ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    蓮花, Liánhuā ; #ฟิคเหลียนฮวา | chanbaek kaihun

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 :: 伤口 บาดแผล

    • อัปเดตล่าสุด 2 ต.ค. 60


    Fantastic

      


    บทที่ 1

    傷口 บาดแผล

     

     

     

     

    วังหลวงที่เคยอยู่อย่างสงบสุขบัดนี้กลับวุ่นวายจนไม่มีใครนิ่งเฉยได้ แม้แต่ทหารยามซึ่งอยู่ประจำตามจุดต่าง ๆ ล้วนก็หวาดหวั่นใจว่าจะต้องชักดาบออกมาสู้เมื่อไหร่หลังจากเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นในพระราชวัง

    ชายผ้าสีขาวยาวลากพื้นขึ้นไปตามขั้นบันไดอย่างร้อนใจ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในตำหนักเล็กเพื่อสำรวจความเรียบร้อย ท่านซื่อชวิน!”

    ร่างผอมถอนหายใจอย่างโล่งอกทันทีที่เห็นรอยยิ้มขององค์ชายจุนเหมียน เขาเดินลากชายผ้าเข้าไปด้านในก่อนจะหยัดตัวนั่งลงข้างเด็กน้อยที่ยังไม่ประสีประสา หากแต่ไม่ใช่เพราะวัย แต่เป็นเพราะอาการป่วยขององค์ชายที่สติไม่สมประกอบตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน

    หายไปไหนมาพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่หม่อมฉันกับนางกำนัลตามหาองค์ชายกันให้วุ่น อู๋ซื่อชวินประคองมืออีกฝ่ายที่เลอะไปด้วยดินเหนียวขึ้นมา ก่อนจะเอาผ้าเช็ดหน้าสีขาวของตนเช็ดออกให้อย่างเบามือ

    ข้าก็อยู่นี่ตั้งแต่ตื่นนอน

    ทหารยามบอกว่าเห็นท่านออกไปวิ่งเล่นข้างนอกเมื่อชั่วยามที่แล้ว อย่าพูดปดสิพ่ะย่ะค่ะ

    อ่า... งั้นหรือ... ข้าออกไปวิ่งเล่น องค์ชายจุนเหมียนทำหน้าครุ่นคิด ชี้นิ้วย้ำ ๆ ระดับปลายคางก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างไร้เหตุผล ใช่ ๆ ข้าออกไปวิ่งเล่น ไปจับผีเสื้อ แต่จับไม่ได้เลย มันบินหนีข้า สูงขึ้น... สูงขึ้น สองนิ้วหัวแม่มือเกี่ยวกันพร้อมนิ้วทั้งแปดที่กางออกจนคล้ายปีก

    องค์ชายหก ซื่อชวินเรียกช้า ๆ เพื่อดึงความสนใจจากอีกฝ่าย เด็กหนุ่มสติไม่สมประกอบจึงค่อย ๆ หันเข้าหาเพื่อรอฟังหม่อมฉันเคยบอกไปแล้วใช่หรือไม่ว่าในสถานการณ์แบบนี้อย่าออกไปไหนตามลำพัง

    ท่านจะดุข้าเหมือนที่เสด็จแม่ชอบทำหรือ?

    หม่อมฉันมิบังอาจ เขาเป็นเพียงทายาทตระกูลอู๋ที่เป็นผู้ให้ความรู้แก่องค์ชายมารุ่นสู่รุ่น การดุด่าให้เสียพระทัยนั้นไม่เคยอยู่ในหัวซื่อชวินเลยสักนิดที่หม่อมฉันพูดไปทั้งหมดก็เพราะเป็นห่วง กลัวองค์ชายจะถูกปองร้ายไปอีกคน

    เหมือนพี่รองกับพี่ห้าใช่หรือไม่?

    ...

    ข้าได้ยินนางกำนัลคุยกัน... พวกนางบอกว่ารายต่อไปจะเป็นข้า องค์ชายนั่งโงนเงนพลางเกาแก้มจนขึ้นริ้วแดง ซื่อชวินจึงคว้ามืออีกฝ่ายที่ยังเลอะโคลนดินเอาไว้

    ไม่มีทางพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นเด็ดขาด

    พี่ห้าตายแล้ว

    ยังพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายห้าแค่หายตัวไป ตอนนี้ทหารกำลังออกตามหาอยู่ อีกไม่นานเขาก็จะกลับมา ซื่อชวินลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างเบามือ ก่อนจะยืดหลังตรงเพื่อรับองค์ชายเข้ามาซบกับไหล่ตน

    ข้าคิดถึงพี่รองกับพี่ห้าเหลือเกิน

    ร่างผอมปล่อยให้อีกฝ่ายหยิบพัดไปเล่นจนเลอะโคลนดิน ซื่อชวินคิดว่าคงไม่แย่นักถ้าหากว่ามันจะดึงความสนใจองค์ชายจุนเหมียนให้อยู่นิ่ง ๆ ได้สักระยะหนึ่ง แทนที่จะออกไปวิ่งเล่นจนสร้างความกังวลใจให้กับเขาอีกครั้ง

    ถ้าพี่ห้ายังมีสิทธิ์กลับมาหาข้าได้... แล้วพี่รองเล่า? คำปลอบใจทั้งหมดจุกอยู่ที่คอ เมื่ออู๋ซื่อชวินไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าองค์ชายรองยังมีชีวิตอยู่ หลังจากถูกลอบปลงพระชนม์ระหว่างทางตอนไปเยือนเมืองทางใต้กับองค์ชายใหญ่หรือที่ใคร ๆ ต่างก็รู้จักในนามองค์ชายอี้ฝาน

    แม้การเอาตัวรอดครั้งนั้นจะทุลักทุเลเพราะถูกล้อมด้วยเหล่ากบฏ แต่องค์ชายใหญ่ก็รอดมาได้เพราะองครักษ์ขององค์ชายรอง องค์ชายอี้ฝานตีอกชกหัวตัวเองไม่หยุดหลังจากตื่นมารับรู้ถึงการจากไปของน้องชายแท้ ๆ ที่มีแม่คนเดียวกัน ทหารและนางกำนัลต่างก็รู้ดีว่าสองพี่น้องคู่นี้รักและผูกพันกันมากเพียงใด ดังนั้นการจากไปขององค์ชายรองจึงส่งผลต่อจิตใจองค์ชายอี้ฝานเป็นอย่างมาก

    หลังจากทราบข่าวองค์จักรพรรดิก็กริ้วจนนั่งไม่ติดบัลลังก์ องค์ชายรองเป็นลูกรักอีกคนที่ฝ่าบาทรักและชื่นชม ด้วยผลงานที่ไม่เคยทำให้ผิดหวังไม่แพ้องค์ชายใหญ่ผู้เป็นถึงองค์รัชทายาท

    จากข่าวลือในวังล้วนแต่พูดเป็นเสียงเดียวว่ากบฏเหล่านั้นคือพวกหัวเมืองเหนือที่คิดจะตัดหัวองค์ชายทีละคนเพื่อบอกให้องค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ผิงได้รู้ว่ากบฏหัวเมืองเหนือไม่ใช่ขี้ข้าใคร แต่อีกฝั่งหนึ่งก็ยกเรื่ององค์ชายห้าขึ้นมาถกเถียง ว่าถ้าหากฝ่ายกบฏคิดจะทำเช่นนั้นจริงเหตุใดจึงไม่มีหัวขององค์ชายห้าทิ้งไว้ให้เจ็บใจ แต่กลับเหลือเพียงคราบเลือดและชายผ้าขาด ๆ ที่บอกให้รู้ว่าเป็นขององค์ชายห้าเท่านั้น

    ผ่านไปหนึ่งวันกับการออกตามหาขององค์ชายห้า ในวังต่างชุลมุนวุ่นวายเพราะคำสั่งคุ้มกันพระราชวังให้รัดกุมยิ่งขึ้น ทั้งรั้วรอบนอกและรอบตำหนักใหญ่ขององค์จักรพรรดิ ฮองเฮาและพระสนมทุกนาง รวมถึงองค์ชายอี้ฝานที่บาดเจ็บสาหัส องค์ชายจุนเหมียนที่ไม่สมประกอบ และองค์หญิงน้อยซิงหยิงที่ยังอยู่ในวัยเยาว์

    ซื่อชวิน  

    เจ้าของชื่อหลุดออกจากความคิด ก่อนจะหันไปทางประตูตำหนักเล็กซึ่งมีชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เจ้าของผมดำเกล้าขึ้นเหนือศีรษะกับชุดเกราะหนักสีดำที่คาดว่าอู๋ซื่อชวินคงแบกมันไว้กับตัวไม่ไหว ดวงตาคู่นั้นไม่ได้อบอุ่น อ่อนโยนและมาพร้อมรอยยิ้มดั่งเช่นเคย

    แม่ทัพจงเหริน!”

    ถวายบังคมองค์ชายหก

    กลับมาแล้วหรือ ไหนเล่าของฝากข้า? เด็กน้อยแบมือออกอย่างอารมณ์ดีจนแทบลืมไปว่าก่อนหน้านี้เคยทุกข์ใจเรื่องพี่ชายมากแค่ไหน แม่ทัพหนุ่มยิ้มบาง ๆ พลางกำบางอย่างไว้ในมือ ก่อนจุนเหมียนจะรีบวิ่งไปแงะนิ้วออก ขนมหรือ?

    พ่ะย่ะค่ะ

    เยี่ยม ข้าจะกินให้หมด

    จงเหรินลูบศีรษะเด็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อสบตากันใกล้ ๆ หม่อมฉันมีอีก แต่องค์ชายต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ออกไปวิ่งเล่นไกล ๆ ให้ซื่อชวินเป็นห่วง

    ... คนถูกยื่นข้อเสนอกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะหันไปสบตากับร่างผอมในชุดสีขาวซึ่งนั่งอยู่ด้านใน ได้ ข้าสัญญากับท่าน

    เด็กดี แม่ทัพหนุ่มวางขนมใส่มืออีกคนก่อนจะปล่อยให้ออกไปวิ่งเล่นตามระเบียงจนตอนนี้เหลือเพียงเขากับอู๋ซื่อชวินเท่านั้น

    จงเหรินมองดวงหน้าขาวซึ่งรับกับผมสีเข้มที่ยาวจนถึงกลางหลัง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกเหมยยังคงเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวอีกฝ่ายจนแม่ทัพอย่างเขามิอาจเบี่ยงความสนใจให้กับสิ่งอื่นได้ วันนี้ครูคนเก่งก็ยังคงอยู่ในชุดสีขาวเช่นทุกครั้ง หากแต่ลายปักของผ้านั้นไม่เคยเหมือนเดิม

    ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?

    พอกลับมาถึง ข้าก็ตรงมาที่นี่ทันที

    ท่านน่าจะถอดชุดเกราะออกก่อน ไม่หนักหรืออย่างไรกัน? ถามไถ่คล้ายจะเป็นห่วง แต่เจ้าของคำพูดนั้นกลับมองไปยังที่อื่น จินจงเหรินอมยิ้มกับท่าทีของคนตรงหน้า ก่อนจะก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปพร้อมปัดผ้าคลุมสีดำไปข้างหลังแล้วหยัดตัวนั่งลงข้าง ๆ

    เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ?

    อะไรที่ทำให้ท่านคิดเข้าข้างตัวเองเช่นนั้น ข้าเพียงถามตามมารยาท คนถูกไล่ต้อนทางสายตาเบนหน้าหลบไปอีกทาง หากยังถูกท่านแม่ทัพจ้องนานไปกว่านี้ คาดว่าใบหน้าของอู๋ซื่อชวินคงได้ระเบิดเป็นผุยผงแน่

    ตกลง มารยาทก็มารยาท

    ...

    จงเหรินปล่อยให้คนข้างตัวได้ผ่อนคลายสักหน่อย มันคงไม่ดีนักถ้าหากว่าเขาจะรุกหนักเกินไปจนซื่อชวินไม่กล้ามองหน้า แม่ทัพหนุ่มพอจะจับทางได้แล้วว่าควรรับมือกับคนขี้อายอย่างไร

    ข้าเพิ่งรู้ข่าวองค์ชายห้า เจ้าคงเป็นอีกคนที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ

    ซื่อชวินหันเข้าหาคนข้างตัว สบตากันเพื่อบอกให้รู้ว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร ทั้งกังวลและจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะองค์ชายห้าเปรียบเสมือนน้องชายแท้ ๆ คนหนึ่งที่เขาพร่ำสอนให้ความรู้มาตั้งแต่พระองค์อายุเข้าสิบขวบ

    หัวใจข้าเหมือนจะแหลกสลาย เพียงเพราะเอาแต่คิดเรื่ององค์ชายห้าถูกทำร้าย มือเรียวทาบลงกับอกตน ก่อนท่านแม่ทัพจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ

    เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินทหารเล่าว่าเจอศพนางกำนัลอยู่นอกเมือง ในมือของนางถือมีดอาบยาพิษที่มีคราบเลือดอยู่

    ... ซื่อชวินเบิกตาโพลง หัวใจสั่นไหวกับความกลัวที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นจริง แล้วนางตายได้อย่างไร?

    องค์ชายคงคิดสู้ นางจึงถูกมีดเล่มนั้นปาดคอตนเอง นั่นหมายความว่าองค์ชายอาจจะมีสิทธิ์รอด ถ้าหากว่าหายารักษาทัน

    แล้วเขาจะหายารักษาทันการได้อย่างไร กว่าโรงหมอจะเปิดก็ตอนเช้าตรู่ ป่านนี้ไม่รู้ระหกระเหินไปอยู่หนใด จงเหรินไม่เคยเห็นซื่อชวินร้อนใจขนาดนี้มาก่อน เขาจึงกุมมืออีกฝ่ายไว้เพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย

    ข้าจะออกตามหาองค์ชายห้าเอง

    ท่านไม่ต้องออกไปรบแล้วหรือ? ซื่อชวินมองอย่างคาดหวัง ก่อนหัวใจจะพองโตขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายยิ้มบาง ๆ พร้อมส่ายศีรษะเป็นคำตอบ

    ข้ายังพอมีเวลา ข้าจะหาองค์ชายห้าให้เจอและพากลับวังหลวงให้จงได้

    ท่านพูดจริงหรือ? คนฟังหลุดขำในลำคอเบา ๆ อู๋ซื่อชวินที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าสุขุมน่าเกรงขามในเวลานี้กลับดูเป็นเด็กเล็กที่หวังอยากได้คำสัญญา และจินจงเหรินก็พร้อมจะมอบให้ง่าย ๆ เสียด้วย

    ข้าสัญญากับเจ้า จากที่เคยโต้ตอบบทสนทนาอย่างฉะฉานโดยไม่หลบสายตา ตอนนี้อู๋ซื่อชวินกำลังหน้าขึ้นสีอ่อน ๆ เพียงเพราะประโยคเมื่อครู่ ไม่ยักรู้ว่าเจ้าชอบเล่นโคลนดินเป็นเด็ก ๆ

    คนตัวผอมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่น ๆ จากฝ่ามือแกร่งที่กอบกุมมือเขาไว้พร้อมลูบเบา ๆ ราวกับว่าทะนุถนอมนักหนา

    ข้าเปล่า ซื่อชวินพยายามชักมือกลับ แต่เรี่ยวแรงคนที่ถือตำรามาตลอดชีวิตน่ะหรือจะสู้เรี่ยวแรงคนถือดาบกับทวนหนัก ๆ ทั้งวันได้

    หากไม่บอกว่าเป็นมือเจ้า ข้าคงคิดว่ากำลังจับปุยนุ่นอยู่

    ท่าน...

    พัดเจ้าไปไหนเล่า?

    “อยู่กับองค์ชายหก

    งั้นหรือ... ก็ดี จงเหรินอมยิ้มชอบใจ คนที่ยังถูกไล่ต้อนจึงจ้องมองอย่างใคร่สงสัยเจ้าจะได้ไม่สยายมันออกปิดสีหน้าตัวเองอีก

    มือข้างที่วางอยู่ขยำชายผ้าจนยับคามือ ไม่ว่าจะน้ำเสียงหรือแววตาของท่านแม่ทัพ ล้วนส่งผลถึงความรู้สึกของอู๋ซื่อชวินทั้งนั้น สามเดือนที่อีกฝ่ายออกไปรบ บันไดขั้นล่างสุดตรงนั้นมันช่างว่างเปล่าจนน่าใจหาย กลัวเหลือเกินว่าผู้ชายซื่อ ๆ ปากหวานโดยไร้เล่ห์เหลี่ยมอย่างจินจงเหรินจะเสียท่าให้ศัตรู

    ซื่อชวินไม่กล้าไว้ใจกับอะไรทั้งนั้น ตราบใดที่อีกฝ่ายยังต้องออกไปทำสงคราม

    เจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือไม่... ซื่อชวิน

     

     

     

    *

     

     

     

    เขาตายไปแล้วหรือยังท่านปู่

    จะตายได้อย่างไร ก็เห็นอยู่ว่าเขายังมีชีพจร

    เอ้า ข้าจะไปรู้หรือ เมื่อครู่อาจจะยังมี แต่ตอนนี้อาจจะหยุดไปแล้วก็ได้

    พูดจาเลอะเทอะ

    เสียงสนทนาปลุกใครอีกคนให้ตื่นจากนิทรา แต่สิ่งแรกที่มองเห็นกลับไม่ใช่ม่านสีขาวอย่างเช่นทุกวันที่ลืมตาตื่น คนตัวเล็กกระพริบตาอย่างเชื่องช้า ยกมือขึ้นอังกับหน้าผากเมื่อความรู้สึกหนักอึ้งยังไม่จางหายไป ข้ายังไม่ตายหรอกหรือ? เขาถามตนเองในใจ ก่อนจะเบนสายตาไปยังชายสองคนซึ่งยืนคุยกันอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก

    สรุปยังไม่ตาย?

    เออ ยังไม่ตาย

    ค่อยโล่งอกหน่อย

    โล่งงั้นหรือ?

    ใช่สิ ตอนแรกคิดว่าจะตายแล้ว ข้าก็เลยเตรียมแรงไว้ขุดหลุมฝัง

    เขาน่ะไม่ตายหรอก แต่ถ้าเป็นเจ้าก็ไม่แน่

    ... ชานเลี่ยรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ขึ้นมาอย่างฉับพลันทันทีที่เห็นสายตาของปู่ซึ่งบอกให้รู้ได้โดยไม่ต้องพูดว่าท่านคิดจะเอาจริงแค่ไหนพอเป็นเรื่องนี้

    ข้ายังไม่ได้สะสางเรื่องเจ้าแอบหนีไปสอบจอหงวน ผู่ชานเลี่ย

    อ่อ เรื่องนั้น... เฮ้ย! ข้าเพิ่งนึกได้ว่าต้องไปช่วยเมิ่งเจียแบกกระสอบ -- โอ๊ยยยยยยยย!! ท่านปู่!!! ข้าขอโทษ!!! ข้าผิดไปแล้ว!!! โอ๊ยยยย!!!!” คนเป็นหลานยืนเขย่งข้าข้างเดียวพลางกุมหัวเข่าอีกข้างที่ถูกตาแก่เตะเข้าเต็มแรงจนแทบไม่อยากเชื่อว่าคนอายุเจ็ดสิบจะทำเรื่องเช่นนี้ได้

    ข้าเคยบอกไว้ว่าอย่างไร?

    โธ่ท่านปู่ ข้ายังไม่ทันไปเจอสนามสอบเลย นึกถึงความดีที่หลานทำก่อนสิ ข้าช่วยชีวิตคนไว้ ถ้าคิดจะเอาจริงกับการสอบจอหงวนป่านนี้ข้าปล่อยเขากระอักเลือดดำตายเป็นผีเฝ้าป่าไปแล้ว โอ๊ยยยย!!!”

    ไปแบกไหน้ำ

    โธ่ท่านปู่...

    หนึ่ง...

    ปู่จ๋า... ชานเลี่ยเบ้ปากอ้อนวอน ซึ่งเขารู้ว่ามันได้ผลแค่กับท่านย่าเท่านั้นและท่านก็ได้จากโลกใบนี้ไปแล้ว พออ้อนปู่หน่อยก็ดูเหมือนว่าจะยั่วโมโหเข้าไปใหญ่ ตาแก่งั่กถึงได้เดินมือไขว้หลังพร้อมยกขาขึ้นเตรียมยันขาเขาอีกรอบ

    สอง!!!”

    ได้!!! ข้าจะยอมให้ท่านทำโทษก็ได้ จัดมาเลย จะไล่ไปแบกไหยักษ์หรือยืนใต้น้ำตกก็ย่อมได้ทั้งนั้น!!!”

    ชายแก่ยกยิ้มมุมปากแล้วพยักหน้าส่ง ๆ เพื่อบอกให้หลานชายได้ทำตามที่พูดอย่างสมใจ ชานเลี่ยเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มกลอกตามองเพดาน ก่อนจะเดินออกไปเพื่อทำโทษตัวเองอย่างที่เคยทำมาตลอดเมื่อออกนอกลู่นอกทาง

    เจ้าของผมขาวหันหลังกลับไปบนที่นอนเก่า ๆ ของหลานชายซึ่งมีคนแปลกหน้าจ้องมองอยู่ ทั้งคู่สบตากันโดยไม่มีใครพูดอะไร ก่อนคนเป็นเจ้าบ้านจะเดินไปหยุดอยู่หน้าประตู

    อีกหนึ่งชั่วยามจะถึงเวลามื้อเย็น มันคงดีกับตัวเจ้าเองถ้าจะลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย เพราะไอ้เด็กนั่นคงไม่ป้อนข้าวใครถึงที่นอน

    เอ่อ... ข้าหลับไปนานเท่าไหร่หรือท่านอาวุโส?

    หนึ่งวันเต็ม ๆ

    อ่า... ข้า... คนตัวเล็กก้มลงมองเครื่องแต่งกายซึ่งถูกเปลี่ยนใหม่เป็นแบบพื้นบ้าน มันเป็นชุดเก่า ๆ ที่ขนาดใหญ่กว่าตัว แต่กลิ่นหอมจากไอแดดค่อนข้างดีเลยทีเดียวขอบคุณ...

    เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรนอกจากคำนี้ เปียนป๋ายเซียนกำคอเสื้อตนเองพลางนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจนทำให้ต้องระเห็จเร่ร่อนมาเจอกับชายผู้นั้น ชายแก่ไม่ได้ตอบอะไร คนตัวเล็กไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายกำลังมีสีหน้าแบบไหน จะหงุดหงิดใจ หรือว่าไม่รู้สึกอะไรเลยกับการมีอยู่ของคนแปลกหน้า

    เจ้าของผมขาวออกไปโดยไม่ให้ความสบายใจแก่เขาเลยสักนิด อันที่จริงคนตัวเล็กไม่ควรคาดหวังอะไรทั้งนั้น เพราะการที่เปียนป๋ายเซียนยังมีชีวิตอยู่โดยไม่ตายเพราะพิษจากคมมีดก็ถือว่าสวรรค์ยังมีเมตตากับเขาอยู่

    ร่างเล็กนั่งนิ่งอยู่บนฟูกเก่า ๆ ครู่หนึ่งก่อนจะกวาดสายตาไปรอบตัวเพื่อเก็บรายละเอียด ที่นี่น่าจะเรียกว่ากระท่อมเพราะมันค่อนข้างคับแคบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด

    ป๋ายเซียนปลดเชือกที่เอวเพื่อดูบาดแผลตรงแขน มันยังเจ็บและคงไม่แห้งง่าย ๆ ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาต้องออกไปหาสมุนไพรในป่ามารักษาตัวเอง

    คนตัวเล็กจัดแจงเครื่องแต่งกายแล้วออกไปข้างนอก คาดว่าชุดที่สวมใส่อยู่คงเป็นของชายผู้นั้นที่ช่วยชีวิตเขาไว้ เปียนป๋ายเซียนเป็นคนรู้จักบุญคุณคน ดังนั้นเขาจะต้องออกไปขอบคุณโดยตรงแทนที่จะให้อีกฝ่ายเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง

    ทันทีที่เปิดประตูออกไปก็รู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกด เมื่อสิ่งที่มองเห็นคือภูเขาซึ่งคั่นด้วยลำธาร เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วปะปนกับเสียงหวีดหวิวของสายลมเย็น ๆ ป๋ายเซียนไม่เคยรู้มาก่อนว่าบนโลกมีที่สวยงามแบบนี้อยู่ด้วย

    อ๊าาาาาาาาาาาา!!!!!”

    พอได้ยินก็สะดุ้งสุดตัว คนตัวเล็กหันไปตามเสียงก่อนจะพบร่างชายหนุ่มเปลือยท่อนบนยืนอยู่ใต้น้ำตกพร้อมถือไหใบใหญ่ไว้เหนือศีรษะด้วยสีหน้าเคร่งเครียด อีกทั้งยังส่งเสียงประหลาดออกมาจนดูไม่น่าเข้าใกล้อีก

    เจ้าาาาาาาาาา!!!!”

    คนถูกตะโกนใส่สะดุ้งอีกครั้ง แต่คราวนี้ป๋ายเซียนก้าวถอยหลังอย่างหวาดระแวง ทั้งสีหน้าราวกับสัตว์ป่าและการเปลื้องผ้าท่อนบนยืนให้น้ำตกสาดใส่ซ้ำ ๆ เยี่ยงนั้น ช่างน่ากลัวเหลือเกิน

    ร่างเล็กเลียริมฝีปาก กวาดสายตามองรอบตัวก่อนจะตระหนักได้ว่าบางทีที่นี่อาจจะไม่ได้งดงามอย่างที่วาดฝันไว้ พอเห็นว่าคนป่าเถื่อนกำลังเดินแหวกน้ำตกออกมาจึงก้าวถอยหลังเร็วขึ้น พอหมุนตัวกลับเตรียมจะวิ่งก็ต้องผงะล้มหงายหลังเมื่อพบว่ามีม้าตัวหนึ่งยืนขวางอยู่

    ...!!!”

    เย็นไว้จิ้นฝู

    ชายหนุ่มที่ถูกน้ำตกซัดอย่างหนักยืนหอบหายใจ พลางมองอีกคนที่นั่งหดตัวลงปิดหูตนเองจนแทบเรียกได้ว่าก้อน ชานเลี่ยวางไหมังกรลงบนพื้นจนน้ำกระเซ็นออก และแน่นอนว่าคนตรงหน้าไม่พลาดที่จะสะดุ้งอีกครั้ง

    ลืมตาขึ้นมา

    ...

    บอกให้ลืมตาไง หูแตกหรือ แล้วนิ้วนั่นจะอุดไว้เพื่ออะไรในเมื่อเจ้าได้ยินเสียงข้า คนถูกดุค่อย ๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะมองมือตนเองทั้งสองข้าง จริงด้วย มันไม่ได้ช่วยปิดเสียงคนป่าเถื่อนได้เลยสักนิด

    ป๋ายเซียนเงยหน้าอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ อันที่จริงเจตนาที่ก้าวออกมาก็ล้วนแต่เต็มไปด้วยการอยากขอบคุณ แต่พอมองสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว... ดูเหมือนว่าชายผู้นี้คงอยากเอาไหมังกรทุบหัวเขามากกว่าจะยิ้มรับคำเหล่านั้น

    ออกมาทำไม หายเจ็บแล้วหรือ?

    ข้า...

    ข้าอะไร?

    ข้า... อยากออกมาขอบคุณ

    ถึงข้าจะไม่ได้หิวคำขอบคุณจากปากเจ้า แต่ถ้าไม่ได้ยินเลยก็คงน่าโมโหจนเกินไป เพราะเจ้าทำให้ข้าพลาดไปสอบจอหงวน

    ข้าขอโทษ -- โอ๊ะ!” คนตัวเล็กเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อถูกดึงคอเสื้อให้ลุกขึ้นยืนจ... เจ้าโมโหข้าด้วยเหตุอันใด?

    ดูหน้าข้าสิ มันยินดีหรือเปล่า? ชานเลี่ยเอานิ้วชี้ดันมุมปากตนเองขึ้นยิ้มประชด

    แต่ปู่เจ้าก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับการสอบจอหงวนมิใช่หรือ ข้าได้ยินเจ้าสองคนคุยกัน

    เสียมารยาทนัก ป๋ายเซียนหลับตาแน่นทันทีที่อีกคนง้างมือขึ้นขู่ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาอีกครั้ง เจ้าติดหนี้ข้าครั้งใหญ่หลวงเลยเจ้าฟันกระต่าย

    ข้าชื่อป๋ายเซียน

    ข้าไม่อยากจำ ไม่ต้องบอก

    แล้วเจ้าล่ะชื่ออะไร? คนตัวเล็กเดินตามหลังคนป่าเถื่อนต้อย ๆ รูปร่างสูงใหญ่ใช้ได้ ท่าทางจะฝึกมาเป็นอย่างหนัก เชื่อแล้วว่าอยากเป็นจอหงวนจริง ๆ

    ผู่ชานเลี่ย

    ข้าจะจำเอาไว้ คนฟังขมวดคิ้ว ก่อนจะชำเลืองมองใครอีกคนที่เดินตามอยู่ข้างหลัง และพอเห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าขาวนั้นก็ยิ่งประหลาดใจว่าเจ้าเคยช่วยชีวิตข้า

    ... ชานเลี่ยนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ อันที่จริงมันก็แค่ประโยคทั่วไปซึ่งมักจะเกิดขึ้นได้หลังจากมีใครเดือดร้อนและอีกคนยื่นมือเข้าไปช่วย นั่นน่ะปกติจะตายไป

    ว่าแต่ท่านปู่ของเจ้าหายไปไหนแล้ว?

    นู่น ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นพร้อมชี้นิ้วไปยังสุดของหุบเขา ตรงนั้นเหมือนจะมีทางเดินขึ้นไปแต่ก็อดประหลาดใจไม่ได้ว่าชายที่อายุมากขนาดนั้นจะเดินขึ้นไหวหรือ?

    เจ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอกหรือ?

    ตาแก่นั่นรักสงบ เราแยกกันอยู่ตั้งแต่ย่าตายไป บุรุษคลั่งรักก็อย่างนี้ อยู่อย่างสันโดษกับเหล้าหนึ่งไห ชานเลี่ยยิ้มหยันพลางสวมเสื้อตัวในอย่างลวก ๆ และพอถึงคราวถอดกางเกงจึงหันไปมาปัดมือไล่ให้ป๋ายเซียนหันหน้าหนีคนจะเปลี่ยนชุดยังยืนจ้องอยู่ได้

    มันแปลกหรือ?

    ยืนดูโต้ง ๆ สิแปลก

    อา... ข้าขอโทษ ข้าชินกับการมีคนอยู่รอบตัวเวลาอาบน้ำน่ะ

    บ้านเจ้าจนถึงกับต้องอาบน้ำพร้อมกันเลยหรืออย่างไร เออ จะว่าไปแล้วเจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร มาจากไหน? ดูเหมือนว่าป๋ายเซียนจะหยิบมีดให้อีกคนปาดคอตัวเองเสียแล้ว เขาจะบอกได้อย่างไรว่าเป็นองค์ชายมาจากวังหลวง มันเสี่ยงเกินไป

    ข้า...

    หืม...?

    เอ่อ... เป็นลูกชาวนา

    ชาวนา? มือเจ้านุ่มนิ่มเหมือนไม่เคยหยิบจับแม้แต่ตะเกียบด้วยซ้ำ จะเอาอะไรไปทำนาได้?

    ก็ข้าไม่เคย พ่อแม่ข้าทำ

    เหอะ เป็นเด็กขี้เกียจนี่เอง ชานเลี่ยหัวเราะในลำคอ ก่อนจะหันมาตบบ่าคนตัวเล็กแรง ๆ สองทีจนไหล่สั่นเพื่อบอกว่าใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ป๋ายเซียนอ้าปากหวอนิ่วหน้าเจ็บ พอหันไปด้านหลังก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังตรงเข้าไปในเล้าไก่

     

    คนอะไร... แรงเยอะเป็นบ้า

     

    เป็นลูกชาวนาทำไมใส่ชุดแพง ๆ ได้ อย่าบอกล่ะว่าไปขโมยมา เสียงดังออกมาจากเล้าไก่ เพียงครู่เดียวคนตัวสูงก็ออกมาพร้อมไข่สีน้ำตาลอ่อนในมือหกฟอง

    ข้า...

    ชานเลี่ยหยุดยืนอยู่ตรงหน้าคนตัวเล็ก หลุบสายตามองความสูงอันน้อยนิดของอีกฝ่ายที่กำลังกลอกตาล่อกแล่กราวกับกำลังคิดคำโกหกอยู่ตอบดี ๆ ล่ะ ข้าเป็นคนมือไวกับพวกคิดร้ายต่อบ้านเมือง

    มันก็ใช่ แต่ข้ามีเหตุผล

    หัวขโมยไม่เคยมีเหตุผลอะไรนอกจากความขี้เกียจหาเงินเอง ชายหนุ่มถลึงตาขู่พลางหันไปล้างไข่ ป๋ายเซียนกัดปลายนิ้วชี้ระหว่างใช้ความคิดก่อนจะโพล่งออกไป

    บ้านข้ากำลังจะถูกยึด ก็เลยต้องหาเงินให้ได้มาก ๆ เพื่อเอาไปไถ่

    โดยการขโมยชุดแพง ๆ น่ะหรือ?

    ใช่ เขาโกหกคำโตแล้วข้าก็ถูกทำร้าย นั่นแหละคือต้นเหตุที่ทำให้ไปเจอเจ้า

    เหตุผลไม่น่าเห็นใจเอาเสียเลย ชานเลี่ยจิ๊ปากซ้ำ ๆ พลางมองอีกคนอย่างเอือมระอา ถ้าตอบว่าเป็นเศรษฐีตกยากคงน่าเชื่อมากกว่า ไหนจะหน้าตา ผิวพรรณ

    ถ้าแบบนั้นเจ้าจะเชื่อหรือ งั้นข้าเป็นอย่างนั้นก็ได้

    เดี๋ยวก็เขกกะโหลกเสียหรอก!” ป๋ายเซียนยืนห่อไหล่หลับตาแน่นอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มแห้งให้คนที่ง่วนอยู่กับการต้มไข่

    เจ้าอยากเป็นจอหงวนมากเลยหรือ?

    เออสิ แต่ถ้าได้เข้าไปทำงานในวังหลวงคงเป็นการสานฝันสูงสุดให้กับข้าเลย

    เลิกฝันเถอะ

    ว่าไงนะ?

    มันไม่ได้ดีอย่างที่เจ้าคิดหรอก อย่าเข้าไปเลย ป๋ายเซียนทำมือปัด ๆ อย่างหวังดี เขาไม่อยากให้ชานเลี่ยต้องเข้าไปเจอกับความกดดันมากมายที่เหล่าขุนนางได้พบเจอ

    หึ เจ้าห้ามเพราะอิจฉาข้าล่ะสิ

    ทำไมข้าต้องอิจฉาเจ้าด้วย

    เพราะเจ้าเป็นแค่โจรกระจอกที่ไม่รู้ว่าควรขโมยอะไรถึงจะคุ้มค่าไง พูดจบก็หันไปเอาไข่ต้มออกมากะเทาะเปลือกสด ๆ ป๋ายเซียนมองตามตาไม่กระพริบ อดทึ่งไม่ได้ที่ผู่ชานเลี่ยจัดการกับมันทั้งที่ยังควันฉุยอย่างนั้นเอ้า ยัดเข้าไป

    เจ้าไม่ร้อนหรือ?

    ไข่ต้มต้องกินตอนร้อน ๆ ไม่รู้หรือ?

    ได้ ข้าจะกิน ขอบใจเจ้ามากนะชานเลี่ย คนตัวเล็กยิ้มพร้อมแบสองมือออกไป แต่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นที่สัมผัสกับไข่ร้อน ๆ ร่างที่เคยยืนนิ่งก็สั่นโงนเงนราวกับผีเข้าจนชายหนุ่มระเบิดหัวเราะออกมา

    ฮ่า ๆๆ

    โอ๊ย ร้อน ๆๆ

    รีบเอาเข้าปากสิ เร็วเข้า ใช่ว่าป๋ายเซียนจะไม่เคยกินไข่ต้มมาก่อน อันที่จริงมันแทบจะเป็นจานโปรดของเขาเลยก็ว่าได้ แต่ก็ไม่ใช่การเอาเข้าปากภายในคำเดียวอย่างที่ชานเลี่ยกำลังทำให้ดู

    แก้มของคนป่าเถื่อนอัดแน่นไปด้วยไข่ทั้งสองฟอง ตอนนี้ไข่ในมือป๋ายเซียนเริ่มเย็นลงบ้างแล้วแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังยากกับการเคี้ยวคำเดียว คนตัวเล็กเป่าลมฟู่ ๆ แต่ชานเลี่ยก็เอาแต่ขมวดคิ้วมองพร้อมบ่นอุบอิบว่า

    อย่าหน่อมแน้มไปหน่อยเลยน่า ยัด ๆ เข้าไปซะ ให้มันสมกับเป็นลูกผู้ชาย

    เขาอยากถามอีกฝ่ายเหลือเกินว่าจะมีใครในโลกบ้างที่ทำเช่นนั้นได้ นอกเสียจากจะเป็นคนป่าเถื่อนถือไหมังกรเปลื้องท่อนบนยืนใต้น้ำตก ป๋ายเซียนหลับตาแน่นฝืนใจเอาไข่เข้าปากภายในคำเดียว พยายามเคี้ยวอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนจะลืมตาขึ้นมองอีกคนที่หัวเราะจนกล้ามหน้าท้องขึ้น

     

    ตลกอะไรขนาดนั้น...

     

    แค่ก ๆ

    เอ้า ติดคอแล้ว

    ...!!” ป๋ายเซียนเอื้อมไปรับกระบวยไม้มาดื่มน้ำเสียอึกใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกราวกับว่าเพิ่งผ่านพ้นความตายไปได้ ชานเลี่ยยังคงหัวเราะ เขาจึงเอากระบวยไม้ฟาดแขนไปเบา ๆ เพื่อขอให้หยุด

    รู้ไหมว่านอกจากจะเป็นโจรกระจอกแล้วเจ้าก็ยังเป็นคนตลกด้วย

    เจ้าก็เป็นคนบ้าพลังที่สุดตั้งแต่ข้าเคยเจอมา

    แต่เจ้าเป็นหนี้ข้า

    “ข้ารู้แล้ว อย่าย้ำนักสิ เอาไข่มาให้ข้าอีกใบเลย ป๋ายเซียนยื่นมือไปข้างหน้า ก่อนจะหลับตาอีกครั้งเพราะคนป่าเถื่อนเคาะไข่กับหน้าผากเขาจนได้ยินเสียงเปลือกแตก

    คนตัวเล็กขมวดคิ้วคาดโทษ หากแต่คนตรงหน้ากลับไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่นิด ชานเลี่ยยังคงอมยิ้มอย่างนึกสนุก ยักคิ้วกวนประสาทก่อนจะก้มลงมาสบตากันใกล้ ๆ

    เอาไปกินให้จุกเลยเจ้าฟันกระต่าย

     

     

     

     

    TBC

     

     

    เป็นฟิคพีเรียตภาษาอาจจะไม่สวย คำอาจไม่ถูกใจคนที่ชอบแนวพีเรียดมาก ๆ

    เนื้อ ๆ คือมันเป็นภาษาของเราที่อาจจะไม่ได้แก้ทุกอย่างให้จริงจัง

    เพราะกลัวว่าจะพยายามใช้คำสละสลวยเกินไปจนออกมาตลกตัวเองง่ะ

    อาจจะขัดใจใครหลายคน ก็ขออภัยด้วยน้าถ้าหากทำให้เสียอรรถรส TT


    ปล. ไม่รู้ว่าควรเขียนไหม แค่จงเหรินคือจงอิน ซื่อชวินคือเซฮุนนะ เผื่อมีคนยังไม่รู้ (แต่คิดว่าคงรู้กันอยู่แล้วชี่ป้ะ)

      

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×