คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Intro
Intro
คำว่า... ‘เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน’ กับ ‘โตขึ้นตามกาลเวลา’
คำไหนเหมาะกับ ‘ปาร์คชานยอล’ มากกว่ากัน?
ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่รอบข้างเต็มไปด้วยโปสเตอร์วงศิลปินชื่อดังเช่น Jason Mraz และอีกหลากหลายพอลดระดับสายตาลงมาหน่อยก็พบกับซากอารยธรรมอันดีงามที่กองระเกะระกะอยู่บนพื้นซึ่งมันคงไม่ใช่อะไรนอกจากเสื้อผ้าและลูกบาสเกตบอลที่ถูกเขวี้ยงใส่ผนังอย่างแรงเพราะอารมณ์โทสะเมื่อครู่
เด็กหนุ่มตัวสูงนั่งอยู่กับขอบเตียงพลางหายใจเข้าลึก ๆ พยายามสงบสติอารมณ์หลังจากมีปากเสียงกับใครอีกคนที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้าม ในมือของเขามีกระดาษยับยู่ยี่แผ่นหนึ่งพร้อมกับซองจดหมายที่ซ้อนอยู่ข้างล่างซึ่งสภาพมันก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ หลุบสายตาลงก่อนจะคลี่กระดาษออก ตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่บ่งบอกถึงเกรดแต่ละวิชานี่แหละที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
ไปซ้อมดนตรีก็ไม่ได้ดั่งใจเลยหนีไปเล่นเกมกับเพื่อนเพื่อระบายอารมณ์สักหน่อย เล่นไปหกตาแพ้ห้านี่กูเล่นไปเพื่ออะไร ‘ปาร์คชานยอล’ อยากจะบ้าตาย พอกลับมาถึงที่ซุกหัวนอนถอดรองเท้าได้แค่ข้างเดียวก็ต้องถอนหายใจเพียงแค่เห็นเจ้าของบ้านยืนกอดอกมองอยู่ มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่ ‘บยอนแบคฮยอน’ ญาติห่าง ๆ ที่มียศศักดิ์เป็นน้าชายจะยืนจังก้าทำหน้าบึ้งตึงเหมือนเขาทำผิดทุกอย่างแม้กระทั่งกำหนดจังหวะการหายใจ แน่นอนว่าการพูดคุยระหว่างทั้งคู่นั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีเรื่องจำเป็นและดูเหมือนว่ามันจะจำเป็นในวินาทีนั้นขึ้นมาเมื่อคนตัวเล็กกว่าคว้าแขนเขาเอาไว้ให้หันกลับไปมองหน้ากัน
ยังจำสีหน้าของน้าชายได้เป็นอย่างดี สีหน้าที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด อารมณ์เสีย โกรธ โมโหกับกระดาษเฮงซวยแผ่นเดียวที่ส่งมาจากโรงเรียน คำพูดที่เจ้าตัวบอกว่า ‘สั่งสอน’ แต่เขากลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิดกลับกันแล้วบยอนแบคฮยอนทำได้ดีแต่เรื่องขัดใจและตอกย้ำเขาก็เท่านั้นแหละ ไม่ว่าจะเรื่องดนตรีหรืออะไรก็ตาม น้าชายคนนี้ไม่เคยเห็นด้วยเลยสักครั้ง
ปาร์คชานยอลเป็นเด็กอายุสิบเจ็ดที่กำลังจะสิบแปดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่จะมานั่งให้ใครสั่งสอนว่าไอ้นั่นผิดไอ้นี่ถูก เขาโตพอที่จะคิดเองได้แล้ว มันไม่น่าเบื่อไปหน่อยเหรอที่ต้องมาทนฟังคนบ่นทุกวี่ทุกวันกับเรื่องเดิม ๆ ทุกคนมีขีดจำกัดความอดทนซึ่งปาร์คชานยอลก็ไม่ได้มีมากมายอะไรขนาดนั้นเลยเผลอตวาดไป มันก็แค่ประโยคสั้น ๆ แต่คนที่มีศักดิ์เป็นน้าชายกลับขยำใบเกรดแล้วเขวี้ยงใส่หน้าเขาก่อนจะเดินเข้าไปในห้องโดยที่ไม่พูดอะไรอีกเลย
ก็แค่พูดว่า ‘ยุ่งอะไรด้วย พ่อแม่ก็ไม่ใช่’ ...ก็แค่นั้นเอง
หงุดหงิด หิวก็หิว ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย นี่มันวันเหี้ยอะไรวะ? ร่างสูงถอนหายใจหนัก ๆ แล้วหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูง เปิดประตูออกไปแล้วยืนจ้องประตูห้องฝั่งตรงข้ามอยู่ครู่หนึ่ง ชั่งใจว่าจะเอายังไงดีกับชีวิตนี้ ก็รู้ว่าผิดแต่ก็ไม่อยากขอโทษ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทะเลาะกันและมันก็เป็นเขาทุกครั้งที่เป็นฝ่ายเข้าไปขอโทษ แต่คราวนี้มันจะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว ในหัวเอาแต่บอกว่าในเมื่อผิดกันทั้งคู่ คนที่โตกว่าก็ต้องเป็นฝ่ายที่เข้าใจอะไรได้ง่ายกว่าสิไม่ใช่ให้เด็กตามขอโทษอยู่ได้ แบคฮยอนเอาแต่คิดว่าตัวเองโตกว่าโตแล้วเคยผ่านอะไรมาก่อนเขาซึ่งมันก็เป็นแค่ข้ออ้างของคนที่อยากเอาชนะเด็กเท่านั้นแหละ
คราวนี้ปาร์คชานยอลจะไม่ยอมขอโทษแต่จะลองพิสูจน์ดูว่าน้าชายจะสนใจการมาของเขามากแค่ไหน
หมุนลูกบิดเข้าไปในห้องโดยไม่เคาะสักแอะ จะหาคำว่ามารยาทจากปาร์คชานยอลโปรดรอไปอีกห้าล้านปีแล้วจะมีให้ ขนาดได้ยินเสียงเปิดประตูน้าชายขี้บ่นก็ยังเอาแต่สนใจกับอะไรสักอย่างบนโต๊ะทำงานไม่ยอมหันมามองหน้าเขาเลยสักนิด ได้แต่พูดในใจว่า ‘ใครกันแน่วะที่ต้องโกรธ’ แล้วเคาะประตูสองที
“จะไปนอนบ้านเพื่อนนะไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อ” พูดจบไม่ถึงห้าวินาทีคนตัวเล็กก็ยกมือขวาขึ้นโบกปัด ๆ เป็นเชิงไล่ทำนองว่า ‘มึงจะไปตายห่าที่ไหนก็ไปเถอะ’ ชานยอลเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วปิดประตูดังปึงอย่างหัวเสีย
ให้มันได้อย่างนี้...
“ห่าเอ๊ย...” พึมพำเบา ๆ แล้วใส่รองเท้าก่อนจะเดินออกมาหน้าบ้าน ล้วงกระเป๋ากางเกงเอามือถือขึ้นมาก่อนจะกดโทรหาเพื่อนสนิท
( เฮ้ย~ ว่าไง )
“ห่าเทา มึงอยู่บ้านเปล่าวะ”
( อยู่ครับเพื่อน )
“เออ เดี๋ยวคืนนี้กูไปค้างด้วย”
( เฮ้ย~ทำไมอ่ะ ทะเลาะกับน้าอีกแล้วเหรอวะ? )
“อย่าถามมาก บอกแม่มึงทำกับข้าวเผื่อด้วย กูหิว”
( โดนบวกเรื่องใบเกรดมาอ่ะดิ )
“...”
( กูก็เพิ่งโดนหม่อมไล่ไปเลี้ยงควายเมื่อกี้เอง เอาน่ามึงผู้ใหญ่ก็แบบนี้แหละ ให้เค้าบ่นไปเถอะเดี๋ยวเหนื่อยก็หยุดเอง )
“ไม่ต้องพยายามพูดเกลี้ยกล่อมอะไรทั้งนั้น กูกำลังจะขึ้นแท็กซี่แล้วแค่นี้นะ” พูดจบก็เก็บมือถือใส่กระเป๋า เอี้ยวหน้าหันกลับไปมองที่ซุกหัวนอนแล้วเบ้ปากน้อย ๆ “คิดว่าอยากอยู่มากนักหรือไง” บ่นอุบอิบแล้วแค่นหัวเราะก่อนจะเปิดประตูหน้าบ้านออกไปแล้วปิดกระแทกแรง ๆ จนประตูรั้วเด้งกลับเข้าไปข้างใน
ได้ยินเสียงปึงปังจากข้างนอกคาดว่าไอ้เด็กแสบนั่นคงออกไปค้างบ้านเพื่อนตามที่พูดแล้ว แบคฮยอนถอนหายใจเบา ๆ พลางนวดขมับกับความเครียดที่สุมอยู่ในหัว ช่วงนี้มีแต่เรื่องให้คิดมากมายเต็มไปหมดไม่ว่าจะเป็นงานที่เพิ่งชวดอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ทั้งที่ตั้งใจมานานกับการสอบบรรจุเป็นครูโรงเรียนในฝัน แต่ทุกอย่างก็ล่มสลายไม่เหลือชิ้นดีเพราะคนที่สอบผ่านมันไม่ใช่เขาแต่กลับกลายเป็นคนที่มีเส้นสาย ตอนแรกก็โทษตัวเองที่มีความสามารถไม่ถึง...จนกระทั่งไปแอบได้ยินเองกับหูนั่นแหละ
พอกลับบ้านมาก็เปิดกล่องจดหมายเป็นอันดับแรก พอเห็นว่ามีจดหมายที่ส่งมาจากโรงเรียนของหลานนรกก็รีบเปิดดูทันที วันนี้บยอนแบคฮยอนเชื่อแล้วที่พ่อเคยบอกว่า ‘การอยากรู้อยากเห็นบางครั้งมันก็ทำให้เรารู้สึกแย่นะ’ และมันก็ใช่จริง ๆ กับการไล่ดูเกรดแต่ละตัวของปาร์คชานยอล
ตั้งแต่ม.ปลายปีสองที่เด็กคนนั้นย้ายมาอยู่กับเขาอย่างเต็มตัวเพราะหมอนั่นไปตอแหลให้แม่มันฟังว่าอยากมาอยู่กับน้าชายอย่างเขาเสียเหลือเกิน ไม่รู้ว่าไปเอาอารมณ์คิดถึงมาจากไหน พอได้ยินอย่างนั้นพี่สาวที่เป็นญาติห่าง ๆ ก็เลยโทรมาคุยเรื่องนี้ว่ามันจะลำบากเกินไปหรือเปล่าถ้าเกิดจะรบกวนฝากเลี้ยงดูหลานสักสองปีจนกว่าจะจบมัธยมปลาย แน่นอนว่าตอนนั้นบยอนแบคฮยอนไม่ได้ติดใจอะไร ตอบตกลงไปโดยไม่เสียเวลาคิดเพราะเขาก็อยู่คนเดียวมานานพอสมควรแล้วตั้งแต่แม่ย้ายไปอยู่เป็นเพื่อนยายที่บ้านอีกหลัง
ใครจะรู้ว่ามันโตขึ้นแล้วจะแสบได้ขนาดนี้ อยู่ด้วยกันแค่ปีแรกก็แทบจะมองหน้ากันไม่ติด ก็เข้าใจหรอกว่ามันกำลังอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อแต่ก็อดไม่ได้ที่จะด่าจริง ๆ
“ฮัลโหลเซฮุน”
( อ...ว่าไง... )
“ทำไรอยู่วะ” คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนสนิทครางกระเส่าจนผิดสังเกต
( ถ...ถ่ายหนังอยู่ )
“หนังห่าไรรับโทรศัพท์ได้”
( หน...หนังสด...เดี๋ยวดิจงอิน คุยกับไอ้แบคฮยอนก่อน )
โอเค...กูกระจ่างละ
“งั้นมึงถ่ายหนังต่อเถอะ อีกครึ่งชั่วโมงเดี๋ยวกูแวะเข้าไปหา” ไม่ต้องถามอะไรใส ๆ เหมือนเด็กสาววัยแรกแย้มให้เสียเวลาการทำมาหากินของพวกมันมากไปกว่านี้เขาก็กดวางสายก่อนจะลุกขึ้นเดินไปคว้ากุญแจรถกับกระเป๋าเงินเตรียมตัวออกไปบ้านเพื่อนซี้ทั้งสองคนที่สนิทกันตั้งแต่เรียนม.ต้น
“แม่ง วัน ๆ ทำอะไรบ้างนอกจากรอเวลาเลิกเรียนแล้วตรงดิ่งไปห้องซ้อม วงดนตรีเส็งเคร็งอะไรของมันกูไม่เคยเข้าใจ เรียนจบไปจะทำห่าอะไรได้ เล่นกีต้าร์ตามร้านเหล้าเหรอกูงงไปหมด”
จงอินกับเซฮุนได้แต่นั่งเงียบ ๆ ฟังเพื่อนตัวเตี้ยระบายออกมาอย่างอัดอั้น แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกแต่บยอนแบคฮยอนเป็นก็คนที่ทำอะไรเสมอต้นเสมอปลายมาตลอดมันถึงได้ด่าไอ้หลานนรกนั่นอย่างออกรสทุกครั้งที่เอ่ยปาก
“กลับมาถึงบ้านทำอะไร? เอาข้าวไปแดกหน้าโต๊ะคอมแล้วเล่นดอทเอจนถึงตีห้า จานข้าวก็ไม่เอาออกมาเก็บด้วยนะ พอกูไปเคาะประตูหน่อยก็ชักสีหน้าใส่บอกว่าเล่นเกมอยู่เกือบตายเพราะแค่สละเวลาสามวิมาเปิดประตูให้กู เห็บหมา ใครกันแน่วะที่จะตาย มันหรือกู”
ทั้งด่าทั้งช่วยแพ็คของใส่ซองน้ำตาล จงอินเดินไปหอบกองโฟโต้บุ้คมาวางไว้ตรงหน้าเพื่อนตัวเล็กแล้วนั่งลงข้าง ๆ พร้อมกับติดชื่อและที่อยู่ผู้รับ ซึ่งไอ้ของที่กล่าวไปข้างต้นก็ไม่ใช่อะไรนอกจากโฟโต้บุ้คของบ้าน ‘Oh Yes Sehun’ ที่จงอินมันเป็นแอดมิน เรื่องนี้คงต้องอธิบายกันยาวกับสิ่งที่เขาทั้งสองคนกำลังนั่งทำอยู่
มีแมวมองมาทาบทามเซฮุนไปเป็นดาราตั้งแต่ตอนเรียนมหาลัยปีสามและหลังจากนั้นมันก็เริ่มดังจนหันไปเอาดีในวงการบันเทิง ทุกอย่างที่ร่ำเรียนมากลายเป็นศูนย์เมื่อความรู้ทุกอย่างถูกทิ้งไว้ข้างหลังแล้วให้หนังหน้าช่วยหาเงินแทน ส่วนไอ้จงอินที่คบกับเซฮุนตั้งแต่ช่วงม.ปลายก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการเปิดเวปเพจแฟนเบสของเมียมันเอง ซึ่งปากก็บอกว่าไม่ได้อยากทำแบบนี้นักหรอกถ้าเกิดเซฮุนไม่บอกว่า ‘มึงไม่ต้องทำเหี้ยอะไรทั้งนั้น นอนอยู่บ้านเฉย ๆ ให้กูเลี้ยงนี่แหละ’ ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะหวงแหนไอ้ห่าทำไมนักหนา มันบอกว่ากลัวคนอื่นมาเห็นแล้วชอบของดำเหมือนมันว่างั้น ไอ้จงอินมันอยู่บ้านเบื่อ ๆ เลยหาเรื่องทำแก้เซ็งและไอ้โฟโต้บุ้คหอกเนี่ยก็ฝีมือมันถ่ายทั้งนั้น ลำบากต้องมานั่งช่วยแพ็คของอีก
“ห้องก็รกอย่างกับรังหนู กูบอกให้ทำความสะอาดมันเคยทำไหม?”
“แล้วมึงไม่เข้าไปทำให้มันล่ะจะได้จบ” เซฮุนได้แต่นั่งยันคางฟังคนเป็นเพื่อนบ่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“กูเคยบอกแล้ว แต่มันเสือกสวนกลับมาว่า ‘ให้ผมมีพื้นที่ส่วนตัวบ้างเถอะ’ มึงอยากได้พื้นที่ส่วนตัวมากทำไมไม่อยู่หอให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยวะ” แบคฮยอนแค่นหัวเราะแล้วโยนพัสดุไปข้างหลัง
“มึงก็ทำตัวเป็นเจ้าชีวิตมันเกินไปเปล่า เด็กมันกำลังห้าว มึงก็เคยเป็นมาก่อนนี่” จงอินพูด
“ใครเคยเป็นมาก่อนนะ?” แบคฮยอนเงี่ยหูพลางมองไปยังไอ้ดำที่นั่งชันเข่าอยู่บนเก้าอี้โซฟาหน้าโต๊ะคอม
“กูกับเซฮุน” จะว่าไปแล้วก็มีแต่เขากับแฟนสุดที่รักนี่แหละที่ทำตัวออกนอกลู่นอกทาง ส่วนแบคฮยอนมันอยู่ในกรอบมาตลอด พอเจอเรื่องขัดใจบ้างเลยนอยด์แดกแบบควบคุมตัวเองไม่ได้
“ถ้ารู้ว่าโตขึ้นมาแล้วเป็นแบบนี้กูจะเอาส้นตีนยัดปากมันตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน” แบคฮยอนยังคงบ่นอย่างต่อเนื่อง ได้ทีก็ขอบ้างเถอะ อยู่บ้านก็ไม่รู้จะคุยกับใคร แล้วคนที่รู้เรื่องชานยอลก็มีแค่มันสองคนเท่านั้น
“จะว่าไปแล้วก็นานอยู่นะมึง ตั้งสิบกว่าปีป่ะวะ” จงอินขมวดคิ้วพลางทำหน้าครุ่นคิด
“...”
“สิบกว่าปีที่แล้วมันยังไล่ตามกูอยู่เลย” เซฮุนหัวเราะ
“เออ แม่งเห็นฮุนจ๋ากูเป็นไอดอล” จงอินเสริมแล้วหันไปแท็กมือกับคนรัก
ครั้งแรกที่ได้เจอกันตอนนั้นชานยอลอายุเจ็ดขวบส่วนเขาอายุสิบสี่...
เด็กยิ้มเก่ง พูดเพราะ ว่าง่าย ติดเขาอย่างกับอะไรดีคนนั้นน่ะ...
แต่มันก็นานมากแล้วนะ นานจนแทบจำไม่ได้แล้วว่าเด็กชายปาร์คชานยอลเป็นคนน่ารักมากแค่ไหน...
TBC
อินโทรมาแบบมึน ๆ ตึง ๆ ดราม่านิดหน่อยนะคะ แต่ฟิคเรื่องนี้ไม่ใช่ฟิคดราม่านะ 55555555555555555 บอกไว้ก่อน เราจะเขียนฟิคเรื่องนี้สลับกับฟิคซอมบี้ แต่คงเน้นอัพซอมบี้บ่อยกว่าแต่เราก็อยากฝากเรื่องนี้
อยากสครีมในทวิตเตอร์เชิญติดแท็ก #มนุษย์ชานยอล ได้เลยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
ความคิดเห็น