คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #90 : Chapter 85 :: Weakness
Chapter 85
Weakness
“นี่เปาจื่อ”
“...”
“เปาจื่อ”
“...”
“คิมมินซอก”
“อะไร”
“โห ทีงี้ล่ะได้ยินเชียวนะ” คนป่วยเลิกคิ้วมองเด็กน้อยที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงมุมห้องโดยไม่คิดแม้แต่จะสละเวลาอันมีค่าเงยหน้าขึ้นมามองเขาเลยสักนิด
“มีอะไรก็พูดสิ ผมฟังอยู่”
“หูฟังตาก็มองด้วยไง”
“ไม่จำเป็น ผมแยกประสาทได้”
“แต่พี่แยกไม่ได้ เงยหน้ามาหน่อย”
“คำขอของคุณไม่ถูกอนุมัติ”
“เปาจื่ออา...”
“...”
“ได้ยินแล้วก็ช่วยหันหน่อยเถอะ! นั่นเป็นชื่อที่พี่ตั้งให้เราเลยนะ!” ลู่หานได้แต่ทุบผ้าห่มโชว์ ซึ่งเจ้าตัวก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้สึกรู้สาอะไรหนำซ้ำยังเปิดหนังสือหน้าต่อไปอ่านอย่างหน้าตาเฉยอีกด้วย
“เลอะเทอะ”
“มินซอก”
“ผมรำคาญครับคุณลู่หาน”
“ไม่ประชดดิ มานั่งตรงนี้มา” คนป่วยยังปั้นหน้ามึนตบเตียงปุ ๆ แต่เด็กน้อยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ยังเฉย เขาล่ะอยากจะรู้นักว่าความรู้สึกของคิมมินซอกตายด้านไปแล้วหรือไง มันก็จริงหรอกที่เด็กคนนี้เย็นชากับเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ไม่คิดว่ามันใจร้ายไปหน่อยเหรอ ผู้ชายอย่างลู่หานอุตส่าห์ทำตัวน่ารักใส่เลยนะทำไมยังเพิกเฉยได้อีก มินซอกควรเงยหน้าขึ้นมามองสภาพซากศพที่มีหัวใจของผู้ชายคนนี้แล้วเข้ามาดูใกล้ ๆ เพราะเป็นห่วงเป็นใยสิ
แต่มันก็เป็นเพราะเขาเสือกโชว์พาวว่าใกล้หายป่วยแล้วนี่แหละเด็กคนนั้นถึงได้ปล่อยเซอร์ไม่สนใจใยดีเขาเหมือนก่อนหน้านี้ ก็จะให้ทำไงได้วะ อยากออกไปหาเสบียงช่วยคนอื่นก็อยาก อยากอ้อนเด็กก็อยาก แต่ทำสองอย่างพร้อมกันก็ไม่ได้ทั้งที่หัวใจมันเรียกร้อง
“มิน...ซอก...” ลู่หานทำเสียงยานคางอย่างที่เจ้าตัวเคยหลอกว่ามันคือเสียงผี ซึ่งก็เคยได้รับรางวัลสมน้ำหน้าคุณมาเป็นฝ่ามือแน่น ๆ ฟาดเข้าให้ แต่ไม่ว่ายังไงเจ้าของชื่อก็ยังเฉย
“คุณจำได้ไหมว่าวันนี้ผมพูดว่ารำคาญไปแล้วกี่ครั้ง”
“น่าจะหก...ทำไมเหรอ?”
“งั้นก็รู้ไว้ซะว่าครั้งที่เจ็ดกำลังจะตามมาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้”
“ใจรว้าย” คนป่วยเบ้ปากก่อนจะฉีกยิ้มกว้างทันทีที่มินซอกสละเวลาอันมีค่าเงยหน้าขึ้นมามองเขา ถึงแววตาคู่นั้นจะแอบด่าอยู่กราย ๆ ว่า ‘คุณเป็นเชี่ยไรเหรอลู่หาน?’ ก็เถอะ พี่ฟิน!!!
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะประตูเหมือนเข็มโง่ ๆ ที่จิ้มลงบนลูกโป่งให้แตกภายในพริบตา ลู่หานได้แต่นั่งเซ็งมองตามเด็กน้อยที่กำลังเดินไปเปิดประตู ใครหน้าไหนกันวะที่บังอาจมาขัดจังหวะในเวลาแบบนี้ ถ้าเป็นไอ้เพื่อนง่อยที่จำห่าอะไรไม่ได้ล่ะก็เขาจะไล่เตะก้นมันเอาให้ความจำกลับเลย
แต่พอประตูเปิดออกทั้งคู่ก็ต้องหยุดความคิดทุกอย่างเมื่อพบว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือโอเซฮุน เด็กตัวสูงยิ้มฝืนขณะมองมายังเขา สีหน้าของเด็กนั่นไม่ค่อยดีเลย ลู่หานไม่แน่ใจว่าที่เด็กกรงหมาหน้าซีดแบบนั้นเป็นเพราะไอ้อาการเลือดกำเดาไหลที่ใคร ๆ ต่างก็พูดถึงหรือเปล่า
“ผมขอคุยด้วยได้ไหมครับลู่หาน?”
พอมินซอกออกไปทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความเงียบ ลู่หานจ้องหน้าเด็กตัวสูงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงโดยไม่พูดอะไรสักคำ มันนานแค่ไหนแล้วล่ะที่เขาทั้งคู่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นเลย ลู่หานปาดมือไปมาระดับสายตาเด็กหนุ่มที่เอาแต่ก้มลงมองพื้นอย่างกับคนหมดอาลัยตายอยาก
“ผมขอถามคุณได้ไหมครับลู่หาน”
“อ...อ้อ...ว่ามาสิ” ถึงจะงง ๆ ว่าเด็กกรงหมามันคิดอะไรอยู่แต่เขาก็ไม่ได้ดักคอด้วยการถามกลับไป เซฮุนเงียบไปนาน บางทีเด็กนั่นอาจจะกำลังคิดคำถามเด็ด ๆ หรือไม่ก็รู้สึกอึดอัดจนสมองตื้อไปหมด
อย่าว่างู้นงี้เลย ต่อให้ผู้ชายอย่างลู่หานจะเป็นจุดศูนย์รวมของความโง่อย่างที่คิมมินซอกชอบด่าแต่เขาก็พอจะดูออกว่าที่เด็กกรงหมาตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้าเรื้อรังแบบนี้ต้นเหตุมันมาจากอะไร แน่นอนว่ามันต้องเป็นเรื่องของไอ้จงอินล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ประเด็นคือมันเพราะอะไรนี่สิ?
“เป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ของคุณคืออะไรเหรอครับ”
ลู่หานเพิ่งรู้ว่าคำถามนี้มันเป็นคำถามที่ต้องใช้ความคิดทั้งที่มันตอบแสนจะโคตรง่ายเลยว่าก็แค่กลัวตาย แต่ที่ทำให้ชายหนุ่มพูดไม่ออกก็คือสายตาคู่นั้นที่กำลังมองมา เขารู้สึกได้ว่าเด็กกรงหมาไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่เด็กคนนั้นแค่ต้องการพูดอะไรสักอย่างเพื่อให้ลืมเรื่องราวในหัวที่กำลังปั่นป่วนความรู้สึก
“กลัวตายว่ะ ฟังดูหล่อไหมล่ะ” ตอบทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากคนตรงหน้า เขาเห็นว่าเซฮุนแอบหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยแม้ว่านัยน์ตาคู่นั้นจะเปลี่ยนกลับไปมองพื้นแทนหน้าเขาเหมือนในทีแรก
“คุณตอบเหมือนชานยอลเลย ผมเคยถามเขาแบบนี้ตอนที่เราเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่โมเทล ตอนนั้นยุนฮาก็ยังอยู่กับเรา คุณก็ยังเจ็บ เดินด้วยตัวเองไม่ได้”
“นายคงไม่ได้เข้ามาหาฉันเพื่อพูดเรื่องนี้หรอกใช่ไหม” คราวนี้เซฮุนยอมเงยหน้าขึ้นมามองเขาแล้ว ลู่หานดูท่าทีอีกฝ่ายแค่ครู่เดียวแล้วก็ตัดสินใจถามออกไปตรง ๆ “เรื่องไอ้จงอินเหรอ?”
“...”
“มันทำอะไรล่ะ คงไม่พ้นทำตัวปากหมาใส่นายอีกแล้วล่ะสิ”
“ทำไมคุณถึงพูดว่าอีกแล้วล่ะครับ...” คราวนี้เสียงแผ่วลง เซฮุนคงไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังทำหน้าแบบไหนอยู่นอกจากเขาที่มองเห็นทุกอย่างแม้กระทั่งดวงตาที่กำลังแดงก่ำ ถ้าไม่โง่คิดว่าเป็นเพราะเดินตากลมมาก็คงมีเหตุผลเดียวคือเพิ่งหยุดร้องไห้
“มันเคยเล่าให้ฟังน่ะ”
“...”
เซฮุนดูเหมือนว่าจะไม่เชื่อหูตัวเอง แต่มันก็ไม่แปลกนักถ้านึกถึงสถานการณ์ในปัจจุบันที่เวลาค่อย ๆ เดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้ากับคิมจงอินคนใหม่ที่จำแม้แต่เพื่อนและคนที่มันรักไม่ได้
“เขา...พูดถึงผมด้วยเหรอครับ”
“อ่า...ฮะ”
“...”
ริมฝีปากของเด็กคนนั้นกำลังยิ้มก่อนจะเม้มเข้าหากัน มือเรียวเสยผมขึ้นเล็กน้อยแล้วกำมันเอาไว้ เสียงหายใจเข้าออกที่ขึ้นจมูกคือสัญญาณบ่งบอกว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาจะต้องพบเจอกับสถานการณ์น่าอึดอัดแน่ และไวเท่าความคิด...ลู่หานเบิกตาอย่างตกใจทันทีที่เห็นน้ำตาหยดลงบนกางเกงยีนส์สีซีดจนเป็นต่างดวง
“เซฮุน?”
“มันตลกดีนะครับที่ผมกำลังยิ้มแล้วก็ร้องไห้ไปพร้อม ๆ กันได้...” เสียงของเด็กตัวสูงสั่นจนแทบเรียบเรียงเป็นคำพูดไม่ได้ ลู่หานเพียงแค่นั่งมองอีกคนที่กำลังพยายามอย่างหนักกับการหยุดน้ำตาแต่ก็ไม่ได้ผล “ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนเราจะสามารถมีความสุขแล้วก็เสียใจได้พร้อม ๆ กัน...”
“...”
ถ้าเซฮุนไม่ร้องไห้บางทีเขาอาจจะยิงมุกควาย ๆ ออกไปสักเรื่องถ้ามันทำให้เด็กคนนี้ด่ากลับมา แน่นอนว่ามันคงดีกว่าการนั่งดูคนตรงหน้าร้องไห้โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย ไม่สิ...ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้หรอก แต่คนอย่างเขาน่ะอย่างเก่งก็แค่พูดให้คนอื่นรู้สึกแย่ ไม่ก็พูดให้โดนด่าก็เท่านั้น เซฮุนกำลังร้องไห้อย่างหนักราวกับว่าฝืนทนอยู่กับความอึดอัดที่สะสมมานานไม่ไหวแล้ว
ใบหน้าขาวเลอะไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่าย ๆ ไม่นานหรอกที่ลู่หานใช้เวลาไปกับการนั่งเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรสักอย่าง สุดท้ายเขาก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วตรงมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เก้าอี้ก่อนจะรั้งศีรษะทุยให้เอนมาซบกับหน้าท้องของเขา
ยิ่งได้รับการปลอบใจแบบนี้เซฮุนก็ยิ่งสะอื้นหนักกว่าที่เป็นอยู่ ลู่หานใช้มืออีกข้างที่ว่างตบบ่าอีกคนเบา ๆ อย่างเก้ ๆ กัง ๆ เขาไม่ควรถามอะไรทั้งนั้น มันคงจะดีกว่าเป็นไหน ๆ ถ้าปล่อยให้เด็กนี่ร้องไห้จนกว่าจะพอใจโดยที่ไม่รบเร้าถามว่าต้นเหตุของความเสียใจในครั้งนี้คืออะไร?
ลู่หานเงยหน้าขึ้น เขาสอบตกเรื่องการปลอบใจคนมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ ซึ่งเขาเคยลองพยายามแล้วแต่มันพังไม่เป็นท่าเพราะปากที่ไม่รู้จักคัดกรองก่อนพูด เพราะฉะนั้นการทำให้เซฮุนหยุดร้องไห้ได้มันคงเกินความสามารถผู้ชายที่ดีแต่ใช้กำลังมากกว่าสมองอย่างเขา
ลู่หานเชื่อว่าถ้าเกิดปาร์คชานยอลรับรู้ถึงความสัมพันธ์ของเด็กคนนี้กับไอ้เวรจงอิน หน้าที่ปลอบใจที่เป็นอยู่คงตกไปเป็นของไอ้ขี้เก๊กนั่นโดยปริยาย ซึ่งมันก็คงทำได้ดีกว่าเขาด้วย
เป็นอีกครั้งที่คิมจงอินรู้สึกเกลียดตัวเอง...
น้ำจากใบหน้าคมหยดลงบนอ่างล้างหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าให้เปรียบมันก็คงเหมือนเสียงเข็มนาฬิกาที่ดังอยู่ในหัว มือหนาเช็ดไอน้ำออกจากกระจกเบื้องหน้าที่ขึ้นฝ้ามัวจนแทบมองไม่เห็น ในห้องน้ำแคบมีเพียงแค่แสงสว่างจากช่องพัดลมเท่านั้นที่ทำให้มองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก จังหวะการหายใจของเราเท่ากันแม้กระทั่งตอนกระพริบตา แน่นอนว่าทุกอย่างของคนในกระจกมันเป็นไปตามที่เขาเคลื่อนไหว หากแต่คิมจงอินกลับรู้สึกว่าไอ้หมอนั่นที่มองอยู่ในกระจก...มันเป็นใครอีกคนที่เขาไม่รู้จัก
“มึงเป็นใคร...”
พูดกับตัวเองในกระจกก่อนจะปิดเปลือกตาลง ชายหนุ่มคิดว่าการมองไม่เห็นหน้าตัวเองอาจทำให้รู้สึกดีขึ้นก็ได้ แต่เขาคิดผิด...
‘เราไม่เคยบอกรักกันเลยสักครั้ง...’
‘...’
‘งั้นตอนนี้...ผมยังพูดคำนั้นได้อยู่หรือเปล่าครับจงอิน...’
อีกครั้ง...อีกครั้ง...และอีกครั้ง...
ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าความจริงมันเป็นยังไงภาพของโอเซฮุนก็ลอยเข้ามาในหัวไม่ได้หยุด ช่วงเวลาที่เคยอยู่ด้วยกัน...ทั้งยิ้มและหัวเราะ จากที่ไม่เคยนึกออกแต่ตอนนี้มันกลับแล่นเข้ามาในหัวไม่ได้หยุด ไม่ใช่แค่ความทรงจำที่เกี่ยวกับเด็กคนนั้นแต่ภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่โลกนี้ยังมีผู้คนเดินสวนกันไปมาโดยที่ไม่มีใครวิ่งเข้าไปกัดคอคน
ภาพตอนที่เขาอยู่ใต้ท้องรถซ่อมเครื่องยนต์ท่ามกลางความอบอ้าวกับเสียงบทสนทนาเรื่อง ‘คืนนี้เราจะเมาที่ไหนดี?’ ไปจนถึงตอนที่เขากำลังวิ่งหนีตัวกินเนื้อตามทางเดินยาวของอพาร์ทเมนท์
แต่น่าแปลกที่คิมจงอินกลับรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจเพียงแค่นึกถึงเรื่องเก่า ๆ
ทำไม...? ใช่...มีแต่คำถามนี้ที่เขาเอาแต่ถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า
ทั้งที่ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันไม่ว่าจะกับโอเซฮุนหรือคนอื่น ๆ กำลังย้อนกลับมาแท้ ๆ แต่เขากลับไม่รู้สึกได้ถึงความรักที่มีต่อเด็กคนนั้นเลย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องจมอยู่กับความรู้สึกนี้ เพราะถ้าไม่ได้รักก็ควรจะจบทุกอย่างลงตั้งแต่ตอนปฏิเสธเซฮุนไปแล้วไม่ใช่เหรอ แต่นี่มันอะไรกัน?
ทำไมเขาถึงเอาแต่มองหาเด็กคนนั้นอยู่ได้...
“จงอิน นายอยู่ข้างในหรือเปล่า?”
เสียงใสดังมาจากประตูอีกฝั่ง เจ้าของชื่อหลุดออกจากความคิดแล้วตั้งสติก่อนจะหมุนลูกบิดเข้าหาตัว สิ่งแรกที่เห็นคือดวงตาคู่นั้นที่ส่องประกายสดใส แน่นอนว่าคิมจงอินไม่ได้คิดว่ามันเว่อเกินไป จองซูยอนมักจะยิ้มอยู่เสมอเวลามองมายังเขา และตอนนี้เธอก็กำลังทำอย่างนั้นเช่นกัน
“ฉันเรียกตั้งหลายครั้งแต่นายก็เอาแต่เดินอย่างกับจะรีบไปไหน เป็นอะไรหรือเปล่า เล่าให้ฉันฟังได้นะ” หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะมองใบหน้าคมที่ยังคงชื้นไปด้วยหยดน้ำ เธอเดินไปคว้าเอาผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนโต๊ะแล้วเช็ดให้กับคนตัวสูง
มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เขาและเธอจะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่ถ้าพูดถึงความผิดปกติก็คงเป็นคิมจงอินที่ไม่แอบฉวยโอกาสลวนลามจองซูยอนเหมือนอย่างเคย มือเล็กคู่นี้สัมผัสเขาอย่างเบามือเสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน
“จงอิน?”
หญิงสาวเบิกตาอย่างตกใจเมื่อจู่ ๆ คนตรงหน้าก็รั้งเอวเธอเข้าไปกอดโดยไม่ทันได้ตั้งตัว สองมือค้างอยู่กลางอากาศ เธอรู้สึกได้ว่ากอดครั้งนี้มันต่างออกไป มันแนบแน่นและรู้สึกได้ถึงความกังวล เสียงถอนหายใจหนัก ๆ คือสิ่งเดียวที่จองซูยอนได้ยิน เธอใช้เวลาตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกอดตอบร่างหนาพร้อมลูบหลังเบา ๆ
“ตรงนี้มีแค่ฉันกับนาย...ถูกไหม?”
“...อืม”
“อยากเล่าอะไรหรือเปล่า ถ้านายคิดว่ามันเป็นความลับฉันสัญญาว่าจะไม่เล่าให้ยูริฟัง”
“...”
“ค่อย ๆ คิดก็ได้ ฉันไม่ได้รีบไปไหน” มือเล็กเอื้อมขึ้นลูบศีรษะอีกคนเป็นการปลอบใจ “หรือถ้านายไม่อยากพูดฉันจะยืนให้กอดเฉย ๆ ก็ได้”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก” จงอินถอนหายใจก่อนจะหลับตาลงซบกับบ่าเล็ก “ซูยอน เธอรู้ใช่ไหมว่าฉันรู้สึกยังไงกับเธอ”
“ฉันรู้”
“งั้นก็ทำให้มั่นใจหน่อยได้ไหมว่าฉันทำถูกแล้ว อะไรก็ได้ที่ทำให้ฉันมองเธอแค่คนเดียว” มือของเธอยังคงลูบศีรษะอีกคนอยู่อย่างนั้นขณะกำลังทบทวนประโยคเมื่อครู่
“ฟังนะจงอิน” ซูยอนเว้นจังหวะไปชั่วอึดใจเพื่อให้คนตรงหน้าตั้งใจฟังกับสิ่งที่เธอกำลังจะพูด “ถ้านายกำลังรู้สึกไม่มั่นใจ นั่นแสดงว่านายไม่ได้ชอบฉันจริง ๆ”
“ไม่ใช่อย่าง...”
“ฟังให้จบก่อน” เธอหันไปกระซิบข้างหูอีกฝ่าย “รู้หรือเปล่าว่าทำไมฉันถึงไม่ยอมตกลงคบกับนายสักที”
“...”
“ก็เพราะว่าฉันอยากให้นายแน่ใจกับความรู้สึกตัวเองก่อนไง ที่นายคิดว่าชอบฉันจริง ๆ แล้วมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ บางทีอาจเป็นเพราะว่าฉันกับยูริช่วยชีวิตนายเอาไว้ ฉันคือผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ใกล้ตัวนายที่สุด หรืออีกหลายเหตุผลที่ทำให้คิดไปในทางนั้น”
“...”
“นายอาจจะแค่รู้สึกดี ๆ แต่ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหม...ว่ากับฉันน่ะมันไม่ใช่ความรัก”
“...”
“อย่าเพิ่งให้คำพูดตัดสินความรู้สึกตัวเองเลยจงอิน ให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามความรู้สึกของนายเถอะ”
“...”
“ฉันก็อยู่ตรงนี้ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย”
“ก็เพราะเธออยู่ตรงนี้ไง...” ชายหนุ่มหลับตาแน่น “ฉันกำลังสับสน และคงจะเกลียดตัวเองในเร็ว ๆ นี้”
“ฉันฟังอยู่”
‘จงอินครับ’
“เธอเคยรู้สึกว่าการตัดสินใจของเธอมันพลาด...ทั้งที่มันน่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือเปล่าซูยอน?”
สักพักแล้วที่บยอนแบคฮยอนยืนมองใครอีกคนที่กำลังง่วนอยู่กับการเช็คสภาพรถตามลำพัง เขาเห็นอู๋อี้ฟานเข้าไปคุยกับผู้ชายคนนั้นอยู่ครู่ใหญ่ ๆ ก่อนจะแยกตัวไปบ้านหลังแรกเพื่อดูอาการคนเจ็บหลังจากได้ยินว่าจงแดทำท่าจะลุกขึ้นจากเตียงไปหยิบปืนเพื่อเข้าไปดูสัตว์ในอุทยานทั้งที่สภาพร่างกายยังไม่แข็งแรง
แบคฮยอนยืนถกเถียงกับความคิดตัวเองอยู่นาน แน่นอนว่าการเข้าหาปาร์คชานยอลในแต่ละครั้งมันจำเป็นที่ต้องคิดก่อน หากไม่ใช่เรื่องส่วนรวมที่ต้องทำร่วมกันก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องคุยกับผู้ชายคนนั้นโดยไม่มีหัวข้อสนทนา ซึ่งการตรงเข้าไปแล้วยิงคำถามว่า ‘คุณกำลังทำอะไรอยู่เหรอ?’ มันก็คงซื่อบื้อเกินไปสำหรับคนที่เคยได้รับรอยยิ้มบาง ๆ ไม่ก็ใบหน้าเรียบเฉยของผู้ชายคนนั้นเป็นคำตอบมาตลอด
อยู่ ๆ ร่างสูงก็หันมาทางนี้ราวกับว่าได้ยินความคิดของเขายังไงอย่างนั้น แบคฮยอนยืนนิ่ง เขาได้แต่หวังว่าชานยอลจะหันกลับไปสนใจเครื่องยนต์ต่อ หากแต่ผู้ชายคนนั้นเลือกที่จะมองมาทางนี้มากกว่าการหันไปทำกับสิ่งที่ค้างคาอยู่
วันนี้อาจจะฝนตกทั้งที่ยังไม่พ้นฤดูหนาวเพราะปาร์คชานยอลกำลังขยับริมฝีปากหรือที่เจ้าตัวอาจจะเรียกมันว่า ‘ยิ้ม’ จนถึงตอนนี้บยอนแบคฮยอนก็ยังไม่เข้าใจว่าในหัวของผู้ชายคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ขณะมองมา
“อรุณสวัสดิ์ครับ” ประโยคทักทายที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้คนตัวเล็กถึงกับสมองรวน นัยน์ตาเรียวกลอกไปมาก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติถึงแม้จะรู้ดีว่ายังไงซะผู้ชายคนนั้นก็คงอ่านความคิดเขาออกอยู่ดี
“แต่นี่สิบโมงแล้ว” มันอาจจะโง่ที่เลือกตอบแบบนั้นทั้งที่จะพูดว่า ‘อรุณสวัสดิ์ครับ’ แล้วก็แยกตัวไปทำอย่างอื่น ชานยอลยังคงยิ้ม ผู้ชายคนนั้นรั้งแขนเสื้อโค้ทสีดำครึ่งตัวขึ้นเล็กน้อยและมันทำให้เห็นถุงมือสีครีมเลอะคราบน้ำมันเครื่อง เขาคิดว่าคนอย่างชานยอลไม่เหมาะกับเครื่องยนต์เอาเสียเลย
“ผมไม่ค่อยได้ยินที่คุณพูดเลย ถ้าคุณไม่รีบไปไหน...ตรงนี้มีท่อนซุงให้นั่งนะครับ”
มีสักครั้งไหมที่เขาจะไม่ต้องคิดทบทวนคำพูดของผู้ชายคนนี้ แบคฮยอนยืนชั่งใจอยู่นานแค่ไหนล่ะ? อาจจะสักครึ่งนาทีล่ะมั้งก่อนที่ขาทั้งสองข้างจะพาเดินเข้าหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย ซึ่งมันคงจะเป็นการแสดงออกที่ดีกว่าการยิ้มตอบเพื่อให้อีกฝ่ายคิดไปเองต่าง ๆ นานาว่าบยอนแบคฮยอนกำลังดีใจที่ถูกชวนคุยในรอบปีหลังจากเขาทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่เดียวกันในฐานะผู้ร่วมอาศัยมานานพอสมควร
ชานยอลมองเด็กหนุ่มที่ยืนกอดอกพิงประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ แน่นอนว่าตอนนี้สิ่งที่เขามองเห็นมีเพียงแค่ด้านข้างของแบคฮยอนเท่านั้น แต่มันก็ไม่แย่นักหากว่าทั้งคู่จะคุยกันโดยที่ไม่เห็นหน้าอีกฝ่าย
“คุณกำลังจะออกไปข้างนอกเหรอ?”
“ครับ ผมว่าจะออกไปลาดตระเวนแถวนี้สักหน่อย” ชานยอลเติมน้ำกลั่นให้แบตเตอรี่แล้วตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ต่อ
“คุณกลัวว่าพวกกินคนจะเข้ามาใกล้อุทยานเหรอ?”
“แล้วคุณคิดว่าไงครับ?” อีกแล้ว...แทนที่จะตอบแต่ปาร์คชานยอลดันถามกลับเหมือนว่าจะลองเชิงความคิดเด็กอายุสิบแปดอย่างเขายังไงอย่างนั้น
“จากที่ฟังก็คงเป็นอย่างนั้น มันคงดีกว่าถ้าเราเห็นกับตาว่าที่นี่ปลอดภัยจากพวกมัน” พูดจบก็ชำเลืองมองอีกคนที่กำลังยิ้มแม้ว่าดวงตาคู่นั้นยังคงจดจ้องอยู่กับเครื่องยนต์ไม่ห่าง “คุณยิ้มอะไร”
ชานยอลเงยหน้าขึ้น ถึงแม้จะถูกจับได้แต่เขาก็ไม่คิดจะหุบยิ้มลง สีหน้าและแววตานั้นไม่ได้เย็นชาเหมือนกับภาพความทรงจำร้าย ๆ ที่ฝังอยู่ในหัว แต่สิ่งที่เห็นก็ไม่ได้ทำให้ร่างเล็กชื่นใจจนอยากยิ้มตอบกลับไป
“ผมยิ้มเพราะเราคิดเหมือนกัน”
“...”
“อยากไปด้วยกันไหมครับ?” ร่างสูงปิดกระโปรงรถลงก่อนจะถอดถุงมือออก พอเห็นสายตาที่มองมาซึ่งมันอ่านได้ไม่ยากว่าคนตัวเล็กกำลังสงสัยในตัวเขา “ถ้าคุณไม่ได้รีบไปไหน?”
“ผมก็ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว” พูดจบก็เปิดประตูรถเข้าไปนั่งข้างในพร้อมคาดเข็มขัดโดยไม่หันไปมองคนเข้าใจยาก ชานยอลยิ้มขำก่อนจะเปิดประตูที่นั่งฝั่งคนขับแล้วสตาร์ทรถ
เกือบสิบตัวที่ทั้งสองคนต้องจอดรถแล้วลงไปจัดการตัวกินคนระหว่างทาง พวกมันมีกันไม่มาก แต่ถ้าปล่อยนานไปกว่านี้ผีดิบที่มีแค่ไม่กี่ตัวอาจจะกลายเป็นฝูงใหญ่ตอนไปถึงอุทยานก็ได้
การมาด้วยกันครั้งนี้ทำให้ปาร์คชานยอลมองเห็นพัฒนาการของอีกคน เขาเห็นว่าแบคฮยอนดูคล่องตัวและรู้จังหวะว่าควรจะเข้าปะทะตอนไหน สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดจนน่าชื่นชมคือเด็กคนนั้นมีไหวพริบมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน แน่นอนว่ามันเกิดจากการรู้เท่าทันพวกผีดิบกับสติที่ขาดไม่ได้
ร่างสูงดับเครื่องลงก่อนที่เขาทั้งสองจะลงจากรถ เบื้องหน้าคือร้านขายเมล็ดพันธุ์พืชและวัสดุอุปกรณ์สำหรับการทำโรงเรือน แบคฮยอนไม่ได้ถามว่าทำไมถึงจอดที่นี่ เพราะผู้ชายคนนี้คงไม่คิดทำอะไรโดยไร้เหตุผลอยู่แล้ว แต่ถ้าให้เดาล่ะก็...ปาร์คชานยอลอาจจะอยากเข้าไปหาประโยชน์จากอะไรสักอย่างในนั้นแม้ว่าการปลูกพืชในฤดูหนาวมันจะไม่เข้าท่าก็ตาม
“เมื่อเช้าผมคุยกับอี้ฟานเรื่องปลูกผักหลังจากหิมะละลายแล้ว ตรงหลังบ้านก็กว้างพอสำหรับปลูกพืช มันคงดีถ้าเราใช้วิธีเดียวกับตอนอยู่โรงเรียน” อย่างกับอ่านใจออก แบคฮยอนเพียงแค่พยักหน้าแล้วเดินตามหลังร่างสูงที่กำลังดึงมีดพกจากสนับขาและเขาเองก็เช่นกัน
ชานยอลเคาะประตูเสียงดังเพียงสามครั้งแล้วยืนรออยู่พักหนึ่งก่อนจะเคาะซ้ำอีกเพื่อเรียกให้ผีดิบที่อยู่ข้างในออกมา ซึ่งมันคงดีกว่าการเดินเข้าไปเสี่ยงในที่มืดโดยที่ไม่รู้ว่ามีตัวอะไรรออยู่บ้าง
“คงไม่มีคนอยู่”
ร่างสูงดึงด้ามพลั่วที่จมอยู่กับกองหิมะออกมาแล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้อีกคนถอยออกก่อนจะใช้สันของมันทุบกระจกร้านจนแตกละเอียด แบคฮยอนหันไปมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง ตั้งแต่เกิดเรื่องร่างกายของเขาก็มีปฏิกิริยากับเสียงทุกอย่างที่สามารถเรียกพวกตัวกินคนได้
ส่องไฟฉายเข้าไปข้างในเพื่อเช็คดูอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยดีแล้วชานยอลก็สอดแขนเข้าไปข้างในเพื่อปลดล็อกกลอนประตู เพียงแค่ครู่เดียวก็เปิดออกได้
“ถ้าเมื่อกี้มีตัวอะไรกัดแขนตอนคุณยื่นมือเข้าไปข้างในล่ะ ถึงจะเช็คดูแล้วแต่ก็น่าจะระวังกว่านี้” ข้อแรกที่คิดคือปาร์คชานยอลมั่นใจในตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า ส่วนข้อสองคือเขาไม่น่าพูดจาเหมือนกำลังสั่งสอนคนอีโก้สูงอย่างผู้ชายคนนี้เลย ให้ตายเถอะ
“เป็นห่วงผมเหรอครับ?”
ผิดคาด...แน่นอนว่ามันต่างจากที่แบคฮยอนคิดไว้หลังจากที่เขาหลุดปากทำอวดดีสั่งสอนคนอายุมากกว่าเกือบสิบปีออกไป ซึ่งปาร์คชานยอลน่าจะปั้นหน้านิ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ‘ห่วงแค่ตัวเองก็พอแล้วครับ’ มากกว่าการถามชวนคิดแบบนั้น
“ผมไม่อยากทิ้งคุณไว้ตรงนี้ถ้าเกิดว่าคุณถูกกัด” ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนถือว่าตอนนี้คนตัวเล็กมีไหวพริบด้านการตอบโต้มากยิ่งขึ้นจนร่างสูงอดที่จะยิ้มไม่ได้
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คุณจะปล่อยให้ผมเปลี่ยนแทนที่จะฆ่าผมเหรอครับ?”
“คุณกำลังชวนผมเล่นทายปัญหาหรือไง” ประตูถูกเปิดเข้าไปพร้อมแสงไฟฉายที่สาดส่องไปรอบ ๆ ทั้งสองคนแยกไปเช็คความเรียบร้อยคนละทาง กลิ่นเหม็นอับและฝุ่นที่เกาะอยู่บนชั้นบ่งบอกได้ว่าไม่มีใครแวะมาที่นี่เลยตั้งแต่เหตุการณ์เกิดขึ้น
“ครับ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ที่นี่เงียบจนเกินไป”
“ผมเคยคิดว่าคุณชอบความเงียบมากกว่าอะไรในโลกซะอีก” ชานยอลยิ้มขำ เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกเด็กคนนั้นไล่ต้อนทางคำพูด ตอนนี้แบคฮยอนกำลังตั้งใจเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังก่อนจะหันมาทางนี้ “ผมพูดความจริง ไม่ได้ประชด”
“ผมเชื่อครับ”
“คุณไม่ได้เชื่อ”
“อ่า...” ร่างสูงหัวเราะแล้วคว้าเอาถุง“ เมล็ดพันธุ์พืชที่อยู่บนชั้นขึ้นมาพร้อมส่องไฟฉายดู คุณยังไม่ได้ตอบผมเลยนะแบคฮยอน”
“วันนี้คุณดูจริงจังกับเรื่องไร้สาระนะ”
“กับเรื่องความเป็นความตายของผมคุณมองเห็นว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระได้ลงคอเลยเหรอครับ เลือดเย็นเกินไปแล้ว”
“ผมต้องเก็บอะไรบ้าง” แบคฮยอนชนะแล้ว ร่างสูงเพียงแค่ยิ้มกับตัวเองขณะเดินตรงไปข้างหน้าแล้วเก็บของใส่กระเป๋าก่อนจะชำเลืองมองคนตัวเล็กที่รอคำตอบอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ตามใจครับ เหมือนตอนที่คุณอยากปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์”
“ถ้าไม่ได้คิดไปเอง ผมว่าคุณกำลังพยายามพูดให้ผมนึกถึงตอนอยู่โรงเรียน”
“ไม่ถึงขั้นพยายามหรอกครับ แต่ผมคิดว่าช่วงเวลานั้นมันมีแต่ความทรงจำดี ๆ ทุกอย่างเป็นไปตามที่วางแผน ผมคิดว่าเราจะอยู่ที่นั่นได้จนกว่าโลกจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ความคิดกับความเป็นจริงมักจะสวนทางกันเสมอ”
“...”
“เพราะที่โรงเรียนมีจำนวนผู้รอดชีวิตมากพอสมควร การออกไปหาเสบียงในแต่ละครั้งเลยเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก ช่วงแรก ๆ ทุกอย่างก็เป็นไปได้ด้วยดีเพราะยังหาเสบียงมาเพิ่มได้เรื่อย ๆ แต่เป็นเพราะว่าจำนวนคนที่มีมากเกินกว่าจำนวนอาหาร เลยกลายเป็นว่าพวกเด็ก ๆ ต้องออกไปหาเสบียงกันบ่อยขึ้น”
“...” แบคฮยอนมองคนตัวสูงที่กำลังพูดถึงเรื่องราวในอดีต จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมชานยอลถึงเอาแต่พูดเรื่องแบบนี้ทั้งที่เจ้าตัวเลือกจะเงียบก็ได้
“เสบียงน้อยลง ตามมินิมาร์ทไม่มีของให้เก็บอีกแล้ว เด็ก ๆ ต้องออกไปไกลกว่าที่เคยเพื่อที่จะหาแหล่งใหม่ พวกเขาต้องเสี่ยงจนบางครั้งต้องเสียเพื่อนร่วมทางไป” ชานยอลพูดถูก เพราะถ้าละแวกนี้ไม่มีเสบียงให้เก็บอีกต่อไปมันคงเป็นเรื่องยากหากว่าพวกเขาจะต้องขับรถออกไปไกล ๆ เพื่อหาจากที่อื่นโดยที่ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะต้องเจออะไรบ้าง
“นั่นคือเหตุผลที่พวกคุณตัดสินใจย้ายออกจากโรงเรียนใช่ไหม”
“ครับ และตอนนี้ก็เช่นกัน” ร่างสูงนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาเห็นว่าแบคฮยอนชะงักแล้วมองมาทางนี้อีกแล้ว ทั้งคู่สบตากันและกันผ่านชั้นวางของก่อนที่ร่างเล็กจะเป็นฝ่ายเบือนหลบไป
“ผมเข้าใจเหตุผลที่คุณอยากไปจากที่นี่ แต่...” ร่างเล็กเลียริมฝีปาก มีหลายเหตุผลที่นึกไม่ออกว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงไม่อยากย้ายไปจากอุทยาน ทั้งที่เขาก็รู้ดีว่าการออกไปหาเสบียงแต่ละครั้งมันเป็นยังไง
“เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะครับ” ชานยอลพูดทำลายความเงียบขึ้นมา เขารู้สึกว่ากำลังทำให้แบคฮยอนอึดอัดเกินความจำเป็นแล้ว “ว่าแต่คุณจะไม่ตอบจริง ๆ เหรอ?”
“...”
แทบลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้ร่างสูงถามอะไรไว้ หรือบางทีปาร์คชานยอลอาจจะแค่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเพื่อกลบเกลื่อนบทสนทนาก่อนหน้าก็ได้
“ผมตอบไม่ได้หรอก บางอย่างที่คิดไว้แล้วว่าจะทำได้แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ผมอาจไม่ได้ทำอย่างที่คิด”
“ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ”
คนตัวเล็กขมวดคิ้วมองร่างสูงอย่างไม่เข้าใจ ตอนนี้ปาร์คชานยอลเงียบไปแล้วหากแต่ริมฝีปากนั้นยังคงยิ้มอยู่เหมือนในทีแรก ผู้ชายคนนั้นไม่ได้คะยั้นคะยอเลยสักนิดว่าทำไม และตกลงเขาจะเลือกทำแบบไหนถ้าเกิดว่าปาร์คชานยอลถูกกัดขึ้นมาจริง ๆ
แบคฮยอนรู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านสงครามประสาทไปได้ เขาไม่รู้เลยว่าผู้ชายที่ยิ้มและพยายามชวนคุยเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้น่ะ...เป็นคนเดียวกับคนที่เคยทิ้งเขาไว้ข้างหลังโดยไม่สนใจใยดีเมื่อตอนนั้นจริง ๆ น่ะเหรอ?
เกือบอาทิตย์นึงแล้วที่ลู่หานใช้เวลาไปกับการจับตามองเด็กกรงหมาอยู่ห่าง ๆ เขานับถือเด็กนั่นจริง ๆ ที่เก็บอาการทำตัวเป็นปกติได้ทั้งที่ต้องอยู่ต่อหน้าไอ้จงอินตอนกินข้าวเย็นด้วยกัน แต่มันอาจจะพลิกล็อกไปหน่อยที่เพื่อนสนิทหน้าโง่ของเขาดันเป็นฝ่ายเอาแต่เงยหน้ามองเด็กกรงหมาอยู่ตลอดแม้ว่าอีกฝ่ายจะเอาแต่กินข้าวแล้วพูดคุยเรื่องการทำโรงเรือนเอาไว้ปลูกพืชผักสวนครัวกับคนอื่น ๆ อย่างออกรส
ลู่หานเป็นคนอาสาเคลียร์หิมะหลังบ้านให้ก่อนที่อี้ฟานกับชานยอลจะสร้างโรงเรือนหลังเล็ก เขาเห็นว่าพวกมันสองคนเอารถกระบะไปขนเอาซากเหล็กเหล่านั้นกลับอุทยานกันหลายชุด ถ้าถามถึงสภาพร่างกายของเขาในตอนนี้ถือว่าหายขาดจากอาการป่วยแล้วเพราะงั้นต่อให้ต้องวิ่งหนีพวกกินคนข้ามโลกก็ยังไหว
แต่พอหันไปมองรอบข้างก็รู้สึกแหม่ง ๆ หลังจากนึกขึ้นได้ว่าเสือกปากดีอาสากวาดหิมะคนเดียวเพื่อโชว์หล่อ แน่นอนว่าไม่มีใครรับรู้ถึงมัน คนพวกนั้นเพียงแค่พยักหน้าแบบขอไปทีแล้วปล่อยให้เขายืนทำหน้าโง่อยู่ที่โล่งหลังบ้านตามลำพัง
“งานช้างเลยกู” บ่นกับตัวเองแล้วคว้าพลั่วที่ปักอยู่บนหิมะขึ้นมาตักใส่ถังเหล็ก เอาเถอะ ถึงงานจะน่าเบื่อหน่อยแต่มันก็ยังดีกว่าการนั่งอยู่เฉย ๆ ในวันที่ไม่ต้องออกไปหาเสบียง
ใช้เวลาตักแล้วเอาไปเททิ้งอยู่พักใหญ่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นครูสาวสุดสวยยืนอยู่ตรงทางเดินช่องแคบระหว่างบ้านหลังที่สองกับสามโดยที่มือนั้นถือถังกับพลั่วเหมือนกับเขา นั่นกะจะมาช่วยเหรอ จิตใจนางฟ้ากว่านี้ไม่มีอีกแล้ว นี่สิแม่พิมพ์ของชาติที่แท้จริง แต่ที่สงสัยคือทำไมเธอไม่ยอมเดินมาทางนี้สักทีวะ?
ลู่หานก้มหน้าลงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางโบกมือไปมาหวังว่าจะให้ครูสาวเห็น แต่มันก็เปล่าประโยชน์ ปาร์คกาฮียังคงยืนอยู่กับที่ราวกับหุ่นยนต์ถ่านหมดยังไงอย่างนั้น ชายหนุ่มวางพลั่วลงแล้วตรงเข้าไปหาอีกฝ่าย
“ครูสุดสวยมาช่วย...” ยังพูดไม่ทันจบก็ต้องอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นเมื่อหญิงสาวแตะนิ้วชี้ลงบนริมฝีปากตัวเองเป็นเชิงห้าม ในทีแรกเขาไม่เข้าใจว่าทำไม...แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นแหละที่คนอย่างลู่หานตกอยู่ในสภาวะควายแบบฉับพลันจนกระทั่ง...
“ฉันอยากไปจากที่นี่”
“ไม่เอาน่ายูริ ฉันคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ”
“เธอพูดเองเออเองต่างหาก ฉันไม่เห็นด้วยเลยกับการที่เธอเอาแต่บอกให้ฉันเข้าหาคนอื่น ให้ฉันคุยกับคนพวกนั้นทั้งที่ไม่ต้องการ”
“ฉันเข้าใจว่ามันยาก แต่บางทีเธออาจจะแค่ไม่ชิน”
“แล้วเธอชินเหรอจองซูยอน เธอชินที่จะต้องอยู่กับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้ว่านิสัยที่แท้จริงของคนพวกนั้นเป็นยังไงได้งั้นเหรอ?”
“มันไม่เลวร้ายอย่างที่คิดหรอก เธอก็น่าจะรู้นี่ เพราะถ้าพวกเขาจะทำร้ายเรา เขาคงไม่ปล่อยให้ผ่านมานานเป็นอาทิตย์ขนาดนี้หรอก”
“ที่เราตกลงกันตั้งแต่แรกมันไม่ใช่แบบนี้ซูยอน...”
“...”
“...”
“ฉันขอโทษ...” เสียงนั้นแผ่วลง “มันอาจจะแย่ถ้าฉันจะบอกว่าไม่อยากใช้วิธีนั้นแล้ว”
“...”
“นะยูริ”
“ฉันเห็นเธอออกมาจากบังกะโลของไอ้หมอนั่น”
“...”
“เธอกับมันคงไม่ได้ทำเรื่องที่ฉันคิดไม่ถึงหรอกใช่ไหม?”
“อย่าถามทั้งที่เธอก็รู้ดีว่าฉันเป็นคนยังไง”
“แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ไม่ใช่เหรอ? เธอน่ะชอบปั่นหัวฉันจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว”
“ไม่เอาน่ายูริ เธอคิดมากเกินไป...อะ...”
ลู่หานถึงกับตาเหลือกทันทีที่มองผ่านผ้าม่านเข้าไปแล้วก็พบว่าจองซูยอนกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะโดยมีควอนยูริยืนแทรกอยู่ตรงกลางระหว่างขาเรียว กระโปรงลูกไม้ยาวที่เคยปกคลุมจนเกือบถึงข้อเท้าปัจจุบันถลกขึ้นมาจนเห็นขาขาว
หญิงสาวหุ่นเพรียวกำลังบดขยี้จูบอย่างดูดดื่มในขณะที่มือนั้นกำลังสอดเข้าไปในกระโปรง...เพียงแค่ครู่เดียวเธอก็ขยับข้อมือเป็นจังหวะก่อนที่ซูยอนจะนิ่วหน้าครางในลำคอ ลู่หานอ้าปากหวอ เขาไม่แน่ใจว่ากำลังตกใจกับภาพที่เห็นหรือความสัมพันธ์ของสองพี่น้องที่เป็นเรื่องลวงโลกกันแน่
ปาร์คกาฮีตะปบปากชายหนุ่มที่เกือบส่งเสียงร้องออกมาไว้ได้ทันก่อนที่ทั้งคู่จะตีฉากหลบไปยืนอยู่ข้างบ้านแทนที่จะยืนล่อเป้าอยู่ตรงนี้จนสองสาวจะหันมาเห็น ลู่หานแกะมือออกทั้งที่ยังคงทำหน้าเหวอ เขาเงยหน้าขึ้นมองครูสาวที่มีสีหน้าไม่ต่างจากเขานัก จะต่างกันก็แค่ว่าเธอเก็บอาการได้ดีกว่า
“ครู!”
“เบาเสียงหน่อยค่ะ”
“โห ใครจะไปสงบสนิ่งทุกการเคลื่อนไหวได้เหมือนครูล่ะครับ นี่แอบยืนฟังไปถึงไหนต่อไหนแล้วดิ?” ลู่หานเลิกคิ้วมองคาดโทษ ซึ่งปาร์คกาฮีก็แค่ถอนหายใจแล้วหันกลับไปยังหน้าต่างบานนั้น
“ฉันก็แค่บังเอิญมาได้ยิน”
“อ๋อ แล้ว...” ยังพูดไม่ทันจบก็ต้องอ้าปากค้างอีกครั้งเมื่อเสียงบทสนทนาจากสองสาวลอดออกมาให้ได้ยิน
“อะ...พอเถอะยูริ...”
“ทำไมล่ะ”
“อา...ไม่ใช่ตอนนี้”
“เธอบ่ายเบี่ยงมาหลายครั้งแล้วนะซูยอน...ความอดทนของฉันก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน”
“เธอก็รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เราจะทำอะไรก็ได้...อา...พอเถอะ...”
“ไม่ใช่สำหรับเรา...แต่อาจจะกับผู้ชายคนอื่นก็ได้?”
“พูดบ้าอะไรของเธอน่ะ...อะ...”
“เธอทำให้ฉันหงุดหงิด...เธอก็รู้ว่าฉันไม่ได้อยากอยู่ที่นี่เลยสักนิดแต่ที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าฉันตามใจเธอทั้งนั้น” เสียงนี้เบาลงเมื่อใบหน้าเลื่อนลงไปใกล้ใบหูหญิงสาวที่กำลังครางกระเส่าด้วยฝีมือเธอ “ไม่เห็นเหรอว่าผู้หญิงที่นี่มีแค่คนเดียว ฉันเห็นว่ายัยครูนั่นทำตัวมีพิรุธไหนจะมีหลุมศพที่อยู่ใกล้แม่น้ำอีก ฉันได้ยินมาว่าเป็นศพเด็กผู้หญิง”
“...” ลู่หานมองครูสาวเมื่อบทสนทนามันเริ่มพาดพิงมาถึงเธอจนทั้งคู่แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“ไม่คิดเหรอว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นอาจจะถูกข่มขืนจนตายก็ได้?” กาฮีกำหมัดแน่นกับสิ่งที่อีกคนพูดออกมา มันเป็นการดูถูกลูกศิษย์ของเธอที่เพิ่งจากไปได้อย่างน่ารังเกียจจนเกินจะรับได้
“เธอมองโลกในแง่ร้ายเกินไปแล้วยูริ”
“แล้วเธอจะให้มองในแง่ดีงั้นเหรอ เราเคยเจออะไรกันมาบ้างหวังว่าเธอคงยังไม่ลืมนะ” เสียงนั้นเว้นไปครู่หนึ่ง “เราอยู่กันสองคนเหมือนก่อนหน้านี้ได้ อย่างมากก็แค่เสี่ยงหน่อยถ้าพวกมันมีปืน”
ปืน...?
“พอเถอะ ที่นี่ปลอดภัยเธอก็เห็น”
“ตอนนี้น่ะปลอดภัยแต่วันข้างหน้าใครจะรู้ ที่นี่มีแต่พวกผู้ชาย ในหัวพวกมันคงไม่พ้นเรื่องเซ็กส์หรอก ก็เหมือนกับไอ้พวกสารเลวพวกนั้น”
กาฮีคว้าแขนชายหนุ่มอายุน้อยกว่าให้เดินออกมาแล้วหยุดยืนอยู่หลังบ้าน ไม่มีใครพูดอะไรอีก ทั้งคู่เพียงแค่ยืนนิ่งเพื่อทบทวนเรื่องราวที่เพิ่งได้รับรู้ ลู่หานเหมือนคนสติหลุด ถึงจะเคยเห็นฉากเลสเบี้ยนผ่านหนังโป๊มาแล้วหลายครั้งแต่พอเจอกับตาแบบนี้ก็พูดไม่ออกเหมือนกัน
“ยัยสองคนนั้นไม่ใช่พี่น้องกันจริง ๆ”
“...”
ทั้งคู่มองหน้าอย่างรู้กัน อาจเป็นเพราะว่าผู้หญิงสองคนนั้นเลือกที่จะฝังความทรงจำให้ทุกคนที่นี่เข้าใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอคือพี่น้องกัน ในทีแรกก็สงสัยอยู่หรอกว่าทำไมถึงใช้คนละนามสกุล แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องไปเซ้าซี้ถามทั้งที่มีเรื่องอื่นให้คิดอยู่อีกมากมาย
“ครูคิดว่าไง” ลู่หานหันไปถามครูสาวที่กำลังทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้า เธอหยิบพลั่วกับถังขึ้นมาแล้วเดินตรงไปเพียงไม่กี่ก้าวก่อนจะปักพลั่วลงบนหิมะอย่างแรงพร้อมเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกคน
“พวกเรากำลังโดนหลอก”
ติ่ก...ติ่ก...ติ่ก...
สิ่งเดียวที่โอเซฮุนได้ยินก็คือเสียงเข็มนาฬิกาแขวนผนังที่อยู่ทางด้านขวา มันถูกติดตั้งเมื่อวานก่อนด้วยฝีมือของอู๋อี้ฟาน เจ้าตัวอ้างว่ามันคงดีถ้าเรารู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ซึ่งในวินาทีนี้เด็กหนุ่มก็เข้าใจมันเป็นอย่างดี
นัยน์ตาจับจ้องเข็มนาฬิกาที่เดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มันเหมือนกับเขาในวันที่เจอจงอินอีกครั้งไม่มีผิด เด็กผู้ชายที่ชื่อโอเซฮุนที่มีความเชื่อว่าทุกอย่างจะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิม ซึ่งมันก็แค่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้น
เขาไม่รู้เลยว่าความพยายามและความหวังมันจะย้อนกลับมาทำร้ายได้ถึงขนาดนี้ กี่วันแล้วที่เซฮุนพยายามทำเหมือนว่าโลกนี้ไม่มีคนที่ชื่อคิมจงอิน กี่วันแล้วที่ต้องบังคับสายตาให้มองไปทางอื่นทั้งที่อยากมองหน้าผู้ชายคนนั้นนาน ๆ
เซฮุนรู้ตัวดีว่าคงทำตามใจตัวเองไม่ได้อีก เขาไม่สามารถอ้างเหตุผลบ้า ๆ ว่ากลัวผีเพื่อที่จะนอนเตียงเดียวกับจงอินได้อย่างบริสุทธิ์ใจ เด็กหนุ่มยังคงจำแววตาของผู้ชายคนนั้นได้ดี ไม่สิ...จริง ๆ แล้วเขาจำได้ตั้งแต่ตอนที่จงอินปล่อยเครื่องบินกระดาษลงบนพื้นอย่างไม่ใยดีต่างหาก
เด็กหนุ่มไม่สามารถยิ้มและบอกกับผู้ชายคนนั้นว่าไม่เป็นไร เขาไม่สามารถบอกว่าเรายังเป็นพี่น้องกันได้...เพราะโอเซฮุนไม่เข้มแข็งขนาดนั้น
หลุบสายตาลงมองพื้นห้องแล้วก็ได้แต่หัวเราะในใจ นี่เขาสติแตกมากถึงขนาดพับเครื่องบินกระดาษเยอะแยะจนเกลื่อนห้องเลยเหรอ เด็กหนุ่มหยัดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วก้มลงไปเก็บมันขึ้นมาทีละชิ้น แน่นอนว่าการที่เขายังพับเครื่องบินกระดาษเป็นงานอดิเรกแบบนี้มันยิ่งทำให้คิดถึงจงอินเข้าไปใหญ่
ก๊อก ๆ
“เซฮุน พี่เข้าไปได้ไหมจ๊ะ?”
“อ่า...ครับ” เด็กตัวสูงขานตอบก่อนที่ประตูจะเปิดเข้ามาพร้อมหญิงสาวรุ่นพี่ที่มักจะมีอะไรติดไม้ติดมือมาด้วยเสมอ
“พับเล่นอีกแล้วเหรอ ไหนดูซิวันนี้เขียนอะไรลงไปบ้าง” ซูยอนวางซองขนมลงบนเตียงก่อนจะหยัดตัวนั่งข้าง ๆ เด็กตัวสูงที่ยังคงง่วนอยู่กับการเก็บเครื่องบินกระดาษบนพื้น
“พี่ไปเอามาจากไหน”
“ของพี่เอง ในรถบ้านนั่นน่ะมีขนมเต็มเลยนะรู้ไหม แต่พี่กับยูริไม่ชอบกินขนม จะกินก็ตอนที่คิดว่าหาเสบียงไม่ได้แล้วจริง ๆ” เธอยิ้มขำแล้วคลี่กระดาษออก “อะแฮ่ม... ‘วันนี้ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า...ผมรู้สึกได้ถึงความโง่ทุกครั้งเวลาคิดถึงคุณ’ หืม...” หญิงสาวชำเลืองมองเด็กหนุ่มที่เพิ่งแย่งเครื่องบินกระดาษจากมือเธอไปแล้วขยำมันรวมกับอันอื่นจนเป็นก้อนใหญ่ก้อนเดียว
“พี่เก็บไว้กินเถอะครับ ผมไม่หิว”
“ไอ้นี่ไม่จำเป็นต้องกินตอนหิวซะหน่อยนี่” เธอว่าแล้วฉีกซองออก “มาเร็วเข้า” ซูยอนรั้งแขนเด็กหนุ่มให้นั่งพิงกับขอบเตียงข้างเธอก่อนจะยื่นขนมให้ “เร็ว ๆ อย่าดื้อ”
“พี่นั่นแหละที่ดื้อ ทำไมชอบบังคับคนอื่นครับ”
“เอ้า ก็นายดื้อพี่ก็เลยต้องบังคับ เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมชอบเถียงผู้ใหญ่ล่ะ” เธอเลิกคิ้วมองก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา “ล้อเล่นน่า...กินเถอะ” ซูยอนหยิบขนมเข้าปากตัวเองแล้วชันเข่าเข้าหาตัว
“มีใครเคยบอกไหมว่าพี่เป็นคนเอาแต่ใจ”
“ทุกคนยกเว้นนาย แล้วพี่ก็ไม่อยากให้นายซ้ำกับคนอื่นด้วยเด็กน้อย” เธอหัวเราะเบา ๆ
เป็นอีกครั้งที่โอเซฮุนต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่ต้องคุยกับคนที่จงอินชอบ หลายครั้งที่เด็กหนุ่มคิดว่าบางทีมันอาจจะถูกต้องแล้วก็ได้ที่ผู้ชายคนนั้นเลือกคุณซูยอนมากกว่าเขาที่กลายเป็นแค่คนในอดีต เพราะเธอก็เป็นคนดี สดใส ร่าเริง ยิ่งเรื่องความสวยคงไม่ต้องพูดถึง
“ยังเลือดกำเดาไหลอยู่หรือเปล่า”
“ไม่แล้วครับ”
“แน่เหรอ? ไม่ใช่ว่าเลือดออกตอนที่คนอื่นไม่เห็นแล้วบอกว่าตัวเองสบายดีนะ?” เธอมองจับผิดเด็กตัวสูงที่เอาแต่มองเครื่องบินกระดาษในมือ
“ผมอยู่ในช่วงพักฟื้นน่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วง”
“พูดซะห่างเหินเลย จนถึงตอนนี้นายก็ยังเห็นพี่เป็นคนอื่นอยู่หรือไงหื้ม” ซูยอนยีหัวเด็กตัวสูงที่ไม่แม้แต่จะหันมามองหน้ากัน เธอรู้ว่าเซฮุนกำลังคิดมาก อาจจะเป็นเรื่องจงอินที่ยังจำอะไรไม่ได้ทั้งที่เมื่อก่อนเคยสนิทกันมากซะขนาดนั้น
“ไม่ใช่อย่างนั้น พี่คิดมากเกินไปแล้ว”
“เคยได้ยินไหมว่าคิดมากก็เพราะเป็นห่วง นายแอบมาอยู่คนเดียวแบบนี้ไม่เหงาแย่เหรอ พี่เห็นคยองซู มินซอก ซูโฮเขานั่งเล่นทายปัญหากันอยู่ พี่เข้าไปนั่งดูพวกเขาเล่นกันด้วยนะ”
“คนที่ได้คะแนนเยอะสุดคือคยองซูใช่ไหมครับ”
“ใช่ เด็กคนนั้นฉลาดสุด ๆ เลย ให้ทายว่าใครลุกไปก่อน”
“ต้องมินซอกแน่ เพราะซูโฮคงไม่เลิกตราบใดที่คยองซูยังไม่ลุกไปไหน” เด็กหนุ่มยิ้มบาง ๆ เมื่อนึกถึงเกมที่เขากับเพื่อน ๆ เคยนั่งเล่นด้วยกัน
“ผิด เทาต่างหากที่ลุกไปก่อน”
“อ้าว แต่เมื่อกี้พี่ไม่ได้พูดถึงเขาเลยนะ”
“อ่าจริงเหรอเนี่ย” เธอกลอกตาก่อนที่ทั้งคู่จะหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน “หัวเราะได้แล้วสินะ” ซูยอนยีหัวเซฮุนอีกครั้ง และเธอก็ได้รู้ว่าประโยคนี้สามารถดูดรอยยิ้มออกจากใบหน้าอีกคนได้
“พี่ซูยอน”
“ว่าไง”
“พี่ชอบจงอินหรือเปล่าครับ?”
“...หะ?”
“ผมแค่อยากรู้น่ะ ถ้ามันเป็นเรื่องส่วนตัวเกินไปพี่จะไม่ตอบผมก็ได้นะ” เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อน เซฮุนกำลังรู้สึกแย่กับความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองที่มันทำให้ตัวเขากลายเป็นไอ้โง่เข้าไปทุกที แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“ไม่หรอก พี่ไม่ถือ” เด็กหนุ่มไม่ได้หันไปมองหน้าหญิงสาวระหว่างรอคำตอบ เขากำลังกลัวและลุ้นว่าให้เธอตอบว่า ‘ไม่ได้ชอบ’ ไปพร้อม ๆ กัน โอเซฮุนรู้สึกว่าตัวเองนั้นร้ายกาจนักที่คิดแบบนี้ เขาอยากให้จงอินหลงรักเธอแค่ฝ่ายเดียวมากกว่าที่จะให้เขาและเธอใจตรงกัน “เซฮุน”
“ครับ?” ทันทีที่หันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายเด็กหนุ่มก็ต้องเบิกตาอย่างตกใจเมื่อปลายจมูกรั้นนั้นกดลงบนแก้มเขาเบา ๆ ก่อนจะผละออก ดวงหน้าขาวอยู่ห่างจากใบหน้าเขาเพียงแค่นิดเดียวโดยที่ไม่ถอยห่างออกไป
ใช่...เมื่อกี้จองซูยอนหอมแก้มเขา
“...”
“...”
เซฮุนไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร แววตาคู่สวยที่กำลังมองมานั้นมีความหมายหากแต่เด็กหนุ่มไม่สามารถเข้าใจหรือคาดเดาเอาเองได้ อีกทั้งรอยยิ้มของผู้หญิงคนนี้ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นถ้าหากว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้มันคือความผิดพลาด
ในหัวของเขามันเต็มไปด้วยคำถามว่าทำไมเธอถึงหอมแก้มเขาราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา...
“พี่น่ะ...ไม่ได้ชอบจงอินหรอกนะเซฮุน”
TBC
EVERYDAY I SHOCK!!!
ความลับกำลังถูกเปิดเผย สองพี่น้องเป็นใครทำไมถึงได้โกหกทุกคนว่าเป็นแค่พี่น้องกัน? ชาวซอมบี้ไลน์จะหน้าสั่นไปพร้อม ๆ กันกับเรื่องราวที่เราไม่เคยรู้
ความคิดเห็น