คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 02 :: Your Earphone
Chapter 2
Your Earphone
เด็กหนุ่มนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงสีน้ำตาล กำมือข้างหนึ่งแล้วป้องปากขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กับหูฟังสีขาวตรงหน้า มันนานแค่ไหนแล้วที่เขาเอาแต่มองมัน พอรู้ตัวอีกทีซีรี่ส์เกี่ยวกับการฆาตกรรมก็จบไปแล้ว
เซฮุนมักจะมารู้เอาทีหลังว่าเสียเวลาไปกับการเหม่อเสมอ ทั้งเสียงดนตรีเบา ๆ จากนาฬิกาแขวนห้องที่เล่นทุก ๆ หนึ่งชั่วโมง อีกทั้งซีรี่ส์เรื่องโปรดที่กลายเป็นเพียงแค่เสียงกลบความเงียบในห้องเพราะมีบางอย่างที่น่าสนใจกว่า ซึ่งมันคือหูฟังของใครอีกคนที่ลืมขอคืนก่อนลงจากรถ...ไม่สิ...มันเป็นความผิดของโอเซฮุนเองต่างหากที่เอาแต่นั่งเฉยแล้วให้สมองคิดตามคำพูดทิ้งท้ายของผู้ชายคนนั้นจนลืมคืนให้
ให้ตายเถอะ การเอาของไปคืนอาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนอื่นแต่มันคือเรื่องน่าลำบากใจแห่งปีของเขาเลยนะ เด็กหนุ่มกำลังเครียด จากการโค้งงอและสีของสายหูฟังที่ยังขาวสะอาดนั้นทำให้คิดว่าคิมจงอินคงเป็นคนใส่ใจกับการดูแลสิ่งของที่ใช้อยู่พอสมควร แน่นอนว่ามันตรงข้ามกับเขาที่ชอบซื้อสิ่งของที่เป็นสีดำ เพราะต่อให้มันสกปรกสีมันก็ไม่ต่างไปจากเดิม
ปิดทีวีแล้วเอาโน้ตบุ๊คมาวางไว้บนตักก่อนจะเข้ายูทูปแล้วค้นหาคำว่า Yiruma เด็กหนุ่มเลียริมฝีปากแล้วค่อย ๆ เลื่อนปลายนิ้วลงเพื่อหาเพลงฟัง แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีเยอะเกินไป สุดท้ายเลยกดเข้าไปในเพล์ลิสต์ที่มีความยาวถึงสองชั่วโมง โอเค มันคือทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับคนที่รู้จักเสียงเปียโนเพียงแค่สามเพลงถ้วน
คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากัน วูบหนึ่งเซฮุนได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมเขาถึงนึกสนใจเสียงเปียโนของ Yiruma ขึ้นมา ซึ่งเหตุผลที่เคยโหลดลงมือถือก็เพราะว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเปิดทีวีแล้วดันเคลิ้มหลับเพราะเสียงเปียโน ก็เลยคิดว่ามันคงเป็นทางเลือกที่ดีหากว่าจะฟังมันในคืนที่นอนไม่หลับ แต่คราวนี้มันไม่ใช่...
ที่อยากฟังเสียงเปียโน...เพราะอะไรกันนะ?
เสียงเคาะประตูเรียกสติเด็กหนุ่มให้กลับคืนมา เซฮุนแง้มประตูเพียงเล็กน้อยและก็เห็นว่าแม่ยืนอยู่ข้างนอกทั้งที่ยังอยู่ในชุดสูท เธอคงเพิ่งกินเลี้ยงกับประธานบริษัทอื่นมาเหมือนเคยถึงได้กลับบ้านเอาป่านนี้
“ตอนขับรถเข้ามาแม่เห็นว่าห้องลูกยังเปิดไฟอยู่ก็เลยแวะเข้ามาหาน่ะ นอนดึกอีกแล้วนะเรา”
“ผมยังไม่ง่วงน่ะครับ” เด็กหนุ่มจำเป็นต้องถอยหลังออกสองก้าวเมื่อคนเป็นแม่เปิดประตูเข้ามา ทันทีที่เห็นหน้าลูกชายได้ชัดขึ้น รอยยิ้มที่เคยอยู่บนใบหน้าก็เลือนหายไปในทันที
“เดี๋ยวนะ หน้าไปโดนอะไรมาน่ะ?” หญิงวัยกลางคนโอบใบหน้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไว้หลวม ๆ ราวกับกลัวว่ามือคู่นี้จะทำให้เด็กหนุ่มต้องเจ็บ
เซฮุนยิ้มเจื่อนพลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอย เขาไม่คิดว่าแม่จะมาเห็นเพราะคราวที่แล้วตอนโดนชกแก้เคล็ดหนึ่งหมัดก็หลบหน้าแม่ไปได้หลายวันจนรอยมันจางลงไปบ้าง ตอนเช้าแค่ออกจากบ้านเร็วหน่อยเพราะพ่อกับแม่ก็กลับดึกอยู่แล้วเลยเลี่ยงได้ไม่ยาก พูดก็พูดเถอะ หมัดไอ้เวรพวกนั้นหนักเป็นบ้า ถ้าเปลี่ยนจากแก้เคล็ดเป็นแก้สมการมีหวังหน้าของโอเซฮุนคงน่วมจนต้องเดินก้ม ๆ เงย ๆ ตลอดทั้งวันแน่
“ผมลองนั่งรถเมล์น่ะครับ แล้วมีคนทะเลาะกันผมเลยโดนลูกหลงไปด้วย”
“ตายจริง แม่เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าให้นั่งแท็กซี่อย่างเดียว” เธอมองใบหน้าขาวที่มีรอยฟกช้ำอย่างเป็นกังวลก่อนจะประคองร่างลูกชายให้นั่งลงบนเตียง
“แท็กซี่ก็อันตรายเหมือนกันแหละครับแม่ มันอยู่ที่ดวง”
“งั้นขับรถไปเรียนเลยดีไหม? เดี๋ยวแม่จะไปคุยกับที่โรงเรียนเอง ถ้าทางนั้นอนุมัติแล้วแม่จะจ้างคนมาสอนขับรถให้”
“แม่ครับ ผมยังไม่จบม.ปลายเลยนะ” ขืนทำแบบนั้นมีหวังโดนหมั่นหน้ากว่าเดิมว่าเป็นไอ้คนขี้อวดแน่ เพราะงั้นการขับรถไปโรงเรียนจะเป็นทางสุดท้ายที่เขาจะเลือก
“อย่างนั้นก็ไม่เอา อย่างนี้ก็ไม่เอา เห็นไหมว่าผลลัพธ์ออกมามันเป็นยังไง?” เธอบ่นพลางถอนหายใจ “เดี๋ยวแม่ไปเอากล่องยามาให้”
“โธ่แม่ครับ ผมบอกแล้วว่าไม่เป็น...”
“รอแม่แป๊บเดียว” เธอหันมายกมือบอกแล้วเร่งฝีเท้าออกไป เด็กหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ เขาไม่อยากให้แม่ต้องคิดมากเลย แค่กับงานที่บริษัทก็เหนื่อยมากพอแล้ว เซฮุนไม่อยากเป็นภาระที่ทำให้พ่อกับแม่ต้องเหนื่อยกว่าที่เป็นอยู่
หญิงวัยกลางคนเดินกลับมาพร้อมกล่องยา เธอเทเบตาดีนใส่สำลีเพียงเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ แตะลงบนโหนกแก้มขาวเบา ๆ เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงมือนุ่มของแม่ที่วางทับบนหลังมือเขาราวกับจะบอกให้รู้ว่าเธออยู่ตรงนี้แล้ว
เซฮุนหลับตาลงทันทีที่คนตรงหน้ากำลังเป่าลมอ่อน ๆ รดลงบนแผลเพื่อช่วยทุเลาความเจ็บปวดให้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กอนุบาลทุกครั้งเวลาอยู่กับแม่ ซึ่งเซฮุนชอบที่จะรู้สึกแบบนี้ เพราะถึงพ่อกับแม่จะยุ่งกับงานมากแค่ไหน แต่ทั้งคู่ก็พยายามหาเวลามาให้เขาอยู่เสมอ อย่างเช่นตอนนี้...ที่แม่กำลังทำให้เห็นว่าเธอรักลูกมากแค่ไหน
“คราวหลังอย่าขึ้นรถเมล์อีกนะลูก”
“ผมจะไม่ขึ้นรถเมล์อีก ขอโทษนะครับแม่”
“แม่ไม่ได้โกรธ แต่แม่แค่เป็นห่วง ลูกเข้าใจใช่ไหม?”
“ครับ ผมถึงได้ขอโทษที่ไม่เชื่อฟังแม่” เธอยิ้มพอใจกับคำพูดของลูกชายที่ไม่ว่าเมื่อไหร่เด็กคนนี้ก็แสดงออกให้เห็นอยู่เสมอว่าเคารพและเชื่อฟังเธอมากแค่ไหน
“วันนี้ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง?” ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกถามแบบนี้ และเซฮุนก็ต้องหยุดใช้ความคิดไปหลายวินาทีกับการหาคำตอบที่จะทำให้แม่สบายใจ
“ก็เหมือนเดิมครับ เรียน ซ้อมเต้นแล้วก็กลับบ้าน”
“ซ้อมกับชานซองกับยงฮวาใช่ไหม เพื่อน ๆ สบายดีนะ?” เซฮุนนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบ “เอ...นั่นเสียงเปียโนนี่?”
เธอเลิกคิ้วมองลูกชายก่อนจะกลอกตามองโน้ตบุ๊คที่เปิดหน้าจอค้างไว้ จากเสียงดนตรีที่บรรเลงมันทำให้เธอไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าเด็กที่รักการเต้นและเพลงฮิปฮอปจะมานั่งฟังเสียงเพลงบรรเลงชวนง่วงแบบนี้
“อารมณ์ไหนน่ะเรา?”
“อ๋อเปล่าครับ ผมแค่...” เซฮุนเกาท้ายทอยพลางยิ้มเจื่อน “ผมบังเอิญเจอคน ๆ นึงบนรถเมล์ เขาอยู่โรงเรียนเดียวกับผม เรานั่งคุยกันเรื่องเพลงที่ชอบ เขาเลยแนะนำให้ผมฟังเสียงเปียโนเวลานอนไม่หลับน่ะ...” เด็กหนุ่มเกลียดตัวเองที่เอาแต่โกหก นี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เขาต้องสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อทำให้พ่อกับแม่สบายใจ
“เหรอ แล้วทำไมเขาไม่ช่วยตอนที่เราโดนลูกหลงล่ะ? เขาเป็นคนประเภทไหนกัน?” เธอขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่หรอกครับ กลับกันแล้วเขาเป็นคนช่วยผมออกมาจากตรงนั้นต่างหาก”
“อ่า...” เธอลดสีหน้าลง เซฮุนมองหน้าคนเป็นแม่ที่นิ่งไปหลายวินาทีก่อนจะลูบหัวเขาอย่างเอ็นดู “งั้นแม่ไม่กวนเราแล้วดีกว่า ราตรีสวัสดิ์นะจ๊ะลูกรัก”
“ราตรีสวัสดิ์ครับ” เซฮุนยิ้มพลางกอดตอบก่อนจะมองตามอีกคนไปจนกระทั่งเสียงประตูปิดลง
เสียงเปียโนยังคงเล่นไปอย่างต่อเนื่อง และพอรู้สึกตัวอีกทีใบหน้าเรียบเฉยของใครอีกคนก็ลอยเข้ามาในหัว แต่ไหนแต่ไรเซฮุนก็อ่านใจใครไม่ออกอยู่แล้ว เขามีเพียงแค่สัญชาติญาณที่ทำให้รู้ว่าใครชอบหรือไม่ชอบขี้หน้าเขา ซึ่งมันกำลังบอกว่า...คิมจงอินต่างจากคนอื่น
หรือบางที...มันอาจจะเป็นแค่สิ่งที่โอเซฮุนคิดไปเองก็ได้
.
.
เสียงน้ำที่ไหลออกจากก๊อกคือสิ่งเดียวที่ทำลายความเงียบในห้องน้ำชายตอนช่วงเช้าตรู่แบบนี้ ข้างนอกมีเสียงพูดคุยผ่านเข้ามาเป็นระยะ คาดว่าคนพวกนั้นคงเป็นเด็กเรียนที่ชอบตื่นแต่เช้า ซึ่งมันตรงกันข้ามกับเขาที่ตื่นเช้าเพราะนอนไม่ค่อยหลับ
สาเหตุมาจากการนอนโดยปราศจากหูฟัง โอเค คิมจงอินรู้อยู่แก่ใจว่าการหลับไปทั้งที่ยังมีหูฟังเสียบคาอยู่มันอาจส่งผลเสียต่อหูในอนาคต แต่เด็กหนุ่มไม่มีทางเลือกแล้ว เพราะเขาไม่สามารถหลับโดยที่ไม่มีเสียงเปียโนกล่อมได้
เพราะมัวแต่ทำตัวไม่ถูกตอนอยู่กับโอเซฮุนนั่นแหละเลยทำให้ลืมขอหูฟังคืน เด็กหนุ่มถอนหายใจกับความสะเพร่าที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก มันไม่ใช่เรื่องที่ควรพลาดเลยสักนิดกะอีแค่ดึงสายหูฟังออกมาแล้วปิดประตูมันไม่เห็นจะยากอะไร
แต่เพราะประโยคที่พอนึกถึงทีไรก็อยากตบปากตัวเองนั่นแหละที่ทำให้สมองเออเร่อ จนถึงวินาทีนี้คิมจงอินก็ยังอายไม่หาย
“อรุณสวัสดิ์จงอิน”
“อ้าวแบคฮยอน มาแต่เช้าเลยนะวันนี้”
“ชานยอลไม่ตื่นสาย เราเลยมาเร็ว” จงอินมองคนตัวเล็กผ่านกระจกบานใหญ่ที่กำลังเดินเข้าไปทางด้านในสุดก่อนจะได้ยินเสียงรูดซิปกางเกง จนแบคฮยอนหันมาทำมือปัด ๆ เป็นเชิงบอกให้หันหน้าหนีนั่นแหละเขาถึงได้เลิกมอง
“กินข้าวมาหรือยัง”
“เราแบ่งขนมปังกับชานยอลกินคนละครึ่งแล้ว จงอินล่ะกินหรือยัง”
“เรียบร้อย” ทำเป็นก้มหน้าล้างมือไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากยืนเก้อเฉย ๆ เพียงไม่กี่อึดใจแบคฮยอนก็เดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ แล้วเปิดก๊อกน้ำล้างมือบ้าง
เด็กหนุ่มหันไปสบตากับคนตัวเล็ก แน่นอนว่าเขาหลุดยิ้มออกมาได้เหมือนกับทุกครั้งเพียงแค่แบคฮยอนยิ้มตาหยีใส่
“เราปวดฉี่ตั้งนานแล้ว แต่ชานยอลไม่ยอมให้เรามาเข้าห้องน้ำ”
“ทำไมล่ะ”
“ชานยอลบอกว่าแค่อั้นฉี่ยังทำไม่ได้โตขึ้นเราคงเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เอาไหน อนาคตประเทศชาติคงล่มจมเพราะมีคนอย่างเราอยู่บนแผ่นดินเกาหลีใต้ เราว่าตรรกะชานยอลค่อนข้างที่จะป่วยเหมือนส่วนสูงของเขาเลย” ทันทีที่ฟังจบเด็กหนุ่มผิวแทนก็หลุดขำออกมา
“ถ้ามันได้ยินนะ...” จงอินมองอีกคนแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ “โดนฆ่าแน่”
“งั้นห้ามบอกชานยอลนะ เราจะได้ไม่โดนฆ่า...” แบคฮยอนเอานิ้วชี้แตะปากตัวเองแล้วชำเลืองมองออกไปนอกห้องน้ำชายราวกับกลัวว่าคน ๆ นั้นจะมาได้ยินเข้า
“กลัวเป็นด้วยหรือไง?” เด็กหนุ่มมองอีกคนอย่างเอ็นดู หลังจากได้ฟังความในใจตอนทาสีบ้านวันนั้นยอมรับว่ารู้สึกดีกับการเห็นพัฒนาการของเพื่อนรักกับแบคฮยอนมากขึ้นกว่าที่เคย
เขาชอบเวลาไอ้ชานยอลพยายามทำตัวดีขึ้นทั้งที่ปากก็ยังเห่าหอนเหมือนหมาไม่ต่างจากเดิม ในขณะที่แบคฮยอนก็ยังคงมึน ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ทั้งคู่มีอะไรที่แตกต่าง แต่พออยู่ด้วยกันแล้วมันกลับลงตัวจนเห็นแล้วรู้สึกอิจฉาอยู่ลึก ๆ
เคยคิดเหมือนกันว่าถ้าเขาอยู่ในสถานะเดียวกับไอ้ชานยอลแล้วได้เจอคนอย่างแบคฮยอนบ้างจะเป็นยังไงนะ? ในทีแรกก็หาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ แต่สุดท้ายก็นั่นแหละ...เขาไม่มีทางตกลงปลงใจกับมนุษย์ฮอบบิทได้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่างที่ทำให้เราเหมาะสมกับการเป็นเพื่อนมากที่สุด
เดี๋ยว ๆ ที่คิดแบบนี้ก็เพราะสงสัยหรอกนะ คิมจงอินไม่เคยคิดกับบยอนแบคฮยอนมากไปกว่าเพื่อนเลยสาบานได้
“ถามอะไรอย่างสิ”
“เรื่องชานยอลเหรอ ไม่เอานะเราไม่อยากเขินตั้งแต่เช้า” ร่างเล็กรีบพูดดักขึ้นมาก่อน พอได้ยินอย่างนั้นจงอินเลยขำเล็กน้อย
“เปล่า ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก”
“แล้วเรื่องอะไรอ่ะ...” แบคฮยอนมองคนตัวโตกว่าผ่านกระจกก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเมื่อคนข้าง ๆ เอามือที่เปียกน้ำมายีหัวเขา “โหยจงอินอ่ะ อย่ามาทำตัวชานยอลสิ” ทุกทีเลย ชานยอลก็ชอบเห็นเสื้อกับหัวเขาเป็นที่เช็ดมือเหมือนกันไม่มีผิด
“ถ้าบังเอิญเจอคน ๆ นึงระหว่างทาง แล้วมีเหตุให้นายกับเขาต้องกลับบ้านด้วยกัน...เดี๋ยวนะ มาสัญญากันก่อนว่าจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเด็ดขาด” จงอินมองคนตัวเล็กอย่างจริงจังแล้วกำมือขึ้นมา พอเห็นอย่างนั้นแบคฮยอนเลยทำตาปริบ ๆ ก่อนจะกำมือแล้วชกตอบเป็นการรับสัญญาในครั้งนี้
“เราจะไม่บอกใคร”
“เยี่ยม” จงอินหันหลังยืนพิงกับซิงค์อ่างล้างมือพลางกอดอกมองอีกคน “ด้วยความที่นายสองคนคุ้นหน้ากันอยู่แล้วแต่ไม่เคยคุยกันมาก่อน แถมนายก็เคยได้ยินเรื่องไม่ดีของคน ๆ นั้นมาพอสมควรเลยทำให้มีอคติอยู่บ้าง การคุยกันเลยน่าอึดอัด”
“ทำไมถึงมีอคติล่ะ”
“ก็เพราะเขามีข่าวไม่ดีไง”
“งั้นไม่ใช่แล้ว เราไม่เคยตัดสินใครจากปากคนอื่นทั้งที่ยังไม่เคยลองคุยกัน มันไม่ยุติธรรมอ่ะ” ประโยคนี้ทำเอาเด็กหนุ่มผิวแทนนิ่งไปครู่หนึ่ง แน่นอนว่าเขารู้ว่าอะไรถูกผิด แต่ข่าวลือไม่ดีของโอเซฮุนก็มีมาให้ได้ยินอยู่ตลอด โอเค...ยอมรับก็ได้ว่าหูเบาไปช่วงนึง
“ก็แค่สมมติน่ะ”
“โอเค สมมติก็สมมติ จงอินเล่าต่อได้” จงอินก้มหน้าเล็กน้อยแล้วครุ่นคิดอยู่กับเรื่องราวในหัว
“นายสองคนกลับบ้านทางเดียวกัน แต่นายต้องลงก่อนสองถึงสามป้าย แต่ก่อนลงคน ๆ นั้นถามนายว่า ‘ถ้าเจอกันคราวหน้าขอทักได้ไหม?’ นายจะรู้สึกยังไง?”
“ไม่รู้อ่ะ เราไม่เคยอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นคงบอกไม่ได้ว่ารู้สึกยังไง”
“...”
“แต่การที่คน ๆ นึงอยากทักทายเป็นครั้งที่สอง มันก็แสดงว่าเขาต้องรู้สึกดีกับการได้คุยกันครั้งแรกไม่ใช่เหรอ”
“...”
“หรือเราคิดผิด” แบคฮยอนเกาหัว เขารู้สึกเฟลอยู่ไม่น้อยที่ให้คำปรึกษาจงอินได้ไม่ดีเท่าที่ควร
“ไม่หรอก” เด็กหนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “งั้นขอถามคำถามสุดท้ายนะ”
“อื้ม!”
“ถ้าคน ๆ นั้นบอกว่า ‘มันก็อยู่ที่ว่านายอยากเต้นอยู่บนถนนหรือว่าอยากเดินลงมาในทุ่งดอกไม้ของ Yiruma อีกหรือเปล่า?’ นาย...จะรู้สึกยังไง?” ตอนนี้คิมจงอินเริ่มเครียดกับประโยคที่เขาคิดหนักมาตลอดทั้งคืน ไม่น่าเลย ไม่น่าพูดมันออกไปเลย มันจะดีมากเลยนะถ้าแบคฮยอนตอบกลับมาว่า ‘จะต้องรู้สึกอะไรด้วยเหรอ ก็ไม่นี่’
“Yiruma คืออะไรอ่ะ”
“...”
“...”
กริบ...
พอเห็นตาใส ๆ ผ่านเลนส์แว่นกรอบดำกับคิ้วทั้งสองข้างที่ขมวดเข้ากันเป็นการบอกผ่านทางหน้าตาว่าบยอนแบคฮยอนกำลังงงอย่างสุดขีดว่า Yiruma ที่พูดถึงนั้นมันคืออะไรกัน
“ยี่ห้อรองเท้าเหรอ”
“นักเปียโนพอ”
“เอ้า เราไม่รู้จักอ่ะ...เขินจัง” แบคฮยอนก้ม ๆ เงย ๆ ยิ้มอย่างขลาดอาย “แล้วนักเปียโนคนนั้นเขามีทุ่งดอกไม้เป็นของตัวเองด้วยงี้เหรอ”
“...”
กูว่ากูถามผิดคน...
“แล้วนักเปียโนเกี่ยวอะไรกับคนนั้นล่ะ เป็นญาติกันใช่ไหม?”
“แบคฮยอน เดี๋ยว”
“แล้วทำไมเขาต้องเต้นบนถนนด้วย ไม่กลัวรถชนเหรอ”
“เอาเป็นว่าคนนั้นแค่อยากถามลองเชิงเฉย ๆ ว่าถ้าอยากเจอกันอีกมันก็อยู่ที่ใจของหมอนั่นอะไรทำนองนี้ แต่คำพูดมันดูวกวนเพราะจะได้กำกวมขึ้นมาหน่อยน่ะ”
ให้ตายเถอะ คิมจงอินกำลังอายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนีที่จะต้องมาอธิบายเกี่ยวกับประโยคเสี่ยว ๆ ที่หลุดพูดกับคนที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าอย่างโอเซฮุน ซึ่งพอนึกถึงทีไรก็ไม่สามารถคิดไปในทางอื่นได้เลยนอกจากกูกำลังจีบมันอยู่ ชิบหาย แล้วไม่ใช่อย่างนั้นไง
“ผู้ชายคนนั้นประหลาดอีกแล้ว ทำไมต้องลองเชิงพูดจากำกวมด้วย พูดตรง ๆ คนเขาก็เข้าใจนะ”
“ถ้าพูดถึงสวนดอกไม้ของ Yiruma แล้วมันเท่กว่าไง”
“จะเท่ไปทำไมอ่ะ ก็แค่คนที่มีอคติต่อกัน ถ้าเป็นคนที่ชอบก็ว่าไปอย่าง”
ตึง!!!!
“...”
“เราเคยเจอในละครที่พระเอกชอบพูดแบบนี้”
“เดี๋ยว? ถ้าพูดอย่างนั้นแล้วคนฟังจะเข้าใจว่าจีบเหรอ?”
“ไม่รู้อ่ะ แต่ถ้าถามเราก็คงใช่”
ตึง!!!!
จงอินถึงกับกุมขมับ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการชอบ Yiruma จะส่งผลให้เขาต้องมาคิดหนักในวันนี้ สาบานได้เลยว่าคิมจงอินไม่ได้จะจีบอะไรทั้งนั้น ก็แค่คิดว่าเสียงเปียโนของ Yiruma มีเสน่ห์จนอยากหยิบยกขึ้นมาพูดเปรียบเทียบกับเรื่องเต้นของโอเซฮุนเฉย ๆ
ใช่...มันแค่นั้นจริง ๆ
“โอเค...ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไร เราชกมือกับจงอินแล้ว เราไม่บอกใครแน่” แบคฮยอนกำหมัดโชว์พร้อมทำหน้ามุ่งมั่น “มันไม่ใช่เรื่องของจงอินด้วย มันเป็นเรื่องสมมติ” ประโยคนี้ทำหน้าสั่นไปอีก วูบหนึ่งคิมจงอินได้แต่หรี่ตามองคนข้าง ๆ อย่างหวาดระแวงว่ามันพูดจริงหรือกำลังประชดอยู่กันแน่ ถ้าเรื่องนี้ถึงหูไอ้ชานยอลหรือไอ้เทาเมื่อไหร่ชีวิตของเขาคงได้ดับดิ้นสิ้นชีวาวายแหงแซะ
“ไอ้บ้านนอก!”
“ชานยอลมาแล้ว! จงอินต้องแกล้งทำเป็นไม่เห็นเรานะ!” แบคฮยอนสะดุ้งสุดตัวแล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำก่อนจะลงกลอนแน่นหนาทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นเคยของคนบ้าอำนาจดังมาจากข้างนอก
“อ้าว? ก็ว่าเห็นกระเป๋าห้อยอยู่กับเก้าอี้ นึกว่าหายหัวไปไหน มาหาของกินในนี้เหรอสหาย” มาถึงก็ปากล่อตีนแต่เช้า จงอินปั้นหน้านิ่งแล้วพยักหน้าแบบขอไปที
“เออ หาเผื่อมึงกับไอ้เทาน่ะ” ได้ยินอย่างนั้นชานยอลเลยไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“เห็นไอ้บ้านนอกไหม?”
“หืม?”
“มันบอกว่ามาฉี่แป๊บเดียว แต่นี่มันนานเกินกว่าที่คนตัวสั้น ๆ อย่างมันจะใช้เวลาไปกับการปลดทุกข์แล้วนะ” เด็กตัวสูงหรี่ตามองไปรอบ ๆ ห้องน้ำก่อนจะหยุดอยู่ที่เพื่อนสนิท
“มันลงไปเข้าชั้นหนึ่งเปล่า เมื่อกี้คนแย่งกันฉี่จนโถไม่ว่างเลย”
“จริงดิ?”
ถึงปาร์คชานยอลจะเป็นคนฉลาดแต่มันก็ชอบโง่ในเรื่องที่คนอื่นเขาฉลาดกัน เด็กหนุ่มนึกอยากหัวเราะแต่ก็ได้แค่กลั้นไว้ก่อนที่เพื่อนตัวดีจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าจะออกไปตามล่ามนุษย์ฮอบบิทที่ชั้นหนึ่ง ตอนนั้นแหละคิมจงอินถึงยิ้มออกมาได้สักที
.
.
ล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเดินกลับไปที่ห้องเรียน แต่พอใกล้จะถึงก็ต้องหยุดฝีเท้าเมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่หน้าประตูห้อง รูปร่างส่วนสูงค่อนข้างที่จะคุ้นตาแม้ว่าจะเคยเห็นอยู่ไม่กี่ครั้ง ขายาวก้าวเข้าไปหยุดอยู่ข้างหลังก่อนจะยกมือขึ้นสะกิดไหล่
“โอ๊ะ!”
“อะไร ทำหน้าอย่างกับเจอผี” เด็กหนุ่มมองคนตัวผอมที่กำลังยิ้มเจื่อนก่อนจะหลบสายตาไป โอเซฮุนเลียริมฝีปากราวกับกำลังรวบรวมความกล้า และคงเป็นอย่างนั้นเพราะสายตาคนอื่นกำลังมองมาทางนี้ซึ่งเต็มไปด้วยความสงสัย
“ฉันเอาหูฟังมาคืน”
“อ่าฮะ”
“ขอโทษนะที่เมื่อวานลืมเอาให้”
“ขอโทษอีกแล้ว” เซฮุนรู้สึกเหมือนกำลังถูกดุเพียงแค่คนตรงหน้าเลิกคิ้วเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ใช่ว่าเขาจะเป็นคนที่ชอบพูดคำนี้เสียเมื่อไหร่ แต่เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับคิมจงอินมันชวนให้ต้องขอโทษต่างหากเขาถึงได้พูดอย่างนั้น
“งั้นขอบคุณก็ได้”
“ตามใจแล้วกัน” เด็กหนุ่มแบมือออกมารอ เพียงแค่ครู่เดียวเซฮุนก็ล้วงกระเป๋ากางเกงแล้ววางซองกำมะหยี่สีดำลงบนมือหนา และสิ่งที่ดึงความสนใจจากคิมจงอินไปได้ก็คือตัวหนังสือที่ถูกปักมาเป็นอย่างดี
‘LIFE IS TOO SHORT TO USE A BAD EARPHONE’
“อะไร”
“ซองใส่หูฟัง”
“รู้ ก็เห็นอยู่ตำตา” เด็กหนุ่มผิวแทนพูดทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากซองกำมะหยี่สีดำ
“ฉันให้”
“ถ้าให้เพราะเรื่องเมื่อวานล่ะก็เอาคืนไปเถอะ มันไม่ได้ใหญ่โตถึงขนาดนั้น” จงอินดึงหูฟังออกมาจากซองแต่ก็ถูกเซฮุนคว้ามือเอาไว้ก่อน เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกคนในทันที ตอนนี้คนตัวผอมกำลังเลิกลักเพราะทำตัวไม่ถูกเลยผละมือออกจนซองกำมะหยี่ตกลงพื้น
“หูฟังของนายเป็นสีขาว ถ้าเก็บใส่ซองดี ๆ มันจะ...” จู่ ๆ ก็กลายเป็นใบ้ขึ้นมาอย่างฉับพลันเมื่อคนตรงหน้าย่อตัวลงไปเก็บซองกำมะหยี่ขึ้นมาปัดฝุ่นเบา ๆ ให้ “ฉันได้มันมาฟรี ๆ น่ะ...ไม่ได้คิดว่าเป็นค่าตอบแทนเรื่องเมื่อวานด้วย มันไม่ได้ใหญ่โตอย่างที่นายพูดเรื่องนั้นฉันรู้”
“ต้องอธิบายถึงขนาดนั้นเลยหรือไง?” เซฮุนกำลังประหม่ากับสายตาของอีกคนที่จับจ้องเขาโดยไม่ละไปไหน คิมจงอินกำลังรู้สึกยังไงโอเซฮุนไม่สามารถคาดเดาได้เลยสักนิด
“ไม่เป็นไร งั้นนายเอาหูฟังคืนไปอย่างเดียวก็ได้” คนตัวผอมยิ้มแห้ง ๆ แล้วแบมือออกมา มันคงไม่ดีถ้าหากเขาจะดื้อดังบังคับให้จงอินรับของไว้ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้สนิทกันถึงขนาดนั้น
ริมฝีปากหุบยิ้มลงเมื่อจู่ ๆ สิ่งที่วางลงมากลับกลายเป็นฝ่ามือที่แปะเบา ๆ แทนที่จะเป็นซองหูฟังกำมะหยี่ของรักของหวงที่เขาตั้งใจเลือกอยู่นานว่าอันไหนถึงจะเหมาะกับผู้ชายอย่างคิมจงอิน
สัมผัสอุ่น ๆ จากมือของคนตรงหน้าถึงแม้ว่าจะเกิดขึ้นเพียงแค่เสี้ยววินาทีแต่มันกลับทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ ตรงหน้าอกข้างซ้าย เซฮุนรู้สึกได้ถึงลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านตอนที่คิมจงอินเดินสวนไป อีกทั้งเสียงแผ่วเบาที่ราวกับกระซิบว่า ‘ขอบใจ’
แค่นั้นแหละ...โอเซฮุนถึงได้รู้ว่าวันนี้เรื่องดี ๆ ได้เกิดขึ้นกับเขาแล้ว
TBC
ไปทะเลมา #นอนอาบแดด
ความคิดเห็น