คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 03 :: ความเงียบสีขาว #AmongPages
(3)
ผมตื่นตั้งแต่ฟ้ายังมืดอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็แพ้สองยายหลานที่ลุกขึ้นมารมควันตั้งแต่เช้า เซฮุน อยู่ในชุดนักเรียนเรียบร้อยในเวลาตีสี่ครึ่ง ผมได้แต่ถามตัวเองในใจว่าอะไรที่ทำให้มนุษย์เราต้องเร่งรีบตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่แบบนี้ ก่อนจะนึกได้ว่าเซฮุนต้องปั่นจักรยานไปส่งผมขึ้นรถเมล์แล้วค่อยไปโรงเรียน
คุณยายจัดแจงมื้อเช้าแบบง่าย ๆ แต่มันก็ยากสำหรับคนไม่ถนัดเรื่องเข้าครัวอย่างผม นานเป็นชาติแล้วที่คนอย่างคิมจงอินไม่ได้กินมื้อเช้า เพราะปกติแวะเข้าร้านกาแฟก่อนเข้าสำนักพิมพ์เสมอ
หญิงชราเอาส้มใส่ถุงให้เอากลับไปกินที่ห้อง แถมบอกว่าหวานเจี๊ยบพอ ๆ กับหน้าหลานชายของแกนั่นแหละ ผมหลุดยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าเซฮุนดูขลาดอายกับคำชมจากคุณยายที่น่าจะเอาไว้เปรียบเทียบกับใบหน้าผู้หญิง แต่ในสายตาผมแล้วเซฮุนก็...
หวานนะ ?
เด็กตัวผอมปั่นมาส่งผมที่ป้ายรถเมล์เดิม เรามองหน้ากันเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่ต่างฝ่ายต่างก็เลือกที่จะเงียบ เด็กคนนี้ไม่ได้ก้าวขาคร่อมเบาะจักรยานแล้วปั่นหนีผมไปเหมือนกับเมื่อวานก่อน เซฮุนแค่ยืนนิ่งราวกับว่ารอให้ผมพูด
“พี่รู้ทางไปบ้านเราแล้ว วันหลังแวะไปหาได้ใช่ไหม ?” เซฮุนกลอกตาไม่กล้าสบตาผม เด็กหนุ่มถูจมูกและทิ้งช่วงไปหลายวินาทีก่อนจะพยักหน้าแล้วหันไปคร่อมเบาะจักรยาน
‘ไปนะ’
รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเด็กคนนั้นตอนเจ้าตัวยกมือขึ้นพร้อมเกร็งมือโบกลา ถ้ามีระดับความขี้อายเต็มร้อยละก็ ผมให้เซฮุนไปเลยสองร้อยเปอร์เซ็นต์ เด็กนั่นเดี๋ยวมองเดี๋ยวหลบตาซึ่งคาดว่าเป็นผลพวงจากการที่น้องพูดไม่ได้เลยทำให้ความกล้าลดลง
“เซฮุน !”
ผมตะโกนไล่หลังเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนที่ปั่นจักรยานไปจากตรงนี้ได้ไม่เท่าไหร่ เจ้าของชื่อเอาขาลงแล้วเอี้ยวหน้าหันกลับมา ตอนนั้นเป็นจังหวะที่ผมรัวกดชัตเตอร์ไปแล้วถึงสี่ครั้ง เซฮุนทำหน้าหวอหลังจากรู้ตัวว่าถูกแอบถ่ายรูปตอนทีเผลอ เด็กคนนั้นเลิ่กลั่กหันหน้ากลับไปสนใจถนนอีกครั้งเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“น่ารักเอาเรื่องนะเนี่ย”
ยิ้มให้กับภาพถ่ายในกล้องดิจิตอล ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังถนนที่มีทุ่งหญ้าเขียวขจีอยู่รอบข้าง เซฮุนตัวเล็กลงเมื่อปั่นห่างไกลออกไป ผมยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นไปข้างหน้า เหมือนว่าอีกฝ่ายที่กำลังปั่นจักรยานเป็นมด ส่วนผมคือยักษ์ที่กำลังจะจับเด็กคนนั้นไว้ด้วยนิ้วมือ
และกดชัตเตอร์
วันนั้นผมกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องแล้วถอดเมมโมรี่การ์ดกล้องออกมาเพื่อที่จะอัพโหลดรูปถ่ายลงในเฟสบุ๊กให้เพื่อนฝูงรับรู้ว่าผมยังไม่โดนฆ่าหมกทุ่งนาตาย แต่แย่หน่อยตรงที่คอมพิวเตอร์ในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ไม่มีโปรแกรมตกแต่งรูปเหมือนที่ห้องหรือออฟฟิศ ผมเลยต้องเอารูปสด ๆ ลงทั้งอย่างนั้น
ไงมึง วันที่สามในชนบท
ความใส่ใจของเพื่อนสนิทนั้นรับรู้ได้ทันทีที่อ่านจบ เรื่องเสือกนั้นยิ่งใหญ่ โปรดไว้ใจปาร์คชานยอล
เจอสาวน่ารัก ๆ บ้างยัง ?
เจอ แต่ไม่ใช่สาว
เฮอเร่อละ มึงทำกูคิดนะเกลอ
ห่านี่ มึงคิดว่าผู้หญิงหาง่ายเหรอวะ
ต่อให้เจอจริงก็ใช่ว่าจะสปาร์กได้ภายในวันสองวัน
ปวดร้าวว่ะ
แล้วสรุปเจอไร
เด็กผู้ชาย
WHAT ?
ในรูปที่กูอัพไป นั่นแหละ อย่าถามมาก
มึงเพิ่งไปถึงที่นั่นได้วันที่สาม
เดี๋ยวนะ กูไปไล่ดูรูปแป๊บ
เออ
มึง
ไม่ใช่อย่างที่มึงคิดแล้วกัน ห่า
ไม่ใช่ที่คิดแล้วคืออะไร
มึงไปถึงกูร์เยได้สามวัน อัพโหลดรูปลงเฟสบุ๊ก
ปัง ! รูปเด็กผู้ชาย ?
น้องมันน่ารักนะ ที่จริง
เหยด มีการบอกว่าน่ารักด้วย
มันมีอะไรกว่านั้น
เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งอุปทานไปเอง
เออ เอาเหอะ ได้เสียเป็นเมียผัวกันเมื่อไหร่ก็บอกด้วย
กูจะได้บอกน้องจีน่าที่แอบชอบมึงเป็นครั้งคราวให้ตัดใจ
ถ้ามึงจะหันเข้าสู่ทางสายเหลือง
แล้วแต่เลย
เออมึง
ว่า ?
ลำบากใจจุงเบย เพื่อนลาพักร้อนไปเที่ยวทั้งที
แต่กูมีข่าวร้ายจะบอก
อยากได้ของฝากเป็นเหรียญห้าร้อยวอนยัดใส่ปากมึง
แล้วตบท้ายด้วยราดน้ำมะพร้าวใส่หน้างี้เหรอ
สาธุ...
ถุย !
กูจะบอกว่างานที่มึงส่งไปอะ มันโดนเด้งกลับมา
เดี๋ยว
ไอ้คนแปลต้นฉบับแม่งเรื่องมาก
บอกว่ามึงแก้แปลกอยู่หลายจุด
มึงลองดูแล้วกัน มันมาร์กมาให้แล้ว
ไอ้ห่า นักแปลคนใหม่แม่งปัญญาอ่อนฉิบหาย
แล้วกูจะทำยังไง นี่ไม่ได้เอาโน้ตบุ๊กมาด้วย
ตอนนี้ก็อยู่อินเทอร์เน็ตคาเฟ่
มึงมีตัวเลือกไหนอีกล่ะ
จองตั๋วรถไฟกลับโซลสิเพื่อนรัก
ถ้าไม่จอง มึงก็ฝังรากอยู่ตรงนั้นแล้วเริ่มแก้งานซะ
ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ต้องใช้เวลาอยู่ในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ถึงสามวัน เฉลี่ยแล้วก็ตกวันละสิบห้าชั่วโมงกับงานที่ต้องแก้ไข ก่อนหน้านี้เคยมีปัญหากับฝ่ายอาร์ตเรื่องใช้คำไม่สวย คำตก ขอบบ้าง นู่นนี่นั่นไม่โอเค แก้จนหัวหมุน เรื่องล่าสุดที่กำลังแก้อยู่ก็ปัญหาระดับโลก ผมนี่นั่งเหลาแล้วเหลาอีกจนปวดตาไปหมด
หลังจากเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยก็รู้สึกเหมือนถูกปลดทาส ถ้าเกิดผมหายหัวไปไม่เข้าเฟสบุ๊ก บก. อาวุโสจะเล่นผมหนักแค่ไหน ถ้าอ้างว่ามือถือหายจะฟังขึ้นไหม แค่คิดก็เสียวโดนเด้งออกจากงานเหลือเกิน
ผมกลับไปใช้ชีวิตในชนบทอีกครั้ง แน่นอนว่าสิ่งแรกที่นึกถึงคือเด็กมอปลายอย่างโอเซฮุนที่เคยคุยกันไว้ว่าเราต้องได้เจอกันอีก แต่นี่ก็ผ่านไปสามวันแล้วที่ไม่ได้โผล่ไปให้เห็นเลย เด็กนั่นจะคิดยังไงนะ ?
น้อยใจหรือว่าไม่คิดอะไรเลย ?
กว่าจะไปถึงบ้านเด็กคนนั้นก็หกโมงเย็น ในมือของผมมีถุงพลาสติกที่ข้างในอัดแน่นไปด้วยขนม ผลไม้ รวมไปถึงต๊อกที่ตั้งใจเอามาให้สองยายหลานเป็นของฝาก
สองขาหยุดอยู่หน้าบ้านแล้วมองไปยังจักรยานที่จอดอยู่ หากแต่ไม่มีคุณยายนั่งอยู่ตรงที่ประจำอย่างวันนั้น ผมขมวดคิ้วแล้วเดินเข้าไป ก่อนจะชะโงกหน้ามองและก็ได้เห็นประตูห้องของคุณยายเปิดทิ้งเอาไว้
“สวัสดีครับ ?”
ผมส่งเสียงทักทายพร้อมวางของฝากลงบนชานบ้านและก้มลงถอดรองเท้า แต่พอไม่มีเสียงตอบกลับมาเลยถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องที่เปิดประตูทิ้งไว้แล้วก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าเซฮุนกำลังพยายามประคองร่างหญิงชราที่หมดสติขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“คุณยาย ? !”
ผมรีบเข้าไปดูอาการเธอ ก่อนจะเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่น้ำตานองหน้า หันซ้ายขวาตั้งสติแล้วให้สมองคิดว่าควรทำอะไรในวินาทีนี้ ผมต้องพาคุณยายไปโรงพยาบาล ใช่ นั่นคือสิ่งแรกที่ควรทำ
“จับไว้นะ อย่าให้แกตก” ผมบอกเซฮุนแล้วก้มลงช้อนร่างหญิงชราให้ขึ้นขี่หลัง เด็กหนุ่มตัวผอมพยักหน้าซ้ำ ๆ แล้วตามผมออกมาอย่างไม่รอช้าโดยที่สองมือยังคงจับเธอเอาไว้
พอออกมาข้างนอกก็เจอความมืดแปดด้านทั้งที่ตอนนี้ท้องฟ้าก็ยังสว่างโล่ง การจะไปโรงพยาบาลด้วยสองขาทั้งที่มีคนแก่สลบอยู่บนหลังนี่มันไม่ใช่วิธีที่เข้าท่าเลยสักนิด เซฮุนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมเขย่าแขนขอความช่วยเหลือ หยดน้ำใสที่ไหลอาบแก้มบวกกับแววตาที่มองมานั้นทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายเป็นกังวลมากแค่ไหน
“ใจเย็นก่อนนะ มองหน้าพี่” ผมสบตากับอีกฝ่ายอย่างจริงจัง เซฮุนมองหญิงชราที่อยู่บนหลังผมเป็นระยะทั้งที่ยังร้องไห้ไม่หยุด “แถวนี้บ้านหลังไหนมีรถยนต์บ้าง ?”
เซฮุนหยุดใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะชี้ไปทางขวามือ
“เอาล่ะ วิ่งไปขอความช่วยเหลือจากบ้านหลังนั้น เดี๋ยวพี่จะพาคุณยายออกไปรอข้างถนน รีบไปเลย”
เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้ววิ่งไปด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี ผมหันไปมองหญิงชราที่หมดสติซึ่งซบหน้าอยู่บนไหล่ผมแล้วก็ได้แต่ภาวนาในใจขอให้แกไม่เป็นอะไรไปก่อน
เรามาถึงโรงพยาบาลได้ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน โชคดีที่พวกเขาไม่ประสบปัญหาการสื่อสารกับเซฮุน ไม่อย่างนั้นคุณยายอาจจะถึงมือหมอช้ากว่านี้ ผมละสายตาจากประตูห้องฉุกเฉินแล้วหันไปเห็นว่าเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนกำลังโค้งหัวขอบคุณซ้ำ ๆ จนสองสามีภรรยาผู้เป็นเพื่อนบ้านต้องจับไหล่เซฮุนไว้เป็นเชิงบอกให้หยุด
จนถึงตอนนี้น้ำตาก็ยังคงไหลอาบแก้มขาวราวกับว่าดวงตาคู่นั้นเป็นเครื่องผลิตน้ำตา ผมเดินไปหยุดอยู่ข้างเด็กหนุ่มตัวผอมแล้วโค้งหัวขอบคุณทั้งคู่ที่ไม่ลังเลพาเราทั้งสามคนมาที่นี่
“ขอบคุณนะครับ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันเห็นป้ายูนาตั้งแต่เด็ก แม่ของเซฮุนก็เพื่อนสนิทฉัน เรื่องแค่นี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก”
“ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็บอกลุงนะ” คนเป็นสามีวางมือลงบนบ่าเด็กหนุ่มตัวผอมที่ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น เซฮุนพยักหน้าทั้งที่เจ้าตัวเอาแต่จ้องมองพื้นอยู่อย่างนั้น
“เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการต่อเอง ขอบคุณอีกครั้งครับ”
สองสามีภรรยากลับไปแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ผมกับเซฮุนเท่านั้นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน เด็กหนุ่มตัวผอมเอาแต่ก้มหน้ามองมือตัวเองที่ประสานอยู่บนตัก หลายครั้งที่สะอึกสะอื้นจนได้ยินเสียงคัดจมูก ผมเลยเดินไปขอทิชชู่จากพยาบาลหน้าเคาน์เตอร์แล้วยื่นให้คนที่ยังร้องไห้ไม่หยุด
“หายใจเข้าลึก ๆ เป็นอะไรไปอีกคนแล้วจะยุ่ง”
“...”
“ถ้านอนโรงพยาบาลเพราะร้องไห้นี่อายเขาตายเลยนะ” ผมเอาศอกสะกิดคนข้าง ๆ ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้และเอาทิชชู่ซับจมูกไว้เพราะกลัวน้ำมูกไหล เออนะ เวลาแบบนี้ก็ยังน่ารักได้อยู่ “เฮ้”
ผมวางมือลงบนศีรษะเด็กหนุ่มแล้วนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อรอดูปฏิกิริยาว่าเซฮุนจะเบี่ยงตัวหลบแล้วหันมามองค้อนที่ผมถึงเนื้อถึงตัวเหมือนวันนั้นอีกไหม แต่ก็ได้คำตอบกลับมาเป็นความว่างเปล่า ผมเลยค่อย ๆ ลูบนิ้วมือลงบนศีรษะทุยเป็นการปลอบใจ
“ไม่เป็นไร ท่านถึงมือหมอแล้ว”
“...”
“อีกเดี๋ยวเดียวหมอก็จะออกมาบอกข่าวดี ทำใจให้สบาย ถ้ายังร้องไห้อย่างนี้ คุณยายมาเห็นเข้าท่านจะเป็นห่วงนะรู้ไหม ?” ผมก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อกระซิบบอกอีกคน แรงสั่นจากไหล่ทั้งสองข้างนั้นเบาลงก่อนที่เจ้าตัวจะหันมาสบตากับผม
ทั้งตา ทั้งจมูก... แดงไปหมดแล้ว
เสียงประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกพร้อมเตียงคนไข้ที่ถูกเข็นออกมา ผมกับเซฮุนตรงดิ่งเข้าไปหาคุณหมอซึ่งเขาคงรู้ว่าใครต้องการข่าวดีมากที่สุด
“ความดันสูงน่ะครับ โรคคนแก่”
“อ่า... อย่างนั้นเหรอครับ” ผมหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ยังน้ำตาคลอระหว่างรอให้หมออธิบายต่อ
“ผมต้องให้น้ำเกลือแล้วรอดูอาการท่านสักคืน ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องร้องไห้นะ ท่านปลอดภัยแล้ว” หมอยิ้มให้เซฮุนก่อนจะหันมาหยุดที่ผม “ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายรบกวนติดต่อที่เคาน์เตอร์ได้เลยนะครับ”
“ขอบคุณมากครับหมอ” ผมกับเซฮุนก้มหัวขอบคุณคนตรงหน้า เมื่อเงยขึ้นก็เห็นว่าเซฮุนไม่ได้อยู่ข้างตัวแล้ว พอหันกลับไปก็พบว่าเจ้าของร่างผอมบางกำลังวิ่งไปตามทางเดินยาว ก่อนจะเข้าไปในห้องคนไข้รวมในวินาทีถัดมา
ให้ตายสิ... เด็กคนนี้นี่ใจร้อนจริง ๆ
คุณยายลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากหมดสติไปหลายชั่วโมง คงมีแค่เซฮุนคนเดียวที่ไม่มีอาการง่วงเหงาหาวนอนเลยสักนิดถ้าเทียบกับญาติคนไข้อื่น ๆ ที่อยู่ในห้องรวม ผมยืนมองสองยายหลานคุยกันอยู่ห่าง ๆ รู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นรอยยิ้มของเด็กคนนั้นแม้ว่าปลายจมูกรั้น จะแดงระเรื่อหลังจากหยุดร้องไห้
ภาพที่ผมจำได้คือเด็กมอปลายที่ชอบแสดงสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าไร้อารมณ์กับทุกสิ่งทุกอย่างในโลก แต่ตอนนี้เจ้าตัวกำลังยิ้มอย่างมีความสุข ตาคู่นั้นหยีลงตอนถูกมือเล็กหนังติดกระดูกลูบหัว ผมรู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจอย่างน่าประหลาด จนอดไม่ได้ที่จะรูดซิปเอากล้องดิจิตอลในกระเป๋าสะพายไหล่ใบเล็กซึ่งอยู่ตรงช่วงอกออกมา แล้วถ่ายภาพนั้นไว้โดยไม่เปิดแฟลชรบกวนคนไข้
ผมลดกล้องลงแล้วเก็บมันใส่กระเป๋าเหมือนเดิม โรงพยาบาลที่นี่เล็กและเงียบมาก ต่างจากในเมืองอยู่โข ผมกวาดสายตาไปรอบ ๆ อย่างใคร่รู้ จนกระทั่งเซฮุนหันมาทางนี้และตามด้วยหญิงชราที่นอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียงผู้ป่วย
วินาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนคิมจงอินเป็นพระเจ้า เพียงเพราะเห็นรอยยิ้มของสองยายหลานที่ส่งมาให้
เมื่อหมดเวลาเยี่ยมคนไข้ ผมกับน้องเลยต้องออกมาข้างนอก สีหน้าเซฮุนดูอิดโรย แต่ผมคิดว่ามันก็ดีกว่าตอนที่ร้องไห้ฟูมฟายเป็นไหน ๆ เราปล่อยให้เสียงล้อของเตียงคนไข้เข็นผ่านกลบบรรยากาศอยู่เกือบห้านาที จนกระทั่งเสียงท้องของอีกฝ่ายโพล่งขึ้นมาทำลายความเงียบนั่นแหละ ผมถึงได้เห็นใบหน้าขลาดอายของเซฮุนอีกครั้ง
“ไปกินข้าวกัน” เด็กหนุ่มตัวผอมพยายามยกมือขึ้นมาสื่อสารกับผมด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ราวกับว่าเจ้าตัวพยายามทำให้มันง่ายขึ้น
แต่ไม่เป็นไรนะเซฮุน... พี่ไม่เข้าใจเลยสักอย่าง
“อะไร ? จะออกไปกินข้างนอกเหรอ ? ไม่ใช่ ? แล้วมันยังไงล่ะ ? อ่า... ไม่มีเงิน ?” ได้แต่ขมวดคิ้วเดาไปมั่วซั่วจนกระทั่งอีกฝ่ายพยักหน้ารัว ผมถอนหายใจออกมาหนัก ๆ กับการเล่นเกมใบ้คำโดยที่ไม่ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นความสนุก
ก่อนกินข้าวผมควรเดินไปซื้อปากกากับสมุดให้น้องสักเล่ม
พอฟ้ามืด การหามื้อค่ำกินก็กลายเป็นเรื่องยากเมื่อมองไปทางไหนก็เจอแต่ประตูร้านที่ปิดแล้ว แต่มันก็ไม่แย่ไปเสียทีเดียวเมื่อคนข้าง ๆ สะกิดผมแล้วชี้ไปทางด้านหลัง ตรงนั้นมีเพิงหมาแหงนที่คงเรียกว่าร้านหมูย่าง แต่วินาทีนี้ทั้งผมและเซฮุนคงไม่สนใจแล้วว่าที่ตรงนั้นจำเป็นต้องมีหลังคาดี ๆ ให้หรือเปล่าถ้าหากว่าห่าฝนดันตกลงมาขัดจังหวะ
ผมหันไปถามความเห็นคนข้าง ๆ ว่าอยากกินอะไร ซึ่งในทีแรกเจ้าตัวก็แสดงท่าทีลังเลเพราะไม่มีเงินติดตัวมาด้วย แววตานั้นกำลังบอกถึงความกระอักกระอ่วนลำบากใจ ในเมื่อเซฮุนไม่ยอมสั่ง ผมเลยจับมือน้องชี้นิ้วเลือกเสียเลย
เรานั่งข้างกันแล้วจัดการมื้อเย็นที่ล่วงเลยมาจนถึงดึกดื่นป่านนี้ ผมเอาแต่สนใจหมูย่างโดยไม่หันไปมองเขาเพราะกลัวว่าจะอึดอัด แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกได้ว่าเซฮุนแอบหันมามองอยู่บ่อย ๆ
น้องค่อย ๆ กินจนผมหงุดหงิดต้องคีบหมูขึ้นจ่อปากให้ เจ้าของใบหน้าขาวเลิกคิ้วมองพร้อมเบี่ยงตัวถอยเล็กน้อย แต่พอโดนถลึงตามองพร้อมตะเกียบที่จี้เข้าหา เด็กนักเรียนมอปลายที่ทำหน้าอมทุกข์ก็อ้าปากรับมันเข้าไปอย่างปฏิเสธไม่ได้
“อร่อยต้องทำมือยังไง ?”
ผมชวนอีกคนคุยเพื่อทำลายความเงียบพร้อมเท้าศอกมองกระพุ้งแก้มขาวซึ่งบวมป่องเพราะหมูที่อัดแน่นอยู่เต็มปาก เขานิ่งไปแล้วค่อย ๆ ชำเลืองกลับมาแล้วเม้มปากเคี้ยวมัน
“อย่างนี้เหรอ ?” พอเห็นอีกฝ่ายทำมือไม้ให้ดู ผมเลยทำตามบ้างและเซฮุนก็พยักหน้า “แล้วถ้าไม่อร่อยล่ะ ?”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเบ้หน้าพร้อมแลบลิ้นออกมา ซึ่งมันทำให้ผมหลุดหัวเราะกับการแสดงท่าทีที่มันง่ายกว่าที่คิดเอาไว้ เซฮุนเม้มปากหลังจากเห็นว่าผมหัวเราะ ก่อนที่เราทั้งคู่หันไปทางแม่ค้าที่มองมาด้วยสายตาแปลก ๆ โอ้... ให้ตายเถอะ ผมคงทำให้เธอเข้าใจผิดเสียแล้ว
“คือผมบอกให้น้องสอนภาษามือให้น่ะครับ หมูร้านคุณป้าเนี่ย... อร่อยมาก อย่างนี้เลย” ผมยกมือขึ้นทำท่าประกอบซึ่งเซฮุนก็รีบทำตามเพราะกลัวป้าแกเข้าใจผิด
“ตกใจหมดเลยลูก ถ้าไม่อร่อยก็เก็บไว้ในใจนะ อย่าพูดให้ได้ยินเลย ป้าสะเทือนใจ”
“ฮ่า ๆ ขอโทษครับ” ผมหัวเราะแล้วหันไปยิ้มให้คนข้าง ๆ ที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หลายครั้งที่มนุษย์พยายามอธิบายเรื่องราวมากมายให้ผู้อื่นเข้าใจในสิ่งที่กำลังคิดอยู่ ไม่ว่าจะด้วยคำพูด การกระทำหรือตัวหนังสือ แต่ผมกลับคิดว่าคนเราไม่จำเป็นต้องพูดว่าตอนนั้นกำลังคิดยังไง รู้สึกยังไง เพราะบางทีสายตามันอาจสื่อความรู้สึกออกมาได้ดีกว่า
ตอนนี้ผมกำลังยิ้ม ขณะสบตากับเด็กอายุน้อยกว่าถึงแปดปีก่อนจะเอื้อมมือไปยีหัวอย่างหมั่นเขี้ยว เซฮุนพยายามปัดมือออกพร้อมเบี่ยงตัวหลบ พอหลุดออกจากความเศร้าแล้วเด็กคนนี้ก็นึกขึ้นได้เลยว่าต้องรำคาญ
ซึ่งบอกเลยว่าผมชอบเวลาเซฮุนแสดงออกว่ารำคาญมากกว่าตอนร้องไห้เป็นไหน ๆ
ผมอาสาว่าจะอยู่เฝ้าคุณยายแล้วให้น้องกลับบ้านเพราะต้องไปเรียนตอนเช้า แน่นอนว่าเจ้าตัวไม่ยอม ต้องขอบคุณพยาบาลสาวใจดีที่ให้กระดาษเอสี่มาหลายแผ่นพร้อมปากกาหนึ่งแท่งที่เซฮุนบอกว่าถ้าใช้เสร็จแล้วจะรีบเอาไปคืน ซึ่งมันเป็นเรื่องดีสำหรับผมที่ไม่ต้องพยายามเดาใจเด็กคนนี้ผ่านทางสายตาหรือภาษามืออีก
เซฮุนอ้างว่าผมเป็นคนแปลกหน้า (อันนี้เจ็บสุด) จะมารับภาระแทนหลานแท้ ๆ ได้ยังไง ซึ่งผมก็อธิบายไปแล้วว่าเพราะอะไร แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนี่จะมีเหตุผลในใจอยู่แล้ว คำพูดของผมเลยกลายเป็นลมปากโง่ ๆ ที่ได้แต่ถามตัวเองว่าพูดออกไปทำไม
แต่คนอย่างคิมจงอินเกิดมาโต้ลมแดดลมฝนตั้งยี่สิบแปดปีแล้ว มันเรื่องอะไรที่จะยอมหุบหน้าแล้วปล่อยให้เด็กนี่เอาเหตุผลมาอ้างอยู่ฝ่ายเดียว ผมก็มีเหตุผลเป็นของตัวเองเหมือนกันว่ะ
‘พี่จะกลับยังไงเหรอถามหน่อย นี่ก็ดึกแล้ว ถ้ามีรถโดยสารขับผ่านก็ว่าไปอย่าง นี่ได้ยินแต่เสียงยุงบินจี้หูอยู่ยิก ๆ มองแบบนี้จะบอกว่าให้เดินกลับเองล่ะสิ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงอย่าคิดว่าพี่ไม่กล้านะ หลงทางกลางทุ่งอย่างเด็ดเดี่ยวก็ทำมาแล้ว แต่ถ้าทำจริง ๆ ขึ้นมาก็เตรียมตอบคำถามคุณยายไว้ได้เลย’
ผมพยายามเกร็งหน้านิ่งเข้าสู้ แสดงศักยภาพสายแข็งอย่างคนอายุมากกว่า แม้ว่าสีหน้าของเซฮุนตอนมองมาหลังจากได้ยินเหตุผลกะโหลกกะลาของผมจะน่ารักจนอยากเอื้อมไปหยิกแก้มแรง ๆ สักทีก็ตาม เด็กหนุ่มไม่ได้จรดปลายปากกาลงบนกระดาษเอสี่เพื่อตอกกลับมาให้ผมหน้าหงายและวินาทีนั้นมันทำให้รู้ว่าได้เข้าใกล้เซฮุนขึ้นไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว
TBC
ความคิดเห็น