยศสูง
เด็กหนุ่มลูบสองมือไปตามผืนเตียงนุ่มห้าฟุต พร้อมกดมือข้างที่ไม่เจ็บลงไปจนรู้สึกได้ถึงสปริงที่อยู่ด้านล่าง แบคฮยอนไม่เคยได้สัมผัสของดี ๆ แบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือค่ายทหารที่มีพื้นที่ส่วนตัวแค่เตียงกับตู้เสื้อผ้าเล็ก ๆ ซึ่งวางอยู่ข้าง ๆ ชนิดว่าสามก้าวถึง
เชื่อแล้วว่าชีวิตของทหารมีอะไรให้ตื่นเต้นมากมายเหลือเกิน ตอนเป็นเด็กฝึกเคยถามตัวเองว่าถ้าบรรจุเข้าทีมทหารแล้วจะเป็นยังไงต่อ แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้รับความสะดวกสบายอย่างที่รุ่นพี่เคยเล่าให้ฟัง
“เราจะไปลิเบอร์ตี้กัน ผมอยากให้คุณเปลี่ยนเป็นชุดที่ดูดีกว่านี้”
“ชุดนี้ไม่โอเคเหรอครับกัปตัน”
“ถ้ามันโอเคผมจะบอกให้คุณเปลี่ยนเหรอครับสิบตรี?”
ทั้งที่ยืนเฉย ๆ แต่ก็รู้สึกเหมือนโดนต่อย แบคฮยอนสบตากับอีกคนที่กำลังทำหน้าเหวี่ยง ก่อนจะค้นกระเป๋าเป้ซึ่งมีเพียงแค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขายาวออกมาสะบัดแล้วถอดชุดออก
“เดี๋ยว” ทหารใหม่ชะงักอยู่ในท่าถอดกางเกง พอหันไปทางกัปตันก็เห็นว่าอีกฝ่ายเบือนหน้าหลบไปอีกทางพร้อมหลับตาลง ผ่อนลมหายใจออกมาราวกับว่ากำลังสงบสติอารมณ์ฉุนเฉียว อีกทั้งยังยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามเขาอีกแล้ว “ผมจะไปรอข้างนอก”
ชานยอลปิดประตูแล้วเพ่งสายตาไปยังกำแพงสีเทาเข้มเบื้องหน้า ให้ตายเถอะ ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะทำอะไรก็น่าหงุดหงิดไปเสียหมด แม้แต่การยืนมองเฉย ๆ บยอนแบคฮยอนเป็นคนมีพรสวรรค์เรื่องกวนประสาทคนอื่นหรือไงกัน
จริงอยู่ที่เขาเคยชินกับการเปลือยผ้าอาบน้ำกับทหารทั้งหน่วยมาแล้วเมื่อตอนอยู่สถานฝึก แต่ตอนนั้นก็ไม่มีใครสนใจใคร ต่างฝ่ายต่างอาบน้ำชะล้างความสะอาดไป ไม่ใช่ให้ใครสักคนมายืนจ้องตอนแก้ผ้าอย่างนี้
หลังจากจัดการเรื่องที่อยู่ให้ทหารใหม่เรียบร้อยทั้งคู่ก็มาถึงปากทางออกตัวเมืองซึ่งเป็นกำแพงสูง และมีประตูใหญ่อยู่ตรงกลาง ทหารเฝ้ายามอยู่หกนายถือปืนขนาบข้าง และอีกสองนายที่อยู่ในห้องกระจกขนาดเล็กตรงฝั่งขาเข้าและขาออก
ทุกคนทำความเคารพกัปตันโดยไม่ต้องตรวจสอบข้อมูลอย่างพลเรือนที่ต้องทำเรื่องขอออกไปด้านนอก เลเซอร์สแกนเนอร์สีแดงเลื่อนผ่านรถคันหรูเพื่อตรวจเช็กสิ่งแปลกปลอม แน่นอนว่าชานยอลยินยอมให้ตรวจโดยไม่มีข้อกังขา แม้ว่าเขาจะเข้าออกประเทศได้ง่ายกว่าพลเรือนทั่วไป แต่การตรวจเช็กการนำสิ่งของแปลกปลอมเข้าออกก็เป็นเรื่องสำคัญระดับต้น ๆ เช่นกัน
เพียงแค่ครู่เดียวประตูก็เปิดออก ชายหนุ่มเหยียบคันเร่งแล้วตรงไปยังถนนเส้นยาวสุดสายตาซึ่งมีต้นไม้ใบหลากสีประดับอยู่โดยรอบ นี่เป็นครั้งที่สองกับการออกมานอกประเทศ แบคฮยอนยังคงรู้สึกตื่นเต้นกับมันจนละสายตาไปไม่ได้ ตอนออกมาครั้งแรกละแวกนี้ขาวโพลนไปหมดเพราะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ แต่พอถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ ความสวยงามก็ถูกเติมเต็มธรรมชาติเหล่านี้จนนึกถึงประวัติศาสตร์เกาหลีใต้เมื่อร้อยปีก่อน
แต่เหมือนพระเจ้าอยากสั่งสอนให้เด็กที่เพิ่งออกจากกะลาได้รับรู้ว่าโลกนี้ไม่ได้สวยงามอย่างที่ตาเห็น เมื่อพ้นอาณาเขตเซฟโซนรอบข้างก็ถูกกลืนกินด้วยความน่าสยดสยองของฝันร้ายที่ฝังรากมานานเกินร้อยปี กับศพเดินได้ที่อยู่รอบข้าง สภาพเน่าเปื่อย ผอมซีดผิวติดกระดูก อ้าปากโหยหวนและพยายามเดินตามทันทีที่ได้ยินเสียงรถขับผ่าน
นั่นผีดิบเหล่านั้นเป็นสัญญาณบอกว่าบยอนแบคฮยอนได้ออกมาสู่โลกภายนอกอย่างเป็นทางการแล้ว
สองชั่วโมงกับการเดินทางมาลิเบอร์ตี้ เมืองแห่งการค้าขายที่ใคร ๆ ต่างก็รู้จักเป็นอย่างดี รอบด้านถูกสร้างด้วยกำแพงสูงป้องกันพวกผีดิบด้านนอก และทางเข้ามีการตรวจคุมเข้มโดยทหารชาวต่างชาติ
ลิเบอร์ตี้ถูกสร้างมานานเกินสี่สิบปี ที่นี่เริ่มต้นจากการปลูกพืชผักเป็นสวนและทำฟาร์มสัตว์เพื่อบริโภคให้กับมนุษย์ ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ลิเบอร์ตี้เคยถูกโจมตีด้วยเหล่าพวกผีดิบมีความคิดจนเละเทะไม่เหลือชิ้นดี สัตว์มากมายถูกฆ่าตาย พืชผักถูกทำลาย แต่ผู้ริเริ่มสร้างที่นี่ก็ฟื้นฟูมันกลับมาได้อีกครั้งโดยไม่มีใครเข้ามารบกวนได้อีก
หลายคนคาดเดาว่าผู้ริเริ่มคงจับมือกับผีดิบมีความคิดด้วยข้อตกลงบางอย่าง ลิเบอร์ตี้จึงไม่ถูกคุกคามและค้าขายมาได้จนถึงทุกวันนี้ แต่บางคนก็เดาว่าเป็นเพราะพวกเดนตายไม่อยากทุบหม้อข้าวตนเอง เพราะถ้าลิเบอร์ตี้ดับสูญเมื่อไหร่ มนุษย์ฝั่งเอเชียก็จะใช้ชีวิตอยู่ยากขึ้น
ฟังดูย้อนแย้ง แต่มันคือตลกร้ายที่พวกเดนตายอยากฆ่ามนุษย์แต่ก็เลี้ยงเผ่าพันธุ์เอาไว้ ด้วยห่วงโซ่อาหารที่มีพืชผัก > สัตว์ > มนุษย์ > พวกเดนตาย เป็นวัฎจักร การคาดเดานี้จึงดูมีความสมเหตุสมผลขึ้นมา
มนุษย์ตายได้ แต่ห้ามตายทั้งหมด เพราะพวกเราคืออาหารที่พวกมันต้องกิน
แบคฮยอนกวาดสายตาไปโดยรอบ ลิเบอร์ตี้กว้างขวางกว่าที่คิดไว้มากอย่างไม่น่าเชื่อ ทุกอย่างดูเป็นระบบ สินค้าแต่ละประเภทถูกแบ่งโซนเป็นล็อก คนงานชายฉกรรจ์มากมายกำลังช่วยกันแบกกล่องลังไม้ขึ้นท้ายรถบรรทุกคันใหญ่เพื่อจัดส่งไปยังประเทศที่ติดป้ายชื่อไว้ด้านบน
ซึ่งแน่นอนว่าอาหารและเครื่องดื่มที่ชาวเกาหลีใต้บริโภคอยู่ทุกวันล้วนแต่มาจากลิเบอร์ตี้
“เราจะไปไหนกันครับกัปตัน?”
“ไปหาเพื่อนผม”
“เขาเป็นทหารเหรอครับ?”
“เป็นหมอ แต่สติแตกจนต้องออกมาใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก” แบคฮยอนเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ เด็กหนุ่มเพียงแค่เดินตามหลังคนยศสูงกว่าไปเรื่อย ๆ พลางกวาดสายตาไปโดยรอบเพื่อเก็บบรรยากาศ
ชานยอลหยุดฝีเท้าเมื่อรู้สึกโหวงแปลก ๆ พอหันกลับไปก็ไม่พบคนที่ควรเดินตามมาข้างหลัง ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเลื่อนระดับสายตา ก่อนจะพบว่าลูกทีมยืนเกาะแหมะอยู่หน้ากระจกร้านรองเท้าที่เพิ่งเดินผ่านมาเมื่อครู่
“ผมต้องบอกคุณไหมว่าเป้าหมายเราไม่ได้อยู่ที่นี่”
“ครับกัปตัน”
“ไม่ใช่แค่ขานรับ แต่คุณต้องปฏิบัติตามด้วย”
“ครับกัปตัน”
“...”
จากที่ขมวดคิ้วอยู่แล้วก็ยิ่งขมวดเข้าไปอีก จนถึงตอนนี้คนที่เอาแต่พูดเป็นระบบ AI ก็ยังคงเหม่อไปยังรองเท้าคู่ใหม่ซึ่งวางอยู่บนชั้นหน้ากระจก บยอนแบคฮยอนยังคงเหมือนเด็กที่ดวงตาเป็นประกายเมื่อเห็นสิ่งของที่ต้องการ
“ชอบสะสมหรือไง?”
“เปล่าครับ ผมมีรองเท้าแค่สองคู่ คู่นี้กับคอมแบทชนิดพิเศษ”
“พิเศษ?”
“มันถูกผลิตมาเพื่อให้ยึดพื้นกับกำแพงได้น่ะกัปตัน เพราะคอมแบทธรรมดาปีนป่ายลำบาก มันหนักมากครับ”
“ถ้าอยากได้ก็ซื้อซะ ผมให้เวลาคุณสามนาทีในการลองไซส์กับจ่ายเงินค่ารองเท้า”
“ผมไม่มีเงินครับ”
“พูดเป็นเล่น ตอนสอบผ่านคุณก็ได้รางวัลเป็นเงินก้อนหนึ่งเอาไว้ตั้งหลักไม่ใช่เหรอ?” ชานยอลยืนกอดอกเพ่งมองเด็กหนุ่มที่ไม่คิดจะละสายตาจากรองเท้าคู่นั้น
“ผมให้แม่ไปหมดแล้ว เธอจำเป็นต้องใช้”
“...”
“กัปตันดูนี่” คนยศสูงกว่าถลึงตามองอีกฝ่ายที่ถือวิสาสะจับแขนเขาให้ขยับเข้าไปดูรองเท้าคู่นั้นใกล้ ๆ “เห็นพื้นยางนั่นไหม มันคือความสุดยอดของนักเล่นฟรีรันนิ่งเลยนะ”
“ฟรีรันนิ่ง?”
“ก็ปาร์กัวร์แหละครับ”
“แล้วมันต่างกันยังไง”
“ก็ไม่ต่างกันมาก ปาร์กัวร์จะเน้นจากจุด A ไปจุด B แบบนี้” แบคฮยอนหันหลังแล้วกระโดดสองขาไปด้านหน้า “แต่ถ้าฟรีรันนิ่งจะไปแบบนี้” เด็กหนุ่มตีลังกาม้วนตัวกลางอากาศก่อนจะกลับไปยืนอยู่จุดเดิมข้าง ๆ คนตัวสูง
ชานยอลไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้นัก เขาเพียงแค่มองลูกทีมที่เข้าไปยืนเฝ้ารองเท้าคู่เดิมอีกครั้ง เรื่องเมื่อวานในโรงพยาบาลและประวัติที่เบียทริซหามามันกำลังสร้างปัญหาให้คนอย่างเขาเป็นอย่างมากในนาทีนี้ ปาร์คชานยอลไม่ใช่คนชอบตามใจใคร และจะไม่มีทางเป็นอย่างนั้นด้วย
แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายถอนหายใจแล้วพึมพำว่า ‘ผมพอใจแล้ว ไปกันเถอะครับ’ นั่นน่ะ...
“รีบเข้าไปเลือกไซส์ ผมจะซื้อให้คุณ”
ถอนหายใจคือสิ่งเดียวที่ปาร์คชานยอลทำมาตลอดการเดินผ่านคลังสินค้าทั้งสิบบล็อก เมื่อเบื้องหน้าคือเด็กตัวแสบที่เอาแต่ตีลังกาม้วนตัว วิ่งย่ำไปกับพื้นโดยไม่หยุดเดินกับการเห่อรองเท้าคู่ใหม่ ซึ่งมันสร้างคำถามให้เขาว่าคิดถูกแล้วหรือที่ซื้อให้ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องจำเป็น
เจ้าตัวบอกว่าจะหาเงินมาใช้คืน ซึ่งเขาก็ไม่อยากขัดใจแม้ว่าที่เสียไปมันจะเป็นแค่เศษเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ชานยอลดีดนิ้วเรียกลูกทีมให้หยุดทำตัวเป็นลิงเป็นค่าง เขาชี้นิ้วหัวแม่มือไปทางด้านซ้ายเป็นการบอกเป้าหมายซึ่งแบคฮยอนก็รีบวิ่งตามมาอย่างไม่อิดออด
รอบข้างให้ความรู้สึกต่างจากสิบกว่าบล็อกที่เพิ่งเดินผ่านมา ตรงนี้อาจเป็นจุดอันตรายอย่างที่กัปตันปาร์คเล่าให้ฟังตอนอยู่ในรถ ว่าลิเบอร์ตี้ถูกแบ่งออกเป็นสามโซน
ส่วนแรกคือฝั่งค้าขายตามกฎหมาย ของราคาจะสูงบ้างแต่ปลอดภัยแน่นอน
ส่วนที่สองเป็นฝั่งค้าขายเสรี ยาเสพติด อาวุธยุทโธปกรณ์ ของผิดกฎหมายมากมายต่างเปิดขายที่นี่ในราคาย่อมเยา แต่ถ้าถูกด่านทางเข้าประเทศจับได้ก็เสียค่าภาษีแทบหูฉีก หรืออาจถูกจับข้อหามีของเถื่อนไว้ในครอบครอง
ส่วนที่สามคือฝั่งเพาะปลูก และทำฟาร์มสัตว์ ซึ่งอยู่ตรงด้านหลังเพราะต้องใช้อาณาเขตพอสมควร
“พี่ครับ ช่วยซื้อหน่อยสิ นี่ลดราคาสุด ๆ เลยนะ ของมาใหม่ พี้ทีรับรองแตะถึงสวรรค์ชั้นเจ็ด” ชายวัยกลางคนผิวสำคล้ำกร้านแดดเข้ามาประกบข้างกัปตันหนุ่ม แต่งตัวกุ๊ยพร้อมกลิ่นตัวกำลังยื่นอะไรบางอย่างให้
“ไม่ล่ะ ขอบคุณ”
“น่าครับ ถือว่าช่วยเหลือกัน ผมจะได้รีบกลับบ้านไปเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย”
“ช่วงนี้งดพี้น่ะ” ชานยอลปัดมืออีกคนออกแล้วพยักหน้าบอกแบคฮยอนเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่านี้
“ไม่เป็นไรเลยครับ ไว้โอกาสหน้าเชิญใหม่... ไอ้ควายเอ๊ย! ไม่เสพมึงก็ออกไปตายห่าเพราะถูกกัดอยู่ดีนั่นแหละ!”
เสียงตะโกนไล่หลังทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้ง แบคฮยอนเกาศีรษะกับความงุนงงก่อนจะเห็นสีหน้ากัปตันทีมตอนนี้ที่ไม่ต่างไปจากเดิมเลยสักนิด ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันปกติและไม่น่าแปลกใจอะไร
ร่างสูงผลักประตูไม้เข้าไปในร้านสักลายเล็ก ๆ ด้านในมืดจนมีเพียงแค่โคมไฟที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเท่านั้นที่ให้ความสว่าง หญิงสาวในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นเข้ารูปเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ก่อนจะพยักหน้าเป็นการทักทาย
“ไงกัปตัน”
“ยุ่งหรือเปล่าวันนี้”
“ลูกค้านัดไว้ตอนบ่ายโมง ฉันยังมีเวลาอยู่นิดหน่อยถ้านายอยากสักเป็ดน้อยลงบนท้องแขน” ชานยอลแค่นหัวเราะก่อนจะหยัดตัวนั่งลงบนโซฟา แบคฮยอนมองหญิงสาวที่มีรอยสักเต็มแขนและต้นขายาวไปจนถึงข้อเท้า เธอกำลังเขียนอะไรบางอย่างลงไปในสมุด “วันนี้ลมอะไรพัดมาล่ะ”
“อยากให้ช่วยรักษามือเด็กคนนี้หน่อย” เจ้าของร้านสักลายเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “เขาชื่อบยอนแบคฮยอน ลูกทีมของฉัน”
“ว้าว เดี๋ยวนี้มิเนอร์วารับเด็กเข้าทีมแล้วเหรอ” เธอหัวเราะพลางสำรวจอีกคนด้วยสายตา ชานยอลพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้แบคฮยอนนั่งลง ก่อนที่หญิงสาวรอยสักเต็มตัวจะเดินไปนั่งบนโต๊ะไม้สูงพร้อมแบมือออกเพื่อขอดู ซึ่งแบคฮยอนก็โค้งศีรษะเล็กน้อยก่อนจะวางมือลงไป
“เธอชื่อคิมฮยอนอา เคยเป็นหมอมาก่อน”
“ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่นะ รักษาได้ทุกอย่างยกเว้นหัวใจ” เธอพูดกลั้วหัวเราะ
“สวัสดีครับ” แบคฮยอนโค้งหัว ก่อนจะเบือนหน้าหลบไปอีกทางเมื่อรู้ว่าระดับสายตาของเขามันตรงกับหน้าอกของเธออย่างพอดิบพอดี
“มองเถอะ ฉันไม่ถือ”
“เอ่อ คือผมไม่ได้--”
“อย่าแกล้งเด็กสิ” ชานยอลมองอีกคนที่กำลังหัวเราะชอบใจ ในขณะที่เด็กหนุ่มที่เพิ่งจบหลักสูตรมาใหม่ ๆ กำลังหน้าขึ้นสีจัดกับความไม่ประสีประสา
“ไม่หนักหนาเท่าไหร่ เดี๋ยวฉันจัดการให้แล้วกัน”
หญิงสาวแหวกประตูลูกปัดเข้าไปในห้องมืด เธอหายเข้าไปนานแค่ไหนก็ไม่ทราบได้ แต่แบคฮยอนกำลังรู้สึกอับอายสุด ๆ ตอนที่เห็นสายตาของกัปตันที่กำลังมองเขาแปลก ๆ หลังจากเรื่องหน้าอก
“ผมไม่ได้มองหน้าอกเธอจริง ๆ นะ”
“บอกผมทำไม”
“ก็สายตากัปตันเหมือนกำลังบอกว่าผมเป็นเด็กลามกอะ”
“แล้วคุณจะปฏิเสธหรือไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้น พอผมเห็นผมก็รีบหันหน้าหนีแล้วไง”
“บอกผมไปก็เท่านั้น คุณจะคิดหรือไม่คิดมันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับผมสักหน่อย ใคร ๆ ก็มองหน้าอกเธออยู่แล้ว ก็เล่นโชว์ซะขนาดนั้น”
“ย่าห์ ฉันได้ยินนะ!” เสียงแหลมตะโกนออกมาจากในห้อง หากแต่คนเป็นเพื่อนกลับยิ้มขำราวกับว่าเขาตั้งใจให้เธอได้ยิน
“ผมเป็นเด็กมีคุณธรรม”
“ลาออกไปเป็นบาทหลวงเลยไหมล่ะครับสิบตรี?”
ทั้งคู่สบตากันโดยแบคฮยอนก็รู้อยู่แก่ใจว่าศึกคราวนี้เขาไม่ควรแม้แต่จะปริปากสู้ตั้งแต่แรก เด็กหนุ่มเบือนหน้าหลบไปอีกทางแล้วขยับปากบ่น ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นเงาตนเองในกระจกตู้ ซึ่งกัปตันสุดโหดกำลังมองเขาอยู่เช่นกัน
อดีตคุณหมอกลับมาพร้อมเข็มฉีดยาหลอดหนึ่ง แบคฮยอนไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้คุณฮยอนอาเปลี่ยนวิถีชีวิตให้มาอยู่จุดนี้ได้ แต่ยาที่เธอให้มันทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
“มันคืออะไรเหรอครับ?”
“เวทย์มนต์จากแม่มดไงล่ะ” ริมฝีปากสีสดยกยิ้มก่อนจะหันไปมองเพื่อนสนิทที่ไม่ค่อยพบเจอกันบ่อย ๆ เหมือนตอนที่เธอยังเป็นหมออยู่ “หัวหน้าทีมของนายก็เคยใช้มันอยู่บ่อย ๆ ตอนถูกยิงในสงคราม มันจะช่วยเร่งการฟื้นตัวของร่างกาย แต่ยังไม่ได้ผลดีเท่าที่คาดหวังหรอก การรักษายังต้องพึ่งยาควบคู่ไปด้วย” แบคฮยอนหันไปสบตากับคนตัวสูง กัปตันยังคงอยู่ในสีหน้าเรียบเฉยไม่ต่างจากในทีแรก
“ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามียาชนิดนี้อยู่ แล้วทำไมหมอที่โรงพยาบาลไม่ฉีดมันให้ผมล่ะครับ”
“เพราะมันผิดกฎหมายน่ะสิ การทดลองของพวกเราล่มไม่เป็นท่าเพราะเหตุผลบางอย่างซึ่งนายไม่จำเป็นต้องรู้หรอก” เขาพอจะเดาออกว่าเธอกำลังหัวเสียกับเรื่องที่พูดถึง “อดทนแล้วกินยาตามที่หมอโรงพยาบาลสั่งด้วยล่ะ อีกประมาณสามวันนายจะช่วยตัวเองได้ด้วยมือข้างนี้ ถ้าถนัดข้างขวาน่ะนะ”
“...” เด็กหนุ่มหลับตาก้มหน้ากับความขลาดอายที่เธอได้มอบให้กับเขาอีกครั้ง
“เอาล่ะ นายคงไม่ได้มาเพื่อให้ฉันช่วยรักษามือเด็กคนนี้อย่างเดียวหรอกใช่ไหม?” ทั้งคู่สบตาอย่างรู้กัน ชานยอลนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะมองไปยังคนข้าง ๆ
“คุณออกไปรอผมข้างนอกก่อน”
“ครับกัปตัน” เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างไม่อิดออด เขามองหัวหน้าทีมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะไปหยุดยืนอยู่หน้าประตู
“ถัดไปสองห้องมีร้านวาฟเฟิลอยู่ล่ะ เจ้านี้อร่อยมาก ต้องไปโดนนะ” หญิงสาวกล่าวปิดท้ายก่อน แบคฮยอนพยักหน้ารับก่อนจะเปิดประตูออกไป
แบคฮยอนมองมือที่ถูกพันด้วยผ้าก๊อซ เขาลองขยับมันเบา ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นออกแรงมากขึ้นเมื่อไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างที่ควรเป็น เด็กหนุ่มอมยิ้มกับเวทย์มนต์ทางการแพทย์ที่หญิงสาวช่างสักมอบให้
เขาหยัดตัวนั่งลงบนโซฟาร้านวาฟเฟิลตามที่เธอแนะนำมา ด้านในมีลูกค้าอยู่สี่โต๊ะนับรวมกับเขาไปด้วย แผงเมนูฉายขึ้นมาบนโต๊ะโดยระบบอัตโนมัติ มันเจ๋งเป็นบ้าที่ร้านนี้ตกแต่งสไตล์ร้านวาฟเฟิลฝั่งยุโรปเมื่อร้อยปีก่อน แต่ก็ยังมีความทันสมัยเพิ่มความสะดวกเข้ามาด้วย
ใช้ปลายนิ้วสไลด์เลื่อนหาเมนู วาฟเฟิลราดน้ำผึ้งควบกับนมกลิ่นเบอร์รี่คงจะเป็นอะไรที่เข้าท่าอยู่ แบคฮยอนกดสั่งออเดอร์แล้วทอดสายตาออกไปข้างนอกระหว่างรอ โอ้พระเจ้า แทบลืมไปเลยว่าทั้งตัวเหลือเงินอยู่ไม่เท่าไหร่ ซึ่งถ้าจ่ายมื้อนี้ มื้อเย็นคงได้กินแคปซูลผักเป็นอาหารเย็นแน่
ฝั่งค้าขายเสรีไม่ได้จัดบล็อกตามประเภทเหมือนฝั่งค้าขายอย่างถูกกฎหมาย เมื่อฝั่งตรงข้ามร้านวาฟเฟิลคือร้านขายอาวุธตั้งแต่สากระเบือยันเรือรบ อวดโชว์หน้าตู้กระจกพร้อมชายร่างท้วมหัวโล้นมีรอยสักอยู่ครึ่งหน้า ประกบข้างด้วยชายหนุ่มอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งคงมีเป็นพวกชอบเล่นปืนเหมือนกัน ร้านนั้นน่าสนใจชะมัด แต่คาดว่าเจ้าของร้านคงไม่อยากต้อนรับเด็กอย่างเขาที่ไม่มีเงินติดตัวมาด้วย
[ เมนูเรียบร้อยแล้วค่ะ เชิญบริการตัวเองด้านหน้าเคาน์เตอร์พร้อมชำระเงินด้วย ขอบคุณค่ะ ]
เสียงระบบ AI มาพร้อมตัวหนังสือสามภาษาเพื่อให้สะดวกกับคนหลายชาติที่แวะเวียนมาใช้บริการในลิเบอร์ตี้ แบคฮยอนลุกไปจ่ายเงินในตู้อัตโนมัติ รับเงินทอนเสร็จสรรพก่อนจะถือถาดวาฟเฟิลกับนมเบอร์รี่ออกมา
แต่เพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้นก่อนที่ความหวานทั้งหมดจะถูกดับฝัน เมื่อร่างของเขาถูกชนจนถาดเหล็กสีเทาตกลงไปบนพื้นจนแก้วแตกกระจาย เด็กหนุ่มเบิกตาโพลงกับความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งที่ยังไม่ได้ลิ้มลอง ก่อนจะรีบปัดมือออกโดยอัตโนมัติเมื่อรู้สึกได้ถึงการคุกคามจากบุคคลปริศนา
แบคฮยอนถอยหลังออกมาก้าวหนึ่งเพื่อตั้งหลัก นาทีนี้เขาสามารถเห็นตัวต้นเหตุที่ทำให้วาฟเฟิลมื้อเที่ยงเป็นหมันได้แล้ว กับร่างสูงใหญ่กล้ามเป็นมัด ๆ อีกทั้งแววตาแข็งกร้าวราวกับว่าอยากฆ่าเขาให้ตาย
“เดินไม่แหกตาดูเหรอวะไอ้เตี้ย”
“ผมหันหลังอยู่จะไปเห็นได้ยังไง ไม่ขอโทษแล้วอย่าโบ้ยความผิดให้คนอื่นดิ” คำพูดของเด็กตัวกระเปี๊ยกยั่วโทสะคนกำลังเมายาได้เป็นอย่างดี ใบหน้ามึนตึงขึ้นสีจัดกัดฟันกรอดก่อนจะพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อคนตัวเล็กอีกครั้ง
แบคฮยอนสอดสองมือเข้าไปตรงช่องว่างระหว่างแขนอีกฝ่ายแล้วปัดออกข้างอย่างแรง พร้อมโหม่งคางโดยไม่ทิ้งจังหวะให้คู่ต่อสู้ได้ตั้งตัว เสียงร้องโอดครวญของชายร่างสูงใหญ่เรียกความสนใจจากลูกค้าในร้านให้หันมาทางนี้ เด็กหนุ่มกุมศีรษะพลางซี๊ดปากกับความเจ็บที่ต้องแลกกัน
“จบนะ ถือว่าผมขอ” คนตัวเล็กยกมือขึ้นก่อนจะผงะเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายละมือออก พร้อมเลือดสีสดที่ไหลเต็มซอกฟัน
เวรแล้วไง
“มึง...”
“เอ่อ...”
“มึงตายแน่!!”
“เดี๋ยว!” แบคฮยอนเบิกตากว้างก้มหัวลงต่ำหลบหมัดแน่น ๆ ที่ซัดวืดลมไปอย่างรวดเร็ว “ใจเย็นก่อนสิ ผมไม่อยากมีเรื่อง!”
เหมือนวัวบ้าที่เห็นผ้าแดงอยู่ตรงหน้า ใช่ ไอ้โง่ตัวใหญ่เป็นอย่างนั้นแหละ เด็กหนุ่มถอนหายใจหนัก ๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันไปคว้าเก้าอี้ไม้หน้าเคาน์เตอร์บาร์ขึ้นมาเป็นอาวุธ ก่อนจะถุยน้ำลายเคล้าเลือดลงบนพื้นเป็นการข่มขวัญเด็ก
“ไม่เอาน่า!” แบคฮยอนก้มศีรษะลงม้วนตัวไปกับพื้นเพื่อหาจุดตั้งหลักในที่โล่ง หลุบสายตามองเศษซากขาเก้าอี้ไม้บนพื้น เขาคิดว่าถ้างานนี้เจ็บตัวอีกกัปตันคงไม่ใจดีขอยาจากช่างสักฮยอนอาให้แน่ แถมยังถูกจับเข้าศาลทหารและหมดสิทธิ์เข้าทีมมิเนอร์วาชัวร์
ไม่มีใครเข้ามาให้ความช่วยเหลือ คนพวกนั้นเลือกที่จะนั่งดูพร้อมกินวาฟเฟิลแกล้มเบียร์อย่างสุนทรีย์ เผลอ ๆ อาจจะพนันกันด้วยว่าเขาจะพลาดท่าโดนฟาดในนาทีที่เท่าไหร่ โอเค ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีใครเข้ามาช่วยเหลือหรอกนะ ลำพังจะสู้ก็สู้ได้ แต่ศาลทหารอะ... ศาลทหารเลยนะ!
“มาร้องขอชีวิตตอนนี้ก็สายไปแล้ว!”
คนตัวเล็กกระโดดขึ้นไปบนเก้าอี้โซฟาทันทีที่เก้าอี้ไม้ถูกเขวี้ยงมาอย่างแรง เหยียบโต๊ะแล้วตีลังกาม้วนข้ามไปอีกโต๊ะก่อนจะจับเสาเหล็กไว้เป็นหลักเพื่อส่งแรงถีบอีกฝ่ายให้ล้มลงจนสไลด์กับพื้นซึ่งเต็มไปด้วยคราบนมเบอร์รี่
“พอไหม พอเถอะ”
“เวรเอ๊ย! พวกมึง ใครจัดการมันได้กูมีรางวัลให้!”
เด็กหนุ่มยืนทำตาปริบ ๆ เมื่อคนที่เคยนั่งดูเฉย ๆ กำลังลุกขึ้นพร้อมสวมสนับมือช็อตไฟฟ้าราวกับว่าเตรียมพร้อมสู้ได้เสมอ โอเค ที่ตรงนี้คือลิเบอร์ตี้ฝั่งค้าขายเสรี นั่นหมายความว่าถ้าตายที่นี่จะไม่มีใครผิดทั้งนั้น ยกเว้นเสียแต่ว่าคนลงมือจะอยู่ในเกาหลีใต้และอยู่ในตำแหน่งทหาร
สรุปคือ บยอนแบคฮยอนอยู่ในลิเบอร์ตี้ฝั่งมืด แต่ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
“ฆ่ามัน!”
“Sh--” เด็กหนุ่มสบถคำหยาบยังไม่จบก็ต้องกระโดดเข้าหลังเคาน์เตอร์บาร์เมื่ออีกฝ่ายเล็งปืนมาทางนี้ ให้ตายเถอะ เล่นไม่แฟร์เลยนี่หว่า!
‘แค่นี้ปาร์กัวร์ที่คุณเรียนมาตลอดหลายปีก็ไร้ค่าแล้ว’
แบคฮยอนคิดว่ามันคงดีกว่าถ้ากัปตันมาทั้งตัวแต่ไม่ได้มาแค่เสียงในความคิดของเขา เด็กหนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อตั้งสติ สะดุ้งงอตัวกับเสียงปืนที่ยิงกราดเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวว่าร้านค้าจะเสียหายไปสักเท่าไหร่
เขาคว้าเอาถาดเหล็กขึ้นมาเป็นโล่ป้องกัน โอ้ มันเยี่ยมไปเลยแบคฮยอน ฉลาดมาก ๆ หวังว่ามันจะช่วยให้แกรอดจากกระสุนเหล่านั้นได้นะ
“เก่งมากไม่ใช่เหรอ?! โผล่หัวออกมาสิวะ!”
“ก็อย่ารุมดิ!”
“มึงออกมานี่!”
“ออกไปก็ตาย ใครจะออกไปให้โง่!” แบคฮยอนตะโกนสู้แล้วชะโงกหน้าออกไป ก่อนจะรีบยกถาดเหล็กขึ้นมาเป็นกำบังเมื่ออีกฝ่ายยิงมาอีกแล้ว
“อ๊าก!!”
“ไอ้โง่เอ๊ย! ยิงยังไงให้มันย้อนกลับมาโดนตัวเองวะ!”
“ก็มันถือถาดเหล็กนี่หว่า!”
ไม่ยักรู้ว่าจะได้ผล
ยังวางแผนเอาตัวรอดได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกเข็มเจาะลูกโป่งดับความคิด เมื่อร่างของเขาถูกกระชากคอเสื้อจากด้านหลัง ก่อนจะลากถูไปบนเคาน์เตอร์บาร์ แบคฮยอนดิ้นพล่านเมื่อรู้สึกตึงกับคอเสื้อที่กำลังรัดคอเขา เด็กหนุ่มใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการนับศัตรู ก่อนจะปัดมือนั้นออกแล้วดีดตัวลุกขึ้นยืนโดยไม่ใช้มือ พร้อมโหนราวกระโดดขึ้นคร่อมชายวัยกลางคนที่มือปืนเป็นอาวุธ ซัดหมัดซ้ายลงไปซ้ำ ๆ แล้วหันไปเตะตัดขาชายอีกคนที่มาจากด้านหลัง
แย่แล้ว มันไม่จบแค่นี้!
พวกจากร้านขายปืนฝั่งนั้นกำลังแห่เข้ามาพร้อมอาวุธครบมือและคาดว่าเขาอาจต้องตายแน่ถ้ายังฝังตัวอยู่ในร้านซึ่งมีเพียงแค่ประตูที่เป็นทางออกเดียวอย่างนี้ แบคฮยอนกลอกตามองหาทางหนีทีไล่ ก่อนจะตัดสินใจกระโดดออกทางกระจก
คนตัวเล็กโรลตัวไปบนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยซากเศษกระจกแตกแล้วหยัดตัวลุกขึ้นยืน เพียงครู่เดียวชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นก็ตามออกมาพร้อมอาวุธในมือ แบคฮยอนถอนหายใจหนัก ๆ กับวิกฤติที่เผชิญอยู่ จุดนี้เป็นที่โล่งกว้าง ถ้าปีนตึกตอนนี้คงโดนสอยร่วงแน่
แต่ทุกอย่างก็หยุดความเคลื่อนไหวเมื่ออยู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากร้านวาฟเฟิล ใบหน้าครึ่งหนึ่งและศีรษะถูกโพกไว้ด้วยผ้าสีน้ำตาล เขาทำพวงกุญแจตกจึงก้มลงไปเก็บมันขึ้นมาปัดเศษฝุ่นออกเบา ๆ ดูไม่มีอะไรน่าสนใจแต่ทุกสายตาก็หยุดอยู่กับชายหนุ่มปริศนา ก่อนที่ความแหลมของกุญแจจะเสยคางชายร่างท้วมจนหงายหลังลงไปในครั้งเดียว สร้างความตกใจให้กับชายฉกรรจ์เหล่านั้นเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มผ้าโพกสีน้ำตาลจัดการกับพวกนักเลงประจำลิเบอร์ตี้ด้วยมือเปล่า แบคฮยอนไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ ว่าผู้ชายคนนั้นมีฝีมือและแข็งแรงมากชนิดว่าเล่นเอาศัตรูจุกจนแทบลุกไม่ขึ้น ทักษะการต่อสู้มันคุ้นตาเหมือนกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เพียงชั่วพริบตาเดียวชายฉกรรจ์ที่เคยมีอาวุธครบมือก็นอนงอตัวอยู่กับพื้น บางคนถึงกับสลบไปเพราะโดนรัดคอด้วยต้นแขน แบคฮยอนหลุบสายตาลงมองผ้าโพกสีน้ำตาลที่ร่วงลงบนพื้น ก่อนจะเห็นกลุ่มผมสีขาวของชายคนนั้น ตามด้วยกัปตันปาร์คที่รีบวิ่งมาพร้อมช่างสักสาว
“เดี๋ยวนะ” เด็กหนุ่มเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง แน่นอนว่าเขาไม่เคยเจอผู้ชายคนนี้ที่ไหนมาก่อนนอกจากบนจอทีวีจอยักษ์กลางโรงอาหารในหน่วย Agility
แบคฮยอนไม่ได้ฝัน และคิดว่าวิวัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีคงไม่ล้ำหน้าชนิดว่าโคลนนิ่งร่างคนที่ตายไปแล้วขึ้นมาได้ แต่ถ้าจะบอกว่าคนหน้าเหมือนก็คงจะฟังขึ้นมาหน่อย แต่ก็ไม่น่าจะใช่อยู่ดี
ผู้ชายสุดเท่ที่มีอุดมการณ์น่ายกย่องคนนั้น
กลุ่มคนที่นอนกองอยู่บนพื้นไม่ใช่เรื่องน่าสนใจอีกต่อไป เมื่อเห็นใครอีกคนยืนอยู่ตรงหน้า ไร้รอยบาดแผล ไร้คราบเลือด มีเพียงแค่แววตาเรียบเฉยที่มองมายังเขา มันต่างไปจากเดิมเล็กน้อยตรงที่เมื่อก่อนปาร์คชานยอลรู้สึกได้ถึงแค่ความจงรักภักดีต่อชาติของผู้ชายคนนั้น กัปตันหนุ่มไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยว่าเขาจะมีโอกาสได้พบกันอีกหลังจากเหตุการณ์แห่ง
ความสูญเสียได้ผ่านไปตั้งสามปีแล้ว
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ กัปตันปาร์ค”
ให้ตายเถอะ! ผู้ชายคนนั้นคือหมวดคิมจงอิน!
TBC
อุ๊!!!!!
ความคิดเห็น