คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : CHAPTER 01 :: MINERVA
CHAPTER 01
MINERVA
"A friend in need is a friend indeed."
ปัจจุบันโลกใบนี้เหลือประเทศที่มี ‘มนุษย์เป็น ๆ’ อยู่ไม่มากนัก ซึ่งเมื่อหลายสิบปีก่อน เกาหลีใต้ก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่เคยทำสงครามและต้านเอาไว้ได้แม้ว่ามันจะยากลำบากจนเสียผู้คนไปจำนวนมาก
แต่เหมือนว่าเหล่าผีดิบเดนตายจะเปิดโอกาสให้พวกเขาตั้งหลักอีกครั้ง โดยการหันไปสนใจประเทศอื่นที่มีผู้นำใจเสาะแทน แต่ถึงอย่างนั้นชาวเกาหลีใต้ทุกคนต่างรู้ดีว่าคงอีกไม่นาน พวกเดนตายก็จะหันกลับมาก่อสงครามกับประเทศเขาอีกครั้ง
ตั้งแต่สมัยรุ่นตารุ่นยาย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของประเทศได้สร้างกองทัพทหารเพื่อให้เตรียมพร้อมรบกับสงครามที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ หลายครั้งที่ถูกตักเตือนด้วยระเบิดทางอากาศเพื่อให้รู้ตัว ซึ่งนั่นเป็นปัญหาระดับประเทศที่ทางผู้บัญชาการต้องเรียกทหารยศใหญ่เข้าประชุม
ในเมื่อโลกเปลี่ยนไป และกฎเกณฑ์เดิม ๆ ของทหารเมื่อร้อยปีก่อนมันยังไม่ดีพอในสถานการณ์แบบนี้ ผู้บัญชาการจึงสั่งให้ตั้งกลุ่มทหารเป็นหมวดหมู่เพื่อให้เหมาะสมกับภารกิจนั้น ๆ
เดิมทีเกาหลีใต้เป็นประเทศเล็ก ๆ อยู่แล้ว แต่หลังจากทำสงครามไปเมื่อหลายปีก่อนก็ทำให้พื้นที่แคบลง โซลที่เคยเป็นเมืองหลวงปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่โล่งกว้าง ซึ่งทางประธานาธิบดีคนเก่าได้กล่าวไว้ว่าพื้นที่เหล่านั้นมีไว้เพื่อให้ชาวบ้านได้ทำเกษตรกรรมเพิ่มเติม
ปัจจุบันแทกูได้กลายเป็นเมืองหลวงซึ่งห่างไปประมาณสิบกิโลเมตรก็จะพบกับค่ายทหาร ในปี 2115 ประธานาธิบดีและศาสดาทางศาสนาคือชนชั้นหนึ่ง ทหารคือชนชั้นสอง และพลเรือนคือชนชั้นสาม บ้านเมืองมีการแบ่งแยกชนชั้นแต่ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายนัก เมื่อมันเป็นแค่เส้นขีดจำกัดเพื่อให้ทุกคนรู้หน้าที่ของตน
ประชาชนต่างเห็นด้วยกับการมอบความสะดวกสบายให้คนเหล่านั้นหลังจบจากสงคราม และการเป็นทหารต้องได้รับความสมยอมจากผู้ปกครองเป็นลายลักษณ์อักษร เนื่องจากการฝึกยิงปืนและวิ่งหนีห่ากระสุนมันช่วยทำให้มีชีวิตรอดกลับมาไม่ได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าทหารทุกนายต้องได้รับการเข้าฝึกมากมาย ตามสัดส่วนร่างกายที่จะส่งไปทางหน่วยไหน
เด็กที่เริ่มเข้าฝึกส่วนใหญ่อายุประมาณสิบขวบต้น ๆ เด็กเหล่านั้นจะได้เจอหน้าพ่อแม่เดือนละกี่ครั้งขึ้นอยู่กับว่าแสดงความสามารถได้มากแค่ไหน ทุกคนต่างรู้ว่าการส่งบุตรหลานเข้าฝึกเป็นนายทหารนั้นมันไม่ต่างอะไรจากส่งไปตาย แต่หลังจากที่โลกใบนี้เปลี่ยนไปและถูกครอบคลุมด้วยความโหดร้าย มนุษย์บางกลุ่มจึงต้องหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ
จนกระทั่งประธานาธิบดีสถาปนาชายแก่คนหนึ่งขึ้นมาเป็นศาสดาของ Protocol มันคือลัทธิงมงายที่ชาวเมืองต่างให้ความสนใจจนคิดว่าการส่งบุตรหลานไปเป็นทหารคือการเสียสละ พวกเขามีความเชื่อว่าความตายของเหล่าทหารในสนามรบคือคำตอบว่าพระเจ้าได้อ้าแขนรับบุตรหลานของพวกเขาแล้ว
มันคือการเสียสละที่ยิ่งใหญ่
เฉกเช่นเดียวกับการตายของท่านประธานาธิบดี
ในป่าชื้นเต็มไปด้วยต้นไม้ เสียงฝีเท้าปะปนกับเสียงคำรามกลั้วหัวเราะของเหล่าผีดิบเดนตายที่วิ่งจี้หลังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ อย่างไม่ลดละนั้นหลอกหลอนคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ได้เป็นอย่างดี พวกมันเหนื่อยไม่เป็น ในขณะที่มนุษย์ซึ่งเหลือเพียงแค่ปืนพก 9mm กับกระสุนอีกสี่นัดกำลังเหนื่อยหอบจนแทบขาดใจ
“กร๊าซซซซซซซซ!!!”
“ไอ้สารเลวเอ๊ย!” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ขบกรามแน่นก่อนจะเอี้ยวตัวไปข้างหลังแล้วปามีดพกปักเข้ากลางหน้าผากผีดิบในชุดทหารจนล้มไป
“เร็วเข้าชานซอง!”
“Copy that!” (รับทราบ!)
ขายาวของทหารหนุ่มทั้งสามยังคงวิ่งไปข้างหน้าไม่หยุด แหวกกิ่งไม้ใบหญ้าที่โยงกิ่งก้านยาวออกมาให้พ้นทาง แม้ว่าพวกเขาจะหลุดออกมาจากขุมนรกซึ่งเต็มไปด้วยนักวิทยาศาสตร์กับทหารเฝ้ายาม เหล่านั้นต่างเป็นผีดิบมีความคิดซึ่งอ้าปากคำรามทักทายสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์และพุ่งเข้ามากัดอย่างไร้ซึ่งความปราณี
‘ทีม Minerva 2’ เป็นหน่วยรบพิเศษที่ถูกฝึกมาเพื่อศึกใหญ่ไม่ต่างจาก ‘Minerva 1’ ชายฉกรรจ์เหล่านี้ต่างมีความสามารถที่มาในสายทางเดียวกันคือฉลาดรบ ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพด้านร่างกายหรือการใช้ปืน มิเนอร์วาทูต่างตอบโจทย์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ต่างจากมิเนอร์วาวันที่รวมคนหลากหลายความสามารถมาอยู่ด้วยกัน เช่นบุคคลที่เน้นเรื่องความว่องไว และบุคคลที่ฉลาดเรื่องไอที
คิมจงอิน ชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมมิเนอร์วาทู จากความสามารถที่โดดเด่นในทุก ๆ ด้านเขาจึงได้รับตำแหน่งนี้ไปอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่นักหากว่าเขาต้องทำงานกับลูกทีมที่เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ยังเป็นทหารฝึกหัดอย่างอคแทคยอน ฮวางชานซอง และจางอูยอง คิมจุนซู คิมจุนโฮที่เพิ่งพลาดท่าถูกกัดตายไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
ชายหนุ่มไม่มีเวลาตั้งหลัก ไม่มีแม้แต่ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่จะหันไปดูอาการเพื่อน ความเจ็บปวดในครั้งนี้มันยากที่จะทำใจได้ แต่ภารกิจที่ได้รับมอบหมายก็สำคัญเกินกว่าจะทิ้งไว้ข้างหลังแล้วเลือกเรื่องส่วนตัว
คิมจงอินยังคงวิ่งไปข้างหน้าพร้อมขวดยาแอนตี้ไวรัสหนึ่งหลอดที่ขโมยมาได้ มันคือความลับสุดยอดที่ทางหน่วยอื่นสืบเสาะมาจนรู้ว่าพวกแกนนำผีดิบเดนตายได้สร้างแหล่งผลิตไว้มากมาย และหนึ่งในนั้นอยู่ที่นี่ ซึ่งหน่วยของเขาได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ไปขโมยมันมาเพื่อทำการทดลองยารักษา
โลกจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่... ก็ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว
“มิเนอร์วาทูเรียกศูนย์บัญชาการ เราต้องการกำลังเสริม ย้ำ! เราต้องการกำลังเสริม!” ปลายนิ้วชี้แนบกับหูฟังวิทยุสื่อสารขนาดเล็กที่อยู่กับหูข้างขวา กรอกเสียงไปอย่างร้อนใจขณะขอความช่วยเหลือ
( เมอร์คิวรี่สองศูนย์คิมจงแด เนื่องจากตอนนี้ทหารทีมอื่นอยู่ในพื้นที่อับสัญญาณ ผมจึงไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้เลยครับหมวด! )
“เวรเอ๊ย! แล้วพวกทีมมาร์สล่ะ?!”
( ทีมมาร์สอยู่ห่างจากจุดที่หมวดอยู่อีกฟากหนึ่งเลยครับ กว่าจะไปถึงผมคาดว่าคงใช้เวลาอีกประมาณสี่สิบนาทีเป็นอย่างต่ำ! )
“ไม่มีหน่วยไหนที่อยู่ใกล้เลยหรือไง?”
( ผมจะพยายามติดต่อดู... รอสักครู่นะครับหมวด! )
“อ๊าก!!!”
“แทคยอน!” ทหารสองนายรีบเข้าไปช่วยประคองเพื่อนร่วมทีมให้ลุกขึ้นมาหลังจากถูกยิงด้วยปืนกลหนัก ร่างสูงกัดฟันแน่นกับความเจ็บปวดที่แล่นปราดไปทั่วสรรพางค์ เลือดสีสดทะลักออกมาไม่หยุดหลังจากกระสุนทะลุออกไป
แน่นอนว่าทหารทุกนายต่างถูกฝึกให้อดทนกับความเจ็บปวด แต่จากสนามฝึกกับสนามจริงมันช่างต่างกันอย่างสิ้นเชิง จงอินกับชานซองหิ้วปีกเพื่อนสนิทวิ่งไปข้างหน้าก่อนจะหาที่หลบภัยเมื่อเห็นเครื่องบินรบบินผ่านหัวไปเมื่อครู่นี้
( หมวดยังอยู่หรือเปล่าครับ?! )
“ผมยังอยู่” หัวหน้าทีมหอบหายใจหนัก วางเพื่อนร่วมทีมให้นั่งพิงกับต้นใม้ใหญ่ก่อนจะช่วยถอดเสื้อเวสไซราสออกเพื่อให้แทคยอนสะดวกต่อการหายใจ เขารับแม็กกาซีนที่ชานซองโยนมาให้ ชะโงกหน้าออกไปเล็กน้อยเพื่อดูลาดเลาแล้วก็พบกับพวกเดนตายจำนวนมากที่กำลังตามหาเขาด้วยกลิ่น
“เอาโคลนป้ายตัวเขา” สองหนุ่มช่วยกันควานเอาโคลนตมขึ้นมาป้ายตามตัวคนเจ็บและตนเองก่อนจะปิดท้ายที่ใบหน้า
“เรา... ไม่รอดแน่” เสียงของคนเจ็บหอบหนัก เขาไม่เคยรู้สึกเหมือนจะขาดใจอยู่ทุกวินาทีอย่างนี้มาก่อน
“หุบปากเน่า ๆ ของแกซะแทคยอน” จงอินเปิดกระเป๋าตรงสนับขา ก่อนจะเอาผ้าก๊อซสีเทาออกมาพันรอบเอวเพื่อนไว้โดยมีชานซองเป็นลูกมือ
( หมวดครับ! )
“รายงานเข้ามา”
( ไม่มีทีมไหนพร้อมที่จะเป็นกำลังเสริมได้เลยครับ ผมเกรงว่าพื้นที่ตรงนั้นจะเสี่ยงเกินไปกับการเป็นฝ่ายบุกรุก )
“...”
( แต่ผมสามารถบอกทางหนีทีไล่ให้หมวดได้ หากตรงไปอีกหน่อยจะมีทางแยก เลี้ยวไปทางขวาจะเจอกับสะพาน ถ้ากัดฟันโดดลงน้ำได้หมวดจะรอด )
“ทีมผมมีคนเจ็บ ผมพาเขาลงน้ำไม่ได้ คุณส่งคนจากทีมเฮลิออสมาได้ไหม อย่างน้อยก็ให้ยิงถ่วงเวลาพวกมันไว้”
( ผมไม่มีอำนาจพอที่จะส่งทีมเฮลิออสไปครับ เรื่องนี้คนที่อนุมัติได้คือกัปตันปาร์ค! )
หัวหน้าทีมมิเนอร์วาทูชะงักไปหลังจากได้ยินคำตอบ ไม่เข้าใจเลยว่าวินาทีที่ขึ้นอยู่กับความเป็นความตายอย่างนี้แล้วคนพวกนั้นยังจะห่วงเรื่องความสูงของตำแหน่งอีก จงอินถอนหายใจแล้วหันไปดูอาการเพื่อนร่วมทีม ในสถานการณ์สิ้นไร้ไม้ตอกแบบนี้ แน่นอนว่าเขาต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้
“เดี๋ยวผมจัดการเรื่องนี้เอง”
( ขอโทษด้วยครับหมวด )
“ไม่เป็นไร, เลิกกัน”
ชายหนุ่มตัดสัญญาณทางศูนย์บัญชาการแล้วค้นหาสัญญาณใหม่เพื่อติดต่อไปยังหัวหน้าทีมสูงสุดของทีมมิเนอร์วาซึ่งก็คือกัปตันปาร์คชานยอล เขารู้ดีว่าทางหน่วยนั้นคงกำลังย่ำแย่เหมือนกัน แต่การขอให้อีกฝ่ายอนุมัติเรื่องทีมเฮลิออสซึ่งเป็นทีมของเหล่านักบินรบก็เป็นเรื่องสำคัญ
“มิเนอร์วาทูเรียกมิเนอร์วาวัน”
เสียงสัญญาณแทรกครืด ๆ ในวินาทีแห่งความเป็นความตาย ช่วงเวลาที่ต้องรอการติดต่อนั้นเขากับชานซองก็ช่วยกันหิ้วปีกคนเจ็บขึ้นมาแล้วยิงสกัดหลังเป็นระยะเมื่อพวกเดนตายเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ
( ได้ยินแล้ว รายงานเข้ามา )
“ผมหมวดจงอินจากทีมมิเนอร์วาทู ตอนนี้ผมกำลังทำตามภารกิจหลักจนเกือบสำเร็จลุล่วงแล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่กระสุนใกล้จะหมดเข้าไปทุกที และมีเพื่อนร่วมทีมที่กำลังเจ็บหนักครับ”
( ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน? )
“ผมจะส่งพิกัดไป” จงอินหอบหายใจหนักพลางกดแถบอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารตรงข้อมือด้านซ้าย เพียงแค่ครู่เดียวสถานที่ที่เขาอยู่ก็ถูกส่งไปยังกัปตันทีม
( คุณได้มันมาหรือเปล่า? )
“ครับ! ผมได้มันมา!”
( หมวดจงอิน คุณจำกฎเหล็กในห้องประชุมลับได้ใช่ไหม? )
“ครับกัปตัน! ผมจำมันได้เป็นอย่างดี!”
กับเรื่องกฎบ้าบอนั่น ถึงแม้จะไม่อยากทำตามแค่ไหนแต่เพื่อความปลอดภัยของคนหมู่มากและเป็นการเซฟข้อมูล แน่นอนว่าการขอความช่วยเหลือจากถิ่นศัตรูนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะอนุมัติได้
“แต่ผมได้มันมาแล้ว กัปตันต้องเลือกว่าจะแหกกฎส่งคนจากเฮลิออสมาช่วยเรา หรือจะปล่อยให้แอนตี้ไวรัสตายไปพร้อม ๆ กับผม!” คิมจงอินไม่ใช่คนชอบต่อรองเพื่อหวังผล แต่สำหรับวินาทีที่มีความเป็นความตายของเพื่อนร่วมทีมอยู่ตรงหน้า เขาจึงจำเป็นต้องยื่นข้อเสนอให้กัปตัน
( หมวดจงอิน เราจะไม่บุกน่านฟ้าของศัตรู )
“แต่-- !!”
( กว่าฝูงบินจะไปถึงจุดที่คุณอยู่ คุณคงจินตนาการออกได้ไม่ยากว่าถ้าเฮลิออสถูกยิงด้วย SAM จะเป็นยังไง? )
SAM = Surface to Air Missile (จรวดต่อต้านอากาศยาน)
“กัปตันจะทำแบบนี้ไม่ได้... ผมรู้ว่ากฎเป็นกฎ แต่สำหรับความจำเป็น เราอาจจะต้องแหกมันบ้างไม่ใช่เหรอครับ?!” จงอินกำลังหัวเสีย เขาหันหลังกลับไปยิงสู้เป็นระยะจนกระสุนหมดแม็กแล้วเปลี่ยนเข้าไปใหม่
( ผมว่าคุณยังไม่เข้าใจสิ่งที่ผมกำลังพูดนะหมวดจงอิน เราทุกคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำ ผมเองก็ไม่สามารถสั่งให้ทีมเฮลิออสเอาเครื่องบินออกไปเสี่ยงตายเพื่อช่วยคุณ )
“กัปตัน!”
( ในฐานะกัปตันทีมที่ต้องดูแลลูกทีมย่อยทั้งหมด ผมจำเป็นต้องคำนวณถึงความเสียหายอย่างถี่ถ้วน หมวดจงอิน ผมไม่อนุมัติ )
“FUCK!”
( ผมเสียใจ และหวังว่าคุณกับลูกทีมจะกลับมาได้ พร้อมภารกิจที่ได้รับมอบหมาย )
จงอินกัดฟันกรอด คำพูดของหัวหน้าทีมหลักนั้นไม่ได้ช่วยเป็นกำลังใจให้กับเขาและคนที่เหลือเลยสักนิด เมื่อถึงเวลาที่ต้องออกมาเสี่ยงตาย ผู้คนต่างฝากความหวังไว้กับทหารคลั่งชาติอย่างเรา แต่พอถึงเวลาที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ คนเหล่านั้นก็เลือกตัดช่องน้อยแต่พอตัว
สูญเสียน้อย ย่อมดีกว่าสูญเสียมาก เรื่องนี้คิมจงอินรู้ดี
ทหารหนุ่มทั้งสองได้ยินบทสนทนาระหว่างกัปตันทีมหลักและหัวหน้าทีมอย่างชัดเจน แทคยอนส่ายศีรษะแล้วดันเพื่อนร่วมทีมออก เขาพยายามยืนหยัดด้วยขาทั้งสองข้างก่อนจะกำปืนพกไว้แน่น
“ไป”
“พูดอะไรของแกวะ!” ชานซองตะโกน
“พวกมันกำลังไล่บี้เรามาติด ๆ แล้วเพื่อน รีบไป... เดี๋ยวฉันจะถ่วงเวลาไว้เอง” แทคยอนยืนเซ เขายกมือห้ามคนตรงหน้าที่กำลังจะเข้ามาช่วย
“สาบานกับพระเจ้าเลยว่าฉันจะไม่ทิ้งแกไว้ที่นี่แน่” จงอินมองสภาพเพื่อนสนิท แต่แทคยอนกลับหัวเราะในลำคอ
“แกก็รู้ว่าตอนนี้เรากำลังเจอกับอะไรอยู่”
“...”
“พวกเราถูกลืมแล้วเพื่อน”
“...”
“ถ้าพวกเราตายกันหมด ประชาชนเกาหลีใต้จะสวดมนต์ให้เราแค่คืนเดียว หลังจากวันนั้นไปพวกเขาก็จะลืม” แทคยอนแค่นยิ้ม “และรูปถ่ายในกรอบอย่างดีกับเหรียญเกียติยศจะถูกแขวนไว้กับผนัง โดยที่เราไม่มีโอกาสได้สัมผัสมัน”
“...”
“ถ้ายังรั้นจะพาฉันไปด้วย พวกเราก็จะตายกันหมด” แทคยอนกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ “แต่ถ้าแกเอาไอ้หลอดแก้วนรกนั่นกลับไปได้ จุนโฮ จุนซู อูยอง ...แล้วก็ฉัน”
“...”
“จะไม่มีใครต้องตายเปล่า”
“ไอ้หอกเอ๊ย หุบปากเน่า ๆ ของแกสักทีเถอะ” ชานซองพูดลอดไรฟันก่อนจะเอาระเบิดดิจิตอลลูกสุดท้ายมาถือไว้ในมือ จงอินสบตากับเพื่อนสนิทพลางส่ายหน้า เมื่อเห็นว่าตอนนี้ชานซองได้ไปยืนอยู่ข้างแทคยอนแล้ว
“ไม่...”
“พวกเราต้องทำ” เสียงของชานซองไม่เคยหนักแน่นขนาดนี้มาก่อน ถ้าเทียบกับไอ้บ้าชอบเล่นกล้ามที่เอาแต่เล่นมุกควายไปวัน ๆ “เราทุกคน ต้องทำสิ่งที่ถูกต้องว่ะเพื่อน”
เสียงคำรามของพวกเดรัจฉานเข้ามาใกล้ในทุกวินาที ทั้งสามหนุ่มมองหน้ากันราวกับว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย และมันคือความจริงที่ต้องยอมรับ เขารู้ดีว่าเพื่อนสนิททุกคนรักชาติแค่ไหน และจุดมุ่งหมายของการเป็นทหารของเราทุกคนคืออะไร
แต่พอพูดถึงการเสียสละ มันก็ยากที่จะทำใจรับได้อยู่ดี
“คิดถึงพวกเราด้วยนะเพื่อน”
ประโยคนั้นมาพร้อมรอยยิ้มและน้ำตาที่ไหลออกมาของเพื่อนร่วมทีมทั้งสอง จงอินไม่รู้ตัวว่าเขากำลังร้องไห้อยู่หรือเปล่า แต่ความรู้สึกของเขาในวินาทีมันกำลังแหลกไม่มีเหลือ กับการที่ต้องตัดใจทิ้งเพื่อนร่วมทีมเอาไว้ และหนีตายไปตามลำพัง
“ได้โปรดเคารพการตัดสินใจของเราด้วยครับหมวด” เป็นครั้งแรกที่ชานซองใช้คำอย่างเป็นทางการกับเขา
ชั่วอึดใจเลยทีเดียวที่ชายหนุ่มผิวแทนยืนนิ่งเพื่อให้สมองได้ใช้ความคิดและให้หัวใจเตรียมรับกับความเจ็บปวดที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ขายาวค่อย ๆ ก้าวถอยหลังเมื่อเสียงพวกเดนตายเข้ามาใกล้ทุกที ก่อนที่เขาจะกัดฟันหันหลังวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี
เสียงปืนดังสนั่นลั่นป่ากว้าง ทั้งปืนกลและปืนสั้นที่สลับกันอย่างต่อเนื่อง จงอินล้วงเอาหลอดแก้วที่มีของเหลวสีเขียวอยู่ข้างในก่อนจะเก็บมันใส่กระเป๋าเสื้อเวสไซราสด้านซ้ายแล้วหันกลับไปข้างหลัง
แสงสีส้มซึ่งเกิดจากระเบิดลูกใหญ่ลุกโชนแผดเผาพวกผีดิบเดนตายจนมอดไหม้ ตามมาด้วยลูกกระสุนที่เจาะทะลุเข้ากลางขมับของฮวางชานซองที่เป็นคนปาระเบิดออกไป ก่อนที่ร่างของแทคยอนจะถูกรัวยิงใส่จนร่างพรุนไปหมด
ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง... ขาทั้งสองข้างลดจังหวะลงแต่ยังคงวิ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง มือที่ถือปืนพกเพียงไม่กี่นัดกำลังสั่นเทากับอาการช็อก ริมฝีปากสั่นเครือกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นให้เห็นกับตา
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซ!!!”
จงอินเหนี่ยวไกลั่นใส่ผีดิบในชุดทหารที่กระโจนใส่จนล้มกลิ้งลงไปด้วยกัน เขาหมุนตัวลุกขึ้นตั้งหลักแล้วรีบวิ่งไปข้างหน้าเมื่อเห็นว่าพวกเดนตายล้อมมาตรงทางแยกตามที่จ่าจงแดบอกไว้ว่ามีสะพานและแม่น้ำรออยู่
ขายาววิ่งย่ำโคลนตมจนน้ำกระเซ็นออก เสียงหอบหายใจหนักของตนเองอาจเป็นสิ่งเดียวที่คิมจงอินจะได้ยินเป็นครั้งสุดท้าย ชายหนุ่มค้ำมือบนซากต้นไม้เก่าแก่ที่ล้มขวางทางก่อนจะกระโดดข้ามมันไปพร้อมห่ากระสุนที่ไล่ตามหลังมาติด ๆ
พวกทหารผีดิบเดนตายเหล่านั้นสามารถจัดการผู้คนได้ด้วยกระสุนปืนและการกัดแพร่เชื้อ พวกมันยังคงหัวเราะลั่นป่าราวกับว่าเขาเป็นหนูที่กำลังวิ่งไปเจอกับดัก
ชายหนุ่มลั่นกระสุนปืนจนหมดไม่เหลือแม้แต่ในรังเพลิง เขาเขวี้ยงปืนใส่หน้าผีดิบตัวที่วิ่งเข้ามาหวังจะกัดเขาจนเสียหลักเซถอยหลัง จังหวะนั้นถึงได้เห็นว่าสุดปลายทางด้านหน้าคือเหว
จงอินก้มลงมองเบื้องล่างพร้อมเศษซากก้อนหินที่ร่วงลงไปในคลื่นน้ำทะเลซึ่งสาดเข้าหาฝั่งอย่างแรง เขาหันซ้ายขวาดูทางหนีอื่นแต่ดูเหมือนว่าการกระโดดลงไปด้านล่างคงเป็นทางเลือกสุดท้ายซึ่งเปอร์เซ็นต์การรอดค่อนข้างน้อยอยู่พอสมควร
ผีดิบที่เคยหวังจะกัดเขายืนนิ่งพร้อมรอยยิ้มและปืนกลในมือ จงอินได้แต่หวังว่าคราบสีสดที่ริมฝีปากมันจะไม่ใช่เลือดเพื่อนร่วมทีมของเขา ทหารเดนตายไม่คิดที่จะยกปืนขึ้นเหนี่ยวไก เมื่อกระบอกปืนมากมายต่างเล็งมาทางนี้จากกลุ่มทหารผีดิบที่ตามมาสมทบ
ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกยิงจนพรุน และตกลงไปยังเหวด้านล่างพร้อมเสียงปืนที่ยังดังกึกก้องอยู่ในหู...
‘ผม หมวดคิมจงอิน หัวหน้าทีมมิเนอร์วาทู ได้พยายามทำตามหน้าที่อย่างสุดความสามารถแล้ว’
ซ่า...
ซ่า...
เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งปลุกให้คนที่อยู่ในนิทราตื่นจากฝัน เปลือกตาที่ปิดมานานค่อย ๆ ลืมขึ้นรับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ก่อนจะหรี่ตาลงพร้อมยกมือขึ้นบดบัง เพียงแค่ครู่เดียวชายหนุ่มก็ปรับสภาพสายตาเข้ากับมันได้
“...”
คิ้วหนาขมวดมุ่นพร้อมกายที่หยัดลุกขึ้นนั่ง ก้มมองมือตนเองทั้งสองข้างก่อนจะเลื่อนระดับสายตาไปยังขาและเท้าที่ถูกน้ำทะเลสาดเข้ามาไม่หยุด น่าประหลาดใจเหลือเกินที่ชิ้นส่วนในร่างกายของเขายังอยู่ครบ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าถูกยิงจนตกลงมาจากเหว การถูกกินเลยเป็นที่ควรจะมองข้ามไป
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงอย่างลำบาก ที่จริงในปากเขาแทบจะไม่มีอะไรเลยนอกจากทรายหยาบ ๆ เหล่านี้ จงอินไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ความฝัน เมื่อสิ่งที่มองเห็นโดยรอบมันชัดเจนเกินกว่าจะจินตนาการยามหลับได้
ก้มลงมองเสื้อที่เป็นรอยฉีกขาดหลังจากถูกรัวกระสุนใส่หลายนัด น่าแปลกเหลือเกินที่เขารู้สึกเจ็บปวดกับมันแค่ในตอนแรกแต่วินาทีนี้กลับไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดเดียว
รีบถอดเสื้อเวสไซราสออกและตามด้วยเสื้อทหาร ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจทันทีที่เห็นว่ากระสุนหลายนัดฝังอยู่บนร่างเขาซึ่งมีรอยบาดแผลอยู่ มันไม่สดใหม่แต่ก็ไม่น่าจะนาน รวมไปถึงจุดที่น่าจะตายได้ภายในนัดเดียวคือหัวใจ มันมีคราบของเหลวสีเขียวเปรอะเปื้อนอยู่
“...”
ควานเอาเสื้อเวสไซราสที่เพิ่งถอดออกมาวางไว้บนตัก ค้นหาสิ่งสำคัญกว่าชีวิตออกมาจากกระเป๋าด้านซ้ายก่อนจะชะงักไปเมื่อพบว่าเศษหลอดแก้วมันทิ่มออกมาจากรอยกระสุนของเสื้อ
...มันแตกไปแล้ว
ความหวังเดียวในตอนนี้... มันแตกไปแล้ว
จงอินก้มลงมองหน้าอกข้างซ้ายซึ่งเป็นจุดที่หัวใจควรจะเต้น หากแต่ตอนนี้มันกลับนิ่งราวกับหยุดทำงานไป คราบสีเขียวยังคงเปรอะอยู่กับรูกระสุนปืนบนอกข้างซ้ายจุดที่หัวใจอยู่ เขาไม่อยากคิดเลยว่าความเสียหายในครั้งนี้มันได้ไหลลงไปในบาดแผลของเขาหลังจากถูกยิง
“...”
มือทั้งสองข้างกำลังสั่น... ไม่สิ... ที่จริงแล้วร่างกายของเขากำลังสั่นไปหมดหลังจากได้กลิ่นบางอย่างที่พัดมากับสายลม นัยน์ตาคมกวาดมองไปยังพงป่าด้านหลัง เสียงมากมายลอยเข้ามาในโสตประสาทจนแยกแยะไม่ออกว่ามาจากสัตว์ประเภทไหน
จงอินหยัดตัวลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลจนล้มลงไปคลุกกับพื้นทราย เขาใช้สองมือช่วยคลานไปข้างหน้าแล้วลุกขึ้นเดินเซซ้ายเซขวาเข้าไปในป่า หิว... ทำไมหิวแบบนี้... ไม่รู้ว่านอนอยู่ริมหาดไปกี่วันร่างกายของเขาถึงได้โหยอาหารได้อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ร่างเปลือยท่อนบนมีมัดกล้ามตามหน้าท้องเต็มไปด้วยรอยกระสุนปืนกำลังเดินโซซัดโซเซเข้าไปในป่าลึก เขาเดินไปตามกลิ่นหอมราวกับว่ามีใครกำลังจัดเตรียมไว้จนแทบรอไม่ไหว
นัยน์ตาพร่ามัวเพราะความหิว เมื่อถึงจุดหมายสองมือก็เริ่มจับเอาอาหารเข้าปากอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ได้ยินเสียงคำรามฮือในลำคอของตนเองเมื่อในวินาทีนี้ความหิวได้เอาชนะทุกอย่าง
ม่านตาเริ่มปรับสภาพจนชัดเจนอีกครั้งหลังจากความหิวได้รับการเยียวยา จงอินกลืนอาหารคำสุดท้ายลงคอก่อนจะใช้หลังมือปาดคราบเลอะออกจากปากลวก ๆ ถ้าจำไม่ผิดครั้งสุดท้ายที่กินมูมมามขนาดนี้ก็คงตอนไปทำภารกิจหนักที่อิรักจนต้องอดข้าวถึงสามวัน
แต่พอก้มลงมองหลังมือตัวเองก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อพบว่ามันเลอะไปด้วยคราบเลือดสีเข้มและฝ่ามือทั้งสองข้างก็เช่นกัน เสียงแมลงวันบินว่อนอยู่โดยรอบราวกับว่ามันบินอยู่ข้างหู จงอินค่อย ๆ ละมือออกจากสิ่งที่เขาเรียกมันว่าอาหาร ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพบว่าสิ่งที่เขาเพิ่งกินไปเมื่อครู่นี้คือ...
ศพของจางอูยอง...
หนึ่งในเพื่อนร่วมทีมของเขา...
“...!”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นปิดปาก รีบวิ่งออกมาจากตรงนั้นอย่างทุลักทุเลจนเสียหลักชนกับต้นไม้รอบด้าน ขายาวประคองร่างอันผุพังออกมาจนถึงริมหาดอีกครั้งก่อนจะอาเจียนออกมา
ซากเครื่องในที่เคยเป็นอาหารอันโอชะกองอยู่บนพื้นยังเต็มไปด้วยคราบเลือด ชายหนุ่มคลานไปจนถึงจุดที่ทะเลสาดเข้าหาฝั่ง ลงไปจนมันลึกถึงเอวก่อนจะกวักน้ำเข้าปากเพื่อล้างความน่าสยดสยองออกไป
ความแดงของสีเลือดปะปนไปกับน้ำทะเลใส หลังจากคลื่นซัดเข้าหาฝั่งน้ำที่เคยโหมเข้ามาก็หยุดนิ่งจนทำให้มองเห็นตัวเอง ใบหน้าส่วนหนึ่งยังคงเลอะคราบเลือดอยู่เล็กน้อย แต่สิ่งน่าประหลาดใจที่สุดในตอนนี้ก็คือ
เส้นผมที่เคยเป็นสีเข้มได้เปลี่ยนเป็นสีขาวอย่างน่าประหลาด
‘ไม่ว่ายังไง ชาติก็ต้องมาก่อน’
‘ด้วยเกียรติแห่งชายชาติทหาร คุณและทีมต้องทำภารกิจนี้ หมวดจงอิน’
‘พอถึงเวลาที่ต้องตาย ฉันจะไม่มีทางทิ้งแกไว้ข้างหลังแน่’
‘รีบไป อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!’
‘อูยอง แกไม่ใช่ฮีโร่’
เสียงของเพื่อนร่วมทีมยังคงกึกก้องอยู่ในหัวราวกับว่าบุคคลเหล่านั้นได้มายืนกระซิบอยู่ใกล้ ๆ ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ในน้ำทะเลรับคลื่นที่สาดเข้าหา เขากำลังจะเป็นบ้ากับเรื่องราวมากมายในหัวที่ไม่สามารถตั้งสติเรียบเรียงมันได้
‘แกต้องรอดกลับไป จงอิน ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน’
‘หมวดจงอิน เราจะไม่บุกน่านฟ้าของศัตรู’
‘เพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด’
‘หมวดจงอิน คุณเป็นคนมีความสามารถ ไม่มีใครเหมาะสมกับภารกิจนี้เท่าคุณอีกแล้ว’
‘ได้โปรดเคารพการตัดสินใจของเราด้วยครับหมวด’
‘กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!!’
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!”
TBC
ฉากจบนี่ Deep Breath ไหมล่ะ 5555555555555 เกิดอะไรขึ้นกับหมวด ทำไมหมวดไม่ตายทั้งที่โดนยิงทะลุหัวใจขนาดนั้น ทำไมหัวหมวดเปลี่ยนสี ทำไมหมวดกินศพ ทำไม ทำไม ทำไม #สปอยล์ไปแล้วยังจะถามอีกอีเดาะ
ความคิดเห็น