คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #88 : Chapter 83 :: All About Us
Chapter 83
All About Us
หมุนลูกบิดแล้วค่อย ๆ ดันประตูเข้าไปหลังจากยืนทำใจอยู่นาน อันที่จริงคิมจงอินจะไปรอสองพี่น้องในห้องก็ได้ถ้าเกิดอยากรู้สึกอุ่นใจเวลาอยู่กับใครสักคนในเมื่อเขาไม่สามารถเดินเข้าไปพูดคุยกับใครได้อย่างสนิทใจ
เมื่อก่อนเป็นยังไงไม่รู้ แต่ที่รู้ตอนนี้คือจำอะไรไม่ได้ ตะเกียงที่อยู่ตรงหัวเตียงทำให้มองเห็นว่าใครอีกคนยังไม่ได้หลับ หนุ่มชาวจีนกำลังจัดแจงผ้าห่มและคาดว่าเจ้าตัวคงเตรียมตัวเข้านอนในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ลู่หานเลิกคิ้วมองเป็นเชิงถามแล้วป้องปากกระแอมไอก่อนจะสบถอย่างหัวเสียกับอาการป่วยที่ไม่ดีขึ้นเลย
“ไง”
“มาแบบนี้คือกูต้องทักทายมึงกลับเหรอ? โอ้ สวัสดีครับคิมจงอิน” นึกหมั่นไส้คนป่วยที่เสียงแหบแห้งขนาดนั้นแต่ยังเสือกพูดจากวนตีนได้อยู่ ลู่หานหลุบตาลงตรงเก้าอี้ว่างข้างเตียงเป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายนั่งลง
เห็นท่าทางเพื่อนสนิทที่เปลี่ยนไปแล้วก็เซ็งจนพยายามใจเย็นให้พูดดี ๆ กับมันไม่ได้ เคยมีเหรอที่ไอ้จงอินจะทักทายเขาแบบนั้น โอเค ก็รู้ว่ามันจำห่าอะไรไม่ได้สักอย่าง แต่มันก็ทนไม่ไหวอยู่ดีว่ะ
จงอินไม่ได้ตอบโต้แม้ว่าจะถูกกวนประสาททางคำพูดและการกระทำ บางทีเขาควรจะปลงและทำใจอยู่กับบรรยากาศน่าอึดอัดที่ทุกคนมอบให้แบบนี้ต่อไป ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ลู่หานยังคงกระแอมไออย่างหนักจนตัวงอ เห็นอย่างนั้นเลยยื่นขวดน้ำให้เพราะเวทนา
“ว่ามา” หลังจากกระดกน้ำเสร็จก็ควรเข้าเรื่องสักที ก็อยากรู้เหมือนกันแหละว่ามันจะมาไม้ไหน
“แล้วฉันต้องพูดยังไงถ้าถูกนายถามแบบนี้” จงอินขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายก่อนที่ลู่หานจะตบหน้าผากตัวเอง ผู้ชายคนนั้นใช้เวลาตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมา
“ลืมไปว่าสมองมึงกลับ แต่สิ่งนึงที่มึงควรรู้ไว้ว่ากูกับมึงใช้ฉันกับนายแค่ชั่วโมงแรกที่รู้จักกันแค่นั้น” ลู่หานชี้หน้าอีกฝ่าย
“เออดี จะได้ไม่ต้องทนฝืนสุภาพ”
“...”
“...”
ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะต้องรู้สึกอึดอัดเวลาอยู่กับไอ้เชี่ยนี่ ลู่หานถอนหายใจแล้วเอนตัวลงนอน นี่ถ้าเอาตีนก่ายหน้าผากได้คงทำไปแล้ว อย่าว่าแต่ไอ้จงอินจะพูดไม่ออกเลย ตอนนี้เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน เพราะดูเหมือนว่าพูดอะไรไปมันก็คงไม่เข้าใจ
“ถ้าเราเป็นเพื่อนกันจริง ๆ กูก็พูดกับมึงได้ทุกเรื่องถูกไหม?”
“สำหรับกูน่ะใช่” ชายหนุ่มไขว้แขนไว้กับท้ายทอย สายตามองไปยังเพดานห้องโดยไม่หันไปมองอีกฝ่าย “แต่สำหรับมึงคงไม่”
“มึงกำลังยัดเยียดให้กูดูเหี้ยนะ”
“แล้วจะให้ทำยังไงวะห่า มึงไม่ใช่คนเดิมแล้ว” ลู่หานดีดตัวลุกขึ้นนั่ง เขากำลังหงุดหงิดสุด ๆ เพราะไอ้เวรตะไลนี่คนเดียวเลย ถ้าไม่ติดว่าสังขารไม่อำนวยจะลุกไปโบกกบาลมันสักที
“ถ้ากูจำทุกอย่างได้ มึงจะมองเหยียดยังไงก็ไม่ว่าหรอก แต่ขอแค่สักคนได้ไหมที่จะปฏิบัติกับกูโดยไม่อคติ?” สีหน้าของจงอินนั้นจริงจัง ซึ่งเขาเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายอยากสื่ออะไร เพราะจากที่เห็นคนอื่น ๆ ก็ทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่กับมัน ไม่ใช่แค่ทุกคนที่ได้รับผลกระทบกับเรื่องสูญเสียความทรงจำของไอ้จงอิน ส่วนตัวมันก็คงไม่ต่าง “พวกมึงแต่ละคนทำเหมือนกูอยากลืมทุกอย่าง”
“ว่าไป” ลู่หานนั่งขัดสมาธิ จงอินเบือนหลบไปอีกทางแล้วลูบใบหน้าเพื่อตั้งสติ เขากล้าระบายความอัดอั้นออกไปเพียงเพราะคนตรงหน้าคือ ‘เพื่อนที่เคยสนิท’ งั้นเหรอ?
“โทษทีว่ะ” จงอินเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วประสานมือไว้กับตัก
“มึงเคยเหี้ยกว่านี้ เพราะงั้นกูจะไม่ถือ” ลู่หานมองเพื่อนสนิทที่กำลังหันกลับมา “กูคือเพื่อนของมึง จำใส่กะโหลกกลวง ๆ ไว้ด้วย”
“...”
“เพราะงั้นมีอะไรก็เล่ามา กูจะฟัง”
“ตอนแรกกูไม่ได้อยากกลับมาที่นี่ กูคิดว่าโอเซฮุนคงเล่าให้ฟังแล้วว่าเพราะอะไร แต่พอกูตัดสินใจว่าจะกลับมา นั่นหมายความว่ากูต้องคาดหวังว่ามันต้องดีกว่าที่เป็นอยู่”
“ยังไงล่ะ”
“อะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกดีกว่าการเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลยแม้กระทั่งชื่อเป็นของตัวเอง มึงไม่มีทางรู้หรอกว่าไอ้ความรู้สึกตอนจำห่าอะไรไม่ได้แล้วต้องมาฟังคนนั้นคนนี้สปอยล์ว่ากูดีเหลือทนมันเป็นยังไง”
“จริง แล้วกูก็คงไม่อยากตกอยู่ในสภาพแบบนั้นด้วย”
“สมองกูเหมือนถูกรีเซ็ท ชื่อแรกที่ได้ยินมันไม่ใช่ชื่อของกูแต่เป็นจองซูยอนกับควอนยูริ กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน พ่อแม่ชื่ออะไร? อายุเท่าไหร่? มีคำถามอยู่ในหัวกูเต็มไปหมด”
“ว่าไป” ลู่หานมองอีกฝ่ายที่กำลังพ่นความในใจออกมาอย่างเหลืออด ถึงมันจะดูแปลกไป แต่ในความรู้สึกแล้วไอ้เวรนั่นก็ยังมีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่ามันยังเป็นคนเดิม
“กูพยายามคิดว่าก่อนหน้านี้เคยใช้ชีวิตยังไง แต่มันก็ไม่ได้ผล ทุกครั้งที่พยายามคิดมันจะมีภาพเข้ามาในหัว แต่ก็แค่วูบเดียวก็หายไป กูจับต้นชนปลายไม่ถูกว่ามันคืออะไรเพราะทุกครั้งมันไม่เคยประติดประต่อกันได้จนกูท้อเลยกะว่าช่างหัวแม่งเถอะ กูไม่อยากรู้แล้วว่าเคยเป็นใคร จนกระทั่งได้เจอเซฮุน” พอนึกถึงหน้าไอ้เด็กนั่นแล้วก็รู้สึกแปลก ๆ คิมจงอินพยายามหยุดความคิดไว้ตรงนั้นแล้วเล่าต่อไป “มันเอาแต่พูดโน้มน้าวพยายามพากูกลับอุทยาน ตอนนั้นกูได้แต่คิดว่าไอ้เด็กเชี่ยนี่เป็นใครวะ ทำไมถึงได้อยากให้กลับไปนักหนา หรือมันจะหลอกกูไปฆ่า”
“ตลอดเวลาที่ผ่านมามีแต่มึงนั่นแหละฆ่ามัน”
“กู?”
“เปล่า ลมพัดเย็นดี” ลู่หานทำจมูกบานปั้นหน้าตายแล้วทำมือปัด ๆ แน่นอนว่าประโยคเมื่อครู่มันทำให้จงอินสงสัย แต่นั่นแหละคือจุดประสงค์ของเขา ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงตบมุกกลับไปอย่างไม่อาย แต่ถ้าตอนนี้จะบอกมันว่า ‘ฆ่าของไง’ ก็จะยังไงอยู่...
“เข้าเรื่องเลยแล้วกัน”
“มึงโซโล่มาครึ่งค่อนชีวิตนี่ยังไม่เข้าเรื่องอีกหรือ...” ลู่หานเลิกคิ้วมองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ซึ่งคนถูกแซวดูจะอายอยู่หน่อย ๆ
“ก็แค่อยากรู้ว่าก่อนหน้านี้กูมีแฟนด้วยเหรอวะ?”
“...” ประโยคหยุดโลกจริง ๆ ลู่หานคิดอย่างนั้น คนป่วยนิ่งไปหลายวินาทีจนน่าผิดสังเกต มันเป็นเรื่องยากขนาดนั้นเลยเหรอกะอีแค่บอกว่าเขามีคนรักหรือเปล่า?
“คำถามกูยากไป?”
“ไม่ กูว่ามันง่ายจนสามารถอ่านคำตอบได้จากสายตากู” ลู่หานขมวดคิ้วหรี่ตามองเพื่อนอย่างเซ็ง ๆ ก็รู้ว่าผลกระทบหลัก ๆ คือมันจำอะไรไม่ได้สักอย่าง และแน่นอนว่ามันคงลืมเรื่องเซฮุนไปจนหมดสิ้นแล้ว ไม่สิ...มันจำไม่ได้ต่างหาก
“ก็บอกมาดิ”
“บอกไปแล้วได้ไรวะ ยังไงมึงก็จำเขาไม่ได้อยู่ดี” ลู่หานพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ ก่อนจะคว้าเอาหมอนอีกใบมาซ้อนหลังแล้วเอนพิง
“ก็อยากรู้ เผื่อจะได้แสดงออกให้ต่างจากคนอื่นบ้าง?” จงอินไหวไหล่ อันที่จริงเขาก็ไม่รู้หรอกว่าถ้ารู้ไปแล้วมันจะมีอะไรดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่หรือเปล่า เพราะอย่างที่รู้กันว่าตอนนี้เขาไม่ได้มีความทรงจำหลงเหลืออยู่เลย บางทีมันอาจจะทำให้เขาระวังคำพูดกับคน ๆ นั้นมากขึ้นล่ะมั้ง?
“ตั้งแต่โผล่หัวมาที่นี่มึงไม่เอะใจบ้างเหรอ คือกูจะถามว่าไม่มีใครเข้าตาบ้างเลยไง?”
“ไม่เลย ก็บอกแล้วว่าจำไม่ได้”
“ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเลยสักนิด?” ลู่หานมองมาราวกับกำลังจับผิด จงอินนิ่งไปชั่วอึดใจ เขาคงไม่บ้าพอที่จะบอกว่าสงสัยเด็กคนนั้นทั้งที่มีผู้หญิงที่นี่อยู่ตั้งหนึ่งคน ถึงความเป็นไปได้มันจะมีน้อยมากว่าปาร์คกาฮีจะเป็นอดีตคนรักของเขา แต่การพูดว่าตัวเองเป็นเกย์ทางอ้อม มันก็ไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่
“ครูคนนั้นเหรอ?”
“ก็แย่ละ มึงกับเจ๊แกคุยกันแทบจะนับประโยคได้ คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องแฟน” ลู่หานแค่นหัวเราะ นึกย้อนไปตอนโรงเรียนที่ชุงช็องใต้ไอ้เวรนี่ยังด่าเขาอยู่เลยว่าใจง่าย เห็นผู้หญิงชวนหน่อยก็คล้อยตามอยู่เลย
“ก็ถ้าไม่ใช่ครูคนนั้นแล้วจะเป็นใครวะ?” จงอินขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ก็ตั้งแต่มาที่นี่ก็เห็นผู้หญิงคนเดียวคือปาร์คกาฮีไม่ใช่เหรอ?
“ก็นั่นน่ะสิ จะเป็นใครวะ?” ลู่หานทำตาโต และจงอินก็ไม่ได้โง่ที่จะดูไม่ออกว่ากำลังถูกกวนประสาทอยู่ “คิดอะไรมาก ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงก็ต้องเป็น...”
มีแค่ลู่หานที่เห็นว่าตอนนี้จงอินกำลังทำหน้าแบบไหน ซึ่งแม้แต่เจ้าตัวก็คงไม่รู้ ดวงตาคู่นั้นหลุบลงราวกับกำลังใช้ความคิด ก็แน่ล่ะ เชื่อว่ามันคงพยายามคิดตามกับประโยคกำกวมเมื่อครู่นี้
“มึงจะบอกว่าแฟนกูเป็นผู้ชาย?”
“อ้าว ก็ไม่โง่นี่” ลู่หานหัวเราะ และคำตอบของเขาทำให้อีกคนถึงกับชะงักไป “เดาดูหน่อยเป็นไง ผู้ชายที่นี่มีเยอะมากพอที่จะเป็นตัวเลือกให้มึงนะ”
“มึงจะบ้าเหรอ”
“เอ้า ถามตัวเองดีกว่าไหมว่าใครกันแน่ที่บ้า” คนป่วยหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ นี่มันคือการกลืนน้ำลายตัวเองโดยไม่รู้ตัวชัด ๆ ถ้าเกิดไอ้จงอินจำได้ว่าเมื่อก่อนมันทำอะไรไว้บ้างจะเป็นยังไงนะ?
ชายหนุ่มกำลังคิดหนักกับเรื่องที่ลู่หานพูด ซึ่งพอคิดตามแล้วมันก็มีความเป็นไปได้สูงถ้าหากตัดปาร์คกาฮีออกไป แต่ตอนนี้ขอเวลาช็อกกับเรื่องที่เขาเป็นเกย์ก่อนได้ไหม นี่ไม่เคยคิดเลยว่าความจริงมันจะเหนือความคาดหมายขนาดนี้
เอาล่ะ...คิมจงอินคนก่อนหน้านี้เป็นยังไงไม่รู้ แต่ถ้าจะให้แกล้งทำเป็นมองข้ามเรื่องนี้ไปแล้วใช้ชีวิตอย่างปกติสุขก็คงอึดอัดตายห่า อย่างน้อยเขาก็น่าจะให้ความยุติธรรมกับคน ๆ นั้นบ้างในเมื่อตอนนี้เขาไม่ใช่คิมจงอินคนเดิมแล้ว และแน่นอนว่าความยุติธรรมนั้นมันไม่ใช่การกลับไปแสดงความรักเอาใจใส่
ไอ้เด็กแว่นที่เจอหน้าห้องเมื่อกี้น่ะตัดไปได้เลย จากการแสดงออกยังไงก็ชัดเจนว่าเหม็นหน้าเขาสุด ๆ ส่วนไอ้เด็กเตี้ยสองคนตัวติดกันที่ดูเหมือนยังอยู่ม.ปลายก็คงจะไม่ใช่ แล้วยังเหลือใครอีกล่ะที่พอจะเข้าตา? อู๋อี้ฟานก็คงไม่ใช่แน่ ๆ ปาร์คชานยอลก็ยิ่งแล้วใหญ่ รายนั้นแค่มองก็เหมือนจะเห็นคำว่า ‘อะไร?’ อยู่บนหน้า ไม่มีความพิศวาสใด ๆ เลยสักนิด
เหลือใครอีกวะ? อ้อ...นี่เขาลืมไอ้เด็กคนนั้นไปได้ยังไง?
ไอ้เด็กหน้าหงิม ๆ ที่เข้ามากอดเขาเป็นคนแรกนั่นน่ะ จะว่าไปแล้วก็มีเปอร์เซ็นต์สูงเลยทีเดียวถ้าเกิดว่าเขาจะเป็นเกย์ เพราะเด็กคนนั้นตัวก็เล็ก หน้าตาก็น่ารักดี ถ้าเกิดว่าก่อนหน้านี้ไอ้คิมจงอินมันจะเป็นเกย์ล่ะก็...เด็กที่ชื่อแบค...แบคอะไรวะลืม
“คิดไรอยู่”
“คิดตามที่มึงพูดไง”
“แล้วได้คำตอบยัง”
“คำตอบที่คิดไปเองน่ะได้แล้ว แต่ความจริงไม่รู้” จงอินมองไปยังคนป่วยที่กำลังยิ้มขำอยู่คนเดียวอย่างกับว่าเรื่องนี้มันโคตรจะตลก
“ไหนบอกกูหน่อยว่ามึงเล็งใครไว้”
“กูไม่บอก”
“อ่ะนั่นแน่ะ แอบมีความลับซะด้วย” ลู่หานยิ้มกริ่ม แต่จงอินกลับปั้นหน้านิ่งไม่ยอมตามเกมอีกฝ่าย “บอกมา”
“เด็กตัวเตี้ย หน้ามีรอยช้ำนั่นชื่อแบคอะไรนะ” ถามพร้อมชี้หน้าตัวเองประกอบและมันทำให้อีกคนหุบยิ้มลง
“นี่มึงคิดว่าเป็นแบคฮยอนเหรอวะ?”
“อ้าว แล้วไม่ใช่?”
“...”
“มึงบอกให้เดากูก็เดาแล้วไหม? ถ้าบอกความจริงมาแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว เสียเวลาชิบหาย” จงอินบ่นกระปอดกระแปด เขากำลังหงุดหงิดที่ต้องมานั่งทำหน้าโง่อยู่ตรงนี้เพื่อเล่นปัญหาเชาว์กับมัน
“ได้ กูจะบอกความจริงมึงเดี๋ยวนี้”
“...”
ลู่หานลุกขึ้นนั่งอีกครั้งพร้อมดึงผ้าห่มออกจากตัว ชายหนุ่มป้องปากกระแอมไอจนคอแทบหลุดก่อนจะเงยหน้ามองเพื่อนสนิทอย่างจริงจัง และดูเหมือนว่าจงอินก็ลุ้นในสิ่งที่เขากำลังจะพูด
“กูเองแหละ”
“...”
“เซอร์พร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยซ์” ลู่หานอ้าแขนออกกว้างเตรียมจะพุ่งเข้าไปกอดอีกฝ่ายแต่ก็ถูกถีบยอดอกจนหงายหลังลงไปนอนบนเตียง คนป่วยระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งประสานกับเสียงไอจนทำให้รู้สึกเจ็บช่องคอไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นลู่หานก็ไม่คิดจะหยุดขำ
“ส้นตีนละ ตลกมากป่ะสัด”
“โอย ไม่ตายเพราะถูกกัดแต่คงได้ตายเพราะหัวเราะนี่แหละ” ลู่หานโกยอากาศเข้าปอดแล้วปาดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ว่าสาเหตุของมันมาจากการไอหรือเพราะเรื่องตลกร้ายในตอนนี้กันแน่
“นอนเถอะ กูไม่อยากตกเป็นฆาตกรถ้าเกิดมึงขาดใจตายเพราะหัวเราะ”
“ไม่อยากฟังต่อเหรอว่าเรื่องของเรามันเป็นยังไง” พูดจบก็ได้รับนิ้วกลางมาเป็นคำตอบ ลู่หานหัวเราะร่าแล้วดีดตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกระดิกนิ้วขอขวดน้ำอีกรอบ ซึ่งจงอินก็แค่ถอนหายใจใส่แล้วโยนให้อย่างรังเกียจ “มึงครับ แค่จำอดีตไม่ได้ไม่ได้หมายความว่ามึงต้องโง่นะ”
“...”
“เคยได้ยินคำว่าเส้นผมบังภูเขาเปล่า?”
“นึกอยากจะคมอะไรตอนนี้ มันไม่ได้ทำให้มึงดูหล่อขึ้นมาหรอก” จงอินพูดเสียงเรียบ
“อยู่กับปาร์คชานยอลบ่อย ๆ เดี๋ยวก็หล่อเองแหละมึง คำพูดคำจานี้ยิ่งกว่ามีด ชนิดว่าใช้แทงคอพวกกินคนตายห่าได้อ่ะ” คนป่วยทำมือปาดอากาศไขว้กันเป็นเครื่องหมายกากบาท
“แล้วยังไง”
“ก็ไม่ไง นี่มึงกับเซฮุนนอนห้องเดียวกันป่ะวะ” ในเมื่อไอ้เพื่อนชั่วไม่พูดถึงเด็กกรงหมาเลยก็คงต้องถามถึงสักหน่อย
ถึงลู่หานจะเป็นผู้ชายกาก ๆ ที่พูดอะไรไม่คิด แต่ถ้าเป็นเรื่องนี้เขาก็พอจะจับทางถูกว่าควรพูดหรือไม่ควรพูดอะไร และการพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างไอ้จงอินกับเซฮุนขึ้นมามันก็ไม่ใช่เรื่อง เพราะจากที่เห็นก็ชัดเจนแล้วว่าไอ้เชี่ยนี่มันไม่โอเคกับความรักระหว่างผู้ชายด้วยกันเป็นอย่างมาก
“ไม่ แยกบังกะโลกันอยู่”
“อ้าว ไหงงั้น?”
“ก็มันอยากแยกเอง” จงอินไหวไหล่พอวกเข้าเรื่องเด็กคนนั้นอีกครั้ง ยอมรับก็ได้ว่าตอนระลึกชาติว่าใครคืออดีตคนรักภาพของโอเซฮุนมันลอยเข้ามาในหัวเป็นคนแรก แต่เขาก็เลือกที่จะดึงคนอื่นเข้ามาในความคิดเพื่อที่จะหลีกหนี ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าทำไม?
ทั้งที่ไม่ว่าจะเป็นใครยังไงมันก็จบที่เกย์เหมือนกันแท้ ๆ แต่อาจเป็นเพราะว่าคนเหล่านั้นไม่ได้แสดงออกว่าผูกพันกับเขามากมาย ก็เลยคิดว่าคงจะไม่รู้สึกผิดมากนักถ้าเกิดได้คำตอบแล้วว่าอดีตคนรักเป็นใครสักคนที่นี่ที่ไม่ใช่โอเซฮุน
ทำไมถึงได้กลัวความรู้สึกตัวเองถึงขนาดนี้วะ?
“เมื่อวานอยู่กับเด็กกรงหมาแล้วเป็นไงบ้าง”
“เด็กกรงหมาคือใคร?”
“เออลืมไป กูติดปากเรียกเซฮุนแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ก็ตอนที่เจอกันครั้งแรกน้องมันถูกขังอยู่ในกรง”
“อ้อ...” จงอินพยักหน้าเล็กน้อย ลู่หานดูท่าทีอีกฝ่ายอย่างลุ้น ๆ ว่ามันจะนึกอะไรออกไหมกับช่วงเวลาไม่กี่วินาทีที่เงียบไป “กูกับเซฮุนสนิทกันมากเท่าที่สนิทกับมึงป่ะวะ?”
“มึงอยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ” ลู่หานเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย ถ้าการกระตุ้นอย่างที่อี้ฟานพูดมันได้ผลเห็นทีว่าคงต้องขุดคำพูดที่ไอ้จงอินเคยสอนเขาตอนเพิ่งเลิกกับมินซอกใหม่ ๆ มาใช้ดูสักหน่อย “อยากได้คำตอบที่เป็นความคิดของกูหรือคำตอบที่ทำให้มึงสบายใจ”
“...”
“กูรู้ว่ามึงมีคำตอบในใจอยู่แล้ว เพราะงั้นอย่าเสือกอยากรู้ตอนนี้เลยว่าอะไรเป็นอะไร”
“...”
“เพราะถ้ารู้แล้วมันไม่มีอะไรดีขึ้นจากเดิมก็อย่าให้คนที่เขาจำได้ทุกอย่างต้องเจ็บ เข้าใจไหมควายน้อยเพื่อนรัก?” จงอินมองอีกฝ่ายที่สีหน้าเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ผู้ชายขี้เล่นกวนประสาทคนนั้นหายไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่คนที่กำลังจริงจังกับเรื่องที่กำลังพูดถึงเท่านั้น
“มึงพูดถูก” ร่างหนาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “กูก็คิดมากเหมือนกันว่าถ้ากูนึกอะไรไม่ออกเลยในขณะที่เขาจำได้ทุกอย่างมันจะแย่มากแค่ไหน แต่ถ้ากูรู้ว่าคนนั้นคือใคร อย่างมากก็คงระวังคำพูด แต่ถ้าจะให้ฝืนแสดงออกว่ารักก็คงไม่ได้”
“เข้าใจ”
“อืม”
“มึงชอบใครสักคนในสองพี่น้องนั่นใช่ไหม” จงอินเงยหน้ามองคนป่วยที่กำลังฉายแววจริงจังขณะรอคำตอบ “โอเค ไม่ต้องตอบละ”
“ก็มันแก้ไขไม่ได้แล้วป่ะวะ”
“กูยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ทำไมเหรอเพื่อน? หน้ากูเหมือนกำลังหึงมึงอยู่เหรอ?” ลู่หานเบ้ปากแล้วยกไหล่ขึ้นสูงเป็นเชิงประชด ในหัวกำลังคิดไปถึงหายนะในอนาคตที่คิดว่าคงจะเกิดขึ้นในเร็ววัน ให้ตายเถอะ เขาอยากคุยกับเด็กกรงหมาเดี๋ยวนี้เลย
“สรุปกูควรรู้ไหมว่าแฟนกูเป็นใคร”
“ควายเอ้ย ที่พูดไปทั้งหมดนี่มึงไม่เก็ทเลยสินะ” ลู่หานสบถอย่างหัวเสีย ที่กูทำหล่อเลียนแบบปาร์คชานยอลไปนี่โคตรเปล่าประโยชน์สิ้นดี
“ใจนึงกูก็อยากรู้ แต่อีกใจก็ไม่” จงอินกำลังสับสน เขาดูเหมือนควายพิการทางสมองที่ควรได้รับการเยียวยา แต่จมอยู่กับความคิดไม่เท่าไหร่ก็ต้องหน้าทิ่มเพราะถูกตบหัวอย่างแรง “อะไรวะ?!!!”
“จำได้ยัง?”
“จำห่าไรล่ะ กูเพิ่งบอกไปเมื่อ...” พูดไม่ทันจบหน้าก็คว่ำไปอีกทีเพราะถูกโบกหัวซ้ำ เขารู้สึกได้ถึงเส้นเลือดตรงขมับที่กำลังกระตุกเพราะอารมณ์โทสะ ต่อให้เป็นเพื่อนก็เถอะ ถ้ามาเล่นหัวอย่างไร้เหตุผลแบบนี้กูก็จะ... “โอ้ย!!!!”
“กูไงครับแฟนมึง”
“แฟนพ่อง! กูไม่เชื่อ!”
“อ้าว ไม่เชื่อ?” คนป่วยเลิกคิ้วขึ้นคราวนี้ถึงกับคุกเข่าตั้งหลักโบกหัวพร้อมถีบสีข้างเอาให้จุก “ตอนคบกันมึงเป็นฝ่ายถูกสอดนะ ได้ยินแล้วถึงกับซ่านเลยไหมล่ะเพื่อน”
“เชี่ยเอ้ย!!!” จงอินปัดมืออีกคนออกอย่างรำคาญ เขาทำอย่างนั้นอยู่เกือบนาทีไอ้เวรนี่ถึงยอมหยุด นี่ถ้าไม่ติดว่าป่วยจะกระทืบมันให้จมตีนเลยให้ตายสิ
“ตอนอยู่สองต่อสองอนุญาตให้เรียกผัวได้ แต่ห้ามกุ๊กกิ๊กต่อหน้าคนอื่นนะ กูเขิน”
“ถุยเถอะ แค่คิดก็ขนลุกแล้วห่า”
“โถ ทีงี้ล่ะมาขนล้งขนลุก ทีตอนพาท่องแดนสนธยาไม่เห็นบ่น ไหนลองเรียกซิ ‘ผัวขา’ ”
“...”
เช้าวันนี้ถูกอู๋อี้ฟานปลุกแต่เช้า เจ้าตัวบอกว่าต้องออกไปร้านวัสดุอุปกรณ์และต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งคิมจงอินก็ไม่รู้ว่าตัวเขาจะทำอะไรได้บ้างนอกจากเป็นภาระให้คนอื่น แต่ในเมื่อปฏิเสธไม่ได้ก็ต้องถ่อหนังหน้าออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก
ในรถกระบะคันนี้เงียบมากจนน่าอึดอัด ได้ยินเพียงแค่เสียงถอนหายใจของใครสักคนซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาจากใคร อาจจะอู๋อี้ฟานที่เป็นคนขับ หรือคนข้าง ๆ อย่างไอ้เด็กปากดีหวงจื่อเทาที่กำลังทอดสายตาออกไปนอกรถ แต่คงไม่ใช่ปาร์คชานยอลที่นั่งนิ่ง ๆ อยู่ข้างเขามาตลอดทั้งทางแน่
“อย่าว่างู้นงี้เลยนะ แค่อยากบอกไว้ว่าฉันเพิ่งหัดสู้กับพวกมันเมื่อวานตอนเซฮุนสอนใช้อาวุธ เพราะงั้นฉันคงไม่มีปัญญาเข้าไปบวกกับไอ้พวกนั้นได้เหมือนคิมจงอินที่พวกนายเคยรู้จัก”
“เดินตามหลังเราไว้ก็พอ” อู๋อี้ฟานไม่ได้ถามว่าเพราะอะไรเพราะคงรู้อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เกิดคำถามในใจว่าในเมื่อพวกมันรู้อยู่เต็มอกแล้วเสือกลากเขามาด้วยทำไมวะ
“ชานยอล”
“อืม”
จงอินขมวดคิ้วเมื่อไอ้คนตัวสูงทั้งสองคนคุยกันแค่นั้นแต่ไอ้เจ้าของชื่อเสือกก้มลงค้นกระเป๋าเป้อย่างกับรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร นี่มันจะเก่งกันเกินไปแล้ว คนพวกนี้หนีมาไกลชนิดที่ว่าสามารถคุยกันได้ผ่านทางสายตาด้วยกระจกมองหลังแล้วเหรอ
ปาร์คชานยอลเอามีดพกที่ใส่อยู่ในปลอกหนังสีดำขึ้นมา คนตัวสูงมองมันอยู่แค่ครู่เดียวก็วางลงบนมือเขา โอเคครับ...ไม่ว่าจะยังไงกูก็ต้องสู้กับพวกกินเนื้ออยู่ดีใช่ไหม นี่ก่อนออกมาจากอุทยานก็ได้รอยยิ้มของซูยอนกับนิ้วกลางของยูริเป็นกำลังใจ นี่ถ้าพลาดโดนกัดตายขึ้นมาคงเป็นผีที่อึดอัดน่าดู เขาก็ไม่อยากจากไปทั้งที่ความสงสัยยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่ได้หยุด
รถดับลงและตามด้วยเสียงดึงเบรกมือ อู๋อี้ฟานกับหวงจื่อเทาลงไปดูลาดเลาก่อน ถึงคนพวกนั้นจะดูเก่งกาจ ฉลาดทางคำพูด แต่ผู้ชายตัวสูงคนนั้นก็ชักปืนขึ้นเตรียมพร้อมหากว่ามีตัวอะไรโผล่หน้าออกมาในรัศมี
“ที่อุทยานมีประตูทางเข้าสองทาง แล้วทางที่คุณเข้ามามันเป็นทางสำหรับเจ้าหน้าที่ ผมแค่จะบอกว่าเรามาที่นี่เพื่อหาอุปกรณ์ไปซ่อมแซมประตูให้แข็งแรงขึ้นและปิดตายมัน” ปาร์คชานยอลหันมาอธิบายจุดหมายของวันนี้แล้วพยักหน้าบอกเป็นเชิงให้เขาลงจากรถได้
กูนั่งมาด้วยตั้งนานเพิ่งจะมาบอกเนี่ยนะ...
ทั้งสองคนเปิดประตูออกมา สิ่งแรกที่เห็นคืออู๋อี้ฟานกับหวงจื่อเทากำลังช่วยกันดึงประตูเหล็กม้วนขึ้นซึ่งมันเกิดเสียงดังอย่างห้ามไม่ได้ เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นชายหนุ่มทั้งสองก็ต้องถอยออกมาตั้งหลักเมื่อตัวกินคนวิ่งออกมาทีละตัว
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซ”
“รีบเข้าไปช่วยสิ พวกเขาจะถูกกัดอยู่แล้ว” จงอินหันไปบอกคนข้าง ๆ ที่กำลังสวมถุงมือหนังสีดำอย่างไม่เร่งรีบ ปาร์คชานยอลเพียงแค่หันไปยิ้มก่อนจะชักมีดออกมาจากสนับขา
“ถ้าพวกมันวิ่งเข้ามาให้ถอยหลังออกมาตั้งหลักก่อน คุณมีเวลาแค่ไม่กี่วิในการตัดสินใจว่าจะฆ่ามันยังไง” พออีกฝ่ายพูดจบจงอินก็ขมวดคิ้วเมื่อหวงจื่อเทาคว้าคอตัวกินเนื้อเอาไว้แล้วแทงมีดเข้าไปตรงหน้าผากมันอย่างแรงแล้วรีบชักกลับในทันที
เด็กตัวสูงถอยหลังออกมาแค่สองก้าวเพื่อดูท่าทีผีดิบที่กำลังตรงมาทางนี้ ส่วนอี้ฟานเองก็เช่นกัน หลังจากจัดการเรียบร้อยไปได้หนึ่งตัวด้วยมีดเขาก็ชี้บอกพิกัดว่าพวกผีดิบกำลังโผล่ออกมาทีละตัว
“เราเป็นฝ่ายได้เปรียบถ้าพวกมันเชื่องช้า” ร่างสูงพูดเสียงเรียบแล้วเร่งฝีเท้าเข้าไปถีบช่วงท้องตัวกินคนจนมันล้มลงไป
ชานยอลกดรองเท้าหนังลงบนแผงอกผีดิบที่ผิวแห้งจนเนื้อติดกระดูก ซึ่งดูจากภายนอกก็น่าจะรู้ว่าพวกมันตายมานานมากและไม่มีอาหารตกถึงท้องเพราะขังตัวอยู่ข้างใน มือของมันกำลังปะป่ายไปมาเมื่อเห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน ก่อนที่จะแน่นิ่งไปเมื่อถูกถีบอย่างแรงจนกระโหลกแตกและสมองสีเข้มทะลักออกมาจนเลอะหิมะ
“กรรรรรรรรรรรรรรรรรรซ์!!!”
“เทา! ทางขวา!”
จงอินกำลังทำตัวไม่ถูกเมื่อชายหนุ่มทั้งสามต่างกำลังสู้กับตัวกินเนื้อในระยะประชิด และดูเหมือนว่าคนพวกนั้นจะไม่ได้กลัวถูกกัดเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นการใช้มีดแทงเข้าที่หัว หรือแม้แต่ชกหน้ามันให้เสียหลัก แต่ละคนมีวิธีเป็นของตัวเองในขณะที่เขาไม่มี
ไม่นานนักทุกอย่างก็สงบลง ซากศพพวกผีดิบนอนแน่นิ่งอยู่บนหิมะหลังจากถูกฆ่าให้ตายซ้ำสอง เขาเห็นว่าชายหนุ่มทั้งสามกำลังยืนคุยกันและมีบางครั้งที่หันมาทางนี้ ถึงคิมจงอินจะจำไม่ได้แต่เขาก็ไม่ได้โง่อย่างที่ไอ้ลู่หานบอก ที่จะได้ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นกำลังพูดถึงเขา
ทางซ้ายมีรถยกของสีเหลืองดำอยู่ข้างท่อปูนระบายน้ำที่วางซ้อนทับกันหลายชั้น หลังจากหิมะเริ่มละลายแล้วก็ได้เห็นว่าสภาพของมันเก่าและหมองลงเพราะผ่านสภาพอากาศมานาน พอหันไปอีกทีทั้งสามหนุ่มก็เดินตรงไปข้างหน้าแล้ว แต่ยังไม่ทันเข้าไปในร้านวัสดุอุปกรณ์ก็ต้องผงะถอยหลังเล็กน้อยเมื่อจู่ ๆ ประตูเหล็กม้วนก็เลื่อนครืดลงมาอย่างแรง
“เกือบไปแล้วสิ” อี้ฟานสบถเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองประตูบานใหญ่ที่ปิดลงสนิท ร่างสูงหันไปพยักหน้าเพื่อขอแรงและเทาก็ไม่อิดออดให้เสียเวลา ทั้งสองคนช่วยกันยกประตูเหล็กม้วนขึ้นอย่างทุลักทุเลก่อนจะปล่อยมือออกแล้วประตูก็ปิดลงอีกครั้ง
“ข้างในมีเกียร์มือหมุนหรือเปล่า มันอาจจะเสียก็ได้” เทาว่า
“เราต้องหาอะไรมาขวางไว้ ไม่งั้นคงขนของออกมาลำบากแน่” ชานยอลเสนอและทั้งสองหนุ่มก็เห็นด้วย แต่พอหันไปรอบ ๆ ตัวก็ไม่เห็นอะไรที่พอจะใช้ได้เลย
“รถยกของล่ะ ได้ไหม?”
“...”
ทั้งสามคนหันไปข้างหลัง จนถึงตอนนี้จงอินก็ยังทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่ต่อหน้าพวกเขา สายตาของผู้ชายคนนั้นกลอกไปมาไม่หยุดนิ่งมองที่ใครเลยสักคน อี้ฟานยิ้มบาง ๆ เขาเดินตรงมาทางนี้และพยักหน้าเรียกให้ทุกคนเดินตามไปที่รถยกของที่จอดทิ้งไว้
“ผมเอง” ชานยอลคว้าราวจับที่อยู่เหนือศีรษะก่อนจะเหยียบส่วนฐานเพื่อปีนขึ้นไปบนรถยกของ ร่างสูงหยัดตัวนั่งลงบนเบาะพลางก้มลงหากุญแจ และมันเป็นโชคดีของเขาจริง ๆ ที่มันยังเสียบคาไว้กับรถ
ครืด...ครืด...
เสียงนี้ไม่ใช่สัญญาณที่ดีสักเท่าไหร่ ทั้งสามหนุ่มมองอีกคนที่กำลังพยายามสตาร์ทรถยกของแต่ก็ไม่ได้ผล ชานยอลถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะผละตัวออกมา เขาหันไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังสุดซึ่งอี้ฟานกับเทาก็เข้าใจความหมายนั้นเป็นอย่างดี
“ถ้าหวังให้ฉันทำอะไรสักอย่างล่ะก็ลงมาเถอะ สิ่งที่ฉันทำได้ก็แค่ช่วยพวกนายเข็นมันไปหน้าประตู” จงอินพูดแค่นั้นแล้วเดินไปหยุดอยู่หลัง ในสถานการณ์แบบนี้เขาคงไม่มีอารมณ์คิดว่าจะซ่อมรถยกของยังไงแล้วปล่อยให้พวกมันทั้งสามคนยืนกดดันแน่ ๆ
อี้ฟานพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ชานยอลลงมา ทั้งสี่คนช่วยกันดันรถฝ่ากองหิมะไป แค่ตัวเครื่องก็หนักอยู่แล้วไหนจะต้องฝ่าอุปสรรคที่ธรรมชาติทิ้งไว้ให้อีก ถึงหิมะจะละลายไปบ้างแต่มันก็ยังหลงเหลืออยู่ เกือบห้านาทีเห็นจะได้ที่ทั้งสี่หนุ่มเข็นรถยกของมาจนถึงและอี้ฟานกับเทาก็เดินไปหยุดอยู่หน้าประตู
“เอาล่ะ ประตูมันหนักพอสมควรเพราะงั้นผมกับเทาคงยกมันไว้นาน ๆ ไม่ไหว พวกคุณต้องเร่งมือหน่อยนะ”
ทั้งสองหนุ่มพยักหน้า อี้ฟานหันไปทางเด็กตัวสูงแล้วขยับปากบอกจังหวะอย่างรู้กันก่อนจะออกแรงยกบานประตูเหล็กม้วนขึ้น ในทีแรกทั้งคู่ต้องหยุดตั้งหลักก่อนจะยกขึ้นอีกครั้ง ส่วนชานยอลกับจงอินก็ออกแรงดันรถยกของเข้ามา
ชายหนุ่มนิ่วหน้ากัดฟันแน่นออกแรงดันมันด้วยแรงทั้งหมดที่เขามี และคิดว่าปาร์คชานยอลก็เช่นกัน จากที่ดูภายนอกผู้ชายคนนี้คงไม่ใช่ลูกคนธรรมดาทั่วไปแน่ เขาสังเกตหลายครั้งแล้วว่าถ้าเป็นเรื่องต้องออกแรงอู๋อี้ฟานจะเรียกหวงจื่อเทาตลอดแทนที่จะเป็นผู้ชายคนนี้ทั้งที่ทั้งคู่ดูเหมือนว่าจะสนิทกันที่สุด
ชานยอลหอบหายใจ คิ้วหนาทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันกับความหนักหนาสาหัสของภาระตรงหน้า จะว่าไปแล้วก่อนที่โลกจะเปลี่ยนไปเขาก็แทบจะไม่เคยต้องออกแรงทำอะไรเลย ทุกเรื่องที่สามารถทำได้ก็มักจะมีคนคอยทำแทนอยู่เสมอแม้กระทั่งการขับรถไปบริษัท
เห็นทีว่าทั้งคู่ต้องเร่งมือหน่อยแล้ว เพราะจากสีหน้าของอี้ฟานและเทาในตอนนี้เริ่มจะแย่ลงเพราะความหนักของประตูเหล็กม้วนบานใหญ่ที่ต่างจากประตูทั่วไปตรงที่น้ำหนักของมันมากกว่าหลายเท่า แต่ไวเท่าความคิด หวงจื่อเทาหันเข้าไปในความมืดทางด้านในก่อนจะเบิกตาอย่างตกใจเมื่อเห็นผีดิบวิ่งมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
“เวรเอ้ย!!!” เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดแล้วถีบมันกลับเข้าไปข้างใน พอหันไปหาอู๋อี้ฟานก็ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าว่าเจ้าตัวจะรับตรงนี้ไว้และให้เด็กหนุ่มเข้าไปจัดการมัน
เทาชักมีดออกมาพร้อมกดเปิดไฟฉายที่ติดอยู่ตรงช่วงอก และภาพที่เห็นมันทำให้เขาเสียจังหวะไปหลายวินาทีกับคราบเลือดที่ยาวเป็นทางกับซากอาหารสำเร็จรูปที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นปะปนกับไส้เน่า ๆ ที่ส่งกลิ่นเหม็นหืนจนน่าคลื่นไส้ อีกทั้งสภาพซากศพมีชีวิตที่อยู่ข้างในและเขาก็ไม่ได้มีเวลามากพอที่จะนับว่าทั้งหมดมีกี่ตัว
“เร็วเข้าเทา!!!”
เสียงของอี้ฟานเรียกสติเด็กตัวสูงให้รีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ชานยอลเห็นท่าไม่ดีเลยวิ่งเข้าไปช่วยอี้ฟานอีกแรง ตอนนี้เหลือเพียงแค่คิมจงอินเท่านั้นที่เป็นความหวังของทุกคนในครั้งนี้ ชายหนุ่มสบถอย่างหัวเสีย เขาใช้ไหล่ข้างซ้ายพร้อมมือขวาดันรถเข้าไปทีละนิดเพราะไหล่อีกข้างยังคงเจ็บจากรอยช้ำอยู่
“เอาไงดีอี้ฟาน!!! ข้างในมีพวกมันเต็มไปหมดเลย!!!”
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้ใจของคิมจงอินเสียที่สุดในตอนนี้ก็คงเป็นเสียงของหวงจื่อเทาที่ประสานกับเสียงตัวกินเนื้อซึ่งอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก และที่ได้ฟังก็พอจะเดาออกว่าสิ่งที่ไอ้เด็กปากดีเจอมันคงมีมากกว่าหนึ่งตัว
จงอินผละออกมาหอบหายใจหนักเมื่อตอนนี้เขาได้เข็นรถยกของมาถึงที่หมายแล้ว ชานยอลกับอี้ฟานปล่อยมือออกแล้วเอาไฟฉายกระบอกเล็กออกมาไขว้กับมือข้างหนึ่งที่ถือปืนไว้มั่น
ร่างสูงเหนี่ยวไกนัดแรกเข้าเป้าอย่างแม่นยำในขณะที่ชานยอลเองก็เช่นกัน พวกเขาไม่คิดว่าข้างในจะมีผีดิบเยอะขนาดนี้ทั้งที่ตอนแรกก็ออกมาให้ฆ่าแค่ไม่กี่ตัว จงอินกำลังลนลาน เขาเดินไปทางซ้ายที ขวาทีจนกระทั่งมีผีดิบตัวหนึ่งกระโจนมาจากทางด้านข้างจนเขาล้มลงไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“...!!!”
จงอินเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นหน้าตัวกินเนื้อในระยะใกล้ขนาดนี้ ปากของมันอ้าออกกว้างจนสามารถเห็นเขี้ยวฟันได้ทั้งโพรงปาก น้ำลายเหนียวหนืดสีเข้มหยดลงมาจนรู้สึกขยะแขยง คงไม่ต้องพูดถึงกลิ่นที่ไม่ต่างจากศพเหม็นเน่าที่ลอยแตะจมูกทุกช่วงหายใจ
เขาเอามือดันช่วงคอของมันไว้แล้วเบือนหน้าหลบไปอีกทาง ให้ตายเถอะตอนนี้มีดของเขากระเด็นไปไกลมากจนเป็นเรื่องยากที่จะคลานไปเก็บมันมาจัดการไอ้เวรนี่ เสียงปืนเงียบลงแล้ว พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นผู้ชายสามคนนั้นกำลังยืนหอบหายใจอยู่
“กรรรรรรรรรรรรรรรซ์”
ปาร์คชานยอลเป็นคนแรกที่หันมาและตามด้วยอู๋อี้ฟาน ส่วนไอ้เด็กปากหมานั่นคงไม่ต้องพูดถึง แค่เศษเสี้ยววินาทีเดียวเองมั้งที่มันหันมาดูสภาพนาทีชีวิตของเขาก่อนจะหันกลับไปสำรวจข้างใน
“ช่วยด้วย!!!” หันไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นแต่ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะไม่กระตือรือร้นอยากเข้ามาช่วยเขาเลยสักนิด อีกทั้งยังส่องไฟฉายเข้าไปข้างในเพื่อสำรวจความปลอดภัยอีก
“พยายามหน่อยจงอิน คุณทำได้ดีกว่านั้น” ชานยอลเตะมีดพกที่อยู่ใกล้เท้าจนมันไถลเข้ามา ถึงจะกำลังโมโหสุด ๆ เพราะทั้งสามคนเพิกเฉยกับความตายที่อยู่ตรงหน้าเขา แต่คิมจงอินก็รีบคว้ามีดพกขึ้นมาแทงเข้าที่เบ้าตาผีดิบอย่างแรงจนมันแน่นิ่งไป
มือทั้งสองข้างกำลังสั่นแม้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะหยุดส่งเสียงไปแล้ว ชายหนุ่มผลักร่างไร้วิญญาณออกไปก่อนจะโกยอากาศเข้าปอด ปลอดภัยแล้ว...ปลอดภัยแล้ว...เขาได้แต่บอกกับตัวเองแบบนี้
นี่มันเรื่องบ้าชัด ๆ ชายหนุ่มอยากจะก่นด่าไอ้ชั่วที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ถ้าในอดีตคิมจงอินเคยเป็นคนมีความสามารถ และเชื่อว่าไอ้หมอนั่นมันคงไม่นอนสั่นเพราะความกลัวเหมือนเขาตอนนี้แน่
“ศพที่เราฆ่าไปน่าจะเป็นคนงานเกือบทั้งหมด พวกเขาคงขนเสบียงเข้ามาหลบในนี้ สังเกตได้จากซากอาหารสำเร็จรูป แต่ที่เชื้อแพร่ระบาดไม่น่าจะเป็นเพราะอดตาย” เสียงของอี้ฟานนั้นเขาได้ยินชัดเจนดี
“อาจมีคนแฝงตัวเข้ามาอยู่กับคนในกลุ่มแล้วไม่กล้าบอกใครว่าถูกกัดจนกระทั่งเจ้าตัวเปลี่ยน”
“อาจจะเป็นอย่างนั้น ผมว่าเรารีบเก็บของกันเถอะ”
“เดี๋ยวผมแยกไปทางขวา”
สิ้นสุดบทสนทนา จงอินมองไปยังมือที่กำลังยื่นลงมา พอเลื่อนระดับสายตาขึ้นไปก็เห็นใบหน้าของปาร์คชานยอลที่กำลังยิ้มเล็กน้อย เขาถอนหายใจอย่างหัวเสียก่อนจะคว้ามือนั้นไว้พร้อมออกแรงบีบก่อนจะลุกขึ้นยืน เขาเห็นว่าผู้ชายคนนั้นกำลังหัวเราะในลำคอเบา ๆ
“มันตลกมากเลยใช่ไหมที่ฉันเป็นแบบนี้”
“นิดนึงครับ ผมไม่ชินตอนที่เห็นคุณแบบนั้นน่ะ” ชานยอลว่าแล้วส่องไฟฉายเข้าไปในร้านและเขาก็เดินตามหลังไปติด ๆ “ผมไม่อยากให้คุณเครียดมากจนเกินไป เพราะไม่ว่าใครก็คงเป็นแบบนี้ทั้งนั้นตอนเริ่มสู้กับมันครั้งแรก”
“แต่ฉันไม่ได้สู้กับมันครั้งแรก”
“สำหรับคุณตอนนี้ก็ถือว่าเป็นครั้งแรก อย่ายึดติดกับคนเดิมมากนักเลยครับ มันจะทำให้คุณกดดันจนนึกอะไรไม่ออก” ชานยอลคว้าเอากระป๋องสเปรย์ที่เรียงกันอยู่บนชั้นวางของออกมาดูก่อนจะยัดใส่กระเป๋าเป้
ตอนนี้อี้ฟานกับเทาแยกกันไปคนละทางเพื่อหาของใช้จำเป็นนอกเหนือจากกระสอบทรายที่อยู่ข้างนอก เขาเห็นว่าหวงจื่อเทาถือถังสีออกไปวางไว้หน้าประตูก่อนจะกลับเข้ามาข้างในอีกครั้ง ถึงจะอยากรู้ว่ามันจะเอาสีไปทำห่าอะไรแต่การเปิดบทสนทนากับเด็กปากหมาก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ
กลิ่นเหม็นอับปะปนกับกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพ พอมองผ่านช่องว่างของชั้นวางของก็เห็นหวงจื่อเทากำลังยืนมองซากผีดิบสาวตัวหนึ่งที่คลานตะเกียกตะกายอยู่บนพื้น หากแต่เด็กคนนั้นกลับยืนนิ่ง ต่างจากเมื่อครู่ที่เข้าไปสู้กับพวกกินเนื้อโดยไม่เสียเวลาคิด
เด็กตัวสูงนั่งลงยอง ๆ แล้วกดหัวหญิงสาวเอาไว้ มือนั้นบีบแขนของหวงจื่อเทาไว้แน่นแต่เล็บของเธอก็ไม่สามารถทะลุเสื้อตัวหนาได้ เด็กหนุ่มหลุบตาลงแล้วแทงมีดเข้าไปกลางขมับเธอในครั้งเดียว มือที่เคยบีบแขนนั้นค่อย ๆ คลายออกก่อนจะปล่อยลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เด็กตัวสูงถอนหายใจแล้วลุกขึ้นยืน
“คิดซะว่ากลับไปวิ่งตรงจุดเริ่มต้นใหม่” จงอินหลุดออกจากความคิดแล้วหันมาสนใจกับคำพูดของปาร์คชานยอลอีกครั้ง
“พูดน่ะมันง่าย”
“ครับ ผมคิดว่าคนอย่างคิมจงอินคงไม่ชอบทำอะไรให้มันยาก” ชานยอลหันมายิ้มแล้วส่องไฟฉายไปตามชั้นวางที่มีท่อพีวีซีสีฟ้าหลายขนาดซ้อนทับกันอยู่ “คุณอาจจำไม่ได้ว่าเคยทำอะไรไปบ้าง แต่พอกลับมาทำมันอีกซ้ำๆ เดี๋ยวก็คงชินไปเอง อย่างตอนที่คุณฆ่ามันเมื่อกี้”
“ยังไง?” ได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เขาเริ่มจะเชื่อไอ้ลู่หานแล้วว่าผู้ชายคนนี้มันชอบพูดจาหล่อ ๆ ให้งงอยู่เรื่อย
“ตอนแรกคุณอาจจะยังสับสน แต่พอถึงเวลาคับขันจริง ๆ คุณก็จัดการมันได้ในครั้งเดียว” ร่างสูงพูดในท่าทีสบาย ๆ ในขณะที่จงอินกำลังกวาดสายตาไปรอบ ๆ ความมืดอย่างหวาดระแวง ถึงเพื่อนร่วมทางทั้งสามจะเดินทอดน่องอย่างสบายใจแล้วแต่เขาก็ยังกลัวอยู่ดี
“ทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้น? เป็นหมอหรือไง?”
“เปล่าครับ ผมแค่แนะนำในสิ่งที่ผมคิด ส่วนจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันก็อยู่ที่คุณแล้ว” บทสนทนาระหว่างสองหนุ่มนั้นอี้ฟานกับเทาได้ยินชัดเจนดี แต่ทั้งคู่ก็เลือกที่จะฟังต่อไปโดยที่ไม่แทรกขึ้นมา
“แล้วถ้าฉันจำไม่ได้เลยล่ะ?”
“ไม่ตลอดชีวิตหรอกครับจงอิน” ชานยอลเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่งแล้วหันกลับมามองหน้าอีกฝ่าย “เดี๋ยวพอถึงเวลาคุณก็จะรู้เองว่าคิมจงอินคนเดิมเป็นยังไง”
เด็กหนุ่มพับขากางเกงขึ้นอีกครั้งหลังจากมันร่นลงมากองอยู่ที่ข้อเท้าอีกแล้ว แม้ว่าจะซักผ้าปูที่นอนด้วยน้ำอุ่นแต่การที่ต้องเหยียบผ้าด้วยเท้าเปล่าในฤดูหนาวมันก็ทำให้สะท้านไปทั้งร่างได้เหมือนกัน
เซฮุนเงยหน้าขึ้น เขาพ่นไอร้อนจากริมฝีปากรดฝ่ามือทั้งสองข้างพร้อมเหยียบผ้าปูที่นอนในกะละมังต่อไป เบื้องหน้าคือแม่น้ำและฝั่งตรงข้ามเป็นป่าทึบที่เคยถูกปกคลุมด้วยหิมะแต่ตอนนี้มีสีเขียวของใบไม้ที่ตกแต่งให้ภาพตรงหน้าดูมีสีสันมากขึ้นหลังจากหิมะค่อย ๆ ละลายไปตามกาลเวลา
อยากเอาผ้าห่มกับผ้าปูที่นอนของจงอินมาซักให้แต่เกรงว่ามันคงจะไม่ดีสักเท่าไหร่ถ้าความช่วยเหลือของเขามันกลายเป็นการล้ำเส้น เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกแล้วเพียงแค่นึกถึงคนที่เขารัก ทั้งที่เป็นห่วงจนห้ามชานยอลว่าอย่าพาจงอินไปด้วยเลยเพราะผู้ชายคนนั้นคงสู้ไม่ไหวถ้าพวกมันมากันหลายตัว แต่ร่างสูงก็แค่ยิ้มแล้วเดินไปขึ้นรถโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ
“เซฮุน?”
“...”
เจ้าของชื่อหันไปตามต้นเสียง แล้วก็เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของหญิงสาวหลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ได้ทักผิดคน เซฮุนหยุดฝีเท้าที่เคยย่ำผ้าลงเมื่อจองซูยอนเดินเข้ามาใกล้พร้อมผ้าขนหนูและเสื้อผ้าที่พาดอยู่ช่วงแขน แต่อยู่ ๆ เธอก็ถอยออกแล้วยิ้มอย่างขลาดอาย
“ขอโทษนะ เหม็นหรือเปล่า?”
“น้ำปลาเหรอครับ?” พูดจบหญิงสาวก็หัวเราะก่อนจะพยักหน้าเร็ว ๆ เธอยกมือขึ้นเกาหัวแล้วยิ้มเจื่อน
“เมื่อกี้เข้าไปช่วยพี่กาฮีทำมื้อเย็นจนซุ่มซ่ามทำน้ำปลาหกใส่เสื้อน่ะ” เธอดมมือตัวเองแล้วก็เบ้หน้า กลิ่นของมันคงติดไปอีกนานถ้าเกิดว่าเธอไม่อาบน้ำ “เจอนายก็ดีเหมือนกัน พี่จะได้ถามว่าห้องอาบน้ำมันอยู่ตรงไหนเหรอ?” เธอถามพลางหันซ้ายขวาและก็ได้คำตอบพร้อมนิ้วเรียวยาวที่ชี้ไปข้างหลัง
“ตรงนั้นน่ะครับ ถ้าพี่จะอาบน้ำเดี๋ยวผมจะต้มน้ำร้อนให้” เด็กหนุ่มว่าแล้วก้าวขาออกมาจากกะละมัง ซูยอนถอยห่างออกมาเพื่อให้คนตรงหน้าจัดแจงทุกอย่างให้ ซึ่งเธอคงไม่ต้องทนเหม็นกลิ่นน้ำปลานานเพราะกองไฟที่เขาเคยก่อไว้ก่อนหน้านี้ยังไม่ดับ เหลือแค่ใส่ฟืนไปอีกสักสองสามท่อนก็คงตั้งหม้อน้ำได้แล้ว
เซฮุนสวมรองเท้าแตะ และดูเหมือนว่าเขาคงหนาวมากเพราะริมฝีปากนั้นเอาแต่พ่นควันออกมานับครั้งไม่ถ้วน ซูยอนเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามคนตัวสูงแล้วยกมือขึ้นอังกองไฟ
“ขอโทษนะเซฮุน” เธอพูดโดยที่ไม่มองเด็กตัวสูงที่กำลังเดินไปตักน้ำจากริมธาร
“เรื่องอะไรเหรอครับ?”
“พี่ไม่รู้ว่าห้องนั้นมันเป็นของนาย” เธอถอนหายใจแล้วเอาคางเกยกับหัวเข่าอย่างรู้สึกผิด พอเห็นอย่างนั้นเด็กหนุ่มเลยยกมือขึ้นปฏิเสธพัลวัล
“มันไม่ใช่ความผิดของพี่หรอกครับ อย่าคิดมากเลย”
“พอมาอยู่ที่นี่แล้วพี่ทำตัวไม่ถูกจริง ๆ นะ มันอาจจะดีกว่านี้ก็ได้ถ้าให้จงอินกลับมากับนายแค่สองคน”
“พี่คิดมากเกินไปแล้ว”
“ถ้าไม่คิดอะไรเลยน่ะสิแปลก” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่กำลังยิ้มบาง ๆ ขณะมองกองไฟที่กำลังปะทุอย่างต่อเนื่อง “พี่กลัวไปหมดเลยนายรู้ไหม”
“...”
“พี่เคยอยู่เป็นกลุ่มแบบนี้เหมือนกัน ในทีแรกมันก็ดีไปหมดจนคิดว่าคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านั้นอีกแล้ว และหวังว่าทุกอย่างคงกลับไปเป็นเหมือนเดิมในเร็ววัน แต่พี่คิดผิด” เธอหัวเราะเบา ๆ “มันเป็นแค่ความคิดของผู้หญิงโลกสวยที่กำลังหมดหวังคนนึงซึ่งไม่เคยเจอเรื่องราวร้าย ๆ มาก่อนจนกระทั่งวันหนึ่งพี่ก็ได้รู้ความจริงว่าโลกนี้มันโสมมสุด ๆ”
“...”
“คนที่เคยหนีตายมาด้วยกันก็แสดงความเห็นแก่ตัวออกมาทีละนิด พวกเขาไม่รู้จักคำว่าครอบครัวอีกต่อไป และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมพี่กับยูริถึงได้อยู่กันแค่สองคน” สีหน้าของจองซูยอนนั้นเรียบเฉย ถึงจะเพิ่งรู้จักกันได้แค่ไม่กี่วันแต่โอเซฮุนก็พอจะเดาออกว่าเธอคงฝังใจกับเรื่องที่กำลังพูดถึงอยู่พอสมควร
“พี่เลยกลัวการมีครอบครัวใหม่ใช่ไหมครับ” ซูยอนไม่ได้ตอบคำถาม เธอเพียงแค่เขี่ยท่อนไม้ให้เข้าไปในกองไฟเท่านั้น “ผมไม่รู้จะพูดยังไงพี่ถึงจะสบายใจขึ้น แต่ถ้าพี่อยากระบายล่ะก็ ผมยังซักผ้าอยู่ตรงนี้อีกนานนะครับ”
“...”
“อ่า...งั้นผมจะลงมาอีกทีตอนที่พี่อาบน้ำเสร็จแล้ว” อาจเป็นเพราะอยู่กับผู้ชายนานเกินไปโอเซฮุนถึงได้ลืมนึกว่าคนตรงหน้าเป็นผู้หญิง และการที่เขาซักผ้าอยู่ใกล้ ๆ ห้องอาบน้ำมันก็คงน่าเกลียดเกินไป
“ไม่หรอก นายซักต่อไปเถอะ น้ำเดือดแล้วมั้ง ช่วยพี่ยกไปหน่อยได้ไหม?” เธอยิ้มฝืนแล้วลุกขึ้นยืน เซฮุนได้ยินอย่างนั้นก็เดินไปหยิบเสื้อที่อยู่ในตะกร้ามาจับหูหม้อเอาไว้ก่อนจะตรงไปยังห้องอาบน้ำ
“จากมุมนั้นมองไม่เห็นห้องอาบน้ำแน่นอน ผมจะยืนหันหลังด้วยพี่จะได้สบายใจ” เด็กหนุ่มพูดพร้อมเทน้ำร้อนลงไปในถัง ซูยอนไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เธอเพียงแค่ยืนลูบต้นแขนและปล่อยให้เซฮุนไปตักน้ำเย็นจากแม่น้ำมาผสมให้มันอุ่นในระดับพอดี “ผมว่าใช้ได้แล้วล่ะ แต่ถ้ามันยังร้อนอยู่พี่ก็เทน้ำเพิ่มได้นะ ผมจะวางถังไว้ตรงนี้”
“ขอบใจมากนะ”
“ไม่เป็นไรครับ” เจ้าของชื่อยิ้มบาง ๆ แล้วเดินกลับไปซักผ้าเหมือนเดิม หญิงสาวจับราวไม้เอาไว้แล้วขึ้นไปในห้องอาบน้ำที่ค่อนข้างแปลกตา
ซูยอนถอดเสื้อผ้าออกแล้วจุ่มนิ้วชี้ลงไป เธอไม่เสียเวลาทนยืนหนาวนานไปกว่านั้นก็เข้าไปแช่ในถังใหญ่พร้อมหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้แช่น้ำอย่างสบายใจแบบนี้
จมอยู่กับความคิดอยู่นานแล้วก็นึกได้ว่ามันคงไม่ดีแน่ถ้าเธอจะอยู่ตามลำพังต่อไปให้ความฟุ้งซ่านเล่นงาน จองซูยอนคว้าเอาผ้าเช็ดตัวมาห่อร่างกายเอาไว้และจัดแจงใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ในเวลาถัดมา แต่ยังไม่ทันเดินลงจากห้องอาบน้ำก็ต้องหยุดฝีเท้าเมื่อหันไปเห็นเด็กหนุ่มที่เคยยืนอยู่บนกะละมังกำลังนั่งก้มหน้านิ่ง ๆ โดยไม่ขยับไปไหน
“เซฮุน?”
“...” เจ้าของชื่อไม่ได้หันหน้ามา เด็กหนุ่มเพียงแค่ยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่าได้ยินแล้ว จองซูยอนขมวดคิ้วพร้อมหอบเสื้อผ้าไว้แนบอกก่อนจะเดินไปหาเด็กตัวสูงที่ยังคงไม่ขยับตัวไปไหน
“เป็นอะไรหรือเปล่า? พระเจ้า...” หญิงสาวเบิกตาอย่างตกใจทันทีที่เห็นเลือดสีสดหยดลงบนหิมะเป็นต่างดวง พอนั่งลงยอง ๆ ก็พบว่าทั้งมือและจมูกของเด็กคนนี้ก็เต็มไปด้วยเลือดเช่นกัน เซฮุนกำลังทำตัวไม่ถูก เขาไม่ได้อยากให้จองซูยอนหรือคนอื่นมาเห็นเขาในสภาพแบบนี้
“อย่าเงยหน้าขึ้น บีบจมูกไว้แล้วหายใจทางปากนะ” หญิงสาวบีบปลายจมูกอีกคนเพื่อบอกให้ทำตามก่อนที่เธอจะรีบก้มลงโกยหิมะมากำไว้แน่น ๆ แล้วห่อด้วยเสื้อกล้ามที่เธอเคยสวมก่อนจะทาบลงที่จมูกและแก้มของเด็กตัวสูงในเวลาถัดมา “ขอโทษนะ”
“...”
เซฮุนไม่ได้ถือสาที่คนตรงหน้าเอาเสื้อของเธอมาทำแบบนี้ กลับกันแล้วเขานั้นรู้สึกเกรงใจเสียอีก มือเรียวเล็กวางบนหลังเด็กตัวสูงพร้อมกดลงเป็นเชิงบอกให้เขายืดหลังให้ตรง เซฮุนค่อย ๆ หลับตาเมื่อความเย็นของหิมะผ่านเสื้อกล้ามค่อย ๆ ซึมเข้ากลางหน้าผากของเขา เด็กหนุ่มรู้สึกเพลียหลังจากเสียเลือดในครั้งนี้ ถึงมันจะไม่มากเท่าไหร่แต่ก็ทำให้เสื้อสีครีมที่สวมอยู่เลอะเป็นวงกว้างเหมือนกัน
“อดทนอีกนิดนึงนะ เดี๋ยวเลือดก็หยุดแล้ว”
หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการยกกระสอบทรายไปขวางประตูทางเข้าอุทยานคิมจงอินก็อยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียวเพื่อใช้ความคิด คำพูดของปาร์คชานยอลยังคงวนเวียนอยู่ในหัวไม่ไปไหน การที่เขาจัดการตัวกินเนื้อได้ในครั้งเดียวโดยไม่รู้ตัวเพียงแค่มีมีดอยู่ในมือมันก็เป็นเรื่องน่าทึ่งเหมือนกัน
อู๋อี้ฟานบอกว่ามีเวลาว่างอีกแค่ครึ่งชั่วโมงก่อนถึงมื้อเย็น และผู้ชายคนนั้นก็ย้ำอีกว่าอยากให้ไปกินพร้อมหน้าพร้อมตากันแทนที่ใครสักคนจะขังตัวเองอยู่ในห้อง ซึ่งเขาก็แค่พยักหน้าตกลงก่อนจะเดินกลับไปบังกะโล
แต่ระหว่างทางก็ต้องหยุดฝีเท้าแล้วฉีกตัวไปหลบหลังพุ่มไม้เมื่อเห็นจองซูยอนเดินออกมาจากบังกะโลของเซฮุน หญิงสาวกอดผ้าขนหนูไว้แนบอกแล้วเดินขึ้นไปอย่างไม่เร่งรีบ และมันทำให้เกิดคำถามว่ายัยนั่นเข้าไปทำอะไร?
‘ผมรู้ว่ามันยากที่จะทำแบบนั้น แต่จนกว่าคุณจะจำทุกอย่างได้...อย่ารู้สึกกับเธอมากไปกว่านี้ได้ไหม’
หลังจากซูยอนเดินหายลับสายตาไปแล้วชายหนุ่มก็ตรงไปยังบังกะโลที่เธอเพิ่งเดินออกมา เพราะประโยคที่โอเซฮุนเคยพูดมันทำให้เขากำลังคิดไปเองต่าง ๆ นานาว่าเด็กนั่นหมายความว่ายังไงกันแน่? คงไม่ใช่เพราะชอบจองซูยอนเหมือนกันหรอกใช่ไหมถึงได้พูดแบบนั้นออกมา ทั้งที่ตอนแรกก็เผลอคิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าบางทีโอเซฮุนอาจจะ...
อาจจะ...โถ่เว้ย!!!
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปทุกอย่างก็หยุดการเคลื่อนไหวเมื่อเห็นเด็กตัวสูงเปลือยท่อนบนและค้างอยู่ในท่ากึ่งจะใส่เสื้อหรือถอดเสื้อก็ไม่รู้ นัยน์ตาคมมองไปยังผิวขาวของคนตรงหน้า เขาเห็นว่าโอเซฮุนก็กำลังมองมาทางนี้เช่นกัน
หลุบสายตาลงมองเสื้อกล้ามสีเทาของผู้หญิงที่กองอยู่บนที่นอน จองซูยอนมีเสื้อผ้าอยู่แค่ไม่กี่ชุดแถมยังสลับใส่กับควอนยูริเป็นว่าเล่น ซึ่งเขาจำได้เป็นอย่างดีว่ามันเป็นของเธอแน่ ๆ เซฮุนหลุบตามองเสื้อตัวนั้นแค่ครู่เดียวก็ถอนหายใจก่อนจะหันหน้ามาทางนี้
“กำลังคิดเรื่องไม่ดีอยู่สินะครับ”
“อะไร”
“อยู่ ๆ คุณก็เปิดประตูเข้ามาทั้งที่จะเคาะประตูก่อนก็ได้ ไหนจะสีหน้าตอนนี้อีก” เด็กหนุ่มพูดเสียงเรียบ และมันทำให้คนที่ถูกจับทางได้ถึงกับเสียฟอร์ม จงอินเบือนหน้าหนีก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหันกลับไปทางเด็กหนุ่มอีกครั้ง “ถ้าคุณฉลาดก็คงรู้ว่าผมกำลังถอดเสื้อ ไม่ใช่ใส่เข้าไป”
“ฉันพูดอะไรหรือยัง? ห้ะโอเซฮุน หาเรื่องเหรอ?” เอาอีกแล้ว ครั้งที่ร้อยแล้วมั้งที่คิมจงอินอยากชกปากตัวเองเพราะเผลอพูดโง่ ๆ ออกไป ซึ่งถ้าเขาเป็นโอเซฮุนก็คงโมโหแล้วเดินเข้ามาต่อยสักหมัด ซึ่งอันที่จริงเขาทั้งสองคนก็น่าจะคุยกันดี ๆ ได้เหมือนวันแรกที่เด็กนั่นพยายามชวนเขาคุยทุกวิถีทาง
“ผมแค่อยากให้คุณคิดตามก่อนจะเข้าใจผมผิด”
“เข้าใจว่าอะไร”
“ก็ที่คุณเข้ามาในนี้ด้วยสีหน้าแบบนั้นหลังจากคุณซูยอนเดินออกไปไม่นาน มันคิดเป็นอย่างอื่นได้ด้วยเหรอครับว่าคุณกำลังหึงเธอ”
น่าหงุดหงิด...ทำไมโอเซฮุนถึงไม่ยอมหันมามองหน้าเขาเลยสักนิดตอนที่กำลังพูดจายั่วโมโหกันแบบนั้น
“อยากอธิบายไหมล่ะ”
“ไม่อยากครับ” พูดจบก็โยนเสื้อใส่ตะกร้าผ้าแล้วสวมตัวใหม่เข้าไป จงอินถอนหายใจเบา ๆ พลางมองไปยังเสื้อตัวเมื่อกี้ที่พาดอยู่ปากตะกร้าก่อนจะขมวดคิ้วกับความผิดปกติบางอย่าง
“อีกแล้วเหรอ?” เด็กหนุ่มหันหลังไปตามเสียงก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อพบว่าตอนนี้จงอินยืนอยู่ตรงหน้าเขาในระยะประชิดแล้ว เซฮุนแทบจะล้มลงไปนั่งกับเตียงแต่ดีที่ผู้ชายคนนี้คว้าแขนเขาไว้ได้ทัน “ไหนเงยหน้าขึ้นซิ” จงอินจับคางมนให้เงยขึ้นแต่คนตรงหน้าก็เอาแต่เบี่ยงหลบมือหนาจนเขาหงุดหงิด
“ผมไม่เป็นไรครับ”
“โอเซฮุน”
“ผมหายแล้ว” ไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กอวดดีกำลังทำหน้าแบบไหนเพราะเจ้าตัวเอาแต่ก้มหน้าพูดกับเขา พอมายืนตรงนี้แล้วถึงได้เห็นว่าเสื้อกล้ามสีเทาที่กองอยู่บนที่นอนก็มีคราบเลือดติดอยู่เล็กน้อย ถึงจะสงสัยว่าทั้งสองคนอยู่ด้วยกันได้ยังไง แต่จุดประสงค์หลักก็คงไม่พ้นช่วยห้ามเลือดให้ล่ะมั้ง
“เมื่อวานทำไมไม่ออกมากินข้าว”
“ผมง่วงน่ะครับ นอนยาวจนถึงเช้าเลย”
“เหรอ” เขาไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี ตอนนี้ทั้งเขาและเซฮุนต่างก็มองไปอีกทางทั้งที่อีกคนยืนอยู่ตรงหน้า มือหนาที่วางอยู่ข้างตัวเหมือนจะอยู่ไม่สุข เขารู้สึกอยากยกมันขึ้นมาทาบแก้มขาวแล้วเชยขึ้นมาให้สบตากัน หรือไม่ก็จับต้องร่างผอมบางตรงหน้าเพื่อให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง
ให้ตายเถอะ...ความรู้สึกนี้มันกลับมาอีกแล้วสิ ไอ้ความรู้สึกที่มีแค่ตอนอยู่กับโอเซฮุนเท่านั้นน่ะ
“วันนี้เป็นยังไงบ้าง ตอนที่ออกไปร้านอุปกรณ์กับพวกคุณอี้ฟานน่ะ”
“ก็ดี ฉันฆ่ามันได้อีกตั้งตัวนึง”
“เก่งจังเลยครับ”
“อย่ามาทำเป็นพูดดี ฉันเกือบถูกมันกัดตายด้วยซ้ำ แต่คนพวกนั้นเลือกที่จะยืนมองเฉย ๆ แล้วปล่อยให้ฉันสู้กับมันเหมือนนายตอนนั้นไม่มีผิด”
“พวกเขาแค่อยากให้คุณหัดสู้กับมัน คุณโกรธเหรอ”
“เปล่า” จงอินถอนหายใจ
“ต่อให้คุณยังจำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าฝึกสู้กับพวกมันอีกหน่อยก็คงชิน”
“เหรอ เวลาพูดหัดมองหน้าคนฟังบ้างสิ”
“...”
“เร็วเข้า” ประโยคนี้ไม่ได้ขึ้นเสียงเหมือนอย่างเคย คิมจงอินเพียงแค่จ้องเส้นผมสีเข้มที่อยู่ตรงหน้าแล้วลุ้นว่าโอเซฮุนจะทำตามคำพูดของเขาไหม
เด็กหนุ่มเลียริมฝีปาก เสียงของจงอินประโยคเมื่อครู่มันทำให้เขาใจเต้นแรงอีกแล้ว ผู้ชายคนนี้กำลังทำให้ความพยายามของเขาล้มเหลว ทั้งที่หลีกเลี่ยงการเจอหน้า พูดคุย แต่ดูเหมือนว่าจงอินจะยิ่งเข้าใกล้เขามากกว่าเดิมเสียอีก
ถ้ามาด้วยความรู้สึกที่พิเศษกว่าใครมันก็คงดีสินะ...
“...”
“...”
“ล้างหน้าหน่อยไหม” เพิ่งรู้ตัวว่ามือของเขาสัมผัสกับแก้มขาวก็ตอนที่เซฮุนสะดุ้งเล็กน้อย จงอินรีบชักมือกลับแล้วหันไปทางอื่นก่อนจะเสยผมขึ้น เมื่อกี้เขาเห็นว่าหน้าของเด็กคนนี้ยังมีคราบเลือดติดอยู่ก็เลย...
ทำไมมือมันถึงไปไวกว่าความรู้สึกวะ?
“โทษที”
“ไม่เป็นไรครับ”
อึดอัด...บรรยากาศที่โรยตัวอยู่โดยรอบทำไมถึงแย่แบบนี้? ถึงปากจะบอกว่าไม่ ถึงใจจะไม่อยากยอมรับ แต่สุดท้ายคิมจงอินก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาอยากอยู่ใกล้โอเซฮุนมากขึ้นกว่าที่เคย ทั้งที่พยายามบอกตัวเองแล้วว่ายังไงก็ไม่ใช่และคงไม่มีวันใช่ แต่พอได้คุยกับไอ้ลู่หาน พอได้มีเวลาทบทวนความคิด...
เขาก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้มันมีอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่น
“เมื่อคืนคุณหลับสบายไหม”
“ไม่เลย เสียงแมลงในป่าหวีดทั้งคืนจนน่ารำคาญ แล้วนายล่ะ?”
“ผมเหรอ” เซฮุนนิ่งไปราวกับว่าต้องใช้ความคิดกับคำตอบนี้ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายที่กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน
อย่าเพิ่งหลบตาไปไหนนะจงอิน...ช่วยทนมองหน้าผมอีกสักหน่อย
ผมจะได้ไม่ต้องพยายามอยู่ห่าง ๆ แบบนี้อีกถ้าคุณจำผมได้แล้ว
“ผม...นอนไม่หลับเลยครับจงอิน” ชายหนุ่มไม่ได้พูดกวนประสาทกลับมา ทั้งคู่ยังคงสบตากันอยู่อย่างนั้นราวกับจะให้สายตาสื่อสารแทนคำพูด
“แต่นายบอกว่าหลับจนถึงเช้าไม่ใช่หรือไง”
“ผมโกหกน่ะ...”
“เป็นคนแบบนี้เหรอ” พอเห็นว่าอีกคนกำลังหงอย มือมันก็ยกขึ้นมาวางลงบนศีรษะทุยโดยอัตโนมัติ จงอินไม่ได้ลูบหัวคนตรงหน้า เขาเพียงแค่เกร็งมือไว้โดยที่ไม่กล้าขยับมันไปไหน
เซฮุนปิดเปลือกตาลงพลางกำมือแน่นกับสัมผัสที่ได้รับ ตอนนี้เด็กหนุ่มไม่สามารถแยกอารมณ์ได้เลยว่าเขากำลังรู้สึกยังไงอยู่ จงอินกำลังอ่อนโยนกับเขางั้นเหรอ ฝันไปหรือเปล่านะโอเซฮุน
“ถ้ากลัวผีก็บอกสิจะได้มานอนเป็นเพื่อน”
“...”
“ว่าไงเด็กโข่ง” จงอินก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อมองว่าอีกคนกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ “ถ้าตกลงให้พยักหน้า...โอเคไหม?”
ไม่มีการตอบรับจากโอเซฮุน ไม่ว่าจะจากเสียงพูดหรือท่าทางการแสดงออก และมันทำให้คนฟอร์มจัดถึงกับหน้าเสียไปเล็กน้อย โอเค บางทีไอ้เด็กนี่อาจจะรำคาญเต็มทนแล้วก็ได้ เพราะงั้นเขาควรจะพูดอะไรสักอย่างแล้วเดินออกไปจากบังกะโลเลยดีไหม แต่ความคิดทุกอย่างก็หยุดลงแค่นั้น...
เมื่อเซฮุนเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา...แล้วพยักหน้ารับอย่างช้า ๆ
TBC
“คิมจงอิน คนอย่างมึงต้องตายเพราะความน่ารักของโอเซฮุนกูบอกแค่นี้” – จากซอมบี้ที่ถูกมันฆ่าตายในร้านวัสดุอุปกรณ์
ความคิดเห็น