คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
บทนำ
เสียงพ่อค้าตะโกนขายของประสานกันเสียจนแยกไม่ออกว่าดังมาจากร้านไหน
แผงลอยหลากหลายวางเรียงกันล่อตาล่อใจชาวบ้านที่เดินผ่านหยิบจับเงินในถุงออกมาใช้จ่าย
ฝีเท้าสุขุมย่างก้าวไปตามถนนเส้นเล็กอย่างใจเย็น วันนี้อากาศดีมากกว่าเมื่อวานเสียอีก
“ขโมย!!!
ช่วยด้วย!!! จับหัวขโมยไว้ที!!!”
เสียงดังมาจากด้านหลัง...
จากจิตวิญญาณไหวพริบความฉลาดหลักแหลมแล้ว เขาก็นึกออกได้ทันทีเลยว่าต้องมาจากโรงเตี๊ยมเป็นแน่
ภายใต้หมวกฟางที่ปกปิดสายตา
ชายหนุ่มยกยิ้มอย่างชอบใจก่อนจะยื่นแขนออกไปเพื่อหยุดโจรห้าร้อยทั้งที่ไม่หันไปมอง
“อั่ก!!!”
ต้องไม่ได้มาแค่หนึ่ง
“อ๊าก!!!”
หลังจากจัดการรายแรกจนหงาย เจ้าของร่างสูงก็หมุนตัวสองรอบก่อนจะตวัดปลายเท้าลากไปกับพื้นจนโจรรายที่สองม้วนตัวหลายตลบจนตกลงไปคลุกฝุ่น
“ถ... ถอยไปน่า! อย่าแส่หาเรื่อง!”
โธ่... ช่างเป็นคำขู่ที่สั่นเครือเหมือนหมูเพิ่งคลอดลูกเสียจริง
ท่ามกลางสายตาชาวบ้านที่มองมาอย่างหวาดหวั่นเมื่อเห็นมีดในมือโจรห้าร้อย ดวงตาขลาดเขลาเพ่งมองเจ้าของร่างสูงที่เคยไหวตัวอย่างคล่องแคล่วแม้ว่าจะสะพายสัมภาระไว้ข้างหลัง
อีกทั้งยังจัดการไอ้สองตัวนั้นจนล้มง่าย ๆ ทั้งที่มีหมวกฟางปกปิดสายตา
“วางถุงเงินกับไหลง
แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
เสียงทุ้มต่ำกล่าวอย่างใจเย็น คนฟังถึงกับเลือดขึ้นหน้าหลังจากได้ยินประโยคเมื่อครู่
เขามีมีดเป็นอาวุธ แต่ไอ้หมอนี่กลับขู่ทั้งที่มีเพียงมือเปล่างั้นหรือ
จะอวดดีเกินไปแล้ว
“ข้าจะนับถึงสอง
เพราะข้าไม่ชอบเลขสาม”
“หุบปากน่า
ข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายเตือนเจ้า ยื่นขายื่นแขนเข้ามายุ่งแบบนี้คงอยากเหลือแค่วิญญาณไปสอบสินะ!”
“สายบู๊ด้วย บอกไว้เผื่อไม่รู้” ปลายนิ้วชี้ไปยังดาบคู่ใจที่อยู่ข้างเอว
ข่มขู่โจรห้าร้อยด้วยคำพูดแทนที่จะก้าวเข้าไปสับมือกลางต้นคอให้หลับเข้าเฝ้าพระอินทร์
เสียงกลืนน้ำลายดังกว่าเสียงไก่ร้องบนแผงขายของเสียอีก
ชายหนุ่มหมวกฟางจิ๊ปากอย่างขัดใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมทำตามจนทำให้เสียเวลา
ปลายนิ้วยาวกระดิกสั่งให้ยอมจำนน
มันคงดีกว่าถ้าตอนนี้จะมีเสียงปรบมือพร้อมคำเชยชมให้แก่ว่าที่จอหงวน
หมายเหตุ: จอหงวน คือ การสอบเข้าเป็นข้าราชการ มีทั้งฝั่งบู๊และบุ๋น
“ฝันไปเถอะ!”
เพล๊ง!!!
“ไอหยา!!!” ชาวบ้านที่อยู่รอบข้างต่างเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อไหโบราณที่เคยตั้งโชว์ในโรงเตี๊ยมถูกเขวี้ยงอัดกำแพงจนแตกละเอียดคาตาก่อนโจรห้าร้อยจะใช้จังหวะนั้นวิ่งหนี แต่ชายหนุ่มที่ฝึกมาอย่างดีเพื่อสอบจอหงวน การไล่ตามโจรกระจอกเช่นนี้จึงเป็นเรื่องง่ายยิ่งนัก
หมวกฟางถูกถอดออกจนเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลา
อวดโฉมจนสาวน้อยใหญ่หัวใจเต้นระส่ำหวั่นไหว
ดวงตาคมเพ่งมองตัวต้นเหตุที่ริอาจเป็นภัยกับบ้านเมือง
ก่อนจะเขวี้ยงหมวกฟางตามหลังจนกระแทกกับท้ายทอยอย่างจังจนไถลล้มไปข้างหน้า
“จับมันไว้!!!”
“ไอ้หัวขโมย!!!”
“ไม่ใช่ จับไอ้เจ้าของหมวกฟางนั่น
มันยั่วโมโหจนโจรเขวี้ยงไหของข้าแตก!!!”
“เดี๋ยว... มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ
ใจเย็น ๆ ก่อน ข้าคนดีไง”
ชายหนุ่มทาบมือกับหน้าอกตนพร้อมตบเบา ๆ
สองทีเพื่อบอกให้รู้เจตจำนงว่าที่ทำไปทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร
“จับมันไว้!!!”
“ข้าช่วยพวกเจ้าไว้นะ
ข้าคือวีรบุรุษ -- เดี๋ยวก่อน!!!” พยายามอธิบายพร้อมยกมือปราม
แต่ชาวบ้านทั้งสี่ก็ตรงเข้ามาหมายจะเอาเรื่องให้ได้
ชายหนุ่มเห็นท่าไม่ดีจึงหมุนตัววิ่งหนีพร้อมสัมภาระหนัก ๆ บนหลัง
หลบรองเท้าเสี่ยวเอ้อจากโรงเตี๊ยมที่เขวี้ยงมาติด ๆ กันถึงสามข้างได้อย่างหวุดหงิด
ให้ตาย! ทำดีไม่ได้ดี!
หลังจากวิ่งพ้นประตูเมืองแล้วชายหนุ่มที่เคยยืนต่อสู้กับโจรทั้งสามได้อย่างสบาย
ๆ ก็ต้องหยุดค้ำมือกับหัวเข่าเพื่อหอบหายใจ นัยน์ตาคมหันมองไปด้านหลังอีกครั้งเพื่อดูว่ายังมีคนสติฟั่นเฟือนวิ่งตามล่าเขาแทนที่จะเป็นโจรสามคนนั้นอยู่หรือไม่
และสุดท้ายก็ได้คำตอบเป็นความว่างเปล่า
จะบ้าเรอะ! ผู่ชานเลี่ย ผู้นี้เคยยั่วโมโหใครเพื่อทำลายด้วยหรืออย่างไร
ชาวบ้านขลาดเขลาเหล่านั้นคงไม่รู้จักวิธีหว่านล้อมเพื่อไล่ต้อนให้โจรจนมุมใช่ไหมถึงได้ตีโพยตีพายไม่รู้จักวีรบุรุษกับภัยบ้านเมือง
เหอะ! ถึงว่า... ไม่ได้เป็นจอหงวนกันก็เพราะแบบนี้ไง
แต่ไม่มีหมวกฟางแล้วก็ดีเหมือนกัน
อันที่จริงก็อึดอัดอยู่ไม่น้อยที่ต้องสวมมันเพื่อทำให้ภายนอกดูน่าเกรงขาม ชายหนุ่มสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าเข้าปอดเอาฤกษ์เอาชัย
เอาเถอะ อย่างน้อยโจรสามตัวนั้นก็ทำให้ผู่ชานเลี่ยได้ซ้อมมือก่อนถึงสนามจริง
เสียงนกยามเช้าดังเจื้อยแจ้วจนทำให้ป่ารอบข้างไม่ดูสงบจนเกินไป
อีกเพียงสามสิบลี้เท่านั้นก็จะถึงเมืองหลวงและนั่นหมายความว่าเขากำลังเดินเข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกที
การสอบจอหงวนคือความฝันของชานเลี่ย
แต่มันก็ขัดใจปู่ที่มักจะทำตาเขียวใส่พร้อมบอกว่า
‘อย่าคิดที่จะสอบจอหงวนเด็ดขาด’
ไม่เข้าใจว่าทำไม เหตุใดปู่จึงขัดขวางนัก
จริงอยู่ที่ภาพลักษณ์ภายนอกของการเป็นจอหงวนอาจจะดูฟู่ฟ่า มีหน้ามีตาเป็นที่รู้จัก
แต่สิ่งที่ผู่ชานเลี่ยต้องการมันไม่ใช่สิ่งเหล่านั้น
จุดประสงค์ของเขาล้วนแต่เป็นเพราะอยากใช้ความสามารถที่ตนมีทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง
และแน่นอนว่าการมาสอบครั้งนี้...
ปู่ไม่รู้
เดินทางข้ามเขาไปเพียงลูกเดียวก็หยุดพักเติมน้ำข้างริมธาร
กวักน้ำล้างหน้าพร้อมตบท้ายทอยปุ ๆ เรียกเอาความสดชื่นก่อนจะเงยหน้ามองผาสูงซึ่งมีต้นไม้เขียวขจีประดับให้ความงดงาม
เขายังพอมีเวลาเหลือเพราะเมื่อคืนตื่นเต้นจนแทบไม่ได้หลับนอน
ส่งผลให้ต้องลุกขึ้นมาเตรียมตัวออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด
ชายหนุ่มคว้าเอาสัมภาระขึ้นสะพายหลังอีกครั้งเพื่อออกเดินทาง
กระโดดก้าวข้ามผ่านก้อนหินเล็กใหญ่ด้วยทักษะที่คนทั่วไปทำไม่ได้ ทุกอย่างในวันนี้ดูดีไปหมดยกเว้นตอนโดนเสี่ยวเอ้อปารองเท้าใส่
เสบียงระหว่างทางนั้นช่างเรียบง่าย ซึ่งนั่นก็คือหมั่นโถแข็ง
ๆ หนึ่งก้อนที่ผู่ชานเลี่ยเคยยัดเข้าปากเคี้ยวแล้วกลืนลงคอได้โดยไม่ต้องฝืนใจ ชายหนุ่มเป็นคนอยู่ง่ายกินง่ายเลี้ยงง่ายเหมือนจิ้นฝู
อาชาคู่ใจที่เขาเป็นคนช่วยปู่ทำคลอดเมื่อหลายปีก่อน
ซวบ!
ครั้นจะอ้าปากกัดหมั่นโถวคำแรกก็ต้องหยุดชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงพงหญ้าขยับ
มือข้างที่ว่างอยู่คว้าดาบเตรียมพร้อมถ้าหากว่ามีหมีป่าหรือเสือสักตัวออกมาหาเรื่องให้ถลกหนังไปขายพ่อค้าทำพรมให้เศรษฐีฟู่ฟ่า
ภายในเสี้ยววินาทีอันสั้น ผู่ชานเลี่ยได้จินตนาการไปจนถึงตอนใช้มีดแล่หนังสัตว์แล้วหาที่ซ่อนไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
คาดว่าขากลับจากสอบคงได้แวะแบกมันเข้าเมืองได้ ถ้าเป็นเสือตัวใหญ่ ราคาคงทำให้ปู่ทึ่งในฝีมือเขาเป็นแน่
ซวบ!
“มาเลยไอ้หนู...” ริมฝีปากหยักยกยิ้มอย่างไม่กลัว ชายหนุ่มค่อย ๆ
ชักปลายดาบออกมาจนได้ยินเสียงเสียดสีกับปลอก
หากแต่สิ่งที่คลานออกมาจากพงหญ้ากลับไม่ใช่เสือหรือหมีป่าอย่างที่จินตนาการไว้ เมื่อเห็นร่างบุรุษนายหนึ่งทรุดตัวล้มลงอย่างหมดแรง
“อ... อึ่ก”
ร่างสั่นเทากำลังมองมาทางนี้พร้อมดวงตาที่กระพริบช้า
ๆ ราวกับว่าอยากขอความช่วยเหลือ
มือของชายหนุ่มยังคงจับด้ามดาบเอาไว้ขณะจ้องมองภาพตรงหน้า
พินิจว่าเหตุใดชายที่แต่งกายดูดีเช่นนั้นจึงมาอยู่ที่แบบนี้ตามลำพังได้
“ช่วย...” ริมฝีปากสั่นเครือขยับพูดจนแทบไม่ได้ยินเสียง
พร้อมมืออาบเลือดที่เอื้อมมาตรงหน้า
การเพิกเฉยเมื่อเห็นคนกำลังเดือดร้อนนั้นไม่ใช่วิสัยของผู่ชานเลี่ยเลยสักนิด
แต่นั่นก็ต้องไม่ใช่ตอนที่มีสอบจอหงวนในอีกไม่กี่ชั่วยามข้างหน้า ชายหนุ่มหันซ้ายขวาอยู่ในที
ก่อนจะรีบเข้าไปประคองร่างคนเจ็บขึ้นพร้อมสำรวจหาบาดแผลเพื่อหาต้นเหตุ
“เจ้าเป็นอะไร
เหตุใดจึงบาดเจ็บเช่นนี้?”
“ข... ข้า... ถูกทำร้าย...” เสียงนั้นแหบพร่า ชานเลี่ยมองรอยขาดบนเครื่องแต่งกายที่ทำจากผ้าเนื้อดี
ก่อนจะเห็นรอยแผลร้อนซึ่งถูกปิดด้วยผ้าเช็ดหน้าสีขาว จนลายปักดอกบัวสีชมพูอ่อนถูกเลือดสีดำกลบทับจนแทบไม่หลงเหลือความงาม
“เจ้าต้องพิษงั้นหรือ?” คนถูกถามพยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะคว้าเสื้อเขาเอาไว้
“สมุนไพร...”
“...?”
“สมุนไพร... ช่วย...
ไปหาสมุนไพรป่าให้ข้าที... แค่ก!!”
ชานเลี่ยถึงกับกุมขมับ กลอกตาล่อกแล่กกับการถูกไหว้วานซึ่งมาพร้อมเวลาสอบที่บีบเข้ามาทุกที
เขาเป็นคนดีแต่นั่นก็ก่อนที่จะมีสอบจอหงวน
แล้วในป่ารอบข้างก็กว้างใหญ่จนไม่รู้ว่าจะมีสมุนไพรซ่อนอยู่กี่ชนิด
ชายหนุ่มจำได้ว่าเมื่อตอนย่ายังอยู่
ท่านมักจะเข้าป่าเพื่อหาสมุนไพรมาต้มแทนเหล้าในตอนที่อยากให้ปู่เลิกดื่ม แต่ก็นั่นแหละ...
ตอนนั้นผู่ชานเลี่ยแอบไปล่ากระต่ายป่ากับเพื่อน
“ข้าก็อยากช่วยเจ้าหรอกนะ
แต่ตอนนี้ข้าไม่ได้มีเวลามากถึงขนาดนั้น
เอาเป็นว่าเดี๋ยวข้าจะช่วยประคองเจ้าไปนั่งพิงกับต้นไม้ต้นนั้น
คาดว่าไม่เกินชั่วยามคงมีชาวบ้านนั่งรถม้าผ่าน”
หมั่บ!
“...”
ชานเลี่ยหลุบสายตามองมือที่กำเสื้อเขาไว้แน่นราวกับอยากจะบอกโดยไม่ต้องพูดว่า ‘ข้าไม่เห็นด้วยกับวิธีของเจ้า’ ชายหนุ่มมองมือที่สั่นไปจนถึงริมฝีปาก ก่อนจะเห็นหยดน้ำใสที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่นั้น
“ได้โปรดช่วยข้าสักครั้ง...
แล้วข้าจะไม่ลืมบุญคุณเลย”
“มันไม่ใช่เรื่องของบุญคุณน่ะสิ
ข้าต้องไปสอบจอหงวน” เขาพยายามอธิบายเหตุผล
แต่อีกฝ่ายก็เอาแต่ส่ายศีรษะ “เจ้าคงคิดว่าข้าฉลาดบุ๋นสินะ ไม่
คิดใหม่ได้เลย เพราะข้ากำลังจะไปสอบบู๊ ข้าจะเป็นทหารคอยปกป้องเมืองนี้
ไม่ใช่คนที่จะเปิดตำราศึกษาพืชพรรณธรรมชาติว่าสมุนไพรชนิดไหนขึ้นในป่า แค่คิดภาพตัวเองตอนเดินเข้าไปก็คงใช้เวลาเป็นวันแล้ว
อีกอย่าง... ข้าก็ไม่รู้ด้วยว่าจะเจอสมุนไพรที่เจ้าต้องการหรือไม่”
และนั่นหมายความว่าต่อให้พยายามอย่างไรเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี
นี่แค่คิดในใจนะ ถ้าพูดออกไปตรง ๆ ผู่ชานเลี่ยก็คงดูเป็นคนใจม้ายส้ายระกำจนเกินไป
“ในป่าไผ่... มันมี...
มีสมุนไพรสีเหลืองที่เกิดอยู่ใกล้ ๆ ตอไม้... ห... หน้าตามันเหมือนกลีบกล้วยไม้ดิน...
พอได้มาแล้ว... ตำ... ให้มันแหลก... ได้โปรด... ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว”
โธ่...
แต่ข้าก็จะไปสอบไม่ทันแล้วเช่นกัน...
“ช่วยข้าด้วยเถิด... ท่านจอหงวน”
คำขอร้องปนตำแหน่งที่ยังไม่ได้รับทำให้คนฟังหัวใจฟูฟ่องขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
จากที่เคยอยากทิ้งให้อยู่กลางทางอยู่ ๆ ผู่ชานเลี่ยก็นึกอยากเป็นคนดีขึ้นมา
แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นชายหนุ่มก็ส่ายศีรษะไล่ความคิด เขาจะหลงไปกับคำอ้อนวอนเหล่านี้ไม่ได้
หากไปไม่ทันสอบโอกาสที่รอมานานก็ต้องเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์
แต่ใบหน้าซีดเผือดคล้ายจะหมดลมอยู่รอมร่อก็ทำให้สมองฝ่ายดีตะโกนทำงาน
ว่าถ้าหากผู่ชานเลี่ยเพิกเฉยต่อประชาชนเช่นนี้แล้วในอนาคตจะเป็นจอหงวนที่ดีได้อย่างไร
แต่ถ้าหากพลาดจนไปสอบไม่ทันการเป็นคนดีคราวนี้ก็ต้องยืดเวลาไปอีกสามปีเพื่อรอสอบอีกทีคราวหน้า
และแน่นอนว่าเขาคงอดใจรอไม่ไหว
“ขอโทษด้วย”
ชายหนุ่มกัดฟันวางร่างคนเจ็บลงบนผืนหญ้าก่อนจะกระชับสัมภาระบนหลังแล้วก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ลังเลใด
ๆ อีก วันนี้ผู่ชานเลี่ยทำหน้าที่เกินสามัญชนมากไปแล้ว เขามีความสุขกับการได้ช่วยคนอื่น
แต่ถ้าหากมันส่งถึงความทุกข์ของตนเองในภายภาคหน้ามันก็คงไม่เข้าท่าเช่นกัน
ฝีเท้าย่ำก้าวไปอย่างเร่งรีบ เพ่งมองถนนลูกรังเบื้องหน้าพร้อมนึกไปถึงเป้าหมาย
พยายามบอกตัวเองว่า ‘เจ้าควรรู้สึกผิดหากไปสอบไม่ทัน
ไม่ใช่เอาแต่โทษตัวเองเพราะรู้สึกผิดกับคนอื่น’
ไม่มีเสียงโอดครวญของคนเจ็บที่นอนอยู่ข้างหลัง
ไม่แน่ใจว่าชายผู้นั้นไม่มีเรี่ยวแรงที่จะรั้งหรือว่าหมดสติไปแล้ว
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรเก็บมาใส่สมองมากนัก
‘ช่วยด้วย...’
แววตาสิ้นหวังคลอไปด้วยหยดน้ำตายังคงติดอยู่ในหัว
เสียงแหบพร่าที่เหมือนอยากบอกว่าเขาเป็นความหวังสุดท้ายที่จะต่อลมหายใจให้กับชายผู้นั้นได้
และคราบเลือดสีดำที่เกิดจากการต้องพิษ
ซึ่งมีสิทธิ์ตายเร็วกว่าการเสียเลือดทั่วไปนั่นน่ะ...
บ้าเอ๊ย!
ชายหนุ่มหยุดฝีเท้าพร้อมกำหมัดแน่น
หลับตาลงอย่างหัวเสียก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปยังจุดเดิมตรงที่มีร่างไร้เรี่ยวแรงนอนอยู่
คนตัวเล็กยังคงปรือตามองอย่างไร้จุดหมาย คาดว่าเจ้าตัวคงไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะส่งเสียงพูดใด
ๆ จึงได้แต่กลืนน้ำลายที่แห้งเป็นผงอยู่ในคอ และการเลือกเดินกลับมา มันหมายความว่าผู่ชานเลี่ยต้องเข้าไปหาสมุนไพรในป่าให้กับชายผู้นี้
สุดท้ายเลือดคนดีมันก็ทำงานเก่งเกินกว่าความฝันตนเอง
“เอาล่ะ แข็งใจหน่อย” ชายหนุ่มประคองร่างปวกเปียกขึ้นเล็กน้อย
สลับกับบาดแผลซึ่งตอนนี้อีกฝ่ายไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะกดผ้าเช็ดหน้าห้ามเลือดไว้ได้ด้วยตัวเองเขาจึงต้องทำแทน
“...”
“มันเป็นสมุนไพรสีเหลืองในป่าไผ่ที่หน้าตาเหมือนกลีบกล้วยไม้ดินใช่ไหม
แล้วมีอะไรอีก?”
“...”
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งหลับ ข้าก็กลับมาแล้วไง
อยู่ช่วยกันก่อน” ชานเลี่ยตบแก้มขาวซีดเรียกสติ
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะใช้เวลาไปกับการตัดสินใจนานเกินไป อีกฝ่ายจึงค่อย ๆ
ปิดเปลือกตาลงไปทุกขณะ “ให้ตาย!”
ชายหนุ่มกวาดสายตาไปโดยรอบ เขาจำได้ว่าทางที่เดินผ่านมามีป่าไผ่อยู่ซึ่งห่างจากจุดนี้ไปราว
ๆ สองลี้ และนั่นหมายความว่าผู่ชานเลี่ยจะต้องวิ่ง
“แข็งใจไว้
อย่าเพิ่งชิงตายไปก่อนล่ะ แล้วข้าจะรีบกลับมา”
TBC
พีเรียดเรื่องแรกในชีวิต มีความกระเดิดแรง
ประหม่าแรง ไม่รู้จะรอดไหม
อาจจะเขียนไม่ดีเท่าเรื่องอื่น
ไม่สนุกเท่าเรื่องอื่น ภาษาไม่สวยเท่าเรื่องอื่น
แต่ถ้าไม่มีอะไรอ่านแล้ว
ก็คิดซะว่าแวะมาอ่านฆ่าเวลารอเรื่องอื่นอัพได้น้ะ
เริ้บ
ความคิดเห็น