คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 04 :: Your Secret (100%)
Chapter 4
Your Secret
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่โอเซฮุนไม่ได้ใช้เวลาไปกับการซ้อมเต้นหรือเล่นเกมแล้วอัพคลิปลงยูทูป เด็กหนุ่มอยู่ในชุดลำลองสบาย ๆ และกำลังเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าระหว่างรอพ่อกับแม่เลือกซื้อชุดสำหรับไปงานสังคมที่ใกล้จะมาถึง
เซฮุนไม่ได้เบื่อที่จะต้องมาเดินรอ กลับกันแล้วเขายังรู้สึกดีที่ได้ออกมาใช้เวลากับครอบครัวบ้าง แม่วางแผนไว้ซะดิบดีว่าวันนี้เราสามคนจะทำอะไรในวันนี้ รายการแรกเริ่มจากไปนั่งรอแม่ทำหน้า ช่วยพ่อตัดสินใจว่านาฬิกาเรือนไหนที่ดูดีที่สุด ไปจนถึงอาหารเย็นที่แม่กะจะเข้าครัวทำเอง
เด็กหนุ่มยิ้มออกมาเพียงแค่นึกถึงรายการต่าง ๆ ที่พ่อกับแม่พยายามทำให้ครอบครัวของเราเป็นเหมือนครอบครัวของคนอื่น ๆ อันที่จริงเซฮุนเข้าใจว่าท่านงานยุ่งมาก มันเลยเป็นเรื่องยากที่จะเจียดเวลามาให้ลูกชายอย่างเขา
เซฮุนรู้สึกว่าตัวเองโชคดีกว่าเด็กคนอื่นที่ไม่ว่าจะทำอะไร พ่อกับแม่ก็พร้อมจะสนับสนุนและหยิบยื่นในสิ่งที่ต้องการให้ได้โดยที่ไม่ห้ามและถามว่ามันสมควรแล้วหรือยัง เขารู้ว่าเรื่องการเล่นเกมมันไร้สาระในมุมมองของผู้ใหญ่บางคนและเรื่องเต้นก็เช่นกัน แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นในครอบครัวของเขา
พ่อถามว่าอยากได้อะไรเป็นพิเศษสำหรับวันเกิดปีนี้ไหม รถยนต์ มือถือเครื่องใหม่ หรืออยากไปเที่ยวประเทศไหนหรือเปล่า แต่เซฮุนก็ได้แต่ส่ายหน้าช้า ๆ เขาจมอยู่กับความคิดในหัวราว ๆ ครึ่งนาทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วบอกกับท่านไปว่า
‘ผมอยากได้เปียโน’
และคำตอบมันทำให้พ่อกับแม่อึ้งไปเลยล่ะ แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องแปลกที่สุดในรอบหลายปีที่ท่านได้ยินจากปากเด็กที่หลงรักเกมและการเต้นอย่างโอเซฮุน เปียโนน่ะเหรอ? ท่านได้แต่ทวนคำถาม ตอนนั้นเด็กหนุ่มไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังทำหน้าแบบไหน เลยหัวเราะแห้ง ๆ แล้วตอบไปว่า
‘ผมพูดเล่นครับ’
พอเดินเล่นไปสักพักก็รู้สึกว่ามันไร้จุดหมายเกินไป จนกระทั่งหันไปเห็นร้านหนังสือที่อยู่ทางด้านซ้ายมือนั่นแหละ เซฮุนเลยคิดว่าบางทีที่นั่นอาจจะช่วยฆ่าเวลาไปได้บ้าง การหมกมุ่นอยู่กับโซนหนังสือเกมคงเข้าท่าเหมือนกัน
เด็กหนุ่มอยู่ตรงนั้นราว ๆ ห้านาทีก็ได้แต่ถอนหายใจ หนังสือเกมเดี๋ยวนี้อัพเดทช้าหรือว่าเขาตามข่าวเกมเร็วหรือยังไงทำไมเปิดไปหน้าไหนถึงได้เจอแต่เกมที่เคยลองเล่น Demo มาหมดแล้ว
น่าเบื่อ...เซฮุนคิดอย่างนั้น
เก็บหนังสือลงที่เดิมแล้วลองเดินไปโซนอื่นดู เซฮุนไม่ใช่หนอนหนังสือเพราะฉะนั้นเขาคงไม่เฉียดผ่านโซนวิชาการเป็นแน่ ศิลปะวาดรูปก็ไม่ใช่ทางอีก แล้วมันมีไหมล่ะหนังสือสำหรับสอนเต้นน่ะ ให้ตายเถอะ มันมีซะที่ไหนกัน นี่โอเซฮุนว่างมากถึงขนาดคิดเรื่องติงต๊องแบบนี้ได้แล้วสินะ
ขายาวหยุดชะงักเมื่อหันไปเห็นปกหนังสือเล่มหนึ่ง แน่นอนว่าถ้าเป็นก่อนหน้านี้ร้อยทั้งร้อยเขาคงเดินผ่านไปโดยที่ไม่สนใจไยดีว่าเนื้อหาข้างในจะน่าสนใจมากแค่ไหน แต่ตอนนี้มันสามารถหยุดเขาให้อยู่ตรงนี้ได้ เซฮุนรู้สึกเหมือนบรรยากาศโดยรอบพร่ามัว และมีเพียงแค่หนังสือเล่มนั้นที่เด่นชัดอยู่ตรงหน้า
‘หัดเล่นเปียโนเบื้องต้น’
‘คอร์สเรียนเปียโน 50 ชั่วโมง’
เด็กหนุ่มเลียริมฝีปากอย่างชั่งใจราวกับว่าหนังสือเล่มนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความคิดก่อนหยิบมันขึ้นมาเปิดดู แน่ล่ะ...เซฮุนไม่เคยสนใจมัน หรือแม้แต่ตอนที่เอ่ยปากบอกพ่อกับแม่ว่าอยากได้เปียโนสักหลังเขาก็ยังลืมคิดไปว่าควรหัดเล่นให้เป็นก่อนที่จะยกมันไปตั้งไว้ส่วนไหนส่วนหนึ่งของบ้าน ซึ่งนั่นก็แค่ความคิด...เขาไม่ได้ตั้งใจจะซื้อจริง ๆ สักหน่อย
หยิบหนังสือเล่มแรกขึ้นมาแง้มเปิดดูอย่างประณีต เซฮุนรู้สึกเหมือนกับว่าคิมจงอินยืนมองกดดันอยู่ข้าง ๆ ว่าให้ช่วยรักษาของทีเถอะ ตอนนั้นถึงได้รู้สึกว่าตัวเองเพี้ยนมากเข้าไปทุกทีจนสามารถปล่อยให้ผู้ชายคนนี้เข้ามาอยู่ในหัวได้ อันที่จริงเขาไม่ควรนึกถึงจงอินบ่อย ๆ เพียงเพราะถูกปฏิบัติเหมือนคนปกติโดยที่เจ้าตัวไม่แสดงท่าทีว่ารังเกียจเขาเหมือนกับที่เด็กผู้ชายคนอื่น ๆ ทำ
Rrrrrr!!!
เสียงสมาร์ทโฟนทำให้ต้องละสายตาจากหนังสือเล่มนี้แล้วรีบล้วงกระเป๋ากางเกงขึ้นมา ที่นี่ไม่ต่างจากห้องสมุดในโรงเรียน เขาควรจะรับสายให้เร็วที่สุดก่อนที่เสียงของมันจะรบกวนคนอื่นไปมากกว่านี้
“ครับพ่อ”
( อยู่ไหนลูก ตอนนี้พ่อกับแม่เลือกชุดเสร็จแล้วนะ )
“ผมอยู่ในร้านหนังสือชั้น G ครับ พ่อจะให้ผมไปเจอที่ไหน?”
( ชั้น G เหรอ...งั้นรออยู่ตรงนั้นแล้วกัน มันเป็นทางผ่านไปลานจอดรถพอดี เดี๋ยวพ่อไปหา )
“ได้ครับ”
เก็บมือถือใส่กระเป๋าแล้วดูนาฬิกาข้อมือ ยังพอเหลือเวลาอยู่นิดหน่อยก่อนที่พ่อกับแม่จะมาถึง เด็กหนุ่มหยิบหนังสือเล่มเดิมขึ้นมาอีกครั้ง เอาน่า...เขาก็แค่อยากรู้ว่าข้างในมันมีเนื้อหายังไง แล้วอะไรที่ทำให้คนเราบรรเลงเสียงเพลงออกมาไพเราะแบบนั้นได้ด้วยปลายนิ้วทั้งสิบ
สุ่มเปิดดูหน้าแรกแล้วแทบลมจับ ตัวโน๊ตบนรูปคีย์บอร์ดเบียร์โนนั้นคืออะไรโอเซฮุนไม่เข้าใจ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันพร้อมเครื่องหมายเควสชั่นมาร์คที่ระเบิดปัง ๆ คล้ายฟองสบู่ นี่เป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตที่รู้สึกว่าตัวเองโง่เขลาเกินกว่าที่จะเข้าใจตัวโน๊ตได้ถ้าให้เทียบกับปริศนาในเกม Horror ที่เขาชอบ
ถอยหลังออกมาก้าวหนึ่งเพื่อจะกวาดสายตามองหาหนังสือเล่มอื่นที่น่าจะช่วยคลายปริศนาความโง่ของตัวเองได้มากกว่านี้ แต่เป็นเพราะไม่ทันดูเลยทำให้เขาเผลอชนแผ่นหลังของใครคนหนึ่งจนอีกฝ่ายทำหนังสือตกลงพื้น
“อ่ะ ขอโทษครับ”
เซฮุนขอโทษขอโพยหญิงสาวซึ่งน่าจะอายุมากกว่าเขาหลายปีก่อนจะก้มลงเก็บหนังสือเล่มนั้นคืนให้ เธอยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่าไม่เป็นไร และความรู้ใหม่ที่เด็กหนุ่มได้รู้ในวันนี้คือช่องทางเดินของชั้นหนังสือมันแคบจนสามารถทำให้แผ่นหลังของคนสองคนชนกันได้ง่าย ๆ ซึ่งเขาควรจะระวังให้มากกว่านี้
ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเดินออกไปจากตรงนี้แล้ว และคิดว่าตัวเขาก็ควรจะไปจากที่นี่สักที แต่พอเดินออกมาแค่สองก้าวก็ต้องหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปที่หนังสือเล่มนั้นอย่างเสียดายทั้ง ๆ ที่เขาไม่เข้าใจตัวโน๊ตเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ
เซฮุนกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าหนังสือเล่มเดิมพลางกัดปลายนิ้วหัวแม่มือระหว่างใช้ความคิด อันที่จริงถ้าอยากได้นักจะหยิบไปจ่ายเงินเลยมันก็ไม่ผิดเพราะราคาก็ไม่ได้แพงเลยถ้าเทียบกับหนังสือเกมห่วย ๆ บางเล่มที่วางเรียงเป็นแผงอยู่ใกล้ทางออก
แต่ที่ยังลังเลชั่งใจแบบนี้ก็เพราะเซฮุนไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้ว่า การที่เขาสนใจหนังสือสอนเปียโนเบื้องต้นเป็นเพราะชอบในเสียงดนตรีจริง ๆ หรือเพราะสนใจคิมจงอินกันแน่ ซึ่งเขายังไม่อยากยอมรับว่ากำลังรู้สึกในแบบหลัง เซฮุนกำลังจะมีเพื่อน และเขาไม่อยากให้มันจบลงเพราะความรู้สึกแปลก ๆ
“...!!!”
เด็กหนุ่มผงะถอยหลังทันทีที่หันไปเห็นใครอีกคนยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือฝั่งด้านขวามือ ซึ่งเด็กหนุ่มมั่นใจว่าร้อยทั้งร้อยผู้ชายคนนั้นคงไม่ได้เพิ่งบังเอิญหันมาเหมือนกัน แววตาที่มองมาราวกับว่าจับจ้องพฤติกรรมเขามาได้สักพักแล้วยังไงอย่างนั้น ให้ตายเถอะ นั่นคือคิมจงอิน
“ไง?”
“...อ้อ” คนตัวขาวยกมือข้างหนึ่งขึ้นเกาท้ายทอยแก้เขินพลางกลอกตามองไปทางอื่น เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นแหละที่โอเซฮุนได้มีโอกาสตั้งสติ ก่อนจะหันมาพบกับความจริงว่าผู้ชายคนนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมหนังสือ ‘ประมวลกฎหมายอาญา’ ในมือ
ควรพูดอะไรออกไปดี แล้วควรทำหน้าแบบไหน แกล้งทำเป็นยิ้มแล้วทักทายเหมือนรู้สึกประหลาดใจสุด ๆ ที่ได้เจอกันที่นี่เลยดีไหม บ้าน่า...นั่นไม่ใช่นิสัยของโอเซฮุน
“จะหัดเล่นเปียโนเหรอ?” คำถามต่อมาเหมือนลูกศรที่ถูกปักเข้าอก เซฮุนค่อย ๆ ลดระดับสายตาตามอีกคนที่หยุดอยู่กับมือของเขา และแน่นอนว่าหนังสือ ‘หัดเล่นเปียโนเบื้องต้น’ ยังไม่ถูกวางเก็บไว้ที่เดิม
พระ – เจ้า – ช่วย
“อ๋อไม่ คือฉัน...” เซฮุนมองหนังสือในมือพลางเลียริมฝีปาก พอเงยหน้าขึ้นก็แทบจะเป็นบ้าเมื่อคนที่เคยยืนอยู่ห่างจากตรงนี้เกือบสองเมตรได้มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
“เก็บเถอะ อย่างนายน่ะอ่านไปก็เท่านั้น” ประโยคดูถูกกราย ๆ ทำเอาคนฟังเลิกคิ้วขึ้น เซฮุนอ้าปากหวอก่อนจะมองหน้าผู้ชายผิวแทนสลับกับหนังสือที่ถูกแย่งเอาไปวางไว้ที่เดิมแล้ว
“จะบอกว่าฉันโง่เหรอ” เด็กหนุ่มตัวขาวเอาหนังสือเล่มนั้นมาถือไว้อีกครั้งทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกจากคนตรงหน้า
“เปล่า” สีหน้าของจงอินก็ยังเรียบเฉย แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้เซฮุนก็ยังเดาความรู้สึกอีกฝ่ายผ่านทางสีหน้าไม่ออก “ก็บอกแล้วว่าจะสอนให้”
“...”
“เพลงที่ให้ไปน่ะจำได้หรือยัง”
เดี๋ยวนะ...ขอเวลาเรียบเรียงความคิดสักแป๊บนึง การได้เจอกันโดยบังเอิญในร้านหนังสือก็ว่าแปลกแล้ว แต่การที่ผู้ชายคนนี้มาถามถึงการบ้านที่ให้ไว้เมื่อวันก่อนนั่นสิแปลกกว่า
พูดก็พูดเถอะ เขาคิดว่าจงอินลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเราเคยใช้เวลาอยู่ด้วยกันในห้องซ้อมจนดึกดื่น หรือแม้แต่เรื่องที่บอกว่าจะช่วยสอนเล่นเปียโนถ้าเกิดว่าเขาแยกได้ว่าเพลงเหล่านั้นชื่อว่าอะไรบ้าง
ซึ่งเซฮุนจำได้หมดตั้งแต่คืนแรก...แต่เขาไม่รู้ว่าจะบอกจงอินยังไงดี
“ยังหรอก มันยากอย่างที่นายว่าจริง ๆ ด้วย”
“เหรอ” สายตาคู่นั้นกำลังมองเขามาด้วยความรู้สึกแบบไหนนะ ผิดหวังเหรอ หรือว่าแค่เฉย ๆ “โอเค”
ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะหมดคำพูด ถ้าให้คิดแบบเข้าข้างตัวเองตอนนี้จงอินคงกำลังเซ็งและเสียฟอร์มพอสมควรเลยทีเดียวที่อุตส่าห์ออกปากบอกว่าจะสอนเปียโนให้แต่กลายเป็นว่าโอเซฮุนดันซื่อบื้อเกินกว่าจะเป็นนักเรียนของจงอิน
จะทำยังไงดีล่ะ เขาไม่อยากให้จงอินรู้สึกไปในทางลบ แต่ก็ไม่กล้าบอกว่าจำได้หมดตั้งแต่คืนแรก บ้าเอ๊ย...ไม่คิดว่ามันน่าอายไปหน่อยเหรอกับเรื่องที่เขากำลังทำอยู่
“เซฮุน”
“อ่า...ครับแม่”
เด็กหนุ่มทั้งสองคนหันไปทางบุคคลมาใหม่ทั้งสอง จงอินโค้งหัวให้อย่างมีมารยาทจนพ่อกับแม่เลิกคิ้วมองทั้งรอยยิ้มอย่างไม่เข้าใจ และมันกลายเป็นหน้าที่ของคนกลางที่ต้องแนะนำอีกฝ่ายให้รู้จัก ซึ่งเขาไม่รู้ว่าควรจะแนะนำจงอินยังไงดี?
“นี่...จงอินครับ” เด็กตัวขาวเอียงตัวเข้าหาอีกคนเพียงเล็กน้อย จงอินยิ้มบาง ๆ ก่อนจะโค้งหัวให้อีกครั้ง “ส่วนนี่พ่อกับแม่ฉัน”
“สวัสดีครับ”
“จ้ะ เพื่อนที่โรงเรียนลูกเหรอ?”
“เอ่อ...” เซฮุนค่อย ๆ หันเข้าหาอีกฝ่ายอีกครั้ง ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ตอบส่ง ๆ ไปก็ได้ แต่เขาคงไม่กล้าพูดว่าเป็น ‘เพื่อน’ ที่โรงเรียน เพราะบางทีจงอินอาจจะไม่ได้คิดอย่างนั้น
“ผมเรียนอยู่ที่เดียวกับเซฮุน แต่เราอยู่คนละห้องกันน่ะครับ”
“...”
“อ๋อ เพื่อนที่โรงเรียนหรอกเหรอ ว่าแต่ดูหนังสืออะไรกันอยู่ล่ะลูก” แม่มักจะใส่ใจคนรอบข้างเสมอไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่ออกปากบอกว่าเป็นเพื่อนของลูกชายเธอเอง จงอินหลุบตาลงมองหนังสือในมือก่อนเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “หืม? หนังสือกฎหมายนี่”
“แม่ครับ...”
“จะสอบเข้านิติศาสตร์เหรอ?” พ่อเป็นคนชอบเด็กฉลาดเรื่องนี้เซฮุนก็รู้ดี เพราะฉะนั้นเขาถึงไม่สงสัยรอยยิ้มบนใบหน้าของพ่อในตอนนี้ตอนที่กำลังมองจงอิน
“ครับ แต่ผมไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า” เด็กหนุ่มผิวแทนมองหนังสือในมืออีกครั้งแล้วหันหน้าเข้าหาอีกคนที่ดูเหมือนว่าจะกระอักกระอ่วนกับสถานการณ์ในตอนนี้เหลือเกิน
“ทำได้ไม่ได้มันอยู่ที่ใจกับความพยายามนะ คนใฝ่รู้ได้ดีเสมอ ลุงเชื่ออย่างนั้น”
“ขอบคุณครับ ผมจะจำคำที่คุณลุงบอกเอาไว้” เด็กหนุ่มยังคงยิ้มและโต้ตอบอย่างมีมารยาท นี่เป็นคิมจงอินอีกมุมหนึ่งที่เซฮุนไม่เคยรู้จัก มันทำให้รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่าค้นหาอีกแล้ว
“แล้วเซฮุนล่ะ ถือหนังสืออะไรอยู่น่ะลูก”
“เอ่อ...”
“หัดเล่นเปียโนเบื้องต้น” เซฮุนหลับตาแน่นทันทีที่แม่อ่านหน้าปกหนังสือ พูดตรง ๆ เลยว่าอายตั้งแต่โดนจงอินจับได้แล้วว่าเขามาซุ่มเล็งหนังสือเล่มนี้อยู่ตั้งนานสองนาน แล้วพอพ่อกับแม่มาเห็นแบบนี้เขาก็ยิ่งอายจงอินเข้าไปใหญ่
“นี่เอาจริงเหรอ?” คำถามของพ่อคล้ายกับไม้ขีดติดไฟที่ถูกปล่อยลงกลางเชื้อเพลิง เซฮุนอยากระเบิดตัวเองยังไงอย่างนั้นตอนที่เห็นว่าจงอินกำลังขมวดคิ้วสงสัย “เห็นบอกว่าอยากได้เปียโนสักหลัง พ่อคิดว่าเราพูดเล่นซะอีก”
“พ่อครับ...”
“จริงเหรอ?” ท่ามกลางพ่อแม่และคำถามของจงอิน เซฮุนรู้สึกเหมือนตัวเขาเล็กลงไปทุกทีที่ถูกไล่ต้อนให้จนมุม โอเค มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กที่คนทั้งโลกอาจจะตอบได้ง่าย ๆ แต่มันไม่ใช่สำหรับโอเซฮุนคนนี้
“...”
“...”
สายตาที่มองมาระหว่างรอคำตอบนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือความคิดของเด็กหนุ่มตัวขาวที่คิดว่ากำลังถูกกดดัน เซฮุนเม้มริมฝีปากแน่นแล้วค่อย ๆ หันหน้าเข้าหาคนข้าง ๆ ผู้ชายคนนี้ชอบทำหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไรอยู่เสมอแต่มันไม่ใช่ตอนนี้...
เพราะจงอินกำลังยิ้มอยู่...
“...อืม”
จงอินยิ้มขำในลำคอราวกับว่าพอใจในคำตอบของเขา ซึ่งโอเซฮุนไม่แน่ใจว่าผู้ชายคนนี้รู้สึกชนะที่เห็นว่าไอ้บ้าไม่มีใครคบหันมาสนใจเปียโนแทนการเต้น หรือเป็นเพราะอะไรกันแน่
“เดี๋ยวนะ ฉันนึกออกแล้ว” แม่มองมาทางนี้ก่อนจะหันเข้าหาพ่อ “ฉันจำได้ว่าเคยเห็นเซฮุนฟังเสียงเปียโนในอินเทอร์เน็ต แต่ไม่คิดว่าลูกจะจริงจังถึงขนาดนี้”
“หืม งั้นเหรอ?”
“แม่ครับ...”
“ถ้าลูกสนใจจริง ๆ พ่อจะช่วยหาที่เรียนให้ได้นะ หรือถ้าอยากหัดเรียนด้วยตัวเองเราก็ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ จะแวะเลือกดูเปียโนก่อนกลับไปทานมื้อเย็นกันก็ได้นะ”
“ถ้าจะซื้อหนังสือด้วยก็เอาไปหลาย ๆ เล่มเลยลูก อ่านเยอะ ๆ จะได้หัดเป็นเร็ว ๆ” แม่รวบเอาหนังสือเปียโนอีกสองสามเล่มขึ้นมาแนบอกสนับสนุนเต็มที่ เขาเห็นว่าจงอินแอบหลุดขำออกมาเล็กน้อยราวกับว่ามันเป็นเรื่องตลกเสียเต็มประดา
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้...”
“ถ้าเซฮุนอยากเล่นเปียโนเป็นจริง ๆ ผมจะสอนให้เองครับ” เสียงของจงอินทำให้ครอบครัวว้าวุ่นของเขาเงียบไปได้ง่าย ๆ ทุกสายตากำลังมองไปยังผู้ชายคนนี้ที่กำลังยิ้มอยู่ และไม่มีใครรู้ว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไร
“เอ่อ...”
“เราเล่นเปียโนเป็นด้วยเหรอ?”
“นิดหน่อยครับ ผมเคยหัดเล่นตอนประถมน่ะ”
“พูดถึงเพื่อนที่ชอบเปียโน ก็ทำให้แม่นึกถึงวันนั้นอีกแล้ว” แม่ยังคงไม่หยุดสร้างความอับอายให้กับเขา โอเซฮุนรู้ว่าแม่เป็นคนความจำดีมากแค่ไหน ซึ่งถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะ...
“วันไหนเหรอคุณ?”
“ที่ฉันเล่าให้ฟังไงคะว่าลูกของเราโดนลูกหลงบนรถเมล์ แล้วก็ได้เพื่อนที่โรงเรียนช่วย เห็นว่าชอบเปียโนด้วย ฉันถึงสงสัยว่าลูกเราชอบเพราะเด็กคนนั้นหรือเปล่า”
เซฮุนรู้สึกอยากสลายเป็นผุยผงในอากาศเพราะคำบอกเล่าจากปากแม่เหลือเกิน ตอนนี้จงอินยังคงยิ้ม จากตอนแรกแค่ดูเหมือนยิ้มตามมารยาท แต่ตอนนี้มุมปากของจงอินยกขึ้นสูงเรื่อย ๆ จนเขารู้สึกอายยิ่งกว่าเดิม
“คนที่คุณป้าพูดถึงคือผมเองครับ”
“...”
เด็กตัวขาวถึงกับตาเหลือกกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา คิมจงอินกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้พูดแบบนั้นนะ? แค่นี้โอเซฮุนก็อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว ไม่ต้องเข้าผสมโรงกับพ่อแม่ก็ได้
“อ้าว เป็นเราเองหรอกเหรอ?”
“ครับ มันเป็นเรื่องไม่คาดคิดเลย ผมไม่คิดว่าเซฮุนจะชอบ” พูดกับผู้ใหญ่แต่สายตากลับมองมาทางนี้ เซฮุนหลับตาแน่นพลางถอนหายใจก่อนจะมองคนข้าง ๆ ที่ยังคงยิ้มและไม่ยอมละสายตาออกห่างไปไหน
“ตายจริง ไม่คิดเลยนะว่าจะบังเอิญได้มาเจอที่นี่ ยังไงก็ขอบใจมากนะจ๊ะที่วันนั้นช่วยลูกป้าไว้ ถ้าไม่ได้เราวันนั้นเซฮุนอาจจะแย่ก็ได้ เดี๋ยวนี้นับวันสังคมเรายิ่งดูเหมือนบ้านป่าเมืองเถื่อน มีเรื่องกันได้แม้กระทั่งบนรถเมล์”
“แม่...”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เซฮุนไม่ใช่คนที่ยอมให้ใครมาทำร้ายง่าย ๆ จริงไหม?” ประโยคสุดท้ายหันมาสบตากับอีกคน พอนึกไปถึงวันนั้นก็ยังจำสีหน้าของเซฮุนตอนพยายามสู้กับพวกแก๊งกะโหลกนั่นได้ดี หมอนี่ไม่ได้ยอมก้มหัวให้ใครแม้แต่ตอนที่ถูกไล่ต้อนซะจนมุม
“จงอินรีบหรือเปล่า ไปทานข้าวที่บ้านป้าไหม?”
เซฮุนหันขวับมองผู้ให้กำเนิดที่กำลังทำให้การมองหน้าจงอินเป็นเรื่องยากในอนาคต อันที่จริงเราควรจะแยกย้ายกันตรงนี้ เขากลับบ้านกับพ่อแม่ ส่วนจงอินก็เลือกดูหนังสือกฎหมายต่อไป หรือจะอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่กลับบ้านไปกินข้าวด้วยกันแบบนี้
“ไปด้วยกันสิ เดี๋ยวพอทานเสร็จแล้วลุงจะขับรถไปส่งที่บ้านเอง ว่าแต่เรามาคนเดียวใช่ไหม?”
“จงอินคงไม่สะดวกมั้งครับพ่อ บางทีเขาอาจจะ...”
“ผมมาคนเดียวครับ ถ้าไม่รบกวนคุณลุงกับคุณป้าจนเกินไป งั้นผมขอฝากท้องไว้สักมื้อนะครับ”
“จงอิน?”
เจ้าของชื่อเอาแต่ยิ้ม แต่คราวนี้ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้จะเริ่มสนุกกับการทำให้เขาทำตัวไม่ถูก เสียงของพ่อแม่พูดคุยกันนั้นเซฮุนไม่สามารถจับใจความได้แล้ว ตอนนี้สิ่งที่เขาได้ยินมีเพียงแค่เสียงของคนข้าง ๆ ที่พูดเบา ๆ ราวกับกระซิบว่า...
“ฉันไม่เคยสอนใครเล่นเปียโนมาก่อน พูดแล้วก็น่าตื่นเต้นดีนะ ว่าไหมคุณนักเรียน?”
50%
ตั้งแต่เกิดมาสิบแปดปีโอเซฮุนไม่เคยรู้สึกอึดอัดกับการนั่งกินข้าวที่บ้านแบบนี้มาก่อน การจับช้อนเป็นเรื่องยากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ อ้อ...ก็คงตั้งแต่ตอนที่คิมจงอินหยัดตัวนั่งลงข้าง ๆ เขาแล้วเอาแต่คุยกับผู้ใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามล่ะมั้ง
พ่อกับแม่ถูกใจการตอบคำถามที่ดูมีชั้นเชิงของผู้ชายคนนี้มาก สังเกตได้จากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหาร คิมจงอินเป็นคนฉลาดจริง ๆ เรื่องนี้เขาเข้าใจ โอเซฮุนรู้สึกได้ว่าทุกคำพูดของคน ๆ นี้ต้องผ่านการคิดก่อนถึงจะส่งไปยังคู่สนทนา ถึงระยะเวลาไตร่ตรองในบางครั้งมันจะสั้นเพียงแค่เสี้ยววินาที แต่จงอินก็ทำมันได้ดีเสมอ
“เซฮุนไม่เคยพาเพื่อนมาที่บ้านเลยนะ เราเป็นคนแรก” อีกครั้งและอีกครั้งกับการขายลูกชายต่อหน้าคนอื่น เด็กหนุ่มตัวขาวเพียงแค่ก้มหน้าทำเหมือนว่าตั้งใจกินซุปเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการสบตากับใครระหว่างที่ตกเป็นประเด็น
“แล้วมันดีหรือไม่ดีครับ?”
“ดีสิ ป้าอยากให้เรามาบ่อย ๆ นะ เซฮุนจะได้ละสายตาออกจากคอมพิวเตอร์บ้าง เด็กคนนี้ถ้าไม่เล่นเกมก็เอาแต่ซ้อมเต้นคนเดียว”
“ถ้าผมอยู่กับเซฮุน เราอาจจะเอาแต่เล่นเกมทั้งวันก็ได้นะครับ” จงอินพูดติดตลกและแน่นอนว่าประโยคเมื่อครู่นั้นเรียกเสียงหัวเราะจากพ่อกับแม่ของเขาได้อีกครั้ง
“เด็กผู้ชายก็อย่างนี้ แต่ป้าเข้าใจวัยรุ่นนะ” เธอเลิกคิ้วขึ้นแล้วยิ้ม
“เล่นไปเถอะ วัยของเราสมควรที่จะได้เล่นมากกว่าการทุ่มเทให้การเรียนอย่างเดียว” พ่อยิ้มแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม “เล่นและเรียนรู้การใช้ชีวิตไปพร้อม ๆ กัน แต่เราต้องจัดการตัวเองให้ได้ แล้วเราจะไม่มานึกเสียดายชีวิตวัยเด็กเอาทีหลัง”
“ผมเข้าใจแล้วครับ” จงอินไม่เคยชักสีหน้าหรือลังเลที่จะขานตอบเวลาถูกพ่อแม่ของเขาสั่งสอน ผู้ชายคนนี้เอาแต่ยิ้มอย่างเด็กว่านอนสอนง่าย เซฮุนรู้สึกได้ว่าพ่อกับแม่เริ่มจะเอ็นดูจงอินเข้าไปทุกที
“ทำไมวันนี้เซฮุนเงียบ ๆ ไม่สบายเหรอ?”
“เปล่าครับ” เด็กตัวขาวเงยหน้าขึ้นมาขานตอบแล้วก้มหน้ากินต่อ เมื่อกี้นี้เขาเห็นว่าจงอินหันมาทางเขาด้วย
“เซฮุนคงหิวมั้งครับ”
“เป็นพวกชอบเดาใจคนอื่นหรือไง” อยากตบปากตัวเองสักร้อยครั้งหลังจากหลุดพูดบ้า ๆ ออกไป เซฮุนคิดว่าตอนนี้จงอินคงกำลังอึ้งกับคำถามเมื่อครู่ที่เจ้าตัวก็คงไม่คิดว่าเขาจะพูดออกมาอย่างนั้น
“ไม่ใช่กับทุกคนหรอก”
“...”
น็อกเอาท์...โอเซฮุนแพ้
“ทำไมพูดแบบนั้นกับเพื่อนล่ะลูก”
“ครับ?” เด็กหนุ่มตัวขาวเลิกคิ้วขึ้นเมื่อคนเป็นแม่กำลังมองดุเขาอยู่ นี่โอเซฮุนกำลังอยู่ในสถานการณ์อะไร? ทำไมดูเหมือนว่าคนที่ถูกเข้าข้างจะกลายเป็นคนแปลกหน้าที่พ่อกับแม่เพิ่งรู้จักในวันนี้ แถมเขาทั้งคู่ก็ไม่มีใครออกปากพูดสักคำว่าเราเป็น ‘เพื่อน’ กัน
“ไม่ว่ากันนะถ้าลุงจะถามว่าเราคิดค่าสอนเปียโนเซฮุนเท่าไหร่?” วกกลับมาเรื่องนี้อีกแล้ว โอเซฮุนเพิ่งรู้วันนี้ว่าการมีพ่อแม่ใส่ใจในทุก ๆ อย่างมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่
“ขอบคุณคุณลุงมากนะครับ แต่ว่าผมคงรับไว้ไม่ได้” ดี ปฏิเสธไปเลยเขาจะได้ไม่ต้องเครียดเรื่องนี้อีก พอหลังจากนั้นก็ค่อยยกเลิกเรื่องสอนเปียโนไปซะ เขาไม่อยากเรียนแล้ว
“ทำไมล่ะ?”
“ถ้าเซฮุนเป็นคนอื่น ผมถึงจะคิดเรื่องนั้นครับ”
ให้ตายสิ...ถนัดนักล่ะเรื่องใช้คำพูดกำกวมเนี่ย โอเซฮุนรู้ซึ้งมาตั้งแต่ทุ่งดอกไม้ของ Yiruma ในวันนั้นแล้ว
“ฉันชอบเด็กคนนี้” แม่หันไปหัวเราะพอใจ เซฮุนคิดว่าถ้าเขาเป็นเด็กผู้หญิงพ่อกับแม่คงพร้อมกันประเคนลูกใส่พานให้จงอินเป็นแน่
“ลูกก็สอนเพื่อนเต้นบ้างสิ ผลัดกันสอนแบบนี้พ่อว่าดีนะ ห้องซ้อมบ้านเราก็มี”
“ผมว่าเขาคงชอบนั่งอยู่เฉย ๆ มากกว่าจะให้ลุกไปเต้นในห้องอับ ๆ”
“ครับ เซฮุนรู้ใจผมเสมอ”
“...”
ได้แต่หันไปมองตาขวางใส่แค่นั้นแหละที่โอเซฮุนทำได้ ทำไมคิมจงอินถึงเป็นคนน่าหงุดหงิดขนาดนี้นะ แค่นั่งกินข้าวเฉย ๆ แล้วก็กลับบ้านไม่ได้หรือไง ทำไมต้องพูดแปลก ๆ แบบที่เขาสองคนไม่เคยพูดกันแบบนั้นด้วย
“ได้เพื่อนร่วมทีมไปอีกคนยงฮวากับชานซองจะได้ไม่เหงาไง”
“...”
“ยงฮวา?” จงอินขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันไปอีกคนที่นั่งนิ่งไปโดยที่ไม่พูดอะไร เซฮุนเพียงแค่ถือช้อนเอาไว้ราวกับคนโดนสาปให้กลายเป็นหิน “ชานซอง?”
“เพื่อนเซฮุนที่ซ้อมเต้นด้วยกันทุกวันน่ะ จงอินรู้จักหรือเปล่า?”
“ชมรมเต้นสาว ๆ คงกรี๊ดเยอะอยู่แล้ว ฉันว่าเด็กสองคนนั้นก็น่าจะเป็นที่รู้จักเหมือนกันแหละค่ะ”
เสียงของพ่อกับแม่ก้องอยู่ในหู ถ้ามองจากหางตาตอนนี้ก็พอจะรู้ว่าจงอินคงยังไม่ละสายตาไปไหนหลังจากได้ยินพ่อกับแม่พูด เพราะสิ่งแรกที่ผู้ชายคนนี้รู้คือ...โอเซฮุนซ้อมเต้นอยู่ตามลำพังทุกวัน
“ครับ สองคนนั้นดังอย่างที่คุณป้าบอกนั่นแหละ”
“...”
“เห็นไหมล่ะคุณ ฉันบอกแล้ว”
“เด็กสมัยนี้เข้าถึงกันง่ายดีนะ ขนาดอยู่คนละห้องยังรู้จักกันเลย”
“ลูกเราทั้งหล่อทั้งเก่ง ฉันไม่แปลกใจที่เขาจะเป็นที่รู้จักนะคะ”
“ไว้วันหลังชวนชานซองกับยงฮวามาด้วยสิ พ่ออยากเจอพวกเขา” ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อพูดแบบนี้ และเซฮุนก็บ่ายเบี่ยงมาได้ตลอด
ครืด...
ทั้งสามคนเงยหน้ามองเด็กหนุ่มตัวขาวที่จู่ ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง เซฮุนไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตากับใคร เขาเพียงแค่ก้มหน้ามองข้าวในถ้วยสแตนเลสที่พร่องไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น
“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก?”
“ผมดื่มชานมตอนเดินรอพ่อกับแม่ไปแล้วก็เลยไม่ค่อยหิวน่ะ...” เซฮุนเลียริมฝีปากพลางกลอกตามองคนข้าง ๆ สลับกับพ่อและแม่ “แบตจะหมดแล้ว ผมเอามือถือไปชาร์จก่อนนะครับ”
“อ้าว แล้วเพื่อน...”
“เดี๋ยวผมตามไปดูเองครับ” ยังถามไม่ทันจบประโยคเด็กหนุ่มผิวแทนก็ลุกขึ้นพลางมองตามแผ่นหลังใครอีกคนที่กำลังเดินไปจากตรงนี้ จงอินโค้งหัวเป็นเชิงขออนุญาตก่อนจะตามเซฮุนไป
.
.
กึ่ก!!!
เซฮุนหยุดชะงักเมื่อใครอีกคนดันประตูเอาไว้ก่อนที่เขาจะปิดมันลงแล้วล็อกกลอนอย่างที่เคยตั้งใจ เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมองคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก ใช่...เขากำลังรู้สึกแย่เพราะสิ่งที่คิมจงอินแสดงออกมาต่อหน้าพ่อแม่ของเขาทั้งหมด ถึงมันจะไม่ใช่ความผิดของจงอินเลยสักนิดก็ตาม
“เป็นคนแบบนี้เหรอ?”
“...”
“ถึงจะเป็นพ่อกับแม่ของนายเองก็เถอะ แต่ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเสียมารยาทเกินไปหรือไง”
“พูดจบแล้วใช่ไหม”
เซฮุนไม่ได้โต้ตอบว่าเพราะอะไรถึงแสดงพฤติกรรมหยาบคายแบบนั้น และเขาก็ไม่ต้องการให้จงอินพ่นประโยคแทงใจหรือส่งสายตาน่ากลัวอย่างที่เป็นอยู่มากไปกว่านี้อีก เด็กหนุ่มดันประตูให้ปิดลงแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะอีกคนต้านเอาไว้ สีหน้าจงอินตอนนี้คงไม่ต่างจากเขาสักเท่าไหร่ เซฮุนรู้ดีว่าทั้งเขาและอีกฝ่ายต่างก็อารมณ์ขุ่นมัวพอ ๆ กัน
ถอยออกมาสองก้าวเพราะต้านทานแรงอีกคนไม่ไหว เซฮุนเพียงแค่ยืนมองคนตรงหน้าแทรกตัวเข้ามาแล้วปิดประตูล็อกกลอนราวกลับกลัวว่าพ่อกับแม่จะมาได้ยินเข้า
“นายไม่จำเป็นต้องสนุกกับการแกล้งฉันต่อหน้าพ่อแม่ขนาดนั้น”
“ถ้าไม่โอเคก็สะกิดบอกกันดี ๆ ก็ได้นี่ ฉันก็นั่งอยู่ข้าง ๆ นาย” จงอินตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายที่เอาแต่มองด้วยสายตาคาดโทษ ความจริงแล้วคิมจงอินก็แค่คิดว่าเวลาโอเซฮุนมีปฏิกิริยาต่อคำพูดเขาจนต้องทำตัวเงอะ ๆ งะ ๆ แล้วมันน่ารักดี แต่ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะเฟลได้ถึงขนาดนี้
“นายกำลังบีบให้ฉันบอกพ่อกับแม่ว่าฉันโกหก”
“ไม่ใช่เพราะนายโกหก ถึงได้รู้สึกว่าจะถูกแฉความจริงอยู่ตลอดเวลาหรอกเหรอ”
“...”
“ชานซองกับยงฮวานั่นน่ะ...ไม่มีตัวตนใช่ไหม?”
“...”
เซฮุนไม่ได้ตอบคำถาม ที่เขากล้าพูดออกไปแบบนั้นเพราะความบ้าบอของคนอย่างคิมจงอินเองที่แอบไปดูเอกสารรายชื่อสมาชิกชมรมคัฟเวอร์แดนซ์เพราะอยากรู้ว่ามีสมาชิกกี่คน และมีใครบ้าง และก็ได้คำตอบว่าส่วนมากเป็นพวกเด็กปีหนึ่งกับปีสองที่ชื่นชอบผลงานของเซฮุนซะส่วนใหญ่ นี่ยังไม่รวมรายชื่อเพื่อนร่วมห้องนะ เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะอยากรู้ไปทำไมว่าเซฮุนพอจะสนิทกับใครและคุยกับใครบ้างในแต่ละวัน เพราะสุดท้ายมันก็จบที่ว่าหมอนี่ชอบอยู่คนเดียว
ผ่านทางแววตาคู่นั้นที่มองมาราวกับว่าเขาได้จี้ใจดำโดยการเอามีดแหลมคมปักลงกลางอกคนตรงหน้า ริมฝีปากนั้นเม้มเข้าหากันก่อนจะเปลี่ยนเป็นขบเบา ๆ ราวกับว่าเจ้าตัวกำลังพยายามสกัดกั้นความรู้สึกเอาไว้
“เฮ้” จงอินเอื้อมมือมาข้างหน้าแต่ก็ต้องชะงักไว้แค่นั้นเมื่ออีกฝ่ายถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง
“นายพูดถูก สองคนนั้นไม่มีตัวตนหรอก” เซฮุนยืนพิงตู้ไม้ซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือการ์ตูนมากมายหลายเรื่องที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ เขาไม่รู้ว่าจงอินรู้จักคนเยอะหรือแค่เดาส่ง ๆ ถึงได้รู้ว่าเขาโกหก “ชื่อยงฮวาแปลงมาจากซอนฮวา ส่วนชานซองก็มาจากฮโยซอง”
“...”
“มีแค่ผู้หญิงกลุ่มนั้นที่ยอมคุยด้วยในฐานะเพื่อน ถ้าไม่รวมผู้หญิงที่ชอบฉัน” เซฮุนเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่ยืนอยู่ห่างจากตรงนี้ไม่มากนัก จงอินนิ่งไปครู่หนึ่งโดยที่ไม่พูดอะไรอีกหลังจากได้รับรู้ความจริงจากปากเขา อาจจะสักครึ่งนาทีล่ะมั้งที่เราสบตากันก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะเบือนหน้าหลบไปอีกทางแล้วถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
จงอินอาจจะเอือมระอาคนอย่างเขาที่สร้างเด็กผู้ชายสองคนขึ้นมาในชีวิตเพื่อที่จะโกหกให้พ่อกับแม่สบายใจ แต่ก็ดีเหมือนกัน โอเซฮุนก็อึดอัดที่จะต้องปิดบังเรื่องบ้า ๆ นี่เต็มที ถ้าจงอินรู้แล้วจะเลิกคุยกับเขาไปอีกคนมันก็คงไม่แย่สักเท่าไหร่หรอกมั้ง ใช่ว่ามันจะเป็นครั้งแรกเสียเมื่อไหร่
“ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงสองคนนั้นอีก”
“...”
“ตอนนี้นายมีฉัน คนที่มีตัวตน”
เซฮุนเบิกตามองอีกคนที่จับมือเขาขึ้นมาก่อนที่มือหนานั้นจะแบออกทาบกับมือของเขา เซฮุนรู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวกเมื่อได้สบตากับคนตรงหน้าในสถานการณ์แบบนี้ เขาเพียงแค่เลียริมฝีปากคลายอาการประหม่า เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นแรงจนน่าเกลียดแล้ว
“และสัมผัสได้”
เซฮุนรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ชื้นอยู่ตามฝ่ามือ และดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขากำลังจะเป็นบ้าถึงได้ส่งมืออีกข้างลงมาวางลงบนศีรษะของเขา
สถานะของทั้งคู่มันว่างเปล่าตั้งแต่ทีแรก เราคือเพื่อนกันหรือเปล่าเซฮุนยังตอบไม่ได้เลย และเขาก็คงไม่กล้าเสี่ยงถามอะไรแบบนั้น
เรื่องของเรามันเกิดขึ้นเพราะความบังเอิญตั้งแต่วันแรก วินาทีที่หันไปสบตากับผู้ชายคนนี้ที่นั่งอยู่ในโรงอาหาร วินาทีที่เซฮุนคิดว่าจวนตัวแล้วกับการถูกรุมทำร้ายแต่จงอินก็เข้ามาช่วย
ความบังเอิญ...ที่ล็อกเส้นทางให้เรามาเจอกัน
จงอินกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้แสดงออกแบบนี้ เขาหมายถึงมือที่กำลังลูบหัวเขาราวกับว่าอยากปลอบใจ เซฮุนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กน้อยตัวสูงไม่ถึงหัวเข่าที่พร้อมจะร้องไห้ออกมาทุกเมื่อเวลาเสียใจ เด็กเก็บความรู้สึกไม่ได้นั่นคือสิ่งที่เขารู้
เซฮุนขอมองข้ามความสงสัยในสิ่งที่จงอินกำลังทำและซึมซับสัมผัสนี้ ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าความรู้สึกที่มีต่อคนตรงหน้ามันพิเศษ แต่พอพยายามคิดแบบคนทั่วไปก็ได้คำตอบว่าอาจเป็นเพราะว่าจงอินเพิ่งเข้ามาในชีวิตของเขาขณะที่คนอื่นเลือกจะหันหลังให้
แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย เซฮุนพยายามหาคำตอบมาหักลบความรู้สึกตัวเองแล้ว แต่สุดท้ายมันก็จบที่ว่า...เขา...ชอบจงอิน
“นายไม่เกลียดที่ฉันเป็นคนโกหกเหรอ มันแย่กว่าการเป็นไอ้ขี้เก๊กชอบเต้นบ้าเกมอีกนะ”
“ตอนนี้ยังหรอก”
“หมายความว่าอนาคตก็ไม่แน่ใช่ไหม” จงอินเพียงแค่ขานตอบในลำคอก่อนจะละมือออกเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน
“ไม่มีใครรู้อนาคต ฉันคงไม่รับปากกับคนที่ยังไม่รู้จักกันดี”
ประโยคนี้ไม่ได้ร้ายกาจสำหรับเซฮุนเกินไป กลับกันแล้วมันทำให้เขารู้สึกได้ว่ามันก็ดีจงอินเลือกพูดตรง ๆ มากกว่าการโกหกเพื่อให้ผู้ฟังสบายใจ ซึ่งมันเป็นวิธีที่ไม่เข้าท่าและเขารู้ดีว่ามันแย่แค่ไหน
“ที่ฉันทำแบบนั้นก็เพราะอยากให้พ่อกับแม่สบายใจ ฉันไม่กล้าบอกว่าไม่มีเพื่อนคบ”
“ฉันเข้าใจ” จงอินไม่ได้ยิ้ม แต่สีหน้าก็ไม่ได้ดุเหมือนตอนเพิ่งเข้ามาในห้อง แววตาที่มองมาเหมือนกับว่าเจ้าตัวกำลังคิดอย่างนั้นจริง ๆ และมันทำให้เซฮุนรู้สึกดีขึ้นมาตามลำดับ
“แล้วที่บอกว่าตอนนี้ฉันมีนายน่ะ” เซฮุนลังเลที่จะถาม แต่ถ้าไม่พูดตอนนี้ก็อาจจะไม่มีโอกาสดี ๆ อีก “หมายความว่าตอนนี้ฉัน...”
“...”
“ฉันเป็นเพื่อนนายได้แล้วใช่ไหม?”
มันเป็นคำถามง่าย ๆ ที่พูดออกมายากเหลือเกินถ้าเทียบกับการพูดไร้สาระในคลิปเล่นเกมแต่ละพาร์ท เซฮุนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นระเบิดเวลาเพราะสายตาคู่นั้นที่กำลังมองมา
ในทีแรกเซฮุนไม่กล้าคิดถึงขั้นเป็นเพื่อนกัน แต่ถ้าให้เลือกระหว่างยอมเสี่ยงเสียหน้าดูสักครั้งเพื่อรั้งคนตรงหน้าให้อยู่กับเขาได้นานกว่านี้ เซฮุนก็จะทำ
“ทำไมต้องพูดเหมือนว่าเรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับฉันล่ะ” เซฮุนนิ่งไป แน่นอนว่าเขาตอบคำถามนี้ไม่ถูก “นายต้องบอกว่าตอนนี้ ‘เรา’ เป็นเพื่อนกันแล้วมากกว่าที่จะมาย้อนถามเพื่อขอคำตอบจากฉันนะ”
จงอินขยับมาพิงตู้หนังสือข้าง ๆ คนคิดมากและปล่อยให้ความเงียบทำงานอยู่ชั่วอึดใจ
“ก็ฉันไม่รู้ว่านายคิดเหมือนกันหรือเปล่า จะให้พูดเองเออเองมันก็น่าเกลียดเกินไป” เซฮุนกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก
“งั้นต่อไปนี้ก็มาทำความรู้จักกันให้มากขึ้นสิ”
“...”
เซฮุนหันไปทางอีกคนที่กำลังมองมาด้วยสายตาไม่ต่างจากในทีแรก เขาไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ และเพราะอะไรถึงได้พูดออกมาอย่างนั้น
“ยอมรับก็ได้ว่าตอนแรกฉันหมั่นหน้านาย แต่พอมาถึงตอนนี้แล้วก็เลยลองคิดใหม่” จงอินดูไม่ยี่หระกับสิ่งที่พูดออกมาเลยสักนิด จากท่าทางที่เห็นนั้นต่างจากเขาอย่างสิ้นเชิง “กับสิ่งที่ฉันเห็นด้วยตาและรู้สึกได้ มันทำให้ฉันอยากรู้จักนายให้มากกว่านี้”
ใจเต้นทำไม?
นั่นคือสิ่งที่เซฮุนถามตัวเอง...
“ฉันก็อยากรู้จักนายให้มากกว่านี้เหมือนกัน” เด็กหนุ่มตัวขาวพูดออกไปทั้งที่ไม่มั่นใจ แต่เขาก็อยากบอกความรู้สึกนี้ให้อีกคนรู้ “ฉันอยากเล่นเปียโนได้ อยากเข้าใจความรู้สึกของนายว่าทำไมถึงชอบเสียงเปียโนขนาดนี้”
“ถ้าบอกว่าจำเพลงที่ให้ไปได้หมดแล้ว แค่นั้นฉันก็พร้อมจะสอนให้”
“ฉัน...”
“แต่นายดันเป็นเด็กเลี้ยงแกะ โกหกว่าเพลงมันยากเลยจำไม่ได้ ฉันก็เลยต้องทำเป็นเฉยไป”
จงอินกำลังดุ แต่สายตาที่มองมากับมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยกลับทำให้เซฮุนเขินมากกว่าจะรู้สึกผิด เป็นอีกครั้งที่ผู้ชายคนนี้อ่านใจเขาได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าโอเซฮุนดูออกง่ายหรือเป็นเพราะจงอินฉลาดกันแน่?
“แบบนั้นนายคงคิดว่าฉันใส่ใจน่ะสิ ไม่...ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น จะพูดยังไงดีเนี่ย...คือฉันจะบอกว่ามันคงไม่ดีถ้านายคิดว่าฉันอยากเป็นเพื่อนนายมาก” เซฮุนพูดวกไปวนมาเสียยกใหญ่ เขาไม่รู้ว่าจะต้องอธิบายยังไงจงอินถึงจะเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงได้ผ่านคำพูดที่เรียบเรียงออกมาไม่เป็นประโยค
“เอามือถือมา”
“...หา?” เซฮุนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อจู่ ๆ จงอินก็เปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉยแถมแบมือมาออกมาอีก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเอามือถือขึ้นมากดปลดล็อกหน้าจอให้เสร็จสรรพ
ผู้ชายเข้าใจยากง่วนอยู่กับมือถือของเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เสียงเปียโนจะดังขึ้น แน่นอนว่ามันไม่ได้มาจากเครื่องเสียงที่ถูกปิดไว้หรือโน๊ตบุ๊คที่ปิดจออย่างสนิทอยู่บนโต๊ะ เซฮุนมองอีกคนที่เอามือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงตัวเองทั้งที่มันยังไม่หยุดสั่น ก่อนจะหันหน้าจอให้ดู
“ฉันมีเบอร์นาย นายมีเบอร์ฉัน ถ้าสะดวกจะเรียนเปียโนตอนไหนก็โทรมาแล้วกัน”
จงอินพูดแค่นั้นแล้วยัดสมาร์ทโฟนคืนใส่มือเขาก่อนจะเดินไปจากตรงนี้ เดี๋ยวสิ...ทำไมทุกอย่างมันมาไวไปไวอย่างนี้ล่ะ เซฮุนเพียงแค่อ้าปากค้างเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ทำได้แค่ยกมือขึ้นหวังจะรั้งอีกคนเอาไว้
เสียงประตูปิดลงราวกับมีใครสักคนดีดนิ้วให้หลุดออกจากความคิด เซฮุนยืนนิ่งให้สมองเรียบเรียงเหตุการณ์เป็นครั้งที่สองก่อนจะหลุบสายตาลงมองสมาร์ทโฟนแล้วเอามืออีกข้างอังหน้าผากตัวเอง
ร้อน...ทำไมถึงร้อนแบบนี้
เซฮุนผ่อนลมหายใจออกทางริมฝีปากพลางหลับตาลง ประโยคที่ทำให้ใจเต้นเมื่อครู่นี้ยังคงดังก้องอยู่ในหูราวกับเปิดเทปม้วนเดิมวนไปวนมา เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแล้วให้เวลากับตัวเองได้ตัดสินใจว่าจะเมมเบอร์โทรของอีกคนว่ายังไงดี ซึ่งมันก็คงไม่ยากถ้าหากจะใช้ว่า ‘คิมจงอิน’
อยากให้พิเศษงั้นเหรอ ใช่...เซฮุนอยากให้เบอร์โทรนี้พิเศษมากกว่าการใช้ชื่อจริง เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บก็ตอนที่รู้ตัวว่าเผลอเม้มปากแน่นเกินไป ขายาวก้าวเดินวนไปวนมาอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเมมเบอร์ลงไปว่า
‘ซอนแซงนิม’ (อาจารย์)
.
.
“วันนี้ทำดี แต่ถ้าพรุ่งนี้ทำเวลาได้ดีกว่าวันนี้จะดีกว่า รู้ใช่ไหม?”
“ค่ะโค้ช” เด็กหนุ่มตัวสูงจีบกางเกงวอร์มทั้งสองข้างแล้วย่อขาลงท่าถอนสายบัว
“เดี๋ยวเถอะไอ้เด็กคนนี้” ชายวัยกลางคนง้างมือขึ้นทำท่าจะโบกกบาลเด็กหนุ่มชาวจีนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์หมายเลขหนึ่งของเขา ไอ้เด็กเวรก็เป็นเสียอย่างนี้ ชอบกวนประสาทให้มือต้องกระตุกอยู่เรื่อย
“โค้ชไว้ใจผมเถอะน่า มีอะไรที่โค้ชอยากได้แล้วหวงจื่อเทาไม่เคยทำให้บ้าง” เด็กอวดเก่งยักคิ้วกระชับเป้เสื้อผ้าไว้กับแขนขวางพลางเดินถอยหลัง
“ให้มันจริง อ้อ...แล้วก็อย่าไปเถลไถลแถวไหนล่ะ ฉันรู้นะว่าเดี๋ยวนี้แกชอบเที่ยวกลางคืน” โค้ชว่ายน้ำขยับปากบ่นอุบอิบหลังจากนึกย้อนไปถึงพฤติกรรมของเด็กในความดูแลของเขา
“ผมจะรับปากถ้ามันทำให้โค้ชสบายใจ”
“แต่แกจะไม่ทำตามสินะ...”
“รักนะโค้ช แต่ผมต้องรีบไปละ” จื่อเทายิ้มพร้อมโบกมือลาชายวัยกลางคนที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ
เด็กหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเป้ช่องหน้าแล้วแกะซองหมากฝรั่งออกมาเคี้ยว สายตาคมมองไปยังความมืดเบื้องหน้าอย่างจริงจัง เรื่องราวที่เพิ่งได้รับรู้เมื่อสิบห้านาทีที่แล้วมันทำให้มือที่คอยสาวน้ำในสระสั่นจนอยากเอากลิ่นคาวเลือดมาล้างเหลือเกิน
‘ไอ้ห่าเทาแม่งขี้เต๊ะไปงั้นแหละ กูว่าถ้าไม่มีพวกมันก็คงไม่กล้าขนาดนั้น’
‘เออดิ ที่เป็นนักว่ายน้ำก็เพราะอยากให้สาวกรี๊ด กูล่ะเกลียดพวกวัลลาบี’
‘รางวัลที่ได้มากูว่ามันไม่ได้เก่งห่าไรหรอก โรงเรียนอื่นกากเอง’
‘แข่งสองคนป่ะเหอะถึงได้ที่หนึ่ง’
‘5555555555555555555’
หวงจื่อเทาจะไม่เดือดขนาดนี้ถ้าหลักฐานไม่มาทั้งคลิปและเสียง นี่ไอ้พวกหอกหักห้องดีมันอยากรู้นักใช่ไหมว่ารสชาติตีนอิมพอร์ตจากชิงเต่ารสชาติเป็นยังไง ถ้าไม่ได้ผู้หวังดีเอาคลิปมาให้ดูป่านนี้หวงจื่อเทาก็คงไปหาพี่มินซอกอย่างสบายใจแล้ว
ขายาวก้าวไปข้างหน้าในจังหวะเร็วกว่าปกติ ตอนนี้บนอาคารเรียนยังคงมีไฟเปิดอยู่ เชื่อว่าใครหลายคนยังคงใช้เวลาไปกับการเรียนเสริม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเพื่อนสนิทของเขาที่อยู่ ๆ ก็นึกฮึดอยากตั้งใจเรียนขึ้นมาเพราะอยากเข้านิติฯ
หยุดยืนอยู่ในเงามืดเมื่อเห็นเด็กผู้ชายสามคนกำลังเดินไปทางประตูหน้าโรงเรียน ต่อให้ตาบอดข้างนึงหวงจื่อเทาก็จำได้ว่าพวกมันคือสามในสี่ที่ปากพล่อยนินทาว่าร้ายเขาในคลิปเวรนั่น
จื่อเทามองตามไปโดยไม่ให้คลาดสายตาพลางเคี้ยวหมากฝรั่ง สองขาก้าวตามไปอย่างใจเย็นโดยไม่ให้พวกมันรู้ตัว มือแกร่งล้วงเข้าไปในกระเป๋าเอาผ้าสีขาวที่ไม่ได้ใช้มานานออกมาพันรอบมือขวาก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกหาจงอิน
( ไง )
“กูจะกระทืบหมา และอยากให้มึงมาถึงหน้าโรงเรียนภายในสามนาที”
.
.
ในหนึ่งอาทิตย์เซฮุนต้องกลับบ้านเร็วหนึ่งวันเพื่อที่จะกลับไปเล่นเกมแล้วอัพคลิปลงยูทูปเหมือนอย่างที่ทำเป็นประจำ วันนี้เขาใช้เวลาซ้อมเต้นไปแค่สองชั่วโมงเท่านั้นและมันก็เพียงพอสำหรับเพลงใหม่ที่ซ้อมมาเป็นอาทิตย์
เซฮุนหยุดยืนอยู่ข้างถนนพลางชะเง้อหน้ามองหาแท็กซี่ ระหว่างรอก็เลื่อนหาเพลงฟังทำลายความเงียบ เขารู้สึกเหมือนคนบ้าเข้าไปทุกทีที่เอาแต่ยิ้มเพียงแค่เห็นลิสต์เพลงของ Yiruma ที่ใครอีกคนแนะนำมา
หันกลับไปมองอาคารสูงสี่ชั้นในโรงเรียน ตอนนี้จงอินคงยังเรียนเสริมอยู่สินะ เด็กหนุ่มก้มลงมองสมาร์ทโฟนในมือ เส้นแถบสีขาวบ่งบอกว่าเสียงเปียโนได้บรรเลงมาถึงครึ่งเพลงแล้วโดยที่ไม่รู้ตัว
อยากโทรหา อยากได้ยินเสียง แต่ตอนนี้คงไม่เหมาะสักเท่าไหร่
แท็กซี่มาแล้ว เซฮุนเปิดประตูเตรียมเข้าไปในรถแต่ก็ต้องเซถอยหลังจนล้มลงไปกับฟุตปาธเมื่อถูกกระชากออกมา
“ไปเลยครับพี่ ไอ้นี่มันไม่ไปแล้ว”
เด็กหนุ่มนิ่วหน้ามองฝ่ามือตัวเองที่ถลอกจนเลือดซึมเล็กน้อย สมาร์ทโฟนที่เคยเสียบอยู่กับหูฟังกระเด็นออกไปห่างจากตรงนี้ราว ๆ สองช่วงแขน ใบหน้าเรียวเงยขึ้นก่อนจะพบว่าตอนนี้เขาถูกล้อมเอาไว้แล้วโดยไอ้พวกสวะเจ้าเก่าที่เคยหาเรื่องเมื่อคราวนั้น
“เดินผ่านซ้อมเต้นแล้วไม่เจอ จะรีบกลับไปเล่นเกมเหรอครับพี่เซฮุน?” ประโยคเหน็บแนมนั้นไม่ทำให้เจ้าของชื่อเจ็บใจเท่ารองเท้าที่เหยียบสมาร์ทโฟนของเขาเอาไว้
เซฮุนขมวดคิ้วแล้วลุกขึ้นยืนตามแรงกระชากคอเสื้อ เขาพอจะรู้ว่าการที่จงอินเข้ามาช่วยเคลียร์ให้ในวันนั้นมันไม่ใช่จุดจบจนกว่าพวกมันจะได้กระทืบเขาจนสาแก่ใจ
“ล่าสุดก็เพิ่งมีสปอนเซอร์ใจดีส่งเกมใหม่ให้ใช่ไหมถึงได้รีบกลับไปเล่นแบบนี้”
“ไม่เกี่ยวกับพวกมึง” ถ้าจะต้องถูกพวกมันรุม เซฮุนก็จะขอสู้อย่างถึงที่สุด แน่นอนว่าประโยคเมื่อครู่จุดโทสะของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี เด็กหนุ่มล้มลงฟุบกับพื้นฟุตปาธทันทีที่ถูกชกหน้า
เซฮุนกัดฟันกรอด เขาเริ่มจะทนไม่ไหวแล้วที่ต้องถูกพวกหมาหมู่หาเรื่องทุกครั้งที่พวกมันนึกขึ้นได้ว่าอยากลงไม้ลงมือกับใครสักคน รู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวของเลือดที่คลุ้งอยู่ในโพรงปาก ร่างของเขาถูกดึงให้ลุกขึ้นอีกครั้งและเซฮุนพอจะเดาออกว่าหมัดที่สองมันจะหนักหน่วงกว่าครั้งแรกแค่ไหน
ผลั่วะ!!!!
“อั่ก!!!”
เด็กหนุ่มยืนหอบหายใจพลางมองคนตรงหน้าที่เสียหลักถอยหลังไปสองก้าวหลังจากถูกเขาสวนหมัดกลับไปเต็มแรง รู้สึกชาไปทั้งมือ เซฮุนไม่ใช่นักสู้ที่จะไม่รู้สึกอะไรเลยเวลาชกหน้าที่มีกระโหลกรองรับของใครสักคน
ไม่ถึงสามวินาทีเลยด้วยซ้ำที่มีโอกาสได้ดีใจกับผลงานเมื่อครู่ ขาทั้งสองข้างก็ต้องถอยหลังไปเรื่อย ๆ เมื่ออีกสองคนทำท่าจะเข้ามารุมเขา แต่เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้นที่เซฮุนยกมือขึ้นบังกำปั้นของคนตรงหน้าที่ง้างขึ้น และทุกอย่างก็นิ่งไป
“อั่ก!!!”
“โอ๊ย!!!”
“ไหน ไอ้เชี่ยตัวไหนปากดีบอกว่ากูซิวเหรียญทองมาได้เพราะแข่งสองคน”
เด็กหนุ่มยืนค้างอยู่ท่านั้นกับเสียงร้องโอดครวญที่ประสานกัน ซึ่งนั่นมันควรจะเป็นเสียงของเขามากกว่าไอ้สามตัวนั่นที่งอตัวหลบฝ่าเท้าของผู้ชายตัวสูงที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนและเมื่อไหร่
“มีปากไว้กินข้าวดี ๆ ไม่ชอบใช่ไหมหื้ม?”
“อ๊าก!!! ก...กูขอโทษ อย่าทำกูเลย!!!”
เซฮุนค่อย ๆ ลดมือลง เขาไม่สามารถบรรยายภาพตรงหน้าได้เลยว่าเละเทะมากแค่ไหนกับการที่พวกกุ๊ยทั้งสามนอนเกลือกไปกับพื้นซีเมนต์แล้วปล่อยให้ผู้ชายคนเดียวกระทืบ หมอนั่นทั้งเตะทั้งเหยียบ ผลัดกันราวกับว่าโมโหสุดขีด
“ขอร้องสิ แล้วกูจะพิจารณาอีกที”
“...ข...ขอร้องล่ะ ปล่อยพวกกูไปเถอะกูไม่ได้ตั้งใจ!!!”
“โธ่...ร้องเสียงอย่างกับหมา กูไม่ให้ผ่าน” ผู้ชายสำเนียงเกาหลีแปลก ๆ พูดแล้วเตะเข้าท้องน้อยไอ้กุ๊ยคนนึงเข้าไปเต็มแรงจนตัวงอ
ไอ้เลวคนแรกที่ชกหน้าเขาตั้งหลักวิ่งหนีไปได้ก่อนที่อีกสองคนที่เหลือจะค่อย ๆ คลานหนีออกไปอย่างทุลักทุเล
“ไปบอกเพื่อนมึงอีกตัวด้วยนะว่าถ้าตีนกูยังไม่หนักพอให้ไปรอที่สระว่ายน้ำ!!!”
คนตัวสูงตะโกนไล่หลังเด็กหนุ่มทั้งสามคนที่วิ่งหนีหางจุกตูดแต่ก็ยังหันมาช่วยคนที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ข้างหลังอยู่ อารมณ์ค้าง...นั่นคือสิ่งที่รู้ เด็กหนุ่มชาวจีนหันมามองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังแล้วเลิกคิ้วขึ้น แสงสว่างจากเสาไฟฟ้าที่อยู่ไม่ห่างจากตรงนี้พอให้เขาทั้งสองเห็นหน้ากันได้
เซฮุนไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร เพราะสีหน้าและท่าทางอีกฝ่ายก็ดูไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ตอนมองมาทางนี้ เด็กหนุ่มหลุบสายตาลงมองอีกคนที่ก้มลงเก็บสมาร์ทโฟนของเขาขึ้นมาอีกทั้งยังกดปุ่ม Home จนหน้าจอขึ้นแสงสว่างแล้วจ้องอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโยนมาทางนี้และเซฮุนก็รับมันไว้ได้อย่างเฉียดฉิว
“โชคดีที่จอไม่แตก”
“ขอบคุณ” เซฮุนก้มลงเก็บหูฟังขึ้นมาม้วนเก็บสลับกับมองใบหน้าคมของอีกฝ่ายที่ยังคงยืนอยู่ตรงนี้โดยที่ไม่คิดจะเดินไปไหน
“ขอบคุณทำไม นี่คิดว่าฉันมาช่วยนายเหรอ”
“อ๋อ เรื่องนั้น” เซฮุนลุกขึ้นพร้อมกระเป๋าเป้แล้วมองไปยังอีกฝ่าย “ฉันรู้ว่าไม่ใช่”
“อย่าหลงตัวเองล่ะหนู”
คนตัวขาวมองปลายนิ้วชี้เรียวยาวของอีกคนที่แทบจะจิ้มปลายจมูกของเขาอยู่แล้วก่อนจะเลื่อนระดับสายตามองนักเลงหัวไม้ที่เอามือถือขึ้นมากดโทรออก
“เออไม่ต้องมาแล้วนะ โดนตีนกูไปไม่กี่เม็ดแม่งหนีเตลิดกลับโลกที่สามกันหมดเลยห่าจิก”
เซฮุนกลอกตาไปมา มีเพียงแค่เสียงรถยนต์ที่วิ่งอยู่บนถนนเท่านั้นที่ประสานเสียงกับคนขี้โมโหในเวลาแบบนี้ ปากก็เจ็บ มือก็เจ็บ แต่สิ่งที่ทำได้ก็แค่ชะเง้อหน้ามองหาแท็กซี่คันใหม่
“...”
เซฮุนชะงักไปเมื่ออยู่ ๆ ก็มีบางอย่างแปะลงกลางหัว พอหยิบออกมาถึงได้รู้ว่ามันคือผ้าขนหนูซึ่งเขาดูไม่ออกว่ามันคือสีอะไร เด็กหนุ่มหันไปหาอีกคนที่เดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้ากวนประสาท คงไม่ต้องเดาให้ยาก...คาดว่าหวงจื่อเทาก็คงคือหนึ่งในคนที่หมั่นไส้เขาเหมือนที่จงอินเคยเป็น
“เซฮุนโอป้าซับปากหน่อยค่ะ เลือดอาบจะมาถึงคางแล้ว” ก็รู้หรอกว่าหวงจื่อเทาเป็นคนจีน แต่พอพูดกระแนะกระแหนทีไรรู้สึกว่าจะชัดเหลือเกิน เด็กหนุ่มตัวขาวยื่นผ้าขนหนูคืนแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ
“ขอบคุณ แต่ไม่เป็นไร”
“เฮ้ยนี่จะกลับทั้งอย่างนี้เลยเหรอ คือไม่ใช่อะไรนะ ประเด็นหลักก็ไม่ได้หวังดีจะให้ซับเลือดหรอก แต่คนเราจะทำอะไรต้องหวังผลประโยชน์เสมออ่ะถูกไหม เห็นนี่เปล่า? ผ้าขนหนูสีน้ำตาลเข้ม” จื่อเทาเคาะนิ้วชี้ลงบนผ้าขนหนูแล้วพยักหน้าย้ำเมื่ออีกคนยังคงปั้นหน้านิ่งเหมือนในทีแรก
“แล้ว”
“พอซับเลือดแล้วมันไม่ออกสี” เซฮุนเบิกตากว้างทันทีที่อีกฝ่ายเอาผ้าขนหนูพันรอบมือเขาที่มันถลอกจนเลือดซึม พอจะชักมือกลับหวงจื่อเทาก็ถือวิสาสะมัดให้เองซะเสร็จสรรพ “ฝากซักด้วย”
“อะไร”
“มีน้ำใจหน่อย ฉันไม่ได้มาช่วยนายจากพวกมันก็จริง แต่นายเองก็ได้ผลประโยชน์จากฉันนี่”
“แต่ฉันไม่ได้ขอ” เซฮุนชูมือที่ถูกมัดผ้าขนหนูไว้ขึ้นมาระดับไหล่ “แล้วนายก็ไม่ได้ตั้งใจมาช่วยฉัน นายมากระทืบไอ้พวกเวรนั่นเอง”
“โว้ว ทำไมหยาบคายแบบนี้เนี่ย แต่ไม่เป็นไร อย่างพวกมันสมควรได้รับคำแบบนั้นแล้ว ถือว่าทำดี” จื่อเทาไหวไหล่แล้วยิ้มอย่างพอใจหลังจากได้ระบายอารมณ์กับพวกนรกที่ริอาจนินทาเขาลับหลังเรียบร้อยแล้ว
“ผ้าขนหนูผืนเดียวยังขี้เกียจซัก นายเป็นคนประเภทไหนกัน”
“ประเภทพระเอกตัวจริง ที่โผล่มาช่วยคนตกที่นั่งลำบากได้อย่างพอดิบพอดีไง หรือจะเรียกว่าเทพบุตรก็ได้”
“พูดเกาหลีเก่งนะ” เซฮุนได้แต่ถอนหายใจ นี่เขาควรจะรู้สึกดีใช่ไหมที่หมอนี่ดันมาล้างแค้นได้ถูกจังหวะพอดี
“มีเพื่อนเป็นคนเกาหลีทั้งสองคนคอยจ้ำจี้จ้ำไชอยู่ทุกวัน พูดไม่ได้ก็แย่แล้ว” จื่อเทาหัวเราะ
“งั้นฉันกลับบ้านก่อนแล้วกัน แท็กซี่มาแล้ว” เซฮุนไม่มองแม้กระทั่งใบหน้าหลงตัวเองของอีกฝ่าย เขาโบกมือเรียกแท็กซี่ให้จอดก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพบว่าคนที่เดินเข้าไปนั่งข้างในตัดหน้าเขาคือหวงจื่อเทา
“เอ้า รีบขึ้นมาเร็ว”
“อะไร”
“ขอติดรถไปด้วยดิ แล้วค่อยปล่อยฉันลงข้างทางก็ได้”
“บางทีนายอาจจะเข้าใจผิดว่าเราจะไปทางเดียวกัน” เซฮุนยังคงยืนอยู่ข้างนอกโดยที่ไม่คิดจะเข้าไปในรถ
“ทางเดียวกันแหละ ไม่ว่านายจะส่งลงที่ไหนเดี๋ยวก็มีคนมารับฉันอยู่ดี อย่าแล้งน้ำใจได้เปล่าวะ”
“...”
“เร็วดิ ลุงเขารอนานแล้วเนี่ย ให้ไวค่ะเซฮุนโอป้า” เด็กหนุ่มชาวจีนเอาแต่พูดอ้อล้อดัดเสียงน่ารำคาญอยู่อย่างนั้น
“บ้าเอ๊ย...”
เซฮุนทำได้แค่ถอนหายใจเบา ๆ แล้วเข้าไปนั่งข้างในอย่างจำใจ ไม่บ่อยนักที่จะมีคนมานั่งข้าง ๆ แบบนี้ แน่นอนว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่มันทำให้นึกถึงใครอีกคนที่เคยช่วยเขาเอาไว้ และเราก็นั่งแท็กซี่กลับด้วยกัน
เดจาวูงั้นเหรอ?
“เซฮุน”
“ว่าไง”
“ก่อนหน้านี้ฉันไม่ชอบนายเอามาก ๆ เลยนะรู้เปล่า”
“พอจะรู้ จะบอกว่าตอนนี้ก็ยังไม่ชอบอยู่สินะ” ทันทีที่พูดจบจื่อเทาก็หลุดหัวเราะออกมาก่อนจะหักนิ้วจนเกิดเสียง
“เปล่า ฉันคิดว่านายแม่งเจ๋งดีที่กล้าสู้กับพวกนั้น” เด็กหนุ่มทั้งสองคนสบตากันอย่างหยั่งเชิง จื่อเทาไม่รู้ว่าไอ้คนที่เขาเคยคิดว่าขี้เก๊กเมื่อก่อนหน้านี้กำลังคิดอะไรอยู่ และเขาก็ไม่สนใจด้วยว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั่นกำลังด่าเขาว่ายังไง
“แต่ก็สู้ไม่ได้อยู่ดี”
“สู้ได้ไม่ได้ไม่สำคัญ มันอยู่ที่ว่านายจะยอมเสียศักดิ์ศรีหรือเปล่า แต่เมื่อกี้นายไม่” จื่อเทาเอนหลังพิงกับเบาะอย่างสบาย ๆ พลางชำเลืองมองคนข้าง ๆ
“นายชกต่อยกับคนอื่นบ่อยแค่ไหนถึงได้เอาชนะพวกมันสามคนได้ง่าย ๆ อย่างนั้น” เซฮุนได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมเขาถึงไม่รู้สึกอึดอัดใจเวลาพูดคุยกับผู้ชายคนนี้ถ้าเทียบกับจงอิน เขาคิดว่าต่อให้ผู้ชายคนนี้จะหยาบคายใส่ หรือพูดไม่ดีด้วยมันก็คงไม่เป็นไร
“เอาจริงไหม” จื่อเทาเลียริมฝีปากแล้วกลอกตามองอีกคน “กฎข้อที่หนึ่ง...เมื่อทางเรามีจำนวนน้อยกว่าก็ต้องล่อมันจากข้างหลัง อย่าให้พวกมันรู้ตัว”
“...”
“สรุปคือใส่ก่อนได้เปรียบ ไม่มีคำว่าเสียศักดิ์ศรีสำหรับคนจำนวนน้อยกว่า”
“แล้วถ้ามาต่อหน้าล่ะ”
“หยิบอะไรได้ก็เขวี้ยงใส่ให้มันเสียหลักไปสักคนก่อน คิดจะเป็นนักสู้ต้องมีไหวพริบนะรู้เปล่า?” จื่อเทายิ้มพอใจเมื่ออีกฝ่ายเริ่มแสดงออกทางสีหน้ามาบ้างแล้ว เซฮุนไม่ได้เอาแต่ทำหน้าเรียบเฉยอย่างที่ใคร ๆ เรียกว่า ‘เซฮุนหน้าเดียว’ และมันทำให้จื่อเทาพอใจ
“เป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เด็กเลยใช่ไหม?”
“อ่า...ก็ไอ้เวรพวกนั้นมันชอบแย่งของเล่นคนอื่น พระเอกก็ต้องเข้าไปช่วย”
“เรียกว่ากระหายสงครามน่าจะเข้ากับนายที่สุด” เซฮุนยิ้มบาง ๆ สีหน้าของจื่อเทาไม่ได้โกรธเคืองเลยสักนิด แน่นอนว่าเขาคงไม่กล้าพูดแบบนี้กับจงอิน
ก็แน่ล่ะ...ผู้ชายคนนั้นมีอะไรให้ว่าบ้างนอกจากเรื่องอ่านใจคนอื่นขาดจนน่าเกลียดนั่นน่ะ...
“แล้วนักเต้นทำอะไรได้บ้างล่ะคุณ ปล่อยให้เขาอัดจนน่วมแล้วกลับบ้านไปให้พ่อแม่โอ๋งั้นดิ” จื่อเทาชี้มุมปากตัวเองประกอบ เซฮุนแตะปลายนิ้วลงที่มุมปากก่อนจะนิ่วหน้าเจ็บ ตอนนั้นจื่อเทาถึงได้แกะผ้าขนหนูออกจากมือเขาแล้วยื่นให้ “ซับเลือดที่ปากหน่อย นายอยู่ในชุดนักเรียน”
“...ขอบใจ”
“ยัวร์เวลค่อม”
เด็กหนุ่มชาวจีนหันไปมองถนนเบื้องหน้าและปล่อยให้ความเงียบโรยตัวในรถ อันที่จริงคนอย่างหวงจื่อเทาก็ไม่ได้พบเจอสถานการณ์ใบ้แดกแบบนี้บ่อยนัก ถ้าให้เทียบกับเพื่อนของเขาแล้วล่ะก็...ต่อให้ไอ้จงอินจะเป็นคนไม่ค่อยพูดแต่เราก็หาเรื่องมาคุยกันได้อยู่ดี ส่วนไอ้ชานยอลไม่ต้องพูดถึง รายนั้นบ่นได้บ่นดี บ่นแม้กระทั่งโลกนี้มีฤดูร้อน
“ลุงเปิดเพลงหน่อยได้ป่ะครับ?”
“อ้อ ได้สิ”
จื่อเทาจะไม่ทน ถ้าจะให้ชวนคนข้าง ๆ คุยก็จะรู้สึกเหมือนเป็นไอ้โง่ที่เอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียวเกินไป ซึ่งเขาก็ทำแบบนั้นมาตั้งแต่ก่อนขึ้นแท็กซี่ เชื่อแล้วล่ะว่าโอเซฮุนเป็นพวกชอบอยู่เงียบ ๆ คนเดียวมากกว่าการมีเพื่อน ขนาดคนพูดมากอย่างหวงจื่อเทายังเจอทางตันได้นี่ไม่ธรรมดาละ นี่กูเปิดประตูแล้วโดดลงจากแท็กซี่เลยดีไหมล่ะหือ
“Yeah, I know, I know, when I compliment her she won't believe me.”
“And it's so, it's so, sad to think that she don't see what I see. But every time she asks me do I look ok, I say...”
ปลายนิ้วเรียวยาวเคาะลงบนหน้าขาเป็นจังหวะ อย่างน้อยวิทยุคลื่นนี้ก็เปิดเพลงได้ผ่อนคลายจิตใจก่อนที่เขาจะไปเจอรุ่นพี่ที่นัดกันไว้ว่าจะไปกินข้าวแล้วก็ดื่มกันที่ไหนดี เอาน่า...หวงจื่อเทาก็แค่อยากรู้อยากลอง สัญญาว่าจะไม่ติดเที่ยวจนเรียนไม่จบ
“When I see your face...there's not a thing that I would change...Because you're amazing...just the way you are...”
เป็นเรื่องปกติที่คนเราจะเผลอร้องเพลงออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อถึงท่อนฮุคหรือท่อนที่ชอบ และตอนนี้ก็เช่นกัน เซฮุนหันไปมองคนข้าง ๆ ที่กำลังร้องเพลงเดียวกับเขา ทั้งสีหน้าและท่าทางของจื่อเทาดูสนุกไปกับเพลงนี้จนไม่น่าเชื่อว่าหมอนี่จะร้องได้ทั้งหมดโดยที่ไม่ดำน้ำ
“And when you smile...the whole world stops and stares for a while...Because girl you're amazing...just the way you are...”
คนขี้เล่นยิ้มแล้วทำมือเป็นรูปวงกลมก่อนจะชี้นิ้วมายังเขา เซฮุนร้องเพลงต่อไม่ได้แล้ว มีเพียงแค่คนข้าง ๆ ที่ยังคงสนุกไปกับเพลงนี้ที่เป็นอีกเพลงหนึ่งอยู่ในลิสต์ที่เขาชอบ
จื่อเทาหันมาอีกแล้ว ผู้ชายคนนี้ยังคงทำท่าท่างประกอบไม่หยุด ซึ่งมันตลกมากจนคนอย่างเขาหลุดยิ้มออกมาจนได้
หวงจื่อเทาเป็นพวกบ้าบอคอแตก แถมยังชอบพูดเองเออเองอีก แต่ถ้าถามว่าแย่ไหมก็คงตอบว่าไม่ โอเซฮุนไม่กล้าแสดงออกมากไปกว่าที่เป็นอยู่ เพราะเขาไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้กำลังคิดอะไร ถึงจะเป็นเพื่อนกับจงอินแต่คงฟันธงในทันทีไม่ได้ว่าหวงจื่อเทาจะอยากเป็นมิตรกับเขา
ผู้ชายกวนประสาทไม่ได้ลงจากแท็กซี่กลางทางอย่างที่บอกเอาไว้ รู้ตัวอีกทีเซฮุนก็มาถึงหน้าบ้านโดยที่ไม่เสียเงินสักวอนเดียวเพราะอีกคนอ้างว่าเป็นค่าซักผ้าขนหนู จื่อเทาเลื่อนกระจกลงแล้วโผล่หน้าออกมาเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้ม
“เจอกันที่โรงเรียนก็ทักด้วยล่ะ จะรอผ้าขนหนูนะ ซักแล้วเอามาคืนด้วย”
TBC
โถ ครั้งแรกที่เจอกันก็ซ้ำรอยผู้ชายอีกคนแล้ว
ที่เซฮุนยังไม่แสดงออกมากเพราะตอนนี้ใจน้องอยู่กับผู้ชายอีกคนแล้ว แต่การที่ผู้ชายขี้เล่นเข้ามาในชีวิต มันก็ทำให้โลกของโอเซฮุนกว้างขึ้นอยู่นะ...
หว่าย... TVT
ความคิดเห็น