คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : Chapter 15 :: Teach me how to live with darkness.
? cactus
Chapter 15
Teach me how to live with darkness
วิชาพละของเทอมนี้ต่างจากเทอมก่อนตรงที่เปลี่ยนจากชุดว่ายน้ำเป็นเสื้อยืดสีขาวและกางเกงสีกรมท่า ซึ่งทำให้เด็กหนุ่มวัยกำลังเติบโตตาเป็นประกายเมื่อเห็นขาขาว ๆ ของเพื่อนร่วมห้องที่เข้ากันได้ดีกับกางเกงขาสั้นและหน้าอกเพราะสวมเสื้อขนาดเดียวกับรูปร่าง
เซฮุนไม่ได้สนใจว่าตอนนี้คิมดาซมกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ เด็กหนุ่มไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าขาเรียวยาวของเธอนั้นสวยมากแค่ไหน เพราะตอนนี้สายตาคู่นี้ยังคงจดจ้องอยู่กับรอยยิ้มของบยอนแบคฮีที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเขา ผู้หญิงใจร้ายคนนั้นกำลังมีความสุขกับเพื่อนสนิทคนใหม่อย่างคิมมินซอก ซึ่งโอเซฮุนดีใจด้วย แต่เขาจะดีใจมากกว่านี้ถ้ายัยบ้านั่นไม่อมยิ้มเวลาก้มหน้าก้มตาแชทกับใครสักคน
“ตัดใจได้แล้ว” คำพูดของดาซมเป็นสิ่งที่คนทั้งโลกคงอยากให้โอเซฮุนทำ เด็กสาวหุบยิ้มลงพลางถอนหายใจที่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะหันมามองหรือแสดงท่าทีว่าเห็นด้วย
“ทำไมเธอถึงยังชอบฉัน?” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มราบเรียบเป็นเส้นตรง ดาซมไม่ได้ตอบคำถามในทันที เธอกำลังหยั่งเชิงดูอีกฝ่ายว่าอะไรที่ทำให้ถามออกมาอย่างนั้น
“ถ้าฉันพูดความจริงมันจะเปลี่ยนแปลงไหม ฉันอยากรู้แค่นี้” เด็กสาวมองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ เซฮุนจึงหันมาสบตากับเธอ
“ไม่”
“แล้วถามทำไม?”
“ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไมเธอถึงบอกให้ฉันตัดใจจากแบคฮี ทั้ง ๆ ที่เธอก็ยังเลิกชอบฉันไม่ได้”
“...”
“พอเป็นเรื่องของคนอื่นเลยดูง่ายไปหมดเลยใช่ไหมล่ะ คนเราแม่งเป็นงี้ตลอดเลย” เสียงหัวเราะของเซฮุนเหมือนตอกย้ำว่าเธอมันบ้าเหลือเกินที่บอกให้คนอื่นทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำได้
“บยอนแบคฮีกำลังชอบใครสักคนที่ไม่ใช่นาย ขนาดฉันเป็นคนนอกยังดูออก” ดาซมไม่ยอมหยุด ตอกย้ำให้เซฮุนเลิกหลอกตัวเองเสียที
“คนนอกก็ดูออกว่าเธอชอบฉัน แล้วฉันก็ดันชอบยัยนั่น”
“เซฮุน” ดาซมขมวดคิ้ว มองรอยยิ้มโง่ ๆ ของเด็กผู้ชายคนนี้
“พยายามวิ่งตาม ตะโกนเรียกจนสุดเสียงเพราะหวังว่าเค้าจะหันมาเห็นความตั้งใจบ้าง แต่นอกจากจะไม่มีใครเห็นความพยายามแล้ว ความจริงที่ได้รู้อีกอย่างคือขาที่วิ่งจนล้ามันเสือกวิ่งอยู่กับที่ซึ่งแม่งโคตรเหนื่อยเลย” เขาหัวเราะขณะมองเด็กผู้หญิงคนเดิม มองความใจร้ายที่ทำให้โอเซฮุนมีทั้งความทุกข์และสุข “ใครรักตัวเองได้ก่อนคนนั้นชนะ คำนี้มันโคตรจริง”
เซฮุนเอนหลังเท้าแขนลงกับพื้นหญ้า เด็กหนุ่มไม่ได้หันไปลูบศีรษะหรือพูดปลอบใจคนที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน ซึ่งดาซมคงไม่ได้คาดหวังกับสิ่งที่เขาไม่เคยให้ เธอไม่อยากเข้าใจในสิ่งที่รู้ดีแต่ไม่เคยทำใจได้ ว่าเราทั้งคู่ต่างเป็นคนโง่ที่วิ่งตามสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ทั้งทางร่างกายและความรู้สึก
“ฉันไม่ใช่คนใจกว้าง เพราะฉะนั้นถ้านายอยากให้ฉันเลิกชอบ มันก็มีวิธีง่าย ๆ อยู่สองวิธี”
ประโยคเมื่อครู่สามารถดึงความสนใจที่มีต่อบยอนแบคฮีได้อย่างง่ายดาย เซฮุนยอมหันมาอีกครั้งพร้อมฉายแววตาสงสัย ซึ่งดาซมไม่สนใจว่าอีกฝ่ายอยากรู้เหตุผลเฉย ๆ หรือว่าจะเอามันไปใช้กับผู้หญิงคนนั้นด้วย
“ฉันจะเลิกชอบนายได้ก็ต่อเมื่อได้คบกับนายจนเบื่อ และอีกวิธีก็คือ” เด็กสาวมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเรียบเฉยแต่ฉายไปด้วยความตัดพ้อ เสียใจ “มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันเกลียดนายจนไม่อยากเห็นหน้าอีกต่อไป นั่นแหละวิธีสุดท้ายที่นายต้องถามตัวเองว่ากล้าทำหรือเปล่า”
*
‘อยากเห็นชุดพละ ถ่ายให้ดูหน่อย’
มินซอกหน้าขึ้นสีเพราะผู้ชายที่รู้สึกดีด้วยขอรูปเธออีกแล้ว เด็กสาวเม้มริมฝีปากพลางหันไปทางเพื่อนสนิทที่กำลังมองมาด้วยแววตาเป็นห่วงเป็นใยแต่สุดท้ายก็ยิ้มเพื่อให้เธอสบายใจ แบคฮียังคงเป็นห่วงเพราะกลัวว่าผู้ชายในแอปหาคู่จะเป็นคนนิสัยไม่ดี ซึ่งถ้าเอาให้ดูว่าผู้ชายคนนั้นตอบแชทอะไรมาคงถูกดุแน่ ๆ ว่าทำไมเขาถึงพูดจาเชิงลามกอีกแล้ว
แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัว... มินซอกไม่คิดว่ามันลามกอะไรขนาดนั้น อาจจะทะลึ่งบ้าง แต่แบคฮีไม่ได้คุยกับเขาตลอดคงไม่รู้ว่าความจริงผู้ชายคนนั้นค่อนข้างนิสัยดีเลยทีเดียว อาจด้วยลักษณะนิสัยพูดตรง ๆ เป็นกันเองเหมือนเด็กฝรั่งจึงทำให้คำพูดของผู้ชายคนนั้นดูซอฟท์ไปเลยเมื่อเทียบกับฝรั่งแก่ ๆ ที่ทักมาขอดูหน้าอก
“แบคฮี มียาแก้ปวดไหม?” เจ้าของชื่อส่ายศีรษะพลางเงยหน้ามองเด็กหนุ่มตัวสูงที่ตอนนี้มีสีหน้าไม่สู้ดีผิดปกติที่โอเซฮุนมักจะกวนประสาททำตัวเป็นลิงเป็นค่าง
“ไม่สบายหรือไง?”
“แค่ปวดหัวเฉย ๆ สงสัยเป็นเพราะนอนดึก”
“ไปกินเหล้ากับเพื่อน?” เซฮุนส่ายหน้าปฏิเสธ แบคฮีจึงลุกขึ้นยืนพลางหรี่ตาจับผิดว่าอีกฝ่ายกำลังโกหกอยู่หรือไม่ “ก้มลงมา”
เด็กหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย หัวใจที่เคยบอบช้ำจนเหมือนจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลากำลังได้รับการเยียวยาโดยหลังมืออุ่น ๆ ของคนใจร้ายที่อาบทั้งยาทาแผลและยาพิษในเวลาเดียวกัน เซฮุนจ้องดวงหน้าขาวที่กำลังฉายแววลำบากใจอย่างปิดไม่มิด แต่ในวินาทีนี้เด็กหนุ่มไม่สนใจทั้งนั้นว่าสิ่งที่ทำอยู่มันจะสร้างความลำบากใจให้เด็กผู้หญิงที่พยายามวิ่งหนีความรู้สึกเขาสักแค่ไหน เพราะสุดท้ายบยอนแบคฮีก็จับไม่ได้ว่าโอเซฮุนกำลังโกหก
“ไปขอกับอาจารย์ห้องพยาบาลสิ”
“อ้อ นั่นสินะ ห้องพยาบาลคงมีเป็นกระปุกเลย” คนที่มีภาพลักษณ์เป็นเด็กหนุ่มร่าเริงกลายเป็นคนพูดน้อย เหงาหงอยเพียงเพราะอาการปวดหัว แบคฮีกำลังต่อสู้กับความคิดตัวเองว่าควรปล่อยให้คนตรงหน้าเดินซึมไปห้องพยาบาลคนเดียวหรือจะพาไปดี
เธอเป็นห่วงหมอนี่ แต่อีกไม่กี่นาทีอาจารย์ก็จะเข้าสอนวิ่งแล้ว มันคงไม่ดีแน่ถ้าหากจะให้เขาเห็นว่าเธอยังคงไปไหนมาไหนกับเซฮุนตามลำพัง แต่ถึงอย่างนั้นลึก ๆ ก็ยังรู้สึกผิดในใจที่เพิกเฉยถึงขนาดนี้
“รอนี่ก่อนนะ”
“อื้อ” มินซอกพยักหน้าพลางมองเพื่อนสนิทที่เดินไปสะกิดหลังเซฮุนเพื่อบอกให้รอก่อน เธอเห็นว่าคนตัวสูงยิ้มออกมาอย่างง่ายดายเพียงเพราะเห็นว่าแบคฮียอมพาไปห้องพยาบาลโดยที่เขาไม่ได้บังคับหรือขอร้อง
ตอนนี้ทางสะดวกแล้ว มันคงดีถ้าหากมินซอกจะถ่ายรูปแล้วส่งให้ผู้ชายคนนั้นก่อนที่แบคฮีจะกลับมา เธอไม่อยากให้เพื่อนเป็นกังวลหรือแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยจนกลายเป็นว่าเธอต้องมารู้สึกแย่เอาทีหลัง มินซอกเข้าใจว่าเป็นห่วง แบคฮีบอกว่าคนที่คุยกันในเน็ตมีเปอร์เซ็นต์สูงมากที่จะไม่จริงใจ ซึ่งเธอก็รับฟังไว้แต่ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้แย่อย่างที่แบคฮีกลัวสักหน่อย เราแค่คุยกันเฉย ๆ เอง
เด็กสาวยกกล้องขึ้นหามุมที่เหมาะสม แต่รูปถ่ายทั้งหมดก็ไม่มีอันไหนพอจะเข้าท่าเลย เธออยากผอมกว่านี้จะได้ไม่ต้องกังวลว่ารูปมันน่าเกลียดหรือเปล่า มินซอกก้มหน้าก้มตาสไลด์หน้าจออยู่นาน สุดท้ายก็เลือกรูปที่พอจะดูได้ที่สุดให้อีกฝ่ายดู
‘น่ารัก’
โล่งอกไปที...
‘ขอดูข้างล่างหน่อย อยากเห็นกางเกง’
มินซอกหน้าแดง มันแปลกไปหรือเปล่าที่เธอเขินกับคำพูดที่เหมือนหลุดออกมาจากการ์ตูนผู้หญิง เด็กสาวหันซ้ายขวาก่อนจะก้มลงมองขาตัวเอง ถึงจะน้ำหนักลดลงไปบ้างแล้วแต่เธอก็ยังไม่มั่นใจมากพอที่จะอวดสรีระให้ใครดูได้
ทำยังไงดี ถ้าปฏิเสธไม่ถ่ายให้ดูอีกฝ่ายจะรู้สึกแย่ไหม มินซอกกลัวผู้ชายคนนั้นจะหงุดหงิดหาว่าเธอเล่นตัว ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย
‘หนูเคยบอกไปแล้วนี่ว่าน้ำหนักขึ้น หนูอาย ไว้คราวหน้านะ...’
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มินซอกโกหกอย่างน่าไม่อายแบบนี้ เธอไม่ได้บอกเขาไปตั้งแต่แรกว่าเป็นผู้หญิงเจ้าเนื้อ ไม่กล้าบอกว่ารูปที่ส่งไปมันผ่านการใช้ฟิลเตอร์ ไม่กล้าพูดข้อเสียสารพัดที่ให้นั่งนับทั้งวันก็ไม่หมดเพราะกลัวอีกฝ่ายจะรับไม่ได้จนเลิกคุยไป มินซอกไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น... มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้หญิงอ้วนที่ไม่เคยมีแฟนมาก่อน พอเจอคนที่ถูกใจเธอก็อยากคุยด้วยนาน ๆ
‘มีอะไรต้องอายอีก เอางี้ ไว้เจอกันเดี๋ยวช่วยทำให้น้ำหนักลด ตกลงไหม? ㅋㅋ’
คนไร้เดียงสาเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ จึงส่งคำถามไปว่าประโยคเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร และอีกฝ่ายก็ทำให้คิมมินซอกเขินอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพราะความทะเล้นปนน่ารัก
‘ถ้าเธออยู่กับพี่ในห้องสองต่อสองสักอาทิตย์นึงเดี๋ยวก็ผอม’
เด็กสาวนั่งนิ่งไปเกินครึ่งนาทีกับประโยคหยุดโลกที่ทำให้ร้อนไปทั้งหน้าและใบหู มินซอกกลืนน้ำลายอย่างขลาดอาย สุดท้ายเธอก็ยอมถ่ายท่อนล่างของตนเองส่งให้อีกฝ่ายดูและแน่นอนว่ามันผ่านการใช้แอปและมุมกล้องเช่นทุกครั้ง
‘ให้ตายเหอะ โคตรขาวเลย’
‘เป็นเพราะแสงตรงนี้มั้ง...’
‘ทนไม่ไหวแล้ว อยากไปเกาหลี’
‘._.’
‘จองตั๋วเครื่องบินเลยดีไหม พี่อยากเจอเธอจะแย่แล้ว’
ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีผู้ชายที่ไหนพูดแบบนี้ด้วย โดยเพราะคนหล่อ ๆ ที่คงไม่มองผู้หญิงเจ้าเนื้อ ยอมรับว่ามินซอกหวั่นไหวจนกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้ เธอกำลังฝันไปหรือเปล่า เขาแค่อยากมาเที่ยวเกาหลีอีกครั้งอย่างที่เคยคุยกันหรือว่าอยากพัฒนาความสัมพันธ์กันนะ พอเห็นพูดอย่างนี้ก็อยากออกกำลังกายให้มากกว่านี้ เธออยากผอม ผู้ชายคนนั้นจะได้ไม่ผิดหวัง
*
“วางไว้ตรงนั้นเลยจ้ะ อ่า ใช่ ๆ”
“ตรงนี้นะครับ?”
“ถ้าไม่ได้อาจารย์ชานยอลพี่คงแย่เลย” อาจารย์วัยสี่สิบประจำห้องพยาบาลกล่าวอย่างรู้สึกผิดที่ขอให้อาจารย์รุ่นน้องหุ่นกำยำช่วยยกถังน้ำจากรถมาที่นี่
“ไม่เป็นไรครับ วันหลังถ้าต้องยกของหนักอีกก็เรียกผมได้เลยนะ”
“โธ่... พ่อพระของพี่ เกรงใจไปอีก แต่ภารโรงก็แก่แล้วน่ะเนอะ ที่โรงเรียนก็ไม่ค่อยมีอาจารย์หนุ่ม ๆ ด้วย บทจะมีก็เป็นผู้ชายหุ่นก้างเหลาะแหละ ไม่ก็อ้วนจนถังน้ำดันกับพุง” เธอระเบิดหัวเราะออกมาอย่างไม่กั๊ก ชานยอลจึงกำมือป้องปากขำกับคำพูดติดตลกของคนตรงหน้า
“อาจารย์ซูตัวแค่นี้ให้ผมช่วยก็ถูกแล้ว ขืนยกเองได้หลังยอกแน่ครับ” เธอหรี่ตามองพลางจิ๊ปากกับคำแซวที่สวนทางกับหน้าอันหล่อหล่อของน้องเขา
“ถึงพี่จะสี่สิบสองแล้วแต่ก็เป็นแม่ของลูกอาจารย์ชานยอลได้นะ บอกเลย” ชายหนุ่มหัวเราะก่อนจะก้มหน้ามองอีกฝ่ายที่หรี่ตาลงพร้อมลูบแผงอกของเขาผ่านเสื้อวอร์มแขนยาวสีดำ “แน่นมาก ถ้าได้ลูบข้างในจะแน่นแค่ไหน”
“อาจารย์ซูน่ากลัวจังครับ”
หญิงวัยสี่สิบระเบิดหัวเราะลั่น ก่อนประตูจะถูกเปิดเข้ามาโดยเด็กมอปลายสองคนในชุดพละซึ่งก็คือโอเซฮุนกับบยอนแบคฮี ทุกอย่างหยุดนิ่ง มีเพียงเข็มนาฬิกาบนผนังเท่านั้นที่ทำลายความเงียบในเวลานี้ และชานยอลรู้สึกได้ถึงแววตาที่กำลังฉายแววไม่พอใจของคนตัวเล็กเมื่อมือของอาจารย์ซูยังคงทาบอยู่กับอกเขา
“ทำอะไรกันอยู่เหรอคะ?” อาจารย์หนุ่มพยายามกลั้นยิ้มกับความกล้าของเด็กหญิงแบคฮีที่ลั่นคำถามนั้นใส่เขาและอาจารย์ประจำห้องพยาบาล
“อ้อ!” อาจารย์ซูชักมือกลับพลางหัวเราะร่วน แม้เธอจะเป็นคนเฮฮาแต่การแตะต้องเพศตรงข้ามต่อหน้านักเรียนมันก็คงใช้ความตลกกลบเกลื่อนไม่ได้
“เสียงหัวเราะดังออกไปถึงข้างนอกเลย ถ้าคนอื่นมาเห็นเข้าอาจารย์ทั้งสองคนอาจถูกมองไม่ดีหรือเปล่าคะ?” ดูริมฝีปากกระจับตอนกำลังประชดประชันสิ ชานยอลสบตากับคนตัวเล็กที่กำลังคาดโทษเขาแม้ว่าเราจะไม่ได้ตอบโต้กันด้วยคำพูด
“ถือว่าโชคดีนะครับที่เป็นคุณสองคน ถ้าเป็นคนอื่นผมกับอาจารย์ซูคงลำบากแย่เลย” แบคฮีขมวดคิ้ว หัวเสียยิ่งขึ้นไปอีกเพราะน้ำเสียงเชิงทะเล้นของคนตัวโตที่ไม่ได้รู้สึกได้ถึงความผิดของตัวเองเลยสักนิด
“แต่ถ้าเป็นเรื่องก็ดีเหมือนกันนะ จริงไหมคะอาจารย์ชานยอล...” หญิงวัยสี่สิบหันไปขยิบตาใส่คนข้างตัว ชานยอลจึงชำเลืองมองคนตัวเล็กที่กำลังโมโหสุด ๆ สังเกตได้จากมือเล็กที่กำหมัดแน่นเหมือนอยากตุ๊ยท้องเขาเต็มที่
“ว่าแต่มาทำอะไรกันครับ มีเรียนคาบผมไม่ใช่เหรอ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามเด็กทั้งสองคนที่ไม่ควรยืนอยู่ใกล้กันมากถึงขนาดนั้น
“ผมมาขอยาแก้ปวด เดี๋ยวจะกลับสนามแล้ว”
“อ่า...” อาจารย์หนุ่มพยักหน้าช้า ๆ พลันหันไปสบตากับคนตัวเล็ก “แล้วคุณล่ะแบคฮี?”
“หนูไม่ได้เป็นอะไร”
“แค่พาเพื่อนมาขอยาเฉย ๆ สินะครับ?” เด็กสาวนิ่งไปครู่หนึ่งระหว่างดูท่าทีว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน “คุณต้องขอบคุณแบคฮีนะ เพราะไม่ใช่เพื่อนทุกคนที่จะใจดีแบบเธอ”
หมั่นไส้รอยยิ้มเฟค ๆ ของอาจารย์จัง ทั้งที่ความจริงคงอยากจับเธอนอนคว่ำลงบนตักแล้วฟาดก้นแรง ๆ จนแทบทนไม่ไหวแล้วล่ะสิ แบคฮีเบะปากใส่เจ้าของรางวัลออสการ์ที่ยังเล่นไม่เลิก พออาจารย์ซูเดินไปเอายาแก้ปวดให้เซฮุนเธอจึงขยับปากพูดแบบไม่มีเสียงว่า
‘ละคร’
และอาจารย์ก็ตอบกลับมาว่า
‘โดนแน่ครับ’
*
วิชาพละอาทิตย์แรกยังไม่เข้าสู่บทเรียนอย่างจริงจังแต่อาจารย์ก็เล่นเอาเด็ก ๆ หอบจนเหงื่อโทรมกาย ทรุดนั่งกับพื้นหญ้าโอดครวญไปตาม ๆ กัน แบคฮีคิดว่าผู้ชายคนนั้นแค่อยากแกล้งเธอ แต่เพื่อนร่วมห้องดันซวยโดนสั่งวิ่งรอบสนามไปด้วย จะนอยด์เรื่องพาเซฮุนไปห้องพยาบาลหรือไง ตัวเองปล่อยให้อาจารย์ซูถึงเนื้อถึงตัวแถมยังหัวเราะคิกคักกันขนาดนั้นต้องให้พูดไหมว่าบยอนแบคฮีหงุดหงิดแค่ไหน
“เขาเก็บกดมาจากไหนถึงได้เจิมวิชาแรกถึงสามรอบสนามแบบนี้” เด็กหนุ่มนอนกับพื้นหญ้าพลางหอบหายใจ เอาขวดน้ำที่มินซอกวางไว้ขึ้นมาราดใส่หน้าตัวเองก่อนจะยื่นให้เพื่อนข้างตัวที่รอดชีวิตจากการวิ่งมาได้
“อารมณ์ดีไปเถอะ...”
มินซอกวางกระเป๋าเป้ของเพื่อนทั้งสองคนลงแล้วก็อมยิ้มกับท่าทางของแบคฮีตอนจ้องคาดโทษอาจารย์ชานยอลที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พับฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทีสบาย ๆ
ไม่มีใครรู้ว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งแค่ไหน ซึ่งถ้าแบคฮีไม่เคยเล่าให้ฟังเธอก็คงเข้าใจว่าสนิทกันตามประสาศิษย์-อาจารย์ถึงได้แกล้งกันเล่นอยู่บ่อย ๆ
มินซอกไม่เคยเห็นอาจารย์ชานยอลใส่แว่นกันแดด อาจเป็นเพราะต้องสอนกลางสนามเขาจึงใส่ไว้เพื่อกันแสง แต่พอรู้จากแบคฮีว่าทั้งคู่กำลังเง้างอนกัน แว่นที่คิดว่าใส่กันแดดจึงดูกวนขึ้นมาทันทีเมื่ออาจารย์ชานยอลจงใจกดแว่นลงเพียงเล็กน้อยพร้อมยิ้มมุมปากขณะสบตากับแบคฮี
“อาจารย์งอนเธอแน่เลย” มินซอกกระซิบเพื่อให้ได้ยินกันเพียงสองคน ซึ่งคนตัวเล็กก็แค่แค่นยิ้มทั้งที่ยังจ้องอาจารย์หนุ่มในชุดวอร์มสีดำ
“ฉันก็งอนเขาเหมือนกัน”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า... อาจารย์ซูเป็นผู้หญิงตลก เธอคุยเล่นกับอาจารย์ผู้ชายอยู่บ่อย ๆ เธอก็รู้นี่”
“เธอไม่ได้ชอบเขาเธอก็พูดได้สิ” แบคฮีหันมาแว๊ดใส่ มินซอกจึงเอามือปิดปากกลั้นยิ้มแล้วพยักหน้า
ถึงจะเลิกก่อนเวลาแต่นาทีนี้ก็มีแค่ไม่กี่คนที่หอบสังขารกลับบ้านได้ ทั้งสามคนจึงนั่งอยู่บนพื้นหญ้าให้หายเหนื่อยจนเพื่อนทยอยกลับกันไปหมดแล้ว รวมถึงอาจารย์หนุ่มที่พับเก้าอี้สีขาวพร้อมถือแฟ้มรายชื่อกลับไปห้องพักครู
“กลับบ้านไปอาบน้ำนอนได้แล้ว” แบคฮีหันไปมองคนที่นอนทำหน้าหงอยอยู่ข้างตัวซึ่งกำลังส่งสายตาเหมือนลูกหมาอยากได้ความรักจากเจ้านาย
“ปวดหัว”
“ยังไม่หายอีกเหรอ งั้นลุกมากินยาอีกสองเม็ด” เซฮุนลุกขึ้นนั่งอย่างว่าง่าย เขามองคนตัวเล็กที่เอายาจากห้องพยาบาลออกมา ทั้งที่อาการปวดหัวอะไรนั่นมันไม่เคยเกิดขึ้นจริง
“ให้ฉันนั่งแท็กซี่ไปส่งไหม ยังไงก็ทางเดียวกัน” คงไม่ดีแน่ถ้าหากจะปฏิเสธความหวังดีของมินซอก อย่างน้อยถ้าจะโกหกก็ควรตบตาให้ถึงที่สุด เซฮุนจึงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า ไว้ค่อยไปตกลงกับมินซอกทีหลังตอนแยกกับแบคฮีแล้วกันว่าจะกลับเอง แต่ตอนนี้ขอเรียกคะแนนจากความสำออยก่อน
“ผมทิ่มหน้าทิ่มตาแล้ว ไม่คิดจะตัดหรือไง?” เซฮุนเป็นผู้ชายตรง ๆ มาตลอด และเขาไม่ชอบวิธีโกหกเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องพึ่งมันเพราะจนตรอกกับความรัก ซึ่งมันดันเสือกได้ผลดีเกินความคาดหมายเมื่อผู้หญิงใจร้ายกำลังดึงยางมัดผมออกมามัดให้เขาจนกลายเป็นทรงน้ำพุ
พอเป็นคนกวนตีนเอาแต่ใจแล้วจะถูกเมินใช่ไหม ก็ได้ โอเซฮุนก็อยากรู้เหมือนกันว่าการเป็นลูกหมาเชื่อง ๆ จะทำให้เขาหายใจไปได้นานสักแค่ไหน
“เดี๋ยวจะไปตัดเลย มินซอกพาฉันไปนะ”
“ไว้หายป่วยก่อนก็ได้มั้ง รีบมากเหรอ?” แบคฮีตบหน้าผากคนตัวโตเบา ๆ พอเห็นรอยยิ้มโง่ ๆ ของหมอนี่แล้วก็ดุไม่ลงเลย
“ฉันจะรีบกลับบ้านไปนอน จะส่งข้อความบอกเธอจนกว่าจะหลับด้วย”
“ฉันขอให้ส่งหรือไง ปิดเสียงมือถือแล้วนอนไปเลย”
“จ้า”
“ส่งให้ถึงหน้าบ้านนะมินซอก อย่าปล่อยไว้ข้างทาง” คนตัวเล็กหันไปสั่งกับเพื่อนสนิทเสียดิบดี ซึ่งคนป่วยปลอม ๆ ก็ได้แต่นั่งยิ้มแบบหงอย ๆ เพราะกลัวถูกจับโกหกได้
คุณได้รับข้อความจาก...
‘♥’
[ ไม่คิดว่านั่งใกล้เซฮุนไปหน่อยเหรอครับ? ]
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วมองอีกคนที่ละความสนใจจากเขาไปให้โทรศัพท์ในมือก่อนเธอจะหันซ้ายขวาราวกับกำลังมองหาใครอยู่ เซฮุนถอนหายใจกับเรื่องที่ทำให้เซ็งซ้ำ ๆ ซาก ๆ แต่ก็อ้าปากบ่นไม่ได้เพราะไม่มีสิทธิ์ตั้งแต่แรก ลึก ๆ ใจมันอยากกระชากโทรศัพท์มาดูให้รู้แล้วรู้รอดว่าใครกันที่ทำให้แบคฮีสนใจมันมากถึงขนาดนี้ เพื่อนที่ชื่อจงแดหรือไง ไม่... ต้องไม่ใช่แน่...
คุณได้รับข้อความจาก...
‘♥’
[ อย่าเมินผม ]
“ฉันว่าเรากลับกันเถอะเซฮุน” มินซอกเห็นท่าไม่ค่อยดีจึงชวนอีกคนกลับเผื่อว่าแบคฮีมีเรื่องต้องคุยกับอาจารย์ต่อ แต่เซฮุนกลับแสดงทีท่าว่ายังไม่อยากไปไหนเธอจึงลุกขึ้นดึงแขนเขา “เจอกันพรุ่งนี้นะแบคฮี”
“อือ”
“รีบกลับล่ะ อย่าไปเที่ยวไหนต่อนะ” เด็กหนุ่มยังแสดงความอาลัยอาวรณ์ อันที่จริงเขาอยากกลับพร้อมกันแล้วอ้างว่าไปหาญาติแถว ๆ นั้นแต่แบคฮีคงไม่เชื่อแน่ สุดท้ายเซฮุนจึงต้องยอมกลับแต่โดยดี
คุณส่งข้อความถึง...
‘♥’
[ หนูไม่ให้คำตอบอาจารย์แล้ว ]
เธอสะพายกระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืน กวาดสายตามองรอบตัวจนถึงบนอาคารเรียนที่คิดว่าใครสักคนอาจจะแอบมองอยู่ตรงนั้น
คุณได้รับข้อความจาก...
‘♥’
[ ผมรออยู่ห้องเก็บอุปกรณ์ในโรงยิม ]
คุณส่งข้อความถึง...
‘♥’
[ ช่างอาจารย์สิ หนูไม่สนหรอก ]
คุณได้รับข้อความจาก...
‘♥’
[ ก็ตามใจ ]
แบคฮีขมวดคิ้วหลังจากเห็นข้อความไร้เยื่อใยของผู้ชายคนนั้นที่ไม่เคยงัดไม้นี้ออกมาใช้กับเธอ
“ก็ตามใจงั้นเหรอ? เหอะ...” เด็กสาวแค่นหัวเราะแล้วเอามือถือขึ้นมาจ้องใกล้ ๆ ราวกับว่ามันเป็นตัวแทนของคนที่คิดจะลองดีกับเธอ “อยากเล่นสงครามประสาทใช่ไหม... ได้”
*
คนที่เคยเก่งเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้วพาตัวเองมาถึงยิมจนได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนแบคฮีคงกลับบ้านไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นและปล่อยให้อีกฝ่ายสำนึกจนเป็นคนต้องตามไปง้อเธอเอง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว แบคฮีดื้อได้ไม่เก่งเท่าเมื่อก่อนเลย เพราะแค่อาจารย์ไม่ยอมตอบข้อความ ไม่ยอมรับสาย คนที่เป็นเด็กดื้อจึงต้องลุกจากเก้าอี้ในห้องเรียนแล้ววิ่งมาที่โรงยิม
แบคฮีอยากให้คำตอบอาจารย์ เธออยากให้สถานะของเราชัดเจนแล้ว
ในยิมมีเด็กผู้ชายเล่นบาสกันอยู่ประมาณสี่-ห้าคน ตอนเดินเข้ามาก็ถูกมองอย่างประหลาดใจว่าผู้หญิงที่ไม่ได้สนใจกีฬามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร คนตัวเล็กเดินเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่แคบแต่ก็ไม่กว้างพร้อมกวาดสายตาไปรอบ ๆ ความเงียบในห้องเก็บอุปกรณ์กีฬาที่มีทั้งโต๊ะปิงปอง ตะแกรงใส่ลูกบาสและลูกวอลเล่ย์เก่า ๆ ไปจนถึงฟูกสีเขียวซึ่งวางซ้อนกันหลายชั้น
กลิ่นอับที่โรยตัวอยู่โดยรอบไม่ได้ทำให้ตรงนี้อึดอัดจนทนอยู่ไม่ได้ แบคฮีชะโงกหน้ามองหาอาจารย์หนุ่มที่เคยส่งข้อความบอกว่ารออยู่ที่นี่แต่ตอนนี้กลับไม่มีแม้แต่เงาให้เห็น
งอนจนกลับบ้านไปแล้วเหรอ?
เด็กสาวกัดริมฝีปากอย่างหวั่นใจ พอลองคิดดูแล้วคนที่สมควรงอนก็น่าจะเป็นอาจารย์มากกว่าที่เห็นเธอกับเซฮุนอยู่ด้วยกัน เพราะจากที่เห็นในห้องพยาบาล แบคฮีก็รู้แล้วว่าอาจารย์ซูก็แค่ลูบคลำไปอย่างนั้นไม่ได้มีนัยยะอะไร
แต่เธอก็แค่แกล้งเล่นเฉย ๆ ไม่ใช่หรือไง
คนตัวเล็กนั่งพิงกับฟูกสีเขียวแล้วก้มหน้าก้มตาจิ้มแป้นบนหน้าจอโทรศัพท์ พิมพ์ข้อความเชิงหยิ่ง ๆ เกือบหนึ่งบรรทัดแล้วก็ลบทิ้งเพราะกลัวอีกฝ่ายจะงอนหนักกว่าเดิม แต่จะยอมโอนอ่อนก็ไม่ได้ แบคฮีไม่อยากรู้สึกว่ากำลังแพ้เพราะไม่เคยทำแบบนี้กับใคร
ห้องเก็บอุปกรณ์มืดลงในเวลาพลบค่ำ คนตัวเล็กจึงแง้มประตูไว้เพื่อให้แสงไฟจากสนามบาสส่องเข้ามาแล้วกลับไปนั่งพิงฟูกสีเขียวระหว่างรอโทรศัพท์แต่ก็ไม่มีแรงสั่นสะเทือนจากสมาร์ทโฟนเลยสักครั้งเดียว
เด็กสาวรีบไปแอบหลบอยู่ด้านในเมื่อได้ยินเสียงเด็กผู้ชายใกล้เข้ามาทางนี้ แต่คนเหล่านั้นคงไม่ได้สนใจแล้วว่าผู้หญิงที่เดินหายเข้ามาในนี้เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหายไปไหน เพราะเพียงครู่เดียวทุกคนออกไปหลังจากเก็บลูกบาสใส่ตะแกรงพร้อมพูดคุยถึงเกมที่จะไปแข่งทัวร์นาเมนท์ในเร็ว ๆ นี้
สถานการณ์กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง และไม่มีแววว่าจะถูกเซอร์ไพรส์เหมือนตอนให้กุญแจบ้าน อาจารย์จะใจร้ายเกินไปแล้ว แบคฮีทั้งโกรธทั้งน้อยใจจึงเดินออกมาจากห้องเก็บของ แต่ร่างของเธอก็ถูกสวมกอดโดยคนใจร้ายที่หลอกให้รออยู่ตั้งนานสองนาน
“อยู่ ๆ ก็มีเด็กเข้ามาเล่นบาส ผมเลยออกไปข้างนอกก่อน เพราะถ้าคุณเดินเข้ามาตอนที่ผมรออยู่ข้างในคงถูกสงสัยแน่”
“...”
“กว่าพวกเขาจะเล่นเสร็จ หนูแบคฮีคงรอจนน้อยใจแย่แล้วใช่ไหม?”
คนที่คิดไปต่าง ๆ นานาซุกหน้าลงกับแผงอกแกร่งพร้อมทุบหลังคนที่กอดเธอไว้จนน้ำตาแทบไหลเพราะเรื่องบ้าอะไรก็ไม่รู้ ที่น้อยใจ โกรธ และกังวลก่อนหน้านี้หายเป็นปลิดทิ้งเพราะได้ฟังคำอธิบายที่มาพร้อมความอบอุ่น แบคฮีกำเสื้อวอร์มแน่นก่อนจะเปลี่ยนเป็นกอดจนไม่สนว่าอาจารย์จะเจ็บหรือไม่
เด็กดื้อทำผมดังโงะในชุดพละน่ารักเสียจนอยากรังแกแล้วค่อยโอ๋ทีหลัง ชานยอลผละอ้อมกอดออกแล้วโน้มลงไปจูบหน้าผากคนที่ช้อนตามองราวกับว่ากำลังออดอ้อนเขาอย่างไรอย่างนั้น
“หนูนึกว่าอาจารย์เซ็งจนหนีกลับบ้านไปแล้ว”
“ผมดูเหมือนคนใจร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ?” ชานยอลหัวเราะพลางโคลงศีรษะคนตัวเล็กก่อนจะปิดประตูห้องเก็บอุปกรณ์กีฬาและแบคฮีก็เปิดไฟฉายโทรศัพท์เพื่อให้ความสว่างอย่างรู้งาน เขาจึงอุ้มเธอขึ้นไปนั่งบนเบาะสีเขียวจนทำให้สายตาของเราอยู่ในระดับเดียวกัน
“หนูไม่เคยเดาใจอาจารย์ได้หรอก ขนาดตอนที่ส่งมาว่า ‘ก็ตามใจ’ หนูยังไม่รู้เลยว่าตอนนั้นอาจารย์กำลังคิดอะไร” ชายหนุ่มอมยิ้ม เขามองเสี้ยวหน้าของคนตัวเล็กที่สะท้อนกับแสงสว่างของไฟฉาย
“ผมไม่ใช่คนซับซ้อน ที่พูดไปก็เพราะหึงคุณ มันก็แค่นั้นเองครับ”
“หนูแค่พาเซฮุนไปห้องพยาบาล แต่มันคงฟังไม่ขึ้นใช่ไหม?” เพราะถ้าเป็นบยอนแบคฮี เธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเข้มแข็งและเชื่อใจอีกฝ่ายได้หรือไม่
“ผมบอกคุณแล้วไงว่าจะเชื่อในสิ่งที่คุณอยากให้เชื่อ”
“ต่อให้หนูจะโกหกเหรอ?”
“ครับ” ชานยอลเท้าสองมือลงบนเบาะพร้อมเลื่อนใบหน้าเข้าหาคนตัวเล็ก “ถ้าโกหกเพราะรัก ผมยอม”
เธอเข้าไปอ่านใจอีกฝ่ายไม่ได้ และการพยายามคาดเดาเอาเองมันคงเหนื่อยเปล่า แบคฮีไม่รู้เลยว่าที่อาจารย์พูดมานั้นล้วนแต่เป็นความจริงจากใจหรือแค่อยากพูดเอาใจเธอเท่านั้น
“ใคร ๆ ก็ชอบความจริงมากกว่าเรื่องโกหก อาจารย์ไม่ได้ต้องการอย่างนั้นหรอก”
“ถ้าผมอยู่ในจุดที่ต้องฟังคำโกหก นั่นหมายความว่าผมคงรักคุณมากจนไม่ต้องการความจริงแล้ว”
เสียงทุ้มต่ำที่กระซิบบอกเพื่อให้เธอได้ยินคนเดียวนั้นไม่ได้โรแมนติกเหมือนในหนังรักทั่วไป แบคฮียังคงถามตัวเองว่าอะไรที่ทำให้ผู้ชายคนนี้หลงรักเธอ และถ้าย้อนถามกลับว่าเพราะอะไรถึงหลงรักอาจารย์ เธอก็คงตอบไม่ได้เช่นกัน เราต่างไม่มีเหตุผลที่จะมีกันและกัน
“เพราะอาจารย์ไม่โทรบอกหรือส่งข้อความมา หนูก็เลยเข้าใจว่าคงถูกงอนไปแล้ว”
“โทรศัพท์ผมแบตหมดก็เลยชาร์จไว้กับที่ชาร์จสำรองในรถน่ะ” เขาจ้องตาคนตัวเล็ก “รออยู่ในที่มืดคนเดียว กลัวหรือเปล่าครับ?” เด็กผู้หญิงที่กำลังถูกปลอบด้วยความอ่อนโยนพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะหลับตาลงเมื่ออีกฝ่ายปลอบใจเธอด้วยปลายจมูกที่กดลงบนแก้ม “ไม่เป็นไรนะ พี่อยู่ตรงนี้แล้ว”
นึกย้อนไปถึงวันฝนตกหนักที่ร่างกายและหัวใจเปียกปอนไปด้วยน้ำตา วันนั้นคนที่เยียวยาบยอนแบคฮีได้ก็คืออาจารย์และวันนี้ก็เช่นกัน เด็กสาวกอดรอบคอคนตรงหน้า ซบแก้มลงกับไหล่กว้างที่อบอุ่นเสียจนคิดว่าคงไม่มีใครให้ความรู้สึกแบบนี้ได้อีก
“อาจารย์”
ชายหนุ่มผละตัวออกมาสบตากับคนตัวเล็ก ไม่มีแล้วเด็กแก่แดดที่ชอบพูดจาเพื่อเอาชนะหรืออาจารย์สอนพละที่ใช้ความเจ้าเล่ห์เงียบจัดการเธอ ตอนนี้มีเพียงคนสองคนที่รู้สึกตรงกัน และจะรู้สึกมากกว่านี้อีกเมื่อสถานะของเราชัดเจน
“กลัวเสียใจทีหลังไหมคะ?”
แบคฮีโอบแก้มอีกฝ่ายพร้อมสบตากันท่ามกลางความเงียบงันในห้องเก็บอุปกรณ์ มันต่างจากเมื่อหลายปีก่อนที่เธอรู้ตัวว่าใจตรงกันกับพี่จงอิน ซึ่งแน่นอนว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเหมือน ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติมุมมองต่อความรักหรือความรู้สึกเพราะตอนนี้บยอนแบคฮีได้โตขึ้นกว่าเมื่อวานแล้ว
“กลัวหนูจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของความผิดพลาดในชีวิตของอาจารย์หรือเปล่า?”
สุดท้ายความรักก็เล่นงานเด็กผู้หญิงคนนี้ได้สำเร็จ ตั้งแต่รู้ว่ารักอาจารย์... แบคฮีก็ไม่เคยมั่นใจในตัวเองเหมือนเมื่อก่อนอีก มันมีแต่ความกลัวว่าจะถูกเบื่อ กังวลว่าอาจารย์จะเปลี่ยนใจ ซึ่งเธอไม่รู้เลยว่ามีสิ่งไหนที่จะทำให้ความรู้สึกมั่นคงได้
“ผมกลัวไม่มีคุณในชีวิตมากกว่า”
“...”
“กลัวว่าวันหนึ่งคุณจะไม่อยู่ให้ผมรักแล้ว”
ชานยอลกุมมือที่โอบใบหน้าเขาไว้ มือของแบคฮีนั้นเย็นเฉียบเพราะความประหม่าในวินาทีที่หัวใจเราต่างก็เต้นแรงไม่แพ้กัน เขาเพียงยิ้มบาง ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าไม่มีอะไรต้องกลัวสำหรับความรักครั้งนี้ แม้ว่าเบื้องหน้ายังมีอุปสรรคอีกมากมายรออยู่
“หนูกำลังหัดทำอาหาร หัดใช้เครื่องดูดฝุ่นให้เก่งกว่านี้ อ้อ หนูล้างรถได้นะ เพราะฉะนั้น” แบคฮีเม้มริมฝีปากขณะสบตากับชายหนุ่มที่อมยิ้มเล็ก ๆ ระหว่างรอให้เธอพูดต่อ “หนูข้ามจากแฟนเป็นจองว่าที่ภรรยาในอนาคตเลยได้ไหม”
“...” ชานยอลนิ่งไปหลังจากได้ยินประโยคเมื่อครู่กระทั่งหลุดหัวเราะอย่างห้ามไม่ได้ คนที่พูดออกมาอย่างซื่อ ๆ ไม่ได้มีนัยยะแอบแฝงจึงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจว่ามีอะไรตลก
“ขำอะไร หนูจริงจังนะ”
“ยังไม่จบมอปลายก็เตรียมจะเป็นเจ้าสาวแล้วเหรอครับ?” เขาดึงแก้มนุ่มนิ่มอย่างเอ็นดู จนถึงตอนนี้แบคฮีก็ยังขมวดคิ้วราวกับไม่เข้าใจว่าเธอพูดผิดตรงไหน
“จองไว้ไง เดี๋ยวเรียนจบแล้วจะรีบไปขอ”
“แพงนะครับ จ่ายไหวไหม?”
“อือ แค่ไหนก็สู้” คนตัวเล็กถอดสร้อยเส้นเล็กสีดำที่มีลูกกุญแจห้อยอยู่ออกมาวางลงบนมืออีกฝ่าย ชานยอลจึงเลิกคิ้วสงสัย “หนูมัดจำไว้ก่อน”
“ด้วยสร้อยกับกุญแจดอกนี้เหรอครับ?” เขาหัวเราะ
“ใช่ หนูใส่ให้นะ” แบคฮีจับอีกคนให้ยืนหันหลังซึ่งคนเป็นอาจารย์ก็ขยับตัวตามโดยไม่ขัดใจ ชานยอลถอยหลังเข้าตรงกลางระหว่างขาของคนตัวเล็กระหว่างเธอแกะตะขอสร้อยใส่ให้กับเขา
“เอาไว้ไขอะไรครับ ผมจะโดนเอาคืนให้ไปหาคำตอบเองหรือเปล่า?” หลังจากใส่เสร็จเรียบร้อยเด็กสาวจึงกอดรอบคอชายหนุ่มที่เรียกว่าคนรักได้อย่างเต็มปาก แบคฮีเกยคางลงบนไหล่กว้างพร้อมหอมแก้มฟอดใหญ่ เอาใจคนอายุมากกว่าที่หัวเราะในลำคอเบา ๆ พร้อมเอื้อมมือขึ้นมาลูบศีรษะเธอไปด้วย
“เพราะอาจารย์เข้าบ้านหนูจากประตูหน้าไม่ได้ หนูก็เลยให้กุญแจประตูระเบียงแทน”
“เอามาแลกกับกุญแจบ้านผมเหรอ?” เขาหันไปสบตากับคนตัวเล็กที่มองมาอย่างออดอ้อน ก่อนทั้งคู่จะจุ๊บปากกันแล้วคลอเคลียปลายจมูกเบา ๆ
“ความจริงถ้าอาจารย์มาหาหนูก็จะรอเปิดประตูให้ แต่ถ้าอาจารย์เข้าได้เองโดยไม่ต้องรอมันก็ดูพิเศษไปอีกแบบนะ...”
“ครับ โดยเฉพาะวันที่หนูหลับอยู่ในชุดนอนไม่ได้นอน...”
“ชอบลูกไม้ล่ะสิ...”
“ชอบจนอยากฉีกให้ขาดคามือเลย...” เด็กสาวย่นจมูกใส่คนที่คิดลามกไม่ต่างจากเธอ “ลองใช้คืนนี้เลยดีไหมนะ?”
“มาสิ นอนกอดหนูจนเช้าแล้วค่อยกลับบ้านอาบน้ำไปโรงเรียน” เขาชักจะอยากรู้แล้วว่าแบคฮีเคยทำเสียงงุ้งงิ้งแบบนี้กับคิมจงอินหรือเปล่า ทั้งร้ายปนน่ารักน่าหยิก
“งั้นกลับบ้านกัน”
ชานยอลย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อให้คนตัวเล็กขี่หลัง แบคฮียิ้มกว้างอย่างกลั้นไม่อยู่หลังจากใจตรงกันและทุกอย่างยังคงแฮปปี้มาจนถึงนาทีนี้ จนกระทั่ง...
แกร่ก...
“เดี๋ยว” แบคฮีลงจากหลังอาจารย์แล้วเข้าไปช่วยเปิดประตู แต่พอดันออกไปก็ได้ยินเสียงโซ่ล็อกจากข้างนอกซึ่งมันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าความสุขของบยอนแบคฮีจะไม่มีวันราบรื่นไปจนสุดทาง
“อ่า... ผมว่าภารโรงคงเข้ามาล็อกเพราะไม่รู้ว่าเราอยู่ข้างใน”
“อะไรนะ?”
“เขาหูไม่ค่อยดีน่ะ ผมไม่รู้ว่าควรดีใจดีไหม เพราะถ้าเขารู้ว่าเราอยู่ข้างในกันสองต่อสองเรื่องคงบานปลายไปกันใหญ่”
“เราต้องโทรเรียกคนมาช่วย อาจารย์มีเบอร์ลุงภารโรงไหม?”
“มีครับ แต่โทรศัพท์ผมชาร์จแบตอยู่ในรถน่ะสิ”
“...”
“...”
ทั้งสองคนจ้องหน้ากันท่ามกลางความว่างเปล่าที่รู้สึกเหมือนมีเสียงกาบินผ่านบนศีรษะไป ในหัวมีแต่คำถามว่าจะทำยังไงดี เพราะจะพังออกไปก็ไม่ได้ “ให้หนูโทรตามมินซอกมาช่วยดีไหม ไม่สิ... เพราะต่อให้มาถึงก็เปิดไม่ได้ คงต้องให้ไปตามลุงภารโรง”
“คุณจะตอบยังไงถ้าเกิดถูกถามว่าทำไมเราสองคนถึงอยู่ด้วยกันเงียบ ๆ จนเขาไม่รู้ว่ามีคนอยู่ในนี้” อ่า... จริงด้วย
“แล้วเราต้องติดแหงกอยู่ที่นี่เหรอ หนูรู้สึกอึดอัดขึ้นมาแล้วนะ มันทั้งเงียบทั้งมืด” แบคฮีเงยหน้าขึ้นมองไปรอบตัว มีเพียงช่องระบายอากาศเล็ก ๆ เท่านั้นที่ทำให้แสงของดวงจันทร์ลอดผ่านเข้ามาช่วยไฟฉายจากมือถือ “แบตหนูใกล้จะหมดแล้วด้วย ทำไงดีคะ?”
“ใจเย็นก่อนครับ” ชานยอลบีบจมูกรั้นเบา ๆ พลางเงยหน้าขึ้นมองไปรอบตัว ถอนหายใจกับสถานการณ์ตอนนี้ที่ขยับไปทางไหนก็ไม่ได้ ทุกอย่างมันเสี่ยงไปหมด “เราจะอยู่กันที่นี่จนเช้า พอลุงภารโรงมาไขกุญแจแล้วค่อยแอบออกไปทีหลังแบบนั้นจะปลอดภัยมากที่สุด”
“หมายความว่าเราต้องอยู่ที่นี่จนเช้าเหรอคะ?”
“ครับ เพราะงั้นหนูโทรไปบอกป้าแม่บ้านเลยว่าจะค้างกับมินซอก เค้าจะได้สบายใจ”
ตอนนั่งรออาจารย์มันไม่น่าอึดอัดมากเท่าตอนที่รู้ว่าต้องอยู่ตรงนี้ไปจนถึงเช้า เด็กสาวช้อนตามองรอยยิ้มของคนตรงหน้าซึ่งคงอยากให้เธอสบายใจและผ่อนคลายกับสถานการณ์ในเวลานี้ แบคฮีจึงกดโทรหาป้าแม่บ้าน คุยกันไม่นานก็วางสาย
“มานี่ครับ” คนใจเย็นถอดเสื้อวอร์มแล้วยื่นมือออกมา เขายืนอยู่ข้างฟูกสีเขียวอีกแถวซึ่งวางซ้อนกันต่ำกว่า เธอจึงคว้ามืออีกคนเอาไว้แล้วนั่งลงด้วยกันก่อนจะเอนศีรษะซบกล้ามแน่น ๆ “หนาวไหม?”
“หนูอยากอาบน้ำจัง คนบางคนแกล้งให้หนูวิ่งจนเหนียวตัวแล้ว” ได้ฟังคำพูดคำจาปนน้อยใจแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ชานยอลคลุมเสื้อวอร์มให้คนตัวเล็กพลางโน้มลงไปจูบศีรษะเธอแล้วกระชับกอด
“ถ้าง่วงก็หลับเลยนะครับ จะได้ตื่นมาทีเดียวตอนเช้าเลย”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลานอนของหนู ยังหลับไม่ลงหรอกค่ะ”
“งั้นหนูนอนเวลาไหนคะ?”
แบคฮีเงยหน้าขึ้นเอามือป้องปากกระซิบหูคนตัวโต “ตอนที่อาจารย์บอกว่า ‘คิดถึงนะครับ’ ก่อนวางสาย...”
“ดึกเลยนะครับเวลานั้น” ชานยอลลูบศีรษะคนตัวเล็กเบา ๆ เขาจะไม่พูดถึงเรื่องหิวเพราะมันค่อนข้างเป็นคำถามจิตวิทยาที่อาจทำให้กระเพาะทำงานทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘หิว’
“ยังหึงอยู่ไหมคะ?”
“หมายถึงเรื่องเซฮุนเหรอ? ครับ ผมหึง”
“ดีกันนะ” เป็นคนขี้อ้อนมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ชานยอลเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อจู่ ๆ คนที่นั่งกอดเข่าอยู่ข้างตัวก็ช้อนตามองอย่างมีความหมาย ก่อนจะค่อย ๆ ดันให้เขานั่งพิงหลังกับเบาะสีเขียวที่วางซ้อนกันสูงกว่า
CUT
(WELCOME TO MALINWORLD)
ตลาดฟิควันที่ 4 มีนาคมฟิคเรื่องนี้อยู่บูธ D10-11 นะ เล่าให้ฟังเสย ๆ
ความคิดเห็น