คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : INTRO
t
h
e
m
y
b
u
t
t
e
r
INTRO
“เส้นจันทน์กุ้งสดสองโต๊ะหนึ่ง วุ้นเส้นห่อไข่ไม่งอกโต๊ะสี่ ไม่เต้าหู้น้ำมันน้อย ๆ โต๊ะหก!!”
ของสดทำปฏิกิริยากับน้ำมันร้อน ๆ ในกระทะมาพร้อมกลิ่นหอมหวนเรียกน้ำย่อยในกระเพาะ เสียงดังเซ็งแซ่จากลูกค้ามากหน้าหลายตาทั้งขาประจำและขาจรอัดแน่นเต็มร้านในช่วงเวลาหกโมงเย็น ‘บู้บี้’ ยังคงอยู่กับความร้อนหน้ากระทะโดยไม่ได้ละออกไปไหน
ร้าน ‘โกวบู้กระทะร้อน’ มีชื่อเสียงในละแวกนี้ รวมไปถึงคนที่แนะนำผ่านการรีวิวในโซเชียลมากมาย ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีแต่แม่งก็เหนื่อยฉิบหายเลยสังคม
บู้เป็นผู้ชายธรรมดาอายุยี่สิบหก เรียนจบมาหลายปี เขาได้แต่ปล่อยให้ใบปริญญาบัตรตั้งโชว์เกาะฝุ่นอยู่ในตู้เพราะป๊าต้องการให้เขาสืบสานกิจการร้านผัดไทยที่เปิดมาตั้งแต่เขาเริ่มคลานเตาะแตะ งงล่ะสิว่าทำไมใช้ชื่อร้านว่า ‘โกวบู้กระทะร้อน’ แทนที่จะเป็น ‘เฮียเล่ยกระทะร้อน’ เพราะเฮียเล่ยเป็นพี่ชายคนโตของบ้านหลังนี้
แต่ด้วยความที่อากงลำเอียงและค่อนข้างไบแอสหลานชายคนกลางอย่างเขา ชื่อร้านจึงออกมาเป็นแบบนี้ ซึ่งเฮียเล่ยก็ไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจตัดพ้อ หนำซ้ำยังยิ้มกว้างและพูดออกมาอย่างมีความสุขว่า ‘โชคดีแค่ไหนแล้วที่ร้านไม่ใช้ชื่อกู อายเพื่อนตายห่า’
ตอนแรกบู้ก็ไม่อายนะ แต่พอเฮียพูดปุ๊บ... กูอายเลย
เฮียเล่ยแต่งงานตอนอายุยี่สิบสามแต่ทำผู้หญิงท้องตอนอายุสิบเจ็ด บู้จำได้ว่าตอนนั้นโคตรเป็นห่วงเฮียกลัวมันพาเมียไปทำแท้ง ไหนจะกลัวป๊าม๊าตีนถีบยอดหน้าที่ทำให้วงตระกูลของเราต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง
แต่เปล่าเลย พอรู้ว่าเมียเฮียมาจากตระกูลซ่งที่เป็นเจ้าของร้านทองแถวเยาวราช ป๊ากับม๊าก็บอกให้เฮียกลับไปเรียนต่อจนจบเพื่อออกมาแต่งงานกันให้ถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนเจ๊เฉียนก็ย้ายเข้ามาอยู่บ้านเขาเลี้ยงลูกรอไปก่อน
วัยรุ่นใจแตกสองคนได้ให้กำเนิดเด็กชายหน้าตาน่ารักน่าชังออกมาเป็นเกียรติแก่วงตระกูล ซึ่งนั่นก็คือ ‘น้องเคี๊ยง’ ว่าด้วยการเป็นคนจีน แน่นอนว่าการได้ลูกชายย่อมพีคกว่าได้ลูกสาว แต่สำหรับบู้... ไอ้เคี๊ยงก็คือทายาทอสูรคนต่อไปที่จะสืบต่อกิจการร้านผัดไทยต่อจากกู
พูดก็พูดเถอะ จะเรียนจบคอมพิวเตอร์ธุรกิจมาเพื่ออะไรในเมื่อยังไงกูก็ต้องมาขายผัดไทยอยู่ดี หันไปหาพี่ชายคนโตอย่างเฮียเล่ย แม่งก็ไปเอาดีด้านวิศวะ ได้เงินเดือนดีจนป๊าไม่กล้าลากคอกลับมาช่วยน้องนุ่งขายผัดไทย
ส่วน ‘ไอ้ฮุน’ น้องชายคนเล็ก ตอนนี้มันอยู่ปีสี่วัยกำลังเห่อมอย เต๊าะคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยชนิดว่าจีบใครติดกูเอาหมด ไอ้ฮุนเรียนครุศาสตร์ จากใจแบบไม่หักหน้าน้องจนเกินไป บู้ก็นึกเป็นห่วงอนาคตของชาติจำนวนมากที่จะกลายเป็นลูกศิษย์ให้มันสั่งสอน ดูสภาพมันแล้วล้างตูดยังไม่เกลี้ยง จะเอาอะไรไปสอนคนอื่นเขา
ไอ้ฮุนค่อนข้างเหลาะแหละ เล่นไปวัน ๆ แต่ป๊าก็ไม่ด่ามันเพราะไบแอสแรงพอควร แต่พอเขาไปคุยกับป๊าอย่างจริงจังว่าควรจะให้น้องชายคนเล็กทำอะไรบ้าง เพราะมันไม่ยอมช่วยขายผัดไทยบอกว่าอยู่ใกล้กระทะแล้วร้อน คนตกมาจากสวรรค์จะอยู่ใกล้ของพรรค์นั้นไม่ได้
อยากเอาตีนขยุ้มคอเสื้อมันแล้วสะบัดแรง ๆ แต่ก็ได้แค่ยืนทำตาขวาง บู้จึงใช้สิทธิ์แรงงานที่เหนื่อยกว่าใครในบ้าน สั่งการให้ไอ้ฮุนเปิดร้านขายปังเย็นและชานมไข่มุกเพราะเห็นมันชอบไปซื้อแดกเหลือเกิน ซึ่งน้องชายคนเล็กก็ไม่ซีเรียสนัก มันไหวไหล่แล้วบอกว่าจัดมาเถอะ เดี๋ยวทำให้ก็ด้ะ
เออ กลับมาที่เรื่องอากงไบแอสตั้งชื่อร้านเป็น ‘โกวบู้กระทะร้อน’ ย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว อากงไปดูดวงมา ซินแสท้วงว่าปีนั้นอากงจะตายห่าเพราะเจ้ากรรมนายเวรจะเอาไปอยู่ด้วย เนื่องจากเมื่อชาติก่อนอากงเป็นผู้หญิงแล้วไปนัวผัวชาวบ้านจนได้เสียกัน เมียผู้ชายคนนั้นกำลังท้อง เครียดมากตกบันไดจนแท้ง ผีตนนั้นจึงห่วงหาอาทรลูกสาวมาก
ซินแสแนะนำให้ลูกหลานอากงแต่งหญิง เพื่อเป็นเกราะคุ้มกันไม่ให้ผีตนนั้นเข้าใกล้ เจ้ากรรมนายเวรจะได้คิดว่าลูกหลานของอากงในชาตินี้คือลูกสาวนางในชาติที่แล้ว ซึ่งบู้ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวเยี่ยไร และแน่นอนว่าบ้านนี้มีแต่ลูกชาย ซึ่งไอ้เชี่ยเฮียเล่ยแม๊งไม่ย๊อม แหกปากลั่นบ้านเพราะเริ่มรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ส่วนตอนนั้นไอ้ฮุนยังไม่เกิด มีเพียงวิธีเดียวที่จะแก้กรรมนี้ได้ ก็คือให้ไอ้บู้ซึ่งยังเป็นก้อนขี้ที่ไม่สามารถทำอะไรได้ไปมากกว่า ‘แบะ ๆๆๆๆ’ แต่งหญิง
แก้กรรมดอกแรกคือการตั้งชื่อร้านผัดไทยเป็น ‘โกวบู้กระทะเหล็ก’ บู้ถูกจับแต่งหญิงไปโรงเรียนจนถึงอนุบาลสาม วินาทีนั้นมันเศร้ามากแค่ไหนที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นตุ๊ดเด็ก ไว้ผมยาวกระโปรงเอี๊ยมแดงไปเรียนทุกวัน เวลานอนกลางวันกระโปรงมันก็เปิด เพื่อนผู้ชายก็เข้ามาเล่นหรรมเขาอย่างสนุกสนาน ความรู้สึกเย็นวาบในวัยเด็กยังตราตรึง
พอขึ้นปอหนึ่งบู้ก็ได้กลับมาเป็นชายชาตรีอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นการแก้กรรมก็ยังต่อเนื่อง คือการถูกคนในครอบครัวเรียกในแบบผู้หญิง บู้ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องแย่ขนาดนั้นจนกระทั่งไอ้เคี้ยงเริ่มอ้าปากพูดได้
บู้คิดว่ามันสาหัสตรงที่ต้องได้ยินเสียงก๊าว ๆ ของมันเรียก ‘โกวบู้ ๆๆๆๆๆ’ อยู่ตลอดเวลา คนในซอยคิดว่ากูอยากเป็นตุ๊ดจนตัวสั่นเลยบังคับให้หลานเรียกแบบนี้ บู้พยายามสั่งสอนไอ้เคี้ยง บอกให้มันเรียก ‘เจ็กบู้’ อย่างถูกต้อง เพราะไอ้ ‘โกวบู้’ เนี่ยไว้ให้ลูกค้าเรียกก็พอแล้ว แต่ก็เท่านั้น ไอ้ห่าเคี้ยงก็ยัง--
“หวัดดีโกว”
“ทำไมเพิ่งกลับเอาป่านนี้ โรงเรียนมึงเลิกตั้งแต่บ่ายสามครึ่ง” บู้ถลึงตามองหลานชายในชุด รด. ที่ยกมือไหว้แบบขอไปที
“เตะบอลกับเพื่อนอยู่อะ แมน ๆ เตะบอลกัล” เตะที่หน้ามึงเนี่ย เกลียดตอนมันกลอลิ้นตรงคำสุดท้ายเหลือเกิน
“ขาสั้น ๆ อย่างมึงต้องใช้เวลากี่ชาติกว่าจะวิ่งไปถึงกลางสนาม” บู้หลุบตาลงมองขาคนเป็นหลานจนสิ้นสุดที่รองเท้าคอมแบต
“ผมได้เป็นกองหน้านะเว้ยโกวบู้”
“เดี๋ยวมึงได้กองหน้าแน่ ออกไปกองอยู่หน้าร้านเพราะโดนตีนกูเนี่ย เตะบอลบ้านเตี่ยมึงสิใส่คอมแบต เดี๋ยวกูฟาดด้วยตะหลิว”
ลูกค้าในร้านต่างมองสองอาหลานซึ่งกำลังต่อสู้กันด้วยวาจาโดยไม่มีท่าทีตื่นกลัว มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่ลูกชายคนรองร้านนี้จะวีนแตกเพราะได้รับไอร้อนจากกระทะมากจนเกินไป
“รถมันติดด้วยไงโกว”
“จากบ้านไปโรงเรียนมึง ใช้เวลาเดินทางไม่กี่นาทีก็ถึงละ ตดไม่ทันเหยด้วยซ้ำ แล้วบนฟุตปาธนี่รถติดอะไร” บู้มองหาเรื่อง “ตอบดี ๆ นะมึง”
“รถไอติมจักรยานกับวินมอไซค์ขับแหกขึ้นมาบนฟุตปาธอะโกว เดินยากโคตร ๆ” ตะหลิวที่เคยจ้วงเส้นในกระทะชะงักไป ตามด้วยเสียงถอนหายใจหนัก ๆ กับคำตอบสุดแถของคนเป็นหลาน
“เอากระเป๋าไปเก็บแล้วออกมาช่วยกู”
“โหย วันนี้ผมไม่ไหวแล้วอะโกว เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อยนะ เรียนมาทั้งวันแล้วยังจะให้เดินเสิร์ฟอีกเหรอ ทำไมใจร้ายกับเคี้ยงแบบนี้วะ” เด็กหนุ่มกระแทกเสียงมองคนเป็นอาที่ยังคงสาวตะหลิวคู่บนกระทะวงกลมขนาดใหญ่อย่างไม่ลดละ
“เอา – กระ – เป๋า – ไป – เก็บ”
“โกวต๋า เคี้ยงเมื่อย” ส่งเสียงอ้อร้อทำตาปริบ ๆ อ้อนวอนขอความเห็นใจ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล
“มึงจะไปดี ๆ หรือจะไปด้วยน้ำตา” เสียงของคนเป็นอาพูดลอดไรฟันนั้นเคี้ยงรู้ว่าไม่ใช่เรื่องตลก เด็กหนุ่มหุบยิ้มพลางถอนหายใจฮึดฮัด เดินเข้าไปในบ้านแล้วออกมาช่วยเสิร์ฟผัดไทยอย่างไม่เต็มใจ
.
.
เช้าวันนี้ก็เหนื่อยอีกแล้ว บู้รู้สึกเหมือนถูกเส้นเล็กกับถั่วงอกตามไปหลอกหลอนถึงในฝัน หลังจากบั้นหน้าทำงานอย่างหนักจนขึ้นสมอง วันนี้ช่วงสายคนไม่เยอะมาก เขาจึงให้ป๊าช่วยเฝ้าร้านเพื่อที่จะได้ออกไปซื้ออะไรสักอย่างเข้ามากิน ก่อนถึงเวลาพักเที่ยงที่พนักงานบริษัทจะแห่เข้ามาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
บู้เดินทอดน่องไปเรื่อย ๆ กะว่าจะฝากท้องไว้กับขนมจีนป้าแดงในราคาสามสิบบาท แม้จะได้เส้นน้อย แต่การได้สิทธิ์โด้ผักแบบบุฟเฟ่ก็ทำให้คิดว่ามันคุ้มค่าอยู่ แต่ยังไม่ทันถึงปากซอยก็ต้องหยุดชะงักกับความแปลกตาที่ไม่เคยเห็นในซอยนี้มาก่อน ซึ่งนั่นก็คือร้านส้มตำรถเข็นใหม่เอี่ยมซึ่งดูเหมือนว่าจะเพิ่งถอยออกมาได้ไม่กี่วัน
‘ชาญตำแซ่บ’
เลิกคิ้วมองเก็บรายละเอียดอยู่ครู่หนึ่งแล้วลดระดับสายตาลง ชื่อร้านถูกแต่งด้วยฟอนท์สิบล้อเสร่ออย่าบอกใคร แต่หน้าพ่อค้านั้นไฉนหล่อปังอลังการงานสร้าง สูง ยาว เข่าดี แอบมีกล้ามแขนด้วย ผู้ชายคนนั้นกำลังควงสากกระทุ้งครกอย่างชำนาญจนเสียวหน้าท้องวาบ ท่ามกลางฝูงชะนีไฮยีน่าในชุดสาวออฟฟิศที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
เปิดใหม่สินะ จากใจเลยว่าบู้เป็นพวกปลาร้าแอดดิกท์ ร้านส้มตำแถวนี้เขาไปโดนมาหมดแล้ว แต่ก็ไม่มีร้านไหนตรึงใจไว้ได้เลย เห็นทีว่าต้องบอกลาขนมจีนร้านป้าแดง แล้วลองไปต่อคิวร้านใหม่ดูสักครั้งหนึ่ง
บู้ยืนอยู่ข้างหลัง มองหญิงสาวแต่ละคนเดินออกไปหลังจากได้รับส้มตำพร้อมผักกะหล่ำหนึ่งซีกไว้แกล้มข้าวเหนียวและลาบหมู ซกเล็ก ผู้ชายเบ้าดีคนนั้นปั้นหน้านิ่งจริงจังกับการตำพริกมาก ยิ่งหยาดเหงื่อที่ไหลซึมออกมาจากขมับยิ่งทำให้ดูดิบเถื่อน
ถัดไปข้างตัวคือผู้ชายหุ่นไม่ต่างจากบู้นัก คน ๆ นั้นกำลังย่างเนื้อกับเตาถ่าน พลิกกลับไปมาก่อนจะใช้อีโต้หั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วเอาลงหม้อมีด้ามจับ ใช้ทัพพีตักเครื่องเทศที่เรียงรายไว้อย่างเป็นเสต็ป คลุกเคล้าให้เขากันอย่างระดับโปรเฟสชันแนล
บู้คิดว่าสองคนนี้คงไม่ใช่ขี้ ๆ
“กินอะไรดีครับเที่ยงนี้”
พ่อค้าฝั่งทำลาบเงยหน้าขึ้นมายิ้มทักทายเขาที่ยืนโง่อยู่ตรงนี้เป็นคนสุดท้าย จากที่นับคร่าว ๆ น่าจะสิบห้านาทีโดยประมาณ บู้เห็นว่าผู้ชายตัวสูงทิ้งตัวนั่งลงบนลังน้ำแข็งสีน้ำเงินอย่างอ่อนแรง พร้อมใช้แก้วราคาถูกจวกน้ำในกระติกน้ำแข็งขึ้นมาดื่มดับกระหาย
“เอาตำปลาร้าไม่ใส่กระเทียมไม่ใส่ปู เอาพริกสดนะ เผ็ดพอดี น้ำตาลน้อย ๆ พอ”
“...”
มือควงสากหันมาสบตากับเขา บอกตามตรงเลยว่าก็ไม่ได้อยากเรื่องมาก แต่กลิ่นกระเทียมกับปูมันเหม็น เวลาเคี้ยวไปโดนกระดองกับขาปูมันเป็นฟีลลิ่งที่แย่เหลือทน คนตำจะไปเข้าใจอะไร
จุดนั้นบู้แค่ยิ้มสู้ หวังจะให้อีกฝ่ายเข้าใจซึ่งผู้ชายวัยยังหนุ่มยังแน่นก็ทำตามอย่างว่าง่าย ซึ่งนั่นทำให้บู้ประทับใจเหลือเกิน “ร้านนี้มีอะไรอร่อยบ้าง”
“โอ้ย ถามแบบนี้ผมก็ตอบเลยว่าอร่อยทุกอย่าง” กูถามมือควงสากน่ะคนทำลาบ
“งั้นเอาน้ำตกเนื้อกับต้มแซบกระดูกอ่อนด้วย ข้าวเหนียวสามห่อนะ” บู้ยิ้มให้ ก่อนจะชำเลืองมองมือควงสากที่กำเส้นมะละกอใส่เข้าไปในครก “ตำอะไรอร่อยที่สุด”
“พี่อยากรู้ก็ลองสั่งทุกอย่างดูสิ ถามงี้ผมตอบไม่ถูกเลย” อีห่า หน้ามึงแก่กว่ากูอีก กล้ามากที่เรียกว่าพี่
“เกิดปีไหนอะ”
“ผมเกิดปี 33 ส่วนน้องผมเกิดปี 34” <- มือทำลาบตอบ
“อ้อ ยี่สิบสี่” ถึงกับเซ็ง นี่กูตั้งลำเตรียมสวนกลับซะดิบดีกะจะให้มันเงิบสักหน่อย แต่เสือกเด็กกว่าจริง ๆ
“แล้วพี่ล่ะเกิดปีไหน”
“32” จากที่เคยทำให้ตงิดใจเล็ก ๆ พ่อหนุ่มควงสากก็กู้สถานการณ์ขึ้นมาได้ด้วยการส่งยิ้มให้
“พี่อยู่ในซอยนี้เหรอ”
“อือ พี่ขายผัดไทยอยู่กลางซอยอะ”
“ร้านโกวบู้ปะ?” คนตัวสูงเลิกคิ้ว พลางตักส้มตำใส่ถุงพร้อมรัดยางอย่างชำนาญ
“ใช่ รู้จักเหรอ”
“เห็นในเน็ตอะ แล้วเราก็เพิ่งย้ายไปอยู่ข้าง ๆ บ้านพี่ด้วย” บู้เบิกตากว้างหลังจากได้ยินคำตอบของคนทำลาบ
“อ้อ... ที่เมื่อวานก่อนได้ยินเสียงรถหกล้อขับมาจอดข้างบ้านนี่คือน้องสองคนดิ?” สองพี่น้องพยักหน้า “เหยด เป็นเพื่อนบ้านกันนี่หว่า บังเอิญเวอร์ แล้วไม่เปิดขายหน้าบ้านอะ”
“ยังไม่มีทุนปรับปรุงร้านอะพี่ ตอนนี้ตั้งหลักก่อน ขายเช้ายันดึก” คนตัวสูงว่า ซึ่งบู้ก็พยักหน้าช้า ๆ ก่อนที่ความเงียบจะแดกทุกอย่างในละแวกนี้ ระหว่างรอต้มแซ่บ
“น้องชื่ออะไรอะ พี่ชื่อบู้”
“ชาญ ส่วนนี่พี่เจิ้น”
คนตัวสูงผายมือไปทางมือทำลาบ อ้อ... เบ้าดี ๆ แบบนี้ต้องชื่อชาญสินะ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นฟอนท์สิบล้ออีกครั้ง กูไม่น่าถามเลย ‘ชาญตำแซ่บ’ จะฟาดโหนกอยู่ละ
“อร่อยไม่อร่อยยังไงบอกได้นะพี่ ผมจะได้ปรับปรุง”
“ได้ เดี๋ยวไปเคาะประตูบอกถึงหน้าบ้านเลย” ไม่ได้ตั้งใจอ่อยนะแต่เด็กมันปูทางมาเอง บู้จ่ายเงินให้แล้วมองรอยยิ้มพ่อค้าหน้าหล่อก่อนจะถอยออกไปทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกห่าง “ไว้มากินผัดไทยร้านพี่บ้างดิ”
“กว่าผมจะเก็บร้าน จะได้กินเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พี่คงปิดร้านก่อน” ชาญหัวเราะ
“ชอบกินอะไรล่ะ เดี๋ยวผัดมาให้...” บู้ไม่ได้ตั้งใจ เด็กมันน่ารัก เด็กมันเหนื่อยจนเหงื่อไหลไคลย้อยแล้วเห็นไหม น้องมันควรได้กินอะไรดี ๆ บ้าง บู้จะจัดการให้เอง
“วุ้นเส้นห่อไข่ ไว้มาแลกกับส้มตำได้นะ” ชาญมันยิ้มอ้อร้อ เหมือนรู้ว่าผีกำลังเจอผี นี่แอบส่งสายตาอย่างเสน่หาไปด้วย ส้มตำรสชาติจะคลายหรือไม่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ชั่วโมงนี้ต้องสานสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านใหม่
“แลกส้มตำแล้วแลกเบอร์ด้วยได้ปะ”
“เหยด... น้องกูโดนแล้ว” เจิ้นอุทาน พลางมองน้องชายและลูกค้าที่กำลังสบตากันเหมือนปลากัดอย่างไม่มีใครยอมใคร
“พี่พูดงี้ผมไปไม่เป็นเลย ว่าแต่เอาเฟสบุ๊กกับไลน์ด้วยไหม?”
ไม่อยากพูดงี้นะ... แต่ดูเหมือนว่าต่อไปนี้น้ำหนักบู้คงลดเพราะกินส้มตำทุกวันแน่ล ๆ เลยเอ่าะ 55555555555555555555
TBC
เครียด
ความคิดเห็น