คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 01 :: ความเงียบสีขาว #AmongPages
(1)
แด่... คิมยูจิน
ยัยผีบ้าที่ผมคิดว่าคงเป็นรักสุดท้ายในชีวิต
เสียงรางรถไฟโง่ ๆ เสียดสีกับล้อเหล็กคือสิ่งเดียวที่ปั่นประสาทผมอยู่ในตอนนี้ จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งที่สามในชีวิตที่ได้มีโอกาสเดินทางด้วยรถไฟ ครั้งแรกนั่งไปมกโพกับแม่ตอนอายุแปดขวบ ส่วนครั้งที่สองตอนสิบสี่ ตอนนี้ผมอายุยี่สิบแปดแล้ว และเพิ่งมีโอกาสได้ลาพักร้อนยาว ๆ หนึ่งเดือนหลังจากเอาแต่ทำงานเป็นบ้าเป็นหลังมาหลายปีจนแฟนหนีไปมีคนใหม่
แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เรียกว่าทำงานจนเธอแอบนอกใจไปมีผัวใหม่ดีกว่า
ผมชื่อคิมจงอิน ทำงานเป็นบรรณาธิการหรือที่ใคร ๆ เรียกว่า บก. ในสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งใจกลางกรุงโซล เมื่อก่อนผมเคยเขียนหนังสือแนวสร้างแรงบันดาลใจ แต่มันคือตลกร้ายเมื่อผมรู้สึกว่าที่ทำ ๆ ไปทั้งหมดนั่นมันแทบจะเอามาใช้กับชีวิตผมไม่ได้สักอย่าง ผมเลยผันตัวไปทำเกี่ยวกับนิยายแปล ซึ่งก็อยู่ตรงนี้มาได้เกือบสามปีแล้ว
ผมคบกับผู้หญิงยิ้มสวยคนหนึ่งตั้งแต่อายุยี่สิบสอง ตอนนั้นผมยังเป็นนักเขียนธรรมดาที่ชอบหยิบปากกากับสมุดขึ้นมาจดทุกอย่างที่ตามองเห็นจนเกิดแรงบันดาลใจ แน่นอนว่าทุกครั้งที่หันไปข้างตัวก็จะเจอเธอ เราทั้งคู่เป็นนักเขียนเหมือนกัน ซึ่งตัวผมได้มีโอกาสตีพิมพ์หนังสือก่อนและหลังจากนั้นเราก็ช่วยกัน จนกระทั่งเธอได้ตีพิมพ์และมีหนังสือเป็นของตัวเองบ้าง
ผมยังจำรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเธอได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงสีหน้าตึงเครียดตอนที่ถูกจับได้ว่ามีคนอื่น ถึงจะมารู้เอาทีหลังตอนเลิกกันแล้วและผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปชี้หน้าด่าว่าเธอเป็นนางมารร้ายที่กล้าหักหลังผมได้ลงคอก็เถอะ แต่แล้วยังไงวะ มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิดที่ปล่อยให้ผมเอาแต่โทษตัวเองหลังจากที่เราเลิกกัน เพราะเธอร้องไห้แล้วบอกว่า
‘จงอิน ชีวิตนายมีแต่งาน จนฉันลืมไปแล้วว่าเคยสำคัญกับนายแค่ไหน’
แต่ความจริงแล้วผมต่างหากที่ถูกสวมเขาจนควายยังดูฉลาดขึ้นมา
และที่ทำให้ผมหน้าสั่นที่สุดคืออะไรรู้ไหม ?
มันคือไอ้การ์ดกลิ่นแปลก ๆ ที่ชาวบ้านชาวช่องเขาบอกว่าหอมนักหนา พอเปิดออกมาก็จะเห็นชื่อหนุ่มสาวคู่หนึ่งพร้อมคำเชิญให้ไปร่วมงานแต่งงานในเวลาตามกำหนด
‘เหอะ’
นั่นคือเสียงหัวเราะของผมขณะมองการ์ดโง่ ๆ ในมือ ก่อนจะขยำมันเป็นก้อนแล้วยัดเข้าปากต่อหน้าเพื่อนสนิทที่นั่งเครียดกับตัวหนังสือละลานตาอยู่โต๊ะข้าง ๆ รสชาติการ์ดแต่งงานก็ไม่แย่สักเท่าไหร่ เผลอ ๆ อาจจะอร่อยกว่าเมนูจานเด็ดของ บก. อาวุโส ที่ไปกินกันตอนวันสิ้นปีเสียอีก ผมคายมันทิ้งพร้อมถุยน้ำลายปิดท้ายก่อนจะตะโกนอัดถังขยะใต้โต๊ะ ลั่นออฟฟิศว่า
‘ไปตายทั้งคู่นั่นแหละ !’
ถ้าความใจกล้าหน้าด้านมันมีระดับ ผมคงมอบให้คู่รักคู่นี้เต็มร้อยคะแนน ความรู้สึกตอนนั้นทั้งโกรธ โมโหและเสียใจ ผมไม่สามารถแยกแยะและบอกตัวเองให้ตั้งสติรับความเป็นจริงได้เลย
เพราะอะไร ?
ใช่ไง ผมยังรักเธออยู่ ถึงต่อหน้าเพื่อนฝูงในวงเหล้าจะบอกพวกมันอยู่ตลอดว่าไม่แคร์ จะไปรักกันให้ตายที่ไหนก็ไป แต่ความจริงแล้วลึก ๆ ผมก็ยังรอให้เธอกลับมาเพื่อเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง ผมจะปรับปรุงตัวเอง
แต่มันไม่ใช่อย่างที่คาดหวังเอาไว้ เมื่อทุกอย่างจบลงอย่างเป็นทางการเมื่อวันแต่งงานของเธอมาถึง
ผมเอาแต่ร้องไห้แล้วกระดกของมึนเมาเข้าปากเหมือนเด็กวัยรุ่นเพิ่งเคยมีความรัก ครั้งแรกตอนที่เห็นรูปเจ้าสาวจูบกับเจ้าบ่าว เอาเถอะ... วินาทีนั้นไม่ได้สนหรอกว่าใครจะมองยังไง ผมรู้แค่ว่ากำลังปวดหัวใจอย่างหนักจนอยากควักมันออกมาแล้วขว้างทิ้งให้จมหายไปในแม่น้ำฮันเสียรู้แล้วรู้รอด
ปาร์คชานยอลเป็นคนเดียวที่คอยลูบหลังตอนผมขับของเสียออกมาจนหมดไส้หมดพุง มันบอกว่าระหว่างผมกับยูจินเป็นเพียงแค่ความผูกพัน อันที่จริงความรักที่เคยมีมันจางหายไปตั้งนานแล้ว ซึ่งตอนกลางวันผมก็คิดอย่างนั้น แต่พอตกดึกฟ้ามืดเมื่อไหร่ ความคิดเมื่อตอนท้องฟ้าสดใสก็แปรเปลี่ยน
คำก่นด่าที่หวังเรียกสติของไอ้ชานยอลนั้นผมพอจะจำได้ราง ๆ ซึ่งมันไม่ได้แนะนำให้ตัดใจแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่มีเธอ แต่มันตั้งใจบังคับให้ผมทำอย่างนั้น แถมยังบอกอีกว่า ‘ถ้ามึงไม่ทำ ก็ตายห่าจากโลกนี้ไปซะ’
ซึ่งผมก็ได้คำตอบแล้วว่าผมยังไม่ได้อยากตาย
เพดานห้องอันว่างเปล่ากับหัวที่หนักอึ้งในวันรุ่งขึ้นคือสิ่งแรกที่รู้สึกได้ บางทีผมอาจจะโอเคกว่านั้นถ้าเห็นสติกเกอร์เรืองแสงรูปยานอวกาศท่ามกลางหมู่ดาวแปะอยู่บนเพดานเหมือนตอนยังเป็นเด็กอยู่ สีขาวของมันเปรียบเหมือนความรู้สึกของผมในตอนนี้ไม่มีผิด มันว่างเปล่า เคว้งคว้างจนไม่มีแรงบันดาลใจอยากไสตัวลุกขึ้นไปทำอะไรทั้งนั้น
ทาง บก. อาวุโสสาดคำด่าผ่านโทรศัพท์จนหูแทบอื้อ หลังจากผมบอกว่า ‘ขอลางานไปหาแรงบันดาลใจสักเดือน’ ซึ่งทางนั้นไม่ได้ด่าผมเรื่องหาแรงบันดาลใจ เพราะไอ้งานตรวจภาษา สำรวจมูลเหตุความจริงมันไม่ต้องพึ่งเรื่องพวกนี้ ยกเว้นแต่ว่าผมจะเป็นนักเขียนที่ต้องถูกโทรจี้เอาต้นฉบับจนต้องออกไปหาแรงบันดาลใจเพื่อปั่นงานส่งให้ทันเวลา แต่บก. อาวุโสเขาด่าที่ขอลางานนานเกินกว่าที่ บก. กะโหลกกะลาคนหนึ่งพึงจะทำ
ระยะเวลาหนึ่งเดือนมันนานเกินไปสำหรับคนที่ยังอยากทำงานอยู่ที่เดิม แต่มันก็น้อยสำหรับคนที่เอาแต่ไปกลับระหว่างบ้านและออฟฟิศมาตลอดหลายปีโดยไม่พาแฟนออกไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจเป็นกิจจะลักษณะที่ไหนเลย ผมอาจจะบ้างานเหมือนอย่างที่ยัยนั่นว่าจริง ๆ และผมก็ได้เอาข้ออ้างนี้ไปกระแทกหน้าบก.อาวุโสเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งมันได้ผล
การลาพักร้อนครั้งนี้จะไม่มีการนอนหายใจทิ้งมองเพดานแล้วกอดผ้าห่มร้องไห้ เหมือนคนใกล้ตายแน่
ผมจะไม่ยอมให้ใครมาเหยียบความรู้สึกอีก ไม่ว่าหัวใจของผมมันจะมีค่าเล็กน้อยสมเต่าถุยแค่ไหน เดินส่ายหัวไล่อาการมึนเพราะพิษเหล้าออกมาจากห้องนอน ห้องที่เคยมียัยผีบ้านั่นเดินวนเวียนอยู่ในทุก ๆ ที่ แม้ว่าภาพมันจะจางลง เพราะปีนี้เราแทบไม่ได้อยู่ด้วยกันเลยก็ตาม นี่คือเหตุผลที่ผมไม่ควรฝังตัวเองอยู่ในห้องนานเกินไปแม้สักวินาทีเดียว
‘ไปพักฟื้นหัวใจที่ต่างจังหวัด’
นั่นเป็นความคิดที่เข้าท่าพอสมควร ก็ไปมันทั้งอย่างนี้แหละใครจะทำไม นักปราชญ์ที่ดีต้องหนีปัญหาทันทีที่ลุกจากเตียงโว้ย
ผมรื้อเอาเสื้อผ้าที่ตามองเห็นแวบแรกในตู้มายัดใส่กระเป๋าเป้ตามด้วยชั้นในกำมือหนึ่งซึ่งน่าจะมีสักสามสี่ตัวกับของจำเป็นอีกไม่กี่อย่าง เช่นบุหรี่ ที่ชาร์จแบตโทรศัพท์และถุงยางหนึ่งกล่อง
เตรียมไว้ก่อนก็ไม่เสียหลาย โสดแล้วจะปล่อยตัวยังไงก็ได้ไม่รู้เหรอ
ผมตั้งใจว่าจะไปเที่ยวสักสามอาทิตย์ เป้าหมายคือเมืองชนบทกูร์เยในช็อลลาใต้เพื่อนสนิทอย่างปาร์คชานยอลบอกว่าธรรมชาติที่นั่นสวยนักหนา แถมสาวบ้านนอกก็สวย ไร้เล่ห์เหลี่ยม เดี๋ยวได้รู้กันเลยว่าหนึ่งเดือนที่ไปอยู่จะได้เมียกลับโซลไหม
ก่อนออกจากห้อง ผมเห็นหนังสือขนาดเหมาะมือเล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ มันเด่นสะดุดตาซึ่งไม่ต้องเสียเวลาคิดให้นานเลยว่าเป็นของใคร เพราะคนเขียนเล่มนี้เป็นคนผูกโบว์ให้กับผมเองในวันแรกที่ถูกวางบนแผงชั้นหนังสือ แต่ผมกลับยิ้มโง่ ๆ ให้เธอแล้วพูดว่า ‘เยี่ยมไปเลย’
และผมก็ได้รู้ว่าคำพูดนั้นดูดรอยยิ้มออกจากใบหน้าของคิมยูจินไป
ผมหยิบมันขึ้นมาดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้ตัวว่ามันเป็นเรื่องโง่ที่สุดที่ปล่อยให้ความเจ็บปวดเข้ามาเล่นงานอีกครั้ง ผมไม่แน่ใจว่าความย้อนแย้งในหัวตอนนี้อะไรกันแน่ที่เป็นความจริง ระหว่างคิดถึงเรื่องราวเก่า ๆ หรือเจ็บใจที่ถูกผู้หญิงคนนั้นหลอกกันแน่ ?
‘20 อย่างที่ควรทำก่อนตาย’
ได้ข่าวว่ามันถูกตีพิมพ์ซ้ำเป็นครั้งที่สามแล้วหลังจากที่ถูกวางให้ฝุ่นจับอยู่ตรงนี้มานาน ขายดีมากมั้ง สวย รวย ฉลาด เพิ่งแต่งงานและคงพร้อมที่จะเป็นคุณแม่ยังสาวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เหอะ อดีตแฟนผมนี่โคตรเพอร์เฟ็กเลยว่ะคุณ
ผมตั้งใจหยิบมันติดมือมาด้วย กะว่าจะอ่านแก้เซ็งแล้วก็ตอกย้ำความโศกเศร้าในใจไปพลาง ๆ ระหว่างการเดินทางไปชนบท เพื่อนชอบบอกว่าผมปัญญาอ่อนที่ชอบทำเรื่องบ้าบอคอแตกอย่างมนุษย์มนาทั่วไปเขาไม่ทำกัน ตอนแรกผมเถียงมันคอเป็นเอ็น จนกระทั่งเดินทางมาถึงสถานีรถไฟพร้อมซื้อตั๋วเสร็จสรรพ ถึงได้รู้ว่าผมมันปัญญาอ่อนจริงตรงที่เห็นตารางเวลา รถไฟจะออกในอีกสองชั่วโมงข้างหน้าและแบตเตอรี่มือถือที่เหลืออยู่แค่หกเปอร์เซ็นต์
ผมแทบเอาขาหน้าก่ายหน้าผากกับความไม่พร้อมอะไรสักอย่าง อย่าพูดถึงเรื่องหาเวลาชาร์จแบตก่อนนอนเลย เมื่อคืนกลับมาถึงห้องได้โดยไม่ไปนอนจูบถังขยะข้างทางก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว
ผมเดินวนหาที่เสียบปลั๊กอยู่ราว ๆ ห้านาที แวบแรกที่เห็นน้ำตาผมแทบไหลออกมาเป็นน้ำตกไนแองการ่า แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ใจดีอะไรกับคนอกหักขนาดนั้น เมื่อท่านประทานปลั๊กไฟมา แต่ดันอยู่สูงระดับหัวไหล่ผู้ชายสูงร้อยแปดสิบเศษ ๆ
ผมยืนมองมือถือที่ปล่อยให้ห้อยต่องแต่งหลังจากเสียบปลั๊กชาร์จแบตอย่างคนสิ้นคิด เอาจริง นี่ยังแฮงค์อยู่ ยืนได้ด้วยขาหลังโดยไม่เทกระจาดลงไปอ้วกจน รปภ. ต้องมาหิ้วออกไปก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้ว ผมเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มก่อนจะก้มลงถอดรองเท้าออกมาข้างหนึ่ง ถอดปมเชือกออก ผูกปลายให้เป็นห่วงแล้วเอาไปห้อยกับที่ชาร์จแบต ก่อนจะเอามือถือเข้าไปวางในรองเท้าเพื่อไม่ให้มันห้อยเหมือนแหนมตุ้มจิ๋วอย่างก่อนหน้านี้
ผมยิ้มให้กับความฉลาดของตัวเองที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ ระหว่างรอก็หยิบหนังสือของอดีตแฟนขึ้นมาเปิดอ่านฆ่าเวลา ซึ่งบอกเลยว่าที่ถูกฆ่านั่นไม่ใช่เวลาแต่อย่างใด แต่มันคือผู้ชายคนนี้ที่ปากสั่นหน้าแห้งตั้งแต่เปิดเห็นคำนำสารบัญ
ผมพยายามกัดฟัน จิกปลายนิ้วเท้าลงกับพื้นเย็น เออครับ ผมไม่ชอบใส่ถุงเท้าเพราะมันทำให้ตีนอึดอัดหายใจไม่ออก ซึ่งนั่นหมายความว่าตอนนี้ผมใส่รองเท้าแค่ข้างเดียว ใครเดินผ่านไปมาคงหาว่าผมประสาทแดกซึ่งนั่นก็เรื่องของเขา ผมจะชาร์จแบตไปเรื่อย ๆ อยู่ตรงนี้จนกว่าจะตายจากโลกนี้ไป
บทที่หนึ่ง ‘ช่วยเหลือผู้อื่น’
“เหอะ” ผมแค่นหัวเราะออกมาทันทีที่เห็นความเป็นนางงามจักรวาลผ่านทางตัวอักษร “ต้องมีความมั่นใจแค่ไหนถึงกล้าเอาไอ้นี่ขึ้นบทแรก ทั้ง ๆ ที่เธอก็เพิ่งทำร้ายฉัน”
ผมพูดกับหนังสือเหมือนคนบ้า
“คงไม่มีอะไรจะขายแล้วดิ ถึงได้ทำหนังสือกาก ๆ แบบนี้ออกมา โถ ผู้หญิงหนอผู้หญิง ไอ้หอกคนไหนกล้าให้หนังสือเล่มนี้ผ่านกันวะ อยากจะเห็นหน้าจริง ๆ” ผมจิ๊ปากปิดท้ายอย่างเวทนา
คืองี้นะ... ตลอดเวลาที่คบกัน ผมรู้อยู่แก่ใจดีว่าคิมยูจินไม่ได้เป็นผู้หญิงมีความสามารถอะไรนัก แต่ที่ผมช่วยดันก็เพราะเห็นว่าเธอเป็นคนมีความตั้งใจ มีความพยายามมุมานะ
ไงล่ะ ตั้งใจมากจนกลายเป็นเมียคนอื่นเลย
“แง้ ! ! !”
ผมกลอกตาไปทางด้านขวาตามต้นเสียง ก่อนจะค่อย ๆ ขยับเหง้าหน้าทีละนิดและก็ได้พบว่ามีเด็กสูงเท่าเป้ากางเกงกำลังยืนแหกปากร้องไห้อยู่ แต่กลับไม่มีผู้ใหญ่ใจดีที่ไหนเข้าไปช่วยเลย
‘ช่วยเหลือผู้อื่น’
รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงพูดออกมาจากไอ้หนังสือเส็งเคร็งในมือ ผมพยายามทำเป็นไม่สนใจแล้วหันหน้าเข้าหารองเท้าซึ่งมีมือถือพ่วงสายชาร์จแบตวางอยู่ในนั้น นี่คิดว่าจะหยิบหูฟังออกมาใส่ด้วย แต่มันคงตลกพิลึกถ้าผมต้องเสียบมันเข้ากับไอโฟนที่อยู่ในรองเท้าเน่า ๆ ข้างหัว
แต่ความบาปมันช่างตามทันเร็วเหลือเกินเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงกระตุกจากกางเกง ผมก้มลงมองก้อนกลม ๆ ที่เรียกว่าเด็กกำลังเงยหน้าขึ้นเบ้ปากบีบน้ำตาราวกับว่าต้องการความช่วยเหลือ ผมกลอกตามองบนพร้อมถอนหายใจหนัก ๆ เป็นการบ่งบอกถึงความไม่พอใจ แต่คาดว่าเด็กส่วนสูงถึงเป้ากางเกงคงไม่สามารถเข้าใจกับสิ่งที่เห็น
“อะไร”
“แม่ผมหายไปไหนก็ไม่รู้ฮะ”
“เสิร์ชกูเกิ้ลหาสิ” พูดจบก็สะบัดขาออก แต่มือไอ้เด็กนี่ก็เหนียวใช่เล่น ไม่เกิดเป็นปลิงให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะวะ
“อะไรคือกูเกิ้ล พาผมไปหาแม่หน่อย...”
“แล้ว ? นี่รู้จักกันเหรอมาบีบน้ำตางอแงหาแม่เนี่ย หน้าพี่เหมือนคนใจบุญมากมั้ง อันนี้เขาเรียกหนวด ไม่ใช่เคราซานต้า เพราะงั้นพี่เสกแม่มาให้ไม่ได้ เข้าใจแล้วพยักหน้าด้วย” ผมก้มตัวลงเหลือกตาขู่พร้อมชี้ไปยังไอ้ขนแหลม ๆ ใต้จมูกที่เรียกว่าหนวดเขียวหวังให้กลัว แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเมื่อไอ้เด็กนี่แค่กระพริบตาปริบ ๆ คล้ายว่ากำลังคิดตาม
“แม่ต้องไปหาคุณยาย เพราะคุณยายไม่สบายฮะ ถ้าผมหาแม่ไม่เจอเราก็จะไม่ได้ไปเยี่ยม...”
นั่น... มันเอาเรื่องคอขาดบาดตายมากดดัน นี่ถ้าบอกว่า ‘พี่เพิ่งถูกแฟนทิ้งแล้วเธอก็หนีไปแต่งงานกับไอ้ไฮโซหน้าหล่อ’ มันจะนึกสงสารบ้างเปล่าวะ ผมถอนหายใจหนัก ๆ หวังให้เด็กตรงหน้ารู้สึกผิดก่อนจะกวาดสายตาไปรอบตัวเพื่อหาผู้ให้กำเนิดไอ้ก้อนกลม ๆ นี่
แต่สิ่งที่เห็นมีเพียงมนุษย์มากมายซึ่งมองแต่เป้าหมายของตนเอง คนเหล่านั้นไม่คิดจะหันไปสนใจรอบข้างเลยสักนิด บางคนวิ่งแข่งกับเวลา บางคนลากกระเป๋าเดินทางด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม บางคนเศร้า บางคนหน้านิ่งเดาอารมณ์ไม่ถูก
แน่นอนว่าทุกคนได้พบเจอเรื่องราวที่ต่างกันในวันนี้และผมเองก็เช่นกัน
“แม่...”
“เออรู้แล้ว ๆ เลิกร้องก่อนได้ไหม หนวกหู” ผมขมวดคิ้วมองดุ ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย
ผมวางมือลงบนศีรษะทุยของเด็กตัวน้อยแล้วพาออกไปตามหาแม่ทั้งที่สวมรองเท้าแค่ข้างเดียว มันคงเป็นภาพที่โคตรตลก แต่ถามว่าคนอย่างคิมจงอินจะแคร์ไหม เดินไปสามก้าวก็หันหลังกลับไปมองมือถือในรองเท้าที่เสียบชาร์จอยู่กับปลั๊กเป็นระยะ เอาวะ แค่เดินวนรอบแถวนี้คงไม่เป็นไรหรอก สถานีรถไฟก็ไม่ได้ใหญ่โตขนาดนั้น
และมันก็ใช่อย่างที่คิดจริง ๆ เมื่อเดินไปถึงทางโค้งก็พบว่าแม่เด็กกำลังกระวนกระวายอยู่ตรงนั้น แค่ครู่เดียวไอ้เด็กเตี้ยก็รีบวิ่งไปหาแม่และทั้งคู่ก็กอดกันกลม เธออุ้มลูกชายขึ้นแล้วฟัดหอมให้ชื่นใจก่อนที่มือเล็กเท่าฝาหอยจะชี้มาที่ผมให้เธอดู
คนเป็นแม่หันมายิ้มแล้วโค้งหัวขอบคุณผมเสียยกใหญ่และไม่ลืมที่จะหันไปบอกให้ลูกชายทำตาม ตอนนั้นผมเลยโค้งกลับตามมารยาท คือถ้ายืนทื่ออยู่เฉย ๆ เดี๋ยวจะถูกมองว่าเป็นพวกทำงานในโรงฆ่าสัตว์อีก ไอ้พวกเพื่อนเวรยิ่งว่าหน้าตาผมชอบเรียกหาตีน
ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังยิ้มก็ตอนที่รู้สึกเมื่อยแก้มแปลก ๆ เมื่อเห็นว่าเจ้าเด็กนั่นโบกมือให้
‘ช่วยเหลือผู้อื่น’
อืม ผมทำได้แล้วหนึ่งข้อ
ผมผ่อนลมหายใจออกทางริมฝีปากกับเรื่องดี ๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น วินาทีนั้นถึงคิดได้ว่าหนังสือเล่มนี้ยังมีข้อดีอยู่บ้าง ผมยิ้มแล้วหันกลับไปหาโทรศัพท์มือถือที่เสียบชาร์จไว้ตรงนั้นและก็ต้องเบิกตาอย่างตกใจเมื่อเห็นว่ามีคนจรจัดกำลังวุ่นวายอยู่กับมัน
“เฮ้ย ? !” ผมตะโกน แต่กลายเป็นว่าเสียงนี้ทำให้มันไหวตัวทัน ไอ้คนจรจัดสะดุ้งสุดตัวก่อนจะถอดมือถือออกจากปลั๊กอย่างรวดเร็วและไม่ลืมที่จะคว้าเอารองเท้าเน่า ๆ ข้างนั้นไปแนบอกไว้
ผมอ้าปากหวอพลางชี้ไปอย่างเอาเรื่อง มันต้องวางทรัพย์สินของผมลงเดี๋ยวนี้ถ้าไม่อยากโดนกระทืบคาสถานีรถไฟ แต่ดูเหมือนว่ามันจะอ่านความคิดผมออก เท้ากรัง ๆ ทั้งสองข้างถึงได้เริ่มถอยหลังแล้วเปลี่ยนเป็นวิ่งในที่สุด
“เฮ้ย ! ! !” ผมตะโกนอีกครั้งและคาดว่าคราวนี้คงไม่ได้มีแค่ไอ้เวรนั่นที่ได้ยินเมื่อคนที่อยู่ในละแวกนี้ต่างหันมาทางนี้เป็นตาเดียวกัน
ผมไม่รอช้า รีบวิ่งตามไอ้หัวขโมยที่กล้าทำเรื่องหยาบช้าตอนกลางวันแสก ๆ ไปด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี ท่ามกลางสายตาผู้คนนับสิบที่วิ่งผ่านระหว่างทาง หลบซ้ายที ขวาทีอย่างทุลักทุเล แต่คนที่สวมรองเท้าเพียงข้างเดียวอย่างผมก็ยังช้ากว่าอยู่ดี
บ้าเอ๊ย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ ? !
ผมกัดฟันแน่นแล้วเร่งความเร็วอีก แต่เมื่อหักเลี้ยวตรงทางโค้งก็ต้องพบกับความน่าหงุดหงิดครั้งยิ่งใหญ่เมื่อไอ้คนจรจัดที่เพิ่งขโมยมือถือกับรองเท้าข้างหนึ่งมันหายตัวไปแล้ว
แค่นึกถึงก็โมโห ผมพยายามไล่ความคิดเหล่านั้นไปแล้วกลับมาสนใจปัจจุบันที่ป็นอยู่ สถานีรถไฟยังคงน่าเบื่อเมื่อไม่มีเสียงเพลงจากหูฟังช่วยฆ่าเวลา จะโทรไประบายให้ไอ้ชานยอลเพื่อนรักฟังก็จำเบอร์โทรไม่ได้อีก เท่าที่จำได้ก็ตอนสมัยมอต้นโน่นแหละที่ผมขยัน จำเบอร์โทรเพื่อนและคนที่บ้าน แต่นี่มันสองพันสิบห้าแล้ว ขนาดเบอร์ตัวเองผมยังจำไม่ได้คงไม่ต้องพูดถึงคนอื่น
ก้มมองรองเท้าแตะโง่ ๆ ซึ่งหาซื้อได้ในมินิมาร์ท GS25 แน่นอนว่ามันเป็นจุดดึงดูดความสนใจจากคนรอบข้างกับลักษณะการแต่งตัวของผมที่มันแสนจะธรรมดาและเข้าท่า เมื่อคู่กับคอนเวิร์สกรัง ๆ แต่พออยู่กับไอ้รองเท้าแตะคู่นี้ดันให้ความรู้สึกที่แตกต่างราวกับฟ้าเหว เมื่อมันเพิ่มดีกรีความสถุนให้กับผมได้เป็นอย่างดี
หยิบหนังสือของอดีตคนรักขึ้นมาเปิดอ่านหน้าถัดไป ผมได้แต่บอกกับตัวเองว่าหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง เลยต้องอ่านงานเขียนของยัยตัวแสบเพื่อสร้างภูมิต้านทานให้ตัวเอง จะเจ็บก็ต้องเจ็บให้มันสุด ๆ
บทที่สอง ‘ยิ้มให้เพื่อนมนุษย์’
อ่านหัวข้อจบถึงกับตาเหลือกแล้วทำท่าปัดปีกนางฟ้าที่เหมือนกับว่ามันพุ่งออกมาจากหนังสือเล่มนี้ ผมอ้าปากหวอ แล้วถามสมองว่าถ้ากลับไปทำหนังสืออีกครั้ง ผมจะมีความคิดปัญญาอ่อนแบบนี้ไหม ซึ่งคำตอบก็ชัดเจนเลยว่า ‘ไม่’
แต่ในเมื่อหยิบมันติดมือมาและก็ได้ลองทำข้อแรกไปแล้ว การประชดชีวิตเบิ้ลด้วยข้อที่สองอีกจะเป็นไรไป ไหนลองดูซิ... ถ้าทำสำเร็จแล้วไอ้รองเท้าแตะเส็งเคร็งคู่นี้จะถูกขโมยอีกไหม ?
“...ไปนั่งตรงนั้นกันลูก”
นั่นคือเสียงของผู้เป็นแม่ที่โอบไหล่ลูกสาวตัวเล็กให้ย้ายไปนั่งที่อื่นหลังจากเห็นผมยิ้มให้ วินาทีนี้ต้องรู้สึกยังไงกับอาการปวดหนึบยิ่งกว่าถูกหักอก ผมแค่ยิ้มรึเปล่าครับสังคมไม่ได้ควักจัมโบ้จงอินออกมาโชว์สักหน่อย
ปิดหนังสือโง่ ๆ แล้วโยนมันทิ้งไว้ข้างตัวเมื่อทำภารกิจที่สองสำเร็จแถมพ่วงความรู้สึกแย่มาด้วย ผมปล่อยให้สมองคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแล้วก็ไม่วายนึกถึงเรื่องผู้หญิงคนนั้น ทั้งเรื่องในอดีต วันดี ๆ ที่เคยมีด้วยกันไปจนถึงครั้งสุดท้ายที่มีโอกาสได้เห็นหน้า
เสียดายรูปถ่ายเกือบหมื่นที่ไม่เคยคิดลบทิ้ง แม้ว่าจะเปลี่ยนมือถือมาแล้วถึงสามเครื่อง ผมถ่ายข้อมูลลงเครื่องใหม่ตลอดและคิมยูจินก็แฮปปี้จะตายไปตอนเห็นว่ามีรูปคู่ของเราสองคนอยู่เต็มเครื่อง ถามว่าทำเพื่อเอาใจเธอเหรอก็คงไม่ปฏิเสธ ผู้ชายฉลาดแค่เรื่องงานอย่างผมจะรู้จักวิธีเอาใจผู้หญิงสักเท่าไหร่กัน ?
แต่พอมาคิด ๆ ดูแล้ว บางทีการที่มือถือถูกขโมยมันอาจเป็นสัญญาณบอกให้ผมทิ้งความทรงจำทุกอย่างไปได้แล้ว เพราะถึงเก็บไว้มันก็มีแต่จะเป็นหนามตำใจเปล่า ๆ ผมหลับตาลงแล้วเอนหลังพิงกับกระจก จากอาการเมาค้างยังคงทำให้รู้สึกเพลียอยู่ไม่น้อย นี่คิดถูกแล้วใช่ไหมที่มาเที่ยวทั้งที่สภาพยังทุลักทุเลแบบนี้
การเดินทางด้วยรถไฟสิ้นสุดลง ผู้คนไม่ถึงสิบออกจากขบวนรถจนเหลือผมเป็นคนสุดท้าย มองจากตรงนี้แล้วคาดว่าคงเป็นสถานีที่ไม่ค่อยมีคนลงถ้าเทียบกับสถานีก่อนหน้า แต่เอาเถอะ ผมเองก็ไม่มีเป้าหมายว่าจะต้องไปไหน ไม่มีใครรอ เพราะฉะนั้นเลยไม่จำเป็นจะต้องรีบ
กวาดสายตาไปรอบตัวแล้วหลับตาสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด มันคือเรื่องดีที่หันไปเห็นสิ่งสวยงามของธรรมชาติหลังจากเจอเรื่องแย่มาตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ผมรูดซิปกระเป๋าแล้วเอากล้องดิจิตอลออกมา ถ่ายภาพบรรยากาศรอบข้างเก็บเอาไว้สิบกว่ารูป ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าสถานีเพื่อตั้งหลัก ก่อนหาที่พัก ผมต้องหารถเข้าไปในเมืองเสียก่อน
ป้ายบอกทางขึ้นสนิมทางด้านขวามือคือสิ่งเดียวที่ช่วยคนปากหนักได้ในตอนนี้ ผมเดินไปตามทางที่บอกว่าอีกไม่กี่ร้อยเมตรจะเจอป้ายรถเมล์ แต่เดินเท่าไหร่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะเห็นหลังคาหรือแม้แต่เพิงหมาแหงนที่บ่งบอกว่านั่นคือป้ายรถเมล์
จากใจคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายบ่อย ขอบอกเลยว่าผมเริ่มหอบ หันไปรอบข้างก็เจอแค่ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีที่จะให้ล้วงกระเป๋าเอากล้องออกมายกถ่ายรูปก็ยังไม่ไหว ผมหันหลังกลับไปมองทางที่เพิ่งผ่านมา ไม่มีแล้วหลังคาสถานีรถไฟ นี่ผมเดินมาไกลขนาดนี้เลยเหรอ ?
ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นถนนแล้วเอาขวดน้ำที่เหน็บอยู่ข้างกระเป๋าขึ้นมาดื่มดับกระหาย แค่เห็นทางเดินก็ท้อเหลือเกิน ไม่ไหวแล้ว ถ้าให้เดินต่อไปอย่างไร้จุดหมายคิมจงอินคงตายแน่
ผมนั่งอยู่ตรงนั้นราว ๆ ครึ่งชั่วโมงหรืออาจจะมากกว่านั้น ซึ่งสามารถเอาเวลาส่วนนี้ไปจัดการกับต้นฉบับของเหล่านักเขียนขี้เกียจได้อยู่หลายหน้า ผมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพยายามคิดในแง่ดีว่าปัญหามีไว้แก้ อุปสรรคที่ผ่านเข้ามามันคือการทดลองจิตใจว่ามนุษย์เราจะผ่านมันไปได้ไหม เหมือนที่เคยเขียนไปในหนังสือหลายเล่มแต่ผมเสือกทำตามไม่ได้
ไม่ได้เลยสักอย่างเดียว
“เวรเอ๊ย”
ผมสบถอย่างหัวเสียเมื่อมีรถขับผ่านมาคันหนึ่ง แต่เขาไม่คิดจะหยุดรับผมติดสอยห้อยตามไปด้วย ไหนใครนะบอกว่าคนเมืองกรุงแล้งน้ำใจ แต่คนบ้านนอกนั้นไซร้แค่ขับรถผ่านเฉย ๆ
คือชีวิตถูกพระเจ้ากลั่นแกล้งอยู่เหรอ แฟนก็หนีไปมีคนใหม่ แถมเพิ่งแต่งงานไปสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อเช้าช่วยเด็กหาแม่จนมือถือกับรองเท้าข้างหนึ่งถูกขโมย นี่สิ่งที่ทำไปไม่ได้ส่งบุญส่งกุศลเลยใช่ไหมถามสักนิด ผมทึ้งหัวตัวเองแล้วเตะขวดน้ำบนพื้นอย่างแรง หวังให้มันช่วยบรรเทาความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นในวินาทีนี้
ชีวิตคิมจงอินแม่งโคตรห่วยแตก
ป๊อง !
เสียงนั้นคาดว่าคงไม่ได้เกิดจากขวดพลาสติกโขกกับยอดหญ้าที่ปลิวไสวกับสายลมแน่ ผมหันไปตามต้นเสียงแล้วก็ต้องเบิกตากว้างทันทีที่เห็นว่ามีเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนนั่งอยู่บนจักรยานแล้วเตะขาตั้ง ก่อนก้มลงไปเก็บกังหันลมสีขาวกับขวดน้ำบนพื้นขึ้นมาดู
เด็กผู้ชายคนนั้นยืนจ้องมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาทางผมที่ยืนอยู่ห่างประมาณหกถึงเจ็ดเมตร คาดว่าหายนะกำลังคลานมาตบหน้าผมอย่างต่อเนื่องทันทีที่เห็นว่ากังหันลมสีขาวอันนั้นหักครึ่ง ซึ่งถ้าให้เดาล่ะก็... แท่งไม้ที่ปักอยู่ตรงแฮนด์จักรยานนั่นคงเป็น ส่วนฐานของมัน
แต่เรื่องกังหันลมโง่ ๆ อันนั้นจะไปสำคัญเท่ากับการขอเด็กนี่เข้าเมืองได้ยังไง ?
“เฮ้ยน้อง พี่ขอโทษ”
ผมยิ้มกว้างแล้วตรงเข้าไปหาเด็กหนุ่มตัวผอมที่ยังคงทำหน้าเรียบเฉยเหมือนในทีแรก แต่ถามว่าวินาทีนี้ใครจะไปสนรอยยิ้มใด ๆ ในโลกนี้กัน สิ่งสำคัญที่สุดคือผมต้องได้นั่งซ้อนท้ายเด็กคนนี้เข้าไปในเมือง แทนที่จะใช้ขาหลังทั้งสองเดินเตะฝุ่นไปอย่างไร้จุดหมาย
“พี่ไม่ได้ตั้งใจน่ะ ไม่รู้ว่ามีคนอยู่ตรงนี้ ค่าเสียหายเท่าไหร่ล่ะ เดี๋ยวจ่ายคืนให้”
“...”
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก...
ผมเม้มปากเป็นเส้นตรงขณะสบตากับเด็กหนุ่มที่ส่วนสูงไล่เลี่ยกัน ดูจากเค้าโครงหน้า จมูก ตา ริมฝีปาก ไหนจะหุ่นที่ผอมสูงดูดีก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเด็กคนนี้ไปอยู่โซลคงถูกทาบทามให้เดบิวท์เป็นไอดอลในค่ายดัง ๆ สักแห่งแน่
ที่ไม่พูดไม่จานี่คืออะไร โกรธ เดือด ฉุน โมโหที่ผมทำกังหันลมพังหรือยังไง ผมยิ้มจนเหงือกแห้งก็แล้ว แต่เด็กคนนี้ก็ยังเอาแต่มองอยู่นั่น เหมือนดูเชิงว่าผมจะพูดอะไรต่อ
“น้อง”
“...”
“เฮ้ย อย่าทำหน้างั้นดิ พี่ไม่ได้ตั้งใจไง คือไอ้นั่นมันก็ราคาไม่กี่วอนเองเปล่า ?”
ผมบุ้ยปากไปที่กังหันในมืออีกคน ก่อนที่เด็กนั่นจะก้มลงมองอีกครั้งอย่างอาลัยอาวรณ์ ถึงผมจะไม่ได้มาชนบทบ่อย ๆ แต่ก็ไม่คิดว่าเด็กที่นี่จะยึดติดกับของเล่นกะโหลกกะลาที่สามารถหยิบจับเอากระดาษกับพลาสติกมาประกอบกันได้แบบนี้ นี่มันปีสองพันสิบห้าแล้วไหม ?
“พี่ให้หมื่นวอนเป็นค่าเสียหาย แล้วพี่จะจ้างอีกหมื่นวอนช่วยปั่นจักรยานพาพี่เข้าไปในเมืองที” ผมเอากระเป๋าตังค์ออกมาแล้วควักเงินตามที่ยื่นข้อเสนอไป แต่ถึงอย่างนั้น เด็กหน้าตายนี่ก็ยังเฉยอยู่ “เฮ้”
เป็นพวกผูกใจเจ็บเหรอ ก็เคยอ่านหนังสือผ่าน ๆ อยู่หรอกว่าคนบ้านนอกเขาจริงจังเรื่องความรู้สึกแม้ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหน แต่ที่เอาเงินให้ก็ไม่ได้ดูถูกสักหน่อย ผมก็แค่อยาก รับผิดชอบกับสิ่งที่ทำ (แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ) ส่วนเรื่องขอติดจักรยานเข้าเมืองก็ถือว่าเป็นค่าขนมไปสิ
“ไม่พอเหรอ งั้นพี่เพิ่มให้อีกหมื่นนึง”
ยัง... ยังเงียบอยู่
“ไม่เอา ? ไม่ไป ? ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ตอบเลยคืออะไร ?” ผมเริ่มฉุน แต่ก็ปล่อยให้เด็กคนนี้ปั่นจักรยานไปเฉย ๆ ไม่ได้ ถือว่าโอกาสมาถึงแล้ว ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องทำอะไรสักอย่าง “มีเบอร์โทรคนที่มีรถไหมล่ะ โทรเรียกเขามารับพี่ก็ได้ถ้าเราไม่อยากไป เดี๋ยวให้ค่าขนม”
เด็กคนนี้ส่ายหน้าเป็นคำตอบ ผมถึงกับเลิกคิ้วขึ้นแล้วแบมือทั้งสองข้างออกอย่างไม่เข้าใจ อะไรคือไม่มีมือถือ ที่นี่ก็ไม่ได้กันดารอะไรขนาดนั้น แม้ว่าจุดที่ผมอยู่จะเป็นนอกตัวเมือง แต่เด็กบ้านนอกยังนิยมพับกระดาษใส่ซองแล้วส่งจดหมายทางตู้ไปรษณีย์อยู่หรือไงกัน ?
คนตรงหน้าชูนิ้วชี้ขึ้นบอกให้ผมรอ ก่อนจะปล่อยสายกระเป๋าเป้ออกข้างหนึ่ง รูดซิบเอาโพสต์-อิทสีเขียวอ่อนกับปากกาออกมาอย่างใจเย็น ผิดกับตัวผมที่กำลังหงุดหงิดเพราะทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจเลยสักอย่าง นี่ดีแค่ไหนที่ยังเก็บปากเก็บคำไว้ได้โดยที่ไม่เหวี่ยงใส่คนแปลกหน้าที่เพิ่งสนทนากันไป---
ไม่สิ ต้องบอกว่าพูดเองเออเองอยู่คนเดียวถึงจะถูก
เด็กหนุ่มเขียนอะไรบางอย่างแล้วพลิกกระดาษมาให้ดู ผมไม่คิดเลยว่าคนตรงหน้าจะมีวิธีทำให้ผมหยุดพ่นคำโง่ ๆ และรู้สึกผิดได้เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ ที่เขียนลงบนกระดาษแผ่นนั้น
“...”
ผมยังคงไม่ละสายตาออกจากกระดาษจนกระทั่งอีกฝ่ายยื่นมันมาให้ถือ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวแค่อยากฝากขยำเป็นก้อนแล้วทิ้ง หรือแค่ให้เป็นที่ระลึกแบบว่าถ้าเจอมันเมื่อไหร่จะต้องรู้สึกผิดไปจนวันตายแน่ที่หยาบคายใส่คนพูดไม่ได้ไปตั้งมากมายขนาดนั้น
“ก็ไม่บอกตั้งแต่แรก เอาแต่ทำหน้ามึนใส่อยู่นั่น” ผมหรี่ตามองเด็กตัวสูงที่ยังคงมองมาด้วยแววตาเรียบเฉยเหมือนก่อนหน้านี้ “หมายถึงว่าทำไมไม่เขียนบอกตั้งแต่แรก”
ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนเสียสติที่เอาแต่พูดอยู่คนเดียว ส่วนคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ก้มหน้าก้มตาเขียนลงไปในโพสต์-อิทเพื่อโต้ตอบบทสนทนากับผม
“โอเค ช่างหัวเรื่องนั้นไป เอาเป็นว่าขอโทษที่หยาบคายใส่นะ” ผมตบบ่าอีกคนหวังจะผูกมิตร แต่ก็ต้องชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทีที่ดูเหมือนว่าจะตกใจ “เป็นอะไรเปล่า ?”
เจ้าตัวส่ายหน้าเป็นคำตอบ ถ้าไม่คิดไปเอง ผมว่าเด็กคนนี้คงมีอะไรบางอย่างในใจแต่ไม่อยากบอก
“ชื่ออะไรน่ะเรา ?”
ความรู้สึกคนเราเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาและเหตุผลที่ได้เจอ ซึ่งผมเชื่อว่ามันเป็น อย่างนั้นเมื่อเด็กหน้าตายที่คิดว่าหยิ่งจองหองกลับน่าเอ็นดูขึ้นมาหลังจากที่รู้ว่าเจ้าตัวพูดไม่ได้ แถมยังจอดจักรยานไว้ตรงนี้เพื่อฟังคนแปลกหน้าบ่นห่าเหวอะไรก็ไม่รู้
ผมควรใจเย็นลงกว่านี้
“พี่ชื่อจงอิน คิมจงอิน อายุยี่สิบแปด แล้วเราล่ะ ?”
ละแวกนี้มีเพียงแค่เสียงลมหวีดหวิวที่ทำลายความเงียบ ผมกำลังทำความรู้จักกับ เด็กมอปลายซึ่งใช้วิธีสื่อสารที่ต่างกัน ‘เซฮุน’ ตอนก้มหน้าก้มตาตวัดลายเส้นของปากกาลงไปในกระดาษนั้นดูซื่อตามฉบับคนชนบทจริง ๆ
“ยี่สิบแล้ว ?” เจ้าตัวพยักหน้าแล้วดึงโพสต์-อิทใบนั้นมาให้ผมถือไว้อีกใบ
“ไหงงั้น มันไกลมากเลยดิ ?” ผมเลิกคิ้วถาม ส่วนคนตรงหน้าก็จรดปลายปากกาลงไปอีกครั้ง
“อ๋อ เป็นนักเรียนอยู่เลยกลับบ้านค่ำไม่ได้สินะ โอเค แต่ก็ยังดีที่มีน้ำใจจะไปส่ง”
ผมยิ้มพอใจที่คนตรงหน้าไม่รีบจรดปลายปากกาลงไปเพื่อยื่นโพสต์-อิทสีเขียวให้พร้อมข้อความว่า ‘ผมเปลี่ยนใจแล้ว’ อะไรเทือก ๆ นั้น ผมกลับไปคว้ากระเป๋าเป้บนพื้นหญ้าขึ้นมาสะพาย อย่างน้อยก็โล่งอกไปเปราะหนึ่งที่ไม่ต้องติดแหงกอยู่กลางทุ่งหญ้าแบบนี้ พอเดินกลับมาก็เห็นว่าเซฮุนวางกังหันลมกับขวดน้ำของผมไว้ในตะกร้าก่อนจะขึ้นไปคร่อมเบาะ
“ไอ้นั่นแพงหรือเปล่า เดี๋ยวพี่ซื้อให้ใหม่” เซฮุนยิ้มแล้วโบกมือปัด ๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร
ผมไม่ใช่พวกชอบคาดคั้นคนอื่นนอกจากว่าจะรู้สึกผิดจริง ๆ อย่างเช่นเมื่อครู่นี้ที่เอาแต่ถามอยู่ได้ว่าจะอย่างนั้นไหม จะอย่างนี้ไหม แต่ให้ทำยังไงได้ มนุษย์เรามีความย้อนแย้งในตัวเองกันทุกคนนั่นแหละ แม้แต่ตัวผมเองที่บางครั้งก็เด็ดขาดกับเรื่องที่คนอื่นไม่กล้า แต่กับบางเรื่องผมก็ใช้เวลาตัดสินใจอยู่นานจนทำให้นึกโกรธตัวเอง
ตั้งแต่จำความได้ก็ตอนมอต้นล่ะมั้งที่แตะจักรยานครั้งล่าสุด ผมหลับตาลงแล้วปล่อยให้กลิ่นอายของธรรมชาติช่วยบำบัดจิตใจ เซฮุนไม่ใช่เทพบุตรขี่ม้าขาว แต่เป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งที่มาช่วยผมไว้ในยามคับขัน นอกจากเรื่องเด็กในสถานีรถไฟ เซฮุนก็คงเป็นอีกเรื่องดี ๆ ที่ได้เจอในวันนี้
“ที่บ้านเจ้าระเบียบเหรอ”
ผมมองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่กำลังปั่นจักรยานระหว่างรอคำตอบ แต่การที่อีกฝ่ายหันมาเล็กน้อยแล้วยกมือขึ้นเหมือนอยากจะอธิบายอะไรสักอย่างมันทำให้รู้ว่าเผลอโชว์โง่ออกไปอีกแล้ว
“จอด ๆ” เซฮุนไม่ได้ยึกยักลีลา ผมลงจากเบาะหลังทันทีที่ขาทั้งสองข้างของคนปั่นวางบนพื้น ก่อนที่ใบหน้าขาวจะหันกลับมามองผมที่กำลังคลายสายกระเป๋าเป้ซึ่งอัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้าออกพร้อมวางใส่มือเด็กคนนี้ “ลงมา เดี๋ยวพี่ปั่นเอง”
เซฮุนทำท่าจะล้วงกระเป๋าเอาโพสต์-อิทหวังตอบโต้บทสนทนา แต่ผมดันข้อมือเขาลงแล้วส่ายหน้าห้ามเอาไว้
“ปั่นจักรยานสองคนแต่ไม่คุยกันเลยก็จะยังไงอยู่”
เด็กตัวสูงยังคงนั่งอยู่บนเบาะขณะที่เรายังสบตากัน ผมขยับเข้าหาอีกฝ่ายก้าวหนึ่งแล้วค่อย ๆ หยั่งเชิงเอื้อมมือไปรูดซิปกระเป๋านักเรียน ซึ่งมันเป็นเรื่องถือวิสาสะ แต่ถ้าเซฮุนเบี่ยงตัวหลบแค่นิดเดียว ผมก็จะขอโทษแล้วถอยออกมา แต่มันไม่ใช่อย่างที่คิด เมื่อเด็กคนนี้ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้ผมเอาโพสต์-อิทกับปากกาได้อย่างถนัด
ถ้ามองด้วยตา ผมคิดว่าเซฮุนเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวอยู่พอสมควร อาจเป็นเพราะเจ้าตัวพูดไม่ได้เลยทำให้สร้างกำแพงขึ้นมาเป็นเกราะกำบังความเจ็บปวดที่อาจจะมาจากคนรอบข้าง สังเกตจากที่เด็กคนนี้ผงะตอนผมวางมือบนไหล่น่ะนะ คนที่ทำได้แค่ฟังคนอื่นแล้วสื่อสารด้วยการเขียนลงบนกระดาษจะใช้ชีวิตลำบากแค่ไหน นั่นคือเรื่องที่ผมใช้ความคิดระหว่างปั่นจักรยานให้อีกคนนั่ง
“อย่าเอาลงจนกว่าพี่จะบอกนะ อ่านรวดเดียวไม่ได้เดี๋ยวพาคว่ำ” ผมพูดติดตลก ซึ่งบางทีอาจจะมีแค่ผมที่คิดว่ามันน่าขำ เพราะไม่มีเสียงหัวเราะในลำคอออกมาจากคนที่นั่งอยู่ข้างหลังเลยสักนิด นี่เป็นอีกข้อสงสัยหนึ่งว่า... คนที่พูดไม่ได้นี่เขาจะหัวเราะมีเสียงไหม ?
ผมเหลือบตามองถนนลาดยางสองเลนสลับกับโพสต์-อิทที่อีกคนยื่นมาให้อ่าน อดยิ้มไม่ได้กับประโยคธรรมดาที่ทำให้เด็กคนนี้ดูน่ารักขึ้นเพียงเพราะนึกถึงคนที่บ้าน ถึงแม้ว่าบางทีโอเซฮุนอาจจะแค่หาข้ออ้างเพื่อหนีจากผม
“คนแก่เป็นแบบนี้ทุกคนเลยหรือไง จะไม่ยอมกินข้าวจนกว่าลูกหลานจะกลับ”
ผมหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ มันทำให้นึกไปถึงยายของผมที่ชอบนั่งอยู่บนโซฟาพร้อมแท็บเล็ตในมือและสายตาที่กลอกขึ้นเวลามีผู้มาใหม่เข้าไปในพื้นที่ของแก ยายจะไม่ยอมเงยหน้าออกจากแคนดี้ครัชเด็ดขาด เรื่องนี้แม่บ่นให้ฟังจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
“ถามจริง ตอนที่เห็นพี่ไม่กลัวถูกปล้นเหรอ ?”
ผมยิ้มอีกแล้ว
“รู้ดีจังนะ ติดตามข่าวตลอดเลยสิ ?”
“โว้ว กำลังทำตัวเป็นเด็กดีเพราะอยากให้พี่ชมหรือไง ?” ผมละสายตาจากโพสต์-อิทแล้วเอี้ยวหน้าไปมองแววตาคู่นั้นที่ดูเหมือนจะแอบว่าผมอยู่ในใจ ผมหันไปสนใจกับถนนอีกครั้งทั้งที่ยังยิ้มอยู่ ในใจกำลังสนุกกับการคาดเดาว่าเด็กคนนี้จะตอบโต้ยังไง
ทันทีที่อ่านจบผมก็กำเบรกแล้วเอาขาลงเมื่อถึงจุดที่รอบข้างไม่ได้มีแต่ทุ่งหญ้าอย่างก่อนหน้านี้ มีซุ้มเล็ก ๆ ที่ชาวบ้านที่นี่คงเรียกว่าป้ายรถเมล์ซึ่งมีคนแก่นั่งอยู่ตรงนั้นสองคน ดูเหมือนว่าเราทั้งคู่จะมาถึงที่หมายแล้วหลังจากผมอ่านประโยคเดธแอร์จบพอดี เด็กตัวผอมลงจากจักรยานก่อนจะยื่นกระเป๋าคืนให้และผมก็รับมาสะพายไว้
เราสบตากันเหมือนว่าอยากพูดอะไรสักอย่าง ซึ่งคงมีแค่ผมที่ทำอย่างนั้นได้ เซฮุนไม่ได้ยิ้มตั้งแต่แรก เรื่องนี้ผมรู้และมันคงบ้ามากถ้าผมอยากเห็นเขายิ้มส่งท้ายก่อนที่เราจะไม่ได้เจอกันอีก มันคือเรื่องอะไรที่อยู่ ๆ ผมก็รู้สึกแย่ขึ้นมาเพราะโพสต์-อิทแผ่นสุดท้ายที่เด็กคนนี้เขียน โอเค ยอมรับก็ได้ว่ารู้สึกคุยถูกคอแม้ว่าจะเป็นคนออกเสียงอยู่ฝ่ายเดียว หรือความจริงแล้วผมอาจจะไม่ชอบการล่ำลา
“เพิ่งกลับบ้านเหรอเซฮุน”
เสียงยายแก่จากป้ายรถเมล์เรียกความสนใจให้เราทั้งคู่หันไปมองและผมก็ได้รู้อีกเรื่องว่าโอเซฮุนไม่ได้ทำหน้าตายเป็นอย่างเดียว เมื่อเจ้าตัวยิ้มแล้วโค้งหัวทักทายคุณยายทั้งสองพร้อมทำมือไม้ประกอบ ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีแค่ผมคนเดียวที่ไม่รู้ว่าเด็กนี่กำลังทำอะไร
“อ่า... แบบนั้นจะดีเหรอ” เธอหรี่ตามองทั้งที่ยังยิ้มอยู่ ก่อนที่เซฮุนจะสื่อสารกับเธอด้วยภาษามืออีกครั้ง “ตกลง ฝากขอบคุณยายของหนูด้วยนะลูก”
ผมกลอกตามองทั้งสองฝั่งสลับกันไปมา มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์จริง ๆ ที่มนุษย์เราสามารถสื่อสารกันได้ด้วยภาษามือ ซึ่งถ้าผมหลับตาฟังยายแก่คนนั้นคงกลายเป็นคนบ้าได้เลยที่เอาแต่พูดแล้วก็หัวเราะอยู่คนเดียว
พอหลุดออกจากความคิด ผมก็ผงะเล็กน้อยทันทีที่รู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องอยู่ จากแววตาที่มองมาถ้าจะให้ลองเดาเอาเองแบบอวดดีละก็ คาดว่าเซฮุนคงอยากกลับบ้านเต็มกลืนแล้ว
“ขอบใจมากที่มาส่งพี่ นี่ค่าขนม” เด็กหนุ่มหลุบสายตาลงมองเงินในมือผมก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ
เซฮุนก้าวขาข้ามเบาะแล้วโค้งหัวลายายแก่ทั้งสองและหุบยิ้มเมื่อหันมาหาผม คือทำไมเหรอครับ หนังหน้าผมนี่มันเหมือนตัวดูดรอยยิ้มอะไรขนาดนั้นเหรอ นี่ก็ไม่ได้เป็นฝ่ายยิ้มก่อนตามที่หนังสือบอกด้วยไหมล่ะสังคม
“เอาไปเถอะน่า”
อีกฝ่ายส่ายหน้า
“โอเซฮุน” ผมขมวดคิ้วมองดุ เด็กคนนี้กำลังบังคับให้ผมโชว์โหดต่อหน้าคนแก่อยู่นะ
เด็กตัวผอมมองมาด้วยสายตาเรียบเฉยก่อนจะไหวไหล่แล้วปั่นจักรยานไปเสียดื้อ ๆ ผมเบิกตาอย่างตกใจกับการถูกปล่อยเซอร์อย่างไร้เยื่อใยทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เรายังดีกันอยู่เลย คือไปพูดสะกิดต่อมอะไรน้องเขาหรือยังไง ผมได้แต่ยืนแห้งอยู่ตรงนี้แล้วมองอีกคนปั่นจักรยานหนีไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย
“อะไรวะ” ได้แต่สบถทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากแผ่นหลังที่ห่างออกไปไกลแล้ว ผมจิ๊ปากอย่างขัดใจก่อนจะผงะอีกครั้งเมื่อหันไปเห็นว่ายายแก่สองคนนั้นพร้อมใจกันจ้องมาทางนี้
“ไม่ใช่คนแถวนี้สินะพ่อหนุ่ม”
ตั้งแต่ลงจากสถานีรถไฟนี่แทบจะเป็นเสียงแรกที่ทำให้รู้สึกว่าคิมจงอินไม่ได้หูหนวก หยุดใช้ความคิดอยู่แค่เสี้ยววินาทีก่อนจะฉีกยิ้มเป็นการทักทายแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบ ผมจะต้องทำตัวให้กลมกลืนกับที่นี่เข้าไว้
“ผมมาจากโซลครับคุณยาย” เดินไปนั่งข้างเธออย่างนอบน้อม การตีสนิทคนแก่มันต้องดีกว่าเดินตามป้ายโง่ ๆ ที่บอกทางผิดแน่ ผมเชื่ออย่างนั้น
“มาเที่ยวเหรอ”
“ครับ ชีวิตในเมืองกรุงมันเหนื่อย” ผมหัวเราะในลำคอสร้างบรรยากาศ
“ตอนแรกก็นึกว่าเป็นเพื่อนเซฮุนซะอีก พักแถวไหนล่ะลูก” คุณยายที่นั่งฝั่งขวาสุดถาม
“อ่า... ยังไม่มีที่พักเลยครับ จะว่าไปแล้วผมไม่ได้วางแผนมาก่อนเลยว่าจะต้องทำอะไรยังไงบ้าง นึกอยากแพ็กกระเป๋าก็แพ็ก ค่ำไหนก็นอนนั่นน่ะครับ”
ผมยังคงหัวเราะ ซึ่งมันเป็นเรื่องดีที่เธอไม่เบ้ปากแล้วสวนกลับมาว่า ‘เด็กวัยรุ่นสมัยนี้คิดอะไรง่ายดีนะ ไม่วางแผนล่วงหน้ากันเลย’
“ส่วนเด็กคนนั้นเราเพิ่งรู้จักกันเมื่อกี้เอง ผมหลงทาง น้องเลยพามาส่งที่นี่น่ะครับ” ผมยังคงยิ้มและคาดว่ามันคงไม่เป็นพิษเป็นภัยเหมือนตอนอยู่บนขบวนรถไฟ รู้สึกโล่งอกอยู่ไม่น้อยที่แกยังคงยิ้มตาหยีขณะคุยกับผม
“แล้วคิดไว้หรือยังล่ะว่าจะพักแถวไหน”
“ที่จริงผมนอนไหนก็ได้ครับ คุณยายมีที่แนะนำบ้างไหม ?” ในเมื่อไม่มีโทรศัพท์ไว้เสิร์ชหาข้อมูลที่พักก็ต้องพึ่งวิธีนี้แหละ
“มีสิ นั่งรถเมล์ไปอีกหกกิโลก็ถึงแล้ว มีห้องพักถูก ๆ อยู่แถวนั้น ถ้าไม่คิดมากเรื่องขนาดห้องนะ” เธอว่า
“ผมไม่ซีเรียสครับ ขอแค่มีที่ซุกหัวนอนก็โอเค” จังหวะนี้ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ห้องกว้างพร้อมเตียงคิงไซส์ที่กระชากผ้าม่านออกแล้วเห็นวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติที่โลกสร้างไว้หรอก อะไรก็เอาทั้งนั้น
ผมขอคำปรึกษาจากคุณยายทั้งสองคนระหว่างรอรถเมล์ แกบอกว่ารถจะมาเป็นเวลาซึ่งจะเขียนไว้ในแต่ละป้าย นั่นหมายความว่าถ้าผมจะไปไหนมาไหนก็ต้องกะเวลาไว้ไม่งั้นพลาด
อย่างคิมจงอินอาจดูไม่น่าเข้าหาและน่ากลัวสำหรับคนเป็นแม่และเด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบ แต่ถ้าเป็นเด็กรุ่นมหา’ลัยไปจนถึงวัยชรา ผมมั่นใจว่าสกิลยิ้มหน้าซื่ออย่างคนอัธยาศัยดียังคงใช้ได้
เราสามคนคุยกันอย่างออกรสเพราะผมเอาแต่ชมที่นี่ตั้งแต่สถานีรถไฟยันทุ่งหญ้ารอบข้าง ซึ่งก็เห็นมันอยู่แค่สองอย่างแต่ยังสามารถหยิบยกมาโม้ได้ คนแก่ก็เป็นอย่างนี้ พอเป็นเรื่องถูกใจก็พูดไม่หยุดแถมออกนอกทะเลไปไหนต่อไหน แต่มันก็ไม่แย่ถ้าให้เทียบกับการเดินด้วยรองเท้าแตะตามลำพังท่ามกลางความเงียบ
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจที่ทำให้ถามถึงเซฮุน ถ้าจะบอกว่าตอนนั้นผมหมดไอเดียที่จะขุดเรื่องมาคุยกับคุณยายละก็... ผิดแล้ว เรื่องวิธีสั่งอาหารผ่านแอพในมือถือนี่เอามาคุยได้ยันปีหน้า ยายแกอัศจรรย์ใจมากคงเพราะสภาพผมดูเหมือนคนไม่มีเงินเลย
“อ๋อ เมื่อกี้เขาบอกว่าจะเอาส้มมาให้ที่บ้านน่ะ”
“ยายเข้าใจภาษามือด้วยเหรอครับ ผมว่ามันยากมากเลยนะ” ขมวดคิ้วพร้อมทำมือไม้ประกอบ
“ก็เห็นกันมาตั้งแต่เด็กคนนั้นยังตัวเท่านี้” คุณยายคนข้าง ๆ ยกมือขึ้นระดับหัวไหล่ “บางอย่างก็เข้าใจ แต่ถ้ามันยากเกินไปเซฮุนก็จะเขียนให้อ่าน เปลืองกระดาษสมุดทุกที” เธอหัวเราะ
“คนแก่ก็อย่างนี้แหละ มองตัวหนังสือเล็ก ๆ ไม่เห็นหรอก” คุณยายอีกคนเสริม ผมเลยพยักหน้าเข้าใจ
“เซฮุนเป็นเด็กน่ารัก วันหยุดก็ไม่เห็นไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนที่ไหน อยู่เป็นเพื่อนยายที่บ้าน”
“น่าสงสารนะ ทั้งที่เคยเป็นเด็กร่าเริง พูดเจื้อยแจ้วแท้ ๆ”
ผมหุบยิ้มทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ แน่นอนว่ามันสร้างความสงสัยเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณกับคำว่า ‘ทั้งที่เคยเป็นเด็กร่าเริง พูดเจื้อยแจ้วแท้ ๆ’
“หมายความว่าเซฮุนไม่ได้เป็นใบ้เหรอครับ ?”
“ใช่แล้วลูก” ยายคนฝั่งขวาสุดตอบสั้น ๆ และดูเหมือนว่าแกไม่อยากพูดอะไรอีก
จากที่เคยคุยกันอย่างถูกคอก็ดูระวังคำพูดมากขึ้น ผมเห็นว่าเธอสองคนหันไปมองกันแล้วส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามไม่ให้พูดอีก ซึ่งผมคงไม่ถามคาดคั้นเอาคำตอบเพราะความอยากรู้อยากเห็นทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าลำบากใจที่จะพูดถึง อีกอย่าง เด็กคนนั้นก็บอกเองว่าเราคงไม่ได้เจอกันอีก
ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะถามไปเพื่ออะไร ?
TBC
นี่เป็นฟิคสั้นที่เราเขียนเป็นรูปเล่มเพื่อเป็นรางวัลในงาน #มีตติ้งไคฮุน ที่เพิ่งผ่านไปนะคะ คนที่ได้รางวัลถือว่าได้เล่มไปสะสมเนอะ ส่วนคนที่ไม่ได้ก็อ่านในนี้
ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอาลงจบภายในกี่ตอน เพราะเราไม่ได้ทำไฟล์รูปโพสต์-อิทไว้ (อยู่กับติ๋ม ซึ่งทำในอีกโปรแกรมนึง มันต้องแปลงไฟล์รูปอะ เลยทำใหม่เองเลย ใช้เวลาหน่อยค่ะ แหะ)
เราไม่ถนัดงานเขียนบุรุษที่หนึ่งเลย แต่พล็อตเรื่องนี้ต้องบรรยายในมุมมองจงอินเท่านั้น ไม่รู้ว่าจะชอบกันหรือเปล่า ยังไงก็แนะนำ ติติงกันได้ในแท็ก #AmongPages ได้เลยนะคะ (:
ความคิดเห็น