คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #99 : Chapter 94 :: Can I?
Chapter 94
Can I?
รถจอดลงแล้ว นั่นเป็นสัญญาณดีว่าคิมจงอินจะได้ออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอกหลังจากนอนขดตัวอยู่ในที่แคบ ๆ มาสักพักใหญ่และอาจจะขาดใจตายได้ถ้าขืนอยู่นานเกินไปกว่านี้
ประตูกระโปรงหลังถูกเปิดออกพร้อมสีหน้าตื่น ๆ ของเด็กหนุ่มตัวผอม บอกตามตรงเลยว่าเขาไม่ค่อยชินแบบนี้สักเท่าไหร่ เพราะในหัวมันฝังความทรงจำไว้ว่าโอเซฮุนเป็นเด็กชอบปั้นหน้านิ่ง ถามคำตอบคำแบบขอไปทีตั้งแต่ตอนนั้นที่เขาขอให้หยุดความสัมพันธ์
แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคิมจงอินกำลังรู้สึกดีมาก ทั้งเรื่องที่ไม่ถูกกัดตายจนกลายเป็นอาหารจานเด็ดกลางโรงพยาบาล หรือการเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังแสดงออกทางสีหน้าว่าเป็นห่วงเขามากแค่ไหน
“คุณหายใจ-- เอ่อ-- ผมหมายถึงว่าคุณเป็นยังไงบ้างครับ?” คาดว่าเจ้าเด็กนี่กำลังมีปัญหาในการเลือกคำถามอยู่ไม่น้อย ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางความเงียบบนถนนโล่งซึ่งรอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้
เขาห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มออกมาตอนกำลังก้าวขาลงจากท้ายรถ ชายหนุ่มผิวแทนสบตากับคนตรงหน้าซึ่งยังไม่ยอมละห่างไปไหน เซฮุนเอียงศีรษะเล็กน้อยพร้อมสังเกตร่างกายเขาราวกับกลัวว่าจะมีบาดแผล
“กลัวฉันถูกกัดหรือไง?”
“มันเป็นเรื่องที่ผมต้องกลัวไม่ใช่เหรอครับ?”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วนายจะทำยังไงต่อ ปล่อยฉันไว้ที่นี่หรือหยิบปืนขึ้นมาเป่าหัวฉันล่ะ?” เซฮุนปล่อยให้อีกคนยืดเส้นยืดสายโดยที่ยังไม่ตอบคำถาม ชั่วอึดใจเดียวที่เขาเอาแต่เช็กสภาพคนตรงหน้าด้วยสายตา และพอเห็นว่าจงอินปลอดภัยเขาจึงหมดกังวล
“ผมไม่มีกระสุนแล้ว แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ผมจะพาคุณกลับไปให้คนอื่นจัดการที่อุทยานเองครับ คุณจะไม่โดดเดี่ยวที่นี่”
ชายหนุ่มผิวแทนหรี่ตามองเจ้าของน้ำเสียงเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยความกวนประสาท จงอินขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าที่ยืนทรงตัวแปลก ๆ เดี๋ยวเอนซ้ายทีขวาทีเหมือนบอลลูนลมหน้าปั๊มน้ำมันจนต้องหลุบสายตาลงมองต่ำ เขาผ่อนลมหายใจออกมาช้า ๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสวมรองเท้าแค่ข้างเดียวเหมือนตอนวิ่งหนีตายในโรงพยาบาล
“เท้านายมันตายด้านจนไม่รับรู้ความเย็นของหิมะแล้วหรือไง ใจคอจะไม่ยอมหารองเท้าใหม่ใส่เลยใช่ไหม?”
“ผมจะไปหาจากไหนล่ะครับ เราเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลเองนะ”
“ก็ใช่ไง แล้วมายืนเป็นกระต่ายขาเดียวแบบนี้คิดว่าน่ารักมากมั้ง”
“...”
หมั่นเขี้ยว โดนบ่นแล้วยังจะทำหน้ามึนใส่ทั้งที่ยืนตัวโงนเงนแบบนี้อีก จงอินขยับปากบ่นแบบไม่มีเสียงแล้วคว้าแขนอีกคนไว้ก่อนจะก้มลงต่ำเพื่อหิ้วปีกเด็กหน้าตายให้ไปขึ้นรถ
“คุณจะขับเหรอครับ”
“เท้าเหยียบคันเร่งไหวไหมล่ะคนเก่ง?”
“แล้วมือคุณจับพวงมาลัยไหวหรือเปล่าครับ”
“ฉันทำอะไรได้มากกว่าที่นายคิดแล้วกัน”
ทั้งคู่หันไปสบตากันในระยะใกล้กับช่วงเวลาไม่กี่วินาทีที่ไม่มีใครหลบตาไปก่อน จนกระทั่งเซฮุนเป็นฝ่ายยกธงขาวยอมแพ้ เมื่อเจ้าตัวก้มลงมองพื้นพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย เขาไม่ได้คิดไปเองแน่ว่าเด็กคนนี้กำลังอมยิ้ม
“กรรรรซ์...”
ภายในความมืดที่ได้ยินเพียงแค่เสียงศัตรู ชายหนุ่มเลือกที่จะถอยหลังออกมาเพื่อให้แสงสว่างเพียงน้อยนิดจากประตูเป็นตัวช่วย เสียงครางฮือในลำคอคั่นด้วยเสียงฝ่าเท้าที่ลากถูมาเข้ามาใกล้ เขากำลังยืนตั้งหลักรอศัตรูซึ่งเป็นฝ่ายได้เปรียบในความมืด
แสงสว่างทำให้มองเห็นใบหน้าเหวอะหวะของผีดิบชายวัยกลางคน เลือดสีเข้มเหนียวหนืดจากปากไหลลงจนเปื้อนเสื้อ หยดแหมะบนพื้นพร้อมเสียงโอดครวญ สองมือที่ยื่นออกมาเมื่อเห็นเหยื่อในม่านตาถูกปัดออกไปก่อนที่ชายหนุ่มจะฟาดสันปืนเสยคางอย่างแรงจนมันหงายหลังล้มลงไปในครั้งเดียว
“กรรรรซ์”
กะโหลกศีรษะบอบบางถูกทุบด้วยสันปืนอย่างไม่ออมแรง เพียงไม่กี่ครั้งเลือดสีเข้มกับสมองก็ทะลักออกมาจนต้องยกหลังมือปิดจมูกกับกลิ่นเหม็นเน่าที่กำลังคละคลุ้งกระจายไปโดยรอบ สภาพของพวกกินคนไม่ต่างจากศพในสุสานเลยสักเท่าไหร่นัก แม้ว่าจะเคลื่อนไหวได้ แต่ระบบร่างกายส่วนใหญ่ก็หยุดทำงานไปจนเน่าเละคั่งค้างอยู่ข้างใน
เช็ดคราบเลือดออกจากสันปืนด้วยเสื้อตัวกินคนที่นอนแน่นิ่งไปแล้วก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูง ชายหนุ่มถอยหลังกลับไปแหวกผ้าม่านออกเพียงเล็กน้อยเพื่อสังเกตการณ์ด้านนอก และก็ได้เห็นว่าพวกหิวโหยกำลังจัดการกับอาหารบนท้องถนนอย่างเอร็ดอร่อย
แหวกผ้าม่านเพิ่มอีกเพื่อให้แสงสว่างสาดส่องเข้ามาข้างในหลังจากเห็นว่าที่นี่ปลอดภัยจากมนุษย์ด้วยกันแล้ว เศษกระจกที่แตกละเอียดบนพื้นเป็นสัญญาณบอกว่าที่นี่เคยมีการต่อสู้เกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งศพชายหนุ่มเมื่อครู่ก็คงเป็นหลักฐานที่ชัดเจน
สิ่งที่ทำร้ายมนุษย์เราได้ดีที่สุดคือความคิด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้เขากำลังเป็นกังวลถึงแบคฮยอนที่วิ่งเข้ามาในนี้ขณะข้างนอกกำลังชลมุนกันอยู่ ร่างสูงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกวาดสายตาไปโดยรอบเพื่อเก็บรายละเอียด อุปกรณ์ทำผมกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด พร้อมคราบเลือดและซากศพที่นอนแห้งตายบนพื้นทางด้านซ้ายมือ
ชานยอลสะพายปืนกลเบาไว้ข้างหลังแล้วก้มลงเก็บกรรไกรสีเงินขึ้นมา มันคมมากพอที่จะเป็นอาวุธในเวลานี้เมื่อการใช้ปืนไม่ใช่เรื่องที่สมควรนัก ชายหนุ่มกำส่วนด้ามไว้แล้วค่อย ๆ ก้าวเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง
รองเท้าบูทหนังยามเหยียบลงบนพื้นไม้ปาเก้ดังเอี๊ยดอ๊าดกดดันยิ่งขึ้นไปอีก เสียงพวกกินคนที่โหยหวนอยู่ด้านนอกไม่ได้น่ากลัวเท่าความคิดในหัวที่กำลังดิ่งไปในทางไม่ดี ตอนที่แบคฮยอนวิ่งเข้ามาเขาเห็นว่าเชือกพลาสติกเส้นนั้นยังตัดไม่ขาด อีกทั้งผีดิบตัวเมื่อครู่ที่เพิ่งจัดการไปยิ่งทำให้กังวลใจเข้าไปกว่าเดิม
แบคฮยอนอยู่ที่ไหน นั่นคือคำถามเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขา
รถขับเข้ามาในอุทยานและเทียบจอดท้ายรถพยาบาล ลู่หานเป็นคนแรกที่โผล่หน้าออกมาจากบ้านทันทีที่ได้ยินเสียงดับรถ ตามด้วยซูยอนและครูสาวอย่างปาร์คกาฮี จงอินถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วเอนหลังพิงกับเบาะหลังจากกลับเข้าสู่เขตปลอดพวกกินไส้โดยที่ไม่มีใครต้องถูกหามเข้าไปเพราะถูกกัด
“มึงรอด!!! เย้!!!”
“ร้องห่าไรของมันวะ” จงอินขมวดคิ้วพลางมองไปยังเพื่อนสนิทที่กำลังทำท่าแปลก ๆ กับความดีใจจนดูเวอร์เกินจริง เพียงแค่ครู่เดียวคนอื่น ๆ ก็ตามออกมา และใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของคนเหล่านั้นคือของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับคิมจงอินที่พาตัวเองรอดกลับมาได้
“เป็นไงบ้าง?!” หนุ่มผิวแทนเลื่อนกระจกลงพลางเท้าแขนไว้กับประตูรถ ตะโกนถามเพื่อนซี้ที่ยังคงเป็นลิงเป็นค่าง ซึ่งคงเดาคำตอบได้ไม่ยาก เพราะหากไอ้เด็กนั่นไม่รอด ไอ้ลู่หานคงไม่กล้าออกมาทำท่าทางแบบนั้น
“ปลอดภัยแล้ว! คิดว่านะ! ต้องรอดูจนกว่าจะไข้ลดว่ะ!”
“เออ ใจคอมึงจะตะโกนคุยกับกูอย่างนี้ใช่ไหม?” ชายหนุ่มหรี่ตามองไปยังผู้คนที่ยืนอยู่หน้าบ้าน มันทำให้อดคิดไม่ได้จริง ๆ ว่าในช่วงเวลาแบบนี้จะมีอะไรดีไปกว่ารอยยิ้มและลมหายใจของคนที่อยู่ด้วยกันอีก?
“หิวหรือเปล่าคะ?!” จงอินนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ เขาไม่อยากกระเดือกอะไรลงคอทั้งนั้น นาทีนี้ขอพักก่อนเถอะ
“ขอไปล้างตัวหน่อยแล้วกัน เหม็นเน่าฉิบหายแล้วเนี่ย”
“โอเค มึงรีบไปล้างกระดูกแล้วมากินข้าวนะ เรื่องแผลไว้ค่อยทำทีหลัง คนเหล็กต้องไม่เจ็บ!”
“ตีนเถอะสัด” คนผิวแทนชูนิ้วกลางใส่เพื่อนซี้ที่เอาแต่หัวเราะก่อนจะถูกครูสาวสะกิดเป็นเชิงห้าม
พอทุกคนเห็นว่าจงอินกับเซฮุนปลอดภัยจึงกลับเข้าไปในบ้านหลังแรก ซูยอนทำท่าจะเข้าไปดูอาการของชายหนุ่มทั้งสองแต่ก็โดนลู่หานดันเข้าไปในบ้านพร้อมทำเสียงอ้อร้อขอเธอให้ช่วยทำมื้อเที่ยงควบเย็นแบบง่าย ๆ ให้กินหน่อย เธอเลยจำเป็นต้องเข้าไปอย่างปฏิเสธไม่ได้
“เดินไหวไหม?”
“ครับ?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นฉายแววตาสงสัยกับคำถามเมื่อครู่ ซึ่งจงอินก็ไม่ยอมอธิบายให้มากความนัก ทั้งคู่สบตากันอยู่ชั่วอึดใจก่อนที่ผู้ชายผิวแทนจะลงจากรถแล้วอ้อมมาฝั่งนี้พร้อมเปิดประตูออก
“เอาขานี้ลง”
“...?”
บอกตามตรงว่าโอเซฮุนกำลังงงจนไม่รู้ว่าคำถามไหนถึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์นี้มากที่สุด เด็กตัวผอมทำตามอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันหลังพร้อมย่อตัวลง
“คุณ?”
“อย่าถาม ฉันยิ่งเจ็บมืออยู่ด้วย”
“แต่ผมกะเผลกไป--”
“ย่าห์!”
“...”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วกลอกตาไปมาอยู่ในที พอเห็นว่าคนเจ้าเผด็จการเอี้ยวหน้าหันมาส่งสายตาคาดโทษก็เลยต้องก้มตัวลงไปขี่หลังอย่างปฏิเสธไม่ได้
“โห ทำไมหนักแบบนี้วะ”
“คนนี่ครับ ไม่ใช่สำลี”
“ยอกย้อนเหรอ นายควรจะขอบคุณฉันมากกว่าเอาแต่ขยับปากเถียงยิบ ๆ แบบนี้นะ”
“งั้นคุณก็ต้องขอบคุณผมเหมือนกัน วันนี้ผมช่วยคุณตั้งหลายครั้ง”
“แล้วพี่ไม่ได้ช่วยหนูเลยสินะ? เรามันก็ต้องพึ่งกันแหละวะ” ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะของคนเก่งแล้วก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ ในทีแรกก็เกร็งที่ต้องอยู่บนหลังจงอิน แต่พอคิดว่ามันคงไม่เกิดขึ้นบ่อย ๆ เซฮุนเลยอยากฉวยโอกาสตอนนี้เพื่อกอบโกยความสุขเข้าหาตัวบ้าง
“ขอบคุณครับ จงอิน”
“...”
นัยน์ตาคมชำเลืองมองเล็กน้อยก่อนที่ศีรษะทุยจะซบลงบนไหล่ของเขา ขายาวยังคงก้าวไปตามพื้นหิมะเพื่อตรงไปยังบังกะโลเดี่ยวโดยที่ไม่มีใครคิดประโยคเด็ดเพื่อยกมาเถียงอีก รู้สึกได้ถึงวงแขนที่โอบกอดรอบคอเขาไว้ พร้อมเสียงกระซิบแผ่วเบาข้างหูที่บอกว่า
‘ขอบคุณที่ยังมีชีวิตอยู่’
พอได้ยินแบบนี้แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่ามันจะมีสักกี่คนกันที่อยากให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไป อาจจะด้วยเหตุผลว่าไม่ชอบเห็นคนตาย ไม่ชอบการสูญเสีย แต่เหตุผลหนึ่งที่มันต่างออกไปคือ ‘เราเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาไปแล้ว’
โดยเฉพาะคนที่ต้องเจ็บกับสิ่งที่เขาเป็นอย่างเด็กคนนี้ ทั้งที่ควรจะเพิกเฉยแล้วปล่อยให้เขาตาย ๆ ไปซะ หลายครั้งที่รู้สึกว่าเราทั้งคู่กำลังห่างกันออกไปเรื่อย ๆ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น... เพราะความจริงแล้วโอเซฮุนไม่เคยไปไหนเลย
“พูดง่าย ๆ จะได้โตไว ๆ”
“ผมเป็นเด็กน่ารักในสายตาคุณแล้วหรือยังครับ”
“ถามอะไรน่าขนลุกแบบนี้วะ อยากเป็นคนน่ารักมากไง?”
“ตาคุณต้องเป็นรูปหัวใจอยู่แน่ ๆ” เสียงหัวเราะของคนที่อยู่บนหลังมันน่าหงุดหงิดเป็นบ้า โอเซฮุนกล้าดียังไงถึงได้ทำให้เขาใจสั่นกับคำพูดเหล่านี้ได้
“พูดมากเดี๋ยวก็ต่อยหน้าแหกซะหรอก”
“ถ้าคุณทำอย่างนั้นผมจะร้องไห้นะ”
“เหรอ? แล้วใครแคร์วะ?”
“คุณไงครับ”
“ตลกว่ะ ถนัดนักล่ะเรื่องคิดไปเองเนี่ย” ชายหนุ่มเอี้ยวหน้าหันไปมองอีกคนที่เกยคางลงกับไหล่เขา ก่อนจะเบิกตากว้างทันทีที่เห็นว่าใบหน้าของเซฮุนอยู่ห่างจากแก้มเขาเพียงนิดเดียวเท่านั้น
“ห้ามต่อยผมนะ วันนี้ผมเจ็บไปหมดแล้ว”
“ไม่อยากให้ต่อยก็เลิกพูดกวนประสาทสักทีสิวะ”
“คุณก็ชอบพูดกระแทกเสียงใส่ผมเหมือนกันนั่นแหละ”
“แล้วทำไมต้องเถียง กระแทกอย่างอื่นซะเล--” ยังพูดไม่ทันจบก็ต้องกลืนคำพูดทุกอย่างลงคอไปหมด กูจะไปกระแทกอะไรเขาเหรอ สวัสดีคิมจงอิน สติอยู่ไหน
“ผมจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน...”
“เออ เมื่อกี้ฉันไม่ได้พูดอะไร โอเคนะ” ชายหนุ่มขยับปากก่นด่าตัวเองแบบไม่มีเสียง ไม่รู้ผีสางตนไหนผลักปากให้พูดแบบนั้นออกมาได้ จิตใต้สำนึกงั้นเหรอ หรือว่าแค่อยากเอาชนะ
“จงอิน”
“ว่า”
“อย่ารำคาญผมเลยนะครับ” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มอยู่ในโทนปกติ ไม่อ้อร้อกวนประสาทจนอยากโต้ตอบกลับไปเหมือนก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มทิ้งจังหวะของคำถามไปราว ๆ สิบวินาที ก่อนจะวางอีกคนให้นั่งกับขอบเตียง
“ถ้าไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ก็เลิกหลบหน้าฉันได้แล้ว”
เด็กหนุ่มตัวผอมมองแผ่นหลังกว้างอีกคนที่เดินไปหยุดอยู่หน้าประตูบังกะโลหลังจากพูดจบ เซฮุนกำลังให้สมองประมวลผลว่าประโยคเมื่อครู่กำลังสื่อไปในทางไหน ซึ่งถ้าไม่เข้าข้างตัวเองมากนัก เขาคิดว่าจงอินคงไม่รังเกียจแล้ว
“ฉันอาจจะเคยแสดงออกจนทำให้นายรู้สึกอย่างนั้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้ฉันยังเป็นอยู่”
“...”
“ฉันไม่ได้รำคาญนาย โอเซฮุน”
“คยองซูตื่นแล้วครับครู”
“...”
ครูสาวเดินอ้อมมาหยุดอยู่ข้างเตียงแล้วนั่งลงหลังจากได้ยินคำบอกกล่าวจากนักเรียนของเธอ ใบหน้าซีดเผือดของเด็กหนุ่มค่อนข้างน่าเป็นกังวล แต่การที่คยองซูลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็นับเป็นข่าวดีในนาทีนี้ที่ใคร ๆ ต่างก็คาดหวัง
หญิงสาวยิ้มบาง ๆ พลางลูบศีรษะคนที่นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง มินซอกรินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้ครูสาวเมื่อเห็นว่าคยองซูพยายามกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก ร่างของคนเจ็บถูกประคองให้ลุกขึ้นดื่มน้ำ มินซอกช่วยเอาหมอนรองกันเป็นสองชั้นเพื่อให้คยองซูได้นั่งพิง
เด็กหนุ่มปิดเปลือกตาลงแล้วผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างเชื่องช้า มินซอกกับครูสาวหันไปสบตากันด้วยความเป็นห่วงคนเจ็บที่ตื่นขึ้นมาพบความจริงอีกครั้ง พวกเขาต่างรู้ดีว่าคยองซูกำลังรู้สึกยังไง ซึ่งมันเป็นเรื่องยากเหลือเกินสำหรับคนที่อยู่ในสถานการณ์นั้น... ในสถานการณ์ที่ต้องเห็นครอบครัวจากไป
“มินซอก เดี๋ยวออกไปช่วยคุณซูยอนจัดการเรื่องอาหารให้คนที่เพิ่งกลับมาทีนะจ๊ะ” เจ้าของชื่อพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างว่าง่าย ตอนนี้เหลือเพียงแค่คนเจ็บกับครูสาวเท่านั้นที่อยู่ด้วยกันภายในห้องสี่เหลี่ยมแห่งนี้
“พวกเขาออกไปไหนกันมาเหรอครับ...?”
“อ้อ... เรื่องนั้น” คยองซูเห็นว่าหญิงสาวเลือกที่จะฝืนยิ้ม ราวกับว่าเธอไม่ต้องการให้เขารู้คำตอบนี้ “พวกเขาออกไปโรงพยาบาลมาน่ะ เธอไข้ขึ้นสูง เสียเลือดไปเยอะ”
“...”
เด็กหนุ่มหลุบสายตาลงมือตนเองที่วางอยู่ข้างตัว สายน้ำเกลือที่เชื่อมต่อระหว่างหลังมือไปจนถึงขวดที่ห้อยอยู่เหนือศีรษะนั้นทำให้รู้สึกแย่ยิ่งขึ้นไปอีก คนพวกนี้ออกไปเสี่ยงอันตรายเพื่อเขาอีกแล้วสินะ
“ที่นี่...?”
“ห้องฉันเองจ้ะ ไม่ต้องคิดมากนะ ฉันอยากให้เธอพักผ่อนอยู่ที่นี่จนกว่าจะหายดี” กาฮีคิดว่ารอยยิ้มคือสิ่งจำเป็นที่สุดในเวลาที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในความกลัว ความสูญเสีย หญิงสาวบิดผ้าขนหนูในกะละมังน้ำอุ่นก่อนจะซับลงบนใบหน้าเด็กหนุ่มเบา ๆ
“คุณพูดอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่คุณก็รู้ว่าผมต้องคิด”
“ฉันรู้ พอเป็นเรื่องของคนอื่นเรามักจะพูดเพื่อให้มันง่ายขึ้นเสมอ ถ้าฉันเป็นคุณฉันก็คงกังวลเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังอยากให้คุณพักผ่อนจนกว่าจะดีขึ้น” รอยยิ้มของเธอจางลงไป กับความจริงที่ใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่ามันยากแค่ไหน
“...”
“อย่างน้อยก็คิดซะว่าเห็นแก่อี้ฟานและคนอื่น ๆ ที่เป็นห่วงเธอ”
คยองซูนิ่งไป เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสื่ออะไรให้คนที่ตกอยู่ในสภาวะภาระได้รับรู้ อืม ปาร์คกาฮีคงไม่คิดแง่ร้ายถึงขนาดนั้น แต่สำหรับตัวเขาในตอนนี้ คงไม่สามารถคิดเรื่องดี ๆ เพื่อปลอบใจตนเองได้อีก
“ผมไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง” เสียงของเด็กหนุ่มกำลังสั่นเครือ เหมือนกับดวงตาคู่นั้นที่กำลังเหม่อมองไปยังจุด ๆ หนึ่ง “ภาพตอนที่ซูโฮตกลงไปมันยังติดตาผม”
“...”
“เสียงร้องของเขา แววตาตอนที่มองมาจนถึงวินาทีสุดท้าย เหมือนกับอยากบอกผมว่า ‘พี่ครับ อย่าทิ้งผมไป’ นั่นน่ะ...”
“...”
“ถ้าผมยอมตกลงไปพร้อม ๆ กับเขาแล้วทนเจ็บแค่ไม่กี่วิ... หลังจากนั้นผมก็จะไม่รู้สึกอะไรอีก” คยองซูเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ขณะที่ครูสาวนั่งนิ่งโดยมีผ้าขนหนูอยู่ในมือ “และจะไม่มีใครต้องตื่นขึ้นมารู้สึกผิดกับเรื่องนี้”
“...”
“ผมรู้สึกผิดกับคุณซีวอน”
“...”
“รู้สึกผิดกับเด็กคนนั้นที่ปกป้องเขาไว้ไม่ได้”
“...”
“ทุกลมหายใจที่ทำให้มีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ ผมรู้สึกเหมือนว่าได้แย่งมันมาจากซูโฮ”
หยดน้ำใสไหลออกมาจากหางตาโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่าย ๆ โดคยองซูที่ใคร ๆ ต่างบอกว่านิ่งเฉย ไร้ความรู้สึกกำลังปล่อยโฮออกมาอย่างหนักกับความเจ็บปวดที่เข้ามากัดกินลมหายใจเขาอีกครั้ง ฝ่ามือข้างหนึ่งปิดหน้าตัวเองพยายามกลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้ เขาไม่สามารถกักเก็บความเจ็บปวดเหล่านี้ไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยอีก
โดคยองซูไม่เคยผูกพันกับใครมากขนาดนี้มาก่อน ตั้งแต่โลกเปลี่ยนไปเด็กหนุ่มก็บอกตนเองว่าจะไม่เชื่อใจใครง่าย ๆ และนึกถึงแค่ความอยู่รอดเท่านั้น ช่วงเวลาที่อยู่กับพวกเดนตายในผับ เขาไม่เคยรู้สึกเสียใจเลยสักครั้งเมื่อรับรู้ว่ามีคนถูกกัดกลับมา ไม่เคยร้องไห้ให้กับความสูญเสียของคนเหล่านั้น
แต่ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปเมื่ออู๋อี้ฟานพาเขาเข้ามาอยู่ในครอบครัวนี้ คนที่พร้อมจะยิ้มและหยิบยื่นความหวังดีให้แม้ว่าโลกใบนี้จะโสมมจนต้องมองเห็นแค่ปลายเท้าตนเอง หัวใจที่เคยด้านชาค่อย ๆ กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เขาประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเมื่อรู้ตัวว่ากำลังยิ้มขณะพูดคุยกับพวกเด็กบ้าที่อายุน้อยกว่าเขาถึงสองสามปี
มันกลายเป็นความสุขเล็ก ๆ ในบนโลกที่เต็มไปด้วยความกลัว ฝันร้ายได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกตอนรู้ว่าทุกคนที่นี่กำลังจะสูญเสียอึนจีไป เด็กผู้หญิงโง่ ๆ ที่เป็นความสดใสในอุทยานแห่งนี้ จนกระทั่งมาถึงเรื่องของซูโฮ... โดคยองซูรู้สึกเหมือนว่าเขาได้สูญเสียน้องชายแท้ ๆ ไปต่อหน้าต่อตา
กาฮีมองเด็กหนุ่มที่กำลังสะอื้นอย่างหนักจนแทบหายใจไม่ออก เธอเข้าไปสวมกอดคนตรงหน้าเอาไว้พร้อมกดศีรษะทุยให้ซบลงกับไหล่เธอ หญิงสาวลูบกลุ่มผมสีเข้มเพื่อปลอบใจคนที่กำลังตกอยู่ในความเจ็บปวดอย่างแผ่วเบา
ไม่มีใครรู้เลยว่าความเข้มแข็งที่มีอยู่มันจะหมดไปเมื่อไหร่ แต่สิ่งที่รู้คือทุกคนต้องอยู่เพื่อกันและกัน อยู่ไปจนถึงลมหายใจสุดท้าย... จนกว่าพระเจ้าจะพรากมันไปจากเรา
“เข้มแข็งไว้นะคยองซู”
“กรรรซ์!”
มือแกร่งคว้าคอตัวกินคนที่พุ่งเข้ามาก่อนจะใช้กรรไกรแหลมคมแทงเข้าดวงตาอย่างแรงก่อนจะชักออก ผีดิบที่เคยส่งเสียงน่ารำคาญถูกกำจัดทิ้งให้พ้นทางไปแล้วนับไม่ถ้วน เกือบสองชั่วโมงแล้วที่เขาใช้เวลาตามหาแบคฮยอนซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของโลก
ชานยอลรู้ดีว่าทุกอย่างอาจจะไม่เป็นตามที่คาดไว้ อย่างเช่นการวางแผนนัดแนะว่าจะต้องเจอกันที่ไหนในสถานการณ์ที่ขึ้นอยู่กับพวกนรกนั่น ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้งกับความกังวลที่ยังคงไม่จางหายไปจนกว่าจะตามหาแบคฮยอนเจอ
คิ้วหนาขมวดมุ่นเมื่อเห็นบางอย่างที่ตกอยู่บนพื้น เขาเก็บมันขึ้นมาดูใกล้ ๆ แล้วก็ได้คำตอบ นัยน์ตาคมจับจ้องอยู่กับซากเชือกพลาสติกที่ขาดออกจากกัน เพียงแค่ครู่เดียวก็เงยหน้าขึ้นมองบานประตูกระจกแตก ถ้าเดาไม่ผิดแบคฮยอนคงใช้มันตัดเชือกเส้นนี้ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีสำหรับคนที่กำลังแกะรอยตามหา
ขายาวก้าวออกไปด้านนอก เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านความหนาวเหน็บในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ควันสีขาวลอยไปตามอากาศทุกครั้งที่หายใจออกแต่เขาก็ไม่หยุดความตั้งใจที่จะออกตามหาคนตัวเล็ก
บนถนนเส้นนี้มีพวกกินคนอยู่ประปรายถ้าเทียบกับเมื่อสองชั่วโมงก่อน มือหนาปัดฝ้ามัวซึ่งเกิดจากหิมะออกจนมองเห็นด้านในของตัวรถ เขาทำอย่างนี้ทุกครั้งที่เห็นรถยนต์จอดข้างทาง
ร่างสูงเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น เขาเปิดประตูรถทุกคันแทนที่จะเป็นการปัดกระจกดูอย่างเช่นก่อนหน้านี้เพราะความร้อนใจ ผ่านมาจนเกือบถึงทางแยกก็ต้องหันไปจัดการกับผีดิบที่โผล่ออกมาขัดขวางอีกครั้ง ชายหนุ่มเลือกที่จะจับศีรษะมันโขกกับกำแพงปูนอย่างแรงก่อนจะปิดท้ายด้วยความแหลมของกรรไกร
ชานยอลกวาดสายตาไปโดยรอบอีกครั้ง เขาถอนหายใจหนัก ๆ กับความหวังที่เหมือนจะมีมากขึ้นเพราะเชือกพลาสติกที่เพิ่งเก็บได้ แต่ถึงอย่างนั้นการตามหาแบคฮยอนบนถนนมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ขายาวก้าวไปข้างหน้าจนกึ่งวิ่งกึ่งเดิน เป้าหมายคืออีกฟากฝั่งของถนนซึ่งอาจเป็นจุดสุดท้ายก่อนที่เขาจะต้องหาไฟฉายหลังจากโลกใบนี้ถูกความมืดกลืนกิน แต่ฝีเท้าก็ต้องหยุดชะงักเมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง... อะไรบางอย่างที่สะกิดใจชวนให้เขาต้องหันหลังกลับไปยังรถบรรทุกสีขาวซึ่งส่วนท้ายของมันถูกบี้โดยรถเบนซ์คันหรูจนแทบหลอมรวมเป็นคันเดียวกัน
ร่างสูงเดินกลับไปหยุดข้างรถคันนั้น นัยน์ตากลอกมองสำรวจความผิดปกติอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะสะดุดตากับกระจกด้านข้างที่ลดลงมาเพียงเล็กน้อย เขาตัดสินใจจับราวเอาไว้แล้วปีนขึ้นไปบนรถบรรทุก ชานยอลเป็นคนอยู่กับความจริงและไม่ชอบให้ความหวังกับตนเองมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นลึก ๆ แล้วในตอนนี้ชายหนุ่มก็กำลังหวังว่าแบคฮยอนจะหลบซ่อนอยู่ในนั้นเหมือนอย่างที่เขาเคยบอกไว้
‘ซ่อนตัวอยู่ในรถ เปิดกระจกลงเล็กน้อยพอให้หายใจได้ อย่าออกไปข้างนอกจนกว่าจะพรุ่งนี้เช้า’
‘แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ในรถคันไหน?’
‘ทำให้ผมรู้สิครับ’
‘...’
‘คุณรู้ว่าต้องทำยังไงผมถึงจะหาคุณเจอ’
“...”
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกทันทีที่เห็นว่าคนตัวเล็กนั่งขดตัวอยู่ข้างในพร้อมซบใบหน้าลงหัวเข่าตนเอง แพรขนตายาวยังคงปิดระเข้ากับใบหน้ามอมแมมหลังจากผ่านเรื่องราวร้าย ๆ มา ชานยอลขึ้นไปนั่งบนเบาะแล้วมองอีกคนที่ยังคงอยู่ในห้วงนิทรา
มือแกร่งยกขึ้นค้างไว้กลางอากาศ เขาใช้เวลาทบทวนความคิดอยู่เกือบครึ่งนาทีว่าสิ่งที่อยากทำในตอนนี้มันสมควรแล้วหรือ? ชานยอลหลุบสายตาลงมองข้อมือเล็กที่มีรอยแดงจากการเสียดสีของเชือกพลาสติก เสียงลมหายใจที่ผ่อนเข้าออกอย่างเป็นจังหวะบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าที่แบคฮยอนต้องต่อสู้กับมันมาตลอดหลายวันนี้
ร่างสูงยิ้มบาง ๆ ก่อนจะตัดสินใจวางมือลงบนศีรษะทุย ลูบกลุ่มผมสีเข้มอย่างเบามือจนกระทั่งแบคฮยอนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา
“...”
“สวัสดีครับ”
ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางความเงียบในตัวรถบรรทุก คนตัวเล็กค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าคนที่เขารอได้ตามมาถึงแล้ว
“คุณหาผมเจอจริง ๆ ด้วย...” เด็กน้อยปล่อยให้มือแกร่งลูบหัวโดยไม่ขยับตัว นานแค่ไหนแล้วที่เขากับผู้ชายคนนี้ไม่ได้อยู่ในสภาวะผ่อนคลายไร้ความอึดอัดใจ “เพราะคุณเป็นคนเก่ง หรือเพราะผมหนีไปไหนไม่พ้นกันแน่นะ”
“คุณคิดว่ายังไงครับ?” แบคฮยอนเลือกที่จะส่ายหน้าเลี่ยงการตอบคำถาม เด็กน้อยลืมตาขึ้นสบตากับอีกฝ่ายที่ไม่ได้ทำหน้ามึนตึงเหมือนอย่างที่เป็นกังวล
“ผมไม่คิดว่าคุณจะออกตามหาผม ตอนที่อยู่กับคนพวกนั้น ผมก็พร้อมที่จะตายแล้ว”
“งั้นแสดงว่าเป็นอย่างหลัง ที่ผมตามหาจนเจอเป็นเพราะคุณหนีไปไหนไม่พ้นแล้ว” ทั้งคู่หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ
รอยยิ้มบนใบหน้าชายหนุ่มจางหายไปเมื่อเห็นว่าหยดน้ำใสไหลออกมาจากดวงตาคู่นั้น แม้ว่าริมฝีปากคนตัวเล็กจะยังยกยิ้มบ่งบอกถึงความสบายใจ แต่มันก็ทำให้เขาเป็นห่วงอยู่ดี
“ขอบคุณนะ...” ชานยอลไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างอ่อนโยนเพื่อให้รู้ว่าอยู่ตรงนี้และจะไม่ทิ้งแบคฮยอนไปไหน “แล้วก็ขอโทษกับทุก ๆ เรื่องเลย...”
ชายหนุ่มไล้น้ำตาออกจากแก้มคนตัวเล็กเบา ๆ โดยไม่ห้ามให้แบคฮยอนหยุด แม้ว่าเด็กคนนี้จะพูดมันไปแล้วครั้งหนึ่งตอนที่เขาถูกจับเข้าไปอยู่ในแฟลทนั้น
“ปากคุณ...”
“ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ “นั่งหลับแบบนั้นคงเมื่อยใช่ไหม?”
“ก็... นิดหน่อย” แบคฮยอนใช้หลังมือปาดน้ำตา ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายถอดสายสะพายปืนกลเบาแล้วไว้ตรงที่วางเท้า ก่อนจะขยับตัวยืดหลังตรงพร้อมวางมือลงบนหน้าขาตนเอง
“ขาผมมันอาจจะแข็งไปหน่อย แต่มันเป็นหมอนชั่วคราวให้คุณได้นะ”
“...”
ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ถึงแม้ว่าหลายวันที่ผ่านมาปาร์คชานยอลจะทำดีกับเขาจนน่าแปลกใจก็ตาม แต่สิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้มันเหนือความคาดหมายจริง ๆ
แบคฮยอนคิดว่าชานยอลอาจจะโมโหถ้าเกิดใช้เวลาคิดเรื่องนี้นานเกินไป แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดผิด เมื่อตอนนี้ใบหน้าของคนตัวสูงยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่เหมือนในทีแรก เด็กน้อยหลบสายตาคนอายุมากกว่าแล้วนิ่งไปชั่วอึดใจเพื่อรวบรวมความกล้า ก่อนจะค่อย ๆ เอนตัวลงไปนอนบนตักแกร่ง
เกือบห้านาทีที่แบคฮยอนนอนเกร็งตัวอยู่เงียบ ๆ ในขณะที่ความคิดในหัวของเขากำลังสับสนวุ่ยวายไปหมด ตอนนี้ชานยอลกำลังคิดอะไรอยู่ สายตาของผู้ชายคนนี้กำลังมองอะไร แต่ทุกอย่างก็ถูกดับด้วยมือแกร่งที่วางลงมาบนไหล่จนเผลอสะดุ้งเล็กน้อย
“กลัวผมเหรอครับ?”
“...”
“ไม่เป็นไรนะ”
หัวใจหล่นวูบกับน้ำเสียงทุ้มต่ำที่มาพร้อมมือที่ลูบลงบนศีรษะของเขาอีกครั้ง คำว่า ‘ไม่เป็นไรนะ’ มันฟังแล้วอบอุ่นใจได้ขนาดนี้เลยเหรอ เป็นเพราะว่าอีกฝ่ายคือปาร์คชานยอลคนที่เคยใจร้ายกับเขา หรือเป็นเพราะตอนนี้บยอนแบคฮยอนกำลังรู้สึกปลอดภัยกับการที่ไม่ต้องอยู่คนเดียว
แต่ไม่ว่าเหตุผลอะไรเขาก็ไม่กล้าขยับตัวอีกเพราะกลัวว่าทุกอย่างที่ได้รับจากผู้ชายคนนี้จะจางหายไป แบคฮยอนเพียงแค่นอนนิ่ง ๆ ให้เวลาล่วงเลยผ่าน หลับตาลงรับสัมผัสอบอุ่นของผู้ชายใจร้ายที่กลายเป็นคนอ่อนโยนที่สุดในวินาทีนี้
ถ้าหากมันคือการปลอบโยนของปาร์คชานยอล... บยอนแบคฮยอนก็ขอรับมันไว้แต่โดยดี
ภายในบังกะโลเดี่ยวมีเพียงแค่ตะเกียงเท่านั้นที่ให้ความสว่าง แต่มันก็มากพอที่จะทำให้คนเจ็บจัดการล้างคราบเลือดบนฝ่ามือทั้งสองข้างซึ่งไม่รู้ว่าทนมันมาทั้งวันได้ยังไง ก่อนหน้านี้ใช้ผ้าก๊อซพันมันไว้ลวก ๆ เพราะกะว่าเดี๋ยวค่อยล้างแผลอย่างจริงจังหลังจากกินข้าวเสร็จ
แต่พอจุ่มมือลงกับกะละมังคราบเลือดก็กระจายไปโดยรอบจนน้ำอุ่นกลายเป็นสีแดง เขาซี๊ดปากกับความเจ็บปวดที่แล่นปราดเข้ามาอีกครั้ง รอยแยกตามฝ่ามือแทบดูไม่ได้จนคิดว่าต้องรีบจัดการทำแผลให้เร็วที่สุด เห็นทีว่าต้องไปขอความกรุณาจางอี้ชิงช่วยจัดการให้สักหน่อยถ้าหมอนั่นไม่ยุ่งอยู่
แต่พอเอื้อมมือไปเปิดประตูก็ต้องหยุดฝีเท้า เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากำลังยกมือขึ้นทำท่าเตรียมเคาะประตู ทั้งคู่มองหน้ากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรก่อน จงอินหลุบสายตาลงก่อนจะเห็นว่าในมืออีกฝ่ายมีกล่องปฐมพาบาลมาด้วย
“คุณยังไม่ล้างแผล”
“ถ้าหมายถึงการราดทิงเจอร์ใส่แผลล่ะก็ยัง” ชายหนุ่มแบมือทั้งสองข้างให้อีกคนดู “จะเข้ามาทำให้หรือจะนั่งทำมันตรงนี้ล่ะ?”
เซฮุนเลียริมฝีปากคลายความประหม่า เขาสบตากับคนห่ามแล้วชี้นิ้วเข้าไปข้างใน จงอินปิดประตูแล้วมองตามเด็กตัวผอมที่นั่งลงกับขอบเตียง จัดแจงอุปกรณ์ออกมาวางเตรียมไว้ก่อนที่เขาจะนั่งลงข้าง ๆ
“เท้าเป็นไงบ้าง”
“ยังเจ็บอยู่ครับ แต่พอเดินได้”
“ก็ยังมีน้ำใจมาทำแผลให้คนอื่น”
“ผมเป็นเด็กดีใช่ไหม” จงอินเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มขณะมองเจ้าของประโยคเมื่อครู่ที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำแผลให้เขา
“พอยอมคุยด้วยแล้วชักจะเอาใหญ่”
“คุณบอกว่าไม่รำคาญผมแล้ว ผมเลยพูดทุกอย่างที่อยากพูดไงล่ะครับ”
“แล้วอยากถูกรำคาญอีกไหมล่ะหื้อ?” คนอายุมากกว่ากระตุกปอยผมสีเข้มของคนตรงหน้าจนอ้าปากร้อง “หมั่นเขี้ยวว่ะ”
“เจ็บนะครับ...”
“เจ็บเท่าแผลฉันแล้วค่อยบ่น” จงอินมองค้อนเด็กหนุ่มที่เอาแต่อมยิ้มขณะสบตากับเขา มีความสุขมากหรือไงอยากจะรู้นัก “เจ็บโว้ย ทำไมมือหนักแบบนี้วะ”
“ผมต้องตามคุณซูยอนหรือเปล่า เผื่อว่าเธอจะมือเบาถูกใจคุณ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองเด็กตัวผอมไม่เหลือรอยยิ้มอยู่แล้ว เขายกยิ้มพอใจก่อนจะก้มลงเล็กน้อยเพื่อมองสีหน้าอีกฝ่าย
“อะไรกัน”
“...”
“นอกจากจะชอบกวนประสาทแล้วยังขี้หึงอีกด้วย”
“อยากลองเสียความทรงจำดูเหมือนกันนะครับ ผมจะได้ไม่รู้สึกแบบนี้กับคุณอีก” ทั้งคู่สบตากันท่ามความความเงียบยามค่ำคืนในอุทยาน กลายเป็นว่าตอนนี้โอเซฮุนคือฝ่ายเสียเปรียบที่ถูกไล่ต้อนด้วยความรู้สึก
“ไม่จริงหรอก นายไม่ได้อยากเลิกชอบฉัน” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วหลับตาลงเมื่ออีกฝ่ายเขี่ยปลายจมูกเขาเบา ๆ
“ถ้าคุณยังอยากให้เราคุยกันได้โดยที่ไม่มีใครต้องหลบหน้าไปก่อน คุณก็ไม่ควรพูดแบบนี้กับผม” เซฮุนก้มหน้าก้มตาทำแผลให้อีกฝ่ายแล้วปิดท้ายด้วยกันพันรอบมือด้วยผ้าก๊อซ
“ก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้หรอก ฉันพยายามแล้ว แต่มันไม่ได้ผลว่ะ”
“ผมไม่ได้หวังอะไรอีกแล้ว ตอนนี้ผมยอมเจ็บเพื่อที่จะได้คุยกับคุณ ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าถ้าหลบหน้าไปเรื่อย ๆ ก็คงทำใจได้ แต่มันยากสำหรับผมจริง ๆ พอรู้ว่าคุณกำลังจะตายผมก็...”
“อย่าทำแบบนั้นอีก”
นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้มองหน้าจงอินในระยะใกล้แบบนี้ เซฮุนไม่ใช่คนใจกว้างที่พร้อมจะมองอีกคนไปรักกับผู้หญิงอื่น ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าขาดจงอินไม่ได้เขาก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวตั้งแต่วันนั้น ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ผู้ชายคนนี้อยู่ด้วยกัน
“อย่าหลบหน้าฉัน”
“คุณไม่รังเกียจสิ่งที่ผมเป็นแล้วเหรอครับ” เสียงของเด็กหนุ่มแผ่วลงจนน่าเอ็นดูและน่าเห็นใจในเวลาเดียวกัน มันตอกย้ำให้คิมจงอินรู้ว่าที่ผ่านมาเขาทำเรื่องแย่ ๆ กับเด็กคนนี้ไว้มากแค่ไหน
“ถ้าจะรังเกียจใครสักคน คน ๆ นั้นก็คงเป็นตัวฉันเอง”
“...”
“ฉันรู้ว่ามันแย่ที่จะต้องพูดแบบนี้ เพราะฉันทำให้นายเสียใจมานับครั้งไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีเรื่องซูยอนที่ยังไม่เคลียร์ แต่ฉันคงไม่ปล่อยทิ้งไว้ให้นานกว่านี้แน่” จงอินขมวดคิ้วพลางถอนหายใจ “เพราะฉันโกหกความรู้สึกตัวเองไม่ได้”
“ผม... ฟังอยู่ครับ”
จงอินนั่งเงียบไปครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วมุ่นราวกับว่าเจ้าตัวกำลังพยายามเรียบเรียงความคิด ซึ่งเขาเคยเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้ก็ตอนที่เจ้าตัวกำลังวางแผนออกไปหาเสบียงกับคนอื่น ๆ
“ฉันคงพูดทุกอย่างภายในวันเดียวไม่ได้ แต่ถ้านายยังอยากฟัง พรุ่งนี้ฉันจะไปเคาะประตูห้องแล้วเล่าให้ฟังอีก ฉันจะทำอย่างนั้นจนกว่าจะนึกไม่ออกว่าอยากพูดอะไรกับนาย”
เซฮุนรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกขอความรัก ใช่ เขากำลังรู้สึกอย่างนั้น เด็กหนุ่มสบตากับคนตรงหน้าที่ไม่เหลือเค้าเดิมของผู้ชายขี้ขลาด ผู้ชายที่แสดงออกให้เห็นว่ากำลังชอบผู้หญิงคนหนึ่งจนไม่อยากรื้อฟื้นคืนความจำเรื่องราวในอดีต
“หรือไม่ก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันในบังกะโลนี้”
“คุณกำลังทำให้ผมตกใจ” เซฮุนเก็บกล่องปฐมพยาบาลแล้ววางไว้ทางซ้ายมือ “ผม... ต้องพูดอะไรดี ผมทำอะไรไม่ถูกแล้ว”
“งั้นก็ไม่ต้องพูด” เด็กหนุ่มตัวผอมถูกจับให้หันกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง สายตาของจงอินที่กำลังมองมาอย่างจริงจังนั้นทำให้เขาใจเต้นแรงขึ้นกับความรู้สึกเดิม ๆ ที่ห่างเหินไปนาน “แต่ให้ฉัน...”
“...”
“จูบนายสักครั้งได้ไหม?”
ก่อนหน้านี้เซฮุนอาจจะมีวิธีรับมือคิมจงอินคนใหม่ที่ฝีปากก็ไม่ได้แพ้คนเก่าเลย แต่ตอนนี้เขากำลังทำตัวไม่ถูกกับคำพูดที่ไม่คาดฝันว่าจะได้ยินอีก เด็กหนุ่มตัวผอมนั่งนิ่งขณะที่อีกฝ่ายกำลังเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ให้ตายเถอะ... ไม่ใช่แค่จงอินแล้วที่กำลังประหม่า ในเมื่อตอนนี้เซฮุนก็รู้สึกอย่างนั้นอยู่เช่นกัน
เหมือนกับวันนั้นที่เราจูบกันครั้งแรก
“...”
ริมฝีปากของเราทั้งคู่แตะกันเพียงเบา ๆ เท่านั้น เซฮุนไม่รู้ว่าการ ‘จูบ’ ของอีกฝ่ายสิ้นสุดลงหรือยังถ้ามันเป็นเพียงแค่การพิสูจน์ตัวเอง จงอินอาจจะกำลังสับสนหรืออะไรก็ตาม แต่เขาก็ได้แต่ภาวนาให้ความรู้สึกเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่จงอินไม่อยากวิ่งหนีอีก
ริมฝีปากบางเผยอเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายแทรกลิ้นเข้ามา จูบที่โหยหามาตลอดกำลังเริ่มต้นขึ้นอย่างเชื่องช้าในขณะที่หัวใจมันเต้นเร็วแรงจนแทบจับจังหวะไม่ได้ มือที่ถูกพันด้วยผ้าก๊อซยกขึ้นทาบแก้มของเด็กตัวผอม เอียงใบหน้าปรับองศาเพื่อรสจูบที่แนบแน่นขึ้นจนได้ยินเพียงแค่เสียงหายใจเข้าออก
“...”
“...”
เป็นเซฮุนที่ถอนริมฝีปากออกมาก่อน เด็กหนุ่มหน้าขึ้นสีจัดกับความรู้สึกเก่า ๆ ที่มันแปลกใหม่อย่างน่าประหลาด ถ้าอีกฝ่ายบ่นว่าจูบกับผู้ชายมันห่วยเขาอาจจะรู้สึกดีกว่านี้... แต่ไม่ใช่เลย... จงอินเอาแต่คลึงนิ้วหัวแม่มือลงบนริมฝีปากเขา จ้องมองมันอย่างหลงใหลก่อนจะสบตากันอีกครั้ง
“เซฮุน”
“...ครับ”
“ปล่อยให้คิมจงอินคนนั้นอยู่แค่ในความทรงจำของนายได้ไหม”
ดวงตาคู่นี้ไม่ได้เรียบเฉยเหมือนในวันที่จงอินขอให้ยุติความสัมพันธ์ระหว่างเรา ผู้ชายคนนี้คงกำลังประหม่าอยู่เหมือนกัน แต่เจ้าตัวก็เลือกที่จะทิ้งฟอร์มทั้งหมดแล้วพูดความในใจออกมาเพื่อให้เขาได้รับรู้
“อย่ารัก อย่าคิดถึงมันไปมากกว่านี้”
เสียงหัวใจของโอเซฮุนน่ารำคาญชะมัด มันเต้นเร็วแรงคล้ายกับว่าจะหลุดออกมาอยู่รอมร่อเพียงเพราะอีกฝ่ายเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกและหน้าผากของเราชนกัน เด็กหนุ่มเลียริมฝีปาก ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกจูบอีกครั้ง
“จงอินครับ มือคุณ...”
“ช่างหัวมือฉันเถอะ ได้ยินที่ฉันพูดใช่ไหม?”
“ผมฟังคุณอยู่ครับ...”
คำพูด น้ำเสียง แววตา... ทุก ๆ อย่างที่สื่อมานั้นเป็นสัญญาณบอกให้โอเซฮุนรู้ว่าความเจ็บปวดได้สิ้นสุดลงแล้วใช่ไหม เด็กหนุ่มมองคนเอาแต่ใจที่ใช้สองมือซึ่งยังคงเจ็บอยู่กับบาดแผลโอบใบหน้าของเขาเอาไว้ ทุกอย่างมันเกินความคาดหมายจนกลัวว่าจะเป็นเพียงแค่ความฝัน นานชั่วอึดใจเลยทีเดียวก่อนที่เซฮุนจะพยักหน้าช้า ๆ เป็นคำตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ให้โอกาสคิมจงอินคนนี้ แล้วเริ่มนับหนึ่งใหม่ด้วยกันนะเซฮุน”
TBC
อาทิตย์ละสองตอน ครบตามสัญญาแล้ว!
คึคึ
ความคิดเห็น