คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #94 : Chapter 89 :: Daylight (100%)
Chapter 89
Daylight
“มินซอก” เจ้าของชื่อละมือจากการพับผ้าบนเตียง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องให้ แล้วก็พบว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือหวงจื่อเทา
“มีอะไรหรือเปล่า” มันเป็นเรื่องแปลกที่หวงจื่อเทามาเคาะประตูห้องของเขาในเวลาเจ็ดโมงเศษ ๆ คนตัวสูงหันซ้ายขวาก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
“มาด้วยกันหน่อยสิ”
มินซอกไม่ได้ถามอะไรอีก ร่างเล็กยืนชั่งใจอยู่แค่ครู่เดียวก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินตามไป ตั้งแต่ที่โรงเรียนมาจนถึงปัจจุบัน เขาทั้งสองคนก็ไม่ค่อยได้คุยกันสักเท่าไหร่
อากาศข้างนอกยังคงหนาว ถึงจะไม่เท่าช่วงปีใหม่แต่ก็ทำให้สั่นได้ตอนที่ลมพัดมา ตอนนี้มีเพียงแค่คุณอี้ฟานกับครูกาฮีที่อยู่ข้างนอก และเด็กสองคนที่ยืนกวาดหิมะอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งวันนี้ซูโฮดูหงอยผิดปกติ ถ้าเขาไม่ได้คิดไปเอง
เทาเพียงแค่โค้งหัวให้ครูเล็กน้อยตอนเดินผ่าน ปาร์คกาฮีไม่ได้ทักท้วงอะไร เธอเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ตอบกลับมาเป็นการทักทายยามเช้า
“ฉันควรถามไหมว่าเราจะไปไหนกัน?” พอมาถึงประตูทางออกอุทยานมินซอกเลยคิดว่าการถามถึงที่หมายมันก็คงจำเป็นแล้วในเวลานี้ “จะออกไปข้างนอกแบบนี้นายขอครูแล้วหรือยัง?”
เทาหันมาพยักหน้าพร้อมยิ้มบาง ๆ เป็นคำตอบ ก่อนจะเปิดประตูออกเล็กน้อยเพื่อให้ทั้งคู่แทรกตัวออกไปได้ เขาเห็นว่าสีหน้ามินซอกไม่ค่อยโอเคกับการที่จะต้องออกไปข้างนอกรั้ว แต่เขาก็เพียงแค่ยิ้มแล้วเดินออกมาก่อน
“ทำในสิ่งที่ควรทำมาตั้งนานแล้ว”
“จำที่ผมบอกได้ใช่ไหม?”
“ผมจำได้”
“ดีครับ ตอนนี้เรามีเวลาไม่มาก เพราะงั้นผมอยากทวนแผนของเราอีกสักครั้งหนึ่ง”
แบคฮยอนมือเย็นไปหมด เขาเห็นว่าตอนนี้ชานยอลกำลังง่วนอยู่กับการจับเวลานาฬิกาข้อมือก่อนจะถอดเสื้อโค้ทตัวนอกออกและตามด้วยเสื้อกันหนาวตัวใน ตอนนี้ร่างสูงเหลือเพียงแค่เสื้อยืดสีดำเท่านั้น
เสียงผู้คนทางด้านนอกทำให้ความกลัวที่มีอยู่พุ่งสูงเป็นเท่าตัว แม้ว่าที่ได้ยินนั้นจะเป็นเสียงของผู้หญิง แต่ที่สุดแล้วคนเหล่านี้ก็จิตใจต่ำช้าจนเขาไม่กล้ามองเห็นว่าใครดีได้อีก เมื่อภาพตอนแล่เนื้อคนสด ๆ มันยังคงติดตาอยู่
“ถ้าไม่รู้จะตอบยังไงให้พูดไปว่า ‘อยากรู้อะไรก็ไปถามพี่เองสิ’ ”
ใช่แล้ว ชานยอลวางแผนไว้ว่าให้ตบตาพวกนั้นด้วยการเล่นละครเป็นพี่น้องที่ไม่ค่อยสนิทกัน แบคฮยอนต้องเป็นเด็กหัวรั้นที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าพี่ชาย ในขณะที่ชานยอลต้องเป็นพี่ชายที่ห่วงน้องอยู่เสมอ
เพราะการแสดงออกแบบนั้นมันเป็นการเทคำถามทั้งหมดมาที่ชานยอลได้โดยที่ไม่ต้องวางแผนโกหกให้ตรงกัน ซึ่งเขาไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจะจับผิดเก่งได้มากน้อยแค่ไหน แต่การเซฟตัวเองมันก็ดีที่สุด
“คุณจะทำอะไร?”
“เงียบไว้” ชานยอลกดเสียงลงต่ำแล้วเอาตลับมีดพกออกมาจากรองเท้า ก่อนจะกรีดมีดลงบนต้นแขนตัวเองเบา ๆ พอให้เลือดซึมออกมา
“ชาน...”
“ถอดเสื้อตัวนอกของคุณออกครับ” แบคฮยอนขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าอย่างเป็นกังวล ชานยอลมักจะเป็นแบบนี้เสมอเลย ไม่ยอมพูด แล้วปล่อยให้เขางงจนคำตอบมันออกมาเป็นรูปเป็นร่างเอง
ร่างสูงเอาผ้าก๊อซส่วนปลายแตะลงกับเลือดที่ซึมออกมาจนมันขยายเป็นวงกว้าง ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้คนตัวเล็กขยับเข้ามาใกล้ ๆ
“ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวเลือดก็หยุดแล้ว ผมไม่ได้กรีดลงไปลึก”
“...”
ราวกับว่าชานยอลอ่านใจออกว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่ แบคฮยอนไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย เขาเพียงแค่มองมือแกร่งที่กำลังพันพาก๊อซลงกับข้อมือเขาหลาย ๆ ทบ หลังจากนั้นร่างสูงก็ช่วยสวมเสื้อกันหนาวให้
“คุณทำแบบนี้ทำไม”
“มันจะช่วยคุณ”
“...”
“พวกเขาจะไม่กินคุณถ้าได้เห็นผ้าพันแผล ผมจะบอกว่าคุณถูกกัดเมื่อสามวันที่แล้ว”
“พวกเขาจะเชื่อเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณก็ทำด้วยสิ” แบคฮยอนเอาม้วนผ้าก๊อซขึ้นมา แต่อีกฝ่ายกลับกดมือเขาลง
“เราทำแบบนั้นไม่ได้ คุณก็รู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะรอดจากการถูกกัด” ร่างเล็กนิ่งไปครู่หนึ่งขณะที่ยังไม่ละสายตาจากร่างสูง ประโยคนี้มันทำให้เขานึกถึงวันนั้น ที่พี่แบคโฮกับเซฮุนถูกกัดมาพร้อมกัน แต่พี่ชายเขากลับไม่รอด
“ถ้าเป็นแบบนี้พวกเขาก็ต้องกินคุณแทน...ใช่ไหม?” เด็กหนุ่มถามเสียงแผ่ว และการที่ชานยอลไม่ตอบคำถาม มันก็ยิ่งทำให้เขาใจไม่ดีกว่าที่เป็นอยู่ “ไม่เอาแบบนี้สิ คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ ถ้าคุณช่วยผมคุณอาจจะต้องตาย”
“คำว่า ‘อาจจะ’ มันก็ยิ่งมีเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปไม่ได้อยู่ เราจวนตัวแล้วแบคฮยอน ตอนนี้ขอแค่ทำตามที่ผมบอก”
แบคฮยอนไม่กล้ารับปาก ไม่กล้าแม้แต่จะพยักหน้าอย่างฝืนใจ เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าการที่คนพวกนั้นไม่จับเขาแก้ผ้าเพื่อค้นตัวมันเป็นเรื่องดีหรือเปล่า เพราะมันทำให้ชานยอลคิดแผนนี้ขึ้นมาได้ แต่ยังไงเขาก็ไม่เห็นด้วยกับแผนการที่ทำให้ชานยอลต้องมาเสี่ยงแบบนี้
“ถ้าเราไม่ถูกกิน แล้วเราจะหนีไปได้ยังไง”
แววตาจริงจังที่มองมานั้นอาจจะเป็นคำตอบของปาร์คชานยอล ผู้ชายคนนี้คงรู้ดีว่าตอนนี้เขากำลังรู้สึกยังไง มือใหญ่วางลงบนศีรษะเขานั้นกำลังลูบเบา ๆ ราวกับเป็นการปลอบใจ แต่มันก็ยังไม่มากพอ จนกว่าบยอนแบคฮยอนจะแน่ใจแล้วว่าผู้ชายคนนี้จะไม่เป็นอะไรไป
“ถ้ามันจะทำให้คุณรอด ผมทำได้มากกว่าที่คุณคิด”
“...”
“ผมไม่มีทางปล่อยให้คุณตาย ขอแค่เชื่อใจผม ได้หรือเปล่าครับแบคฮยอน?”
“ฉันว่านายควรจะพักผ่อนให้มากกว่านี้ เมื่อวานก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
มินซอกเปิดบทสนทนาขึ้นมาหลังจากที่เขาและหวงจื่อเทาเดินเข้ามาในป่าค่อนข้างลึกพอสมควรแล้ว พวกกัดคนราว ๆ สิบตัวถูกคนตัวสูงจัดการด้วยมีดมาระหว่างทาง ร่างเล็กเพียงแค่หลบอยู่ข้างหลังแล้วหันไปรอบ ๆ ตัวอย่างหวาดระแวง เพราะกลัวจะถูกโจมตีจากข้างหลัง
“ฉันจำไม่ได้แล้วว่าการหลับเกินสี่ชั่วโมงมันเป็นยังไง มันจะทำให้ฉันสดชื่นได้มากแค่ไหน” เสียงของเพื่อนชาวจีนนั้นเรียบเฉยปนเหนื่อยอ่อน มินซอกรู้ว่าบาดแผลที่เกิดขึ้นเมื่อตอนปีใหม่มันยังสร้างความเจ็บปวดให้พวกเราได้เป็นอย่างดี
“ถึงใจมันจะไม่อยาก แต่ร่างกายของนายจำเป็นต้องพักผ่อนนะ”
“ฉันพยายามทำแบบนั้นมาตลอดเกือบสองเดือน ถ้าได้ยานอนหลับสักหน่อยก็คงดี...อืม...หมายถึงว่าฉันเคยคิดอย่างนั้นน่ะ แต่พอมานึกดูอีกที ถ้าฉันหลับแต่คนอื่น ๆ ต้องออกไปหาเสบียง ออกไปทำเรื่องที่ตัวฉันทำได้ดี แบบนั้นการนอนสี่ชั่วโมงมันก็ไม่แย่สักเท่าไหร่”
“นึกถึงคนอื่นก็ควรนึกถึงสุขภาพตัวเองบ้าง ครูเป็นห่วงนาย ฉันเองก็ด้วย” เทารู้อยู่แก่ใจดีถึงเรื่องที่มินซอกกำลังพูดถึง เด็กหนุ่มถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะหันหน้าเข้าหาเพื่อนตัวเล็กกว่า
“ที่ฉันพานายมาวันนี้ ก็เพราะว่ามันถึงเวลาที่นายต้องฝึกป้องกันตัวแล้ว” ก็กะไว้อยู่เหมือนกันว่าการที่หวงจื่อเทาพาเขามาที่นี่ คงไม่ใช่เพราะอยากเดินเล่นหรือหาเรื่องชวนคุยในวันที่เสบียงใกล้หมดแน่ ๆ ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่
“เอาสิ”
“นายเองก็พอมีฝีมือติดตัวอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ได้ใช้มันตอนสถานการณ์ฉุกเฉินใช่ไหมล่ะ” ทั้งคู่เดินไปข้างหน้าอีกครั้ง เทาเอามีดกรีดต้นไม้เป็นสัญลักษณ์ตัว T เอาไว้เพื่อไม่ให้หลงทางตอนขากลับ “แล้วเราก็ไม่รู้ว่าจะรอดในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนั้นเหมือนทุกครั้งได้หรือเปล่า”
เทาพูดถูก หลายครั้งที่คิมมินซอกรอดมาได้เป็นเพราะโชคช่วยทั้งนั้น ถ้าไม่มีปืนไรเฟิลให้ทำลายศัตรูจากระยะไกล เขาก็เป็นเพียงแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งที่รอดมาได้เพราะมีคนคอยช่วยเหลือ
“นายรู้ใช่ไหมว่าการออกไปหาเสบียงในแต่ละครั้งมันเสี่ยง” เด็กหนุ่มชาวจีนหันไปมองเพื่อนที่มองไปรอบข้างอย่างหวาดระแวง ซึ่งมันคงไม่แปลกกับคนที่ไม่คุ้นชินการออกมาเดินลาดตระเวนแบบนี้ “ฉันอาจจะโดนกัดแต่ไม่ตาย แต่ถ้าโดนรุมกินอันนั้นน่ะตายชัวร์”
เด็กหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ มันเป็นเรื่องตลกร้ายที่พระเจ้าเลือกให้เขารอดตายจากการถูกกัด เพื่อให้ยืนมองคนที่เขารักจากไปทีละคน
“ถ้านายไม่อยากใช้สิทธิ์ตื่นสาย ฉันก็จะออกมาฝึกด้วยแบบนี้ทุกวัน” เราไม่สนิทกัน มินซอกรู้ดี แต่เขาก็เข้าใจความรู้สึกของเพื่อนคนนี้ได้อย่างไม่ยาก เทาเป็นคนจิตใจดี อ่อนไหว และทำเพื่อคนอื่นอยู่เสมอ และนั่นคือเหตุผลที่เพื่อน ๆ ทุกคนไว้ใจให้เขาเป็นผู้นำตอนอยู่โรงเรียน
“เยี่ยม ฉันดีใจที่ได้ยินนายพูดออกมาเอง” เด็กหนุ่มยิ้มขณะมองไปยังเบื้องหน้า “ถ้าเป็นคนอื่นคงเลือกหดหัวอยู่ในกระดอง มากกว่าออกมาเสี่ยงตายข้างนอก”
“ก็พูดไป เพราะคนอื่น ๆ เขาออกมาเสี่ยงบ่อยจนชินแล้วต่างหาก” มินซอกเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “บางทีฉันอาจจะโชคดีถูกกัดแล้วไม่เปลี่ยนเหมือนนายก็ได้นะ”
“เหรอ”
“อืม ถ้าเป็นแบบนั้นฉันจะอาสาเป็นโล่ให้คนอื่นเอง ถ้าเกิดไม่โดนกินไปก่อน” พูดจบก็หันไปมองหน้ากัน ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรียกรอยยิ้มในวันท้องฟ้าเป็นสีเทาแบบนี้ได้
“ถ้าฉันอยู่ตัวคนเดียวคงไม่กังวลว่าจะต้องตายเมื่อไหร่ แต่เพราะว่าตรงนี้ยังมีครูอยู่ ฉันอยากให้เธอปลอดภัย” เทาหยุดยืนแล้วทำสัญลักษณ์อีกครั้ง “เธอเป็นเหมือนแม่ของฉัน”
“...”
“มินซอก นายเคยรู้สึกเหมือนมีแผล แล้วมันไม่หายสักทีไหม?” ร่างเล็กไม่ได้ตอบกลับไป เขาเพียงแค่ยืนมองแผ่นหลังของเพื่อนเท่านั้น “ตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกแบบนั้นอยู่”
“อืม”
“มันเป็นแผลใหญ่ที่ไม่มีวันหาย เพราะถูกซ้ำรอยเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่ตอนเรื่องเพิ่งเกิดขึ้น เราต้องช่วยกันขุดหลุมฝังศพเพื่อนที่เคยเห็นหน้ากันทุกวัน จนมาถึงตอนนี้ ฉันคิดว่าแผลมันคงอักเสบเกินเยียวยาไปแล้ว”
“...”
“ถ้ามีใครต้องตายอีก...โดยเฉพาะครู...ฉันก็ไม่มั่นใจแล้วว่าจะทำยังไงต่อไปดี”
มินซอกมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย ก่อนจะค่อย ๆ วางมือลงไปบนไหล่กว้างแล้วบีบเบา ๆ วินาทีนั้นเทารู้สึกวูบตรงหน้าอกข้างซ้าย ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไร แต่เขารู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาอย่างคนเสียสติ เพียงเพราะได้รับการปลอบใจด้วยมือเล็กที่วางอยู่บนไหล่เขา
“เราจะช่วยกันปกป้องครู จะไม่มีใครต้องตายแล้วเทา”
“...”
“ฉันก็รักครูเหมือนแม่คนหนึ่ง ตอนนี้เราเป็นเหมือนพี่น้องกันแล้ว” มินซอกมองไปรอบ ๆ ข้างเพื่อดูลาดเลา ก่อนจะหันมาหยุดอยู่กับแผ่นหลังคนตัวสูงอีกครั้ง “อย่าเก็บความเศร้าไว้คนเดียวเลยนะ”
เทาหันหน้าเข้าหาคนตัวเล็กกว่า เขาเห็นว่าแววตาที่มองผ่านเลนส์แว่นนั้นดูจริงจัง ในทีแรกก็เป็นกังวลอยู่ว่าคนตัวเล็กอาจจะลำบากใจ ถ้าเกิดเขาจะสอนทักษะการป้องกันตัวให้ แต่นอกจากมินซอกแล้วเขาก็ไม่รู้จะไปขอพึ่งให้ใครมาปกป้องครูอีก เพราะที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ทุกคนต่างก็ต้องปกป้องตัวเอง แต่คำตอบของมินซอกมันทำให้เขารู้สึกดีขึ้นไม่น้อย กับสิ่งที่ได้รับจากเพื่อนคนหนึ่ง
“กรรรรรซ์...”
ทั้งคู่หันไปตามต้นเสียง ก่อนจะเห็นตัวกัดคนสองตัวกำลังแหวกกิ่งก้านใบไม้ออกมาจากในป่า มันตรงมาทางนี้ก่อนจะล้มลงไปจมกับหิมะเพราะโขดหินที่เป็นอุปสรรคบนพื้น เด็กตัวสูงส่ายหน้าหน่าย ๆ แต่ความเชื่องช้าของพวกมันนั้นก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับการเริ่มต้นบทเรียนในครั้งนี้ เทาวางมือลงบนใหล่คนเป็นเพื่อนแล้วพยักหน้า
“เอาล่ะ ถึงเวลาแล้วมินซอก”
เอื่อย เนือย เซ็ง
นั่นคือสิ่งที่ลู่หานรู้ในเวลาแบบนี้
ชายหนุ่มอ้าปากหาวเป็นครั้งที่ร้อย หลังจากเสียเวลาทิ้งไปกับการตกปลาริมแม่น้ำ ก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันจะทำอะไรได้ไหม น้ำก็เชี่ยวแบบนี้ตกไปอย่างเก่งก็เจอซากกางเกงในที่ไหลมาจากปากทาง แต่มันก็ยังดีกว่านั่งหายใจทิ้งในอุทยานโดยที่ออกไปไหนไม่ได้ เพราะยังอยู่ในช่วงอันตราย เสียงรถจะดึงพวกหอกหักนั่นมาด้วย นี่ถ้ามีเกวียนปัญหานี้จะหมดไป ลู่หานคิดอย่างนั้น
อี้ฟานบอกว่าพรุ่งนี้ถึงออกไปหาเสบียงได้ วางแผนกันไว้ดิบดีว่าจะต้องแยกกลุ่มไปสองทาง ฝั่งหนึ่งไปค้นตามบ้านเรือน อีกฝั่งก็ตามแผนเดิมคือห้างสรรพสินค้า หรือไม่ก็พวกโกดังเก็บของ ซึ่งแน่นอนว่าลู่หานอยู่กลุ่มหลัง
“ถึงจะจำอะไรไม่ได้ แต่กูคิดว่าปลาคงไม่แดกเบ็ดมึง”
หนุ่มชาวจีนหันไปตามต้นเสียงพลางหรี่ตามองกวนตีน แล้วก็พบว่าไอ้เพื่อนสมองหายกำลังหยัดตัวนั่งลงข้าง ๆ เขา
“งั้นอ้าปากดิ กูจะได้หย่อนเบ็ดลงไป”
จงอินหัวเราะกับสีหน้าและคำพูดของอีกฝ่าย เขาได้ยินเสียงถอนหายใจของลู่หาน และมันไม่ใช่เรื่องเพลงกับสถานการณ์ในตอนนี้ ทั้งสองคนปล่อยให้ความเงียบทำงาน
“คิดดูเอาว่ากูหิวแค่ไหน ถึงกับมานั่งตกปลาอย่างสิ้นหวังแบบนี้”
“เออ กูก็หิวเหมือนกัน”
“เวลาหิวแล้วหงุดหงิดว่ะ” ลู่หานลุกขึ้นยืนอย่างหัวเสียแล้วปาก้อนหินลงแม่น้ำจนมันกระเด็นใส่ตัวเอง และนั่นทำให้จงอินระเบิดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “เวรเอ๊ย!”
“บาปกรรมติดไนตรัส”
“เหอะ จำได้ด้วยเหรอว่าไนตรัสคือไร”
“กูจำชื่อพ่อมึงได้ด้วย ถ้ามึงเคยบอก”
“สัด...” หนุ่มชาวจีนขยับปากบ่นอุบอิบก่อนจะนั่งลงที่เดิม “แล้วนี่มึงตื่นมาทำไรแต่เช้า หาหญ้าแดกเหรอ”
“เปล่า กูปวดฉี่ พอเห็นอี้ฟานอยู่หน้าบ้านก็เลยคุยกันไปเรื่อยเปื่อยว่าใครตื่นบ้าง ยังนอนอยู่บ้าง บทสรุปคือมึงอยู่ใกล้ตีนที่สุดเลยเดินมาหา”
“คำตอบมึงนี่น่ารักเนาะ” ลู่หานหันไปมองคนเป็นเพื่อนอย่างเนือย ๆ ก่อนจะยกเท้าขึ้นทำท่าจะถีบ แต่จงอินยกมือขึ้นบังไว้ทัน “เหยด ความรู้สึกไวซะด้วย”
“ผลพวงจากการวิ่งหนีตายบ่อย ๆ มั้ง” จงอินว่าแล้วหลุบลงมองมือตัวเอง เมื่อกี้เขาก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน จนกระทั่งไอ้เตี้ยนี่พูดนั่นแหละ
“มึงมาก็ดีละ กูจะได้มีเพื่อนคุย”
“เออ”
“แผลตรงกบาลนี่โอเคแล้วเนอะ?” ลู่หานลูบหัวคนข้าง ๆ ก่อนที่จงอินจะเบี่ยงตัวหลบแล้วทำท่าจะตบหัวคนที่บังอาจเล่นหัวเขา “แหม่ จับนิดจับหน่อยไม่ได้เลย”
“ปฏิกิริยาที่กูมีต่อมึงมันแรงไปนิด โทษทีว่ะ”
“ใช่ซี้ ใครจะไปทำให้มึงรู้สึกเบาหวิวเหมือนปุยนุ่นได้เท่าแม่สาวเล...” ลู่หานค้างอยู่ในท่านั้น ก่อนจะค่อย ๆ เหล่มองเพื่อนสนิทหลังจากพลั้งปากพูดออกไป “กูหมายถึงซูยอนคนสวย”
จงอินเพียงแค่แค่นหัวเราะในลำคอ เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เพื่อนฝูงจะแซวเรื่องผู้หญิง ชายหนุ่มมองหน้าเพื่อนชาวจีนที่เอามือทาบอกทำหน้าเหมือนคนโล่งใจ พอเขาวางมือลงบนไหล่ มันก็สะดุ้งซะสุดตัว
“เป็นห่าไร”
“เปล๊า...กูหนาว” พูดก็พูดเถอะ ถึงคิมจงอินจะสูญเสียความทรงจำ แต่ก็อย่างที่รู้ว่าเขาไม่ได้โง่ขนาดนั้น และการที่ไอ้หอกนี่กำลังโกหก มันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
“บอกตามตรงนะ กูรู้สึกแปลก ๆ เวลาที่มึงเป็นแบบนี้”
“แบบไหนวะ?” ลู่หานขมวดคิ้ว ก็เข้าใจหรอกนะ คือคนมันโกหกไม่เก่งไง ถ้าเพื่อนจะสงสัยบ้างก็คงไม่แปลก
“แบบที่มึงกำลังตอแหลอยู่”
สัส...
“ไว้มึงจำทุกอย่างได้ก่อนแล้วกูจะเลิกตอแหล”
“ถ้ามันง่ายแบบนั้นก็ดี แต่ตอนนี้กูก็พอจะจำเรื่องเก่า ๆ ได้บ้างแล้วนะ” จงอินไหวไหล่ จากความฝันเมื่อคืนนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุทำให้เขาสะดุ้งตื่นตอนเช้า ไม่ใช่เพราะปวดฉี่อย่างที่บอกไป เขาได้แต่หวังว่าการฝันถึงเด็กผู้ชายคนนั้นมันเป็นเพราะเมื่อคืนเขาเราสองคนนั่งคุยกันหน้าประตูอุทยานจนดึกดื่น เลยทำให้เก็บเอาไปฝัน
“อย่างเช่นอะไรบ้างล่ะ”
“ผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังจะตาย เขาพูดกับกูว่า ‘ฝากดูแลแบคฮยอนด้วยนะ’ หมอนั่นชื่อบยอนแบคโฮ” พอพูดถึงชื่อนี้แล้วลู่หานก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แน่นอนว่าเขาไม่เคยลืมผู้ชายคนนั้นที่เคยหนีตายไปด้วยกันจนถึงวินาทีสุดท้ายที่ความตายพรากหมอนั่นไป “แล้วก็ผู้หญิงในชุดเจ้าสาว”
“อ้อ นั่นเมียชานยอล”
“ทะเล บนเรือลำนั้นมีเด็กแว่นคนนั้น”
“อ่า คงเป็นตอนที่มึงนั่งเรือไปเกาะเชจูกับมินซอก”
“โอเซฮุนในชุดนักเรียน”
“...”
“โอเซฮุนตอนกำลังร้องไห้”
“...”
“โอเซฮุนตอนกำลังยิ้ม”
“...”
“แล้วก็...โอเซฮุนตอนเรียกกูว่า ‘จงอินครับ’ ”
‘จงอินครับ’
ราวกับว่าเสียงนั้นกระซิบอยู่ข้างหู ชายหนุ่มทั้งสองคนเงียบไปโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก จงอินหลุดออกจากความคิดแล้วหันหน้าเข้าหาคนข้าง ๆ ทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าเผลอพูดเรื่องเด็กคนนั้นออกมามากจนเกินไป
“กูรู้”
“...”
“สิ่งที่มึงกำลังกลัวว่าใครจะรู้น่ะ กูรู้ตั้งนานแล้ว” ลู่หานมองอีกคนก่อนจะตบหลังปุ ๆ เมื่อเห็นว่าจงอินดูเหมือนจะช็อกไป
เขาไม่ใช่คนฉลาดอย่างปาร์คชานยอล แต่สิ่งที่เห็นกับตาในหลาย ๆ ครั้งและเมื่อครู่นี้ มันทำให้รู้ได้แล้วว่าไอ้เวรนี่มันคงรู้แล้ว ว่าการฝันถึงโอเซฮุนมันไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา เขารู้ว่าการพูดกระตุ้นในครั้งนั้นมันก็มีส่วน ไม่อย่างนั้นไอ้จงอินคงไม่สับสนจนต้องรีบปฏิเสธเซฮุนเพราะรับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายรักชายไม่ได้
แต่วินาทีนี้ สิ่งที่ลู่หานเห็น เขาคิดว่าสมองส่วนต่อต้านความรู้สึกไอ้เพื่อนตัวดีคงทำงานแย่ลงไปเรื่อย ๆ เมื่อความเคยชินในวันเก่า ๆ มันย้อนกลับมาให้ได้คิด ต่อให้วันนั้นเขาแกล้งพูดทีเล่นทีจริงว่าคนที่คิมจงอินรักคือผู้ชายด้วยกัน แต่ในเมื่อใจมันไม่เปิดรับ เขาก็ได้แต่คิดว่าเมื่อถึงเวลานั้น มันก็คงรู้ใจตัวเอง
และตอนนี้เวลามันก็เดินมาถึงแล้ว
“แล้วมีคนอื่นรู้อีกไหม?”
“คิดว่าไม่ ทำไม มึงกลัวเหรอ?” หนุ่มชาวจีนมองเพื่อนสนิทอย่างหยั่งเชิง เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะทำยังไงหลังจากรู้ว่าเรื่องของมันกับเซฮุนไม่ได้ถูกเก็บเป็นความลับ
“เปล่า”
ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่ราว ๆ ครึ่งนาที ลู่หานถึงได้ยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าช่างหัวเรื่องนี้เถอะ เขาเองก็ไม่อยากพูดอะไรมากมายเพราะกลัวว่าเด็กกรงหมาจะไม่สบายใจ ถึงจะอยากให้เพื่อนจำความได้ แต่มันคงดีกว่าถ้าทุกอย่างเริ่มต้นด้วยตัวของมันเอง ลู่หานเสือกมาเยอะแล้ว เขาควรจะเหนื่อยเป็นสักที
“มึงรู้เรื่องนี้ แล้วมึงก็เห็นว่ากูกับซูยอน...” จงอินพูดไม่จบประโยค เขาเงียบไปเพื่อใช้ความคิด ซึ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนระหว่างเขากับผู้หญิงคนนั้นยังไง “มึงไม่โกรธเหรอวะ ที่กูทำแบบนี้?”
“ในฐานะเพื่อน กูคงไม่เกลียดมึงด้วยเหตุผลง่อย ๆ แบบนี้ว่ะ พอดีว่ามีเรื่องอื่นให้กูเหม็นขี้หน้ามึงมากกว่านั้น ยกตัวอย่างเช่นเมื่อก่อนมึงชอบพากูไปเสี่ยงตีนจนเกือบตายห่านับครั้งไม่ถ้วน”
“...”
“บอกตามตรงนะ ที่กูยังรู้สึกห้าสิบห้าสิบกับมึงแบบนี้มันเป็นเพราะว่ากูสนิทกับมึงคนเดิมมากกว่า แล้วนั่นก็ไม่ได้หมายความว่ากูไม่อยากคบมึงคนใหม่เป็นเพื่อน กูแค่ยังไม่ชินแล้วก็ทำตัวไม่ถูก เหมือนอย่างที่ใครเขาว่าเรื่องของมึงต้องใช้เวลา”
“ใครล่ะที่ว่า?”
“ไม่ใช่หมาพูดได้แล้วกัน”
“...”
จงอินกำลังรู้สึกผิด ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าอดีตก็ส่วนอดีต เขาควรจะอยู่กับปัจจุบันแล้วเดินหน้าต่อไป แต่พอมีเรื่องโอเซฮุนเข้ามา ที่ทำให้ภาพเก่า ๆ มันเด่นชัดขึ้น คิมจงอินก็เริ่มคิดแล้วว่าการทิ้งอดีตไว้ข้างหลังมันไม่ใช่เรื่องง่าย
เมื่อลึก ๆ แล้ว...ในใจของเขาก็ไม่ได้อยากลืมมันไป
“มึงได้คุยกับเซฮุนบ้างเปล่าวะ”
“คุยปกติทั่วไปหรือคุยเรื่องมึงล่ะ”
“เรื่องไหนก็ได้” เขาเห็นว่าสายตาของไอ้สมองกลวงแอบมีฟอร์มอยู่ ลู่หานได้แต่หัวเราะในใจ ก็เห็นว่าช่วงนี้แม่สาวเลสเบี้ยนเข้าหาเด็กกรงหมาบ่อย ๆ ซึ่งเขามั่นใจเลยว่าเซนส์ขี้เสือกจากแดนมังกรคงทำงานไม่ผิดพลาดแน่
“ก็มีเรื่องมึงกับเรื่องซูยอนบ้าง”
“ซูยอน?” แทนที่จะสนใจเรื่องตัวเอง แต่ชายหนุ่มกำลังขมวดคิ้วเพราะได้ยินชื่อหญิงสาวที่เขารู้สึกดีด้วย ถึงแม้ว่าเธอจะเคยพูดเตือนสติให้เขาคิดมาแล้ว แต่เบื้องลึกคิมจงอินยังรู้สึกว่ามันยังไม่ชัดเจน
‘ซูยอน เธอรู้ใช่ไหมว่าฉันรู้สึกยังไงกับเธอ’
‘ฉันรู้’
‘งั้นก็ทำให้มั่นใจหน่อยได้ไหมว่าฉันทำถูกแล้ว อะไรก็ได้ที่ทำให้ฉันมองเธอแค่คนเดียว’
‘ฟังนะจงอิน’
‘...’
‘ถ้านายกำลังรู้สึกไม่มั่นใจ นั่นแสดงว่านายไม่ได้ชอบฉันจริง ๆ’
‘ไม่ใช่อย่าง...’
‘ฟังให้จบก่อน”
‘...’
‘รู้หรือเปล่าว่าทำไมฉันถึงไม่ยอมตกลงคบกับนายสักที’
‘...’
‘ก็เพราะว่าฉันอยากให้นายแน่ใจกับความรู้สึกตัวเองก่อนไง ที่นายคิดว่าชอบฉันจริง ๆ แล้วมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ บางทีอาจเป็นเพราะว่าฉันกับยูริช่วยชีวิตนายเอาไว้ ฉันคือผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ใกล้ตัวนายที่สุด หรืออีกหลายเหตุผลที่ทำให้คิดไปในทางนั้น’
‘...’
‘นายอาจจะแค่รู้สึกดี ๆ แต่ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหม...ว่ากับฉันน่ะมันไม่ใช่ความรัก’
‘...’
‘อย่าเพิ่งให้คำพูดตัดสินความรู้สึกตัวเองเลยจงอิน ให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามความรู้สึกของนายเถอะ’
“กูบอกว่าซูยอนสวยดี แค่นั้นแหละ”
“...”
ลู่หานยิ้มพอใจกับสีหน้าของเพื่อนสนิทหลังจากที่เขาปล่อยให้มันคิดไปเองเกือบครึ่งนาทีว่าคนที่พูดถึงซูยอนอาจจะเป็นเด็กกรงหมา แต่สุดท้ายมันก็เป็นหลุมดักควายเพื่อหลอกดูท่าทีของมัน บอกตามตรงว่าคนอย่างลู่หานไม่ใช่พวกเก่งเรื่องสงครามประสาทหรอกนะ แต่ที่มีความสามารถทำถึงขนาดนี้ได้ก็เพราะติดเชื้อจากปาร์คชานยอลมา ถ้าเป็นเรื่องขโมยหรือเลียนแบบคนอื่นนี่กูถนัดนัก
“กูไม่รู้นะว่ามึงอยากให้เรื่องมันออกมาเป็นแบบไหน ถ้ามึงอยากตัดเซฮุนออกไปก็ไม่ยากหรอก แค่เมินน้องมันให้มาก ๆ เดี๋ยวก็สำลักความเจ็บปวดจนชินไปเอง”
“กูไม่ได้อยากเมินเซฮุน”
เป็นอีกครั้งที่จงอินเพิ่งรู้ตัวว่าพูดออกไปก่อนให้สมองคิด สองเพื่อนซี้มองหน้ากันแล้วปล่อยให้ความเงียบทำงานอีกครั้ง สุดท้ายลู่หานก็หลุดขำออกมา
“แล้วไง มึงไม่อยากเมินมันแล้วไง มึงชอบผู้หญิงแล้วเพื่อน”
“...”
“แต่ไม่เป็นไร กูมีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเล่าให้ฟัง”
ลู่หานเว้นจังหวะไปชั่วอึดใจ เพื่อดูท่าทีของเพื่อนสนิทและปล่อยให้ต่อมอยากรู้อยากเห็นของมันได้ทำงานบ้าง เขารู้ว่ากำลังยื่นขาเข้ามายุ่งจนมากเกินจำเป็น ทั้งที่เด็กกรงหมาเคยย้ำบอกแล้วว่าให้ปล่อยไป เพราะยิ่งกระตุ้นไอ้เวรนี่มากเท่าไหร่เด็กคนนั้นก็ยิ่งเจ็บ
แต่โทษทีว่ะ...เด็กกรงหมาก็เหมือนน้องชายของเขาคนหนึ่งเหมือนกัน มันคงไม่แย่สักเท่าไหร่หรอกมั้ง ถ้าเกิดว่าพี่ชายคนนี้ได้ทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องแล้ว
“แต่ก่อนมึงจะชอบเซฮุน มึงก็เคยชอบผู้หญิงมาก่อนเหมือนกัน”
“...”
“เพราะงั้นกูอยากบอกไว้ว่า การชอบเพศเดียวกันไม่ได้ทำให้พ่อใครตาย พวกกินคนโน่นที่ทำให้พ่อมึงตายได้ โอเค๊?”
“...”
“ตอนนี้ซูยอนน่าจะอยู่ช่วยครูสุดสวยทำอาหารอยู่ กูคิดว่านะ นี่เสือกมาจนจับเวลาการเป็นอยู่ของชาวบ้านชาวช่องได้หมดแล้ว”
ลู่หานขมวดคิ้วทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเก็บอุปกรณ์ตกปลาแล้วปล่อยให้ไอ้จงอินได้บริหารสมองสักหน่อย เขายินดีถ้าจะมีเพื่อนเป็นคนโง่ แต่มันคงไม่เข้าท่าที่จะมีเพื่อนเป็นควาย
หนุ่มชาวจีนลุกขึ้นยืนก่อนจะก้มลงมองเพื่อนสนิทที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมและยังไม่ละสายตาจากเขา ราวกับว่าต้องการรับรู้เรื่องราวในอดีตของตัวเองให้มากกว่านี้
“แต่ถ้าเซฮุนน่าจะอยู่ในห้อง มึงถามตีนตัวเองแล้วกันว่ามันอยากเดินไปหาใคร ในฐานะเพื่อนที่พร้อมจะเอาตีนลูบหลังปลอบใจ กูได้ทำดีที่สุดแล้ว”
50%
“แฮ่ก แฮ่ก...”
“ถ้าไม่ไหวแล้วก็ถอยออกไปก่อน เดี๋ยวตัวนี้ฉันจัดการเอง”
เทาหันไปมองเพื่อนตัวเล็กที่หอบหายใจอย่างหนัก หลังจากฝึกจัดการพวกกัดคนในป่าไปหลายตัว เด็กหนุ่มชาวจีนไม่ได้หาเครื่องป้องกันให้เพื่อนสวมใส่ แต่เขาเลือกที่จะคอยอยู่ใกล้ ๆ ถ้าเกิดพลาดจะได้แก้ไขสถานการณ์ได้ทัน ซึ่งมินซอกก็ทำมันออกมาได้ดี
“ไม่เป็นไร อีกแค่ตัวเดียว”
ร่างเล็กกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ กระชับมีดในมือไว้แน่นแล้วเตะตัดขาตัวกัดคนให้เสียหลักล้มลงไปตามที่เพื่อนตัวสูงได้สอนเอาไว้ ก่อนจะเอามีดแทงเข้ากลางหัวมันอย่างแรงแล้วรีบชักกลับ
มินซอกทรุดตัวลงไปนั่งกับหิมะพลางหอบหายใจ จากที่ได้ลองเองแล้วถึงได้รู้ว่าการฆ่าพวกมันแต่ละตัวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นอย่างจริงจัง ซึ่งมันทำให้อดนึกถึงคนอย่างลู่หานไม่ได้ว่าผู้ชายคนนั้นไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ที่ต้องฆ่ามันด้วยแล้วยังต้องวิ่งหนีในที่ที่พวกมันอยู่กันเยอะ ๆ อีก
“ถ้ารู้ว่าจะต้องเจอแบบนี้เมื่อก่อนฉันน่าจะเอาดีด้านกีฬา” มินซอกคว้ามืออีกคนที่ยื่นลงมา ก่อนจะดึงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน เทายิ้มขำ แล้วรับมีดมาเช็ดคราบเลือดให้ แล้วปล่อยมินซอกปัดหิมะออกจากตัว
“วันนี้ทำดีแล้ว แต่มันจะดีกว่านี้ถ้านายเริ่มออกกำลังกาย” เทายื่นมีดคืนให้ ซึ่งมินซอกก็พยักหน้าเข้าใจ เขารู้ว่าแค่เอามีดทิ่มหัวพวกมันคงไม่พอ ถ้าจะออกไปหาเสบียงเหมือนคนอื่น ๆ ร่างกายของคิมมินซอกต้องแข็งแรงมากกว่านี้
แกร่ก...
“...!!!”
ทั้งสองคนหันกลับไปข้างหลังแล้วง้างมีดขึ้นเตรียมตัว นัยน์ตาคมกวาดมองไปรอบข้างซึ่งมีต้นไม้ใบหญ้าปกด้วยหิมะอยู่เต็มไปหมด เทาดันมินซอกให้ไปยืนหลบอยู่ข้างหลัง เขาคิดว่าในสถานการณ์ที่มองไม่เห็นศัตรูแบบนี้มันคงไม่ดีแน่ถ้าจะปล่อยให้เพื่อนที่ยังไม่เป็นงานออกมายืนเป็นเป้านิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่า พวกกัดคน หรือมนุษย์ด้วยกัน วินาทีนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้หวงจื่อเทาวางใจได้ทั้งนั้น
แกร่ก...
“นั่นใคร?”
เสียงของเขาไม่ได้ดังจนเรียกว่าตะโกน กลับกันแล้วเสียงของเด็กหนุ่มนั้นอยู่ในโทนปกติ มินซอกหันไปรอบตัวเป็นระยะเพื่อช่วยระวังหลังให้ จากความเงียบที่ได้รับเป็นคำตอบ หวงจื่อเทาพอจะรู้แล้วว่าต้นเสียงนั้นไม่ใช่พวกกัดคนหรือสัตว์ป่าแน่ ๆ
“ก้มลงมินซอก...”
เสียงของเทานั้นคล้ายกระซิบ ซึ่งร่างเล็กก็ทำตามอย่างรู้งาน เด็กหนุ่มค่อย ๆ ชักปืนพกออกมาจากซองใส่ปืนสนับขา ก่อนจะล้วงเอาไซเรนเซอร์ท่อเก็บเสียงออกมาหมุนใส่กับปืนขณะที่สายตายังคงไม่ละห่างจากต้นเหตุของเสียงกิ่งไม้หักเมื่อครู่นี้
“ไม่ว่าแกจะเป็นใคร แต่ถ้าฉันนับหนึ่งถึงสามแล้วยังไม่ออกมา ลูกกระสุนปืนอาจจะไปเยี่ยมแกถึงที่”
“...”
มินซอกมือสั่น เขารู้สึกได้ถึงความกดดันซึ่งเพื่อนตัวสูงส่งไปยังอีกฝ่ายที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร อีกทั้งบรรยากาศโดยรอบที่ไม่ได้ทำให้คิดว่าน่าอุ่นใจเลย จากเหตุการณ์อุทยานถูกบุกเมื่อตอนนั้นมินซอกยังจำได้ดีว่าคิมจงแดได้พบเจออะไรบ้าง พวกเราทุกคนรู้ว่าละแวกนี้ไม่ปลอดภัยแล้ว
“หนึ่ง”
ตึก...ตึก...
“สอง...”
เทายกมือข้างหนึ่งเป็นเชิงบอกให้มินซอกรออยู่ที่นี่ ก่อนที่ขายาวจะก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เบเร็ตต้ารุ่น 92FS ยังคงเล็งอยู่ระดับปลายคาง เขาพร้อมจะเหนี่ยวไกทันทีถ้าบุคคลปริศนาโผล่ออกมาโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง
“สา...”
“เดี๋ยว!!!”
“...”
“อย่าเพิ่งยิงนะ ผมเองครับ ผมซูโฮ!!”
“...”
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อพบว่าคนที่เดินออกมาจากหลังต้นไม้นั่นคือเด็กน้อยที่อยู่ในอุทยานด้วยกัน ก่อนจะตามมาด้วยใครอีกคนที่สีหน้าไม่สบอารมณ์นัก มินซอกไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เทาทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากเด็กน้อยที่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นระดับหูราวกับกลัวว่าจะถูกยิงเข้า
“บ้าเอ๊ย พวกนายสองคนมาที่นี่ได้ยังไง?” เทามองคาดโทษ ซึ่งมีแค่ซูโฮเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยืนห่อไหล่ลงอย่างกลัว ๆ หลังจากถูกดุ ส่วนคยองซูเพียงแค่ถอนหายใจหน่าย ๆ เขาไม่ได้รู้สึกผิดกับแววตาเฉียบคมของผู้ชายคนนี้เลยสักนิดเดียว
“ผม...”
“ตอบมาโดคยองซู” เขารู้ว่าถ้าให้ถามซูโฮชาตินี้ก็คงไม่ได้คำตอบ เพราะงั้นมันคงจะดีกว่าถ้าถามหมอนี่ ซึ่งเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยเพียงแค่มองมีดพกในมือที่เลอะคราบเลือดผีดิบหนึ่งตัวที่เพิ่งจัดการไปเมื่อครู่
“ถ้าถามว่ามาที่นี่ได้ยังไง ฉันก็คงตอบสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่าเดินตามพวกนายสองคนมา”
“...”
“ผมผิดเองครับ พี่เทาอย่าว่าพี่คยองซูเลยนะ ตอนนั้นพวกเรากวาดหิมะเสร็จแล้ว พอเห็นว่าพี่สองคนกำลังจะออกไปข้างนอก ผมก็เลยอยากไปด้วย ส่วนพี่คยองซูเขาเป็นห่วงผม ก็เลยมาเป็นเพื่อน...”
“แล้วออกมาได้ไง ขออนุญาตครูกับอี้ฟานหรือยัง?” คยองซูยังคงยืนนิ่งไม่ตอบคำถาม เวลาผ่านไปเกือบห้าวินาทีซูโฮถึงได้พยักหน้าช้า ๆ อย่างฝืนใจ
มินซอกจับแขนเพื่อนเป็นเชิงบอกให้ใจเย็นหน่อย เขารู้ว่าเทาโกรธที่เห็นสองคนนี้แอบตามมา แต่มันก็โชคดีแค่ไหนแล้วที่ทั้งคู่ปลอดภัย
“นายรู้ใช่ไหมว่าที่นี่มันอันตราย”
“รู้ครับ...”
“นายอย่าดุเขาเลย เราสองคนก็แค่อยากฝึกเหมือนมินซอกก็เท่านั้น” คยองซูพูดเสียงเรียบ ถึงเจ้าเด็กนี่จะน่าหงุดหงิด แต่การที่เขาได้รู้ว่าซูโฮถูกดุเรื่องแอบไปกินขนมในห้องครัวบ้านหลังที่สามเมื่อคืน จนต้องลุกขึ้นมากวาดหิมะเพื่อชะล้างความรู้สึกผิด เขาก็ไม่อยากให้หวงจื่อเทาว่าเจ้าเด็กนี่มากไปกว่านี้แล้ว
ในทีแรกก็ว่าจะชวนซูโฮกลับเลย แต่เจ้าเด็กนี่ก็รั้นอยากจะตามไปดูสองคนนี้ฝึกต่อ ไอ้ตัวเขาจะกลับคนเดียวก็ไม่ได้อีก เพราะงั้นเลยต้องเลยตามเลย
“มันดีที่นายสองคนอยากฝึก แต่คราวหลังควรนัดกันก่อน ไม่ใช่แอบมาแบบนี้” เสียงของมินซอกไม่ได้น่ากลัวเท่าเสียงของเทา คยองซูมองคนใส่แว่นแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบ ส่วนซูโฮยังคงก้ม ๆ เงย ๆ เพราะกลัวสายตาของคนตัวสูง
“อันตรายอยู่รอบตัว เมื่อกี้ฉันเกือบปืนลั่นใส่แล้วถ้าพวกนายตอบช้ากว่านี้ไปแค่วิเดียว”
“เราขอโทษ” สีหน้าของคยองซูไม่ได้ต่างไปจากเดิมเลยสักนิด กลับกันแล้วเขารู้สึกว่าไอ้หมอนี่กำลังทำให้มันจบ ๆ ไปเพื่อที่ซูโฮจะไม่ถูกดุอีก ทั้งที่มาด้วยกันแท้ ๆ แต่เจ้าเด็กนี่กลับกลัวจนต้องก้มหน้านิ่ง ในขณะที่เขาไม่รู้สึกอะไรเลย
โดคยองซูคงตายด้านกับคำพูดของคนอื่นไปแล้วล่ะมั้ง?
“ผมเอามีดมาด้วยนะ” ซูโฮเอามีดพกออกมาให้ดูแล้วก้มหน้าลงอีกครั้ง พอเห็นภาพตรงหน้า หวงจื่อเทาเลยถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะกวาดสายตาไปโดยรอบ เช็กดูว่าแถวนี้ยังมีพวกกัดคนอยู่อีกไหม
“ฉันจะสอนให้พวกนายก็ได้ แต่เราต้องตกลงกันก่อน” เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นแล้วพยักหน้าหงึกอย่างสนใจ ส่วนมินซอกกับคยองซูเพียงแค่ยืนมองหน้าเพื่อนตัวสูงเท่านั้น “ถ้าพ่อนายถามว่าออกมาทำอะไรกัน ให้บอกว่ามาเช็กดูรั้วข้างนอก อย่าบอกว่าเดินเข้ามาในป่าลึกเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
“ผมจะทำตามที่พี่บอกทุกอย่างเลย!”
“ดี”
เด็กตัวสูงถอนหายใจหนัก ๆ อีกครั้ง ลำพังแค่ช่วยสอนมินซอกคนเดียวก็สาหัสแล้ว เห็นทีว่าหวงจื่อเทาต้องจัดตารางใหม่ ถ้าให้สอนพร้อมกันคงวุ่นวายแน่ เพราะเขาไม่ได้มีตารอบตัวที่จะมองเห็นทุกคนได้
“ฉันว่าเราไปหาที่นั่งคุยกันก่อนเถอะ” มินซอกรู้สึกไม่ค่อยดีที่จะยืนอยู่ตรงนี้ ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไม เทาพยักหน้าเห็นด้วย และคยองซูกับซูโฮก็ไม่ได้คัดค้าน
“มินซอกนายเดินระวังซ้าย คยองซูนายอยู่ฝั่งขวา ส่วนซูโฮอยู่ตรงกลาง เกาะเสื้อฉันเอาไว้ ถ้าฉันยกมือขึ้นแบบนี้แปลว่าหยุด” เด็กหนุ่มตัวสูงทำท่าประกอบ “แล้วถ้ากดมือลงแบบนี้แปลว่าให้หมอบลง”
“อื้ม”
พอเห็นว่าทุกคนพยักหน้าเข้าใจ หวงจื่อเทาเลยโล่งอกขึ้นมาบ้าง ถึงแม้ว่าการทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กสามคนจะดูเป็นงานช้าง แต่ถ้าไม่รีบเร่งจนเกินไป การฝึกในครั้งนี้ก็อาจจะออกมาในแง่บวกคือเขาสามารถสอนทั้งสามคนให้เรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันได้ในเวลาอันสั้น
“โอเค งั้นไปต่อได้”
ในลานกว้างหน้าแฟลตที่พัก มีชายวัยกลางคนราว ๆ เจ็ดคนยืนล้อมรอบแขกใหม่ทั้งสองที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น แบคฮยอนก้มหน้าลงมาเกือบห้านาทีแล้ว เขาไม่กล้าขยับตัวมากเพราะอยากทำตามแผนที่อีกคนวางไว้มากกว่าการหาเรื่องใส่ตัว
ชานยอลไม่ได้กวาดสายตาไปรอบ ๆ จนผิดสังเกต เขาเพียงแค่กลอกตามองไปซ้ายทีขวาทีเป็นบางครั้งเมื่อคนตรงหน้าหันไปทางอื่น ที่นี่มีผู้หญิง และสายตาที่มองมานั้นไม่ได้ฉายแววโหดร้ายอะไรนัก ซึ่งนี่เป็นเรื่องหนึ่งที่เขาควรจดไว้ในหัว
“เมื่อคืนหลับสบายไหม?”
“...”
น้ำเสียงเย้ยหยันมาพร้อมกลิ่นบุหรี่ ทั้งคู่ไม่ได้ตอบคำถาม และมันทำให้ผู้นำไม่สบอารมณ์จนต้องพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ลูกน้องซัดหลังร่างสูงจนงอตัวลง
“...!!!”
“ชานยอล!”
“อะไรกัน...กูอุตส่าห์ให้มึงได้เจอน้องชายอันเป็นที่รัก ถามแค่นี้ทำเป็นใบ้แดกงั้นเหรอหืม?” คนเป็นผู้นำนั่งลงยอง ๆ ก่อนจะพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าอีกฝ่าย ชานยอลเพียงแค่หลับตาลงพลางหายใจเข้าลึก ๆ แล้วบอกกับตัวเองในใจว่าขอให้อดทนหน่อย แผนทุกอย่างจะต้องออกมาดีขอแค่ใจเย็นเข้าไว้
“เอาล่ะ มันถึงเวลาที่เราควรทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการแล้ว” ชายวัยกลางคนกลับไปนั่งบนเก้าอี้ที่เดิม พร้อมอัดนิโคตินเข้าปอด “กติกาเดิม กูถาม มึงตอบ ถ้าตุกติกเล่นตัวมากคงรู้นะว่าจะต้องเจอกับอะไร?”
แบคฮยอนหันหน้าเข้าหาร่างสูงที่กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไร แต่ร่างเล็กรับรู้ได้ว่าแววตาคู่นั้นกำลังบอกให้เขาใจเย็นไว้ แล้วรอทำตามแผน
“มึงสองคนชื่ออะไร เริ่มจากคนเป็นพี่ก่อน”
คนพวกนี้ตั้งใจเล่นสงครามประสาทถึงได้ลองเชิงถามชื่ออีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานเขาก็ได้บอกไปแล้ว นี่เป็นอย่างหนึ่งที่ปาร์คชานยอลไม่ได้วางแผนเอาไว้ ร่างสูงใช้เวลาเพียงแค่ห้าวินาทีในการใช้ความคิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
‘ไหน เพื่อนใหม่ของเราแนะนำตัวหน่อย’
‘ชื่อไรวะ?’
‘ชานยอล’
“บยอนชานยอล”
“...”
แบคฮยอนหันไปมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหู หลังจากได้ยินนามสกุลของเขาขึ้นต้นชื่อของผู้ชายคนนี้ ชานยอลไม่ได้แสดงพิรุธออกมาเลยสักนิด สีหน้าของผู้ชายคนนั้นเหมือนกับว่าใช้ชื่อและนามสกุลนี้มาตั้งแต่เกิด
ซึ่งเขา...
‘มึงชื่ออะไรวะไอ้เตี้ย’
‘...’
‘กูถามว่าชื่ออะไร ต้องให้เลือดกบปากก่อนไหมถึงจะตอบได้?’
แบคฮยอนยังจำได้ว่ารสชาติของการถูกชกหน้าตอนนั้นมันปวดชาแค่ไหน และไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจเขาก็คงหาทางออกไปจากที่นี่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นการหาเรื่องให้เจ็บตัวมันคงไม่ใช่ทางออกสำหรับเรื่องนี้
‘...บยอนแบคฮยอน’
และนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ร่างสูงเลือกที่จะตอบแบบนั้น เพราะชานยอลคงคิดว่าเขาอาจจะเคยถูกถามมาก่อนแล้ว ซึ่งถ้าเราตอบไม่เหมือนกัน คงได้เกิดคำถามอีกแน่ว่าเป็นพี่น้องประสาอะไรทำไมถึงใช้คนละนามสกุล
ปาร์คชานยอลเป็นคนรอบคอบเสมอ แม้ว่าตกอยู่ในสถานการณ์คับขันแบบนี้
ชายวัยกลางคนยิ้มมุมปากอย่างพอใจทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากคนที่บอกว่าเป็นพี่ชาย ในขณะที่ไอ้เด็กคนนั้นแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่าหวาดกลัวจนแทบอยู่ไม่ติดกับที่
“ก่อนหน้านี้มึงเคยทำงานอะไรวะไอ้หน้าหล่อ”
“ผมเป็นครูสอนภาษาอังกฤษเด็กประถม”
“จังหวัด”
“โซล”
“ถึงว่าล่ะพี่ หน้ามันเหมือนคนมีความรู้ ฮ่า ๆ” พวกลิ่วล้อหัวเราะพร้อมกันราวกับว่าอาชีพที่เขาสร้างขึ้นมามันเป็นเรื่องตลก ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีแล้ว ยิ่งเขาดูโง่และไม่มีพิษไม่มีภัยเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะทำให้คนพวกนี้ตายใจได้มากขึ้นเท่านั้น
“แล้วงี้มึงทำอะไรเป็นบ้างวะ?”
“ผมขับรถได้ ปกติผมจะพาคนอื่น ๆ ไปหาเสบียงแล้วนั่งรอในรถ”
“...”
แบคฮยอนไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่มองรองเท้าบูทหนังคู่เก่าของชายวัยกลางคนไว้เป็นที่ยึดสายตา แล้วปล่อยให้ชานยอลจัดการทุกอย่าง
“แล้วทำไมมึงถึงทำได้แค่ขับรถ”
“ไม่ใช่ทุกคนที่จะสู้กับพวกข้างนอกได้นี่ครับ” ทั้งสองฝ่ายสบตากันอย่างหยั่งเชิง เขารู้ว่าผู้ชายคนนี้คงไม่เชื่อเลยเสียทีเดียว แต่นี่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
“มึงรอดมาถึงตอนนี้เพราะทำหน้าที่เป็นคนขับรถน่ะนะ?”
“ครับ สำหรับคนที่ไม่กล้าเสี่ยงลงสนามไปหาเสบียงเหมือนคนอื่น ก็คงต้องทำหน้าที่นั้นถ้าไม่อยากถูกไล่ออกจากกลุ่ม”
“...”
“อาจจะจริงนะพี่ เพราะตอนที่ค้นตัวมันก็เห็นแค่มีดพกเล่มเดียว ไหนจะรูปร่างหน้าตาอีก มันดูสะอาดเกินกว่าจะเป็นพวกออกไปลุยข้างนอก” ชานยอลก้มหน้าลงเล็กน้อย วูบหนึ่งเขากระตุกยิ้มมุมปากอย่างพอใจเมื่อมีใครคนหนึ่งติดกับแผนของเขาแล้ว
“กลุ่มของมึงมีกี่คน”
“ประมาณสิบกว่าคน”
“มีผู้หญิงหรือเปล่า?” ชายวัยกลางคนหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางพ่นควันบุหรี่ออกมาระหว่างรอคำตอบ ชานยอลหันไปมองหน้าแบคฮยอนอีกครั้ง เขาตั้งใจแสดงออกแบบนี้เพื่อที่จะหลอกให้อีกฝ่ายเชื่อว่าเขาลำบากใจที่จะพูดถึง “กูถามว่ามีหรือเปล่า?”
“ครับ มี”
คำตอบของชายหนุ่มเรียกความสนใจจากชายฉกรรจ์ทั้งเจ็ดคนได้เป็นอย่างดี เสียงบทสนทนาดังขึ้นหลังจากที่เป็นฝ่ายเงียบฟังมาตลอด และตอนนี้ปาร์คชานยอลก็ได้รู้แล้วว่า ‘ผู้หญิง’ เป็นอีกอย่างหนึ่งที่คนกลุ่มนี้ให้ความสนใจ หรืออาจจะต้องการด้วย ซึ่งเขาไม่อยากฟันธงเสียทีเดียวว่าเพราะอะไร แต่การเห็นผู้หญิงมีอายุอยู่บนชั้นสอง ก็น่าจะเป็นคำตอบของการคาดเดาส่วนหนึ่งได้แล้วว่าบางทีพวกเธออาจจะ ‘ทำหน้าที่’ ได้ยังไม่ดีพอ
“กี่คน”
“สาม”
“อายุเท่าไหร่?”
“คนนึงเป็นครู อายุสามสิบต้น ๆ ส่วนอีกสองคนน่าจะยี่สิบห้าโดยประมาณ” แบคฮยอนหันไปมองคนข้าง ๆ ที่กำลังบอกเล่าความจริงไปจนเกือบหมดเปลือกแล้ว ถ้าพูดมากไปกว่านี้คนที่อุทยานจะไม่ลำบากหรือไงกัน?
“รู้ใช่ไหมว่ากูกินอะไรเป็นอาหาร”
“ครับ น้องชายผมบอกแล้ว”
“แล้วมึงไม่กลัวหรือไง?” ชายวัยกลางคนเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ สายตาของแขกใหม่ที่กำลังมองมานั้นดูมีอะไรมากกว่าที่คิด
“ที่ผมไม่ฝึกฆ่าพวกมัน และรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะว่ากลัวตาย”
“...”
“ในหนังสือเล่มหนึ่งบอกไว้ว่า ‘ถ้าเข้าถ้ำเสือแล้วคงหาทางออกยาก และการคุกเข่าร้องขอชีวิตมันคงไม่ช่วยอะไร’ ซึ่งผมคิดว่าต่อให้ก้มหัวลงเอาหน้าแนบกับหิมะ คุณก็คงฆ่าผมอยู่ดี”
“ฉลาดดีนี่” ชายวัยกลางคนยกยิ้มพอใจ วูบหนึ่งเขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังปลงตกในชีวิตจนคิดว่าอะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิด “เอาล่ะ คราวนี้ถึงเวลาที่คนน้องจะได้พูดบ้างแล้วนะ”
“...”
แบคฮยอนรู้สึกหนาวไปทั้งตัว ทั้งที่คิดว่าชานยอลทำทุกอย่างออกมาได้ดีแล้ว แต่พอถึงคราวที่เขาจะต้องพูด เรื่องที่เคยเตรียมเอาไว้มันก็หายไปหมด ในหัวของคนตัวเล็กมีแค่ความว่างเปล่าปะปนกับความหวาดกลัว
กลัวว่าจะทำเสียแผนจนชานยอลต้องลำบาก...
“มึงทำอะไรเป็นบ้างไอ้หนู”
“หาเสบียง...”
“วิ่งได้นานแค่ไหน”
แบคฮยอนกัดริมฝีปากบนแล้วค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย ถึงจะถูกความกลัวเล่นงานมากแค่ไหน แต่เขาต้องผ่านมันไปให้ได้
“ได้เท่าที่จะต้องวิ่ง”
“เคยฆ่าคนไหม?”
เด็กหนุ่มหันไปขอความเห็นจากคนข้าง ๆ ซึ่งชานยอลก็ยังคงอยู่ในสีหน้าไม่ต่างจากเดิม หากแต่แววตาที่ส่งมา เหมือนกับอยากบอกว่าอยากให้เชื่อใจ
“เคย...”
“กี่คน แล้วเพราะอะไร?”
“เขาจะฆ่าผม ผมเลยต้องฆ่าเขา ทั้งหมดก็สี่ถึงห้าคน”
“โว้ว เด็กตัวแค่นี้แม่งเฟี้ยวจังว่ะ ฮ่า ๆ”
“ตอนกูอายุเท่า ๆ มันอย่างเก่งก็แค่ขโมยของเองนะโว้ย”
คำชมเสียดสีของผู้คนรอบข้างไม่ได้ทำให้แบคฮยอนรู้สึกยินดีเลยสักนิด ร่างเล็กกำมือแน่น ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่ออีกคนเอื้อมมือกุมมือเขาเอาไว้หลวม ๆ ก่อนจะใช้นิ้วหัวแม่มือลูบเบา ๆ
แบคฮยอนหันไปหาพี่ชายจำเป็น เขาเห็นว่าร่างสูงเพียงแค่มองมาด้วยสายตาเรียบเฉยเหมือนก่อนหน้านี้ ซึ่งมันคงเป็นการแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยของพี่ชายที่มีต่อน้อง
“วันนี้หมดช่วงแนะนำตัวกันแล้ว แต่กูมีคำถามมาให้มึงเลือกสักข้อหนึ่ง”
“...”
สองพี่น้องจอมปลอมหันไปมองคนเป็นผู้นำกลุ่มนี้ ริมฝีปากหยักยังคงยกยิ้มเหยียดหยันราวกับว่าคนตรงหน้าเป็นลูกไก่ในกำมือที่จะบีบก็ตายจะคลายก็ไม่รอด
“เลือกมา...ว่าจะให้ใครตายก่อน”
“...”
“มึงจะดูน้องชายตาย หรือว่ามึงจะเป็นฝ่ายดูพี่ชายตาย แล้วก็กินเนื้อเป็นอาหาร”
ที่คาดไว้มันไม่ผิดเลย ดูเหมือนว่าตอนนี้มันคงถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องใช้แผนสุดท้าย ที่จะชี้เป็นชี้ตายว่าเราจะรอดไปจากที่นี่ได้หรือเปล่า
แบคฮยอนหันไปมองชานยอลอีกครั้ง หลังจากถูกความเงียบกัดกินจนต้องการทางออกเพื่อให้โล่งใจมากกว่านี้ ซึ่งคนตัวสูงกำลังนั่งนิ่งราวกับว่ากำลังใช้ความคิด บางทีเราควรจะเริ่มแผนกันได้แล้ว เพราะถ้านานกว่านี้พวกมันคงไม่อยากรอ
“กินผมก่อนสิ”
“...”
“ว่ะ ไอ้เด็กนี่มันใจเด็ด! ฮ่า ๆ”
“เอาไงพี่ จับมันไปขึ้นเขียงเลยไหม?”
เสียงของพวกเดรัจฉานนั้นน่ารังเกียจเหลือเกิน ร่างเล็กกำมือแน่นเมื่อหัวของเขาถูกกดลงโดยใครอีกคนที่อยู่ข้างหลัง แบคฮยอนได้แต่ชำเลืองมองว่าชานยอลจะจัดการยังไง แต่ผู้ชายคนนั้นกลับนิ่งเฉยจนน่ากลัว
มันไม่ใช่แผนอย่างที่เราวางเอาไว้...
“ชาน...”
“แบคฮยอน”
“...”
“พ่อบอกให้เราปกป้องกันก็จริง แต่พี่ไม่ได้รู้สึกดีที่นายจะทำแบบนี้” ทุกคนที่อยู่โดยรอบมองชายหนุ่มร่างสูงอย่างไม่เข้าใจ วูบหนึ่งแบคฮยอนรู้สึกเหมือนถูกฉุดขึ้นมาจากเหว หลังจากได้ยินเสียงของชานยอล
“...”
“พี่ไม่ได้อยากรอดเพราะวิธีนี้”
“แต่พี่ต้องรอด...” แบคฮยอนกดเสียงลงต่ำ สร้างความสงสัยให้คนกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งสองคนยังคงสบตากันอยู่อย่างนั้น มีเพียงแค่ปาร์คชานยอลและบยอนแบคฮยอนที่รู้ว่าทุกอย่างมันคือการแสดง...และมันต้องออกมาสมจริงให้มากที่สุด
“พวกมึงคุยอะไรกัน?”
“เปล่า”
“ไม่ แบคฮยอน”
“พี่ไม่ต้องมายุ่ง ผมตัดสินใจแล้ว” แบคฮยอนหันไปตวาดใส่คนตัวสูง และเพราะความอยากรู้แต่ยังไม่ได้คำตอบ ทำให้ชายวัยกลางคนหัวเสียจนต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้เข้าไปกระชากคอเสื้อร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล
“กูไม่ได้ว่างมาเล่นกับพวกมึงทั้งวัน เพราะฉะนั้นมึงมีความลับอะไรอยู่ก็รีบคายออกมาซะ...”
เสียงลอดไรฟันที่มาพร้อมกับดวงตาแข็งกร้าวนั้นน่ากลัว แต่ตอนนี้บยอนแบคฮยอนคงถอยกลับไม่ได้แล้ว ร่างเล็กกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เขาไม่ควรตอบคำถามในทันทีถ้าคิดจะปั่นประสาทศัตรู อย่างที่ชานยอลเคยสอนเอาไว้
คอเสื้อถูกกำแรงยิ่งขึ้นจนรู้สึกอึดอัดหายใจลำบาก แบคฮยอนนิ่วหน้าอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะค่อย ๆ ชูข้อมือขึ้นมา แล้วถลกแขนเสื้อลงเล็กน้อยเพื่อโชว์ผ้าพันแผล
“ผมถูกกัด”
“...”
“...”
“ว่าไงนะ?”
นัยน์ตาของชายวัยกลางคนเบิกโพลงทันทีที่เห็นเลือดจาง ๆ ที่ซึมออกมาจากผ้าก๊อซแม้ว่ามันจะพันไว้อย่างแน่นหนา
ชานยอลลุกขึ้นยืนก่อนเอื้อมมือไปคว้าแขนคนตัวเล็กให้ถอยออกมาก้าวหนึ่ง ซึ่งคนเป็นผู้นำที่กำลังอยู่ในความตกใจก็คลายมือออกอย่างง่าย ๆ ก่อนที่เสียงขึ้นลำปืนจะดังมาจากข้างหลัง ใช่...พวกเขากำลังถูกเล็งเป็นเป้านิ่ง
“ยืนอยู่เฉย ๆ!!!”
“มึงถูกกัดมาตั้งแต่ตอนไหนวะ!!!”
“เวรเอ๊ย แล้วไอ้ห่านี่ถูกกัดเหมือนกันหรือเปล่า?!!!”
ทุกคนกำลังแตกตื่น ชานยอลยังคงไม่ปล่อยมือจากแขนเขาในวินาทีที่ถูกปืนมากกว่าห้ากระบอกเล็งมาทางนี้ แบคฮยอนพยายามหายใจเข้าลึก ๆ กับนาทีเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เขาได้แต่ภาวนาว่าคนพวกนี้จะเชื่อ
“เขาถูกกัดเมื่อสองวันที่แล้วตอนออกไปหาเสบียง”
“ฆ่ามันเลยไหมพี่?!”
“แล้วทำไมมันถึงไม่เปลี่ยน ไม่มีใครอยู่ได้นานเกินสองวัน” คนเป็นผู้นำควักปืนแม็กนั่มรีวอลเวอร์ออกมาจากข้างหลังพร้อมเล็งไปยังเด็กหนุ่ม
“ถูกต้องครับ ไม่มีใครที่ถูกกัดแล้วอยู่ได้นานเกินหนึ่งวัน ยกเว้นแต่ว่าคนนั้นจะมีภูมิคุ้มกัน”
“...”
“...”
เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง ชานยอลผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อยหลังจากที่อีกฝ่ายได้เปิดโอกาสให้เขาอธิบาย แทนที่จะเหนี่ยวไกปืนมาที่เราทั้งคู่
“มันจะมีแบบนั้นได้ไงวะ แม่งโกหกเราแล้วพี่!”
“ใช่ ไม่มีใครที่ถูกกัดแล้วไม่ตาย!” สถานการณ์จวนตัวกลับมาอีกครั้ง ร่างสูงกลอกตามองชายฉกรรจ์สองคนที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมเล็ง AK45
“พวกคุณจะฆ่าผมกับน้องก็ได้ แต่ผมคงไม่รับประกันว่าพวกคุณทุกคนจะอยู่รอดไปถึงวันพรุ่งนี้หรือเปล่า”
“...”
“ในเมื่อน้องผมถูกกัด นั่นหมายความว่าเขาจะกลายเป็นพาหะชั้นดีที่จะแพร่เชื้อเข้าร่างกายพวกคุณได้โดยที่ไม่ต้องมีใครถูกกัดเลย ถ้าไม่เชื่อ...จะแกะดูแผลเขาก็ได้”
ประโยคดังกล่าวสร้างความหวาดกลัวให้กับกลุ่มคนที่กินอยู่กับความเป็นความตายของคนอื่น จากที่เห็นก็พอจะรู้ได้แล้วว่าคนพวกนี้ไม่เคยได้ยินเรื่องภูมิต้านทานจากเชื้อที่ทำให้ผู้คนกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ และนั่นหมายความว่าเขาจะสามารถพูดออกนอกทะเลไปไกลแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้ว่าความจริงเป็นยังไง
“มันก็ไม่ได้เสียหายอะไร ในเมื่อกูยังไม่ได้กินเนื้อน้องมึง” ชายวัยกลางคนเอาปืนจ่อกลางขมับร่างเล็กแล้วยิ้มให้กับคนเป็นพี่ชาย “แต่กูเป่าหัวน้องมึงได้ และหลังจากนั้นกูก็จะกินเนื้อมึงแทน”
“ครับ มันไม่ยากเลยถ้าคุณจะทำอย่างนั้น”
สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเป็นผู้นำต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย ก็คือใบหน้าเรียบเฉยของผู้ชายคนนี้ที่ดูเหมือนไม่สะทกสะท้านอะไรหากว่าเขาจะเหนี่ยวไกใส่ไอ้เด็กนี่ ซึ่งไม่แน่ใจว่ามันกำลังอยากลองเชิงกับเขาอยู่หรือเปล่า
“คุณเคยได้ยินเรื่องศูนย์วิจัยที่อยู่ใกล้เมืองยังซันไหม?”
“...”
“...”
“ที่นั่นมีค่ายทหาร มีหน่วยแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ ที่กำลังคิดค้นการทดลองอยู่ และคนที่ถูกกัดไม่เปลี่ยนจะถูกพาตัวไปที่นั่น” คนเป็นผู้นำยังคงไม่ละสายตาออกห่าง ราวกับว่าดวงตาคู่นั้นกำลังมองจับผิดว่าเขากำลังโกหกหรือพูดความจริง “ผมสองคนไม่มีทางเลือกแล้ว น้องชายผมเป็นอาหารสำหรับพวกคุณไม่ได้ แต่ถ้าคุณจะกินผม พวกคุณทุกคนก็คงกินได้แค่วันเดียว”
ร่างสูงกดปืนแม็กนั่มรีวอลเวอร์ที่จ่ออยู่กลางขมับร่างเล็กลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะเดินไปขวางหน้าแบคฮยอนเอาไว้ เด็กน้อยหันไปมองรอบข้าง ตอนนี้มีบางคนที่ลดปืนลงมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีบางคนที่ยังเล็งไปยังร่างสูงอยู่
“เราทุกคนต้องออกไปหาเสบียงเพื่อยื้อความตาย แต่หลังจากวันนี้ที่คุณฆ่าผม วันต่อไปคุณก็ต้องออกไปฆ่าคนอื่นอีก”
“...”
“มันจะดีหรือเปล่าครับ ถ้าให้อาหารมาหาคุณง่าย ๆ แทนที่จะออกไปเสี่ยงตายกับพวกข้างนอกที่อยู่เกลื่อนเต็มถนนสายหลัก?” ร่างสูงขมวดคิ้วขณะยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่ายฟัง
“...”
“ตอนนี้มีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่าง ซึ่งผมคิดว่ามันคงดีต่อเราทั้งคู่” ร่างสูงเว้นจังหวะแล้วเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง “ในเมื่อคุณต้องการผู้หญิงและอาหาร...ทำไมถึงไม่ให้ผมช่วยคุณล่ะครับ?”
ข้อเสนอนี้ทำคนเป็นผู้นำเขวไปอยู่ไม่น้อย เขาไม่รู้หรอกว่าเรื่องที่ไอ้หน้าหล่อพูดมันเป็นเรื่องจริงหรือโกหก แต่การที่เขากำลังถูกโน้มน้าวด้วยสิ่งที่ทุกคน ‘กระหาย’ มาตลอด มันก็เป็นข้อเสนอที่ไม่แย่นัก
“ถ้าคุณไม่ฆ่าผม ผมพาคุณกลับไปฆ่าพวกนั้นได้”
“...”
“ว่าไงครับ?”
“กูจะรู้ได้ยังไงว่ามึงไม่ได้โกหก?” ชายวัยกลางคนจ้องมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด ซึ่งพวกสมุนที่ยืนอยู่ละแวกนั้นก็เห็นด้วย
“ไม่ว่าใคร พอถึงเวลาจวนตัวก็ทำได้ทุกอย่างถ้าเกิดทำให้มีชีวิตรอดต่อไปได้ แม้ว่าจะต้องหักหลังคนทั้งโลก”
“...”
แบคฮยอนยืนก้มหน้านิ่งอยู่ข้างหลังคนตัวสูง คำตอบของชานยอลนั้นแม้ว่ามันจะเป็นแผน แต่ก็อดคิดไม่ได้จริง ๆ ว่าถ้าก่อนหน้านี้เราไม่ได้ปรับความเข้าใจกัน บยอนแบคฮยอนก็คงมองผู้ชายคนนี้แย่ลงเพราะประโยคเมื่อครู่แน่ ๆ
“ทั้งกลุ่มที่ผมอยู่ และค่ายทหารที่มีคนอาศัยในนั้นเกินครึ่งร้อย ผมสามารถบอกทางหนีทีไล่และจังหวะการเข้าออกประตูของหน่วยลาดตระเวนที่นั่นได้ แต่ถ้าคุณไม่เชื่อ...ผมก็พร้อมจะพาไปดูถึงที่”
“...”
“ถ้ามันไม่เป็นความจริง พวกคุณจะยิงผมให้ตายตอนไหนก็ได้ ถูกไหมครับ?”
ชานยอลยังคงโน้มน้าวอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง และแบคฮยอนคิดว่ามันกำลังได้ผล เมื่อแววตาที่เต็มไปด้วยความโอหังของคนเป็นผู้นำนั้นกำลังดูครุ่นคิด และสนใจกับข้อเสนอของร่างสูงอยู่ไม่น้อย
“ว่าไงครับ ข้อเสนอของผมมันน้อยไปสำหรับพวกคุณทุกคนที่นี่หรือเปล่า?”
TBC
ขอรางวัลโนเบลให้พี่ชาร์ลหน่อยค่ะ สกิลนักธุรกิจบวกนักแสดงของพี่เขานี่แบคฮยอนต้องยอมใจ
ตอนหน้าเรามาลุ้นกันว่าคนพวกนี้จะทำยังไง จะเชื่อชานยอลไหม? แล้วจงอินจะเลือกเดินไปหาใคร? หรือไม่เดินเลย? และฝั่งเด็กสิบแปดไลน์จะเป็นยังไงบ้าง?
โปรดติดตามตอนต่อไปเร็ว ๆ นี้ (:
ความคิดเห็น