คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 :: 伤口 บาดแผล
บทที่ 1
傷口 บาดแผล
วังหลวงที่เคยอยู่อย่างสงบสุขบัดนี้กลับวุ่นวายจนไม่มีใครนิ่งเฉยได้
แม้แต่ทหารยามซึ่งอยู่ประจำตามจุดต่าง ๆ ล้วนก็หวาดหวั่นใจว่าจะต้องชักดาบออกมาสู้เมื่อไหร่หลังจากเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นในพระราชวัง
ชายผ้าสีขาวยาวลากพื้นขึ้นไปตามขั้นบันไดอย่างร้อนใจ
ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในตำหนักเล็กเพื่อสำรวจความเรียบร้อย “ท่านซื่อชวิน!”
ร่างผอมถอนหายใจอย่างโล่งอกทันทีที่เห็นรอยยิ้มขององค์ชายจุนเหมียน
เขาเดินลากชายผ้าเข้าไปด้านในก่อนจะหยัดตัวนั่งลงข้างเด็กน้อยที่ยังไม่ประสีประสา
หากแต่ไม่ใช่เพราะวัย
แต่เป็นเพราะอาการป่วยขององค์ชายที่สติไม่สมประกอบตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน
“หายไปไหนมาพ่ะย่ะค่ะ
เมื่อครู่หม่อมฉันกับนางกำนัลตามหาองค์ชายกันให้วุ่น” อู๋ซื่อชวินประคองมืออีกฝ่ายที่เลอะไปด้วยดินเหนียวขึ้นมา
ก่อนจะเอาผ้าเช็ดหน้าสีขาวของตนเช็ดออกให้อย่างเบามือ
“ข้าก็อยู่นี่ตั้งแต่ตื่นนอน”
“ทหารยามบอกว่าเห็นท่านออกไปวิ่งเล่นข้างนอกเมื่อชั่วยามที่แล้ว อย่าพูดปดสิพ่ะย่ะค่ะ”
“อ่า... งั้นหรือ...
ข้าออกไปวิ่งเล่น” องค์ชายจุนเหมียนทำหน้าครุ่นคิด
ชี้นิ้วย้ำ ๆ ระดับปลายคางก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างไร้เหตุผล “ใช่ ๆ ข้าออกไปวิ่งเล่น ไปจับผีเสื้อ แต่จับไม่ได้เลย มันบินหนีข้า
สูงขึ้น... สูงขึ้น”
สองนิ้วหัวแม่มือเกี่ยวกันพร้อมนิ้วทั้งแปดที่กางออกจนคล้ายปีก
“องค์ชายหก”
ซื่อชวินเรียกช้า ๆ เพื่อดึงความสนใจจากอีกฝ่าย เด็กหนุ่มสติไม่สมประกอบจึงค่อย ๆ
หันเข้าหาเพื่อรอฟัง “หม่อมฉันเคยบอกไปแล้วใช่หรือไม่ว่าในสถานการณ์แบบนี้อย่าออกไปไหนตามลำพัง”
“ท่านจะดุข้าเหมือนที่เสด็จแม่ชอบทำหรือ?”
“หม่อมฉันมิบังอาจ” เขาเป็นเพียงทายาทตระกูลอู๋ที่เป็นผู้ให้ความรู้แก่องค์ชายมารุ่นสู่รุ่น
การดุด่าให้เสียพระทัยนั้นไม่เคยอยู่ในหัวซื่อชวินเลยสักนิด “ที่หม่อมฉันพูดไปทั้งหมดก็เพราะเป็นห่วง กลัวองค์ชายจะถูกปองร้ายไปอีกคน”
“เหมือนพี่รองกับพี่ห้าใช่หรือไม่?”
“...”
“ข้าได้ยินนางกำนัลคุยกัน...
พวกนางบอกว่ารายต่อไปจะเป็นข้า” องค์ชายนั่งโงนเงนพลางเกาแก้มจนขึ้นริ้วแดง
ซื่อชวินจึงคว้ามืออีกฝ่ายที่ยังเลอะโคลนดินเอาไว้
“ไม่มีทางพ่ะย่ะค่ะ
หม่อมฉันจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นเด็ดขาด”
“พี่ห้าตายแล้ว”
“ยังพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายห้าแค่หายตัวไป
ตอนนี้ทหารกำลังออกตามหาอยู่ อีกไม่นานเขาก็จะกลับมา”
ซื่อชวินลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างเบามือ ก่อนจะยืดหลังตรงเพื่อรับองค์ชายเข้ามาซบกับไหล่ตน
“ข้าคิดถึงพี่รองกับพี่ห้าเหลือเกิน”
ร่างผอมปล่อยให้อีกฝ่ายหยิบพัดไปเล่นจนเลอะโคลนดิน
ซื่อชวินคิดว่าคงไม่แย่นักถ้าหากว่ามันจะดึงความสนใจองค์ชายจุนเหมียนให้อยู่นิ่ง ๆ
ได้สักระยะหนึ่ง แทนที่จะออกไปวิ่งเล่นจนสร้างความกังวลใจให้กับเขาอีกครั้ง
“ถ้าพี่ห้ายังมีสิทธิ์กลับมาหาข้าได้...
แล้วพี่รองเล่า?” คำปลอบใจทั้งหมดจุกอยู่ที่คอ
เมื่ออู๋ซื่อชวินไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าองค์ชายรองยังมีชีวิตอยู่
หลังจากถูกลอบปลงพระชนม์ระหว่างทางตอนไปเยือนเมืองทางใต้กับองค์ชายใหญ่หรือที่ใคร ๆ ต่างก็รู้จักในนามองค์ชายอี้ฝาน
แม้การเอาตัวรอดครั้งนั้นจะทุลักทุเลเพราะถูกล้อมด้วยเหล่ากบฏ
แต่องค์ชายใหญ่ก็รอดมาได้เพราะองครักษ์ขององค์ชายรอง
องค์ชายอี้ฝานตีอกชกหัวตัวเองไม่หยุดหลังจากตื่นมารับรู้ถึงการจากไปของน้องชายแท้
ๆ ที่มีแม่คนเดียวกัน ทหารและนางกำนัลต่างก็รู้ดีว่าสองพี่น้องคู่นี้รักและผูกพันกันมากเพียงใด
ดังนั้นการจากไปขององค์ชายรองจึงส่งผลต่อจิตใจองค์ชายอี้ฝานเป็นอย่างมาก
หลังจากทราบข่าวองค์จักรพรรดิก็กริ้วจนนั่งไม่ติดบัลลังก์
องค์ชายรองเป็นลูกรักอีกคนที่ฝ่าบาทรักและชื่นชม
ด้วยผลงานที่ไม่เคยทำให้ผิดหวังไม่แพ้องค์ชายใหญ่ผู้เป็นถึงองค์รัชทายาท
จากข่าวลือในวังล้วนแต่พูดเป็นเสียงเดียวว่ากบฏเหล่านั้นคือพวกหัวเมืองเหนือที่คิดจะตัดหัวองค์ชายทีละคนเพื่อบอกให้องค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ผิงได้รู้ว่ากบฏหัวเมืองเหนือไม่ใช่ขี้ข้าใคร
แต่อีกฝั่งหนึ่งก็ยกเรื่ององค์ชายห้าขึ้นมาถกเถียง
ว่าถ้าหากฝ่ายกบฏคิดจะทำเช่นนั้นจริงเหตุใดจึงไม่มีหัวขององค์ชายห้าทิ้งไว้ให้เจ็บใจ
แต่กลับเหลือเพียงคราบเลือดและชายผ้าขาด ๆ ที่บอกให้รู้ว่าเป็นขององค์ชายห้าเท่านั้น
ผ่านไปหนึ่งวันกับการออกตามหาขององค์ชายห้า
ในวังต่างชุลมุนวุ่นวายเพราะคำสั่งคุ้มกันพระราชวังให้รัดกุมยิ่งขึ้น
ทั้งรั้วรอบนอกและรอบตำหนักใหญ่ขององค์จักรพรรดิ ฮองเฮาและพระสนมทุกนาง
รวมถึงองค์ชายอี้ฝานที่บาดเจ็บสาหัส องค์ชายจุนเหมียนที่ไม่สมประกอบ
และองค์หญิงน้อยซิงหยิงที่ยังอยู่ในวัยเยาว์
“ซื่อชวิน”
เจ้าของชื่อหลุดออกจากความคิด
ก่อนจะหันไปทางประตูตำหนักเล็กซึ่งมีชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เจ้าของผมดำเกล้าขึ้นเหนือศีรษะกับชุดเกราะหนักสีดำที่คาดว่าอู๋ซื่อชวินคงแบกมันไว้กับตัวไม่ไหว
ดวงตาคู่นั้นไม่ได้อบอุ่น อ่อนโยนและมาพร้อมรอยยิ้มดั่งเช่นเคย
“แม่ทัพจงเหริน!”
“ถวายบังคมองค์ชายหก”
“กลับมาแล้วหรือ ไหนเล่าของฝากข้า?” เด็กน้อยแบมือออกอย่างอารมณ์ดีจนแทบลืมไปว่าก่อนหน้านี้เคยทุกข์ใจเรื่องพี่ชายมากแค่ไหน แม่ทัพหนุ่มยิ้มบาง ๆ พลางกำบางอย่างไว้ในมือ ก่อนจุนเหมียนจะรีบวิ่งไปแงะนิ้วออก “ขนมหรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เยี่ยม ข้าจะกินให้หมด”
จงเหรินลูบศีรษะเด็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อสบตากันใกล้ ๆ “หม่อมฉันมีอีก
แต่องค์ชายต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ออกไปวิ่งเล่นไกล ๆ ให้ซื่อชวินเป็นห่วง”
“...” คนถูกยื่นข้อเสนอกระพริบตาปริบ
ๆ ก่อนจะหันไปสบตากับร่างผอมในชุดสีขาวซึ่งนั่งอยู่ด้านใน “ได้
ข้าสัญญากับท่าน”
“เด็กดี”
แม่ทัพหนุ่มวางขนมใส่มืออีกคนก่อนจะปล่อยให้ออกไปวิ่งเล่นตามระเบียงจนตอนนี้เหลือเพียงเขากับอู๋ซื่อชวินเท่านั้น
จงเหรินมองดวงหน้าขาวซึ่งรับกับผมสีเข้มที่ยาวจนถึงกลางหลัง
กลิ่นหอมอ่อน ๆ
ของดอกเหมยยังคงเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวอีกฝ่ายจนแม่ทัพอย่างเขามิอาจเบี่ยงความสนใจให้กับสิ่งอื่นได้
วันนี้ครูคนเก่งก็ยังคงอยู่ในชุดสีขาวเช่นทุกครั้ง
หากแต่ลายปักของผ้านั้นไม่เคยเหมือนเดิม
“ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“พอกลับมาถึง
ข้าก็ตรงมาที่นี่ทันที”
“ท่านน่าจะถอดชุดเกราะออกก่อน
ไม่หนักหรืออย่างไรกัน?” ถามไถ่คล้ายจะเป็นห่วง
แต่เจ้าของคำพูดนั้นกลับมองไปยังที่อื่น จินจงเหรินอมยิ้มกับท่าทีของคนตรงหน้า
ก่อนจะก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปพร้อมปัดผ้าคลุมสีดำไปข้างหลังแล้วหยัดตัวนั่งลงข้าง
ๆ
“เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ?”
“อะไรที่ทำให้ท่านคิดเข้าข้างตัวเองเช่นนั้น
ข้าเพียงถามตามมารยาท”
คนถูกไล่ต้อนทางสายตาเบนหน้าหลบไปอีกทาง หากยังถูกท่านแม่ทัพจ้องนานไปกว่านี้
คาดว่าใบหน้าของอู๋ซื่อชวินคงได้ระเบิดเป็นผุยผงแน่
“ตกลง มารยาทก็มารยาท”
“...”
จงเหรินปล่อยให้คนข้างตัวได้ผ่อนคลายสักหน่อย
มันคงไม่ดีนักถ้าหากว่าเขาจะรุกหนักเกินไปจนซื่อชวินไม่กล้ามองหน้า
แม่ทัพหนุ่มพอจะจับทางได้แล้วว่าควรรับมือกับคนขี้อายอย่างไร
“ข้าเพิ่งรู้ข่าวองค์ชายห้า เจ้าคงเป็นอีกคนที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ”
ซื่อชวินหันเข้าหาคนข้างตัว
สบตากันเพื่อบอกให้รู้ว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร
ทั้งกังวลและจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะองค์ชายห้าเปรียบเสมือนน้องชายแท้ ๆ
คนหนึ่งที่เขาพร่ำสอนให้ความรู้มาตั้งแต่พระองค์อายุเข้าสิบขวบ
“หัวใจข้าเหมือนจะแหลกสลาย
เพียงเพราะเอาแต่คิดเรื่ององค์ชายห้าถูกทำร้าย”
มือเรียวทาบลงกับอกตน ก่อนท่านแม่ทัพจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินทหารเล่าว่าเจอศพนางกำนัลอยู่นอกเมือง
ในมือของนางถือมีดอาบยาพิษที่มีคราบเลือดอยู่”
“...”
ซื่อชวินเบิกตาโพลง หัวใจสั่นไหวกับความกลัวที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นจริง “แล้วนางตายได้อย่างไร?”
“องค์ชายคงคิดสู้
นางจึงถูกมีดเล่มนั้นปาดคอตนเอง นั่นหมายความว่าองค์ชายอาจจะมีสิทธิ์รอด
ถ้าหากว่าหายารักษาทัน”
“แล้วเขาจะหายารักษาทันการได้อย่างไร
กว่าโรงหมอจะเปิดก็ตอนเช้าตรู่ ป่านนี้ไม่รู้ระหกระเหินไปอยู่หนใด” จงเหรินไม่เคยเห็นซื่อชวินร้อนใจขนาดนี้มาก่อน
เขาจึงกุมมืออีกฝ่ายไว้เพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย
“ข้าจะออกตามหาองค์ชายห้าเอง”
“ท่านไม่ต้องออกไปรบแล้วหรือ?” ซื่อชวินมองอย่างคาดหวัง ก่อนหัวใจจะพองโตขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายยิ้มบาง ๆ
พร้อมส่ายศีรษะเป็นคำตอบ
“ข้ายังพอมีเวลา ข้าจะหาองค์ชายห้าให้เจอและพากลับวังหลวงให้จงได้”
“ท่านพูดจริงหรือ?” คนฟังหลุดขำในลำคอเบา ๆ อู๋ซื่อชวินที่ใคร ๆ
ต่างก็บอกว่าสุขุมน่าเกรงขามในเวลานี้กลับดูเป็นเด็กเล็กที่หวังอยากได้คำสัญญา
และจินจงเหรินก็พร้อมจะมอบให้ง่าย ๆ เสียด้วย
“ข้าสัญญากับเจ้า” จากที่เคยโต้ตอบบทสนทนาอย่างฉะฉานโดยไม่หลบสายตา
ตอนนี้อู๋ซื่อชวินกำลังหน้าขึ้นสีอ่อน ๆ เพียงเพราะประโยคเมื่อครู่ “ไม่ยักรู้ว่าเจ้าชอบเล่นโคลนดินเป็นเด็ก ๆ”
คนตัวผอมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่น
ๆ จากฝ่ามือแกร่งที่กอบกุมมือเขาไว้พร้อมลูบเบา ๆ ราวกับว่าทะนุถนอมนักหนา
“ข้าเปล่า”
ซื่อชวินพยายามชักมือกลับ
แต่เรี่ยวแรงคนที่ถือตำรามาตลอดชีวิตน่ะหรือจะสู้เรี่ยวแรงคนถือดาบกับทวนหนัก ๆ
ทั้งวันได้
“หากไม่บอกว่าเป็นมือเจ้า
ข้าคงคิดว่ากำลังจับปุยนุ่นอยู่”
“ท่าน...”
“พัดเจ้าไปไหนเล่า?”
“อยู่กับองค์ชายหก”
“งั้นหรือ... ก็ดี” จงเหรินอมยิ้มชอบใจ คนที่ยังถูกไล่ต้อนจึงจ้องมองอย่างใคร่สงสัย “เจ้าจะได้ไม่สยายมันออกปิดสีหน้าตัวเองอีก”
มือข้างที่วางอยู่ขยำชายผ้าจนยับคามือ
ไม่ว่าจะน้ำเสียงหรือแววตาของท่านแม่ทัพ ล้วนส่งผลถึงความรู้สึกของอู๋ซื่อชวินทั้งนั้น
สามเดือนที่อีกฝ่ายออกไปรบ บันไดขั้นล่างสุดตรงนั้นมันช่างว่างเปล่าจนน่าใจหาย
กลัวเหลือเกินว่าผู้ชายซื่อ ๆ
ปากหวานโดยไร้เล่ห์เหลี่ยมอย่างจินจงเหรินจะเสียท่าให้ศัตรู
ซื่อชวินไม่กล้าไว้ใจกับอะไรทั้งนั้น
ตราบใดที่อีกฝ่ายยังต้องออกไปทำสงคราม
“เจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือไม่...
ซื่อชวิน”
*
“เขาตายไปแล้วหรือยังท่านปู่”
“จะตายได้อย่างไร ก็เห็นอยู่ว่าเขายังมีชีพจร”
“เอ้า ข้าจะไปรู้หรือ เมื่อครู่อาจจะยังมี
แต่ตอนนี้อาจจะหยุดไปแล้วก็ได้”
“พูดจาเลอะเทอะ”
เสียงสนทนาปลุกใครอีกคนให้ตื่นจากนิทรา แต่สิ่งแรกที่มองเห็นกลับไม่ใช่ม่านสีขาวอย่างเช่นทุกวันที่ลืมตาตื่น
คนตัวเล็กกระพริบตาอย่างเชื่องช้า
ยกมือขึ้นอังกับหน้าผากเมื่อความรู้สึกหนักอึ้งยังไม่จางหายไป ‘ข้ายังไม่ตายหรอกหรือ?’ เขาถามตนเองในใจ
ก่อนจะเบนสายตาไปยังชายสองคนซึ่งยืนคุยกันอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก
“สรุปยังไม่ตาย?”
“เออ ยังไม่ตาย”
“ค่อยโล่งอกหน่อย”
“โล่งงั้นหรือ?”
“ใช่สิ ตอนแรกคิดว่าจะตายแล้ว
ข้าก็เลยเตรียมแรงไว้ขุดหลุมฝัง”
“เขาน่ะไม่ตายหรอก
แต่ถ้าเป็นเจ้าก็ไม่แน่”
“...”
ชานเลี่ยรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ
ขึ้นมาอย่างฉับพลันทันทีที่เห็นสายตาของปู่ซึ่งบอกให้รู้ได้โดยไม่ต้องพูดว่าท่านคิดจะเอาจริงแค่ไหนพอเป็นเรื่องนี้
“ข้ายังไม่ได้สะสางเรื่องเจ้าแอบหนีไปสอบจอหงวน
ผู่ชานเลี่ย”
“อ่อ เรื่องนั้น... เฮ้ย! ข้าเพิ่งนึกได้ว่าต้องไปช่วยเมิ่งเจียแบกกระสอบ -- โอ๊ยยยยยยยย!! ท่านปู่!!! ข้าขอโทษ!!!
ข้าผิดไปแล้ว!!! โอ๊ยยยย!!!!” คนเป็นหลานยืนเขย่งข้าข้างเดียวพลางกุมหัวเข่าอีกข้างที่ถูกตาแก่เตะเข้าเต็มแรงจนแทบไม่อยากเชื่อว่าคนอายุเจ็ดสิบจะทำเรื่องเช่นนี้ได้
“ข้าเคยบอกไว้ว่าอย่างไร?”
“โธ่ท่านปู่ ข้ายังไม่ทันไปเจอสนามสอบเลย นึกถึงความดีที่หลานทำก่อนสิ ข้าช่วยชีวิตคนไว้ ถ้าคิดจะเอาจริงกับการสอบจอหงวนป่านนี้ข้าปล่อยเขากระอักเลือดดำตายเป็นผีเฝ้าป่าไปแล้ว
โอ๊ยยยย!!!”
“ไปแบกไหน้ำ”
“โธ่ท่านปู่...”
“หนึ่ง...”
“ปู่จ๋า...”
ชานเลี่ยเบ้ปากอ้อนวอน ซึ่งเขารู้ว่ามันได้ผลแค่กับท่านย่าเท่านั้นและท่านก็ได้จากโลกใบนี้ไปแล้ว
พออ้อนปู่หน่อยก็ดูเหมือนว่าจะยั่วโมโหเข้าไปใหญ่
ตาแก่งั่กถึงได้เดินมือไขว้หลังพร้อมยกขาขึ้นเตรียมยันขาเขาอีกรอบ
“สอง!!!”
“ได้!!!
ข้าจะยอมให้ท่านทำโทษก็ได้ จัดมาเลย จะไล่ไปแบกไหยักษ์หรือยืนใต้น้ำตกก็ย่อมได้ทั้งนั้น!!!”
ชายแก่ยกยิ้มมุมปากแล้วพยักหน้าส่ง ๆ
เพื่อบอกให้หลานชายได้ทำตามที่พูดอย่างสมใจ
ชานเลี่ยเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มกลอกตามองเพดาน
ก่อนจะเดินออกไปเพื่อทำโทษตัวเองอย่างที่เคยทำมาตลอดเมื่อออกนอกลู่นอกทาง
เจ้าของผมขาวหันหลังกลับไปบนที่นอนเก่า ๆ ของหลานชายซึ่งมีคนแปลกหน้าจ้องมองอยู่
ทั้งคู่สบตากันโดยไม่มีใครพูดอะไร ก่อนคนเป็นเจ้าบ้านจะเดินไปหยุดอยู่หน้าประตู
“อีกหนึ่งชั่วยามจะถึงเวลามื้อเย็น
มันคงดีกับตัวเจ้าเองถ้าจะลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย เพราะไอ้เด็กนั่นคงไม่ป้อนข้าวใครถึงที่นอน”
“เอ่อ... ข้าหลับไปนานเท่าไหร่หรือท่านอาวุโส?”
“หนึ่งวันเต็ม ๆ”
“อ่า... ข้า...” คนตัวเล็กก้มลงมองเครื่องแต่งกายซึ่งถูกเปลี่ยนใหม่เป็นแบบพื้นบ้าน
มันเป็นชุดเก่า ๆ ที่ขนาดใหญ่กว่าตัว แต่กลิ่นหอมจากไอแดดค่อนข้างดีเลยทีเดียว
“ขอบคุณ...”
เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรนอกจากคำนี้ เปียนป๋ายเซียนกำคอเสื้อตนเองพลางนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจนทำให้ต้องระเห็จเร่ร่อนมาเจอกับชายผู้นั้น
ชายแก่ไม่ได้ตอบอะไร คนตัวเล็กไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายกำลังมีสีหน้าแบบไหน
จะหงุดหงิดใจ หรือว่าไม่รู้สึกอะไรเลยกับการมีอยู่ของคนแปลกหน้า
เจ้าของผมขาวออกไปโดยไม่ให้ความสบายใจแก่เขาเลยสักนิด
อันที่จริงคนตัวเล็กไม่ควรคาดหวังอะไรทั้งนั้น
เพราะการที่เปียนป๋ายเซียนยังมีชีวิตอยู่โดยไม่ตายเพราะพิษจากคมมีดก็ถือว่าสวรรค์ยังมีเมตตากับเขาอยู่
ร่างเล็กนั่งนิ่งอยู่บนฟูกเก่า ๆ ครู่หนึ่งก่อนจะกวาดสายตาไปรอบตัวเพื่อเก็บรายละเอียด
ที่นี่น่าจะเรียกว่ากระท่อมเพราะมันค่อนข้างคับแคบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด
ป๋ายเซียนปลดเชือกที่เอวเพื่อดูบาดแผลตรงแขน มันยังเจ็บและคงไม่แห้งง่าย
ๆ ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาต้องออกไปหาสมุนไพรในป่ามารักษาตัวเอง
คนตัวเล็กจัดแจงเครื่องแต่งกายแล้วออกไปข้างนอก
คาดว่าชุดที่สวมใส่อยู่คงเป็นของชายผู้นั้นที่ช่วยชีวิตเขาไว้
เปียนป๋ายเซียนเป็นคนรู้จักบุญคุณคน
ดังนั้นเขาจะต้องออกไปขอบคุณโดยตรงแทนที่จะให้อีกฝ่ายเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง
ทันทีที่เปิดประตูออกไปก็รู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกด
เมื่อสิ่งที่มองเห็นคือภูเขาซึ่งคั่นด้วยลำธาร
เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วปะปนกับเสียงหวีดหวิวของสายลมเย็น ๆ
ป๋ายเซียนไม่เคยรู้มาก่อนว่าบนโลกมีที่สวยงามแบบนี้อยู่ด้วย
“อ๊าาาาาาาาาาาา!!!!!”
พอได้ยินก็สะดุ้งสุดตัว คนตัวเล็กหันไปตามเสียงก่อนจะพบร่างชายหนุ่มเปลือยท่อนบนยืนอยู่ใต้น้ำตกพร้อมถือไหใบใหญ่ไว้เหนือศีรษะด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
อีกทั้งยังส่งเสียงประหลาดออกมาจนดูไม่น่าเข้าใกล้อีก
“เจ้าาาาาาาาาา!!!!”
คนถูกตะโกนใส่สะดุ้งอีกครั้ง
แต่คราวนี้ป๋ายเซียนก้าวถอยหลังอย่างหวาดระแวง ทั้งสีหน้าราวกับสัตว์ป่าและการเปลื้องผ้าท่อนบนยืนให้น้ำตกสาดใส่ซ้ำ
ๆ เยี่ยงนั้น ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
ร่างเล็กเลียริมฝีปาก
กวาดสายตามองรอบตัวก่อนจะตระหนักได้ว่าบางทีที่นี่อาจจะไม่ได้งดงามอย่างที่วาดฝันไว้
พอเห็นว่าคนป่าเถื่อนกำลังเดินแหวกน้ำตกออกมาจึงก้าวถอยหลังเร็วขึ้น พอหมุนตัวกลับเตรียมจะวิ่งก็ต้องผงะล้มหงายหลังเมื่อพบว่ามีม้าตัวหนึ่งยืนขวางอยู่
“...!!!”
“เย็นไว้จิ้นฝู”
ชายหนุ่มที่ถูกน้ำตกซัดอย่างหนักยืนหอบหายใจ
พลางมองอีกคนที่นั่งหดตัวลงปิดหูตนเองจนแทบเรียกได้ว่าก้อน ชานเลี่ยวางไหมังกรลงบนพื้นจนน้ำกระเซ็นออก
และแน่นอนว่าคนตรงหน้าไม่พลาดที่จะสะดุ้งอีกครั้ง
“ลืมตาขึ้นมา”
“...”
“บอกให้ลืมตาไง หูแตกหรือ
แล้วนิ้วนั่นจะอุดไว้เพื่ออะไรในเมื่อเจ้าได้ยินเสียงข้า”
คนถูกดุค่อย ๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะมองมือตนเองทั้งสองข้าง จริงด้วย มันไม่ได้ช่วยปิดเสียงคนป่าเถื่อนได้เลยสักนิด
ป๋ายเซียนเงยหน้าอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
อันที่จริงเจตนาที่ก้าวออกมาก็ล้วนแต่เต็มไปด้วยการอยากขอบคุณ
แต่พอมองสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว... ดูเหมือนว่าชายผู้นี้คงอยากเอาไหมังกรทุบหัวเขามากกว่าจะยิ้มรับคำเหล่านั้น
“ออกมาทำไม หายเจ็บแล้วหรือ?”
“ข้า...”
“ข้าอะไร?”
“ข้า... อยากออกมาขอบคุณ”
“ถึงข้าจะไม่ได้หิวคำขอบคุณจากปากเจ้า
แต่ถ้าไม่ได้ยินเลยก็คงน่าโมโหจนเกินไป เพราะเจ้าทำให้ข้าพลาดไปสอบจอหงวน”
“ข้าขอโทษ -- โอ๊ะ!” คนตัวเล็กเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อถูกดึงคอเสื้อให้ลุกขึ้นยืน “จ... เจ้าโมโหข้าด้วยเหตุอันใด?”
“ดูหน้าข้าสิ มันยินดีหรือเปล่า?” ชานเลี่ยเอานิ้วชี้ดันมุมปากตนเองขึ้นยิ้มประชด
“แต่ปู่เจ้าก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับการสอบจอหงวนมิใช่หรือ
ข้าได้ยินเจ้าสองคนคุยกัน”
“เสียมารยาทนัก” ป๋ายเซียนหลับตาแน่นทันทีที่อีกคนง้างมือขึ้นขู่ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาอีกครั้ง
“เจ้าติดหนี้ข้าครั้งใหญ่หลวงเลยเจ้าฟันกระต่าย”
“ข้าชื่อป๋ายเซียน”
“ข้าไม่อยากจำ ไม่ต้องบอก”
“แล้วเจ้าล่ะชื่ออะไร?” คนตัวเล็กเดินตามหลังคนป่าเถื่อนต้อย ๆ รูปร่างสูงใหญ่ใช้ได้
ท่าทางจะฝึกมาเป็นอย่างหนัก เชื่อแล้วว่าอยากเป็นจอหงวนจริง ๆ
“ผู่ชานเลี่ย”
“ข้าจะจำเอาไว้” คนฟังขมวดคิ้ว ก่อนจะชำเลืองมองใครอีกคนที่เดินตามอยู่ข้างหลัง
และพอเห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าขาวนั้นก็ยิ่งประหลาดใจ “ว่าเจ้าเคยช่วยชีวิตข้า”
“...” ชานเลี่ยนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ
อันที่จริงมันก็แค่ประโยคทั่วไปซึ่งมักจะเกิดขึ้นได้หลังจากมีใครเดือดร้อนและอีกคนยื่นมือเข้าไปช่วย
นั่นน่ะปกติจะตายไป
“ว่าแต่ท่านปู่ของเจ้าหายไปไหนแล้ว?”
“นู่น”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นพร้อมชี้นิ้วไปยังสุดของหุบเขา
ตรงนั้นเหมือนจะมีทางเดินขึ้นไปแต่ก็อดประหลาดใจไม่ได้ว่าชายที่อายุมากขนาดนั้นจะเดินขึ้นไหวหรือ?
“เจ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอกหรือ?”
“ตาแก่นั่นรักสงบ
เราแยกกันอยู่ตั้งแต่ย่าตายไป บุรุษคลั่งรักก็อย่างนี้ อยู่อย่างสันโดษกับเหล้าหนึ่งไห” ชานเลี่ยยิ้มหยันพลางสวมเสื้อตัวในอย่างลวก ๆ และพอถึงคราวถอดกางเกงจึงหันไปมาปัดมือไล่ให้ป๋ายเซียนหันหน้าหนี
“คนจะเปลี่ยนชุดยังยืนจ้องอยู่ได้”
“มันแปลกหรือ?”
“ยืนดูโต้ง ๆ สิแปลก”
“อา... ข้าขอโทษ
ข้าชินกับการมีคนอยู่รอบตัวเวลาอาบน้ำน่ะ”
“บ้านเจ้าจนถึงกับต้องอาบน้ำพร้อมกันเลยหรืออย่างไร
เออ จะว่าไปแล้วเจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร มาจากไหน?”
ดูเหมือนว่าป๋ายเซียนจะหยิบมีดให้อีกคนปาดคอตัวเองเสียแล้ว
เขาจะบอกได้อย่างไรว่าเป็นองค์ชายมาจากวังหลวง มันเสี่ยงเกินไป
“ข้า...”
“หืม...?”
“เอ่อ... เป็นลูกชาวนา”
“ชาวนา?
มือเจ้านุ่มนิ่มเหมือนไม่เคยหยิบจับแม้แต่ตะเกียบด้วยซ้ำ จะเอาอะไรไปทำนาได้?”
“ก็ข้าไม่เคย พ่อแม่ข้าทำ”
“เหอะ เป็นเด็กขี้เกียจนี่เอง” ชานเลี่ยหัวเราะในลำคอ ก่อนจะหันมาตบบ่าคนตัวเล็กแรง ๆ สองทีจนไหล่สั่นเพื่อบอกว่าใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว
ป๋ายเซียนอ้าปากหวอนิ่วหน้าเจ็บ พอหันไปด้านหลังก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังตรงเข้าไปในเล้าไก่
คนอะไร... แรงเยอะเป็นบ้า
“เป็นลูกชาวนาทำไมใส่ชุดแพง ๆ ได้
อย่าบอกล่ะว่าไปขโมยมา” เสียงดังออกมาจากเล้าไก่
เพียงครู่เดียวคนตัวสูงก็ออกมาพร้อมไข่สีน้ำตาลอ่อนในมือหกฟอง
“ข้า...”
ชานเลี่ยหยุดยืนอยู่ตรงหน้าคนตัวเล็ก
หลุบสายตามองความสูงอันน้อยนิดของอีกฝ่ายที่กำลังกลอกตาล่อกแล่กราวกับกำลังคิดคำโกหกอยู่
“ตอบดี ๆ ล่ะ ข้าเป็นคนมือไวกับพวกคิดร้ายต่อบ้านเมือง”
“มันก็ใช่ แต่ข้ามีเหตุผล”
“หัวขโมยไม่เคยมีเหตุผลอะไรนอกจากความขี้เกียจหาเงินเอง” ชายหนุ่มถลึงตาขู่พลางหันไปล้างไข่
ป๋ายเซียนกัดปลายนิ้วชี้ระหว่างใช้ความคิดก่อนจะโพล่งออกไป
“บ้านข้ากำลังจะถูกยึด
ก็เลยต้องหาเงินให้ได้มาก ๆ เพื่อเอาไปไถ่”
“โดยการขโมยชุดแพง ๆ น่ะหรือ?”
“ใช่”
เขาโกหกคำโต “แล้วข้าก็ถูกทำร้าย
นั่นแหละคือต้นเหตุที่ทำให้ไปเจอเจ้า”
“เหตุผลไม่น่าเห็นใจเอาเสียเลย” ชานเลี่ยจิ๊ปากซ้ำ ๆ พลางมองอีกคนอย่างเอือมระอา “ถ้าตอบว่าเป็นเศรษฐีตกยากคงน่าเชื่อมากกว่า
ไหนจะหน้าตา ผิวพรรณ”
“ถ้าแบบนั้นเจ้าจะเชื่อหรือ
งั้นข้าเป็นอย่างนั้นก็ได้”
“เดี๋ยวก็เขกกะโหลกเสียหรอก!” ป๋ายเซียนยืนห่อไหล่หลับตาแน่นอีกครั้ง
ก่อนจะยิ้มแห้งให้คนที่ง่วนอยู่กับการต้มไข่
“เจ้าอยากเป็นจอหงวนมากเลยหรือ?”
“เออสิ
แต่ถ้าได้เข้าไปทำงานในวังหลวงคงเป็นการสานฝันสูงสุดให้กับข้าเลย”
“เลิกฝันเถอะ”
“ว่าไงนะ?”
“มันไม่ได้ดีอย่างที่เจ้าคิดหรอก อย่าเข้าไปเลย” ป๋ายเซียนทำมือปัด ๆ
อย่างหวังดี
เขาไม่อยากให้ชานเลี่ยต้องเข้าไปเจอกับความกดดันมากมายที่เหล่าขุนนางได้พบเจอ
“หึ เจ้าห้ามเพราะอิจฉาข้าล่ะสิ”
“ทำไมข้าต้องอิจฉาเจ้าด้วย”
“เพราะเจ้าเป็นแค่โจรกระจอกที่ไม่รู้ว่าควรขโมยอะไรถึงจะคุ้มค่าไง” พูดจบก็หันไปเอาไข่ต้มออกมากะเทาะเปลือกสด ๆ ป๋ายเซียนมองตามตาไม่กระพริบ
อดทึ่งไม่ได้ที่ผู่ชานเลี่ยจัดการกับมันทั้งที่ยังควันฉุยอย่างนั้น “เอ้า ยัดเข้าไป”
“เจ้าไม่ร้อนหรือ?”
“ไข่ต้มต้องกินตอนร้อน ๆ
ไม่รู้หรือ?”
“ได้ ข้าจะกิน
ขอบใจเจ้ามากนะชานเลี่ย” คนตัวเล็กยิ้มพร้อมแบสองมือออกไป
แต่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นที่สัมผัสกับไข่ร้อน ๆ
ร่างที่เคยยืนนิ่งก็สั่นโงนเงนราวกับผีเข้าจนชายหนุ่มระเบิดหัวเราะออกมา
“ฮ่า ๆๆ”
“โอ๊ย ร้อน ๆๆ”
“รีบเอาเข้าปากสิ เร็วเข้า” ใช่ว่าป๋ายเซียนจะไม่เคยกินไข่ต้มมาก่อน
อันที่จริงมันแทบจะเป็นจานโปรดของเขาเลยก็ว่าได้ แต่ก็ไม่ใช่การเอาเข้าปากภายในคำเดียวอย่างที่ชานเลี่ยกำลังทำให้ดู
แก้มของคนป่าเถื่อนอัดแน่นไปด้วยไข่ทั้งสองฟอง
ตอนนี้ไข่ในมือป๋ายเซียนเริ่มเย็นลงบ้างแล้วแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังยากกับการเคี้ยวคำเดียว
คนตัวเล็กเป่าลมฟู่ ๆ แต่ชานเลี่ยก็เอาแต่ขมวดคิ้วมองพร้อมบ่นอุบอิบว่า
“อย่าหน่อมแน้มไปหน่อยเลยน่า ยัด ๆ
เข้าไปซะ ให้มันสมกับเป็นลูกผู้ชาย”
เขาอยากถามอีกฝ่ายเหลือเกินว่าจะมีใครในโลกบ้างที่ทำเช่นนั้นได้
นอกเสียจากจะเป็นคนป่าเถื่อนถือไหมังกรเปลื้องท่อนบนยืนใต้น้ำตก
ป๋ายเซียนหลับตาแน่นฝืนใจเอาไข่เข้าปากภายในคำเดียว พยายามเคี้ยวอย่างกระอักกระอ่วน
ก่อนจะลืมตาขึ้นมองอีกคนที่หัวเราะจนกล้ามหน้าท้องขึ้น
ตลกอะไรขนาดนั้น...
“แค่ก ๆ”
“เอ้า ติดคอแล้ว”
“...!!”
ป๋ายเซียนเอื้อมไปรับกระบวยไม้มาดื่มน้ำเสียอึกใหญ่
ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกราวกับว่าเพิ่งผ่านพ้นความตายไปได้ ชานเลี่ยยังคงหัวเราะ
เขาจึงเอากระบวยไม้ฟาดแขนไปเบา ๆ เพื่อขอให้หยุด
“รู้ไหมว่านอกจากจะเป็นโจรกระจอกแล้วเจ้าก็ยังเป็นคนตลกด้วย”
“เจ้าก็เป็นคนบ้าพลังที่สุดตั้งแต่ข้าเคยเจอมา”
“แต่เจ้าเป็นหนี้ข้า”
“ข้ารู้แล้ว อย่าย้ำนักสิ เอาไข่มาให้ข้าอีกใบเลย” ป๋ายเซียนยื่นมือไปข้างหน้า
ก่อนจะหลับตาอีกครั้งเพราะคนป่าเถื่อนเคาะไข่กับหน้าผากเขาจนได้ยินเสียงเปลือกแตก
คนตัวเล็กขมวดคิ้วคาดโทษ
หากแต่คนตรงหน้ากลับไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่นิด ชานเลี่ยยังคงอมยิ้มอย่างนึกสนุก
ยักคิ้วกวนประสาทก่อนจะก้มลงมาสบตากันใกล้ ๆ
“เอาไปกินให้จุกเลยเจ้าฟันกระต่าย”
TBC
เป็นฟิคพีเรียตภาษาอาจจะไม่สวย
คำอาจไม่ถูกใจคนที่ชอบแนวพีเรียดมาก ๆ
เนื้อ ๆ คือมันเป็นภาษาของเราที่อาจจะไม่ได้แก้ทุกอย่างให้จริงจัง
เพราะกลัวว่าจะพยายามใช้คำสละสลวยเกินไปจนออกมาตลกตัวเองง่ะ
อาจจะขัดใจใครหลายคน ก็ขออภัยด้วยน้าถ้าหากทำให้เสียอรรถรส TT
ปล. ไม่รู้ว่าควรเขียนไหม แค่จงเหรินคือจงอิน ซื่อชวินคือเซฮุนนะ เผื่อมีคนยังไม่รู้ (แต่คิดว่าคงรู้กันอยู่แล้วชี่ป้ะ)
ความคิดเห็น