คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : CHAPTER 10 :: Rain
CHAPTER 10
RAIN
หลังจากผ่านไปร่วมเดือน แผลของชานยอลก็ดีขึ้นตามลำดับจนหายดี และแบคฮยอนก็ได้ซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ให้เพราะเครื่องเก่าพังไปพร้อม ๆ กับอุบัติเหตุเมื่อคราวนั้น ชานยอลลำบากใจที่จะรับไว้ แต่สุดท้ายก็ต้องตามใจคนอายุมากกว่าอยู่ดี
อดที่จะยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นเจ้าเด็กยักษ์ยืนบ่นอุบอิบอย่างเสียดาย กับเรื่องสภาพการใช้งานของมือถือเครื่องเก่าที่คงใช้ได้อีกหลายปี และรูปมากมายที่ไม่เคยเอาลงคอมพ์ มันน่าเสียดายแค่ไหนกับความทรงจำที่ย้อนกลับไปช่วงเวลานั้นไม่ได้ จึงมีรูปถ่ายไว้คอยให้นึกถึง
แบคฮยอนยังจำแววตาซื่อ ๆ ของชานยอลได้ ตอนเจ้าตัวรวบรวมความกล้าเพื่อขอรูปที่เคยถ่ายกับเขาเมื่อตอนเราไปสวนสนุกด้วยกัน ใช่ มันมีแค่นั้นแหละ สีหน้าเด็กตัวสูงในชุดนักเรียนตอนกำลังมองมาอย่างขลาดอายนั่นน่าเอ็นดูน้อยเสียที่ไหนกัน แบคฮยอนไม่ได้อยากใจร้ายหรอกนะ แต่เขาก็เลือกโกหกไปว่ามันหายไปหมดแล้วตอนล้างเครื่อง ถ้าอยากได้รูปก็มาถ่ายด้วยกันใหม่แล้วกัน ซึ่งชานยอลก็ไม่ได้งอหน้าอย่างเสียดาย กลับกันแล้วเจ้าเด็กนั่นยังทำหน้าตื่นราวกับไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ก่อนที่ใบหน้าและหูทั้งสองข้างจะขึ้นสีจัด
เขาพาเด็กหนุ่มไปหัดขับรถในวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งเจ้าเด็กยักษ์ก็เรียนรู้ได้เร็วและอ้างว่าพอมีเซนส์อยู่บ้างจากเกมตู้ที่ชอบไปเล่นกับเพื่อน จนอดแซวไม่ได้ว่า ‘ชอบ’ ที่ว่าเนี่ย เคยไปกับเพื่อนสักกี่ครั้งกัน
แบคฮยอนไม่ชอบตัวเองเวลารู้สึกแบบนี้นัก กับการที่เขานึกถึงเด็กคนนั้น และเป็นฝ่ายเริ่มทักไปก่อน แม้ชานยอลจะไม่พูดถึงและยกเรื่องนี้มาแซวให้ต้องรู้สึกเสียฟอร์ม แต่เขาก็รู้แก่ใจดี
การหักห้ามใจ การพยายามทำให้ความรู้สึกคงที่ มันเป็นเรื่องยากเกินกว่ามนุษย์คนหนึ่งจะทำได้ แม้ว่าบยอนแบคฮยอนจะพยายามแล้ว แต่สุดท้ายพอได้เห็นหน้าเจ้าเด็กยักษ์ ความตั้งใจที่พยายามจะถอยก็กลับไปเป็นศูนย์ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ทั้งตัวเขาและอีกฝ่ายต่างก็ไม่อยากหันหลังให้กัน เราจึงไม่พูดถึงเรื่องนั้น และใช้เวลาอยู่ด้วยกันเหมือนปกติในความไม่ปกติ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความซื่อ ความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือเปล่าที่ทำให้เด็กคนนั้นน่าเอ็นดูถึงขนาดนี้ แบคฮยอนเริ่มกลัวตัวเองเข้าไปทุกที กับความรู้สึกที่มันเริ่มเพิ่มมากขึ้นเพราะสิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออก และสิ่งที่ทำให้แม้ไม่ได้ร้องขอ
หากไม่รู้สึกอะไรเลยก็อาจจะดีกว่านี้ แต่มันก็แค่ความคิด เมื่อบยอนแบคฮยอนรู้สึกไปแล้ว และมันทำให้เขาต้องนั่งทบทวนตัวเอง ว่าที่เป็นอยู่คือความชั่ววูบ เพราะระยะห่างที่เขากับจูฮยอนมีต่อกันหรือเปล่า บยอนแบคฮยอนถึงได้เริ่มเอนเอียงไปทางเด็กอายุสิบเก้าเข้าไปทุกที
เขาก็แค่มนุษย์คนหนึ่งที่ยังมีความรัก โลภ โกรธ หลง จึงเอนเอียงไปตามสิ่งเร้าที่เข้ามามีผลกระทบต่อชีวิต แต่เพราะยังมีความผิดชอบชั่วดีค้ำคออยู่ แบคฮยอนจึงแสดงออกได้ไม่มากนัก แม้ว่าจะอยากใช้เวลาอยู่กับชานยอลมากขึ้น แต่พอคิดอย่างนั้น... หน้าเบจูฮยอนก็ลอยเข้ามาในความคิด เพื่อย้ำบอกว่าเธอไม่ได้ผิด และเขาอาจจะแค่เผลอใจไปกับสิ่งแปลกใหม่ที่เข้ามาทำให้ใจเต้น
แบคฮยอนพร่ำบอกตนเองอยู่ทุกครั้งที่หัวใจมันเริ่มเดินหน้าความคิด ว่าชานยอลยังเด็ก และเขาก็คงเหงาจนอยากได้รับการเติมเต็ม แต่พอผ่านไปอีกสักพัก ทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไป
ไม่มีอะไรแน่นอน ใช่ เขารู้ สักวันหนึ่งชานยอลอาจจะเริ่มมองหาคนอื่นก็ได้ ส่วนตัวเขาก็ต้องย้ำคิดให้ดี ว่าขนาดจูฮยอนที่คบกันมาเป็นสิบปียังรู้สึกห่างเหินถึงขนาดนี้ ความรู้สึกที่เขากับชานยอลมีต่อกันมันก็อาจจะจางลงไปสักวันหนึ่งก็ได้ และพอคิดอย่างนั้น ความกังวลก็เพิ่มมากขึ้นจนผู้ชายวัยสามสิบสี่คิดไม่ตกว่าจะจัดการกับความรู้สึกตนเองอย่างไร มีเรื่องราวมากมายที่ต้องคิดและละเลยไปไม่ได้
แต่พอเป็นเรื่องหัวใจ เขาก็ไม่อยากวิ่งหนีมันเหมือนกัน
“รอนานไหมครับ?”
แบคฮยอนส่ายหน้าเป็นคำตอบ ถ้าหากบอกว่า ‘นาน’ ก็กลัวรอยยิ้มที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าเด็กคนนี้จะหายไป คนตัวเล็กลุกขึ้นยืน พร้อมแย่งกระเป๋าเป้หนัก ๆ มาสะพายให้ระหว่างที่ชานยอลกำลังหันไปโบกมือลาเพื่อนร่วมงานในร้านกาแฟ
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างตกใจ พลางมองไปยังไหล่บางและยื่นมือไปหวังจะขอคืน แต่เขาก็ต้องยืนนิ่งเหมือนถูกสาปเป็นหิน เมื่อคุณแบคฮยอนเข้ามาติดกระดุมเสื้อเม็ดบนให้ ในสายตาคนรอบข้างตอนนี้ ปาร์คชานยอลคงเป็นเด็กประถมที่กำลังได้รับการดูแลจากผู้ปกครอง แต่ก็ดีเหมือนกันที่ไม่มีใครระแคะระคายใจ จนรู้สึกได้ว่าหัวใจของเด็กคนนี้มันเต้นแรงแค่ไหนเวลาอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้
“ยิ้มหวานเชียวนะ”
“ครับ?”
“ไม่ชวนกลับบ้านด้วยกันเลยล่ะ ฉันจะได้แวะไปส่งด้วย” ชานยอลเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ มองตามแผ่นหลังคนอายุมากกว่าที่เดินนำหน้าไปโดยไม่หันมาเลยสักนิด และพอไม่ได้ยินคำตอบ เจ้าตัวจึงหันกลับมาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“...ครับ?”
“ฉันกำลังพูดถึงเด็กผู้หญิงที่ชอบเธออยู่”
“อ๋อ จื่อวี” เด็กหนุ่มยิ้มพลางหันกลับเข้าไปในร้าน ตอนนี้เด็กสาวยังง่วนอยู่กับบัญชีที่พี่เซฮุนขอให้ช่วย “เดี๋ยวพ่อเธอมารับน่ะครับ คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
แบคฮยอนขมวดคิ้ว มองคาดโทษเจ้าเด็กยักษ์ที่พูดจาซื่อ ๆ ออกมาได้อย่างน่าหงุดหงิด ที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้คือห่วงเด็กผู้หญิงคนนั้นหรือไง ตลกแล้วมั้ง “เธอนี่มัน...”
“ครับ? โอ้ย!” ชานยอลยืนห่อไหล่ กระพริบตาปริบ ๆ พลางลูบแขนตนเอง เมื่ออยู่ ๆ คุณแบคฮยอนก็ฟาดมาอย่างแรงเสียอย่างนั้น “ตีผมทำไมครับ”
“บอกให้ทำอะไรก็จะทำตามหมดเลยใช่ไหม?”
“มันไม่ดีเหรอครับ” เด็กหนุ่มมองตามอีกฝ่ายที่เดินนำไปก่อนอีกแล้ว เขาจึงต้องเร่งฝีเท้าให้ทัน “เดี๋ยวนี้คุณเริ่มใช้กำลังกับผมแล้วนะ แถมมือหนักด้วย ข้างในต้องแดงแน่ ๆ เลย”
“ก็เธอชอบทำให้ฉันหงุดหงิด” ดูทำเข้า นั่นคือท่าทางของคนเจ็บหรือไง ทำเป็นลูบขงลูบแขน ฟาดอีกสักทีดีไหม
“คุณก็บอกสิครับว่าผมทำอะไรผิด ไม่ใช่ตีเสร็จแล้วก็เดินหนี แบบนี้ผมก็ไม่รู้น่ะสิ” เด็กหนุ่มว่าพร้อมเดินตามต้อย ๆ “ที่ผมทำตามทุกอย่างก็เพราะไม่อยากขัดใจคุณนะ”
“แม้แต่เรื่องที่ฉันจะไปส่งเด็กผู้หญิงที่ชอบเธอน่ะเหรอ” แบคฮยอนอ้อมไปยืนอยู่ข้างประตูรถฝั่งคนขับ เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เจ้าเด็กซื่อบื้อจะหลุดยิ้มออกมา “อะไร?”
“คุณ... เหมือนกำลังหึงผมเลยครับ”
“ย่าห์ ปาร์คชานยอล ตบปากตัวเองไปสามทีเลยนะ” คนถูกจับได้ถึงกับถลึงตามอง แต่เด็กตัวสูงกลับอมยิ้มแล้วตบปากตนเองอย่างเต็มใจ
“ผมมันสมควรโดนตีจริง ๆ ด้วย เดี๋ยวแถมให้อีกสองทีนะครับ นี่แน่ะ” แบคฮยอนได้แต่มองเจ้าเด็กยักษ์ที่เบิ้ลตบปากตัวเองหวังจะกวนประสาทเขา ชี้หน้าคนอายุน้อยกว่าอย่างเอาเรื่องก่อนจะเข้าไปในรถ
“เดี๋ยวนี้ชักจะเอาใหญ่แล้ว”
“ผมจะทบทวนตัวเองครับ” คนตัวเล็กถอนหายใจหนัก ๆ กับคำตอบที่มาพร้อมศีรษะที่ก้มค้างไว้ เขาหันไปมองเด็กหนุ่มที่แอบเงยหน้าขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่จะยีผมเพราะเอ็นดูและมันเขี้ยว ชานยอลไม่แม้แต่จะแกะมือเขาออก หนำซ้ำยังถูศีรษะตนเองราวกับลูกหมาอีก
“เหมือนบัดดี้เลย”
“งั้นคุณก็ต้องปฏิบัติกับผมให้เท่าบัดดี้นะ”
“พูดอะไรของเธอเนี่ย นั่นหมานะ” แบคฮยอนยิ้มขำ แต่เจ้าเด็กยักษ์กลับอมยิ้ม
“เป็นบัดดี้ดีจะตายครับ”
รถยังคงเคลื่อนตัวไปบนถนนในเวลาค่ำคืน ฝนกำลังตก... ชานยอลรู้สึกดีที่มันตกลงมาตอนที่เขากับคุณแบคฮยอนอยู่ในรถด้วยกัน คนตัวเล็กหันไปทางเด็กหนุ่มเป็นระยะ มองเสี้ยวหน้าเด็กคนนั้นที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ซึ่งแน่นอนว่ามันดีกว่าตอนที่เจ้าตัวเอาแต่พูดคำว่า ‘ขอโทษ’ พร้อมสีหน้าหงอย ๆ
“ยังไงล่ะ?” ชานยอลส่ายหน้าไม่ยอมตอบคำถาม จนกระทั่งรถจอดไฟแดง แบคฮยอนจึงเท้าแขนไว้กับพวงมาลัยก่อนจะหันเข้าหาเด็กตัวสูง “เมื่อยแก้มแล้วมั้ง เอาแต่ยิ้มอยู่ได้”
เด็กหนุ่มยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม เมื่อถูกมือคนอายุมากกว่าทาบลงบนแก้มพร้อมสายตาที่มองมากะเอาให้ตาย คุณแบคฮยอนต้องมีเวทย์มนตร์แน่ ๆ เขาเชื่ออย่างนั้น ชานยอลจับมือเย็นเฉียบเอาไว้ก่อนจะเปลี่ยนเป็นประคองไว้หลวม ๆ คนตัวเล็กพิงศีรษะลงกับท่อนแขนที่พาดอยู่กับพวงมาลัย โดยที่ยังไม่ละสายตาจากเด็กหนุ่มที่กำลังช่วยให้ความอุ่นกับมือเขาด้วยการพ่นไอร้อนลงไป
“อุ่นแล้วครับ”
ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูด มันทำให้เด็กคนนี้น่ารักจนอดยิ้มไม่ได้ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาเฝ้าดูเด็กคนนี้มาตั้งแต่อายุสิบสี่ ตอนนั้นปาร์คชานยอลตัวสูงแค่ปลายคางเขาเอง จมูกก็โด่งขึ้น สันกรามก็เห็นชัด นึกแล้วก็ตลกดี ที่วันนั้นเราเดินสวนกันในโรงเรียน แต่ชานยอลไม่รู้เลยว่าผู้ชายคนนี้แหละที่เพิ่งรับอุปการะเจ้าตัวและน้องสาว
เราเจอกันโดยที่อีกฝ่ายไม่เคยรู้ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ชานยอลกับเพื่อน ๆ นั่งติวกันก่อนสอบในแมคโดนัล แบคฮยอนไปตามโลเกชั่นที่อีกฝ่ายแชร์มา นั่งมองอยู่ห่าง ๆ ด้วยความเอ็นดูและภาคภูมิใจในความขยัน จนได้เกรดเฉลี่ยสวย ๆ มาอวดเขาทุกเทอม
แบคฮยอนเห็นการเจริญเติบโตของเด็กคนนี้มาตลอด
“อุ่นไหม?”
เขาทาบมือลงบนแก้มเด็กหนุ่มอีกครั้ง ชานยอลอมยิ้มอย่างขลาดอายพร้อมพยักหน้าเป็นคำตอบ ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ผู้คนมากมายไม่ว่าจะเป็นพนักงานกินเงินเดือนหรือนักเรียน ต่างกำลังวิ่งหาที่หลบฝนพร้อมกอดตนเองคลายความหนาว แต่ยกเว้นในรถยนต์คันนี้ ...ที่อบอุ่นทั้งร่างกายไปจนถึงหัวใจ
.
.
หญิงสาวชุดสีม่วงทั้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน แม้ว่ากลิ่นโรงพยาบาลจะไม่สดชื่นเท่าข้างนอก แต่มันก็ดีกว่ากลิ่นคาวความเป็นความตายของคนไข้ที่อยู่ในมือเธอ ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์รอดน้อย แต่สุดท้ายเธอและทีมแพทย์ก็ทำสำเร็จ
จูฮยอนไม่สนใจว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว เธอเพียงแค่ทอดสายตามองไปยังผนังสีขาวด้านหน้าเพื่อให้สมองและร่างกายได้พักผ่อน เมื่อช่วงเช้าเธอใช้เวลาอยู่กับแบคฮยอน ช่วงบ่ายวิ่งวุ่นอยู่ในแผนกฉุกเฉิน และผ่าตัดเคสรถชนยาวมาจนถึงตอนนี้
ตลกสิ้นดีที่เธอรู้สึกว่าอยู่ที่ไหนก็กดดันเหมือนกัน แต่จะต่างกันแค่ตรงที่เธอไม่ต้องช่วยให้บยอนแบคฮยอนรอดพ้นจากความตายเหมือนคนไข้ ตั้งแต่เบจูฮยอนจมกับเรื่องความเปลี่ยนแปลงระหว่างเธอและคนรัก กับเรื่องงานแต่ง การใช้ชีวิตในแต่ละวันของเธอก็เต็มไปด้วยความกังวล
เธอรู้ว่ากำลังพยายามจนดูฝืน ซึ่งแบคฮยอนเองก็เช่นกัน และมันคงไม่ผิดที่เราทั้งคู่อยากทำให้มันดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เราแคร์กันมาก ใช่ แต่ก็นั่นแหละ... ขึ้นชื่อว่า ‘พยายาม’ เมื่อไหร่ ก็คงรู้สึกถึงความกระอักกระอ่วนได้ไม่ยากเลย
เราไม่ได้มีเซ็กส์กันมาสักพักแล้ว ไม่แม้แต่จะนั่งซบ คลอเคลียกันอย่างเสน่หา ไม่ใช่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการ แต่เราทั้งคู่ก็แค่นั่งกินข้าว คุยกันเรื่องทั่วไปเหมือนปกติ รวมไปถึงเรื่องตีมงานแต่งว่าอยากได้แบบไหน ซึ่งแบคฮยอนก็ตอบมาว่า ‘ตามใจเลย’
บอกตามตรงว่าเบจูฮยอนไม่มีไอเดียอยู่ในหัวสักนิด บางทีถ้าเจ้าวิศวะบ้านี่คิดจะช่วยกันคิดอะไรบ้างก็คงดีหรอก อดไม่ได้จึงเอื้อมมือไปตบหัวอย่างแรง เล่นเอาคนนั่งกินข้าวอยู่ถึงกับถลึงตามองคาดโทษ ง้างมือขึ้นทำท่าจะตบหัวเธอคืนบ้าง
นั่นแหละ สุดท้ายเราทั้งคู่ก็ตกลงตีมงานแต่งกันยังไม่ได้
“ยังไม่กลับอีกเหรอคะหมอเบ”
“อ้อ ยังหรอก คุณจะกลับแล้วใช่ไหม ขับรถดี ๆ นะ” หญิงสาวยิ้มทักทายอินเทิร์นที่หยุดอยู่ตรงหน้าเธอ
*Intern = แพทย์จบใหม่
“ค่ะ หมอเองก็อย่ากลับดึกมากนะคะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” จูฮยอนพยักหน้าก่อนอีกฝ่ายจะโค้งศีรษะบอกลา
‘การแต่งงานคือการประสบความสำเร็จในชีวิตนะลูก อย่าให้แบคฮยอนต้องรอนานเลย’
ใครกันที่บอกว่าชีวิตเป็นของเรา ตราบใดที่ยังใช้ชีวิตอยู่บนความหวังของคนเป็นพ่อเป็นแม่ เบจูฮยอนก็ไม่รู้เลยว่าจะใช้ชีวิตให้มีความสุขได้อย่างไร ในเมื่อต้องแบกรับความต้องการของคนรอบข้างเอาไว้ มากกว่าความฝันตนเอง
นึกแล้วก็ตลกดี ขอโทษที่ตอนนี้เธอไม่รู้สึกเลยว่าแบคฮยอนกำลังรออยู่ แม้เจ้าตัวจะเป็นฝ่ายบอกว่าแม่หาร้านชุดแต่งงานไว้ให้แล้ว ถ้าว่าง ๆ ก็อยากให้เข้าไปเลือกชุดด้วยกัน ซึ่งตอนนั้นเธอก็แค่พยักหน้าตกลง ก้มหน้าก้มตาให้ความสนใจกับจานอาหาร เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังทำหน้าแบบไหน
เบจูฮยอนจะบอกอีกฝ่ายอย่างไร ว่าเธอยังไม่มีความพร้อมกับเรื่องนี้เลย
“...!!!”
หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกถึงความเย็นที่แนบอยู่กับแก้มข้างซ้าย พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าเรียบเฉยของหมอรุ่นพี่ที่ใช้เวลาทำงานอยู่ในห้องเดียวกันมาร่วมครึ่งวัน
“เหม่อไปถึงไหน?”
“ฉันคิดว่ารุ่นพี่กลับไปแล้วซะอีก”
“กำลังจะกลับ แต่พอดีผ่านมาเห็นเธอนั่งอยู่ตรงนี้เลยแวะดูสักหน่อย” ชายวัยกลางคนนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ รุ่นน้อง พร้อมเปิดฝากระป๋องเครื่องดื่มให้ จูฮยอนโค้งศีรษะเล็กน้อย เธออดยิ้มไม่ได้กับน้ำใจที่ผู้ชายนิ่ง ๆ กำลังหยิบยื่นให้
“ฉันว่าจะค้างที่นี่น่ะค่ะ”
“หืม? วันนี้เวรของหมอคังไม่ใช่หรือไง?”
เธอพยักหน้า ก่อนจะหันมาสบตากับอีกฝ่าย “ฉันไม่อยากกลับคอนโด มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย”
“ก็ว่าอย่างนั้น เพราะพักนี้เธอดู...” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเพ่งมองดวงหน้าขาว พร้อมกระดิกนิ้วชี้ระดับจมูกเธอ “เครียด”
“พี่ดูออกด้วยเหรอคะ?” เธอหลุดขำออกมา
“ฉันไม่ได้เก่งแค่เรื่องดูอาการคนไข้ด้วยตาเปล่าหรอกนะ” จูฮยอนส่ายหน้าพลางยิ้มขำ เธอดื่มน้ำผลไม้ที่อีกฝ่ายให้มา แล้วปล่อยให้ความเงียบโดยรอบทำงาน “ปัญหาหัวใจหรือไง”
“โธ่ พี่คะ ช่างฉันเถอะน่า” หญิงสาวพูดอย่างอ่อนใจ พลางมองใบหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่ายที่แฝงไปด้วยความกวนเล็กน้อย “กลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันก็หายแล้ว”
“เห็นพยาบาลคุยกันว่าเธอกำลังจะแต่งงาน กังวลเรื่องนี้อยู่หรือเปล่า?”
“อ๊า ให้ตายเถอะ” หญิงสาวหลับตาพลางถอนหายใจหน่าย ๆ ไม่ต้องนึกเลยว่าใครเป็นคนกระจายข่าวนี้ นอกจากโกพาดา พยาบาลสาวท้องแก่ที่เธอเข้าไปขอคำปรึกษาเรื่องชีวิตคู่ เพราะเห็นว่าท้องลูกคนที่สองแล้ว และเธอก็ยังทำงานอยู่โรงพยาบาลได้โดยไม่มีปัญหาครอบครัว
“ใช่สินะ”
“ค่ะ เรื่องนั้นแหละ” สุดท้ายก็ต้องยอมรับอย่างอ่อนใจ ทำเอาคนฟังถึงกับหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “ตลกมากเหรอคะ”
“ผู้หญิงมั่นใจในตัวเองกำลังมีเรื่องที่คิดไม่ตก เห็นจุดอ่อนเธอแล้วก็ตื่นเต้นพิลึก”
“ย่าห์ ทุกคนก็ต้องมีมุมนี้กันทั้งนั้นแหละ พี่ก็เหมือนกัน ติดแค่ว่าฉันไม่รู้” เธอแค่นหัวเราะขณะมองหน้าอีกฝ่าย
“ก็ผีเฝ้าโรงพยาบาลอย่างเธอเอาแต่สนใจคนไข้ จะไปรู้เรื่องของคนอื่นได้ยังไง” ชายหนุ่มส่ายหน้าหน่าย ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน จูฮยอนเบิกตากว้างเมื่ออยู่ ๆ รุ่นพี่ก็ดึงมือเธอให้ลุกขึ้นด้วย
“อะไรคะ?”
“เข้าไปเปลี่ยนชุดไป เดี๋ยวฉันจะรออยู่ตรงนี้”
“ฉันบอกพี่ไปแล้วนี่คะว่าจะค้างที่--”
“ไป – เปลี่ยน – ชุด”
ชายหนุ่มถลึงตาพร้อมกดเสียงลงต่ำ จูฮยอนขยับปากบ่นพร้อมชักมือกลับแต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อย คนถูกดุถึงกับถอนหายใจหนัก ๆ จริงอยู่ที่รุ่นพี่เป็นคนเด็ดขาด และชอบดุพวกอินเทิร์นที่ทำตัวไม่ถูกเวลาเจอเคสใหม่ ๆ แต่นั่นมันคือตอนเวลางานเท่านั้น
มีแค่ไม่กี่คนที่ออกคำสั่งกับเธอได้ หนึ่งคืออาจารย์สมัยเรียนหมอ สองคือรุ่นพี่ แม้แต่พ่อกับแม่ยังต้องขอความสมยอมจากเธอก่อนเลย แต่ที่ตลกกว่านั้นคือ ตอนนี้เบจูฮยอนยืนอยู่หน้าล็อกเกอร์ และเปลี่ยนกลับเป็นชุดลำลองเรียบร้อยแล้ว
เพียงครู่เดียวหญิงสาวก็ออกมาพร้อมมวยผมที่คลายออก จูฮยอนมองไปยังชายวัยกลางคนซึ่งนั่งอยู่ที่เดิม และเธอก็ชะลอฝีเท้าลง
“ฉันนึกว่าพี่กลับไปแล้วซะอีก”
“ก็บอกว่าจะรอ ไม่ถึงสิบห้านาทีก็ลืมแล้วหรือไงหมอเบ” บอกตามตรงว่าเธอหมั่นไส้ใบหน้ามึน ๆ ของรุ่นพี่เสียจริง ยิ่งตอนมองมาเหมือนไม่มีอะไร แต่ที่จริงกำลังตั้งใจกวนประสาทเธอน่ะ
“ฉันจอดรถอยู่ชั้นห้า พี่ล่ะคะ?”
“จอดรถเธอไว้ที่นี่แล้วกัน ฉันจะไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันขับกลับเป็นปกติอยู่แล้ว” หญิงสาวโชว์พวงกุญแจในมือ
“ดูสภาพตัวเองบ้างสิเบจูฮยอน ตาเธอทำท่าจะปิดทุกครั้งที่กระพริบตาอยู่แล้ว ฉันไม่อยากรีบกลับเข้าโรงพยาบาลทั้งที่ยังไม่ถึงบ้านเพราะมีเคสฉุกเฉิน แล้วเห็นเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้”
“หน้ารุ่นพี่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันหรอกค่ะ” หญิงสาวจิ๊ปาก ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่ออีกฝ่ายคว้ากระเป๋าไปถือให้ “รุ่นพี่?”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันจะแวะไปรับ เธอจะได้ไม่อ้างอีกว่าเดี๋ยวนั่งแท็กซี่มาเอง”
ชายหนุ่มพูดแค่นั้น ก่อนจะเดินนำหน้าไปโดยที่ไม่หันมาถามความสมัครใจจากเธออีก จูฮยอนขยับปากบ่นอุบอิบ สุดท้ายเธอก็ต้องรีบวิ่งตามไปอย่างปฏิเสธไม่ได้
.
.
“คืนนี้ไม่ได้เหรอ?”
( ต้องเป็นพรุ่งนี้จริง ๆ ครับ มันดึกมากแล้ว แถมฝนยังตกหนักอีก เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมรีบออกไปลากรถให้เลย )
“อา... ให้ตายเถอะ”
แบคฮยอนสบถอย่างหัวเสียหลังจากวางสายช่างซ่อมรถ ถอนหายใจหนัก ๆ ไปกับเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นในคืนวันฝนตก ซึ่งนั่นก็คือการติดแหงกอยู่ในออฟฟิศเพราะรถดันเสียขึ้นมา ชายหนุ่มหันกลับไปมองรถคู่ใจ งมโข่งดูอาการมันมาเกินครึ่งชั่วโมงแล้วแต่ก็ไม่รู้เลยว่าปัญหามันอยู่ที่ตรงไหน
ฝนก็ตกโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่าย ๆ แบคฮยอนคว้าสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูอีกครั้งเพื่อเข้าโปรแกรมแชท ไม่รู้ว่าตอนนี้ชานยอลหลับไปแล้วหรือยัง เพราะหลังจากที่เขาบอกว่าจะลองดูอาการรถด้วยตนเอง ก็ไม่ได้ตอบกลับไปอีกเลย
‘เดี๋ยวนะครับ’
คนตัวเล็กหลุดยิ้มกับแชทล่าสุดเมื่อยี่สิบห้านาทีที่แล้ว เขาต่างหากที่ควรพูดอย่างนั้นเพราะเป็นฝ่ายทิ้งให้อีกฝ่ายรอ เอาเถอะ ชานยอลอาจจะไปอาบน้ำเพื่อเตรียมเข้านอน เพราะตอนนี้ก็เกือบตีหนึ่งแล้ว
แบคฮยอนเปิดประตูหลังแล้วคว้าเอากระเป๋าเอกสาร คืนนี้คงไม่มีที่ไหนน่านอนไปกว่าออฟฟิศ แล้วค่อยกลับคอนโดไปอาบน้ำตอนสาย ๆ แต่ยังไม่ทันกลับเข้าไปด้านในก็ต้องหยุดฝีเท้า เมื่อเห็นว่ามีใครคนหนึ่งกำลังวิ่งลงมาจากทางลงลานจอดรถพร้อมร่มอีกหนึ่งคัน
คน ๆ นั้น... ที่สร้างความประหลาดใจให้เขาอยู่เสมอ
“เมื่อกี้ผมไปหน้าออฟฟิศล่ะครับ แต่ประตูปิดเลยไม่รู้จะเข้าทางไหน บังเอิญจังเลยครับที่เห็นคุณอยู่ที่นี่”
“ก็ฉันรถเสีย จะให้ไปอยู่ไหนล่ะ”
“อ่า... นั่นสินะครับ” เด็กหนุ่มตัวสูงในชุดกาเกงขายาวกับเสื้อไหมพรมแขนยาวสีขาวกำลังเกาท้ายทอยแก้เขิน
“กางร่มยังไงให้ตัวเปียก” แบคฮยอนส่ายหน้าหน่าย ๆ จับแขนเสื้อที่ชุ่มน้ำฝนเล็กน้อย ก่อนจะหยุดสายตาอยู่กับเสื้อสีดำที่เด็กหนุ่มกอดอยู่แนบอก
“ผมเอามาให้ครับ อากาศข้างนอกมันหนาว คุณชอบใส่แค่เสื้อเชิ้ตมาทำงาน ผมไม่อยากให้คุณป่วยอีก”
เด็กหนุ่มวางร่มลง แล้วคลุมเสื้อแขนยาวสีดำลงบนไหล่บาง เขาเห็นว่าคุณแบคฮยอนดูเก้ ๆ กัง ๆ นิดหน่อย อาจเป็นเพราะไม่คุ้นชินเวลาเป็นฝ่ายได้รับการดูแล แต่นั่นก็ทำให้คนตัวเล็กน่ารักไปอีกแบบ
“ตอนแรกกะว่าจะนอนออฟฟิศแล้ว”
“กลับไปนอนคอนโดดีกว่าครับ ที่นี่ไม่มีเตียง คุณทำงานมาเหนื่อย ๆ ควรพักผ่อนให้เต็มที่ เดี๋ยวผมไปส่งเอง” ชานยอลหยิบร่มขึ้นมา
“จะนั่งไปนั่งกลับหลายเที่ยวทำไมกัน ดูนาฬิกาบ้างไหม นี่มันกี่โมงแล้วหื้ม?”
“ผมชอบนั่งรถตอนฝนตก คุณจะว่าผมลงจริง ๆ เหรอ ผมจะเสียใจนะ” แบคฮยอนแค่นหัวเราะ ชำเลืองมองเด็กอายุสิบเก้าที่พูดออกมาพร้อมทำตาปริบ ๆ เห็นอย่างนั้นจึงผลักไหล่ไปเบา ๆ
ทั้งคู่เดินกางร่มไปด้วยกันจนถึงป้ายรถเมล์ ท่ามกลางกระแสฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก แน่นอนว่าร่มคันเดียวไม่สามารถกันฝนให้คนสองคนได้ ฉะนั้นชานยอลจึงเอนร่มไปทางคนตัวเล็กจนไหล่ข้างซ้ายของตนเองเปียกโชกไปด้วยฝน
“ไม่มีแท็กซี่เลย” เป็นเพราะฝนตกหนัก จึงไม่มีแท็กซี่วิ่งผ่าน วินาทีนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่ารถเมล์แล้ว ชานยอลมองคนข้าง ๆ ด้วยความเป็นห่วง เขาอยากให้คุณแบคฮยอนพักผ่อนเร็ว ๆ จะได้มีเวลานอนเพียงพอ “นั่งรถเมล์กันนะครับ”
“ได้สิ” เด็กหนุ่มกางร่มให้คนตัวเล็กขึ้นไปก่อน ส่วนเขาค่อยหุบร่มแล้วตามขึ้นไป ชานยอลแตะบัตร T-Money แล้วตรงไปนั่งข้าง ๆ คุณแบคฮยอน กำมือแน่นพลางนั่งห่อไหล่กับความหนาวเย็นบนรถเมล์
“ยิ่งกว่าลูกหมาตกน้ำอีก หนาวจนสั่นเลย ดูสิ?” ถ้าเปียกแล้วจะได้ยินอีกฝ่ายแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยแบบนี้ ชานยอลก็คิดว่าการเปียกฝนมันก็คุ้มค่าเหลือทน เด็กหนุ่มพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ให้นั่งตัวสั่นไปจนถึงปูซานก็ยอม “ข้างในใส่เสื้อซ้อนอยู่หรือเปล่า?”
“ครับ ผมใส่เสื้อยืดด้วย”
“งั้นถอดตัวนี้ออกมา” คนอายุน้อยกว่าทำตามอย่างว่าง่าย พอหันไปอีกทีก็เห็นว่าคุณแบคฮยอนกำลังถอดเสื้อแขนยาวตัวนอกออก แล้วห่มตรงช่วงอกให้กับเขา “ห้ามเป็นหวัดนะ”
“นี่เป็นคำสั่งเหรอครับ”
“คิดว่าเป็นประโยคขอร้องหรือไง”
“อะไรก็ได้ทั้งนั้นครับ ผมชอบจัง” ดูพูดเข้าสิ ขอเปลี่ยนคำพูดได้ไหมว่าเจ้าเด็กยักษ์เป็นคนซื่อ ๆ บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าที่จริงแล้วปาร์คชานยอลอาจจะแกล้งทำ เพื่อให้เขาตกหลุมพรางก็ได้
ชานยอลอมยิ้ม ความหนาวเย็นของน้ำฝนคงสู้ความอบอุ่นในใจเด็กผู้ชายอายุสิบเก้าไม่ได้เลยสักนิด เมื่อคุณแบคฮยอนกำลังยีกลุ่มผมที่เปียกน้ำของเขา พร้อมเอาผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กออกมาช่วยซับหน้าให้
“น่าอายจังเลยครับ ทั้งที่ผมเอาเสื้อตัวนี้มาให้คุณแท้ ๆ”
ชานยอลเอาแต่ยิ้ม แบคฮยอนจึงขยับตัวนั่งยืดหลังตรงแล้วโอบเด็กตัวสูงให้เอนศีรษะลงมาซบกับไหล่ของเขา ซึ่งเจ้าเด็กยักษ์ก็ไม่มีท่าทีขัดขืน ไม่แม้แต่จะปัดมือออกเพื่อแสดงความแมนให้เขาเห็น
“ไหล่คุณอุ่นเหมือนฮีตเตอร์เลยครับ”
“ตัวเธอก็เย็นเป็นน้ำแข็งเหมือนกัน”
ได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่เอาแต่หัวเราะในลำคอ ถ้าหากนี่คือการเอาใจคนอายุมากกว่าอย่างเขา ก็ขอให้รู้ไว้เลยว่าปาร์คชานยอลทำสำเร็จแล้ว “คุณครับ ผมมีอะไรจะให้”
แบคฮยอนมองศีรษะทุย ก่อนจะเลื่อนระดับสายตาไปที่มือใหญ่ของเด็กหนุ่มที่กำไว้ตรงระดับหัวไหล่ของเขา แม้จะงุนงงอยู่เล็กน้อย แต่คนตัวเล็กก็แบมือออกมา และวันนี้หัวใจของผู้ชายวัยสามสิบสี่ก็เต้นแรงอีกครั้ง เมื่อชานยอลค่อย ๆ คลายมือออกแล้วทาบลงกับฝ่ามือเขา ก่อนจะสอดประสานเรียวนิ้วกันในวินาทีถัดมา
“เธอนี่นะ...”
TBC
เด็กยักษ์มันแผนสูงนะคะหัวหน้า
ความคิดเห็น