คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : Chapter 19 :: I will teach you ♥ (END)
? cactus
Chapter 19
I will teach you ♥
“โอ๊ยเจ็บ!”
“นั่งนิ่ง ๆ ก่อนสิครับ”
“ก็หนูกลัวลืม เดี๋ยวอาจารย์ทิ้งหนูไปอีกจะไม่มีโอกาสได้พูด” คนถูกตัดพ้อเพียงอมยิ้มขณะทายาตรงฝ่ามือให้เด็กสาวที่นั่งจ้องเขาอยู่ตลอดหลายนาทีที่ผ่านมาโดยไม่ยอมละสายตาไปไหน
“โอเคครับ พูดต่อได้เลย” ถึงจะดูสำนึกผิด แต่อาจารย์ก็เอาแต่อมยิ้มและมองเธอด้วยแววตาแบบนั้น... แบบที่แบคฮีเคยโดนขโมยไป
“หนูอยากบ่นเยอะ ๆ ให้อาจารย์รู้สึกผิด แต่ตอนนี้ในหัวมีแต่คำถามว่าอาจารย์กินข้าวหรือยัง เมื่อคืนหลับสบายไหม?”
“ผมกินแล้วครับ คุณจะบ่นอีกก็ได้นะ ผมมีเวลานั่งฟังได้เป็นปีเลย” ทั้งคู่สบตากัน และแววตาของอาจารย์ตอนนี้ไม่มีตรงไหนเลยที่จะสื่อว่าประโยคเมื่อครู่เป็นการล้อเล่นหรือพูดเอาใจ
“ถ้าหนูไม่เห็นกยูริโดนทำร้าย หนูก็คงไม่ได้มานั่งบ่นแบบนี้หรอก เสียใจเลยล่ะสิ” เด็กสาวมองมืออุ่น ๆ ที่จับมือของเธออย่างทะนุถนอม “หนีหนูไม่พ้นหรอก สมน้ำหน้าแล้ว”
นิ้วเล็กเกี่ยวกับนิ้วเขาเพียงหลวม ๆ เสียงของแบคฮีแผ่วลง ในหัวของเธอมีเรื่องราวมากมายอยู่เต็มไปหมดจนไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรก่อน ความรู้สึกก็เช่นกัน ตอนนี้มีทั้งความน้อยใจ โกรธ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็ไม่มีพลังมากพอที่จะเอาชนะความคิดถึงและความรักที่บยอนแบคฮีมีต่อผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอลได้
“พูดมันออกมาเถอะครับ จะได้สบายใจ”
“ไม่รำคาญเหรอ?” อาจารย์ส่ายศีรษะเป็นคำตอบพร้อมรอยยิ้ม “หนูลองคิด ๆ ดูว่าถ้าเจอแบบอาจารย์จะทำยังไง แล้วหนูก็ได้คำตอบว่าหนูคงนึกถึงความสุขของตัวเองมากกว่า”
“ทุกคนเติบโตมาจากบ้านคนละหลัง ถูกเลี้ยงมาด้วยวิธีที่แตกต่างกัน ในสิบคนอาจมีคิดต่างไปเจ็ด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสามคนที่เหลือจะคิดผิด เหตุผลของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเลือกความถูกต้อง บางคนเลือกสิ่งที่ทำให้สบายใจ มันไม่แปลกหรอกครับถ้าคุณจะเลือกในทางที่คิดว่าดีที่สุด” ชานยอลเป่ารอยถลอกบนฝ่ามือคนตัวเล็กเบา ๆ
“อาจารย์รู้ว่าคนอย่างหนูจะไม่มีวันฆ่าตัวตายเพราะเรื่องความรัก แล้วอาจารย์รู้ไหมว่าสักวันหนึ่งหนูจะได้เจอใครสักคนที่มาแทนที่อาจารย์ได้”
“ครับ ผมรู้”
“ทนได้เหรอคะ?” แบคฮีคาดหวังคำตอบจากคนอายุมากกว่าซึ่งเธอพอจะรู้ว่าเขามีคำตอบแบบไหน “อาจารย์ทนเห็นหนูรักคนอื่นได้เหรอ หนูจะตามไปหาเขาถึงบ้านทุกวัน หนูจะอ้อนให้เขากอด ให้เขาจูบหนู หลังจากนั้น --”
คำพูดทิ่มแทงใจถูกหยุดด้วยริมฝีปากของชายหนุ่ม เด็กสาวชะงักนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นโอบกอดรอบคอแกร่งเพื่อให้จูบแนบแน่นยิ่งขึ้น ไม่มีความอ่อนโยนสำหรับคนที่โหยหากันและกันมาตลอด ไม่มีความวาบหวามจากมือที่เคยสอดเข้าไปในเสื้อ เมื่อตอนนี้การกอดด้วยความคิดถึงคือสิ่งที่เขาและเธอต้องการมากที่สุด
“นั่นคือสิ่งที่ผมคิดมาตลอด...” เสียงของความกังวลของชายหนุ่มนั้นแหบพร่า แผ่วเบาขณะซบหน้าผากกับคนตัวเล็ก
“สักวันหนึ่งหนูคงลืมอาจารย์... พอถึงตอนนั้นเราก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน แล้วหนูก็จะไม่มีวันรู้ว่าอาจารย์ยังรักหนูอยู่”
“...”
“อาจารย์คิดว่าหนูไปต่อได้ ใช่ค่ะ หนูไปได้ แต่มันเป็นเพราะหนูจำเป็นต้องเดินไปนะคะ” แบคฮีจับมืออีกคนขึ้นมาทาบแก้มตนเอง และพูดในสิ่งที่เก็บไว้ในใจมาตลอด “แต่หนูอยากอยู่ตรงนี้กับอาจารย์ เด็กที่ชอบทำตัวไม่น่ารักอย่างหนูคงบ้าไปแล้ว”
ชานยอลยิ้ม เขาลูบแก้มคนตรงหน้าเบา ๆ ก่อนจะขยับเข้าไปจูบหน้าผากมนเพื่อย้ำความมั่นใจว่าเขาจะไม่ปล่อยมือเธออีกแล้ว
“ผมไม่ได้จริงจังกับใครมานานเพราะคิดว่าการเอาใจไปผูกติดกับใครมันเป็นปัญหาที่น่าปวดหัว แต่อยู่ ๆ วันหนึ่งผมกลับเสี่ยงผูกมันไว้กับเด็กผู้หญิงที่ผมรู้อยู่แก่ใจว่าเธอมีใครอีกคนที่ยังตัดไม่ขาด ทั้งที่เพื่อนสนิทเตือนอยู่ตลอดว่าเด็กคนนั้นยังต้องเจอใครอีกมากมายในอนาคต และผมคงถูกเบื่อเข้าสักวัน นั่นหมายความว่าอาจารย์อย่างผมก็เป็นบ้าเหมือนกันใช่ไหมครับ?”
“ค่ะ... เรามันบ้าทั้งคู่เลย”
“แต่คุณยังน่ารักอยู่นะ” เขายิ้มพลางบีบลูบแก้มเธอเบา ๆ
“หนูรักอาจารย์ค่ะ” ชานยอลสบตากับเด็กสาวที่พูดความรู้สึกออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “ถึงหนูจะไม่เข้าใจความหมายของมันเพราะยังเด็กอยู่ แต่หนูก็รักอาจารย์ในแบบที่วันนี้หนูจะรู้สึกได้”
ไม่เคยใจเต้นแรงขนาดนี้มาก่อน แบคฮีไม่คิดว่าผู้หญิงหยิ่งจองหองไม่เคยแคร์อะไรอย่างเธอจะต้องพูดแบบนี้ แต่เป็นเพราะไม่สามารถเก็บความรู้สึกเอาไว้ได้อีกแล้ว อย่างน้อยก็ขอให้ได้พูดมันสักครั้งเพราะกลัวว่าวันพรุ่งนี้จะไม่มีอยู่จริง
“ผมก็รักคุณ”
“...”
“รักจนจินตนาการไม่ออกว่าถ้าผมเลือกเห็นแก่ตัวบอกความจริงตั้งแต่แรกเพื่อให้คุณยอมเข้าใจทางเลือกที่ต้องมีกยูริกับเด็กในท้อง พอถึงวันที่เราอยากมีลูกด้วยกัน ตอนนั้นคุณจะรู้สึกแย่แค่ไหนที่บอกคนอื่นไม่ได้ว่าผมคือพ่อเด็ก”
เด็กสาวไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น เพราะนึกถึงแค่ปัจจุบันที่บอกตัวเองว่าอย่างไรก็ยอมรับเหตุผลของอาจารย์ได้ เธอพร้อมจะช่วยแก้ปัญหาให้กยูริ แต่จะขอไม่ให้จดทะเบียนสมรสก็คงไม่ได้เพราะพ่อแม่ฝ่ายหญิงคงไม่ยอมให้ลูกสาวท้องโดยไม่มีพิธีรีตอง พอเอาเข้าจริงคนตัวเล็กก็กังวล
“ผมรักคุณ ได้ยินไหมครับแบคฮี?”
เด็กสาวเม้มริมฝีปากพร้อมพยักหน้า คนคิดมากกำลังมองราวกับอยากให้เธอรู้สึกได้ว่าคำพูดเหล่านั้นมีความหมายสำหรับปาร์คชานยอลมากแค่ไหน
“ทนอยู่กับความกลัวแบบนี้คนเดียวมาตั้งนานได้ยังไงคะ?” แบคฮีโอบใบหน้าอีกคนไว้ทั้งที่ยังสบตากันอยู่ “ทั้งกลัวว่ากยูริกับลูกจะตาย กลัวว่าสักวันหนึ่งหนูจะรักใครสักคนที่ไม่ใช่อาจารย์”
“...”
“หัวใจเข้มแข็งขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” ไม่คิดว่าจะได้เห็นน้ำตาของผู้ชายคนนี้ และคงเป็นเพราะเขาเก็บมันมานานเกินไป เด็กสาวใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยน้ำตาออกให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ เหมือนตอนที่อาจารย์ปลอบโยนเธอในช่วงเวลาที่โลกกลายเป็นสีดำ
“คุณปกป้องผู้หญิงท้องด้วยมือเล็ก ๆ แบบนี้เหรอ เก่งจังเลยครับ” ชานยอลยิ้มพร้อมจูบหลังมือเธอแช่ไว้ แบคฮีรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะพังเพียงเพราะเห็นน้ำตาของอาจารย์
มันทำให้คิดว่าถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตอนสิบปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร การเป็นผู้ใหญ่จะทำให้ความคิดของแบคฮีเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ความรักจะเอาชนะทุกอย่างได้อย่างเช่นวันนี้หรือจะยอมแพ้ให้กับคำว่าชีวิตเหมือนที่อีกคนเป็น
“มันปกป้องอาจารย์ได้ด้วยนะคะ” เด็กสาวยิ้มทั้งน้ำตา และคราวนี้กลายเป็นอาจารย์ที่ช่วยเช็ดน้ำตาให้
แบคฮีไม่ลังเลกับสิ่งที่คนทั้งโลกต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘สิ่งที่เด็กเป็นมันคือความหลง ไม่ใช่ความรัก’ อีกแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะเคยใช้มันเพื่อตัดเซฮุนออกไปก็ตาม เพราะทั้งตัวแบคฮี อาจารย์ และเซฮุน ทุกคนต่างมีความเห็นแก่ตัวในแบบของเราซึ่งมีเพียงคนที่เผชิญหน้ากับมันเท่านั้นถึงจะเข้าใจดีที่สุด
และทุกคนก็ได้รับความเจ็บปวดในรูปแบบที่เราเลือกแล้ว
*
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเซฮุน!!! ฉันบอกให้หยุดไง!!!”
เพื่อนร่วมห้องต่างเอานิ้วอัดหูไปตาม ๆ กันกับเสียงแผดลั่นของดาซมที่พยายามรั้งอีกคนไว้แต่เขากลับเดินหนีโดยไม่สนใจ จริงอยู่ที่เด็กผู้ชายชอบคนสวยแต่ถ้าขี้โวยวายแบบดาซมก็คงไม่ไหว พวกเขาต่างพากันส่ายหน้าหน่ายกับบรรยากาศน่าเบื่อแบบเดิมที่เจออยู่แทบทุกวัน
ดาซมยังคงตามตอแยเซฮุนแม้ว่าหมอนั่นจะเลิกยุ่งกับแบคฮีแล้ว หลายคนที่รับรู้เรื่องนี้มาตลอดก็พบความเปลี่ยนแปลงว่าต่อให้เซฮุนไม่ได้ชอบใครก็ไม่เลือกดาซม เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับแบคฮี คำตอบมันง่ายนิดเดียวว่า ‘แค่ไม่รักก็แพ้แล้ว’ แต่ดาซมไม่ยอมรับความจริง
ความรำคาญที่สะสมมาเรื่อย ๆ ถูกปล่อยออกมาทีละนิด โดยหนึ่งในคนชอบเห็นคนแตกคอกันอย่างยูจินที่สนิทกับจูอึนมากขึ้นแม้จะไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน แต่พอเวลาผ่านไปสักพักทั้งคู่ก็คุยถูกคอจนไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดช่วงหลังเลิกเรียน ความอิจฉาและมั่นไส้อยู่ลึก ๆ จึงทำให้ยูจินเป่าหูจูอึนเรื่องดาซม
จากที่เคยสนิทและเยินยอทุกอย่างที่เพื่อนเป็นก็เปลี่ยนไป จูอึนค่อนข้างคล้อยตามไปกับคำนินทาเกี่ยวกับดาซมซึ่งมันเป็นเรื่องจริงทั้งนั้นเพียงแต่เธอพยายามทำใจยอมรับให้ได้และไม่เคยพูดมันออกมา ช่วงแรกจูอึนแค่ฟัง แต่พอยูจินพูดบ่อยขึ้นความรู้สึกของเด็กสาวก็ได้เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์แบบ
‘ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงเก่งอย่างเธอถึงยอมให้ดาซมกดหัว ทั้งที่นางก็มีดีแค่พ่อเป็นคนรวยเฉย ๆ สังเกตไหมว่าเธอทำอะไรได้ดีกว่าตั้งหลายอย่าง แล้วเพื่อนในกลุ่มก็เชื่อเธอตลอด เพราะอะไรรู้ไหม เพราะพวกนั้นเห็นเธอเป็นผู้นำมากกว่าดาซมไง’
‘...’
‘เวลาเธอโดนพวกผู้ชายด่า สังเกตหรือเปล่าว่าชื่อเธอมาก่อนใครเลย มันเป็นเพราะดาซมบอกให้เธอออกหน้าแทนตลอดไง คนที่กลายเป็นโล่กำบังให้นางถึงโดนก่อนเสมอ ทำไมถึงยอมให้ดาซมจิกหัวใช้อยู่ล่ะจูอึน?’
‘...’
‘ทั้งที่ดาซมรู้ว่าเธอชอบอาจารย์ชานยอล แต่นางก็ยังหัวเราะตอนรู้ว่าเซฮุนเป็นคนต่อยอาจารย์ นั่นคือสิ่งที่เพื่อนดี ๆ ทำเหรอ ลองคิดดูนะ นี่ไม่ได้ใส่ร้าย’
ความเก็บกด ความน้อยใจที่สะสมมาตลอดเหมือนถูกปลดล็อกโดยคำพูดของยูจิน จูอึนรู้สึกเหมือนได้รับการยอมรับและโกรธขึ้นมาเสียดื้อ ๆ หลังจากนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่ดาซมทำกับเธอมันช่างชั่วช้าเกินกว่าคนเป็นเพื่อนกันจะรับได้
ความคิดของเด็กสาวจึงเปลี่ยนไป จากที่เคยยอมทุกอย่างก็เริ่มเฉย เมิน และกล้าค้านสิ่งที่ดาซมพูด จนเพื่อนในกลุ่มต่างประหลาดใจว่าเกิดอะไรขึ้น กระทั่งได้ยินจูอึนบอกว่า ‘ที่เราเกือบโดนพ่อแบคฮีไล่ออกก็เพราะดาซมไม่ใช่หรือไง?’ เด็กสาวเหล่านั้นจึงคล้อยตามเพราะลึก ๆ ในใจก็มีความหมั่นไส้เพื่อนอยู่เช่นกัน
แม้ว่าเรื่องที่เกือบถูกไล่ออกอะไรนั่นต้นเหตุมันมาจากจูอึนที่หัวร้อนจนทนไม่ไหว
สงครามเล็ก ๆ ในกลุ่มเด็กผู้หญิงเกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่สิ... ความจริงแล้วมันไม่เคยสิ้นสุดเลย แต่มินซอกกลับรู้สึกดีที่เห็นคนกลุ่มนี้เจอความพังพินาศทางความสัมพันธ์ มองดูความอิจฉาริษยา ละครฉากหน้าที่แสร้งทำเป็นดีต่อกันแต่ลับหลังก็เก็บเอาไปนินทา แน่นอนว่าคิมมินซอกยังคงอยู่กลุ่มนี้ และเป็นหนึ่งในคนที่บอกให้จูอึนเข้มแข็ง อย่ายอมดาซม แต่ลับหลังเธอก็พูดให้คนในกลุ่มฟังว่าจูอึนนินทาอะไรคนเหล่านั้นบ้าง สะสมความเกลียดชังให้ทุกคนเริ่มต่อต้านกันเอง เอาให้กระอักกระอ่วนใจทุกครั้งที่ต้องฝืนยิ้มให้กัน
คิมมินซอกยอมเป็นคนแบบที่เธอเกลียด เพื่อให้คนพวกนั้นแตกหักกันเอง
“กลับมาแล้วเหรอ หาข้าวกินเองนะลูก วันนี้ยายเมื่อย”
“...”
“ปวดแข้งปวดขาไปหมด แก่แล้วก็อย่างนี้ล่ะนะ”
เด็กสาวยืนมองหญิงชราที่นอนบ่นอยู่บนพื้น มองเห็นความอ่อนแอของผู้หญิงคนหนึ่งที่ฝืนร่างกายมาตลอดหลายปีที่จำเป็นต้องหาเงินเลี้ยงดูหลานอย่างเธอ แต่ยายกลับไม่เคยบ่นให้รู้สึกแย่เลยสักครั้ง ซึ่งมันเป็นเหตุผลที่ทำให้มินซอกรู้สึกผิด ระหว่างที่ยายกำลังเหนื่อยจนลุกไปขายไก่ทอดไม่ได้ ตอนนั้นเธอกำลังทำอะไรอยู่...
“หนูนวดให้” มินซอกวางกระเป๋าแล้วนั่งลงข้าง ๆ หญิงชรา บีบนวดให้อย่างรู้งานว่าตรงไหนยายจะสบายตัวมากที่สุด ในห้องนั่งเล่นแคบ ๆ ซึ่งมีเพียงเสียงทีวีเท่านั้นที่กลบความรู้สึกผิดของเธอได้
เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งมินซอกก็ได้รู้ว่าความสุขบางอย่างมันช่างฉาบฉวยเสียเหลือเกิน เด็กสาวเคยมีความสุขตอนเห็นใบหน้าไร้สิวและหุ่นที่ผอมดูดีผ่านกระจกทุกบาน แต่ตอนนี้มันกลับทำให้เธอสมเพชตัวเองหลังจากสำนึกได้แล้วว่ามันไม่มีค่าอะไรเลย
ความผอม ความสวย มันก็แค่ทำให้คนสนใจมากขึ้น แต่กลับไม่มีใครจริงใจได้เท่าที่คาดหวัง แฟนหนุ่มที่คบกันในแอปหาคู่อยู่ดี ๆ เขาก็หายเข้ากลีบเมฆ ลบแอปพลิเคชั่นโดยไม่บอกสักคำ ทิ้งไว้เพียงคำถามให้เด็กสาวค้างคาใจเป็นอาทิตย์ ซึ่งมินซอกไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นเลยนอกจากประเทศที่อาศัยอยู่ และในที่สุดคำเตือนของแบคฮีก็เป็นความจริง
ไม่เคยคิดเลยว่าความน่ารำคาญของเพื่อนในวันนั้นจะทำให้เธอเสียใจมากถึงขนาดนี้
ความรักระยะไกลที่เคยเจอตัวจริงกันแค่ไม่กี่วัน มันช่างฉาบฉวยเหลือเกิน
หลายเรื่องฉุกขึ้นมาให้คิดในช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่างนวดตัวให้ยาย แบคฮีไม่โดนแกล้งอีกแล้ว อาจเป็นเพราะจูอึนกำลังทำคะแนนเพื่อให้เพื่อนในกลุ่มเข้าใจว่าทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของดาซม และต่อให้ไม่ใช่... คนเหล่านั้นก็ไม่กล้าแตะต้องแบคฮีอีกเพราะกลัวโดนเล่นงานจากทางผู้ใหญ่
มินซอกสามารถกลมกลืนกับเพื่อนในกลุ่มนั้นได้เป็นอย่างดีหลังจากเลือกแล้วว่าจะแก้แค้น เธอเข้าใจความรู้สึกของแบคฮีแล้วว่าการมี ‘เพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อน’ เป็นอย่างไร เราทั้งคู่เหมือนสลับจุดยืนของกันและกัน ซึ่งมินซอกรู้แล้วว่าความอ่อนแอของเธอเองนั่นแหละที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลง
ทั้งที่เคยอยู่คนเดียวเหมือนกันแต่แบคฮีกลับไม่แสดงออกให้เห็นว่ามันเป็นปัญหา เมื่อมีงานกลุ่ม แบคฮีก็เดินเข้าไปขอเข้าด้วยโดยไม่อายว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย ซึ่งแบคฮีก็อยู่ตรงนั้นได้ในขณะที่มินซอกทำไม่ได้
ทุกครั้งที่มีโอกาสเธอมักจะหันไปทางแบคฮี มองด้วยความคิดถึงแล้วโทษตัวเองว่าทั้งหมดที่ออกมาเป็นแบบนี้เพราะความขี้ขลาดทั้งนั้น มินซอกไม่สามารถเดินไปขอโทษแล้วขอให้เพื่อนให้อภัยได้เพราะโอกาสนั้นมันผ่านไปนานแล้ว เธอละอายใจเสียจนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้ทำแค่มองอยู่ห่าง ๆ
“ร้องไห้ทำไมลูก?”
ยายกุมมือหลานสาวที่นั่งก้มหน้าสะอึกสะอื้น ยิ่งมินซอกเห็นมือเหี่ยวที่กุมมือตนเองน้ำตามันก็ไหลออกมาโดยไม่สามารถหยุดได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาคิมมินซอกเอาแต่หลงมัวเมาอยู่กับความสวยจอมปลอมจนต้องเสียเพื่อน เสียความรู้สึกให้กับความรักที่คิดว่าอีกฝ่ายจะจริงจัง และทำให้ยายแก่ ๆ ต้องเหนื่อยตามลำพังมานาน
“หนูขอโทษ หนูเป็นเด็กนิสัยไม่ดี”
“ไม่ดียังไง หนูเรียนก็เก่ง สวยก็สวย ยายเอาไปคุยอวดความดีของหนูให้คนข้างบ้านฟังได้อีกเป็นสิบปีเลยนะ”
“หนูขอโทษ หนูจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว หนูจะรีบกลับมาช่วยยายขายของนะ”
“โธ่ลูก ยายแค่เหนื่อยเลยหยุดขายวันเดียวเอง ไม่ร้องนะ หลานของยายทำดีแล้ว ยายไม่เคยโกรธหนูเลย”
หญิงชราลุกขึ้นนั่งตรงหน้าหลานสาวที่ร้องไห้หนักขึ้นจนเหมือนจะขาดใจ ยายที่ดูแลหลานมาตั้งแต่เด็กจึงยิ้มบาง ๆ ก่อนจะประคองร่างที่สั่นคลอนเพราะแรงสะอื้นให้นอนลงบนตักตนเองพร้อมลูบศีรษะเบา ๆ
มินซอกบดเบียดเข้าหาความอบอุ่น น้ำตาของเธอยังพรั่งพรูออกมาพร้อมความเจ็บปวดในใจที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้รับและเรียนรู้จากมัน ไม่ว่าจะเป็นความรักโง่ ๆ หรือมิตรภาพในช่วงเวลาหนึ่ง มันช่างสวยงามเสียจนไม่คิดว่าจะจบลงแบบนี้
แต่ทุกอย่างก็พังเพราะมือเธอคนเดียว
*
“...”
คนที่ไม่เคยถูกแกล้งสักครั้งในชีวิตยืนมองโต๊ะตนเองที่เต็มไปด้วยชอล์กสีขาว คำด่าหยาบคายสารพัดมันเกี่ยวกับเธอโดยไม่ต้องคาดเดาให้เสียเวลาว่าโต๊ะตัวนี้จะเป็นของใครอื่น ดาซมไม่คิดว่าวันหนึ่งจะโดนเองกับตัวและทำให้เกิดคำถามว่าใครหน้าไหนมันช่างกล้าทำแบบนี้
หนึ่งในคนที่เคยพยายามเอาอกเอาใจใช้เท้าถีบโต๊ะตัวนั้นไปให้ห่างด้วยท่าทางรังเกียจ เสียงขาโต๊ะเสียดสีกับพื้นเหมือนความรู้สึกของเด็กสาวหน้าสวยที่ถูกเหยียบย่ำความรู้สึกโดยเพื่อนในกลุ่ม ดาซมแค่นหัวเราะพลางกวาดสายตามองเรียงคน
“มองไร?”
“ยิ้มแบบนี้แสดงว่าชอบคำชมที่เขียนบนโต๊ะ”
“ยังทำหน้าจองหองได้อยู่อีกนะ”
ใช่ว่าจะโง่จนดูไม่ออกว่าพักหลังเธอถูกเพื่อนเมินบ่อยแค่ไหน ดาซมสงสัยและพยายามหาคำตอบว่าเป็นเพราะอะไรแต่ก็ไม่มีใครช่วยให้หายคาใจได้ ก็ไม่ได้ตะโกนขึ้นเสียงใส่ใคร ไม่ได้พูดจาขวานผ่าซากสักหน่อยไม่ใช่หรือไง?
ดาซมพยายามใจเย็นสยบทุกอย่าง พอเห็นว่าหนึ่งในนั้นชี้ไปที่กระดาน เด็กสาวจึงหันไปด้านหลังก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจที่ความลับของเธอถูกเขียนไว้บนนั้นเต็มไปหมด
“เอ้า เร็วเข้าสิ ถ้าลบช้าเดี๋ยวคนมาเยอะกว่านี้แล้วจะไม่มีที่เก็บหน้านะดาซม!”
“ฮ่า ๆ”
คนถูกเพื่อนในกลุ่มพร้อมใจกันบอยคอตกัดฟันแน่นแล้วลบกระดานจนฝุ่นสีขาวคละคลุ้งติดชุดนักเรียนและเส้นผมเต็มไปหมด เสียงหัวเราะของเพื่อนในกลุ่มตอกย้ำทุกขณะจนทำให้ดาซมทนไม่ไหว เธอจึงหันกลับไปปาแปรงลบกระดานใส่เด็กสาวกลุ่มนั้นจนโดนศีรษะใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย!!!”
“ทำบ้าอะไรดาซม?!”
“ตาบอดเหรอถึงได้ถาม?” คนถูกแกล้งจนเหลือตัวคนเดียวไม่มีท่าทีว่าจะยอมแพ้ จูอึนจึงเดินออกมาหน้าห้องเพื่อแสดงความเป็นหัวหน้ากลุ่มคนใหม่ให้เพื่อน ๆ เห็นว่าเธอนี่แหละจะเป็นคนจัดการคิมดาซมด้วยตัวเอง
“ไม่เห็นหรือไงว่าฝุ่นมันกระเด็นโดนคนอื่น?” จูอึนเอาแปรงลบกระดานทาบหน้าดาซมแล้วดันแรง ๆ จนหันไปอีกทาง คนถูกเพื่อนที่ไว้ใจมากที่สุดหักหลังจึงหันกลับมาด้วยความโกรธปนตัดพ้อทางสายตา
แบคฮีมองเด็กผู้หญิงหน้าห้องเรียนด้วยแววตาเรียบเฉยโดยไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจ ดูจากตรงนี้ก็พอจะรู้ว่าตอนนี้ใครที่เป็นฝ่ายแพ้ ซึ่งคงไม่พ้นคิมดาซมที่นิสัยแย่สำหรับทุกคนบนโลกแต่ช่วยเหลือเพื่อนทุกคนอย่างเต็มที่ ไม่แปลกถ้าคนในกลุ่มนั้นจะมีความขุ่นเคืองในใจ เมื่อความรักของดาซมที่แสดงออกต่อเพื่อนมันสู้น้ำเสียงตอนออกคำสั่งไม่ได้ อาจเป็นเพราะถูกตามใจจนเคยตัว แต่ที่สุดแล้วไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร คิมดาซมต้องผ่านมันไปให้ได้ด้วยตัวเอง
สะใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นคนเหล่านั้นแตกคอกันเอง ก็กะไว้แล้วว่างูพิษอยู่ด้วยกันสักวันมันก็คงแว้งกัดกันเอง คนอย่างดาซมอ่อนแอเกินไปที่รักเพื่อนอย่างจูอึน ผู้หญิงคนนั้นถึงเอาแต่ยืนมองด้วยแววตาแข็งกร้าวเพราะไม่มีความกล้ามากพอที่จะตบหน้าอดีตเพื่อนตนเอง
สังคมเด็กผู้หญิงมีหลายประเภท บางคนชอบอยู่เฉย ๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่บางคนก็ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นเพื่อเอามานินทาเอาสนุก บางคนชอบเป็นผู้นำเพราะอยากให้คนรอบข้างยอมรับ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นความชอบส่วนตัวหรือเป็นปมในใจ บางคนชอบแกล้งคนอื่นเพราะคิดว่าสิ่งที่ทำมันเจ๋ง แต่ที่สุดแล้วสักวันหนึ่งคนเหล่านั้นก็จะได้รับผลกับสิ่งที่ทำลงไป
ไม่ว่าจะเป็นการสำนึกได้ทีหลัง หรือให้ใครสักคนปฏิบัติอย่างนั้นกับตัวเอง
*
( ช่วงนี้มินซอกออกไปขายไก่แทนคุณยายจนมีคนแอบถ่ายรูปไปลงโซเชียลด้วยล่ะ ไม่รู้ว่าแบคฮีเห็นบ้างหรือเปล่า? )
“เหรอ ลงไหนอะ?”
( เพจอะไรสักอย่างในเฟซบุ๊กน่ะ ‘เด็กมอปลายหน้าสวยขายไก่ช่วยคุณยาย’ ตอนมินซอกเล่าให้ฟังดูเหมือนว่าเค้าจะรู้สึกแปลก ๆ นะ แต่พอรู้ว่าขายหมดเร็วขึ้นเราก็ดีใจด้วย แบคฮีคิดว่ายังไง? )
“ก็ดีไง... ย่าห์ จงแดยิ้มอะไร?”
( เราว่าแบคฮีคงรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว )
“...”
( ไม่เป็นไรนะ อยู่กับเราแบคฮีจะแสดงออกยังไงก็ได้ รู้ใช่ไหม? )
“รู้น่า...”
( ถ้าวันนี้แสดงความดีใจกับมินซอกไม่ได้ วันหลังก็คงไม่สายไป )
“มันจะมีวันนั้นเหรอ ทุกวันนี้เรายังแทบไม่มองหน้ากันเลย” เด็กสาวนอนหงาย ยืดมือถือออกจนสุดแขนคุยกับเพื่อนสนิทที่วันนี้แต่งตัวหล่อเป็นพิเศษ
( ไม่มีใครรู้อนาคตนี่ ถ้าเวลาผ่านไปอะไร ๆ ก็คงดีขึ้นนะ )
“ดีแบบไหน เดี๋ยวก็เรียนจบแล้ว ดูเหมือนว่ามินซอกอยากเรียนหมอด้วย” และมหาลัยที่อยากเข้าก็อยู่ไกลกันคนละฟาก มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่โลกจะเหวี่ยงเธอทั้งคู่ให้มาเจอกันอีก
( ก็ถึงได้บอกไงว่าไม่มีใครรู้อนาคตหรอก แต่เราเชื่อว่าถ้าทั้งสองคนยังอยากเป็นเพื่อนกันจริง ๆ มันคงมีทางไหนสักทางที่จะพาแบคฮีกับมินซอกกลับมาเจอกันได้ )
“...”
( เรากลับเข้าไปงานวันเกิดเพื่อนก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นแล้วจะคอลไป )
“อย่าเมาแล้วไปจุ๊บฝรั่งล่ะ”
( อย่าหึงสิ เก็บอาการบ้าง )
“จุ๊บหน่อย”
( เรากลัวแล้ว )
แบคฮีหัวเราะร่วนหลังจากพูดน่าขนลุกจนเป็นฝ่ายวางสายเสียเอง เธอพลิกตัวหันข้างโดยที่ยังคิดไม่ตกเกี่ยวกับช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตมอปลาย หลายปีที่ผ่านมาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างและเติบโตมากับสิ่งเหล่านั้น ทั้งรักแรกที่ทำให้เสียหลักจนกลายเป็นเด็กไม่น่ารักช่วงแรก ๆ ในสายตาแฟนคนปัจจุบัน ทะเลาะกับพ่อจนโดนตบหน้า มิตรภาพจอมปลอม และเพื่อนคนหนึ่งที่คิดว่าอยากโตเป็นผู้ใหญ่ด้วยกัน แต่มันก็ไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง
คุณได้รับข้อความจาก...
‘กยูริ’
[ ตอนนี้ฉันอยู่บ้านเพื่อนแล้วนะ ขอโทษที่ตอนกลางวันสติแตกใส่ ]
แบคฮีมองข้อความของคนสิ้นหวังที่เพิ่งตัดสินใจกลับบ้านไปบอกพ่อแม่ว่าท้อง และก็เป็นอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นและอาจารย์คาดไว้ไม่มีผิด กยูริถูกพ่อแม่ตีทั้งน้ำตา แบคฮีพอจะนึกออกว่าคนที่คาดหวังในตัวลูกสาวจะรู้สึกอย่างไรหลังจากรู้ว่าลูกสาวตั้งท้องทั้งที่ยังเรียนมหาลัยอยู่โดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก
ผู้ใหญ่ที่อยู่ในสังคมต้องการหน้าตาแต่กยูริกลับทำให้ท่านต้องขายหน้าอับอาย เมื่อกลางวันยัยบ้านั่นเล่าให้ฟังว่าอยากตายไปให้พ้น ๆ ตอนถูกแม่ตะโกนใส่หน้าว่า ‘แกไม่ใช่ลูกฉัน!’ แบคฮีรู้ว่าคำนั้นมันรุนแรงแค่ไหน ถ้าเธอเจอเองกับตัวคงเสียหลักเหมือนกัน
กยูริเอาแต่ร้องไห้ผ่านโทรศัพท์โดยไม่ยอมบอกว่าอยู่ที่ไหน แบคฮีก็ไม่กล้าวางสายเพราะกลัวอีกฝ่ายจะคิดสั้นอีก เพราะคำสัญญามันเอามาใช้ไม่ได้กับผู้หญิงท้องที่อยู่สภาวะอารมณ์แปรปรวน และกยูริก็ไม่ได้บอกอาจารย์ว่าเจออะไรมาบ้างเพราะกลัวเขาจะเป็นกังวลกับเรื่องเดิม ๆ แต่ก็น่าแปลกดีที่ผู้หญิงคนนั้นเลือกระบายมันกับเธอ
พอกยูริมีความกล้าขึ้นพอที่จะรวบรวมความกล้าไปเผชิญหน้ากับที่บ้านก็แทบแย่เพราะทุกอย่างมันไม่ได้ฉีกไปกว่าที่คิดไว้เลย พ่อแม่ไม่ยอมรับ ไม่ดีใจที่จะได้หลาน อีกทั้งยังต้องการลากคอคนที่ทำให้ลูกสาวตนเองท้องเข้าคุกให้ได้ ซึ่งกยูริไม่ยอมให้ผู้ชายเลว ๆ ที่รักหมดใจเข้าไปอยู่ในที่แบบนั้นแน่
คุณกำลังส่งข้อความถึง...
‘กยูริ’
[ พรุ่งนี้ฉันหยุด ไปกินข้าวกันไหม? ]
เด็กสาวนอนรอข้อความ แต่คนท้องก็หายไปเกินห้านาทีเธอจึงส่งไปอีกครั้ง
คุณกำลังส่งข้อความถึง...
‘กยูริ’
[ กินเสร็จแล้วจะได้ไปเดินเลือกชุดให้หลานกัน ]
กยูริทำให้แบคฮีนึกถึงตอนยื่นมือเข้าไปช่วยมินซอกครั้งแรก ตอนนั้นเธอไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าอยากฉุดคน ๆ หนึ่งให้ลุกขึ้นสู้กับโลกใบนี้ แบคฮีพยายามทำความเข้าใจเหตุผลของคนอ่อนแอโดยไม่เอามาเปรียบเทียบกับความรู้สึกตัวเอง เหมือนที่อาจารย์เคยบอกว่าคนเราเติบโตมาในสังคมที่แตกต่างกัน เจอเรื่องราวที่ต่างกัน ดังนั้นภูมิต้านทานความเจ็บปวดจึงไม่เท่ากัน แบคฮีจึงไม่อยากตอกย้ำความรู้สึกผู้หญิงท้องที่เกือบทำลายความรักของเธอเพราะความอ่อนแอ
“ผมไปด้วยได้ไหมครับ?”
“อาจารย์? เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?” คนตัวเล็กเบิกตากว้างเมื่ออยู่ ๆ แฟนหนุ่มก็โผล่มานอนอยู่ข้างหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“เข้ามาตั้งแต่ตอนที่หนูเอาแต่จิ้ม ๆ ลบ ๆ ข้อความก่อนกดส่งน่ะ” ชานยอลบีบจมูกรั้นเบา ๆ “ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
“ไม่ได้สนิทสักหน่อย”
“แต่ก็แอบคุยกัน”
“เพราะยัยนั่นไม่กล้าโทรหาอาจารย์หนูเลยต้องเป็นคนรับรู้ปัญหาแทนไง น่ารำคาญจะแย่” พอได้ยินคำพูดไม่น่ารักก็หลุดยิ้ม ชานยอลดึงคนตัวเล็กเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแล้วหอมแก้มฟอดใหญ่ให้หายคิดถึงก่อนจะปล่อยออกเมื่อแบคฮีส่งเสียงอู้อี้
“รำคาญแต่ส่งข้อความย้ำไปสองรอบเลย”
“...”
“ทำไมถึงน่ารักแบบนี้นะ?” ชานยอลจับคนตัวเล็กให้พลิกหันมาสบตากัน แบคฮีจึงมองแฟนหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดกางเกงนอนแล้วก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายคงตรงมาจากบ้าน
“เพราะหนูเป็นที่ระบายให้กยูริหรือไง?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อยครับ” ชายหนุ่มลูบศีรษะคนในอ้อมกอด “ทั้งที่จะไม่สนใจกยูริอีกก็ได้ แต่หนูก็ส่งข้อความย้ำไปอีกรอบเพราะเป็นห่วงเธอ ไหนจะประโยคที่บอกให้รู้ว่าหนูตื่นเต้นกับการจะได้เป็นน้าสาวอีก”
“...”
“ทุกอย่างที่เป็นหนูมันน่ารักในสายตาพี่ไปหมดเลย”
ทั้งที่เคยจูบ เคยกอด เคยทำอะไรมานับครั้งไม่ถ้วนแต่แบคฮีกลับมาเขินเพราะประโยคธรรมดาแบบนี้ได้อย่างไร คนตัวเล็กที่ปากแข็งมานานจึงหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เพราะเธอเองก็ตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยที่จะได้เป็นน้าคนครั้งแรกในชีวิต
“หนูอ่านเจอมาว่าคนท้องอารมณ์จะแปรปรวน ก็เลยลองคิดเล่น ๆ ว่าถ้าเกิดเจอปัญหาแบบเดียวกับกยูริหนูจะแย่แค่ไหน หนูเลยอยู่คุยเป็นเพื่อนเค้า”
“แล้วหนูก็ทำได้ดีซะด้วยสิ”
“ไม่เห็นจะดีเลย ยัยบ้านั่นเร่ร่อนอยู่ข้างนอกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะไปถึงบ้านเพื่อน พอหนูถามว่าอยู่ไหนก็ไม่ยอมบอก เค้าดื้อแบบนี้ตลอดเลยเหรอคะ?” แบคฮีช้อนตามองแฟนตัวโต
“ก็ถ้าไม่สำเร็จป่านนี้กยูริคงโทรหาพี่แล้วสิ หนูคิดว่าไงครับ?” คนที่เกือบได้เป็นคุณพ่อจำเป็นยิ้มให้เด็กสาวที่ขมวดคิ้วมองค้อน
“แวะมาแซวหนูเหรอ ปีนกลับบ้านไปเลยไป” แบคฮีหยิกแขนแรง ๆ ชานยอลจึงสู้ด้วยการขยับตัวเข้าไปจูบเหม่งคนน่ารักหนึ่งที
“ไม่กลับหรอกครับ คิดถึงจะแย่แล้ว”
“คิดถึงแต่คาบพละสั่งหนูวิ่งรอบยิมคืออะไร?” แบคฮีเลิกคิ้ว ลุกขึ้นนั่งกอดอกมองอย่างเอาเรื่องคนขี้แกล้งที่ยังลอยหน้าลอยตาได้อย่างสบายใจหลังจากสั่งอย่างนั้น
“แค่อยากให้นั่งห่างแทยงหน่อยน่ะครับ”
“นั่นคือเหตุผลเหรอ เดี๋ยวฆ่าทิ้งซะเลย” แบคฮีฟาดแขน แต่แฟนหนุ่มกลับหัวเราะพอใจราวกับไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด “กลับไปเลย”
“ข้างนอกหนาวนะครับ หนูจะให้พี่ออกไปจริง ๆ เหรอ?”
“ใช่” พูดจบก็ทิ้งตัวนอนหันหลังให้พร้อมดึงผ้าห่มขึ้นถึงคอ อมยิ้มกับคำออดอ้อนของอาจารย์ที่มีเพียงเธอเท่านั้นที่ได้ยิน
“โอเคครับ ได้”
อะไรกัน ยอมง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ?
แบคฮีค่อย ๆ หันไปข้างหลังแล้วก็พบเพียงความว่างเปล่า เด็กสาวเลิกคิ้วอย่างไม่อยากเชื่อนักว่าอาจารย์ที่เจอกันแค่ในโรงเรียนตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้นจะยอมกลับไปง่าย ๆ เพียงเพราะถูกเด็กอย่างเธองอน ไม่เอาสิ... แบคฮียังไม่หายคิดถึงอาจารย์เลยนะ
“เมี๊ยว”
“...”
คนตัวเล็กค้างอยู่ในท่าคลานเข่าเมื่อเห็นว่าอีกคนก้มลงหมอบอยู่ข้างเตียงในท่าเดียวกัน อีกทั้งยังส่งเสียงแปลก ๆ จนเธอหลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่ได้ อาจารย์ที่ฟอร์มจัดมานานสองเทอมจึงลุกขึ้นนั่งกับขอบเตียงพร้อมเอามือปิดปากตนเองที่ยอมทำท่าทางประหลาดแบบนั้นเพื่อง้อแฟนสาว
“อะไรคะ”
“แมวไงครับ... เมื่อกี้หนูไล่พี่ชานยอลออกไป ตอนนี้เลยเหลือแต่แมวยักษ์...”
“เอาอีก ร้องเมี๊ยวแบบเมื่อกี้ให้หนูดู”
แบคฮีคงชอบใจที่เห็นเขาหลุดฟอร์ม ถึงได้ยิ้มอย่างอารมณ์ดีอีกทั้งยังนอนรอดูอย่างตั้งใจ ชานยอลจึงโน้มตัวลงคร่อมทับร่างคนรักแล้วจุ๊บแก้มนิ่มซ้ำ ๆ ร้องเมี๊ยวให้ฟังจนกว่าแบคฮีจะพอใจ และการได้เห็นรอยยิ้มเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ในเวลานี้มันก็คุ้มค่าเหลือเกินกับการฝ่าลมหนาวจากบ้านมาถึงที่นี่
ทั้งคู่สบตากันในค่ำคืนที่มีเพียงเขาและเธอเท่านั้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนชานยอลคงถอดเสื้อผ้าเธอออกแล้วทำเรื่องอย่างว่าโดยไม่เสียเวลาทิ้งไปเปล่า ๆ แต่ตอนนี้เขาอยากกอด อยากหอมแก้มแบคฮีมากกว่าทำเรื่องที่เราจะทำกันเมื่อไหร่ก็ได้
“หนาวไหมคะ?”
“หนาวครับ ขอพี่ห่มผ้าด้วยได้ไหม?” เด็กสาวพยักหน้าพร้อมขยับตัวให้เขานอนด้วย แบคฮีลุกขึ้นกางผ้าห่มผืนใหญ่ คลุมร่างกายของเราให้อยู่ภายใต้ความอบอุ่นซึ่งมีฮีตเตอร์และร่างกายของเธอเป็นตัวช่วยให้แฟนหนุ่มอุ่นไว ๆ
ฤดูหนาวเป็นฤดูที่คู่รักโปรดปรานมากที่สุด ชานยอลไม่เถียงเลย เพราะความสุขของเขาเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เพียงเพราะได้นอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันกับผู้หญิงที่คุยเรื่องไร้สาระกับเขาและหัวเราะมันออกมาได้โดยไม่เปลี่ยนเรื่องไปก่อน
ชายหนุ่มนอนจ้องหน้าคนรักที่หลับอยู่ในอ้อมกอด อดเอ็นดูไม่ได้จนต้องจูบหน้าผากอีกสักที แบคฮีตอนหลับทำให้ไปนึกถึงครั้งแรกที่เด็กตัวแสบคนนั้นที่ออกปากชวนเขาเข้าโรงแรม เดรสสีเลือดนกที่ว่าเซ็กซี่คงทำให้ผู้ชายหลายคนอยากถอดมันได้ดีเลยทีเดียว และปาร์คชานยอลก็เป็นหนึ่งในนั้น
เมื่อตอนนั้นอาจารย์สอนพละที่ยังหนุ่มยังแน่นไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าความสนุกชั่วข้ามคืน แม้จะมีคนเอาไปนินทาว่าเขานอนกับนักเรียนไปเรื่อยแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องป่าวประกาศให้โลกเข้าใจว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น แต่เด็กแก่แดดอย่างผู้หญิงชุดแดงนั่นแหละที่ทำให้เขาอยากเป็นอย่างที่ใครว่าดูสักครั้ง
มันเกินความคาดหมายไปหน่อยเพราะจินตนาการไว้เยอะว่าระหว่างที่เขากำลังอาบน้ำเด็กตัวแสบคงสานต่อให้โดยการแก้ผ้ารออยู่แล้ว หรือไม่ก็สวมชุดคลุมและผูกเชือกไว้หลวม ๆ จนเสื้อหลุดจากไหล่ไปข้างหนึ่ง
แต่สิ่งที่เห็นคือคนตัวเล็กนอนขดตัวเหมือนเด็ก ชานยอลจึงนั่งลงข้างเตียงแล้วแตะมือเย็น ๆ ลงบนแก้มเธอหวังปลุกให้ตื่น แต่แบคฮีกลับจับมือเขาไปกอดราวกับว่ามันเป็นตุ๊กตาหรือหมอนข้างตัวโปรดของเธอ ชายหนุ่มที่ถูกชวนเข้าโรงแรมจึงยิ้มขำกับความแก่แดดที่เด็กสาวใช้เป็นฉากหน้า เขานั่งตรงนั้นอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นห่มผ้าให้คนตัวเล็กแล้วเขียนจดหมายทิ้งไว้
ชานยอลไม่คิดว่าความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นจากเซ็กส์จะมาไกลจนเปลี่ยนเป็นความรักได้อย่างวันนี้
*
“คะแนนส่วนภาคปฏิบัติพวกคุณทำได้ดีแล้ว ที่เหลือก็ไปสู้ในห้องสอบนะครับ หวังว่าวิชาพละจะช่วยให้เกรดของพวกคุณดีขึ้น ขอบคุณที่เป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา”
เวลายังเดินผ่านไปตามหน้าที่ของมัน แต่พอถึงตอนที่ต้องจากลา เรากลับรู้สึกว่ามันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เด็กหนุ่มสาวต่างใจหายเพียงเพราะรู้ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้เรียนกับอาจารย์ทุกคน แม้ว่าจะไม่ชอบการตื่นแต่เช้ามาโรงเรียน แต่ทุกคนก็ผูกพันกับที่นี่จนกลัวการเติบโต
“อาจารย์ต้องเหงาแน่ ๆ”
“จะย้ายไปสอนโรงเรียนชายล้วนจริงเหรอครับ?” แทมินตะโกนถามหลังจากรู้ว่าอาจารย์ชานยอลจะย้ายออกไปพร้อม ๆ กับเด็กปีสามรุ่นนี้ และนั่นทำให้เด็กที่เพิ่งรู้ตกใจพอสมควร
“ครับ” คนถูกถามเพียงยิ้มเป็นคำตอบ
“ทำไมล่ะคะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ที่นี่ทำไม่ดีกับอาจารย์เหรอ?”
“เปล่าเลยครับ กลับกันแล้วที่นี่ดีกับผมมาก เพียงแต่มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ผมตัดสินใจย้าย” ชานยอลยังยิ้มให้นักเรียนของเขา ก่อนจะหยุดสายตาอยู่กับแฟนสาวตัวเล็กที่ตกใจไม่แพ้คนอื่นเลย “ผมอยากให้แฟนผมสบายใจว่าผมจะไม่มองนักเรียนในชุดว่ายน้ำน่ะครับ”
“เหยดดดดดดดดดดดดดด”
“เข้ อาจารย์มีแฟนแล้ว?!!!”
“อย่างหล่ออ่า”
“ใครคะ ขอดูหน้าหน่อย สวยมากเท่าเพื่อนหนูไหม?!!!”
คนถูกแซวเพียงยืนมือไขว้หลังก้มหน้ายิ้มเล็ก ๆ เขาไม่ได้ตอบคำถามและปล่อยให้เสียงเหล่านั้นดังก้องโรงยิมในช่วงฤดูหนาว บางคนส่งเสียงโห่อย่างเสียดายแต่จูอึนคงช็อกอยู่ไม่น้อย แบคฮีไม่รู้ว่าจะจัดการกับตัวเองอย่างไรตอนที่เขินมากจนกลั้นยิ้มไม่ไหวแต่ก็ต้องทำเป็นนิ่งต่อหน้าคนอื่น อาจารย์กล้าดียังไงถึงเซอร์ไพรส์เธอด้วยเรื่องแบบนั้น คิดว่าบยอนแบคฮีขี้หึงมากเหรอ ใช่ เขาคิดถูกแล้ว
“พวกคุณก็ควรซื่อสัตย์กับแฟนนะรู้ไหม?”
“ซื่อสัตย์แล้วโดนเท ซื่อสัตย์ไปทำมายยยย” เสียงยานคางของแทยงทำให้เด็กหนุ่มหลายคนส่งเสียงโห่อย่างพอใจ
“คนที่ใช่มันหายากนะอาจารย์”
“ตอนอยู่มอปลายผมก็เคยอยากเจอคนที่ใช่เหมือนกัน เคยคิดว่ารักแฟนที่คบตอนนั้นมากที่สุดแล้วก็คงเลิกรักเธอไม่ได้ถึงจะเลิกกัน แต่พอเวลาผ่านไปผมก็รู้ว่ามันไม่ใช่” ชายหนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “เรารักใครสักคนมากที่สุดได้ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะรักใครแบบนั้นไม่ได้อีก พอถึงเวลาเหมาะสมคุณจะรู้ได้เองว่าคนนี้แหละที่พอดีสำหรับคุณ”
ชานยอลหันไปสบตากับเด็กผู้ชายที่มองเขาด้วยแววตาซึ่งมีเพียงเราเท่านั้นที่รู้ โอเซฮุนยังคงเจ็บกับความรักที่ไม่สมหวังและเขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งเด็กคนนั้นจะเข้าใจ คนที่เจ็บปวดเพราะความรักยังต้องเยียวยาตัวเองเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันเผื่อรักครั้งหน้า บางคนเข้มแข็งขึ้น บางคนยังอ่อนไหวเหมือนเดิม ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับใจคน
เขายังจำสีหน้าตอนเด็กคนนั้นร้องไห้และตัดพ้อทุกอย่างที่ทำให้ออกมาเป็นแบบนั้นได้เป็นอย่างดี เรานั่งคุยกันอยู่นานหลายชั่วโมงในโรงพยาบาลตอนกลางคืน หลังจากถูกเซฮุนต่อยหน้าไปหนึ่งหมัดแต่คนที่ตกอยู่ในอารมณ์โกรธกลับไม่หยุดเพียงเท่านั้นจึงชกกำแพงเอาให้สาแก่ใจ จนเขาต้องใช้กำลังลากคอโอเซฮุนไปหาหมอ
เด็กคนนั้นไม่มีทางยอมรับความรู้สึกของเขา ซึ่งชานยอลคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก
แต่ความเด็ดเดี่ยวของผู้ชายทำให้เซฮุนยอมนั่งฟังเพื่อให้รู้ดำรู้แดงไปเลยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมายังมีอะไรอีกบ้างที่ยังไม่เคยรู้ แต่ก่อนฟังจากปากอาจารย์สารเลวก็ขอให้ได้พูดบางอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายได้ปลดปล่อยความรู้สึกเสียก่อน และการบอกว่าเขาเพิ่งนอนกับแบคฮีมาโดยไม่ใส่ถุงยาง คนที่เคยยอมให้ต่อยหน้าได้ง่าย ๆ เมื่อก่อนหน้านี้จึงกระชากคอเขาให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมจับกระแทกกับผนังอย่างแรง ทั้งคู่สบตากันในระยะใกล้ เสียงลมหายใจโกรธของอาจารย์มันชัดเสียจนเซฮุนรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่สามารถเก็บความรู้สึกได้อีกแล้ว แต่คนที่อายุมากกว่าก็ไม่ได้ซัดหน้าเขาอย่างที่ต้องการ
ความสัมพันธ์ของสองคนนี้มันน่าโมโหเสียจริง คนอย่างบยอนแบคฮีน่ะหรือที่จะตกหลุมรักใครสักคนจนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ถึงแม้มันจะทำให้เธอน่ารักขึ้นแต่ก็น่าหงุดหงิดเป็นบ้าที่เขาอยากเป็นเหตุผลนั้นแต่กลับกลายเป็นอาจารย์ ถึงปาร์คชานยอลจะบอกว่าไม่สามารถกลับไปหาบยอนแบคฮีได้อีกแล้วก็ตาม โอเซฮุนรู้สึกพ่ายแพ้อย่างย่อยยับโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย
และความเจ็บปวดครั้งนี้สอนให้ได้รู้ว่าต่อให้ทำดีแค่ไหนแต่ถ้าอีกฝ่ายไม่รักความพยายามก็เท่ากับศูนย์
*
วันสุดท้ายของการเป็นนักเรียนได้มาถึง แบคฮีติดแฟชั่นดีไซน์ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล จงแดยังคงอยู่นิวซีแลนด์และเลือกเรียนจิตวิทยา มินซอกตัดสินใจเลือกวรรณกรรมที่มหาวิทยาลัยซองคยูนกวานเพราะกลัวไม่มีเวลาดูแลคุณยายถ้าหากเรียนหมอ ส่วนเซฮุนติดศิลปกรรมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮงอิก
ทุกคนร่วมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแม้ว่าจะมีคนฝืนใจเข้ามาอยู่ในเฟรมเดียวกัน แต่สุดท้ายเราก็ยิ้มให้กล้องเพื่อเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกว่าทุกคนได้ผ่านการศึกษาอีกขั้นไปได้ด้วยดี ดาซมอยู่อย่างโดดเดี่ยว นอกจากพ่อแม่ก็ไม่มีใครเข้าไปแสดงความยินดีให้ ขณะที่กลุ่มจูอึนและยูจินรวมตัวกันคุยอย่างสนุกสนานและไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดที่บอยคอตดาซมอย่างไร้เหตุผล
เซฮุนไม่ได้เข้าไปปลอบใจดาซมเพราะเด็กหนุ่มได้เลือกวิธีที่สองที่เธอเคยให้ ถ้าอยากให้อีกฝ่ายตัดใจก็คงต้องเป็นวิธีนี้ ซึ่งมันน่าหงุดหงิดจริง ๆ ที่แบคฮีก็ใช้มันกับเขาเช่นกัน เซฮุนมองผู้หญิงตัวเล็กที่ตกหลุมรักมานาน และจนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึก ความเจ็บปวดยังคงเกาะกินอยู่ในใจ แต่มันไม่มากมายจนส่งผลให้ทำเรื่องโง่ ๆ อย่างที่เคยอีกแล้ว โอเซฮุนเหนื่อยกับความรักที่บยอนแบคฮีบอกว่าเรายังไม่รู้จักมันดี เขาไม่ได้ยิ้มหรืออวยพรให้เธอมีความสุขในช่วงชีวิตต่อไปนี้ที่จะไม่มีผู้ชายหน้าโง่อย่างเขาคอยตามกวนใจอีก
สุดท้ายแล้วทุกคนก็กลายเป็นความทรงจำที่มีไว้ให้นึกถึง ทั้งคนที่เคยสร้างเจ็บปวดให้ และคนที่เป็นฝ่ายถูกเธอทำร้ายความรู้สึก เพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อนยังคงใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น และนึกเสียดายเพื่อนที่จับมือกันมาได้เพียงครึ่งทางก่อนจะปล่อยจากกันไป
ไม่มีใครได้รับความยุติธรรมเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งที่เคยเกิดขึ้นในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นแบคฮี มินซอก หรือดาซมที่ต้องจบไปจากที่นี่โดยไม่มีเพื่อนให้ติดต่ออีก ความค้างคาใจยังคงอยู่ แต่ทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้การปล่อยวางเพื่อเดินไปข้างหน้า
อาจารย์ย้ายไปสอนโรงเรียนชายล้วนอย่างที่พูดไว้จริง ๆ และพอเข้ามหาลัยพ่อก็ซื้อรถยนต์ให้แบคฮีเป็นของขวัญ ชีวิตนอกโรงเรียนปีแรกราบรื่นไม่มีการกลั่นแกล้งอย่างที่เคยเจอตอนมัธยม เพื่อนใหม่อย่างโดคยองซูและคิมจุนฮีก็เข้ากับเธอได้ดีจนไม่กังวลว่าจะทะเลาะกันเมื่อไหร่
อาจารย์เข้าไปแนะนำตัวถึงบ้านโดยไม่มีท่าทีว่าจะกลัวพ่อตา จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมที่พ่อเธอไม่ใช่คนเรื่องมาก ท่านถึงได้เปิดใจรับแฟนลูกสาวที่พาเข้าบ้านเป็นคนแรกในชีวิต และคิดว่าคงเป็นคนสุดท้ายด้วย
พ่อค่อนข้างถูกใจอาจารย์ ถึงกับชวนไปดื่มและตีกอล์ฟด้วยกัน ซึ่งพอดูดี ๆ ทั้งคู่เหมือนพ่อลูกกันมากกว่าลูกสาวอย่างเธอเสียอีก ป้าแม่บ้านก็ดูมีลับลมคมในที่รู้กับอาจารย์สองคน พอแบคฮีถามป้าก็ไม่ยอมเล่าให้ฟัง
ลูกสาวของกยูริกลายเป็นขวัญใจของตายายไปแล้ว แม้ว่าครั้งหนึ่งเขาเหล่านั้นจะเคยขับไล่ไสส่งเพราะรับไม่ได้ แต่พอถึงวันหนึ่งทิฐิในใจมันก็จางลงและทำให้ผู้ใหญ่เปิดใจรับลูกสาวและหลานแท้ ๆ ที่น่ารักเสียจนเกลียดไม่ลง มันเป็นข้อพิสูจน์อีกอย่างหนึ่งว่าเวลาสามารถช่วยเยียวยาได้จริง ๆ ถึงจะไม่ทุกเรื่องแต่อย่างน้อยมันก็เกิดผลกับสองแม่ลูกคู่นั้น
แบคฮีกับอาจารย์แวะไปเยี่ยมกยูริกับลูกอยู่บ่อย ๆ จนถูกพ่อแม่ฝั่งนั้นแซวว่าจะมีลูกกันเมื่อไหร่ อาจารย์เพียงหัวเราะอย่างขลาดอาย พร้อมบอกว่าคนเรียนหนักอย่างเธอน่ะหรือจะมีเวลาตั้งท้องให้ คนตัวเล็กจึงเอาศอกกระทุ้งท้องคนช่างพูดไปหนึ่งที
แบคฮีใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ไม่กี่ที่ หนึ่งคือบ้านตัวเอง สองคือบ้านอาจารย์ สามคือมหาลัย แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้เธอกับคนรักได้เจอกันน้อยลง เป็นเพราะเมื่อก่อนเราอยู่โรงเรียนเดียวกันถึงได้เจอกันบ่อย ๆ แต่ตอนนี้ด้วยภาระหน้าที่หลายอย่างทำให้แบคฮีตระหนักว่าเมื่อโตขึ้น เรื่องที่ต้องรับผิดชอบก็เพิ่มขึ้น และการเอาใจแฟนก็เช่นกัน
*
“แบคฮี พาหลานเข้าบ้านหน่อยสิ ฝนทำท่าเหมือนจะตกเลย”
“ตกอะไรของเธอ วันนี้อากาศออกจะดี”
“กรุณาพาโซจินเข้าบ้านหน่อยได้ไหมคะคุณนาย...” กยูริหันมามองจิกคนข้าง ๆ พร้อมโค้งศีรษะให้ บัณฑิตใหม่ป้ายแดงจึงละมือจากการล้างผักในซิงค์แล้วเช็ดเสื้อคุณแม่ลูกหนึ่ง “ย่าห์! ยัยคนนี้นี่!” แบคฮีเดินถอยหลังพร้อมแลบลิ้นใส่คนที่กำลังทำมื้อเที่ยงในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่บ้านพี่ชานยอล
คนตัวเล็กเปิดประตูออกไปหน้าบ้านแต่กลับไม่พบหลานวัยห้าขวบที่ควรนั่งชิงช้าเล่นอยู่ข้างนอกกับคนรักของเธอ หญิงสาวขมวดคิ้วมองชิงช้าที่แกว่งเบา ๆ ราวกับว่าก่อนหน้านี้มีคนเล่นมัน แต่ตรงนั้นกลับไม่มีใครอยู่สักคน
หรือว่าจะพาหลานออกไปซื้อขนมนะ?
“อ่า ให้ตายสิ” หญิงสาวสบถ เชื่อแล้วว่าพี่ชานยอลอยากได้ลูกสาวมากจริง ๆ ถึงได้มีความสุขเหลือเกินเวลากยูริพาหลานมาหา เดี๋ยวกอด เดี๋ยวหอม เดี๋ยวซื้อของเล่นให้ เมื่อวานก่อนก็ซื้อชิงช้าไม้เล็ก ๆ มาประดับหน้าบ้าน เธอคิดว่าเขาคงเอาไว้ให้หลานเล่นระหว่างที่ผู้ใหญ่กำลังคุยกัน
“น้าแบคฮีคะ มาเล่นกับโซจินเร็ว”
“อ้าว คิดว่าออกไปซื้อขนมกับลุงชานยอลซะอีก ตาแก่คนนั้นไปไหนคะ?” หญิงสาววัยยี่สิบสี่เลิกคิ้วมองเด็กน้อยที่นั่งเล่นบาร์บี้กับพื้นหญ้าตรงฝั่งขวามือของบ้าน
“ไม่รู้ค่ะ” เด็กน้อยส่ายศีรษะก่อนจะวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ “เล่นเกมหาสมบัติกัน”
“เอาสิ เล่นแล้วเข้าบ้านกับน้านะ ตกลงไหม?”
“ค่า”
“เอาล่ะ เดี๋ยวน้าเข้าไปหลบในบ้านนะ”
“ไม่ต้องหลบค่ะ สมบัติเอาไปซ่อนแล้ว” เด็กน้อยที่ยังเรียบเรียงคำพูดไม่ถูกกล่าวตาใส แบคฮีจึงขมวดคิ้วอย่างหวั่น ๆ
“อย่าบอกนะว่าแอบเอาของหวงลุงชานยอลไปกลบดินอีก ถ้าเป็นชุดชั้นในน้าหนูโดนตาแก่ตีก้นไม่รู้ด้วยนะ” หญิงสาวนั่งลงยอง ๆ ชี้หน้าหลานสาวที่หัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างนึกสนุกหลังจากเคยสร้างความปวดหัวให้คุณลุงกับคุณน้าไปครั้งก่อน
“คราวนี้ไม่ใช่กุงเกงในน้าแบคฮี”
“แล้วเป็นอะไรคะ?”
“โซจินบอกไม่ได้ สมบัติต้องหา” เด็กตัวน้อยในชุดกระโปรงยืนอมนิ้วตัวเอง แบคฮีจึงจับมือเล็กออกพร้อมเช็ดให้อย่างเบามือ
“โอเค งั้นเรามาเล่นกัน ถ้าน้าหาเจอวันนี้โซจินต้องกินข้าวให้หมดนะ?”
“หนูจะกินให้หมดค่ะ” โซจินพยักหน้าก่อนจะก้มลงหยิบด้ายสีขาวบนพื้นขึ้นมาให้ แบคฮีขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แต่เธอก็รับด้ายเส้นนั้นเอาไว้แล้วค่อย ๆ เดินไปตามความยาวของมัน
วันนี้โซจินมาแปลก ปกติเด็กคนนั้นจะเอาของไปซ่อนแล้วให้ใครสักคนตามหาเอง ไม่กยูริก็เธอกับพี่ชานยอล แต่คราวนี้มีเชือกเส้นเล็ก ๆ ที่ระหว่างทางถูกทับไว้กับพื้นหลวม ๆ ด้วยก้อนหิน พอเดินเข้าไปอีกนิดถึงได้รู้ว่ามันผูกอยู่กับต้นไม้ หญิงสาวก้าวเข้าไปใกล้จนเกือบถึง ก่อนจะมีบางอย่างดีดขึ้นมาพร้อมเชือกสีขาวในมือ
และมันคือแหวนเพชรวงเล็ก ๆ ที่ส่องประกายในวันท้องฟ้าสดใส
“ออกมาตามโซจินแต่ได้แหวนแทนเหรอครับ?”
“...”
คนตัวเล็กหันไปสบตากับใบหน้าหล่อของคนที่กอดเธอจากข้างหลัง คนที่เพิ่งเจอแหวนโดยไม่ทันตั้งตัวจึงได้แต่ยืนอ้ำอึ้งเพราะไม่รู้ว่าจะถูกเซอร์ไพรส์ด้วยวิธีนี้ แบคฮีอยากย้ำอีกครั้งว่าตั้งแต่คบกันมามีเพียงไม่กี่ครั้งที่พี่ชานยอลจะทำให้เขินได้และตอนนี้เขาก็ทำสำเร็จอีกครั้ง
“หลอกใช้หลานเหรอคะ” แบคฮีพลิกตัวหันเข้าหาคนที่เอาแต่อมยิ้มอย่างมีความสุขราวกับว่ารอเวลานี้มานานแล้ว
“จะให้คุกเข่ามันก็เชยไปนี่ครับ” ทั้งคู่สบตากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรกับสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างก็รู้ดีอยู่แล้ว ชานยอลยกมือซ้ายขึ้นมาตรงระดับสายตาเพื่อให้แบคฮีเห็นว่าเขาก็สวมแหวนแบบเดียวกับที่อยู่ในมือเธอ
“...”
“แบคฮีจำตอนที่ให้กุญแจระเบียงกับพี่ในห้องเก็บอุปกรณ์ได้ไหมครับ?”
‘หนูข้ามจากแฟนเป็นจองว่าที่ภรรยาในอนาคตเลยได้ไหม’
ไม่มีอีกแล้วอาจารย์ชานยอลที่เข้าใจยาก ตอนนี้มีเพียงแฟนหนุ่มผู้อ่อนโยนที่พูดจาน่ารักและปฏิบัติกับเธอราวกับเจ้าหญิง คนตัวเล็กช้อนตามองคนรักพร้อมพยักหน้าช้า ๆ แม้จะผ่านไปแล้วสี่ปี แต่แบคฮีก็ยังจำได้เป็นอย่างดีถ้าเป็นเรื่องของผู้ชายคนนี้
‘จองไว้ไง เดี๋ยวเรียนจบแล้วจะรีบไปขอ’
“ทำไมรีบจัง หนูกะจะรออีกสักปีเพราะอยากหาเงินซื้อแหวนก่อน แล้วนี่อะไรกันคะ” แบคฮีจับมือคนรักขึ้นมาดูใกล้ ๆ ผู้ชายที่ใส่เครื่องประดับอย่างเดียวคือนาฬิกาตอนสวมแหวนแต่งงานช่างน่ารักอะไรขนาดนี้
“รอไม่ไหวหรอกครับ ถ้าหนูขอพี่ตอนนี้ปีหน้าหนูจะมีหลานไปฝากคุณพ่อกับคุณแม่นะ” ชานยอลก้มลงมองแฟนสาวที่กำลังหัวเราะกับการวางแผนอนาคตในแบบที่เราไม่เคยคุยกันอย่างจริงจังแบบนี้มาก่อน
“อยากให้หนูย้ายมาอยู่ด้วยแล้วเหรอ?” แบคฮีกอดเอวคนตรงหน้า ช้อนตามองอย่างออดอ้อนกับความน่ารักที่ไม่เคยลดลงไปเลย
“ครับ พี่อยากตื่นมาเจอหน้าหนูทุกเช้าแล้ว”
“แบบนี้แสดงว่าหนูคงได้เปิดร้านปีหน้าเลยน่ะสิ” หญิงสาวที่เพิ่งเรียนจบแฟชั่นดีไซน์แกล้งขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงกิจการเล็ก ๆ ที่ฝันว่าอยากมีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง
“ระหว่างท้องก็ออกแบบชุดไปพลาง ๆ ก่อนไงครับ เดี๋ยวคลอดแล้วพี่เลี้ยงลูกให้ พอถึงตอนนั้นหนูอยากเปิดร้านตอนไหนพี่ก็ตามใจทั้งนั้นเลย” ชานยอลโอบแก้มคนน่ารักเอาไว้พร้อมโคลงศีรษะเบา ๆ
“จะเป็นพ่อบ้านหรือไงคะ?” แบคฮีหัวเราะ พอนึกภาพอีกฝ่ายตอนเลี้ยงลูกแล้วก็ตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
หญิงสาวหลุบสายตามองนิ้วนางข้างซ้ายที่กำลังถูกคนรักสวมแหวนให้อย่างช้า ๆ เธอเงยหน้าขึ้นมองรอยยิ้มของคนตัวโตที่ทำให้คนอย่างบยอนแบคฮีรู้สึกได้ว่าเขากำลังมีความสุขมากแค่ไหนกับการที่เรามีกันและกันมาจนถึงตอนนี้
“แต่งงานกับพี่นะครับ”
แบคฮีเลือกให้คำตอบเป็นจูบเขิน ๆ จากผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้จะได้แต่งงานกับคนที่รักเธอมากถึงขนาดนี้ หญิงสาวตวัดกอดรอบคอแกร่งพร้อมอ้อมกอดของชายหนุ่มที่ช่วยลดระยะห่างของเรา แบคฮียังรู้สึกเหมือนว่าตอนสบตากับอาจารย์ผ่านหน้าต่างอาคารเรียนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ภาพความทรงจำมากมายย้อนกลับมาให้หญิงสาวรู้สึกอบอุ่นใจว่าเราทั้งคู่ได้ผ่านฉากน้ำตาและเรื่องบ้าบอมาด้วยกันมากมายเลยทีเดียว
จากชายหนุ่มชุดวอร์มกับเด็กสาวในชุดนักเรียน
ทั้งคู่กำลังจะเปลี่ยนเป็นชุดเจ้าบ่าว เจ้าสาว และเรื่องราวของเขากับเธอยังคงดำเนินต่อไป
เพื่อใช้ชีวิตร่วมกัน
THE END
DELETE SCENE UPDATE :: 21:00 คืนนี้
(WELCOME TO MALINWORLD)
ที่ไม่ลงพร้อมกันเด่วมันตัดอารมณ์เกินไป
ในส่วนดีลีทซีนนั้นจะไม่เขียนก็ได้ เพราะมันคงจบแบบแฮปพี่เอนดิ้ง
แต่นี่คือฟิคตรั่บไง ก็เลยแบบ เคร เขียนนิดนึง
ชั้นเฬวจนถึงวินาทีสุดท้าย เพราะอยากคงคอนเสปทีมครุก
ความคิดเห็น