คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : Special Scene 02 :: Old days. (จบมาก ๆ)
? cactus
Special Scene 02
“แอ้ะ!”
“จ๋าลูก”
ชานยอลหัวเราะก่อนจะรับผ้าผืนเล็กมาซับปากให้ลูกชายวัยสิบเอ็ดเดือนที่พ่นน้ำลายเล่นอีกทั้งยังพูดภาษาต่างดาวไม่หยุด แบคฮี จงแด คยองซู และจุนฮีต่างมองด้วยความเอ็นดูปนหมั่นไส้คุณพ่อที่เห่อลูกจนไม่ยอมออกไปเจอเพื่อนที่ถ่อหน้ามาตั้งแต่นิวยอร์ก จนเมื่อวานอู๋อี้ฝานต้องอุ้มลูกชายมาหาเองถึงบ้าน
“อัปป้าไงครับ อัปป้า...”
ดวงตากลมโตมองอย่างไม่เข้าใจ สองมือเล็กตบแก้มพ่อจ๋าอย่างนึกสนุกก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างไร้เหตุผล เทวดาตัวน้อยกลายเป็นที่รักของทุกคนยังคงน่ารักเหมือนทุกวัน เป็นเด็กที่เลี้ยงไม่ยากเกินความสามารถแต่ก็ง่ายกว่าตอนเลี้ยงโซจิน
“อัป... ป้า” ชานยอลยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะสอนให้ลูกชายเรียกตัวเอง แน่นอนว่าแบคฮีไม่พลาดที่จะถ่ายคลิปความพยายามเหล่านี้เก็บไว้ให้ลูกดูเมื่อโตขึ้น
“แบคฮยอนอาจจะยังมองไม่เห็นราศีพ่อในตัวพี่ก็ได้นะครับ” หมั่นไส้เกินไปแล้ว ปาร์คชานยอลจะทำให้คิมจงแดอยากมีลูกทั้งที่ยังโสดไม่ได้
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่รีบ” ชายหนุ่มอมยิ้ม หอมแก้มยุ้ย ๆ ของก้อนตัวน้อยแล้วอุ้มให้ลอยขึ้นระดับใบหน้า แบคฮยอนทั้งดึงทั้งบีบจมูกโด่งได้รูปของคุณพ่อ กระพริบตาปริบ ๆ มองริมฝีปากที่ขยับพูดคำเดิม ๆ แล้วงึมงำภาษามนุษย์ต่างดาว
“ปา!”
“...” ทุกคนชะงักกับเสียงเด็กทารกวัยสิบเอ็ดเดือนที่ตะโกนออกมา เทวดาตัวน้อยยังคงยิ้ม สบตากับคุณพ่อที่คงช็อกอยู่ไม่น้อยหลังจากได้ยินเสียงเมื่อครู่
“ปาปา!”
“ใช่แบคฮยอน ปะป๊า”
“ปา!” ทารกตัวน้อยพ่นน้ำลายเล่นอีกครั้ง ตบหน้าคุณพ่อแปะ ๆ อย่าง ไร้เดียงสา และคราวนี้เป็นทีคุณแม่ที่คอยซับปากและแก้มให้คุณพ่อ
“โห เรียนรู้ไวเหมือนกันนะเนี่ย” จุนฮีปรบมือให้หลานชายตัวน้อยที่เธอซื้อของเล่นราคาแพงปรนเปรอให้อย่างไม่นึกเสียดาย
“บางทีก้อนนั่นอาจจะพูดขึ้นมาโดยที่ไม่เข้าใจความหมายก็ได้”
“คยองซูยา... อย่าดับฝันคนกำลังเพ้อได้ไหม เราอุตส่าห์ไม่พูดแล้วนะ” จงแดหันไปปรามเพื่อนของเพื่อนสนิท คยองซูจึงยกมือขึ้นระดับอกเป็นเชิงขอโทษ ท่ามกลางสายตาของคุณพ่อมือใหม่ที่เพิ่งโดนดับฝัน
“เดี๋ยวผมจะสอนให้แบคฮยอนเรียกหม่ามี๊ พอถึงตอนนั้นอย่าอิจฉาล่ะครับ เพราะผมจะไม่สอนให้เขาเรียกลุงกับน้า” จงแด จุนฮี คยองซูต่างเบ้ปากพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย แล้วไงใครแคร์... เดี๋ยวเด็กมันโตขึ้นก็รู้เองว่าอำนาจของเล่นราคาแพงย่อมชนะทุกสิ่งได้
แบคฮยอนยื่นมือไปหาผู้หญิงที่คุ้นหน้าคุ้นตาป้อนข้าวป้อนน้ำให้ทุกวัน จ้องหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกรี๊ดเสียงแหลมอย่างไร้เหตุผล แบคฮีจึงจับมือเล็กไว้พร้อมมองอย่างคาดหวังว่าลูกจะเรียกตัวเองว่าแม่หรือไม่ หญิงสาวค่อนข้างกังวลเพราะส่วนใหญ่พี่ชานยอลจะเป็นคนเลี้ยงลูกเมื่อมีเวลาว่าง ส่วนเธอแค่ให้นม ป้อนข้าวลูก แล้วเดินเรื่องเกี่ยวกับแบรนด์เสื้อผ้าไปด้วย แต่ถ้าลูกจะไม่สนิทใจกับเธอก็ไม่แปลก แต่ทุกวันนี้ที่พยายามจนนอนไม่พอก็เพื่ออนาคตของแบคฮยอนทั้งนั้น
“ว่าไงครับสุดหล่อ?” แบคฮีเล่นอิงแอบ ก้อนตัวน้อยจึงหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างนึกสนุก ชานยอลส่งลูกให้ภรรยาอุ้มบ้าง คราวนี้เป็นคิวคุณพ่อถ่ายคลิปและภาพที่เห็นผ่านกรอบสี่เหลี่ยมช่างน่ารักจนอยากเอาไปอวดทุกคนในโลก
“พักผ่อนบ้างนะเธอ เลี้ยงลูกก็เหนื่อยแล้วอย่าฝืนตัวเองให้มาก ตอนนี้ฉันส่งคนไปดูร้านให้อยู่ ตกแต่งไปได้เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เดี๋ยวใกล้เสร็จจะให้เธอเข้าไปดู” จุนฮีเป็นห่วงเพื่อน แต่ก็เข้าใจว่าแบคฮีอยากช่วยสามีแบ่งเบาภาระ เพราะตั้งแต่เรียนจบมาก็แต่งงานเลยโดยที่ยังไม่มีโอกาสได้ทำงานหาเงินอย่างที่ตั้งใจ
คยองซูเป็นดีไซเนอร์แบรนด์รองเท้าชายซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในตอนนี้ และจุนฮีเป็นลูกสาวเจ้าของห้างสรรพสินค้าที่ไม่ได้ใช้ความรู้แฟชั่นดีไซน์ที่ร่ำเรียนมาเลยสักนิด อีกทั้งยังต้องขยันเรียนเรื่องการตลาดเพื่อเตรียมตัวนั่งเก้าอี้แทนพ่อ
“เดี๋ยวจะเข้าไปหาช่างเย็บอีกที ถ้าได้เรื่องแล้วจะเอามาให้ดู” แบคฮีโชคดีที่มีคยองซูคอยรับผิดชอบเรื่องประสานงานการผลิตให้ ส่วนจุนฮีก็ช่วยจัดการเรื่องห้องเช่าในห้างที่พ่อเป็นเจ้าของ จนตอนนี้เธอแทบจะไม่ได้ทำอะไรเองเลยนอกจากทำเว็บแบรนด์เสื้อผ้า
“ขอบใจมาก ไว้จะพาไปเลี้ยงหมูย่าง”
“จะผลาญให้แหกเลย” คยองซูกล่าวหน้านิ่ง ก่อนจะแท็กมือกับจุนฮีโดยไม่มองหน้ากัน
“จะให้เรามาเป็นแบบให้เมื่อไหร่ก็บอกนะ ถ้าเป็นวันหยุดได้ก็จะดีมากเลย” จงแดยิ้ม เขาตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในกิจการของเพื่อนสนิท ถึงจะบอกไปแล้วว่าเขาไม่ใช่คนหน้าตาดีพอที่จะเป็นหุ่นลองเสื้อให้ได้ แต่ก็โดนแบคฮีตอกกลับมาว่า ‘จงแดของเราหล่อที่สุด ห้ามเถียง’
เขาก็เลยตกลง... ยอมเป็นหุ่นไซส์แอลให้
ส่วนคยองซูรับหน้าที่เป็นหุ่นไซส์เอ็ม และสามีคนหล่อเป็นไซส์อะไรก็ไม่รู้ คนเป็นภรรยาคงวัดให้เองแล้ว
“หม่ำ ๆ” ก้อนตัวน้อยที่ยังพูดไม่เป็นภาษารู้เพียงแค่ว่าถ้าหิวต้องพูดอะไร
“ปะลูก ไปหม่ำ ๆ กัน” แบคฮยอนซบศีรษะลงกับแก้มคนให้อาหารอย่างออดอ้อน ชานยอลมองตามเมียที่กำลังอุ้มลูกออกไปให้นม ก่อนจะผงะเล็กน้อยตอนหันกลับมาเจอสายตาเด็กทั้งสามคนที่มองมาราวกับว่าหมั่นไส้เขาเหลือเกิน
“นี่ลุง ให้เพื่อนผมพักเครื่องบ้างนะ มันต้องทำงานทำการ” <- คยองซู
“จริงค่ะ พี่จะปั๊มลูกหัวปีท้ายปีไม่ได้นะ ชีวิตผู้หญิงคนนึงจะให้อุ้มท้องโทงเทงติดกันมันก็น่าเศร้าเกินไป พี่ต้องให้เพื่อนหนูพัก” <- จุนฮี
“แล้วก็ห้ามทำเรื่องลามกต่อหน้าหลานผมเด็ดขาดเลยนะครับ ห้าม” <- จงแด
คุณพ่อมือใหม่ได้แต่ยิ้มขำกับคำเตือนของเพื่อนสนิทภรรยา เขารู้สึกดีที่ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกันคือเป็นห่วงแบคฮี แม้ว่าต่างฝ่ายต่างก็มีงานทำไปแล้ว
*
“แบคฮีจ๋า ตัวนี้ลูกค้าถามหาไซส์เอ็ม ของจะลงอีกทีเมื่อไหร่จ๊ะ?”
“พุธหน้าค่ะพี่ รบกวนบอกลูกค้าให้หนูทีนะคะว่าถ้าไม่สะดวกจะสั่งผ่านเว็บร้านเราก็ได้ ตอนนี้มีโปรสั่งครั้งแรกลดสิบเปอร์เซ็นต์อยู่ค่ะ”
“ได้เลยจ้ะ”
ลูกจ้างรุ่นพี่เอาเสื้อตัวอย่างกลับไปหาลูกค้าเมื่อได้คำตอบจากเจ้าของแบรนด์ที่เพิ่งลงมาจัดการร้านด้วยตัวเองเป็นวันที่สามหลังจากเปิดกิจการมาได้สองอาทิตย์แล้ว ก่อนหน้านี้ได้จุนฮีกับคยองซูมาช่วยดูแลให้และทุกอย่างก็ค่อยเป็นค่อยไปจนออกมาดีอย่างคาดไม่ถึง
อาจเป็นเพราะออลจังซื้อไปใส่ วัยรุ่นที่ชอบความแปลกใหม่จึงลองซื้อเสื้อผ้าของเธอ หญิงสาวดัดผมลอนอ่อน ๆ รวบเป็นหางม้า สวมเชิ้ตขาวกับกางเกงขายาวเข้ารูปคล่องแคล่วด้วยรองเท้าส้นสูง แบคฮีจัดการเปลี่ยนชุดหุ่นลองเสื้อด้วยตัวเองโดยไม่รอพนักงาน เธอทำหน้าที่เท่ากับลูกจ้างโดยไม่คิดนั่งอยู่เฉย ๆ
คุณแม่มือใหม่ที่ขอเวลามาดูแลร้านสักสามสี่เดือน หลังจากนั้นจะจ้างผู้จัดการที่ไว้ใจได้มาดูแลร้านให้ เธออยากหารายได้เพิ่มเพราะไม่อยากปล่อยสามีหาเงินอยู่ฝ่ายเดียว แบคฮีฝากลูกไว้กับป้าแม่บ้านที่รู้ดีว่าต้องเลี้ยงหลานอย่างไร และผู้ใหญ่บ้านนั้นก็เห่อหลานเสียจนสั่งคนมาตกแต่งห้อง พร้อมซื้อของเล่นเด็กให้ แบคฮยอนชุดใหญ่
พอเลิกงานก็ให้คุณพ่อไปรับกลับบ้าน แบคฮยอนมีงอแงบ้างแต่เจอพลังความเป็นแม่ของป้าแม่บ้านเข้าให้ก็อ้อนเสียจนลืมไปเลยว่าเคยงอแงแค่ไหน แบคฮีชอบชีวิตช่วงนี้เหลือเกิน แม้จะยุ่งจนหัวหมุน แต่การตื่นมาออกกำลังกายและจิบกาแฟพร้อมสามีตอนเช้ามันก็ช่วยชาร์จพลังให้คุณแม่มือใหม่หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
มองไปตามผนังสีขาวก็พบพรีเซนเตอร์ที่เป็นคนใกล้ตัวทั้งหมด จงแดกับคยองซูไม่ใช่คนโพสต์ท่าเก่ง แต่ได้แทยงที่เป็นช่างภาพมาช่วยจัดการเรื่องนี้ให้ ภาพจึงออกมาดูดีจนนายแบบต้องขอรูปเก็บไว้ จุนฮีเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ผอมขาว จึงใส่ชุดได้หลากหลายแบบ
หันไปทางรูปสามีทีไรก็เขินทุกที เธอชอบรูปที่พี่ชานยอลสวมเชิ้ตตัวนอกกับกางเกงขาสั้น หลับตาพ่นควันบุหรี่โชว์แผงอกสีแทนมันเงาจนทำให้สาว ๆ ที่เดินผ่านร้านเป็นต้องแวะเข้ามาดู แบคฮีจะเรียกว่าเป็นผลพลอยได้แล้วกัน แต่ก็นึกขำทุกครั้งตอนพี่ชานยอลรีบบ้วนปากแปรงฟันหลังถ่ายเสร็จเพราะไม่อยากให้ลูกได้กลิ่นบุหรี่
หญิงสาวสวมเสื้อและกางเกงให้หุ่นเป็นที่เรียบร้อย ที่เหลือคือรองเท้าแบรนด์ของคยองซูที่เอามาโคกัน ทั้งจัดการเสื้อผ้าหุ่นและหันไปต้อนรับลูกค้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อรู้สึกได้ว่ากำลังถูกใครมองอยู่
และคนที่ยืนอยู่ด้านนอกกระจกร้านคือผู้ชายที่หายจากชีวิตบยอนแบคฮีไปห้าปี
“...”
ผู้ชายคนนั้นชื่อโอเซฮุน
*
“เพิ่งเปิดเหรอ เมื่อก่อนยังไม่เห็นมี”
“อืม นายมาที่นี่บ่อยเหรอ?”
“เปล่าหรอก อันที่จริงวันนี้มาเดินเลือกผ้าพันคอเพราะเดือนหน้าจะบินไปสวิสฯ”
ต่างคนต่างรู้สึกได้ถึงความอึดอัดจากบทสนทนาที่ห่างหายไปนานจากคนที่เคยมีความหลัง กาแฟร้อนทั้งสองแก้ววางอยู่บนโต๊ะโดยไม่มีใครยกขึ้นดื่ม ปล่อยให้มันเย็นชืดไปตามกาลเวลาที่ถูกความเงียบกลืนกิน เซฮุนไม่ได้เพ่งมองจนอีกคนรู้สึก แปลก ๆ แน่นอนว่าจังหวะทีเผลอของเธอเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมากที่สุดถ้าหากเขาอยากจะเก็บรายละเอียดความเปลี่ยนแปลงของแบคฮี
“มันเป็นคำถามโง่ ๆ แต่นอกจาก ‘สบายดีไหม?’ ฉันก็ไม่รู้เลยว่าต้องถามอะไรนายก่อนดี?” นอกจากผมสีน้ำตาลและการแต่งตัวที่โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น โอเซฮุนก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย แม้แต่ดวงตาคู่นั้นที่กำลังมองเธอ มันไม่ต่างจากวันสุดท้ายที่เราจากกันในวันจบการศึกษามัธยมปลาย
“ฉันสบายดี” เซฮุนไม่ได้ประชดหรือตัดพ้ออย่างที่กังวล ชายหนุ่มผิวขาวคนนั้นเพียงหยิบแก้วกาแฟยกขึ้นจิบเพื่อทิ้งจังหวะบทสนทนา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “ฉันเลิกตามเรื่องเธอได้ตอนขึ้นปีสอง เพราะงั้นตอนนี้ฉันคงถามได้แล้วใช่ไหมว่าตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง?”
นึกย้อนไปถึงตอนนั้น เซฮุนรู้ดีว่ามันยากแค่ไหนกับการพยายามอยู่ให้ได้โดยไม่รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับแบคฮี แม้จะคบกับคนอื่นมากี่คน ๆ แต่ก็ไม่มีใครที่ทำให้เขาลบภาพแบคฮีออกไปจากสมองได้เลย แต่ถามว่ามันเจ็บเหมือนตอนช่วงนั้นหรือไม่ เซฮุนก็คงตอบโดยไม่มีความเสียใจหลงเหลืออยู่เลยว่า ‘เขาสบายดีแล้วจริง ๆ’
“ฉันก็เรื่อย ๆ มีร้านเป็นของตัวเอง แต่งงาน มีลูก”
คำตอบของแบคฮีเหนือความคาดหมายเกินไป อันที่จริงชายหนุ่มคิดไว้ว่าเธอน่าจะคบหาอยู่กับใครสักคน หรือไม่ก็ยืนหยัดอยู่กับความโสดเพราะปลงกับนิสัยผู้ชาย คำพูดของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาคิดไปต่าง ๆ นานาว่าใครกันที่ทำให้ผู้หญิงกลัวในความรักตัดสินใจเลือกทางนั้น
“กับอาจารย์ชานยอล”
“อ่า...” เหนือความคาดหมายอีกแล้ว มันไม่ประหลาดเกินไปหน่อยเหรอที่แบคฮีคบหากับอาจารย์บ้านั่นจนถึงขั้นแต่งงาน อีกทั้ง... อะไรนะ... ใช่... เธอเพิ่งบอกไปเมื่อครู่ว่า ‘มีลูกแล้ว’
“เป็นช่างภาพเหรอ?”
“อืม”
“บินบ่อยเลยล่ะสิ”
“พอนึกได้ว่าถ้าแก่ตัวลงคงไม่ได้ทำแบบนั้น ฉันก็เลยรีบเที่ยวตั้งแต่ตอนนี้น่ะ เงินที่ได้ก็ถือว่าเป็นกำไร”
“ไม่คิดว่าจะเท่เป็นกับเขาด้วย” เซฮุนไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยิ้มตามเพียงเพราะเห็นแบคฮีหัวเราะ
“ลูกชายหรือลูกสาวเหรอ?”
“ลูกชาย”
“หน้าเหมือนใคร ตอนฉันไปจีน เคยมีคนแก่บอกว่าถ้าเด็กผู้ชายหน้าเหมือนพ่อจะเป็นเด็กกำพร้า” สารภาพก็ได้ว่าเขายังคงหมั่นไส้ไอ้อาจารย์นั่นอยู่
“เสียใจด้วย ลูกหน้าเหมือนฉัน”
“อ่า ซวยชะมัด”
“ย่าห์ ไอ้บ้านี่” ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาโดยไม่สนแล้วว่าระหว่างเขาและเธอจะมีความอึดอัดกั้นอยู่ตรงกลางมากสักเท่าไหร่
“เธอได้เจอเพื่อนบ้างไหม?”
“แค่แทยงคนเดียว นอกนั้นก็ไม่รู้จะว่ายังไง” แบคฮียิ้มเจื่อน เพราะก่อนเรียนจบเพื่อนที่เหลืออยู่ก็แทบจะนับนิ้วได้ “แล้วนายล่ะ?”
“อืม เจอสิ เดือนก่อนฉันเพิ่งไปถ่ายรูปพรีเวดดิ้งให้ดาซม”
“หา?”
“คิมดาซมเป็นงูพิษจริง ๆ ด้วย หล่อนบอกว่าต้องเป็นฉันเท่านั้นที่ถ่ายรูปพรีเวดดิ้งให้ เพราะอยากให้คนอย่างโอเซฮุนรู้สึกเสียดายไปจนวันตายที่ไม่ยอมคบกับคิมดาซม” แบคฮีป้องปากหัวเราะกับสีหน้าอีกฝ่ายตอนเล่าเรื่องนี้
“นึกว่าจะมีแค่ฉันซะอีกที่แต่งงานเร็ว”
“หล่อนท้องน่ะ กับไฮโซในวงการบันเทิง”
“อ่า หวังว่าจะเป็นคนดีนะ”
“ใครจะสน?” เซฮุนไหวไหล่ก่อนความเงียบจะโรยตัวอีกครั้ง “มินซอกได้ดีจนออกหนังสือแล้วนะ แค่เล่มแรกก็ได้ตีพิมพ์ซ้ำรอบสองแล้ว”
“...”
ถ้าบอกว่าเซฮุนอ่านใจแบคฮีออก... เธอก็คงเชื่อ หญิงสาวเพียงยิ้มบาง ๆ แล้วยกกาแฟขึ้นจิบพร้อมนึกไปถึงเพื่อนอีกคนที่เธอไม่ได้ข่าวคราวมาตั้งแต่ตอนนั้น ใช่ว่าแบคฮีจะตัดขาดไม่รับรู้ แต่เป็นเพราะเธอกับสามีเดินผ่านจุด ๆ นั้นที่เคยมีรถเข็นไก่ทอดราดซอส ปัจจุบันมันถูกแทนที่ด้วยลำโพงกับไมค์ของเด็กมอปลายซึ่งร้องเพลงคัฟเวอร์เพื่อหาเงินสมทบทุนการศึกษา
บ้านหลังเล็ก ๆ ที่มินซอกเคยบอกว่าอยู่มาตั้งแต่เด็กก็ถูกพังและสร้างใหม่เป็นร้านอาหารเล็ก ๆ ซึ่งเจ้าของร้านไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าของบ้านหลังนี้ มินซอกกับคุณยายขายบ้านแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น และตอนที่ได้รู้แบคฮีก็ใจหายจนไม่รู้จะทำอย่างไร
“เค้าสบายดีไหม?”
“สบายดีมาก คุณยายก็เลิกขายไก่แล้ว” เซฮุนยิ้มบาง ๆ ตอนเห็นสีหน้าของคนตัวเล็กซึ่งเต็มไปด้วยความกังวล สับสน และทำตัวไม่ถูก เขารู้ว่าแบคฮีอยากรู้เรื่องราวกับมินซอกมากกว่านี้ และเขายินดีที่จะเล่าให้ฟัง
*
ออดี้สีขาวเทียบจอดหน้าบ้านแต่หญิงสาวเลือกนั่งจมอยู่กับความคิดในนั้นโดยที่ไม่ลงจากรถไปกอดหอมสามีและลูก ระหว่างที่แบคฮีตั้งใจเรียนด้านแฟชั่นดีไซน์ ดูแลใส่ใจแฟนหนุ่ม ใช้เวลาอยู่กับพ่อชดเชยส่วนที่เคยขาดหายไปและสนุกกับเพื่อนในมหา’ลัย เพื่อนสมัยมัธยมก็ใช้ชีวิตไปในทางอีกเส้นหนึ่ง
มินซอกเรียนจบวรรณกรรมและออกพ็อกเก็ตบุ๊กวางขายบนแผงหนังสือ ซึ่งหญิงสาวแวะซื้อติดมือกลับมาด้วย เธออยากรู้ว่าเพื่อนในความทรงจำตอนนั้นถ่ายทอดอะไรลงไป มันคงดีถ้าหากว่าแบคฮีได้พูดคุยกับอีกฝ่ายผ่านทางตัวหนังสือแม้ในปัจจุบันจะไม่มีโอกาส
เธอกับเซฮุนนั่งคุยกันอยู่เกือบสองชั่วโมง เนื้อ ๆ คงไม่พ้นเรื่องเพื่อนสมัยมัธยมที่หมอนั่นรู้เยอะกว่าเพราะเข้ากับทุกคนได้ ยูจินกับจูอึนกลายเป็นพนักงานกินเงินเดือน และยังสนุกกับการนินทาว่าร้ายคนอื่นอย่างคนขี้แพ้ เซฮุนนึกขำตอนสองคนนั้นเล่าให้ฟังว่าแบคฮีแอบไปคลอดลูกตั้งแต่ยังไม่เรียนจบมหา’ลัย เพราะเด็กผู้หญิงคนนั้นอายุหลายขวบแล้ว แต่เขาก็ไม่เชื่อ หญิงสาวจึงบอกว่าเด็กคนนั้นคือลูกสาวของเพื่อน
พาดาถูกจับเรื่องขโมยของในห้าง ปัจจุบันไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เป็นอยู่อย่างไร ยังมีเพื่อนอีกหลายคนที่หายไปจากวงจรชีวิต แบคฮีคิดว่าไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจนักเพราะเธอไม่สามารถดึงทุกคนที่อยู่รอบตัวไว้ได้ หญิงสาวมีเพียงสองมือที่จับได้เพียงคนสำคัญเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ปล่อยไปจะไม่มีความหมาย
บางคนเกลียดจนต้องผลักออกไปให้ไกล แต่บางคนก็ยื้อเอาไว้ไม่ได้ด้วยเหตุผลบางอย่าง
แบคฮีไม่รู้ว่าตอนนี้คนอื่น ๆ เป็นอยู่อย่างไร สบายดีหรือไม่ แต่งงานหรือยัง ผอมลงหรืออ้วนขึ้น เรื่องเหล่านั้นเป็นเพียงความสงสัยคาใจที่จะหาคำตอบให้ตัวเองหรือปล่อยไปก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นพี่จงอิน แฟนคนแรกที่คิดว่ารักนักหนา แต่ปัจจุบันเรื่องของผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้สำคัญมากพอที่จะต้องรับรู้
อ่า... แน่ล่ะ บางทีเราก็ไม่จำเป็นต้องรับรู้หรอกว่าแฟนเก่าเป็นอยู่อย่างไร
บยอนแบคฮีกับสามีช่วยกันสร้างอนาคตด้วยการทำงานและเลี้ยงลูกให้เติบโตเป็นคนดี และทุกคนก็คงมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน คนเหล่านั้นกำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่และเดินไปในทิศทางของตัวเอง รวมถึงโอเซฮุนที่แบคฮีเป็นห่วงอยู่ลึก ๆ
ผู้ชายคนนั้นออกท่องเที่ยวไปทุกที่ ให้เวลาตัวเองด้วยการถ่ายภาพความสวยงามของโลกใบนี้และเผยแพร่ให้คนอื่นได้เห็น เซฮุนไม่ได้ปลงตกกับทุกสิ่ง เพียงแต่เขาโตขึ้นมากพอที่จะเข้าใจทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรักหรือมิตรภาพ ตอนนี้เซฮุนคงได้เรียนรู้มากขึ้นแล้ว
*
“ม่า!”
“จ๊ะเอ๋”
รอยยิ้มเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติทุกครั้งที่เห็นลูก หญิงสาววางกระเป๋าลงแล้วตรงเข้าไปหาลูกชายที่ยืนเกาะพนักโซฟาพร้อมพูดภาษาต่างดาว แบคฮีอุ้มลูกแล้วฟัดหอมให้ชื่นใจ ก่อนจะดึงยางรัดผมออกเพื่อให้ลูกกำเล่นอย่างที่ชอบทำ ก่อนสายตาจะพลันไปเห็นคุณสามีที่นั่งอยู่เงียบ ๆ โดยไม่หันมาทักทายเหมือนเคย
“หม่ำ ๆ”
“พี่ยังไม่ป้อนข้าวลูกเหรอคะ?”
“ก่อนหน้านี้แบคฮยอนดื่มนมไปบ้างแล้ว ตอนนี้คงเริ่มหิว”
“โอเคค่ะ งั้นเราไปกินข้าวกันนะครับสุดหล่อ”
“ปาปา!”
แบคฮีหอมแก้มลูกแล้วพาเข้าไปในครัว วางเจ้าตัวน้อยลงบนเก้าอี้สำหรับเด็กแล้วไปทำข้าวบดผสมผัก ป้อนด้วยความรักพร้อมคุยเล่นกับลูกไปด้วย หลังจากกินอิ่มก็อุ้มเจ้าตัวน้อยเข้าไปในห้อง วางบนพื้นที่มีของเล่นแล้วออกมาหาสามีที่วันนี้ดูแปลกไป
“เป็นอะไรคะ?” หญิงสาวนั่งลงข้าง ๆ คนรักที่ยังอยู่ในชุดเชิ้ตสีฟ้ากับกางเกงสแล็คขายาวเนื่องจากวันนี้มีประชุมที่โรงเรียน
ปกติพี่ชานยอลไม่ซึมถึงขนาดนี้แม้ว่าจะเจอเรื่องเด็กตีกัน เธอจึงกุมมือแกร่งไว้หลวม ๆ เพื่อบอกให้เขารู้ว่ายังมีภรรยาอยู่ตรงนี้แม้จะเจอปัญหาใหญ่สักแค่ไหน ชานยอลหันไปมองใบหน้าสวยและเขารู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยในแววตาคู่นั้น
“ดื่มกาแฟตอนกลางวันเดี๋ยวจะนอนไม่หลับนะครับ”
แค่นั้น... แบคฮีก็เข้าใจทุกอย่างได้โดยที่สามีไม่ต้องอธิบาย
ชานยอลถอนหายใจยาว ๆ ขณะมองภรรยาสาวที่ป้องปากขำราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดมันเป็นเรื่องตลก ผู้ชายตัวโตถูกเมียคนสวยรั้งลงไปซบแก้มลงกับหน้าอก ก่อนผมที่ถูกเซ็ทเป็นอย่างดีจะถูกฟัดหอมอย่างเอ็นดู
“เราบังเอิญเจอกัน หนูกับเซฮุนก็เลยไปนั่งดื่มกาแฟแล้วคุยเรื่องเพื่อนเฉย ๆ ค่ะ”
“...”
“ที่รักคะ... มันไม่มีอะไรนะ” แบคฮีผละออกพร้อมเอาสองมือโอบใบหน้าหงอย ๆ ของสามีไว้ขณะสบตากัน “ไปหาหนูมาเหรอคะ?”
“ครับ พี่พาลูกไปที่ร้าน”
“แล้วก็หนีกลับมางอนที่บ้าน” หญิงสาวหัวเราะ จับศีรษะคนรักโคลงเบา ๆ ก่อนมือของเธอจะถูกกุมไว้
“หนูอาจจะไม่รู้ แต่พี่กลัวนะครับ” ชานยอลถอนหายใจ “พี่เชื่อใจหนู แต่พี่ก็...”
“หนูเข้าใจค่ะ เพราะงั้นหนูถึงได้นั่งอยู่ตรงนี้ไงคะ” แบคฮียิ้มพร้อมขยับเข้าไปชิดหัวหน้าครอบครัว “ถ้าพี่กลัว หนูก็จะบอกรักทุกวันจนพี่รำคาญไปเลยว่าแบคฮีจะรักอะไรอาจารย์ชานยอลขนาดนั้น”
“...” เขามองความขี้อ้อนของเมียจ๋าที่งัดออกมาเมื่อไหร่เป็นต้องพ่ายแพ้ แล้วแบบนี้เขาจะงอนได้นานแค่ไหนกัน?
“โอเซฮุนหล่อขึ้นนะครับ”
“ให้หล่อเถอะค่ะ เขาจะได้มีโอกาสแต่งงานแบบพี่บ้าง” หญิงสาวอมยิ้ม มองมือตนเองที่ถูกคนรักจูบซ้ำ ๆ อย่างหวงแหน
“พี่ต้องไปฟิตร่างกายแล้ว เอาแต่เลี้ยงลูกอย่างเดียวเดี๋ยวหล่อไม่สู้เซฮุน”
“พอเลยพอ แค่นี้ลูกค้าก็ถามไม่หยุดแล้วว่านายแบบเป็นใคร หาไอจีกันใหญ่” แบคฮีมองค้อนทั้งที่ในใจกำลังยิ้มเพราะสุดท้ายแล้วคนขี้งอนก็หัวเราะออกมาจนได้
“บอกไปสิครับว่าเป็นผัวจ๋าของหนู แล้วไอจีก็มีแต่รูปลูกกับรูปเมีย” เขาก้มลงไปเล็กน้อยจนหน้าผากชนกัน
“ใครจะพูดแบบนั้นกัน เสียลูกค้า” หญิงสาวย่นจมูก
“ถ้าไม่อยากเสียลูกค้าก็เสียสาวให้พี่อีกสักรอบแล้วกันนะครับ”
คนตัวเล็กหัวเราะร่วนเมื่อถูกรวบตัวให้นอนลงบนโซฟาก่อนจะถูกบดขยี้จูบโดยสามีคนเก่งที่ช่างไม่รู้ตัวเอาเสียเลยว่าเมียคนนี้ทั้งรักทั้งหลงจะแย่อยู่แล้ว แบคฮีเกี่ยวขาเข้ากับเอวหนา โอบกอดร่างของแมวยักษ์ขี้อ้อนพร้อมจูบตอบก่อนจะเปลี่ยนเป็นจุ๊บปากซ้ำ ๆ
“เหนื่อยไหมคะ?”
“คนสวยของพี่จะนวดให้เหรอครับ?” ชานยอลคลอเคลียกับปลายจมูกของคนตัวเล็ก มองความสวยของเมียจ๋าที่ถูกชายอื่นมองตลอดเวลาไปไหนมาไหนด้วยกัน และเขาก็หึงจนลมแทบออกหูทุกครั้ง ยิ่งแบคฮีอายุมากขึ้นเธอก็ยิ่งสวยขึ้น
“เดี๋ยวแถมถูหลังให้ด้วย... ดีไหมคะ?”
“งั้นรีบพาแบคฮยอนเข้านอนแล้วเราหนีไปอาบน้ำกันสองคนนะครับ...”
แบคฮีอมยิ้มพร้อมพยักหน้า ก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อศอกของเธอเขี่ยรีโมทตกลงพื้นจนทีวีเปลี่ยนไปช่องอื่น สองสามีภรรยาที่กอดก่ายกันอยู่บนโซฟามองไปยังจอสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ พิธีกรหญิงมีอายุคนหนึ่งกำลังสัมภาษณ์สาวสวยซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี และมีหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ตรงกลาง ซึ่งมันเป็นเล่มเดียวกับที่แบคฮีซื้อติดมือกลับมาด้วย
“อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้คุณเขียนหนังสือเกี่ยวกับปัญหาของเด็กวัยรุ่นในรูปแบบนิทานคะ” คนถูกถามยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่งแล้วมองไปยังหนังสือเล่มนั้นที่ตั้งใจเขียนมันอยู่หลายเดือน
ชานยอลมองภรรยาที่ไม่ยอมละสายตาจากจอทีวี เขาจึงประคองให้เธอลุกขึ้นนั่งพร้อมโอบไหล่ให้ขยับเข้ามาใกล้ ๆ
“มันเป็นเรื่องที่ฉันเจอเองกับตัวค่ะ ตอนเรียนมัธยมฉันเป็นผู้หญิงอ้วนที่ไม่มีใครสนใจ ยกเว้นตอนถูกขอให้ทำรายงานให้ และฉันคิดว่าที่โรงเรียนอื่นก็คงมีคนประเภทเดียวกับฉันเหมือนกัน”
“หนังสือของคุณเป็นหนังสือสะท้อนสังคมวัยมัธยมโดยตรงเลยใช่ไหมคะ?”
“คงไม่ถึงกับใช่ค่ะ เรียกว่าเป็นนิทานอ่านเล่นดีกว่า” หญิงสาวยิ้ม
“จากที่บอกว่าถูกขอให้ทำรายงานให้ นั่นแสดงว่าคุณต้องเป็นคนที่เรียนเก่งอยู่พอสมควรเลย ถูกไหมคะ?”
“อืม... ฉันไม่ใช่คนฉลาดนักแต่ฉันขยันค่ะ เป็นเพราะพ่อแม่เป็นชาวสวนอยู่ต่างจังหวัด ฉันเลยเติบโตมากับยายที่ขายไก่ทอดราดซอส พอเห็นคุณภาพชีวิตตัวเองกับครอบครัวในตอนนั้นมันก็เลยเป็นแรงผลักดันให้ฉันอยากเรียนเก่ง ๆ เพื่อที่จะได้มีทางเลือกสำหรับงานเงินเดือนสูง ๆ”
“ใคร ๆ ก็อยากให้ครอบครัวสบายทั้งนั้น ฉันเองก็เหมือนกันค่ะ”
“ค่ะ เป้าหมายของฉันเป็นแบบนั้น กระทั่งวันหนึ่งชีวิตในโรงเรียนของฉันก็เปลี่ยนไปเพียงเพราะถูกเข้าใจผิดว่าชอบผู้ชายที่เพื่อนในห้องชอบ ตอนนั้นฉันยังไม่รู้ว่าตัวเองโชคร้ายแค่ไหน กระทั่งถูกกลั่นแกล้งด้วยวิธีสารพัด ทั้งเขียนโต๊ะเป็นคำหยาบ เอากระเป๋าไปซ่อน ขังฉันไว้ในห้องน้ำ เอางานของฉันไป มันเป็นช่วงเวลาที่ทรมานมากค่ะ”
“แล้วคุณผ่านมันมาได้ยังไงคะ?”
หญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อนหลุบสายตาลงพลางยิ้มบาง ๆ เธอกำลังพาตัวเองย้อนเวลากลับไปเมื่อตอนนั้นจนรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนขั้นบันได มองเด็กผู้หญิงตัวอ้วน ๆ คนหนึ่งที่กำลังยืนคุยกับเด็กผู้หญิงอีกคนซึ่งอยู่ขั้นบันไดที่เตี้ยกว่า
“ทั้งหมดมันอยู่ในหนังสือเล่มนี้ค่ะ ฉันถ่ายทอดมันออกมาในรูปแบบนิทานที่ตัวหลักเป็นผู้หญิงอ้วนซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากนักเดินทางคนหนึ่งที่ถูกฝูงหมาในไล่ล่า”
“พอจะสปอยล์เนื้อเรื่องคร่าว ๆ ให้ฟังได้ไหมคะ?” หลังจากที่พิธีกรพูดจบ หญิงสาวจึงพยักหน้า
“มันเป็นเรื่องของผู้หญิงอ้วนที่กำลังจะลอยไปกับสายน้ำ แต่ตอนนั้นมีนักเดินทางคนหนึ่งยื่นไม้มาให้จับ เธอถึงได้รอดจากตรงนั้นมาได้ ทั้งคู่เดินไปด้วยกันโดยไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้น มันทั้งน่าอึดอัดแต่ก็รู้สึกอบอุ่นใจอยู่ไม่น้อยที่มีคนเดินเคียงข้าง แม้ว่าหนทางข้างหน้ามันจะมีหลุมมากมายจนเธอพลาดล้มไปหลายครั้ง แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ยังยื่นไม้มาให้จับพร้อมออกแรงดึงให้ผู้หญิงอ้วนลุกขึ้นอีกครั้ง นักเดินทางไม่ยอมทิ้งไม้เพราะเอาไว้ป้องกันพวกหมาในที่ตามไล่ล่ามาตลอดทาง และนักเดินทางคงกลัวว่าเธอจะแว้งกัดด้วย เพราะทั้งคู่ยังห่างไกลจากคำว่าสนิทใจ”
แบคฮีบีบมือตัวเองแน่น ดวงตาของเธอจับจ้องอยู่กับใบหน้าสวยและ ริมฝีปากกระจับได้รูปของคนในจอทีวีจนชานยอลต้องค่อย ๆ แกะมือเธอออกเพื่อแทรกมือตนเองเข้าไปเพื่อให้แบคฮีบีบมือของเขาแทน
“แต่พอเวลาผ่านไปนักเดินทางก็โยนไม้ทิ้งแล้วเปลี่ยนเป็นจับมือผู้หญิงอ้วนแทน เพราะกลัวว่าคนซื่อบื้ออย่างเธอจะล้มอีก จนวันหนึ่งก็พลาดล้มทั้งคู่ ผู้หญิงอ้วนร้องไห้ไม่หยุด ทั้งเจ็บแผลและท้อใจกับหนทางที่เต็มไปด้วยก้อนหิน มันทั้งแข็งและบาดลึกจนฝ่ามือแดงไปหมด แต่นักเดินทางก็นั่งลงตรงหน้าเธอ ฉีกชายเสื้อตัวเองออกเพื่อพันแผลให้เลือดของผู้หญิงอ้วนหยุดไหล นักเดินทางก้มลง... พาดแขนของเธอบนไหล่เล็ก ๆ ของตัวเอง และทั้งคู่ก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ทั้งที่บนร่างกายของนักเดินทางก็มีบาดแผลไม่ต่างกัน”
ชานยอลลูบศีรษะภรรยาอย่างอ่อนโยนหลังจากเห็นว่าน้ำตาของเธอไหลออกมาอาบแก้มไม่หยุดจนมันหยดเผาะลงบนฝ่ามือของเรา และผู้หญิงที่อยู่ในจอก็เช่นกัน แม้ว่าริมฝีปากของเธอกำลังยิ้มขณะเล่าถึงแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือเล่มนั้น แต่น้ำตามันก็ไหลออกมาจนทางทีมงานต้องส่งทิชชู่ให้
“ตอนที่หน้าตาของผู้หญิงอ้วนเลอะไปด้วยโคลนดิน นักเดินทางคนนั้นก็ใช้มือเล็ก ๆ เช็ดออกให้จนหน้าของเธอสะอาด หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้ร้องไห้อีก ผู้หญิงอ้วนเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองจนผอมลง กระทั่งวันหนึ่งเธอมองเห็นในสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นไม่เห็น เขาคือเจ้าชายรูปงาม” หญิงสาวเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งพลางก้มลงมองกระดาษทิชชู่ในมือก่อนจะเงยหน้าขึ้น “เธอปล่อยมือนักเดินทางเพราะหลงไปกับภาพลักษณ์ภายนอก ถลำลึกเดินไปเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจว่าจะออกไปไกลจากเส้นทางหลักสักแค่ไหน แม้นักเดินทางจะเตือนแล้วว่า ‘นั่นคือภาพลวงตานะ มันไม่ใช่ความจริงหรอก เขาจะหลอกให้เธอตกเหวตาย’ แต่ผู้หญิงที่เพิ่งผอมลงก็ไม่ฟังเพราะเชื่อความรู้สึกตัวเอง”
“แล้วผู้หญิงคนนั้นตกเหวหรือเปล่า?”
“ค่ะ เธอตกลงไปข้างล่างอาการสาหัสแต่ก็หาทางปีนกลับขึ้นมาได้ และพอถึงขั้นสุดท้ายที่จะถึงพื้นดินก็มีหมาในฝูงหนึ่งขวางทางไว้ แววตาของพวกมันชั่วร้ายข่มขวัญจนเธอกลัว พวกมันถามว่านักเดินทางคนนั้นอยู่ที่ไหน”
“แล้วเธอได้บอกไปหรือเปล่า?”
“เธอจำเป็นต้องบอกเพราะพวกมันขู่ด้วยทางเลือก ระหว่างถูกถีบให้ตกลงไปคอหักตายหรือให้ขึ้นมาหายใจบนพื้นดิน แต่เธอไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด เพราะ ลึก ๆ ก็รู้สึกผิดที่นำภัยอันตรายไปให้นักเดินทางคนนั้น”
“อ่า...”
“แต่สุดท้ายหมาในทั้งฝูงก็ตามหานักเดินทางเจอ มันพวกล้อมผู้หญิงคนนั้นไว้จนไร้หนทางหนี และคนที่เคยอ้วนทำได้เพียงหลบอยู่หลังต้นไม้แล้วมองอีกฝ่ายโดนรุมกัดจนร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล และคนขี้ขลาดก็ทำได้ดีแค่ร้องไห้’
ชานยอลยื่นทิชชู่ให้ภรรยาซับน้ำตาก่อนจะจูบขมับเธอเบา ๆ ตอนนี้แบคฮีไม่สามารถเก็บความรู้สึกไว้ได้อีกแล้ว อาจเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันค้างคาอยู่ในใจมานาน และเมื่อถึงเวลาย้อนกลับมาอีกครั้ง หัวใจของผู้หญิงอย่างเธอจึงรู้สึกเหมือนได้รับการปลดล็อก
“เรื่องราวมันแย่ลงเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่ผู้หญิงคนนั้นไม่สามารถกลับไปสู้หน้านักเดินทางได้ ทั้งคู่ยังคงเดินไปบนถนนเส้นเดียวกัน เพียงแต่เธอทำได้แค่มองอีกฝ่ายจากไกล ๆ โดยไม่มีความกล้ามากพอที่จะเข้าไปช่วยพยุงให้นักเดินทางลุกขึ้นตอนที่พลาดหกล้ม และเมื่อถึงทางแยกที่ต้องเลือกว่าจะเดินทางเดียวกันหรือต่างฝ่ายต่างหันหลังให้ เธอเลือกหลบอยู่หลังต้นไม้เพื่อรอดูว่านักเดินทางจะเลี้ยวไปทางไหน เพื่อที่เธอจะได้ตามหลังไปเงียบ ๆ โดยไม่สร้างความลำบากใจให้อีก”
“แค่เล่าตัวอย่างก็น่าสนใจแล้ว คุณคิมมินซอกอยากบอกอะไรกับท่านผู้ชมส่งท้ายรายการไหมคะ?”
กล้องแพลนไปทางใบหน้าสวยของนักเขียนสาว เธอเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะช้อนตามองกล้อง และแบคฮีรู้สึกเหมือนว่ากำลังสบตากับอีกฝ่าย
“ฉันไม่รู้ว่าเธอจะได้เห็นเทปนี้ไหม แต่ฉันอยากพูดคำ ๆ นี้มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
รู้สึกวูบไหวตรงหน้าอกข้างซ้ายอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ผู้หญิงในจอใส่สูทแฟชั่นแบบผู้ใหญ่และดัดผมม้วนปลาย แต่แบคฮีกลับมองเห็นนักเรียนหญิงหุ่นท้วมในนั้น เห็นรอยยิ้มกว้าง ๆ ที่ออกมาจากใจแม้ว่ามันจะถูกซ่อนไว้ด้วยความกังวลภายใต้สีหน้าของคิมมินซอก
“ขอบคุณนะ... แล้วก็ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเคยทำลงไป ทั้งความเห็นแก่ตัวและความขี้ขลาด ตอนนี้ฉันได้รู้เป็นอย่างดีแล้วว่าผลลัพธ์ของมันเป็นยังไง”
“...”
“ผลลัพธ์ของฉันคือการเสียเธอไป และไม่เคยมีวันไหนเลยที่ฉันจะไม่เสียใจ”
“หุบปากน่า เรื่องมันตั้งนานแล้วใครจะไปจำกัน” แบคฮีหัวเราะทั้งน้ำตา ตอนนี้หัวใจส่วนหนึ่งของเธอกำลังได้รับการเยียวยา หลังจากมันถูกทิ้งให้ผุพังมานานหลายปี
“วันนี้ฉันโตขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนแล้ว แต่ความมั่นใจที่มีมันก็ไม่ได้มีมากกว่าเมื่อก่อนหรอกนะ” มินซอกหัวเราะ “แต่ถ้าพูดถึงความกล้า วันนี้ฉันเตรียมมันมาเต็มร้อยเพื่อพูดถึงเธอ”
“เธอมันคนขี้ขลาด ถ้าฉันไม่พลาดกดมาช่องนี้แล้วจะได้ดูไหม?” แบคฮีบ่นกับคนในจอทีวี แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญนักในวินาทีที่รู้สึกอิ่มเอมใจแบบนี้
“เพื่อนที่มหา’ลัยเป็นคนดีมาก แต่ฉันอยากให้เธอรู้ว่าต่อให้ฉันจะมีเพื่อนใหม่อีกกี่คน แต่เธอจะอยู่ในใจฉันเสมอ และฉันจะไม่มีวันลืมเธอ”
ผู้หญิงขี้ขลาดคนหนึ่งได้ใช้ความกล้าทั้งหมดที่เธอมีพูดมันออกทีวีโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะรับรู้หรือไม่ หรือความจริงแล้วเธอเพียงแค่อยากระบายความอัดอั้นออกมา เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่รู้สึกค้างคาใจกับเรื่องราวในอดีตที่ยังไม่มีใครได้รับการแก้ไข
“ให้ตายสิ... ยัยบ้านั่นคิดว่าหนูอยากได้ยินคำขอโทษหรือไง แค่เดินโง่ ๆ มายืนทำหน้าหงอยใส่แค่นี้ทุกอย่างก็จบ ตอนหนูแต่งงานก็จะได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวคู่กับจุนฮี แล้วก็ --”
“ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากไปกินข้าวกับเธอสักมื้อนะ แบคฮี”
เมื่อเวลาผ่านไป มนุษย์คงได้ตระหนักถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้น ทั้งเรื่องที่ทำให้มีความสุขและเรื่องที่เป็นความทุกข์ สิ่งแวดล้อม คนรอบข้าง เรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่างล้วนเป็นครูสอนให้เติบโตขึ้น รู้จักโกรธ รู้จักระงับอารมณ์ รู้จักการให้อภัย
“ไปสิครับ เดี๋ยวพี่อยู่เลี้ยงลูกให้” รอยยิ้มอ่อนโยนที่แสดงออกถึงความเข้าใจของผู้ชายที่เลือกเป็นคู่ชีวิตมาพร้อมมืออุ่น ๆ ซึ่งกำลังปลอบขวัญคนที่เคยบอบช้ำเรื่องมิตรภาพเมื่อหลายปีก่อน แบคฮีหลับตาลงในอ้อมกอดของสามี เธออยากจดลงไปในปฏิทินว่าวันนี้ช่างเป็นวันที่ดีเหลือเกิน
ขอบคุณทุกคนที่ผ่านเข้ามาเป็นครูสอนบทเรียนให้กับชีวิต
ขอบคุณที่เรียนรู้และเติบโตไปพร้อม ๆ กันแม้ว่าในวันหนึ่งต่างฝ่ายต่างก็มีหนทางเป็นของตัวเอง
ขอบคุณความสวยงามที่เรียกว่าความรัก มิตรภาพ และความเจ็บปวดในทุก ๆ ครั้งที่ทำให้เข้มแข็งมากพอที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา
ขอบคุณเพื่อนในความทรงจำที่ย้อนกลับมา... บยอนแบคฮีคิดว่ามันคงไม่สายเกินไปนักสำหรับคนที่ยังต้องการกันและกันในชีวิต
THE END
“ปาปา!”
“จ๋าลูก?”
ทั้งคู่หันไปด้านหลังตามเสียงก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อพบว่าลูกน้อยกำลังคลานเตาะแตะมาทางนี้พร้อมกางเกงในลูกไม้สีแดงที่แปะอยู่บนหัว แบคฮียกมือขึ้นปิดปากขณะที่คุณพ่อรีบวิ่งเข้าไปหยิบของรักตัวโปรดออกจากหัวลูกชายก่อนจะหันไปสบตากับเมียจ๋า
“ตายแล้ว เอามานี่ค่ะหนูจะเอาไปเก็บ!” คนเป็นสามีขยำเป็นก้อนแล้วโยนให้ภรรยาราวกับชู้ตบาสสามแต้ม ซึ่งแบคฮีก็รับไว้ได้และเธอไม่สนใจด้วยว่าเจ้าก้อนตัวน้อยจะเอ๊าะแอ๊ะงอแงอยากได้คืนมากสักแค่ไหน
“อันนั้นเล่นไม่ได้นะลูก ให้พ่อเล่นคนเดียวพอ” ชานยอลอุ้มลูกชายขึ้นมาสบตากัน ก่อนจะเอนหน้าถอยหลังเมื่อมือเล็ก ๆ ฟาดหน้าเขาไม่ยั้งเพราะไม่พอใจ
“แอ๊!!!!”
“โอ๋... ไม่ร้อง ๆ เดี๋ยวพ่อหาตัวใหม่ให้เล่นนะ...” ชานยอลอุ้มตัวงอแงที่ดิ้นเร่า ๆ เข้าไปในห้องนอน ก่อนจะยิ้มขำกับท่าทางของภรรยาที่รีบพับชุดชั้นในในตะกร้าเข้าตู้เสื้อผ้า
“ม่า! มามา!”
“ปะป๊าดุหนูเหรอลูก?” แบคฮีตรงเข้ามากอดลูกน้อยที่เบะปากพร้อมยืดแขนออกมาขอความเห็นใจ สองสามีภรรยามองหน้ากันกับความวุ่นวายที่น่าเอ็นดูก่อนจะจูบแก้มยุ้ย ๆ ทั้งสองข้างของลูกชายพร้อมกัน
“หนูครับ”
“คะ?” หญิงสาวช้อนตามองคนรัก ท่ามกลางแสงสีส้มอ่อน ๆ ที่เราต่างรู้ดีว่ามันโรแมนติกมากแค่ไหนในยามค่ำคืน
“ขอบคุณที่เป็นความสุขในชีวิตพี่นะครับ”
เสียงกระซิบเบาบางแต่ก็ดังกึกก้องไปทั้งหัวใจ แบคฮีบีบจมูกโด่งของผู้ชายปากหวานก่อนจะหลับตาลงรอรับจูบที่ไม่เคยเบื่อเลยสักครั้งแม้ว่าจะได้รับตั้งแต่ตอนตื่น ตอนกลับมาถึงบ้าน กระทั่งก่อนนอน เพราะหญิงสาวคิดว่าการจูบคือการแสดงความรัก ดังนั้นจูบของพี่ชานยอลจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่แบคฮีต้องการเพื่อเพิ่มพลังในวันเหนื่อย ๆ
แหม่ะ...
แต่ความโรแมนติกทั้งหมดก็ถูกดับฝันโดยมือเล็กที่คั่นกลางระหว่างริมฝีปากของเขาและเธอ ชานยอลกับแบคฮีขมวดคิ้วแล้วลืมตาขึ้นมาพร้อมกัน เพื่อให้เห็นสีหน้าและแววตาของเด็กอายุหนึ่งขวบเศษ ๆ ที่กำลังมองอย่างหาเรื่องแม้ทั้งคู่จะรู้แก่ใจดีว่าลูกคงไม่ได้เข้าใจด้วยซ้ำว่ากำลังรู้สึกอย่างไร
“แอ๊!!!”
“โอเค พ่อไม่จูบแม่แล้วก็ได้แบคฮยอน”
“จู้!!!” ก้อนตัวน้อยขมวดคิ้วพร้อมชี้นิ้วย้ำ ๆ พูดภาษาต่างดาวไม่หยุดสองสามีภรรยาจึงหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่ได้
รู้สึกได้ถึงความอันตราย...
ถ้าเป็นแบบนี้แบคฮยอนจะได้มีน้องหรือเปล่านะ...
THE REAL END
สมุดภาพระบายสีแจ้ มีทั้งหมด 8 ภาพ
นี่คือตัวอย่าง ได้ทุกออเด้อออออออออออ ทั้งทางไปรษณีย์และงานฟิค
วาดโดยน้องเซียนลามกเจ้าเก่า หากผู้ใดอยากได้คุกเก็บไว้เปงของตัวเองก็เชินที่ริ้งนี้ https://docs.google.com/forms/d/1fCV8lysOC1Rqo9Wu9CfDYhaTunG6Cm5Io_MAl6KJ8Vk/edit
ความคิดเห็น