คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : Chapter 18 :: Teach me what is the meaning of life.
? cactus
Chapter 18
Teach me what is the meaning of life?
( วันนี้ตื่นเช้าจัง ฝนจะตกไหมเนี่ย? )
“เราหิว ก็เลยตื่นมาบอกให้ป้าทำมื้อเช้าให้กินน่ะสิ”
( ตาบวมเชียว เมื่อคืนนอนดึกเหรอ อ่า ความหิวทำให้แบคฮีของเรานอนไม่พอ )
เด็กสาวในชุดนักเรียนนั่งอมยิ้มกับจอโทรศัพท์ขณะมองเพื่อนสนิทที่กำลังเดินอยู่ในโรงเรียนกับเพื่อนชาวต่างชาติ บนใบหน้าของคนในจอยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มแม้ว่าต้องแบ่งเวลามาให้ความสนใจเพื่อนที่อยู่ไกลอย่างเธอ
“เมื่อคืนเราดันเปิดดูหนังดราม่าก่อนนอน ร้องไห้เหมือนจะบ้าเลยตอนพระเอกตาย”
( เรื่องไหนเนี่ย เราเคยดูไหม? )
“จงแดอ่านแต่หนังสือจะไปเคยได้ไง หนังมันเพิ่งออกไปไม่นานนี้เอง”
( อะไรกัน เราก็ดูหนังนะไม่ใช่เรียนอย่างเดียว บอกมาเลยว่าเรื่องอะไร จะได้ตามไปดูแล้วเล่าให้แบคฮีฟังว่าเราไม่ได้ร้องสักแอะ )
“ไม่มีทาง จงแดร้องแน่” เธอหัวเราะ
( ไหนหันจอไปที่เตียงซิ อยากเห็นหมอนเลอะน้ำมูก )
“ย่าห์” เด็กสาวเบะปากใส่ “ทั้งที่เคยร้องไห้ตอนหมาตายในหนังยังจะโม้อีก”
( อดีตไม่นับสิ ปัจจุบันเรานั่งอกผายไหล่ผึ่งให้แบคฮีซบแมน ๆ จนจบเรื่องได้ง่าย ๆ เลยนะ )
คนขี้โม้ทำหน้าขึงขังพร้อมทุบอกตัวเองปั๊ก ๆ ก่อนจะหลุดขำกับคำพูดเมื่อครู่เสียเอง ทั้ง ๆ ที่เป็นคนเซนซิทีฟกว่าเธอแท้ ๆ พอเป็นเรื่องสัตว์เลี้ยงหรือคนแก่ก็ร้องไห้น้ำตาไหลจนเสื้อเปียกไปหมด น่าเอ็นดูจนแบคฮีอยากเข้มแข็งเพื่อโอ๋เพื่อนจริง ๆ
จงแดไม่ใช่คนเล่นกีฬาเก่ง หรือทำอะไรโดดเด่นจนใคร ๆ ต้องให้ความสนใจ แต่เพื่อนของเธอคนนี้มีสิ่งหนึ่งที่น่าภูมิใจคือความพยายามและความมุ่งมั่น ไม่ยอมถอดใจง่าย ๆ แม้แสงสว่างหนทางข้างหน้าจะริบหรี่จนมองไม่เห็นความหวัง
( แบคฮี )
“อือ”
( ถ้าไม่อยากยิ้มก็อย่าฝืนเลยนะ )
จงแดหยุดฝีเท้าลง สีหน้าของเขายังคงไม่ต่างจากเดิมมากนักเพียงแต่รอยยิ้มตอนนี้เป็นรอยยิ้มของคนที่จับผิดความผิดปกติของเพื่อนได้และพร้อมจะรับมือไปด้วยกันเหมือนที่เคยทำมาตลอด
“จงแดต้องไปกินข้าวแล้ว”
( ข้าวกินตอนไหนก็ได้ แต่ตอนนี้เพื่อนเรากำลังเศร้า เราไม่อยากทำอะไรมากไปกว่าการอยู่ตรงนี้ )
เด็กหนุ่มมองดวงตาคู่นั้นที่พอเพ่งชัด ๆ ถึงเห็นว่าแดงก่ำจนน่าเป็นห่วง แบคฮีเงียบและหลบสายตาเขาอย่างตั้งใจ จงแดจึงรอให้เธอพูดโดยไม่บังคับใด ๆ อีก
“เราทำพังหมดแล้ว”
( ... )
“พัง... ทุกอย่างเลย”
*
เด็กสาวหยุดยืนมองชอล์คสีขาวซึ่งถูกละเลงด้วยคำหยาบคายสารพัด ไม่ว่าจะเป็น ‘ร่าน กระแดะ ตอแหล ไปตายซะ’ บนโต๊ะ เสียงหัวเราะเบา ๆ ประสานกันโดยกลุ่มคนเดิม ๆ ทำให้แบคฮีหันไปมองคนเหล่านั้นซึ่งกำลังมองมาอย่างรังเกียจ แต่เธอกลับไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด
กลับกันแล้วที่กลุ่มดาซมและจูอึนได้รับจากเธอคือการต่อต้านไม่ว่าจะเป็นทางสายตาหรือสีหน้า กลุ่มเด็กผู้หญิงซึ่งขึ้นชื่อว่าร้ายประจำสายชั้นจึงหน้าเสียเมื่อเห็นรอยยิ้มของเด็กสาวที่พวกเธอมาโรงเรียนแต่เช้าเพื่อหาเรื่องแกล้ง
แบคฮีห้อยกระเป๋าไว้กับเก้าอี้แล้วเดินหายไปครู่หนึ่งแล้วกลับมาพร้อมผ้าขี้ริ้วชุบน้ำ เธอถูโต๊ะเรียนอย่างไม่เร่งรีบและไม่มีท่าทีว่าจะหงุดหงิดหัวเสียกับสิ่งที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ แทมินและเพื่อน ๆ ต่างมองทั้งสองฝั่งสลับกัน มองสงครามเด็กผู้หญิงที่เกิดขึ้นอีกครั้งก่อนจะส่ายศีรษะอย่างหน่าย ๆ
มินซอกเดินเข้ามาในห้องพร้อมความรู้สึกเดิม ๆ เหมือนกับตอนนั้นที่เธอไม่อยากมาโรงเรียนเพราะไม่อยากเจอเพื่อนร่วมห้องและปัญหาสารพัด เด็กสาวถูกกวักมือเรียกให้ไปนั่งด้วยกัน โดยมีคนในกลุ่มส่งสายตาเพื่อให้เธอรู้ว่าวันนี้แบคฮีมาโรงเรียนแล้ว
มินซอกมองอีกคนจากด้านหลัง แบคฮีใส่หูฟังเพื่อให้รู้ว่าตอนนี้ได้ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกแล้ว ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวายของเด็กผู้ชาย มินซอกยืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรวบรวมความกล้าเดินไปหาแบคฮี
“มินซอก”
“...”
สองขาหยุดชะงักทันทีที่ได้ยินชื่อตนเองซึ่งมันมาพร้อมความกดดันทางน้ำเสียงและสายตาของคิมจูอึน คนในกลุ่มก็เช่นกัน... ทุกคนต่างมองมาทางนี้ราวกับจะบอกให้รู้โดยไม่ต้องพูดว่า
‘ถ้าหากเธอนั่งกับบยอนแบคฮี... คงรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น?’
สองมือกำสายสะพายแน่น มองแผ่นหลังเพื่อนที่อยู่ในโลกส่วนตัวของเสียงเพลงในโทรศัพท์โดยที่ยังไม่รู้ถึงการมาของเธอ มินซอกเม้มริมฝีปาก สุดท้ายสองขาก็เปลี่ยนเป้าหมายจากที่ตั้งใจเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
จูอึนยิ้มพอใจเมื่อเห็นมินซอกนั่งลงข้างหลังเธอ กลุ่มเด็กสาวขี้เม้าจึงกลับเข้าเรื่องนินทาทุกคนที่เห็นแล้วไม่ชอบใจ ทั้งดารา ไอดอล หรือเพื่อนข้างห้องที่ดูดีกว่า แต่คนเหล่านี้ก็ขุดหาข้อเสียมานินทาสารพัดเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น
“นั่นไง มันมาพอดีเลย เฮ้ยเซฮุน เมื่อคืนมึงได้ดูบอลปะวะ? -- เดี๋ยว มือมึงไปโดนไรมา?”
แทบจะทุกคนที่อยู่ในห้องต่างมองผู้มาใหม่ที่เดินเข้ามาข้างในพร้อมวางกระเป๋าลงบนโต๊ะโดยไม่สนใจเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างหลังอย่างเช่นทุกครั้ง แบคฮีได้ยินประโยคเมื่อครู่ชัดเจนดีแม้จะใส่หูฟัง เพราะเพลงที่อยู่ในเครื่องนั้นไม่ได้ถูกกดเล่นอย่างที่ใครเข้าใจ
“...” แทยงเอาศอกสะกิดแทมินเพื่อให้ดูความผิดปกติระหว่างเซฮุนกับแบคฮี คนหนึ่งนั่งเล่นมือถือโดยไม่สนใจ ส่วนอีกคนแค่นั่งนิ่ง ๆ ผิดวิสัยผู้ชายช่างตื๊อ
“ไปทำอะไรมา?” ดาซมหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะเซฮุน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดไม่พอใจพลางหลุบสายตามองมือที่ถูกพันรอบด้วยผ้าก๊อซ แต่เขาก็ยังนิ่งไม่เอ่ยปากพูดกับใครทั้งนั้น
*
“นั่งทำงานเงียบ ๆ นะ ถือว่าขอร้อง ฉันมีประชุมจริง ๆ”
“ได้ค้าบ”
“พวกแกน่ะตัวเสียงดังเลย ได้ยินจนถึงอาคารสาม กินโทรโข่งเข้าไปหรือไง?”
“ด่าเลยค่ะอาจารย์ พวกอีแทยงน่ะน่ารำคาญมาก หนูเป็นพยานได้”
“ถ้าวันนี้ยอมทำงานเงียบ ๆ ให้ ฉันจะบวกจิตพิสัยคนละหนึ่งคะแนน แต่ถ้ามีใครรายงานว่าห้องนี้เสียงดังล่ะก็... จะหักให้เรียบเลย”
“ดุจัดอ่า -- โอ๊ะ!” แทยงยกมือขึ้นบังชอล์คที่อาจารย์แจซอกเขวี้ยงใส่ ท่ามกลางเสียงหัวเราะสะใจของเพื่อนร่วมห้อง
พออาจารย์ออกไปหลายคนก็ทำทุกอย่างยกเว้นงานที่ถูกสั่ง บางคนฟุบหลับ บางคนหันไปคุยกับเพื่อนแต่ก็ไม่ได้เสียงดังอย่างที่อาจารย์แจซอกกังวล
แบคฮีเป็นห่วงเซฮุนแต่เธอไม่ได้ถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมือของเขา เธอเลือกนั่งทำงานแล้วปล่อยให้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น เพราะการแสดงความเป็นห่วงเป็นใยไม่ใช่วิธีที่ดีเลยสำหรับคนที่มีเป้าหมายว่าอยากให้อีกฝ่ายตัดใจ
“ฝากทำต่อด้วยนะมินซอก ขอบใจมาก”
“ของฉันด้วย”
“ฉันด้วยสิ”
เด็กสาวละมือออกจากโต๊ะเมื่ออยู่ ๆ ก็มีกระดาษหลายแผ่นวางลงมา เธอมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับจูอึนที่กำลังยิ้มพร้อมคำถามแบบไม่มีเสียงว่า ‘มีอะไรเหรอ?’
มินซอกได้แต่ก้มหน้าทำงานเงียบ ๆ โดยไม่สามารถอ้าปากปฏิเสธอย่างที่ใจต้องการได้ ทุกคนในกลุ่มพร้อมใจกันเทงานมาให้ทำโดยไม่สนว่าเธอจะรู้สึกอย่างไร เด็กสาวกลับมาอยู่ในจุดเดิมที่แตกต่างไปแค่นิดเดียว ตรงที่คิมมินซอกไม่ได้ถูกทำร้ายร่างกาย
แรงสั่นจากสมาร์ทโฟนทำให้ละสายตาจากกระดาษที่เพิ่งเขียนไปได้ครึ่งหน้า มันคือข้อความในแชทจากเพื่อนที่อยู่นิวซีแลนด์ เมื่อก่อนมินซอกกับจงแดคุยกันทุกวัน ทั้งเรื่องทั่วไปและช่วยติวภาษาอังกฤษให้เธอ แต่พักหลังเราคุยกันน้อยลงแต่ก็ไม่ถึงกับห่างเหิน เป็นเพราะมินซอกติดแฟนด้วย และรู้สึกผิดกับจงแดเรื่องแบคฮี จึงไม่ค่อยสานต่อบทสนทนา
‘มินซอกยุ่งอยู่หรือเปล่า?’
เจ้าของชื่อนั่งจ้องข้อความซึ่งทำให้มือเย็นเฉียบ เธอไม่ได้ตอบกลับทันทีเพราะความกังวลใจมากมายที่มันถาโถมเข้ามาพร้อมกัน คิมมินซอกตอนนี้เหมือนคนเพิ่งถูกจับได้ว่าทำผิดมาทั้งที่จงแดก็ทักทายอย่างปกติ
‘ว่าไง?’
‘คอลไปได้ไหม เรามีเรื่องอยากคุยด้วยนิดหน่อย แค่ห้านาทีเท่านั้น ^-^’
เด็กสาวเม้มริมฝีปาก ในหัวมีความกลัวมากมายเรียบเรียงมาล่วงหน้าทั้งที่ไม่รู้ว่าจงแดจะพูดอย่างนั้นหรือไม่ นี่สินะคนที่มีความผิดติดอยู่ในใจ มินซอกถึงได้หวาดระแวงไปหมดว่าสิ่งที่จะคุยกันต้องเป็นเรื่องแย่
“อาจารย์! หน้าไปโดนไรมาอะ?!”
“...”
มีแค่ไม่กี่คนที่สนใจเสียงของเด็กหนุ่มซึ่งตะโกนถามอาจารย์สอนพละข้างล่างอาคารเรียน หนึ่งในนั้นคือกลุ่มของดาซมที่นั่งติดกับหน้าต่าง มินซอกขมวดคิ้วทั้งที่ยังตอบแชทจงแดค้างไว้ เมื่อเห็นว่ามุมปากอาจารย์ชานยอลบวมช้ำราวกับถูกชกมา
“เมื่อคืนถูกโจรปล้นน่ะ พวกคุณก็ระวังตัวไว้”
“เข้ แถวนี้เหรอ’จารย์?” ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นคำตอบ เด็กผู้ชายเหล่านั้นจึงโบกมือบ๊ายบายพร้อมส่งสายตาเป็นห่วงเป็นใยให้อาจารย์ที่สนิทกัน
‘อือ ได้สิ เดี๋ยวคอลไปนะ’
มินซอกตอบสั้น ๆ แล้วเงยหน้าขึ้น เธอคิดว่ามันต้องเป็นเรื่องแน่เมื่อตอนนี้สีหน้าจูอึนกำลังแสดงออกให้รู้ว่าโมโหอย่างถึงขีดสุดหลังจากเห็นรอยแผลบนใบหน้าอาจารย์ชานยอล
“ใช่แน่ ๆ ฉันว่ารอยนั่นต้องได้มาจากเซฮุน”
“แน่เหรอ อาจารย์ก็บอกอยู่ปะว่าถูกโจรปล้น”
“ปล้นบ้าไรล่ะ มีสมองหน่อย ดูผ้าพันแผลที่มือเซฮุนสิ”
“นี่ดาซม เล่ามาเลยนะว่าเมื่อวานเธอเป่าหูอะไรหมอนั่นไปบ้าง”
“ฉันแค่เล่าแต่เรื่องที่ยูจินแชร์มาเฉย ๆ เอง”
“สงสารจูอึนเลยอะ ไม่เป็นไรนะ ที่อาจารย์โดนต่อยก็เพราะความผิดอีนั่นล้วน ๆ เลย”
“จริง ฉันว่านางต้องไปพูดอะไรให้สองคนนั้นทะเลาะกันแน่ ๆ”
“ขอโทษนะจูอึน” ดาซมยิ้มพอใจพร้อมดึงแก้มเพื่อนสนิทที่กำลังโมโหจนกัดฟันกรอดขณะมองไปทางศัตรูหัวใจ
มินซอกเดินออกไปจากห้องพร้อมโทรศัพท์มือถือ เธอตรงไปหาจุดเงียบ ๆ ไร้ผู้คนเดินผ่าน ตั้งแต่ถูกจับได้ในห้องน้ำเด็กสาวก็หวาดระแวงมาตลอด ทั้ง ๆ ที่การคุยกับจงแดมันไม่เคยส่งผลไปทางแง่ร้าย
( เหมือนไม่ได้คุยกันนานเลย สบายดีไหมมินซอก )
เธอยิ้มเจื่อนพลางพยักหน้าเป็นคำตอบหลังจากเปิดกล้องคุยกับเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศ
“จงแดมีอะไรเหรอ?” เจ้าของชื่อยิ้มบาง ๆ แต่ไม่ได้ตอบกลับทันที จึงทำให้เด็กสาวกังวลว่าคำถามนี้มันค่อนข้างแปลกเกินไปสำหรับคนที่เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วหรือไม่ ความจริงเราไม่ควรถามหาเหตุผลของการคุยกันเลยด้วยซ้ำ
( เราคุยกับแบคฮีก็เลยได้เห็นแต่มุมแบคฮี ตอนนี้เราอยากรู้ว่ามินซอกเป็นยังไงบ้าง )
“เค้าเล่าทุกเรื่องเลยใช่ไหม?” จะแปลกใจอะไร ในเมื่อจงแดเป็นเพื่อนสนิทของแบคฮี แค่คิดก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมาแปลก ๆ “นายคงเกลียดฉันไปแล้ว”
( ตั้งแต่เกิดมาเราเคยเกลียดคน ๆ เดียว คนนั้นคือเด็กผู้ชายตัวใหญ่ที่ตุ๊ยท้องเราตอนอยู่อนุบาล แต่ตอนนั้นมันก็นานมากแล้วล่ะ ) เด็กหนุ่มหัวเราะ
“ถ้าฉันพูดอะไรแปลก ๆ นายจะหาว่าเป็นเพราะฉันเปลี่ยนไปหรือเปล่า ความจริงฉันกำลังรู้สึกแย่จนไม่รู้จะอธิบายยังไง”
( ไม่มีใครเหมือนเดิมได้ตลอดไปหรอกมินซอก ตอนอายุห้าขวบเราก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ ตอนสิบห้าก็เหมือนกัน โลกหมุนรอบตัวเอง คนเราก็ด้วย พอเห็นอะไรมากขึ้นความคิดความอ่านก็เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม )
“แต่มันเปลี่ยนไปในทางที่แย่ นายคงรู้จากปากแบคฮีแล้วว่าฉันย้ายไปอยู่ในกลุ่มที่รุมหัวแกล้งฉันตั้งแต่เทอมก่อน พยายามลดน้ำหนักเพื่อผู้ชายที่เจอกันในแอปหาคู่ เค้าโกรธฉันเรื่องมีอะไรกันกับผู้ชายคนนั้น”
จงแดเงียบไป และรอยยิ้มที่มีอยู่ตอนนี้ก็เริ่มจางลงไปทุกที
( เรื่องย้ายกลุ่มน่ะ เรารู้ แต่แบคฮีไม่เคยเล่าเรื่องแอปหาคู่หรอก เราก็เพิ่งรู้จากมินซอกเมื่อกี้นี้เอง )
“...”
( เราสนิทกับแบคฮีมากจนเหมือนคุยกันทุกเรื่องก็จริง แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะ อย่างน้อยก็เรื่องนี้ )
“แต่พูดเรื่องย้ายกลุ่ม นั่นสินะ... ไม่แปลกที่จะโกรธหรอก ก็ตอนนั้นแบคฮีพยายามปกป้องฉันจากคนพวกนั้นตั้งเท่าไหร่ ก็คงแค้นเป็นธรรมดา” เด็กสาวแค่นหัวเราะ
( เราไม่รู้ว่าที่นั่นเป็นยังไงบ้าง แต่จากที่เราอยู่กับแบคฮีมาตั้งแต่เด็ก เค้าไม่ใช่คนที่จะว่าร้ายคนที่เค้ารักหรอกมินซอก )
“...”
( กลับกันแล้วแบคฮียังรู้สึกผิดด้วยซ้ำที่พูดแรงเกินไป )
“...”
( ที่เราอยากคุยด้วยวันนี้ก็เพราะอยากรู้ความเป็นไปของทั้งสองฝ่ายจริง ๆ เราอยากเห็นว่าตอนมินซอกกับแบคฮีไม่ได้อยู่ด้วยกันเป็นยังไง อยากรู้ว่าทั้งคู่คิดตรงกันไหม ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากให้ลองเปิดอกคุยกันสักครั้งนะ มันอาจเป็นความคิดตื้น ๆ ของคนที่ยังไม่รู้จักโลกดี แต่เราคิดว่าถ้าเป็นเพื่อนที่รักกันมาก ต่อให้ทะเลาะกันแรงแค่ไหนก็น่าจะปรับความเข้าใจกันได้ มินซอกคิดอย่างนั้นหรือเปล่า? )
“...”
( เมื่อก่อนมินซอกก็สวยอยู่แล้ว แต่ตอนนี้สวยขึ้นกว่าเดิมอีก ไม่ใช่เพราะน้ำหนักที่หายไปหรอกนะ แต่เป็นเพราะจิตใจต่างหาก เพราะงั้นเราถึงเชื่อว่าเพื่อนทุกคนเป็นคนดี )
“โกหกน่ะจงแด... นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันทำอะไรลงไปบ้าง” เด็กสาวกล่าวเสียงสั่น นึกโมโหขึ้นมาที่อีกคนยังมองเธอในแง่ดีอยู่ได้ ทั้ง ๆ ที่ผู้หญิงคนนี้ทำเรื่องแย่ลงไปตั้งหลายครั้ง “ฉันถูกหลอกถามเรื่องแบคฮีเพราะคนพวกนั้นอยากเอาไปนินทากันให้สนุก แต่ที่บ้ากว่านั้นคือฉันยอมคล้อยตามด้วย”
( ... )
“เพราะถ้าไม่ทำฉันก็จะถูกแกล้งอีก ฉันไม่อยากกลับไปรู้สึกแย่แบบนั้นอีกแล้ว นายเข้าใจไหมจงแด?”
( เราเข้าใจว่ามินซอกกลัว )
มินซอกพยายามกลั้นน้ำตา แต่สุดท้ายมันก็ไหลออกมาอยู่ดี คำว่าเข้าใจของจงแดนั้นไม่ได้ช่วยเยียวยาอะไรคนที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าทำผิดลงไป
( แต่การทำร้ายเพื่อนเพื่อปกป้องตัวเอง มันก็คงน่าใจหายมากเลย )
“...”
( ขอโทษที่ทำให้ร้องไห้นะ เราจะวางสายแล้วล่ะ ขอโทษที่ทำให้รู้สึกไม่ดีมากกว่าเดิมอีก )
“เลิกเป็นคนดีได้ไหม นายควรด่าฉันด้วยซ้ำ”
( เราไม่อยากทำแบบนั้นหรอก )
“ด่าสิ”
( เพราะในใจมินซอกตอนนี้คงต่อว่าตัวเองมามากพอแล้ว )
“...”
( มินซอกแค่กำลังหลงทาง ค่อย ๆ เดินหาทางออกนะ อีกไม่นานหรอก เราเชื่อว่ามันคงไม่สายเกินไป )
“...”
( นึกถึงวินาทีแรกที่ได้เป็นเพื่อนกัน นึกถึงตอนผ่านเรื่องแย่ ๆ และมีความสุขด้วยกัน นึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้นแล้วมินซอกลองทบทวนดูว่าตอนนี้มันดีกว่าหรือเปล่า )
*
มินซอกเดินกลับมาในห้องพร้อมสภาพจิตใจเหี่ยวเฉา แม้จะไม่มีน้ำตาแล้วแต่จากสีหน้าตอนนี้คงถูกถามได้ง่าย ๆ ว่าไปทำอะไรมา แต่เรื่องที่กังวลก็หายไปเมื่อพบว่าตอนนี้กลุ่มของจูอึนไม่ได้อยู่ในห้องเลยสักคนเดียว
“...”
เด็กสาวหยุดยืนหน้าห้องด้วยความสงสัยแต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีจึงกลับไปนั่งทำงานต่อ แต่เขียนไปได้ไม่ถึงข้อปลายปากกาก็ชะงักลง มินซอกหันไปทางโต๊ะแบคฮีเพราะความกังวลใจที่อยู่ ๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัว และทันทีที่พบว่าอีกคนไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้น... ความกังวลที่มีอยู่จึงเพิ่มมากขึ้นในวินาทีถัดมา
ซ่า!!!
“ข้อหาร่านจนทำให้ผู้ชายทะเลาะกัน”
คนถูกขังในห้องน้ำด้านในสุดเพียงยืนนิ่งไร้เสียงตอบโต้ เธอปล่อยให้น้ำไหลลงไปตามตัวและเสื้อผ้าจนหยดถึงพื้น แบคฮีเสยผมขึ้นพลางผ่อนลมหายใจ สายตาว่างเปล่าจดจ้องอยู่กับร่องประตูที่เคยมืดสนิทกระทั่งเงานั้นหายไปเมื่อคนที่เคยดึงประตูไว้เดินออกไปแล้ว
เด็กสาวเดินออกมาข้างนอกในสภาพเปียกโชก หยุดยืนอยู่หน้าซิงค์ล้างมือพร้อมบิดน้ำออกจากเสื้อและผมจนพื้นเต็มไปด้วยน้ำ แบคฮีมองสภาพผู้หญิงในกระจกที่ความบางของเสื้อทำให้มองเห็นชั้นในอย่างชัดเจน เธออยู่ในจุดที่ไม่เหลือใครเหมือนมินซอกในตอนนั้น และบยอนแบคฮีจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด จะไม่มีใครก้มหัวยอมทำตามเพื่อให้โดนแกล้งเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดจบ คนพวกนั้นควรรู้เสียทีว่าการกร่างแบบหมาหมู่เป็นอย่างไร
ผ่านไปเป็นนาทีที่เด็กสาวให้เวลาตนเองอยู่กับความคิด สบตากับคนในกระจกแล้วบอกว่าบยอนแบคฮีเป็นคนเข้มแข็งอยู่แล้ว แค่อดทนหน่อยเดี๋ยวทุกปัญหาก็จะทุเลาเอง
‘ถึงเราจะไม่ค่อยชอบฝนนะ แต่คำว่าฟ้าหลังฝนมันสวยเสมอน่ะ เราเชื่อว่ามันเป็นความจริง’
แบคฮียิ้มให้ตัวเองหลังจากคำพูดของจงแดฉุกขึ้นมาให้กำลังใจเธออีกครั้ง เด็กสาวก้าวออกไปจากห้องน้ำ มือที่ควรปกปิดความบางของเสื้อสีขาวนั้นแกว่งไปตามจังหวะการเดิน ไม่อับอายสายตาคนที่กำลังให้ความสนใจเธอในเวลานี้
สองขาเดินไปตามระเบียงยาวและเป้าหมายคือห้องเรียนแทนที่จะเป็นการขอเสื้อตัวใหม่จากห้องพยาบาล แบคฮีคิดว่าไม่มีใครหยุดความกล้าของเธอได้ กระทั่งเห็นใครคนหนึ่งกำลังเดินมาจากมุมสุดของชั้นเรียน คนที่เคยเดินอย่างมั่นใจจึงหยุดยืนอยู่กับที่โดยอัตโนมัติ
หัวใจที่ยังไม่เคยได้รับการเยียวยาจึงถูกราดด้วยยาล้างแผลอีกครั้งเมื่อได้สบตากับอดีตคนรักอย่างไม่ตั้งใจ
น้ำจากชายเสื้อและกระโปรงหยดลงพื้นเป็นดวงจนเอ่อเพราะเด็กสาวยังคงยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมความเป็นห่วงรอยแผลตรงมุมปากอีกฝ่ายที่ทำให้แบคฮีอยากต่อว่าตัวเอง เด็กสาวเลียริมฝีปาก พอตั้งสติได้จึงหลบสายตาแล้วก้าวตรงไปข้างหน้าโดยไม่สนใจใครอีก
“...”
เขายังคงเก่งเรื่องทำให้เธอเจ็บจนถึงวินาทีนี้เพราะมือที่เคยทำร้ายกันกำลังคว้าแขนไว้ไม่ให้ไปไหน หัวใจที่ว่าเต้นช้าอยู่แล้วยิ่งแผ่วลงไปจนเหมือนจะหยุดนิ่งกับสัมผัสที่โหยหาและต่อต้านในเวลาเดียวกัน แบคฮีพยายามสะบัดออกแต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อคนที่ยืนอยู่ข้างตัวกำลังดึงให้เธอไปด้วยกันท่ามกลางสายตาเพื่อนห้องอื่นที่ต่างให้ความสนใจ
ทันทีที่ประตูห้องแลปปิดลงแบคฮีก็สะบัดแขนออกอย่างไม่ใยดี ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ได้ยื้อดึงอย่างเช่นก่อนหน้านี้ เด็กสาวตัวเปียกยืนหอบหายใจ ดวงตากลอกมองระหว่างตั้งสติก่อนจะเชิดหน้าสบตากับคนตัวสูง
“มีอะไรคะ?” อาจารย์ไม่ตอบคำถาม เขาเพียงถอดเสื้อวอร์มออกแล้วคลุมไหล่ให้เธอเท่านั้น “ฮะ...” แบคฮีแค่นหัวเราะก่อนจะถอนหายใจให้อีกฝ่ายได้ยิน
“ไปขอผ้าขนหนูที่ห้องพยาบาลนะครับ”
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าเป็นธุระส่วนไหนของอาจารย์เหรอ?” เด็กสาวขมวดคิ้วกวนประสาท จะไม่ยอมเผยให้อีกฝ่ายเห็นเด็ดขาดว่าตอนนี้หัวใจเธอกำลังพังแค่ไหนเพราะสิ่งที่เขากำลังทำอยู่
“คุณจะเป็นหวัด”
“นี่ชีวิตหนู”
“ผมรู้”
“แล้วยังไง?”
“แค่ใส่มันเข้าไปครับแบคฮี”
“อาจารย์เป็นบ้าอะไร อยู่ดี ๆ ก็มาแสดงความเป็นห่วงเป็นใย วันก่อนทำอะไรไว้ลืมแล้วเหรอ?”
“ผมจำได้ครับ” อาจารย์ไม่มีท่าทีลังเลก่อนตอบเลยสักนิด อีกทั้งยังมองเธอด้วยแววตาน่าโมโหอย่างนั้นอีก
“เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว เลิกออกคำสั่งกับหนูสักที”
“ผมจะไม่ทำอะไรมากไปกว่าการบอกให้คุณใส่เสื้อแล้วรูดซิป”
“หนูไม่ทำ”
“...”
“นึกอาลัยอาวรณ์ขึ้นมาแล้วล่ะสิ ก็นั่นแหละนะ... ที่นี่จะมีใครให้อาจารย์ง่าย ๆ แถมถึงใจอย่างหนูอีก” เด็กสาวหัวเราะพร้อมเดินเข้าหาอีกฝ่ายหนึ่งก้าว เธอวางมือลงบนแผงอกแกร่งผ่านเสื้อยืดสีขาวก่อนจะเปลี่ยนเป็นกรีดนิ้วชี้เบา ๆ ลงไปจนถึงหน้าท้อง “น่าเสียดายนะ ถ้าวันนั้นหนูไม่ตามไปเห็นป่านนี้เราคงแอบไปทำเรื่องสนุกกันในห้องเก็บของแล้ว”
“...”
“ถ้าอาจารย์โกหกเก่งกว่านี้ก็คงได้กินของว่างจนถึงตอนเมียคลอดลูก ทำไงดีล่ะคะ อีกตั้งหลายเดือนเลยนะ ผู้ชายเซ็กส์จัดอย่างอาจารย์จะทนไหวเหรอ?”
คำพูดไม่น่ารักถูกพ่นออกมาไม่หยุด แบคฮีไม่ได้กำลังปกป้องตัวเอง แต่เธอกำลังประชดเพื่อให้รู้สึกแย่กว่าที่เป็นอยู่
“อาจารย์คงไม่ได้คิดกลับมากินหนูอีกครั้งเพราะเห็นหนูร้องไห้วันนั้นหรอกใช่ไหม?” เด็กสาวยิ้มขำ “เพราะถ้าใช่ หนูจะได้บอกให้คิดใหม่”
“...”
“หนูอาจจะเสียใจแต่ก็ไม่นานหรอกค่ะ หนูไม่ใช่คนชอบกลับไปกินของเก่าด้วย อาจารย์คงเห็นพี่จงอินเป็นตัวอย่างแล้ว”
คำเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ดูเข้มแข็งขึ้นในสายตาอาจารย์ เธอรู้... แต่ถ้าหากยืนอยู่เฉย ๆ บยอนแบคฮีมั่นใจว่าน้ำตามันต้องไหลออกมาจนกลายเป็นคนน่าสมเพชแน่ ๆ
“เงียบเลย หนูพูดแทงใจเหรอคะ?” คนตัวเล็กเลิกคิ้ว “มีความสุขมากไหมจะได้เป็นคุณพ่อลูกหนึ่งแล้ว”
“...”
“เล่นกับความรู้สึกคนอื่นทั้งที่มีเมียอยู่แล้วน่ะสนุกมากหรือเปล่า?”
จนถึงตอนนี้อาจารย์ก็ยังไม่คิดจะพูดอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะปฏิเสธหรือยอมรับ หรือพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาสักนิดก็ไม่มี เขาเอาแต่เงียบราวกับอยากให้เธอพล่ามความโง่ออกมา และสุดท้ายแบคฮีก็ทนไม่ไหว
“เห็นหนูโง่มากเลยใช่ไหม?”
“แบคฮี อย่า” ชายหนุ่มจับข้อมือคนที่กำลังตบหน้าตัวเองทั้งที่ยังสบตากับเขาอยู่ เธอจึงใช้มืออีกข้างตบหน้าตัวเอง “อย่าทำแบบนี้ ถ้าจะตบก็ตบผม”
“หนูไม่ทำหรอก หนูไม่อยากให้อาจารย์สำนึก”
“ผมขอร้อง”
“...”
“แค่ใส่เสื้อ... แล้วรูดซิป” เสียงของอาจารย์สั่น แววตาเฉยชาคู่นั้นเปลี่ยนไปพร้อมจังหวะหายใจที่ได้ยินอย่างชัดเจน “แล้วผมจะไม่สร้างความลำบากใจให้คุณอีก”
แบคฮีเก่งเหลือเกินที่ยังกลั้นน้ำตามาจนถึงตอนนี้ได้ เด็กสาวสะบัดข้อมือออกเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอไม่ได้เชื่อฟังอย่างที่เขาต้องการ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องแลปพร้อมถอนหายใจให้ได้ยิน
“น่ารำคาญจริง ๆ”
หัวใจที่เจ็บปวดเดินออกมาข้างนอกโดยไม่หันหลังกลับไปอีก เด็กสาวทอดสายตาไปยังทางเดินว่างเปล่าซึ่งมีเพียงลมเย็นก่อนฤดูหนาวเท่านั้นที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างระเบียง แบคฮีถอดเสื้อวอร์มสีดำที่เคยกอดด้วยความรักออก ขยำจนเป็นก้อนโยนทิ้งลงถังขยะพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาเมื่อไม่สามารถกลั้นไว้ได้นานกว่านี้อีกต่อไป
*
“หายไปไหนมา แล้วทำไมเสื้อผ้าของเธอถึงเปียกขนาดนั้นล่ะบยอนแบคฮี?” ทุกสายตาในห้องหันไปมองเด็กสาวตัวเล็กพร้อม ๆ กัน รวมถึงอาจารย์ที่เพิ่งเข้าสอนในคาบก่อนพักเที่ยง
บางคนชอบใจหลังจากเห็นยกทรงของเธอผ่านเสื้อสีขาวที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำ บางคนซุบซิบนินทา และบางกลุ่มกำลังยิ้มอย่างสะใจที่เห็นเธอตกอยู่ในสภาพนี้
“ถามดาซมกับจูอึนสิคะ พวกเค้าเป็นคนสาดน้ำใส่หนู”
“...”
“...”
“อะไรนะ?” อาจารย์ประจำวิชาเลิกคิ้วก่อนความสนใจจะถูกเทให้เด็กสาวทั้งสองซึ่งกำลังตกใจที่แบคฮีกล้าพูดมันกลางห้อง
“มีหลักฐานอะไรถึงกล้าใส่ร้ายคนอื่น? อาจารย์คะ เธอโกหก!”
“จริงค่ะอาจารย์ หนูไม่ได้ทำอะไรเค้าเลยนะคะ”
“ถามเพื่อนในห้องดูสิคะว่าคนกลุ่มนั้นอยู่ในห้องหรือเปล่าตอนหนูไปเข้าห้องน้ำ?” บรรยากาศกดดันยิ่งขึ้น สีหน้ามินซอกไม่สู้ดีนัก เธอเป็นห่วงเพื่อนที่ยืนตัวเปียกอยู่ตรงนั้นจึงลุกขึ้นแต่ก็ถูกจูอึนก็คว้าแขนเอาไว้
“ถ้าเธอไปล่ะก็... ฉันเอาจริงแน่”
“...”
“อยากเห็นชื่อตัวเองอยู่บนกระทู้เว็บบอร์ดโรงเรียนหรือเปล่าล่ะคิมมินซอก?”
จูอึนกดเสียงลงต่ำ ส่งสายตาบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าคนอย่างเธอไม่มีวันพูดเล่นแน่ มินซอกรู้สึกได้ถึงแรงบีบตรงแขนซึ่งมันแรงขึ้นจนเจ็บ เธอตัวสั่นก่อนจะนั่งลงกับที่เงียบ ๆ โดยไม่กล้าหือกับอีกฝ่าย
ในขณะเดียวกันเซฮุนเอาแต่นั่งมองมือตนเองที่พันรอบไปด้วยผ้าก๊อซ อยู่กับความว่างเปล่าที่ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้วว่าโลกนี้จะหมุนไปในทิศทางไหน ไม่อยากหันไปปกป้องผู้หญิงคนนั้นที่ดีแต่ทำร้ายหัวใจเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า หัวใจมันเจ็บมากพอแล้วตั้งแต่ตามไปต่อยไอ้ครูบ้านั่นถึงบ้าน
เจ็บเพราะได้ยินคำพูดของปาร์คชานยอลที่มีต่อบยอนแบคฮี
“ผมเป็นพยานได้ว่ากลุ่มจูอึนตามหลังแบคฮีออกไปติด ๆ เลย”
“ผมด้วย”
“แห่ไปทั้งกลุ่มเลยน้า”
“พวกนาย!” คนถูกรุมขมวดคิ้วตะโกนใส่เหล่าเด็กผู้ชายที่พร้อมใจกันยกมือขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน แทยงกับแทมินหันไปมองกลุ่มเด็กผู้หญิงน่ารำคาญประจำห้องด้วยสายตารังเกียจ
“พอทีเหอะ จะเรียนจบอยู่แล้วยังแกล้งกันเป็นเด็ก ๆ ไปได้”
“ไม่ชอบกันก็ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้เหรอวะ”
“จริง ทนดูมาตั้งแต่เทอมก่อนละนะ เบื่ออะ เมื่อไหร่จะหยุด”
กลุ่มที่กำลังถูกเด็กผู้ชายรุมต่อว่าต่างกวาดตามองอย่างไม่พอใจ รวมถึงอาจารย์ชายที่ยืนอยู่หน้าห้องซึ่งดูเหมือนว่าจะเชื่อคำพูดทุกคนในโลกมากกว่ากลุ่มของเธอ
“เอาล่ะ เงียบกันก่อน” อาจารย์วัยห้าสิบถอดแว่นเช็ดเลนส์ ก่อนจะใส่แว่นอีกครั้งพร้อมมองนักเรียนทุกคน “ต่อให้ฉันจะไม่ใช่อาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเธอ แต่ฉันก็อยากฝากอะไรไว้สักหน่อย”
“...”
“มัธยมเป็นช่วงเวลาที่คนเราจะนึกถึงมากที่สุดหลังจากโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เพราะฉะนั้นฉันอยากให้พวกเธอสร้างความทรงจำดี ๆ ด้วยกันมากกว่าจะหาเรื่องแกล้งกันนะ”
“ครับ/ค่ะ”
“คนที่เคยถูกแกล้งเท่านั้นที่จะเข้าใจคนถูกแกล้งมากที่สุด พวกเธอลองคิดดูให้ดีว่าถ้าเกิดโดนแกล้งบ้างจะรู้สึกยังไง อย่าทำให้โรงเรียนกลายเป็นนรกของใครสักคนเลย” อาจารย์เว้นจังหวะไปครู่หนึ่งพลางมองไปยังคนตัวเล็ก “ครั้งนี้จะให้อภัยเพื่อนได้ไหมแบคฮี?”
ทุกคนกำลังมองเจ้าของชื่อซึ่งไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรมากไปกว่าความเย็นชา กับคำขอซึ่งมีแต่แม่พระเท่านั้นที่จะยอมให้มันจบลงง่าย ๆ แบคฮีกำลังสบตากับจูอึนและดาซม ก่อนจะหยุดที่ใครอีกคนซึ่งก้มหน้าก้มตาไหล่สั่นอยู่ข้างหลังจูอึน
“ได้สิคะอาจารย์” เด็กสาวยิ้มกว้างแล้วหันไปทางคนกลุ่มเดิมอีกครั้ง “แต่ถ้ามีคราวหน้าอีก มันคงไม่เป็นไรใช่ไหมถ้าหากว่าหนูจะพาพ่อมาเยี่ยมโรงเรียนสักหน่อย?”
“...”
“ถ้าชอบทำอะไรกันเป็นกลุ่มก็จะได้ถูกไล่ออกพร้อมกันไปเลย อาจารย์คิดว่าไงคะ?”
ทุกคนรู้ว่าแบคฮีเป็นคนใจเด็ด และพ่อของเธอก็มีอิทธิพลมากพอที่จะทำตามอย่างที่พูดได้ คำขู่ของเธอทำให้ใครหลายคนในกลุ่มดาซมหันกลับไปนั่งเงียบ ๆ ไม่หลงเหลือสีหน้าหยิ่งผยองอีกต่อไปอีก มินซอกนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นโดยไม่มีใครรับรู้ เด็กสาวต่อว่าตัวเองในใจที่ไม่กล้าออกไปเผชิญหน้าพร้อมกับเพื่อนเพียงเพราะคำขู่ของจูอึน
*
“ลุกไหวไหมคะ มาค่ะ เดี๋ยวป้าช่วย”
“หนาว” ป้าแม่บ้านกระชับเสื้อและผ้าพันคอให้คนตัวเล็ก ก่อนจะจัดแจงผ้าห่มสองผืนที่ไม่สามารถให้ความอบอุ่นคนป่วยได้ดีเท่าที่ควร
“ให้ป้าโทรตามคุณหมอมาฉีดยาให้คุณหนูสักหน่อยเถอะนะคะ”
“หนูไม่ชอบเข็ม... กินแค่ยาไม่ได้เหรอคะ?”
“โถลูก... ทนเจ็บแค่แป๊บเดียวเองค่ะ คุณหนูจะได้หายไว ๆ ไงคะ” เธอลูบศีรษะคนที่หน้าซีดเผือดเพราะพิษไข้ ตอนนี้แบคฮีทำท่าเหมือนว่าจะร้องไห้อีกแล้ว แม่บ้านจึงประหลาดใจเพราะไม่เคยเห็นคุณหนูงอแงขนาดนี้ แม้แต่ตอนสองปีก่อนที่เป็นไข้หวัดใหญ่จนต้องนอนซมไปหลายวัน
“หนูลองนอนก่อนได้ไหมคะ ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ดีขึ้นหนูจะยอมให้โทรเรียกหมอก็ได้”
“ตกลงค่ะ งั้นกินข้าวกินยาก่อนนะคะ”
แบคฮียอมทำตามอย่างว่าง่ายเพราะไม่อยากฉีดยา เธอตักข้าวเข้าปาก เคี้ยวอย่างฝืนใจและกลืนลงคออย่างลำบาก เธอนิ่วหน้ากับความทรมานที่จุกแน่นอยู่ในคอแต่ก็ฝืนกินจนเกือบหมด เด็กสาวนอนลงบนเตียงอีกครั้ง ลมหายใจร้อนผ่อนเข้าออกเป็นจังหวะพลางพลิกตัวหันเข้าหาประตูระเบียงที่ทำให้มองเห็นท้องฟ้าข้างนอก
และไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้น
เด็กสาวผล็อยหลับไปอีกครั้งเพราะฤทธิ์ยา กว่าจะรู้ตัวอีกทีฟ้าก็มืดลงจนเหลือเพียงโคมไฟดวงเล็ก ๆ เท่านั้นที่ทำให้มองเห็นรอบข้าง อาการหนักอึ้งจากศีรษะยังคงไม่ดีขึ้นแต่ก็ไม่แย่ลง แบคฮีทาบมือลงกับหน้าผากก่อนจะรู้สึกได้ถึงเจลลดไข้ที่ไม่ได้เป็นคนแปะเอง
ป้าแม่บ้านเป็นแบบนี้เสมอเลย ทั้งที่จะปล่อยให้เธอหลับก็ได้แต่ก็เข้ามาดูแลอยู่เรื่อย ๆ พอสติมาครบหลังจากตื่น ความทรงจำลาง ๆ จึงย้อนกลับมาให้คิด แบคฮีขมวดคิ้วก่อนจะหันไปที่โต๊ะข้างเตียง มองกล่องดนตรีม้าหมุนสีขาวที่มันยังคงวางอยู่จุดเดิม แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนว่าได้ยินเสียงมันไขลานตอนที่ยังหลับอยู่
“...”
คิดไปเองล่ะมั้ง...
“ตื่นแล้วเหรอคะ?”
“หนูหิว ทำของอร่อยให้กินหน่อย” คนตัวเล็กกล่าวอย่างออดอ้อน มองผู้หญิงใจดีที่เปิดไฟให้สว่างแล้วเข้ามาพร้อมถุงยา
“ก่อนกินของอร่อยฝีมือป้า คุณหนูต้องกินยาก่อนอาหารก่อน” แบคฮีขยับตัวให้อีกฝ่ายนั่งลงบนขอบเตียง ป้าแม่บ้านดูงง ๆ กับยาในถุงซึ่งชุดที่กินก่อนเธอหลับมันไม่ใช่ถุงนี้
“เพิ่งไปซื้อมาเหรอคะ?”
“อ่า ใช่ค่ะ... คุณหนูช่วยดูหน่อยได้ไหมคะ ป้ามองไม่ค่อยเห็นเลย ตัวไหนเป็นก่อนอาหารนะ” เด็กสาวรับมาดูใกล้ ๆ สลับแผงยาอยู่ครู่เดียวก่อนจะชูให้อีกฝ่ายดู
“ตัวนี้”
“กินเลยค่ะ เดี๋ยวป้ารินน้ำให้” แบคฮีอมยาไว้ในปากรออีกคนเอาน้ำมาให้ เธอกินมันโดยไม่งอแงสักนิดเพราะไม่อยากตื่นมาเจอหน้าหมอพร้อมเข็มฉีดยา “คุณเค้าอุตส่าห์เขียนกำกับซองไว้ซะดิบดี แต่ปีนี้สายตาป้าแย่ลงกว่าปีที่แล้วอีก สงสัยต้องหาแว่นมาใส่”
“คุณเค้า?”
“...”
“ใครเหรอคะ คนขับรถพ่อเหรอ?” คนเสียงแหบเลิกคิ้วพลางสูดน้ำมูก แต่ป้าแม่บ้านกลับชะงักไปครู่หนึ่ง
“อ่า ใช่ค่ะ” เธอยิ้ม “คุณหนูดูทีวีรอก่อนนะคะ เดี๋ยวป้าไปทำกับข้าวให้”
“ไม่ต้องรีบนะ เดี๋ยวจะล้ม” คนใจดีหัวเราะเบา ๆ ขณะมองรอยยิ้มของคนตัวเล็กที่คิดว่าจะไม่ได้เห็นแล้วในวันนี้ “ขอบคุณสำหรับเจลด้วยค่ะ”
หลังจากแม่บ้านออกไปจากห้องแบคฮีก็เปิดเฟสไทม์หาเพื่อนสนิทจากนิวซีแลนด์แล้วยืดแขนออกในระยะพอดี พอเห็นตัวเองตอนนี้แล้วก็อดขำไม่ได้ ผู้หญิงที่เคยแต่งตัวแรง ๆ ไปเที่ยว ฉาบริมฝีปากด้วยลิปสติกสีเข้มกำลังป่วยทั้งกายและใจจนหน้าซีดไม่เหลือสภาพดี ๆ หลงเหลืออยู่เลย
( ว่าไงคนป่วย )
“หิว”
( อ๊า อย่าสูดน้ำมูกตอนพูดว่าหิวได้ไหม? )
“อะไรอะ จงแดรังเกียจเราเหรอ?”
( นิดนึง... )
“ไม่ได้ จงแดต้องรักเราสิ” คนป่วยทำหน้าหมู จงแดจึงระเบิดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
( แสดงว่าดีขึ้นแล้วถึงได้ซนขนาดนี้ )
“ก็ป้าดูแลเราดี เอาข้าวเอายามาให้กินไม่ให้ขาดเลย แถมยังแอบจูบหน้าผากตอนเราหลับด้วย นึกถึงแม่เลย” คนตัวเล็กทาบมือลงกับหน้าผาก เมื่อนึกไปถึงความรู้สึกตอนกึ่งหลับกึ่งตื่น สัมผัสอบอุ่นนั้นยังติดอยู่แม้ว่าจะมีแผ่นเจลลดไข้ทาบทับลงไปแล้ว
( อวดเป็นเด็กอนุบาลเลยนะเด็กหญิงแบคฮี ขาดเรียนไปสองวันแล้วจะตามเพื่อนทันไหมเนี่ย ชักจะเป็นห่วงซะแล้วสิ )
“ไม่ทันก็ตก มีเพื่อนซ้ำชั้นจงแดรับได้หรือเปล่า?” เด็กหนุ่มแกล้งลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้ แบคฮีจึงทำหน้าหมูอีกครั้ง คนเส้นตื้นทนไม่ได้ระเบิดหัวเราะลั่นเสียงดัง
คนเป็นแม่บ้านเดินเข้าไปในครัวพลางหยุดยืนอยู่หน้าตู้เย็นพร้อมนึกถึงใครอีกคนที่เพิ่งกลับไปได้ไม่นานนัก เธอไม่เข้าใจว่าทำไมคุณคนนั้นถึงต้องปิดเรื่องซื้อยาชุดใหม่เป็นความลับ ทั้งที่อาจารย์มาเยี่ยมนักเรียนที่บ้านมันไม่ใช่เรื่องแปลก
*
“อร่อยไหมลูก?”
“ค่ะ”
“พ่อตักให้อีกนะ”
คนตัวเล็กมองจานตนเองสลับกับหน้าของผู้เป็นพ่อที่กำลังมอบความใส่ใจให้เธอในวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วยการพามากินข้าวในห้างกันสองคน ท่านจองโต๊ะส่วนตัวไว้ทั้ง ๆ ที่มันไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน แบคฮีไม่แน่ใจว่าป้าแม่บ้านคุยอะไรกับพ่อหรือไม่ เพราะอยู่ ๆ การหันมาเอาใจลูกแบบนี้มันแปลกเกินไป
“พ่อไม่ไปตีกอล์ฟเหรอคะ?”
คนถูกถามยิ้มบาง ๆ พลางส่ายศีรษะ “วันนี้พ่อจะอยู่กับลูก”
“หนูถามได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อ” คนรู้สึกผิดวางตะเกียบลงพลางหันหน้าเข้าหาลูกสาวที่นั่งอยู่ข้างตัว
“หนูอยากให้พ่อทำอะไรกับเด็กพวกนั้นไหม?” บยอนยูฮันวางมือลงบนศีรษะคนตัวเล็ก “อยากให้พ่อเอาพวกเด็กนรกที่รุมแกล้งหนูออกจากโรงเรียนหรือเปล่า?”
นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้เห็นความสดใสของเธอ ตอนนี้แววตาของแบคฮีช่างไร้ชีวิตชีวา และเขารู้ว่าต้นเหตุของมันคืออะไร “พ่อรู้ได้ไงคะ?”
“มันไม่สำคัญหรอกว่าพ่อรู้ได้ยังไง หนูแค่บอกมาคำเดียว” ชายวัยห้าสิบโอบไหล่ลูกสาวพร้อมมองด้วยสายตาจริงจัง
ถ้าที่โรงเรียนไม่ต่อสายเข้าเบอร์ส่วนตัวบยอนยูฮันก็คงไม่มีวันรู้ ฝั่งนั้นเอาแต่ขอโทษขอโพยกับสิ่งที่เด็กกลุ่มหนึ่งทำกับแบคฮีลงไป เพียงเพราะกลัวทางบริษัทจะถอดการสนับสนุนโรงเรียนออก แต่ผิดคาดไปหน่อยตรงที่ลูกสาวของเขาไม่เคยพูดเรื่องนี้ และมันเป็นเหตุผลที่บยอนยูฮันเลือกพาแบคฮีออกมากินข้าวข้างนอกด้วยกันเพื่อพูดคุยเรื่องที่เขาไม่เคยได้รู้ รวมถึงการปรับความเข้าใจและลดช่องว่างระหว่างเราให้ลดลงด้วย
“การไล่ออกไม่ทำให้คนพวกนั้นสำนึกหรอกค่ะ ต่อให้ออกจากโรงเรียนนี้ก็คงไปแกล้งคนอื่นที่โรงเรียนใหม่อยู่ดี มันอยู่ที่จิตสำนึก” แบคฮีตักข้าวเข้าปาก “หนูแค่ขู่ไปเล่น ๆ ไม่คิดว่าอาจารย์จะเอามาบอกพ่อ”
“มันเกิดขึ้นครั้งแรกหรือว่าลูกทนมานานแล้ว?”
“หลายครั้งแล้วค่ะ”
“ทำไมหนูไม่บอกพ่อล่ะลูก?” ชายวัยห้าสิบลูบศีรษะลูกสาว
“หนูไม่อยากเป็นคนน่ารังเกียจในสายตาเพื่อนเพราะพ่อของหนูเป็นคนมีอิทธิพลต่อโรงเรียน” แบคฮีหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย “มันไม่แย่อย่างที่พ่อคิดหรอกค่ะ โรงเรียนก็อย่างนี้”
“แต่พ่อทนไม่ได้ มันเป็นใครที่ไหนถึงกล้าดีมาทำลูกของพ่อแบบนี้”
“อย่ามาทำเป็นโหดได้ไหม ทั้งที่ก่อนหน้านี้พ่อสนใจทุกอย่างยกเว้นหนูมาตลอดแท้ ๆ” เด็กสาวพูดติดตลก เพราะไม่อยากให้บรรยากาศมันแย่ลงไปกว่านี้ แบคฮีรู้ว่าพ่อรักและเป็นห่วงเธอ แต่การทำเพื่อลูกแบบนั้นมันไม่ใช่การแสดงความรักที่ถูกต้อง
“พ่อขอโทษ พ่อรู้สึกผิดจริง ๆ ต่อไปนี้พ่อจะพยายามปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น เชื่อใจพ่อนะ” บยอนยูฮันโอบลูกสาวให้ลงมาซบไหล่ตน กอดเพื่อให้รู้ว่าเขาห่างเหินการใกล้ชิดกับแบคฮีมานานแค่ไหนแล้ว
“สิ่งที่หนูต้องการมากที่สุดมันไม่ใช่อำนาจจากพ่อนะคะ”
คนเป็นลูกไม่เคยโกรธพ่อแม่ได้นานเลย ต่อให้ถูกทำร้ายจิตใจทางคำพูดหรือร่างกายมากแค่ไหน แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็หยุดลงได้เพียงคำว่าน้อยใจ แบคฮีลืมไปแล้วว่าตอนถูกตบหน้ามันเจ็บแค่ไหน เพราะตอนนี้เธอรู้สึกได้แต่ไหล่แคบ ๆ ของพ่อกับมือที่กำลังเหี่ยวไปตามวัย
“เพราะสิ่งเดียวที่หนูต้องการจากพ่อคือความใส่ใจ”
*
“หนูไปร้านหนังสือแป๊บนึงนะ”
“เอาสิ เดี๋ยวพ่อนั่งรอตรงนี้”
ชายวัยห้าสิบยิ้มพร้อมวางแทบเลทลงบนตักตนเอง ในร้านที่มีกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟชวนให้ผ่อนคลาย แบคฮีรู้สึกสบายใจขึ้นมาเป็นเท่าตัวหลังจากได้ใช้เวลาอยู่กับพ่ออย่างที่เคยคาดหวังในใจมาตลอด และวันนี้ไม่มีใครโทรมาแทรกกลางคัน ไม่ว่าจะเป็นทางบริษัทหรือบ้านเล็กที่พ่อมี
การอกหักครั้งนี้ไม่ได้สาหัสเท่าครั้งแรก มันไม่ใช่เพราะแบคฮีตัดใจจากอาจารย์ได้แล้ว แต่เป็นเพราะเธอพยายามเข้าใจโลกให้มากขึ้น อยู่กับคนรอบตัวที่เป็นห่วงและหวังดีกับเธอ หัวใจที่เคยแหลกไม่เหลือชิ้นดียังคงทรงสภาพละเอียดเช่นเดิม ยังคงคิดถึงผู้ชายคนนั้นได้อย่างไม่รู้จักเหนื่อย
เมื่อเข้าฤดูหนาวอย่างเต็มตัว เด็กสาวในชุดเสื้อกันหนาวไหมพรมสีน้ำตาลกับยีนส์ขายาวเดินไปตามห้างเพื่อหาร้านหนังสือ เธออยากได้สมุดภาพระบายสีที่จงแดแนะนำว่ามันช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้ พอไปถึงก็เลือกอยู่นานกว่าจะพบลายที่พอใจ แบคฮีเดินไปจ่ายเงินตรงเคาน์เตอร์ พอเดินออกมาก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นใครคนหนึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตาและกำลังถูกกระชากลากดึงออกไปตรงทางออกลานจอดรถ
คนตัวเล็กตามไปติด ๆ ก่อนจะหลบอยู่หลังเสา ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังมีปากเสียงกันดังลั่นไปทั่วลานจอดรถห้างสรรพสินค้า เธอมองให้แน่ใจว่าใช่คน ๆ เดียวในความคิดหรือไม่ และก็ได้คำตอบว่าเป็นผู้หญิงคนเดียวกับคนที่ยืนอยู่หน้าแผนกสูติกับอาจารย์
“...”
ความน่าสนใจจบลงเพียงเท่านี้ เด็กสาวไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องตามมาดูเพียงเพราะอยากรู้ว่าใช่หรือไม่ ตอกย้ำตัวเองให้เจ็บเล่น ๆ หรือไง แบคฮีส่ายศีรษะแล้วหันหลังเดินกลับไปแต่ยังไม่ทันผลักประตูกระจกเข้าห้างก็ต้องหันกลับไปอีกครั้งเพราะได้ยินเสียงร้องของผู้หญิงคนนั้น
“วุ่นวายไม่จบไม่สิ้นนักใช่ไหม ห๊า!”
ผู้ชายคนนั้นทั้งตบหัวตบหน้าอีกฝ่ายจนงอตัว แบคฮีช็อกกับภาพที่เห็นก่อนจะหันไปมองรอบข้างว่าแถวนั้นมีใครอยู่ไหมแต่ก็ไม่พบ เสียงกรีดร้องของเธอหนักหน่วงขึ้น ทั้งตอบโต้ทั้งร้องไห้จนเด็กสาวสงสัยว่าผู้ชายคนนั้นไม่รู้หรือไงว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังท้อง
“นี่คุณ หยุด!” แบคฮีตรงเข้าไปห้ามแต่ก็ถูกเขาผลักออก คนตัวเล็กขมวดคิ้วถอนหายใจอย่างหัวเสียที่อีกฝ่ายยังคงตบหญิงสาวไม่ยั้งอย่างไร้จิตสำนึก “คุณจะบ้าเหรอ ทำร้ายผู้หญิงที่กำลังท้องอยู่เนี่ยเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า?! อ๊ะ!”
คนตัวเล็กนิ่วหน้าเมื่อเขาหันมากระชากผมเธอจนหน้าแหงน ก่อนจะผลักร่างผู้หญิงคนนั้นจนล้มลงไปกับพื้น แบคฮีจับข้อมือที่จิกผมเธอ พยายามต่อสู้อย่างสุดความสามารถแต่ก็ถูกตบจนหน้าชา
“มึงคือควอนยูบินใช่ไหม! อีสารเลวที่เสี้ยมอีนั่นไม่ให้กินยาแล้วปล่อยท้อง?”
“อ๊ะ! ปล่อย!”
“มึงสอนคนนี่สุดยอดไปเลย ดูเพื่อนมึงด้วยสิ มันไม่ได้ท้องกับกู เพื่อนมึงมันร่านแค่ไหนหัดแหกตาดูบ้าง!!!” ชายหนุ่มตะโกนอัดหูเธอราวกับอัดอั้นมานาน
“กรี๊ด!!!” แบคฮีเบิกตากว้างเมื่อเขาก้มลงไปตบผู้หญิงท้องอีกครั้งทั้งที่ยังไม่ปล่อยมือจากผมเธอ “ซึงยุน! อย่าทำแบบนี้! ฟังฉันก่อนนะ ขอร้องล่ะ...”
“จะให้ฟังอะไรอีก กูฟังมึงมามากพอแล้วกยูริ ฟังจนรำคาญ จะพูดให้มันได้ห่าอะไรอีก?!”
“ต้องให้ฉันตายให้ดูใช่ไหมถึงจะยอมฟังกันบ้าง!!” หญิงสาวตะโกนอย่างสุดกลั้น ร้องไห้จนน้ำตาไหลอาบแก้มไม่หลงเหลือสภาพความสวยอยู่อีก
คนถูกท้าทายกัดฟันกรอด จิกผมคนท้องขึ้นมาสบตากันใกล้ ๆ “แล้วรออะไรอยู่ล่ะ กรีดข้อมือครั้งก่อนพลาด มึงก็กรีดอีกรอบสิอีโง่ คราวนี้ปาดคอเลยจะได้ตายสมใจ!”
“...”
“ถ้ายังไม่เลิกตามไปวอแวหน้าบ้านกูกับแฟนใหม่ มึงได้โดนหนักกว่านี้แน่!”
คนตัวเล็กถูกผลักให้ล้มจนฝ่ามือถลอกเลือดออก ผมเผ้ายุ่งเหยิงของเธอปกปิดสภาพของใครอีกคนเอาไว้จนมองไม่เห็นหน้า แบคฮีเสยผมพลางมองคนท้องซึ่งฟุบหน้าร้องไห้กับพื้นอย่างหนักขณะที่ผู้ชายคนนั้นเดินไปแล้ว เด็กสาวนั่งนิ่งจมอยู่กับบทสนทนาเหล่านั้นที่ยังกึกก้องอยู่ในหัว ก่อนจะหันไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย
“...”
ความเงียบในลานจอดรถถูกกลบด้วยเสียงสะอื้นของหญิงสาวที่ถูกทำร้ายโดยความรัก แบคฮีได้แต่ถามตัวเองว่ามาทำอะไรที่นี่ทั้งที่ควรหันหลังให้ผู้หญิงคนนี้ แต่เธอไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียงร้องไห้ที่เหมือนจะขาดใจ หรือเพราะเธอต้องการรู้บางอย่างจากปากอีกฝ่ายกันแน่
คนท้องที่เคยฟูมฟายอยู่ ๆ ก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำเหม่อมองขณะสะอึกสะอื้นจนตัวโยน แบคฮีไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยหรือไถ่ถามความเป็นไป เธอเพียงมองฝ่ามือของตนเองที่ถลอกจนเลือดออกเท่านั้น
“ช่วยฉันทำไม?”
“...”
“ทั้ง ๆ ที่เธอควรสะใจที่ฉันถูกทำร้ายไม่ใช่เหรอ?”
“ตอนแรกก็คิดว่าคงสะใจ” ผมตรงที่เคยสละสลวยในตอนนี้ช่างยุ่งเหยิงเพราะฝีมือผู้ชายคนนั้น แบคฮียังคงนั่งอยู่บนพื้นและปล่อยให้เสียงรถขับผ่านวนรอบชั้นทำลายความเงียบ “แต่พอรู้ว่าเธอท้อง ฉันก็ทนทำเป็นมองไม่เห็นไม่ได้”
“...”
“แล้วฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าต่อให้เธอไม่ได้ท้องและถูกผู้ชายแบบนั้นทำร้าย ฉันจะยังรู้สึกแบบนั้นอยู่หรือเปล่า”
แบคฮีเงยหน้าขึ้นมองคนท้องที่สิ้นหวังกับทุกอย่าง ผู้หญิงคนนั้นกำสร้อยคอแน่นก่อนจะถอดมันออกมาดูใกล้ ๆ เด็กสาวรู้สึกเหมือนมองเห็นสภาพตัวเองที่เป็นแบบนั้นทุกคืน ร้องห่มร้องไห้กับของสำคัญแล้วหลับไปพร้อม ๆ กับมัน
“เลือด”
“...”
“ตรงเสื้อเธอ” แบคฮีขมวดคิ้วพลางชี้ไปยังคอเสื้อหญิงสาวที่เลอะสีแดงเป็นจุด ซึ่งมันมาจากผ้าพันข้อมือซึ่งคงหลุดรุ่ยในจังหวะยื้อดึงกับผู้ชายคนนั้น
“ไม่เสียใจเหรอที่พี่ชานยอลทำอย่างนั้น?”
“เหตุผลอะไรที่ฉันต้องเล่าให้เธอฟัง” เด็กสาวกล่าวเสียงเรียบ คนที่เพิ่งหยุดร้องไห้จึงยิ้มบาง ๆ
“ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไมเธอเก่งจัง”
“ถ้าอ่อนแอแล้วเป็นเหมือนเธอฉันคงไม่เอาด้วยหรอก”
“ถ้าฉันเป็นเธอคงใจเย็นไม่ได้แบบนี้ คงเข้าไปตบให้สะใจ หรือไม่ก็ตามจองล้างจองผลาญเอาให้ใช้ชีวิตลำบาก แต่อาจเพราะเธอเป็นอย่างนี้” คนท้องยังคงมองสิ่งแทนใจในมือจากผู้ชายที่ทิ้งเธอไปอย่างไม่ใยดี
“ฉันทำไม?”
“ไม่รู้สิ” กยูริถอนหายใจเบา ๆ “เพราะเธอเข้มแข็งกว่า พี่ชานยอลถึงได้เลือกช่วยชีวิตฉันโดยทำให้เธอพิการหัวใจแทน”
*
ชายหนุ่มวิ่งลงจากรถพร้อมตรงเข้าไปในโรงพยาบาลด้วยความเร็วทั้งหมดที่เขามี หลังจากได้ยินกยูริโทรมาบอกว่าอยู่โรงพยาบาลเพราะถูกทำร้ายและคนที่พาเธอมาคือแบคฮี ชานยอลหยุดฝีเท้าพร้อมมองไปยังคนตัวเล็กที่นั่งอยู่กับกยูริ
และทันทีที่เห็นการมาของเขา.... เด็กคนนั้นก็ลุกขึ้นยืน
“...”
รอยฟกช้ำบนใบหน้าทำให้คนปากหนักเป็นกังวลจนอยากเข้าไปดูใกล้ ๆ แต่ชานยอลไม่กล้าทำแบบนั้นอีกถ้ามันต้องแลกมากับความเจ็บปวดของแบคฮีเหมือนวันที่ร่างกายของเธอเปียกโชกไปด้วยน้ำ
แต่ในวินาทีนี้แววตาคู่นั้นไม่ได้เย็นชาแข็งกร้าวอย่างเช่นในตอนห้องแลป... เด็กสาวไม่ได้หลบสายตาหรือเดินผ่านไปอย่างไร้เยื่อใยอย่างที่กังวลในใจ เธอยังคงยืนอยู่ตรงนั้นและมองเขาราวกับกำลังรออะไรอยู่
รอในสิ่งที่ชานยอลไม่กล้าคิดไปเอง
คนท้องที่มีรอยฟกช้ำบนใบหน้าเดินตรงมาทางพี่ชายเพื่อนสนิท เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายพร้อมยิ้มบาง ๆ เพื่อยืนยันว่าผู้หญิงท้องที่เอาแต่ร้องไห้เหมือนจะเป็นจะตายทุกครั้งเวลาอยู่ด้วยกันนั้น... ในตอนนี้เธอโอเคดี
“หมอบอกว่ายังไง?”
“ลูกไม่เป็นไรค่ะ”
“แล้วเธอล่ะ เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า?” เขาจับไหล่เธอพร้อมสำรวจความผิดปกติ กยูริจึงจับมืออีกคนมากุมไว้ตรงระดับช่วงอก
“ใจของฉันก็เจ็บเหมือนเดิม แต่คิดว่ามันคงไม่เจ็บไปกว่านี้แล้ว”
“ทำไมถึงยังไปหาเขาทั้ง ๆ ที่รู้ว่าต้องเจอกับอะไร”
“ฉันมันรั้นเอง แต่แลกมากับความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายมันก็ถือว่าคุ้ม... ไม่สิ” หญิงสาวเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “ฉันคงเจ็บอีกครั้งตอนคลอดลูกเลย”
“...”
“ขอโทษที่กดดันพี่ด้วยเรื่องความตาย ทั้งที่ฉันเป็นคนบอกพี่เองแท้ ๆ ว่าจะมีชีวิตอยู่แทนจียอน”
จะโทษว่าเป็นเพราะอารมณ์คนท้องก็คงไม่ใช่ กยูริผิดเองที่อ่อนแอจนต้องหาใครสักคนไว้ยึดเหนี่ยว ซึ่งปาร์คชานยอลก็เป็นคนเดียวที่เธอนึกออกในเวลานั้น คนที่ปาร์คจียอนพร่ำบอกอยู่เสมอว่า ‘พี่ชายของฉันอบอุ่นที่สุด’
“ขอโทษที่ทำลายความรักของพี่เพราะความเห็นแก่ตัวของฉัน” กยูริมองมือผู้ชายตัวโตที่จิตใจบอบบางกว่าสิ่งที่แสดงออก เธอกุมมือเขาไว้หลวม ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากัน “ฉันจะไม่ทำร้ายตัวเองอีก จะไม่สร้างความลำบากใจให้ใคร ฉันจะพยายามสู้อีกสักตั้ง เพราะฉะนั้น...”
“...”
“หลังจากคลอดลูกแล้ว... พี่กับแบคฮีจะช่วยเลี้ยงหลานให้ฉันใช่ไหมคะ?” กยูริหันกลับไปทางคนตัวเล็กที่พาเธอมาตรวจเพราะกังวลเรื่องเด็กในท้อง เราคุยกันอยู่นานเป็นชั่วโมง มีทั้งอารมณ์โกรธ ผิดหวัง เสียใจ และอะไรอีกมากมายที่ทำให้กยูริรู้สึกผิดหลังจากตัดสินใจแบบนั้นกับพี่ชานยอล “เธอเป็นคนน่ารักอย่างที่พี่เคยบอกจริง ๆ”
“...”
“ผู้หญิงเด็ดเดี่ยวแบบนั้นคงไม่ได้เจอง่าย ๆ ในชีวิต ฉันลองทบทวนดูแล้วล่ะค่ะ ว่ามันคงน่าเสียดายแย่ถ้าหากพี่จะทิ้งเธอแล้วรับเป็นพ่อให้เด็กคนนี้”
“แต่ชีวิตของเธอจะพังถ้าหากว่าเด็กไม่มีพ่อ”
“แต่ตอนนี้มันยังไม่พังนี่คะ” กยูริหัวเราะ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงเป็นกังวลถึงความโหดร้ายของครอบครัวเธอที่คงไม่ยอมรับการท้องไม่มีพ่อ และอาจถูกไล่ออกจากบ้านอย่างที่กลัวมาตลอด
“ฉันอาจจะถูกพ่อกับแม่ตี ต้องเลี้ยงลูกเป็นครั้งแรกในชีวิตด้วยความไม่รู้ มันอาจจะเหนื่อยกว่าคนอื่นมาก แต่ว่าฉันไม่อยากให้พี่ต้องแลกความสุขของตัวเองเพื่อมารับผิดชอบความมักง่ายของวัยรุ่นสองคนแล้วล่ะ”
คนที่พยายามเข้มแข็งลูบท้องตนเอง แม้ในใจยังคงแหลกละเอียดเพราะคำด่าทอของคนรัก มันยังคงเสียดแทงเพื่อให้รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นเพียงบทเรียนชิ้นใหญ่ในชีวิตที่เข้ามาสอนให้หญิงสาวรู้ว่าการเพ้อฝันมันมีเพียงในนิยายกับหนังรักทั่วไปเท่านั้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมากยูริรู้ดีตลอดว่าอะไรเป็นอะไร รู้ว่าเขาไม่รัก รู้ว่าเขามีคนใหม่และคงไม่ยอมรับการเป็นพ่อเด็ก กระทั่งถูกตบหน้าเตือนสติด้วยคำพูดของแบคฮี กยูริถึงตาสว่างและคิดว่าควรยอมรับความจริงให้ได้สักทีว่าการตามตอแยผู้ชายอย่างไร้ศักดิ์ศรีอย่างนั้นมันช่างไร้ค่าเหลือเกิน
กยูริหันไปทางผู้หญิงคนเดิมอีกครั้ง มองคนที่ผิดหวังในความรักแต่ก็ยังมีชีวิตต่อได้โดยไม่ปล่อยให้ตัวเองใกล้ตายเหมือนเธอ หญิงสาวอยากเข้มแข็งได้อย่างนั้นบ้าง มันคงดีถ้าหากว่าเด็กในท้องโตขึ้นและได้พูดอย่างภาคภูมิใจว่า
‘หนูไม่เคยเสียใจที่โตมาได้ด้วยการเลี้ยงดูของแม่คนเดียว’
“ถ้าไม่ได้เด็กคนนั้น ฉันก็ไม่รู้ว่าจะตอนนี้จะคิดอะไรอยู่ อาจจะวางแผนฆ่าตัวตายหรือไปดักรอหน้าบ้านซึงยุน ทุกอย่างดูสิ้นคิดไปหมดเลยพี่ว่าไหม?” หญิงสาวหัวเราะ
“เธอ...”
“ปลดปล่อยความกังวลของพี่แล้วไปหาเธอเถอะค่ะ”
“...”
“อย่าให้ความกลัวและความใจดีทำร้ายความรักของพี่อีกเลย”
ชายหนุ่มสบตากับเด็กผู้หญิงที่ยังคงยืนอยู่จุดเดิม ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นซึ่งไม่ได้วิ่งหนีทั้งที่เคยได้รับความใจร้ายจากผู้ชายคนนี้ ชานยอลวางมือลงบนบ่ากยูริทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากความคิดถึงที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อหักดิบทำเป็นไม่สนใจแบคฮีตั้งแต่วันที่กยูรินอนจมกองเลือด ขายาวค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้าก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิ่ง
เขากำลังวิ่งเข้าหาหัวใจและสวมกอดด้วยความคิดถึง
“ทำไมเป็นคนแบบนี้... ทำไม...”
แบคฮีร้องไห้พร้อมทุบหลังคนใจร้ายก่อนจะเปลี่ยนเป็นกอดแน่น เธอปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาตามที่มันต้องการเพราะไหล่กว้าง ๆ ของอาจารย์คงซึมซับมันไหว
“เจ็บไหมครับ... ผมกอดคุณแรงไปหรือเปล่า...” เด็กสาวที่สะอื้นในอ้อมกอดส่ายศีรษะ เขาจึงกอดเธอแน่นขึ้นราวกับกลัวคนตรงหน้าจะหายไป กอดเพื่อให้รู้ว่าที่ผ่านมานั้นปาร์คชานยอลคิดถึงบยอนแบคฮีมากแค่ไหนแม้จะใช้ความเย็นชาเป็นฉากหน้า
“ที่พูดทำร้ายจิตใจหนูก็เพราะเหตุผลนี้เหรอ ทำไมถึงเป็นคนใจร้ายแบบนี้...”
“ทั้งหมดก็เพราะผมอยากให้คุณเกลียดผม” แบคฮีสะอื้นในอ้อมกอดที่โหยหามาตลอด หลังจากได้ฟังความจริงจากปากกยูริ เธอก็แทบบ้าเพราะความสับสนและไม่เข้าใจ นานเลยทีเดียวกว่าจะตั้งสติได้ และมันทำให้เธอคิดถึงอาจารย์จับใจ
‘พี่ชานยอลคงกลัวฉันได้ไปอยู่บนสวรรค์กับจียอน กลัวเด็กจะเกิดมาเป็นคนมีปม เพราะครอบครัวของฉันเองก็ใช่ว่าจะเปิดใจรับฟังลูก ลำพังฉันลำบากคงไม่เท่าไหร่ แต่เด็กที่กำลังเกิดมาน่ะ...’
“ขอโทษที่ทำให้คุณผิดหวัง แต่ที่ทำไปทั้งหมดมันไม่ได้หมายความว่าผมแคร์กยูริมากกว่ารักคุณ ตั้งแต่รู้เรื่องนี้ผมก็คิดหนักมาตลอด ผมควรทำยังไงดีระหว่างเพิกเฉยคนที่พร้อมจะฆ่าตัวตายอยู่ตลอดเวลาแล้วคบกับคุณต่อไป หรือตัดใจจากคุณเพื่อดูแลเด็กคนหนึ่งให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยไม่กลายเป็นเด็กมีปัญหา”
“ถ้าบอกตรง ๆ หนูก็เข้าใจได้ หนูไม่ใช่คนใจแคบที่จะไม่ฟังเหตุผลของอาจารย์นะ... เราผ่านปัญหาไปด้วยกันได้ไม่ใช่เหรอคะ?”
“ผมทนเห็นคุณหลบอยู่ข้างหลังไม่ได้หรอกครับแบคฮี” ชานยอลลูบศีรษะคนตัวเล็กอย่างใคร่รัก “ถ้าผมจดทะเบียนกับกยูริ นั่นหมายความว่าเรื่องของเราต้องกลายเป็นแค่ความลับเท่านั้น”
“...”
“ผมจะกอดคุณแบบนี้ในที่สาธารณะไม่ได้ จูบคุณไม่ได้”
“...”
“ทั้ง ๆ ที่ผมรอคุณเรียนจบมอปลาย รอเวลาที่เราสามารถคบกันได้อย่างเปิดเผย แต่พอเจอเรื่องนี้ผมต้องล้มความคิดเหล่านั้นทิ้งไป เป็นเพราะผมทำใจเห็นแก่ตัวให้คุณเป็นคนที่อยู่ในความลับแล้วเลี้ยงดูเด็กกับกยูริไม่ได้”
“แต่หนูทำได้ ขอแค่อาจารย์รักหนูแค่นั้นก็พอแล้ว”
“ไม่ครับ มันไม่พอ” ชานยอลผละออกมาสบตากับคนตัวเล็ก ปัดปอยผมออกจากดวงหน้าขาวที่ซูบผอมลงไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด “ผมไม่อยากให้เรื่องของเราเหมือนก่อนหน้านี้ที่ต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ”
“ก็เลยเลือกทิ้งหนูเหรอคะ” เด็กสาวกล่าวอย่างตัดพ้อ “ถ้าหนูเสียหลักจนกลับไปเป็นคนไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนอาจารย์จะรู้สึกยังไงคะ?”
“...”
“ถ้าหนูฆ่าตัวตายเหมือนกยูริบ้าง อาจารย์จะยังเลือกเธอกับลูกอยู่ไหม?” เด็กสาวช้อนตามองหวังเอาความจริงจากปากคนตรงหน้า ไม่มีอีกแล้วแววตาเย็นชาหรือคำพูดร้าย ๆ ที่พังหัวใจของเธอในวันนั้น
“ผมเชื่อว่าคุณจะไม่ทำ”
ชานยอลไล้น้ำตาออกจากแก้มคนตัวเล็กด้วยนิ้วหัวแม่มือ มองความเปลี่ยนแปลงของเธอที่ไม่ได้เห็นชัด ๆ ตั้งแต่เขาเลือกหันหลังให้ความรัก ชายหนุ่มกำลังจดจำทุกรายละเอียดแม้ว่าในใจของปาร์คชานยอลจะพร่ำบอกกับตัวเองว่าตอนนี้เขาสามารถแสดงความรู้สึกทุกอย่างที่มีต่อแบคฮีได้แล้ว
“บยอนแบคฮีที่ผมรักเธอไม่ใช่คนแบบนั้น”
TBC
วาเลนถอกวาเลนไทน์ไรล่ะวันนี้วันอังคาน!!!!
โอย เปงตอนที่ปวดหัวมาก ตอนนี้ก็ปวดหนึบ ๆ
ถ้าเจอคำผิดทักเตือนในทวิตทีนาคา ไม่ไหวแล้วคา
ความคิดเห็น