คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #85 : Chapter 80 :: Smell Of Blood
Chapter 80
Smell Of Blood
ขายาววิ่งเข้าไปในป่าโดยไม่คิดจะหยุดดูลาดเลา เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะหันไปมองรอบข้างว่าจะมีสัตว์ร้ายออกมาทำร้ายเขาหรือเปล่าหลังจากวิ่งเข้ามาลึกมากเกินความจำเป็น
เสียงปืนดังอีกแล้ว...เขาได้ยินว่ามันดังมาจากปากทางเข้าอุทยานฝั่งที่เคยพังประตูเข้ามา หวงจื่อเทาถอดแมกกาซีนออกมาเช็คดูกระสุนและมันก็มีมากพอที่จะจัดการผู้บุกรุกได้ถึงสิบห้าคนหากเล็งเข้าที่หัว บรรยากาศรอบข้างเย็นยะเยือกแต่มันไม่สามารถทำให้เด็กหนุ่มที่กำลังอยู่ในอารมณ์โทสะเย็นลงได้เลย
ท้องฟ้ามืดลงเรื่อย ๆ มีเพียงแค่แสงดวงจันทร์ที่ให้ความสว่างช่วยกระบอกไฟฉายโง่ ๆ ในมือของเขา เด็กหนุ่มลดฝีเท้าพร้อมปิดไฟฉายลงเมื่อได้ยินเสียงกิ่งก้านใบไม้เคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่าหรือมนุษย์ด้วยกันก็ต้องระวังตัวไว้ก่อน เทายืนหอบหายใจหลบอยู่หลังต้นไม้แล้วโผล่หน้าออกไปสังเกตการณ์เล็กน้อย ให้ความเงียบทำงานอยู่ไม่กี่วินาทีก็ได้ยินเสียงกวาง มันกำลังโอดครวญอย่างทรมานแต่เด็กหนุ่มไม่สามารถรู้ได้ว่ามันอยู่ส่วนไหนของความมืด สิ่งที่มองเห็นได้ในตอนนี้เพราะแสงจากดวงจันทร์สาดส่องลงมาก็มีเพียงแค่ใบไม้ที่มีหิมะเกาะอยู่เท่านั้น
มันเป็นเรื่องยากกับการหาศัตรูในป่ายามค่ำคืน ที่สำคัญคือหวงจื่อเทาไม่รู้ว่าพวกมันมากันกี่คน เด็กหนุ่มปัดจมูกเบา ๆ ขณะเพ่งมองไปยังความมืดก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากับเงาที่วิ่งผ่านไป
“รีบไป”
“แล้วพี่ชายฉันล่ะ?”
“เขาถูกลิงกัด ตอนนี้อยู่ตรงหน้าทางเข้า”
“แต่เราฆ่ามันหมดแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ แต่พี่แกถูกกัดก่อนที่พวกเราจะฆ่าพวกมันหมดไง รีบตามไปล่ะ ไอ้พวกที่อยู่ข้างนอกคงสาหัสเจียนตายแล้ว” เด็กหนุ่มกระชับปืนไว้มั่นหลังจากชายหนุ่มคนนั้นเดินไป สายตายังคงมองไปยังเงาดำของชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขากัดฟันกรอดแล้วเล็งเป้าไปข้างหน้าพร้อมเหนี่ยวไก
ปัง!!
“อ๊ากกก!!!”
ร่างเจ้าของเงาดำทรุดลงไปกับกองหิมะหลังจากถูกยิงเข้าที่ช่วงคออย่างจัง มือหยาบกร้านที่สวมถุงมือไหมพรมสีเข้มกดช่วงแผลไว้ นัยน์ตาเบิกโพลงกับความเจ็บปวดที่แล่นปราดไปทั่วร่างกาย ระบบหายใจของเขากำลังติดขัดเข้าไปทุกที ๆ ริมฝีปากอ้ากว้าง เสียงร้องขอความช่วยเหลือนั้นกระท่อนกระแท่นก่อนที่ลมหายใจจะหมดลง
“ใครถูกยิง?!!”
“ฉันไม่รู้!!!”
จื่อเทาหายใจเข้าลึก ๆ เขาไม่ได้หันไปมองว่าร่างนั้นเป็นยังไงบ้าง สิ่งแรกที่ผุดเข้ามาในหัวนั้นไม่ใช่ความสงสาร แต่มันคือความหงุดหงิดที่เล็งพลาดไม่โดนหัว เด็กหนุ่มเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วโผล่หน้าออกไปเล็กน้อย
พวกมันกำลังแตกตื่น ส่งเสียงโหวกเหวกหาต้นเหตุของเสียงปืนกันให้ควั่ก นัยน์ตาเรียวมองไปยังพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก เขาเห็นว่าขาที่โผล่พ้นออกมานั้นแน่นิ่งไปแล้วหลังจากตะเกียกตะกายเพราะความเจ็บปวดอยู่พักนึง
ในหัวของหวงจื่อเทามีคำถามว่าเขาควรจะเข้าไปยิงซ้ำที่หัวหรือจะเลี้ยงไข้เอาไว้รอให้มันฟื้นขึ้นมาสร้างความปั่นป่วนให้กับไอ้เวรตะไลที่เหลือดี? แต่พอนึกได้ว่ามันคงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ถ้าพวกมันถูกกัดตายแล้วแพร่กระจายไปกัดสัตว์ตัวอื่น ๆ ในอุทยาน
“หาตัวมันให้เจอ!!!”
“ระวังตัวด้วย!!!”
แสงจากไฟฉายส่ายไปมั่วซั่ว ท่ามกลางเสียงความวุ่นวายนั้นเขาได้ยินแว่วมาว่าพวกมันกำลังแบ่งคนให้เอากวางกลับไปที่รถ แล้วเกณฑ์คนที่เหลือไว้ไล่ล่าเจ้าของเสียงปืนเมื่อครู่นี้ซึ่งก็คือตัวเขา เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะ เขาสาบานกับตัวเองว่าจะต้องฆ่าไอ้พวกระยำที่ยิงจงแดให้ครบทุกคน ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์เอาสัตว์จากอุทยานไปเป็นอาหารทั้งนั้น
แกร่บ...แกร่บ...
รองเท้าบูทหนังเหยียบกิ่งไม้ที่โผล่พ้นออกมาจากหิมะมาพร้อมความกดดัน เขาต้องรีบจัดการไอ้ชั่วคนแรกให้ลงไปนรกก่อนแล้วค่อยส่งคนที่เหลือตามไป หวงจื่อเทารู้ตัวว่าเขาไม่ได้เก่งกาจขนาดที่จะสู้กับคนหมู่มากได้ทั้งหมดโดยเฉพาะในความมืด แต่ด้วยความโทสะที่กำลังปะทุนั่นแหละที่เป็นแรงผลักดันให้เขากล้าเสี่ยงตายได้ถึงขนาดนี้
มือข้างที่ถือปืนไขว้กับมืออีกข้าง เด็กหนุ่มกดกระบอกไฟฉายลงเพื่อให้แสงไฟส่องอยู่แค่ร่างไร้วิญญาณหลังพุ่มไม้ แต่ยังไม่ทันเห็นสภาพศพก็ต้องเล็งปืนไปข้างหน้าเพราะได้ยินเสียงกุกกักมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ เทากลอกตาไปทางด้านข้างสังเกตการณ์ว่ามีใครเข้ามาสมทบหรือเปล่า มันคงไม่ดีแน่ถ้าเขาถูกล้อมจากทุกทิศทาง
“นั่นใคร?” เสียงของเด็กหนุ่มไม่ได้ดังหรือเบาเกินไปและเขามั่นใจว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่หลังต้นไม้ต้องได้ยิน “โยนอาวุธมาตรงนี้แล้วก้าวออกมา”
“...”
“กูให้เวลามึงสามวิว่าจะออกมาดี ๆ หรือจะให้กูเข้าไปเป่าหัวถึงที่” นัยน์ตาแน่วแน่ยังคงไม่ละห่างจากต้นไม้ใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า
มือของเขากำลังสั่นเพราะความกดดันจากเสียงผู้คนที่อยู่รอบข้าง หวงจื่อเทารู้ว่าถ้าอยู่นานเกินไปคงได้กลายเป็นเป้านิ่งให้พวกมันใช้ปืนกลยิงร่างจนพรุนแน่ แต่การเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างที่ขู่เอาไว้ก็ไม่ใช่วิธีที่สมควรนัก
“...”
เด็กหนุ่มเบิกตาอย่างตกใจทันทีที่เห็นใครคนหนึ่งเดินออกมาจากตรงนั้น มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายจริง ๆ ที่ได้เห็นเด็กชายวัยไม่ถึงสิบขวบกำลังร้องไห้ เสียงสะอื้นในลำคอนั้นเขาเริ่มได้ยินชัดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสองขาก้าวเข้ามาทรุดเข่าอยู่ข้าง ๆ ศพ
“พ่อ...”
“...”
“พี่ยิงพ่อผมทำไม...”
หวงจื่อเทาไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้เลยทั้งที่เขามีคำตอบอยู่ในหัวอยู่แล้วว่า ‘เพราะพ่อของแกมันเลวไงล่ะ’ แต่แววตาของเด็กคนนั้นที่มองมากับน้ำตาที่อาบแก้มทั้งสองข้างนั้นทำให้เขาพูดไม่ออก
“ผมไม่อยากกินเนื้อแล้ว...ผมยอมกินใบไม้ก็ได้...ฮือ...”
กระบอกไฟฉายตกลงบนหิมะแล้วปล่อยให้แสงสว่างส่องไปยังเด็กน้อยที่กำลังใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเขย่าร่างไร้วิญญาณเหมือนจะขาดใจ เสียงร้องไห้ของเด็กคนนั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับริมฝีปากที่พร่ำเรียก ‘พ่อ’ ไม่หยุด
“ลุกสิพ่อ...กลับบ้านเรา...ฮือ...”
แน่นอนว่าหวงจื่อเทาไม่ได้เลวร้ายขนาดที่ว่าจะยิงทุกคนที่โผล่เข้ามาในรัศมีโดยไม่ไตร่ตรองก่อน ตาคู่นี้ยังคงจับจ้องอยู่กับเด็กคนนั้นอย่างไม่ละสายตา เทาค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลราวกับว่าความรู้สึกผิดกำลังกลืนกินเรี่ยวแรงเขาไปทีละนิด
ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ก็ยิ่งกดดัน เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก ก่อนหน้านี้เขาคิดแค่ว่าจะต้องฆ่าคนที่บุกรุกเข้ามาให้หมดพร้อมตราหน้าพวกมันว่าเป็นคนเลวที่สมควรลงไปอยู่ในนรก
แต่...สิ่งหนึ่งที่หวงจื่อเทาลืมนึกถึงไปอย่างสนิทใจเลยก็คือเหตุผลของคนเราในการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ที่มันเปลี่ยนจากหน้ามือไปเป็นหลังมือแล้ว คนที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากความตายทุกวิถีทางซึ่งแต่ละคนมีวิธีไม่เหมือนกัน อย่างคนในอุทยานเลือกจะปักหลักอยู่ในที่ปลอดภัยแล้วออกไปเสี่ยงตายหาเสบียงข้างนอก และมันเป็นโชคดีเหลือทนที่พวกเขาสามารถกลับมาถึงที่นี่ได้โดยไม่ถูกกัด
แต่คนกลุ่มอื่นล่ะ? แน่นอนว่าพวกนั้นต้องมีวิธีเอาตัวรอดที่ต่างกันออกไปซึ่งสิ่งที่เห็นอยู่ในตอนนี้มันก็คือตัวอย่างหนึ่งเมื่อการหาเสบียงอาหารมันไม่ได้จบด้วยการซื้อขายอีกต่อไปแล้ว อย่างที่ได้ยินว่าคนพวกนี้ฝ่าฝูงลิงบุกเข้ามาจนถูกกัดเพื่อหวังจะเอากวางไปเป็นอาหาร ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่แน่ใจแล้วว่าคนที่ฆ่าคนอื่นเพื่อที่จะเอาชีวิตรอด มันคือความชั่วช้าอย่างที่เขาตราหน้าไว้หรือเปล่า?
ในเมื่อฤดูหนาวเริ่มขลาดแคลนอาหาร ผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างก็แย่งเสบียงไปกักตุนไว้จนกว่าจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ ทันทีที่ภาพของจงแดตอนเจ็บปางตายเข้ามาในหัว เด็กหนุ่มก็พร่ำบอกกับตัวเองว่าเขาไม่ผิด เพราะพวกมันบุกรุกเข้ามาที่นี่แล้วยิงเจ้าหน้าที่อุทยานโดยไม่สนใจเลยว่าหมอนั่นจะเป็นตายร้ายดียังไง
แต่...
เขากำลังรู้สึกผิดเพราะเสียงร้องไห้ของเด็กคนนั้น คนที่เอาแต่พร่ำปลุกให้พ่อฟื้นขึ้นมาอย่างไร้ความหวัง เทาถอยหลังไปทีละก้าว แต่ยิ่งห่างออกมาเท่าไหร่ ความรู้สึกผิดจากแววตาของเด็กคนนั้นก็กลืนกินเขาไปทีละนิด
หวงจื่อเทาไม่ได้แค่ฆ่าคนเลวให้ตาย แต่เขาฆ่าพ่อของเด็กคนหนึ่งไปด้วย...
“ตรงนั้น!!!”
“ฆ่ามัน!!!”
ปัง!!!
เพียงแค่วินาทีเดียวเท่านั้นที่หวงจื่อเทามีโอกาสได้หันไปมองก่อนจะล้มลงไปกับพื้นหลังจากเสียงปืนดังขึ้น นัยน์ตาเบิกโพลงกับเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างของเขากองอยู่กับหิมะก่อนจะรู้สึกปวดแสบตรงโหนกแก้ม...
“ลุกขึ้นเร็วเข้า” เสียงทุ้มต่ำของปาร์คชานยอลมาพร้อมกับสองมือที่กระชากคอเสื้อเขาให้ลุกขึ้นตั้งหลัก หัวใจของเด็กหนุ่มยังคงเต้นแรงไม่หยุดหลังจากรอดตายจากวิถีกระสุนเมื่อครู่นี้ได้อย่างเฉียดฉิวเพราะผู้ชายคนนี้เข้ามาช่วย “มีกี่คนอี้ฟาน?”
“นับคร่าว ๆ มีห้า”
“ถ้าเปิดไฟฉายสู้เราต้องเสียเปรียบแน่” ชานยอลพึมพำเบา ๆ ก่อนที่อี้ฟานจะก้มลงต่ำมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เขา “ผมว่าเราไม่ควรยิงสู้”
“ใช่ เพราะถ้าทำแบบนั้นพวกมันจะหาตัวเราได้ง่ายขึ้น”
“เทา” ชานยอลคว้าไหล่เด็กหนุ่มที่ยังคงช็อกอยู่ เจ้าของชื่อค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มร่างสูงทั้งสองคนท่ามกลางความมืด เขาเห็นว่าแสงสว่างจากไฟฉายของฝ่ายตรงข้ามกำลังมาทางนี้ “ตั้งสติหน่อย”
“...” เด็กหนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ ทั้งที่เลือดสีสดจากโหนกแก้มยังคงไหลออกมาไม่หยุด เขาเสยผมขึ้นแล้วมองไปยังจุดเกิดเหตุเมื่อครู่นี้ “มีเด็ก...เด็กคนนึงอยู่ตรงนั้น”
“ว่าไงนะ?”
“...น่าจะอายุไม่ถึงสิบขวบ...ผมยิงพ่อเด็ก”
“...”
“เขานั่งเฝ้าศพพ่ออยู่ตรงนั้น...” เสียงของหวงจื่อเทาเบาบางและสั่นเครือซึ่งชายหนุ่มทั้งสองคนสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวที่เด็กคนนี้กำลังเผชิญอยู่ “ผมยิงพ่อของเด็กคนนั้น...”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสติแตก คุณมีอะไรติดตัวนอกจากปืนมาด้วยหรือเปล่า?” อี้ฟานก้มหน้าถามซึ่งเด็กหนุ่มก็พยักหน้าเป็นคำตอบพร้อมเอามีดพกให้ดู “ดี เราจะไม่ปะทะ แต่ถ้าจำเป็นเราจะเก็บแบบเงียบแทน”
“ยังไง?”
“ถ้าเจรจาไม่ได้ก็ต้องสู้ เราต้องแยกกันไปคนละทาง ให้คนหนึ่งล่อไว้แล้วให้อีกคนย่องไปเก็บจากข้างหลัง” ชานยอลอธิบายเสริม หวงจื่อเทานิ่งไปครู่หนึ่ง เขาพยายามบอกตัวเองให้ตั้งสติ
“เราต้องจัดการให้เงียบที่สุด เสียงปืนจะเรียกให้ทุกอย่างมาที่นี่ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ด้วยกันหรือพวกกินคน” อี้ฟานหันไปพยักหน้ากับชานยอลอย่างรู้กันก่อนจะหันหน้าเข้าหาเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนว่าจะตั้งสติได้แล้วหลังจากช็อกไปพักหนึ่ง
“พวกคุณ”
“ครับ?”
“ผมไม่ได้ยิงที่หัว เพราะงั้นเราต้องไปเอาเด็กคนนั้นออกมา” จื่อเทาคว้าไหล่ชายหนุ่มอายุมากที่สุดเอาไว้
อี้ฟานคิดตามไปถึงความสมเหตุสมผลซึ่งมันเป็นเรื่องเสี่ยงอยู่ไม่น้อยหากว่าเขาจะต้องกลับไปที่จุดเดิมเพื่อพาเด็กออกมาจากตรงนั้นทั้งที่ฝ่ายตรงข้ามก็กำลังตรงมาหาเขาทั้งสามคนเช่นกัน แต่ถ้าหากไม่ช่วยเด็กคนนั้นก็อาจจะถูกกัดได้หากว่าศพฟื้นคืนชีพขึ้นมา
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วชี้นิ้วบอกพิกัดให้เทาไปทางด้านซ้าย ส่วนชานยอลไปทางขวา อี้ฟานก้มต่ำไปหลบอยู่หลังต้นไม้ก่อนจะลุกขึ้นยืน แสงสว่างสีขาวจากไฟฉายสาดผ่านเฉียดไหล่ไปเล็กน้อยและมันถึงเวลาแล้วที่เขาควรจะเจรจากับคนกลุ่มนั้น
“ผมมีตัวเลือกให้พวกคุณตัดสินใจอยู่สองทาง ระหว่างยอมถอยออกไปดี ๆ โดยไม่มีใครต้องตายอีก หรือจะตายกันหมดที่นี่”
ฝีเท้าหยุดลงหลังจากได้ยินเสียงปริศนามาจากทิศทางด้านขวา กลุ่มชายวัยกลางคนหันไปมองหน้ากันอย่างชั่งใจกับคำขู่ของอีกฝ่าย นัยน์ตากลอกมองไปตามความมืดพร้อมกับส่องไฟฉายไปรอบ ๆ เพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าฝ่ายตรงข้ามมากันมากแค่ไหน แต่ก็ไม่เห็นใครเลยสักคน
“พวกแกยิงคนของฉัน”
“คุณก็ยิงคนของเราเหมือนกัน ถึงเวลาที่คุณจะต้องตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกทางไหน” อู๋อี้ฟานชะโงกหน้าออกไปเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับทันทีที่เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามมีมากกว่าห้าคน หนำซ้ำยังกระจายตัวกันออกตามหาเขาอีก
“แกมาคนเดียว ฉันรู้”
“ถ้าการคาดเดาในความมืดได้ผล คุณคงไม่ระแวงขนาดนี้”
“จะเล่นสงครามประสาทหรือไง?”
“มากกว่านี้ผมก็ทำได้ถ้าคุณอยากลอง”
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!”
“...!!!!”
ปัง ๆ ๆ ๆ !!!
กริ๊ก...
เสียงลูกกระสุนร่วงลงบนหิมะก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะเผชิญกับความเงียบอีกครั้ง นัยน์ตาคมกวาดมองไปรอบตัวพร้อมกับตั้งปืนขึ้น ถ้าใครโผล่หน้าออกมาจะได้ให้เอาลูกปืนไปยัดปากซะ จะได้ไม่ต้องพูดยั่วโมโหเขาอีก
“แกสองคนไปดู”
ร่างสูงขมวดคิ้วมองไปตามต้นเสียงที่ดังมาจากฝั่งที่ชานยอลอยู่ก่อนจะหันไปเห็นชายสองคนถือปืนกลไปทางนั้นหลังจากเหนี่ยวไกไปมั่วซั่ว ได้แต่หวังว่าปาร์คชานยอลจะไม่โชคร้ายถูกยิงไปเสียก่อน
“พี่! ไอ้คังโฮตายแล้ว!”
“ว่าไงนะ?”
แค่นั้นก็เป็นคำตอบได้ดีแล้วว่าปาร์คชานยอลได้เชือดไก่ให้ลิงดูเพื่อขู่ให้ฝั่งตรงข้ามตกอยู่ในความกลัว นัยน์ตากลอกมองไปโดยรอบ แม้แต่ตัวเขายังมองหาเงาของผู้ชายคนนั้นไม่เจอ หวงจื่อเทาก็ด้วย
“ผมให้โอกาสคุณอีกครั้ง”
“แกมีสิทธิ์อะไรมายื่นขอเสนอกับฉัน”
“เพราะผมสามารถสร้างหลุมฝังศพให้พวกคุณได้ครบทุกคนโดยไม่ต้องเสียเวลาขุดหลุม”
“พี่...เรากลับกันเถอะ ไหน ๆ ก็ได้กวางแล้ว” เสียงนั้นแผ่วเบาแต่ก็พอจับใจความได้ ถึงคนที่เป็นผู้นำจะยังไม่ยอมถอย แต่การข่มขวัญลูกน้องที่ตามมาด้วยมันก็เป็นเรื่องดี
“ไอ้แจฮีอยู่ตรงนั้น...ลูกของมันด้วย”
“ว่าไงนะ?”
“มีแค่มันที่อยู่ตรงนั้นก่อนผมแยกออกมา ต้องเป็นมันแน่ ๆ ที่ถูกฆ่าตาย”
“...”
“พ่อ!!!”
“...!!!”
แสงสว่างจากไฟฉายสาดไปยังต้นเสียงที่ดังมาจากพุ่มไม้ และสิ่งที่ทำให้ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหวนั่นก็คือเด็กน้อยที่กำลังค่อย ๆ คลานถอยหลังออกมาจากตรงนั้นหลังจากที่พ่อของเขาเปลี่ยนไปเป็นตัวกินคน
ริมฝีปากอ้ากว้าง ตรงต้นคอมีรอยกระสุนเจาะเข้าไปพร้อมกับคราบเลือดที่ยังสดใหม่อยู่ ใบหน้าซีดเผือดหันไปอย่างเชื่องช้าพร้อมส่งเสียงเกรี้ยวกราดในลำคอหลังจากดวงตากระทบกับแสงสว่างของไฟฉาย
ร่างสูงมองเด็กน้อยที่อยู่ตรงนั้นก่อนจะหันไปเห็นหวงจื่อเทาที่อยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก เขาส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามและอยากให้คนที่ช่วยออกมาเป็นคนฝั่งนั้นมากกว่า เพราะยังไงซะเด็กคนนั้นก็มาด้วยกัน แต่อู๋อี้ฟานคิดผิด...คนกลุ่มนั้นไม่ได้มีความคิดที่จะเข้าไปช่วยเด็กเลยสักนิดจนกระทั่งหวงจื่อเทาลุกขึ้นเล็งไปยังหัวของผีดิบตนนั้นจนตายคาที่
ปัง!!!
แสงสว่างที่เคยส่องอยู่ตำแหน่งตัวกินคนเปลี่ยนไปยังเด็กตัวสูงพร้อมกันก่อนที่เขาจะกระโดดหลบไปหลังพุ่มไม้เมื่อศัตรูเล็งปืนมาแล้วเหนี่ยวไกใส่ไม่ยั้ง เสียงปืนดังก้องไปทั่วอุทยาน ดูเหมือนว่าการเจรจาด้วยคำพูดจะไม่ได้ผลแล้ว ที่นี่ต้องแย่แน่หากว่ามีเสียงปืนดังขึ้นอีกเรื่อย ๆ
อี้ฟานชักปืนออกมายิงสู้ขณะที่จื่อเทาวิ่งอ้อมไปอีกทางแล้วเข้าจากข้างหลังแทงคอหอยอีกฝ่ายอย่างแรงพร้อมบิดข้อมือ เด็กหนุ่มดึงมีดกลับแล้วผลักร่างไร้วิญญาณให้ล้มลง เขาหมอบลงต่ำสังเกตการณ์ ทางด้านขวาคืออี้ฟานที่กำลังยิงสู้กับคนกลุ่มนั้น ต่างฝ่ายต่างเสียเปรียบเพราะแสงไฟฉายในมือ แต่คนที่ได้เปรียบมากที่สุดในตอนนี้คงเป็นปาร์คชานยอลที่ซุ่มอยู่หลังต้นไม้แล้วจัดการอย่างเงียบ ๆ
ไม่แน่ใจว่าฝ่ายตรงข้ามตายหมดแล้วหรือว่ากระสุนหมดหลังจากเสียงปืนหายไป อี้ฟานปลดแมกกาซีนออกมาดูพลางขมวดคิ้วเพราะกระสุนเหลืออยู่แค่สองนัดถ้ารวมกับที่อยู่ในรังเพลิง
“อย่าเข้ามานะ!!!”
“อึ่ก...ฮือ....”
ร่างสูงโผล่หน้าออกไปเล็กน้อยแล้วก็เห็นใครคนหนึ่งกำลังล็อกคอเด็กให้เดินถอยหลังไปด้วยกันพร้อมกับส่องไฟฉายมาทางนี้ ผู้ชายคนนั้นไม่มีปืนอยู่ในมือแล้ว คาดว่ากระสุนคงหมดอย่างแท้จริง แต่ชายคนนั้นกลับเอามีดจ่อคอเด็กเอาไว้ราวกับว่าจะให้เป็นตัวประกัน
“ลุงอย่าทำผม...ฮือ...”
“คุณคิดจะทำอะไร?” ร่างสูงเดินออกมาจากหลังต้นไม้พร้อมเล็งปืนไปยังอีกฝ่าย เขาเห็นว่าชายคนนั้นเกือบล้มอยู่หลายครั้งเพราะสิ่งขีดกว้างที่จมอยู่ใต้หิมะ ไม่ว่าจะเป็นก้อนหินหรือกิ่งไม้ มันทุลักทุเลจนใบมีดเกือบแทงคอเด็กอยู่รอมร่อ
“ยิงสิ ก่อนกระสุนจะทะลุมาถึงตัวฉันก็ต้องโดนเด็กก่อน”
“ปล่อยเด็กซะ” ชานยอลออกมาสมทบพร้อมส่องไฟฉายไปยังเป้าหมาย และมันทำให้ชายคนนั้นก้มลงต่ำเพื่อหลบอยู่ข้างหลังเด็ก
“ถ้าฉันปล่อยพวกแกก็ยิงฉันน่ะสิ”
“เราไม่ทำแบบนั้นถ้าคุณไม่ตุกติกตั้งแต่แรก”
“ตุกติกงั้นเหรอ? โบ้ยความผิดกันนี่หว่า” ชายวัยกลางคนแค่นหัวเราะแล้วกระชากเสื้อเด็กให้เดินถอยหลังมาด้วยกัน “ฉันไม่ได้อยากฆ่าใคร ที่ยิงไอ้หมอนั่นคนของฉันก็แค่ตกใจที่เห็นว่ามีปืน”
“...”
“ไม่มีใครรู้ว่าอีกฝ่ายจะมาดีมาร้ายไม่ใช่เหรอ ฉันกับแก...เราก็คิดเหมือนกันนั่นแหละ” เสียงผู้ชายคนนั้นกำลังสั่น ชานยอลยกมือห้ามเทาเอาไว้ไม่ให้ตามไปจัดการ “พวกฉันก็แค่อยากกินเนื้อ...”
“...”
“ที่หมู่บ้านฉันมีผู้หญิง มีเด็ก มีคนแก่ พวกเขากำลังจะอดตาย” ชายวัยกลางคนกลืนน้ำลาย ท่ามกลางเสียงสะอื้นนั้นก็คงเป็นเสียงลมหายใจเน่า ๆ ที่ยังคงเหลือไว้ตราหน้าเขาให้เป็นไอ้ขี้ขลาดที่เอาแต่หลบอยู่หลังเด็ก “เราต้องการแค่อาหาร...”
“แต่มึงยิงคน!!!”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ!!!”
“เทา” ชานยอลยกมือขวางเอาไว้ เขาเห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังหัวเสียเป็นอย่างมาก
“ข้างนอกมีคนเจ็บ...ลิงที่อยู่ข้างนอกมันกัดคนของฉัน”
“คุณควรฆ่าพวกเขา” ชานยอลพูดเสียงเรียบก่อนจะลดปืนลงและอี้ฟานก็เช่นกัน “คนที่ถูกลิงกัดก็ไม่ต่างจากถูกพวกข้างนอก พวกเขาจะเปลี่ยน”
“ว่าไงนะ...?”
“ลิงพวกนั้นติดเชื้อ ใครที่ถูกมันกัดก็ต้องตาย”
“...ไม่”
“รีบออกไปจากที่นี่ แล้วก็อย่ากลับเข้ามาอีก คราวหน้าผมจะไม่ไว้หน้าใครที่ไหนทั้งนั้น” อี้ฟานส่องไฟฉายเพื่อชี้ทางออกให้
แม้จะได้ยินอย่างนั้นแต่ชายวัยกลางคนก็ยังไม่เชื่ออย่างสนิทใจเสียทีเดียว เขายังคงหลบหลังเด็กไปจนถึงพุ่มไม้ก่อนจะคว้ามือเล็กให้วิ่งออกไปด้วยกันอย่างทุลักทุเล ทั้งสามคนมองภาพนั้นไปจนลับสายตาก่อนที่ความเงียบจะโรยตัวอีกครั้ง
“เราควรไปดูประตูทางเข้าไหม?” คำถามของเทานั้นแน่นอนว่ามันอยู่ในความคิดของชายหนุ่มทั้งสองเหมือนกัน
“ถ้าไปตอนนี้เราไม่รอดแน่ กระสุนก็ไม่เหลือ”
“คุณทำระเบิดไฟภายในคืนนี้ได้ไหมชานยอล”
“ได้ แต่ยังมีของบางอย่างที่ต้องออกไปหาข้างนอก แต่ผมจะทำให้เสร็จก่อนพรุ่งนี้เช้า” ทั้งสองคนพยักหน้าอย่างรู้กัน แน่นอนว่าพวกเขายังจำได้ดีกับประสบการณ์ปิดประตูรั้วทางเข้า ซึ่งถ้าจัดการพวกมันเร็วได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี
“จงแดเป็นยังไงบ้าง?”
“...”
ไม่มีใครตอบ พวกเขาได้เพียงแค่ส่ายหน้าเพราะตอนถึงอุทยานก็รีบตรงมาที่นี่เลยหลังจากได้ยินปาร์คกาฮีบอกว่าหวงจื่อเทาเข้ามาสู้กับคนพวกนั้นตามลำพังโดยที่ไม่มีใครตามมาด้วย ส่วนลู่หานนั้นจำใจต้องปล่อยให้คยองซูกับซูโฮช่วยกันประคองร่างไปนอนพักเพราะพิษไข้ที่ขึ้นสูงเรื่อย ๆ จนถึงวินาทีสุดท้ายหมอนั่นก็ยังรั้นว่าจะมาด้วยกัน
อี้ฟานกับเทาหยุดฝีเท้าพลางมองไปยังโซฟาบ้านหลังแรกที่ซูโฮกับคยองซูหลับอยู่ โดยมีซีวอนนั่งสัปหงกอยู่โซฟาเดี่ยว ส่วนคนอื่น ๆ น่าจะแยกย้ายกลับไปนอนแล้ว ตอนนี้ชานยอลขับรถออกไปหาของทำระเบิดขวดซึ่งเจ้าตัวบอกว่าจะไปคนเดียวและให้เขาอยู่ช่วยทางนี้ ซึ่งมันคงไม่มีอะไรดีกว่าที่เป็นอยู่แล้ว
พวกเราจำเป็นต้องแยกกันไปทำในส่วนของตัวเอง ซึ่งชานยอลรับหน้าที่ทำระเบิดขวดเพื่อเอาไปสู้กับพวกลิงข้างนอก ส่วนตัวเขาแวะมาเตรียมอาวุธลงไปดักรออยู่ทางขึ้นที่พัก ถึงพวกนั้นจะกลับไปแล้วแต่จะวางใจเลยเสียทีเดียวก็คงไม่ได้ เพราะฉะนั้นกันไว้ดีกว่าแก้มันดีกว่าเป็นไหน ๆ เพราะถ้ามีผู้บุกรุก อย่างน้อยเขาก็ยิงตัดกำลังได้ก่อนที่ศัตรูจะขึ้นมาถึงที่พัก คนที่เหลือจะได้มีเวลาเตรียมตัวหนี
ปาร์คกาฮีเดินออกมาจากห้องของอี้ชิงหลังจากได้ยินเสียงเปิดประตูบ้าน เธอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาทั้งคู่ก่อนจะสวมกอดลูกศิษย์ของเธอ เทาซบหน้าลงกับไหล่บางแล้วกระชับกอดแน่นขึ้น เขารู้สึกเหมือนเพิ่งรอดจากความตายทางความรู้สึกมาได้หลังจากได้รับอ้อมกอดของคนเป็นครู ได้ยินเสียงหญิงสาวพร่ำบอกข้างหูว่า ‘ไม่เป็นไร’ พร้อมกับมือเล็กที่ลูบหัวเขาเป็นเชิงปลอบใจ ซึ่งหวงจื่อเทาไม่คิดว่ามันคือสิ่งที่ตัวเขาสมควรได้รับ
“คุณโอเคนะคะ?” เธอหันไปทางชายหนุ่มร่างสูงและก็ได้คำตอบเป็นการพยักหน้า กาฮีหันเข้าหาเด็กหนุ่มอีกครั้ง เธอมองใบหน้าของลูกศิษย์ที่มีคราบเลือดแห้งกรังอยู่แล้วก็เป็นห่วง “เดี๋ยวครูทำแผลให้”
“จงแดเป็นยังไงบ้าง?” หญิงสาวหยุดชะงักเพราะเสียงของอีกฝ่าย สีหน้าของเธอดูไม่สู้ดีนัก
“อี้ชิงอยู่ข้างใน เขาน่าจะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด”
อี้ฟานเปิดประตูเข้าไปในห้อง สิ่งแรกที่รู้สึกได้คือกลิ่นคาวของเลือดที่คลุ้งอยู่โดยรอบราวกับว่ามันอยู่ใต้จมูก เขาเห็นอี้ชิงกำลังสัปหงกอยู่ข้างเตียงเลยยกเก้าอี้ไปอย่างเบามือ เพียงแค่วางลงเท่านั้นอีกฝ่ายก็สะดุ้งตื่น
“อาการของจงแดเป็นยังไงบ้าง?” ทั้งคู่สบตากันก่อนที่อี้ชิงจะลูบใบหน้าเพื่อเรียกสติ แน่นอนว่าเขารู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมากหลังจากพยายามช่วยชีวิตคิมจงแดด้วยความรู้อันน้อยนิดที่มีอยู่
“ห้ามเลือดได้แล้ว ต่อไปก็รอดูอาการว่าเขาจะไหวได้แค่ไหน”
“กระสุนฝังลึกหรือเปล่า?”
“ไม่ มันเป็นโชคดีของผมที่กระสุนทะลุสีข้างออกไปจนไม่ต้องให้ใครสักคนออกไปตามหาหมอดี ๆ มาช่วยผ่ากระสุนออกให้ และผมค่อนข้างที่จะแน่ใจว่าคงไม่มี แต่มันเป็นโชคร้ายของเขาที่เสียเลือดไปเยอะพอสมควร”
“...”
“เอาล่ะ...แล้วจะได้รู้ว่าผมหรือพระเจ้าที่แน่กว่ากัน” พูดจบก็หลับตาลง เขาได้ยินเสียงอี้ชิงหายใจเข้าลึก ๆ แล้วผ่อนมันออก ทุกการกระทำแฝงไปด้วยความกดดัน ความเหนื่อยล้าที่เจ้าตัวแบกรับเอาไว้คนเดียว
“ขอบคุณ” บุรุษพยาบาลลืมตาขึ้นก่อนจะหันไปมองมือใหญ่ที่วางอยู่บนบ่าเขา “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่ขอบคุณจริง ๆ ที่คุณอยู่ที่นี่เพื่อคนอื่น” นึกย้อนไปถึงครั้งแรกที่เจอกันจากที่ฟังมามันค่อนข้างเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายที่ผู้ชายคนนี้ช่วยลู่หานในสภาพปางตายไว้ได้ทั้งที่เครื่องมือมีไม่ครบ อีกทั้งเจ้าตัวเป็นเพียงแค่บุรุษพยาบาลเท่านั้น
“ถ้าเลือกได้ ผมก็ไม่อยากให้ความตายของใครมาอยู่ในมือผม”
“แต่ถ้าไม่มีคุณ พวกเขาก็คงไม่รอด”
“แต่ถ้าผมช่วยชีวิตเขาไว้ไม่ได้ความรู้สึกผิดก็จะอยู่กับผมไปจนวันตาย”
“คุณต้องช่วยเขาได้” อี้ฟานบีบไหล่อีกคนแล้วยิ้มบาง ๆ ซึ่งอี้ชิงไม่ได้รู้สึกดีนักกับการให้กำลังใจของอีกฝ่ายเพราะความเครียดที่มีอยู่
“แล้วในอุทยานเกิดอะไรขึ้น”
“มีคนบุกรุกเข้ามา พวกเขาต้องการเนื้อสัตว์”
“เหรอ แล้วคนพวกนั้นฝ่าฝูงลิงเข้ามาได้ยังไง?”
“พวกเขาสู้กับลิง ผมคิดว่าคงแลกไปเยอะพอสมควร และนั่นคือปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่” สีหน้าของอี้ฟานตอนนี้ดูเคร่งเครียดไม่แพ้กับบุรุษพยาบาล หนุ่มชาวจีนสองคนเงียบไปแล้วจมอยู่กับความคิดในหัว “ผมกับชานยอลจะออกไปจัดการประตูรั้วพรุ่งนี้เช้าและเทาอาจจะไปด้วย”
ตอนนี้ทุกคนกำลังอ่อนแรงและเสียหลักหลังจากสูญเสียจงอินกับอึนจี...อีกทั้งเซฮุนยังหายสาบสูญไปอีก คนที่พอจะมีทักษะเรื่องการต่อสู้อย่างลู่หานก็ป่วยหนักแค่ลุกขึ้นยืนเฉย ๆ ก็แทบล้มแล้ว เพราะฉะนั้นคนที่พึ่งพาได้ตอนนี้มีอยู่แค่ไม่กี่คน
“ถ้าจงอินกับเซฮุนยังอยู่ ทุกอย่างก็คงดี”
“...!!!!”
เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวขึ้นมาพบกับความมืดมิดเพราะฝันร้าย เซฮุนใช้เวลาโกยอากาศเข้าปอดอยู่เกือบครึ่งนาทีก่อนจะหันไปรอบ ๆ แล้วก็เห็นว่าจงอินยังคงนอนอยู่ที่เดิม แต่มันไม่ได้ช่วยไล่ความหวาดกลัวออกไปได้เลยสักนิดเพราะเขาไม่สามารถแตะต้องตัวผู้ชายคนนี้ได้
เซฮุนซบหน้าลงกับฝ่ามือ เขาควรจะชินได้แล้วไม่ใช่เหรอกับฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนมาตั้งแต่ช่วงอยู่ในศูนย์วิจัย ภาพผู้ชายใส่ผ้าปิดปากกำลังยืนล้อมเขาอยู่บนเตียง...ถุงมือยางสีขาว...อีกทั้งภาพคนตายเป็นร้อยพัน และที่ทำให้รู้สึกแย่ถึงขนาดนี้ก็คือภาพอุทยานไฟไหม้พร้อมเหล่าฝูงลิงที่ตามซอกฟันเต็มไปด้วยเลือด
“...”
เด็กหนุ่มดึงผ้าห่มขึ้นคลุมช่วงไหล่ให้อีกคนแล้วเดินออกมาจากรถบ้านอย่างเงียบเชียบ ลมหนาวข้างนอกทำให้ต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากอดตัวเอง เซฮุนเดินไปหยิบกล่องไม้ขีดเพื่อทำการจุดไฟให้ความอบอุ่น
สองขายาวขดเข้าหาตัวก่อนจะเกยคางลงไป ความอบอุ่นจากกองไฟไม่ได้ขับไล่อาการรู้สึกไม่ดีที่มีอยู่ไปได้เลยสักนิด เขากำลังเป็นกังวลเรื่องอุทยานเพราะความฝันเมื่อครู่นี้เด็กหนุ่มได้แต่ปลอบตัวเองว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ความฝันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ บางทีก่อนนอนโอเซฮุนอาจจะคิดมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องคนอื่น ๆ
“เป็นอะไร” เสียงของผู้มาใหม่ทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นก่อนจะรับเสื้อกันหนาวตัวหนาไว้เมื่ออีกฝ่ายโยนมาให้
“ผมทำให้คุณตื่นเหรอครับ”
“ใช่”
“อ่า...ขอโทษครับ” เสียงของเด็กคนนั้นแผ่วลงและเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด อันที่จริงเขาหลับ ๆ ตื่น ๆ เพราะรู้สึกแปลกตอนนอนอยู่ข้าง ๆ โอเซฮุน แน่นอนว่าหมอนั่นขยับตัวหนึ่งครั้ง เขาก็ตื่นหนึ่งครั้ง
ใบหน้าขาวตอนกระทบแสงไฟนั้นเป็นสีส้มอ่อน ๆ มันดูเศร้าหมองจนอดที่จะถามไม่ได้ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาแล้วเห็นผู้หญิงสองคนนั้นนี่ก็เป็นครั้งแรกที่คิมจงอินนึกอยากใช้ความคิดก่อนถามออกไป และมันทำให้เขาหงุดหงิดตัวเองอยู่ไม่น้อยที่ต้องพยายามแบบนั้นทั้งที่เขาไม่ต้องแคร์ความรู้สึกเด็กคนนี้ก็ได้
“ฝันร้ายหรือเจอผีล่ะ” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายก่อนจะกอดเสื้อกันหนาวไว้แล้วส่ายหน้าปฏิเสธ “นี่ก็ตีสี่แล้ว ไม่นอนตอนนี้แล้วจะไปนอนตอนไหน” บางทีโอเซฮุนก็ทำตัวเป็นเด็กอนุบาล และมันก็ไม่จำเป็นเลยด้วยที่เขาจะต้องมาบ่นแบบนี้ นึกแล้วก็หงุดหงิดอีก เขาควรปิดบทสนทนาแล้วกลับไปนอนซะ ให้ตายเถอะ เขาถือเสื้อกันหนาวออกมาให้เด็กนี่ทำไมกัน
“คุณฝันร้ายครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ครับ” เป็นคำถามที่ต้องใช้เวลานึกแม้ว่าคิมจงอินจะถกเถียงกับความคิดในหัวว่ามันจำเป็นไหมที่จะต้องเล่าให้เจ้าเด็กนี่ฟัง? ชายหนุ่มถูจมูกเบา ๆ แล้วใส่ท่อนไม้เข้าไปในกองไฟ และมันเป็นสัญญาณดีสำหรับเซฮุนว่าผู้ชายคนนี้เลือกที่จะอยู่กับเขาแทนที่จะกลับไปนอนในรถบ้านต่อ
“อาทิตย์ที่แล้วมั้ง”
“...”
“ฝันเห็นบ้านไฟไหม้อีกแล้ว แต่คราวนี้มันชัดมากว่าฉันเข้าไปในนั้นด้วย” นึกย้อนไปถึงฝันคราวนั้นแล้วก็ร้อนขึ้นมาราวกับว่าอยู่ในเหตุการณ์จริง จงอินถอนหายใจก่อนจะชะงักไปเล็กน้อยเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องหน้าเขาอยู่
“บ้านหลังนั้น...อยู่กลางทุ่งกว้างหรือเปล่าครับ”
“...”
จงอินไม่ได้ตอบคำถาม เขาได้แต่สงสัยว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงเห็นภาพในฝันของเขาราวกับว่าเข้ามาอ่านใจกันได้เสียอย่างนั้น ชายหนุ่มลูบใบหน้าแล้วเบือนหลบสายตาไปอีกทางก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ
“มันคือบ้านของอี้ฟาน เราเจอกันครั้งแรกที่นั่น”
“อ้อ...”
“มันคือฝันร้ายของคุณสินะครับ” คนถูกถามนิ่งไปพอสมควร เขาไม่รู้ว่ามันคือฝันร้ายสำหรับเขาหรือเป็นเพราะว่ากลัวไฟในบ้านหลังนั้นจะคลอกตายกันแน่? แต่ไม่ว่ายังไงคนที่กำลังยิ้มอยู่หลังจากทำหน้าหงอยมานานสองนานมันก็น่าหมั่นไส้กว่าเห็น ๆ “อันที่จริงผมตื่นเพราะฝันร้าย”
“อืม”
“ฝันว่าไฟไหม้อุทยาน”
“อาจเป็นเพราะนายคิดถึงคนพวกนั้นก็ได้ บอกแล้วไงว่าให้กลับไป”
“ผมจะกลับได้ยังไงถ้าไม่มีคุณ”
“พูดแบบนี้อีกแล้วนะ ฉันเคยบอกไปแล้วว่ายังไม่พร้อมที่จะกลับไปเจอ...”
“คนที่เคยทิ้งคุณ”
“...”
ชายหนุ่มพูดไม่ออกหลังจากอีกฝ่ายสวนกลับมาทั้งที่เขายังพูดไม่จบ จงอินเบือนหน้าหลบไปอีกทาง เพิ่งรู้ตัวตอนนี้ว่าการสบตากับโอเซฮุนมันกลายเป็นเรื่องที่เขากลัว นอกจากจะทะเลาะกับคนอื่นแล้วคิมจงอินยังเก่งเรื่องทะเลาะกับความคิดของตัวเองอีกด้วย
เขากำลังปฏิเสธความรู้สึกตัวเองที่อยากพูด อยากคุย อยากทำความรู้จักกับเด็กคนนี้ให้มากขึ้น เพราะถ้าความคิดมันสั่งการอีกอย่าง เขาจะทำสวนทางกลับไป อย่างตอนนี้ก็เช่นกัน
“ถ้าคุณได้กลับไปเจอพวกเขา คุณจะเข้าใจว่าไม่มีใครอยากทิ้งคุณไว้ตรงนั้นเลยสักคนเดียว”
“งั้นเหรอ?”
“ไม่ว่าคุณจะคิดยังไง ผมอยากให้คุณกลับไปอยู่ด้วยกันนะครับจงอิน” เป็นอีกครั้งที่เซฮุนพยายามโน้มน้าวอีกฝ่าย แม้ว่าผู้ชายคนนั้นจะแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่าไม่ได้สนใจใยดีกับข้อเสนอในครั้งนี้เลยสักนิด
“ถ้าฉันจะไปที่นั่น สองพี่น้องก็ต้องไปด้วย”
“...”
“ถ้ายอมรับข้อเสนอได้ ฉันจะคุยเรื่องนี้กับควอนยูริอีกที” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในรถบ้านโดยไม่เปิดโอกาสให้เซฮุนได้พูดอะไรอีก
เช้าวันรุ่งขึ้น
แสงสว่างจากดวงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วท้องฟ้า มันคงเป็นวันดี ๆ วันหนึ่งหากว่าชายหนุ่มทั้งสามคนไม่ต้องออกไปเสี่ยงตายกับฝูงลิงที่อยู่ด้านนอกอุทยาน อี้ฟาน ชานยอล และเทาใส่เสื้อเวสไซราสเตรียมพร้อมแล้ว ส่วนคนอื่น ๆ ก็แยกไปทำตามหน้าที่ ๆ ต้องรับผิดชอบ เหลือเพียงแค่กาฮี คยองซู แบคฮยอนกับซูโฮเท่านั้นที่ยืนอยู่ตรงนี้
ชานยอลใช้เวลานั่งทำทั้งคืนจนถึงเช้า แต่เขาก็ไม่ได้แสดงอาการง่วงเหงาหาวนอนให้เห็น อี้ฟานสะพายไรเฟิลของมินซอกเอาไว้ ส่วนเจ้าตัวได้รับหน้าที่ดูแลคนป่วยในบ้านทั้งสองหลังโดยมีคนอื่น ๆ ช่วยกันอีกแรง ส่วนซีวอนจำเป็นต้องอยู่ช่วยอี้ชิงหากว่าจงแดมีอาการผิดปกติ โชคดีที่เมื่อคืนชานยอลได้ยาปฏิชีวนะมาด้วย และมันจำเป็นต้องใช้หากว่าแผลของจงแดอักเสบขึ้นมา
สีหน้าทุกคนต่างอิดโรย ในทีแรกปาร์คกาฮีบอกว่าจะไปด้วยแต่ลูกศิษย์ของเธอห้ามไว้เสียก่อน ถึงหญิงสาวจะพอมีทักษะเรื่องการเอาตัวรอดอยู่บ้าง แต่การต่อสู้กับลิงที่ไวกว่าพวกกัดคนนั้นหวงจื่อเทาไม่เห็นด้วย ขนาดตัวเขายังเคยพลาดมาแล้ว นับประสาอะไรกับผู้หญิงอย่างเธอ
“ผมไปด้วย” ร่างเล็กก้าวออกมา ทุกคนหันไปมองเด็กหนุ่มที่มีสีหน้ามุ่งมั่น บยอนแบคฮยอนไม่ได้มีสีหน้าตื่นกลัวหรือลังเลใด ๆ ถ้าเทียบกับเมื่อครึ่งปีที่แล้ว “ผมระวังหลังให้พวกคุณได้”
“...”
ไม่มีใครห้ามแม้แต่ปาร์คชานยอล ทั้งสองคนมองหน้ากันราวกับจะให้อ่านความคิดอีกฝ่ายทางสายตา ข้อแรกแบคฮยอนอาจจะอยากทำอะไรมากกว่าคอยยกถังน้ำที่เหม็นกลิ่นคาวเลือด หรือบางทีเด็กคนนี้อาจจะอยากเป็นกำลังเสริมจริง ๆ
“พอถึงตอนนั้นคงไม่มีเวลาลังเลหรือหันหลังกลับไปช่วยใคร ผมอยากให้คุณรู้ไว้ก่อนว่าถ้าจำเป็นต้องวิ่ง อย่าห่วงคนที่อยู่ข้างหลัง” เป็นประโยคที่ฟังดูเห็นแก่ตัวแต่มันก็เป็นการบอกให้ร่างเล็กรู้ว่าการเข้าไปช่วยคนอื่นตอนที่ฝูงลิงกำลังแห่มาเป็นฝูงนั้นมันไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากจะตายไปด้วยกัน
“ผมว่าเราเดินไปคุยไปดีกว่านะ” สิ้นสุดคำพูดของอี้ฟานทั้งสี่หนุ่มก็เดินเข้าไปในอุทยานด้วยกัน หวงจื่อเทาหันกลับไปมองหน้าครูสาวก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าเขาต้องกลับมาแน่ ๆ
ฉึ่ก!!!
“ให้ตายเถอะ” เทาส่ายหน้าหน่าย ๆ ก่อนจะสลัดคราบเลือดออกจากคมมีดทันทีที่แทงหัวตัวกินคนตายในครั้งเดียว
“พวกนี้ตายเพราะถูกยิงช่วงตัว” ชานยอลพูดจบก็กวาดสายตาไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงทันทีที่เห็นตัวกินคนกำลังควักไส้กวางออกมากินจนเครื่องในทะลักออกมาเต็มพื้นหิมะ ทั้งสี่คนมองหน้ากันก่อนที่อี้ฟานก็เข้าไปแทงหัวมันแล้วชักมีดกลับ
“เราต้องเคลียร์ละแวกนี้ให้แน่ใจก่อนว่าไม่มีพวกตัวกินคนอยู่แล้ว มันคงไม่ดีแน่ถ้าเกิดมีสักตัวหลุดเข้าไปลึกกว่านี้” ทั้งสามคนพยักหน้าหลังจากที่อี้ฟานพูดจบ พวกเขาแยกย้ายกันไปก่อนที่แบคฮยอนจะหยุดชะงักเพราะใครคนหนึ่งคว้าแขนเขาเอาไว้
“ไปกับผม”
“...”
แบคฮยอนไม่ได้ถามว่าทำไม? แต่มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องแย้งเพื่อที่จะได้อยู่ห่าง ๆ ผู้ชายคนนี้ ร่างเล็กเดินตามหลังอีกฝ่าย ทิ้งระยะห่างไว้พอสมควรไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป เด็กหนุ่มก้มลงมองซากศพที่มีคราบเลือดแห้งกรังอยู่ตรงหน้าผากจนไหลซึมลงไปในหิมะ
“เมื่อคืนคุณสู้กับคนพวกนี้เหรอ”
“ครับ”
“คุณฆ่าพวกเขาตายหมดเลยไหม?”
“ผมฆ่าไปสาม คนอื่นไม่รู้” ชานยอลไม่ได้หันไปดูว่าอีกฝ่ายว่ากำลังมองเขาด้วยสายตาแบบไหน ร่างสูงเพียงแค่ใช้มีดตัดกิ่งก้านใบไม้เพื่อเปิดทางเดินเท่านั้น “คุณรู้สึกไม่ดีเหรอ?”
“เปล่า ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้”
“ครับ ไม่มีใครอยากฆ่าใคร” เขายิ้มบาง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว “ทำไมคุณถึงอยากมาล่ะ ทั้ง ๆ จะอยู่รอที่บ้านก็ได้”
“เหตุผลก็คงคล้าย ๆ พวกคุณ แต่ก็ไม่ซะทีเดียว”
“เดี๋ยวนี้หัดเล่นคำพูดเหรอครับ” แบคฮยอนเพียงแค่มองแผ่นหลังกว้างตรงหน้าเท่านั้น เขาไม่รู้ว่าปาร์คชานยอลกำลังอยู่ในอารมณ์ไหนตอนถามคำถามนี้
“ผมอยากช่วยพวกคุณ เหมือนที่พวกคุณพยายามปกป้องผมมาตลอด”
“นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ได้ยินคุณพูดแบบนี้”
“ผมไม่ได้พูดเพราะอยากให้คุณดีใจ”
“ครับ ผมก็ไม่ได้คาดหวังถึงขนาดนั้น”
“...”
เสียงถอนหายใจนั้นเบาหวิว บยอนแบคฮยอนไม่ได้ตั้งใจจะสื่อไปในทางนั้น เพราะเอาเข้าจริง ๆ แล้วเขาก็แค่อยากถามในสิ่งที่รู้ แล้วก็จบด้วยการได้รับคำตอบ ไม่ใช่การวกเข้าเรื่องน่าอึดอัดเหมือนอย่างที่ทั้งคู่มีให้กัน ถึงจะไม่ได้รู้สึกแย่กับผู้ชายคนนี้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะหันหน้าคุยกันได้อย่างปกติโดยที่ไม่ตะขิดตะขวงใจ
“อ่ะ...” แบคฮยอนสะดุ้งเล็กน้อยทันทีที่เผลอเดินชนแผ่นหลังอีกฝ่ายจนเซถอยหลัง เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นก่อนที่เจ้าของร่างผอมสูงตรงหน้าจะหันกลับมามองเขา
“พวกลิงไวมาก คุณคงเห็นแล้วตอนที่พวกมันบุกเข้าไปถึงบ้านพักข้างล่างในวันแรกที่เราหนีเข้ามา”
“ผมรู้”
“อย่างที่ผมบอกไปว่าถ้าจำเป็นต้องวิ่ง...ให้วิ่งเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“...”
“รักชีวิตตัวเองให้มากกว่าชีวิตของคนอื่น จำที่ผมพูดให้ดีนะแบคฮยอน”
เปลือกตาค่อย ๆ ลืมขึ้นมาอย่างช้า ๆ มันหนักอึ้งราวกับว่ามีใครเอาอะไรมาทับมันเอาไว้ แสงสว่างที่มองเห็นบ่งบอกได้ถึงช่วงเวลาของวัน เสียงฝีเท้าที่ย่ำไปบนพื้นไม้นั้นคือสิ่งแรกที่ได้ยิน
“ถ้านับรวมกับวันที่ต้องออกไปหาเสบียง ถือว่าวันนี้คุณตื่นสาย”
“...”
“กำลังจะปลุกให้ลุกมากินอ้วกเด็กพอดี”
ลู่หานเลียริมฝีปากที่แห้งผากแล้วค่อย ๆ หยัดตัวลุกขึ้นพิงหัวเตียง เขามองใบหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่ายที่มาพร้อมกับถ้วยโจ๊กสำเร็จรูปก่อนจะกวาดสายตาไปรอบ ๆ แล้วก็พบว่านี่คือห้องของเขาเอง
“กินหมดแล้วจะได้กินยา” มินซอกยื่นให้ ซึ่งมันผิดวิสัยที่ลู่หานไม่ได้พูดจาอ้อล้อเหมือนอย่างเคย อาจจะเป็นเพราะพิษไข้ที่ขึ้นสูงจนเขาต้องอยู่เช็ดตัวให้ทั้งคืนเลยทำให้ผู้ชายปากมากเงียบไปได้
พอเห็นท่าทางเอื่อยเฉื่อยของคนป่วยแล้วก็หงุดหงิด มินซอกชักมือกลับทั้งที่มืออีกคนยังแตะไม่ถึงถ้วยโจ๊ก ลู่หานขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจแต่ก็เห็นแค่คนข้าง ๆ กำลังถอนหายใจอย่างหัวเสีย
“นั่งอยู่เฉย ๆ นั่นแหละ” มินซอกคนโจ๊กในถ้วยแล้วก้มลงเป่าให้เล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้น แล้วก็พบว่าลู่หานกำลังจ้องเขาอยู่ “คงไม่ต้องกลืนให้นะ”
“...”
“เป็นใบ้หรือไง?” อดไม่ได้ที่จะถาม มันแปลกเกินไปแล้วนะที่ผู้ชายคนนี้เอาแต่เงียบ จนถึงตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม “อ้าปาก”
ลู่หานไม่ได้ขัดใจโดยการนิ่งเฉยไปเลย ผู้ชายคนนี้อ้าปากพอประมาณเพื่อให้ช้อนพลาสติกเข้าไปได้ มินซอกทำอย่างนั้นอยู่หลายนาทีจนลู่หานขอมากินเอง ในทีแรกก็คิดว่าหิวมากแต่พอเห็นลู่หานเป่าถ้วยโจ๊กอยู่ในทีก่อนจะหลับตาแน่นแล้วยกซดรวดเดียวนั่นแหละถึงได้รู้ว่าเจ้าตัวฝืนที่จะกินให้หมดไว ๆ
“ยา...” เสียงของลู่หานแหบจนต้องเอาน้ำเปล่าในขวดมาเปิดฝาออกให้ เขารับน้ำมากระดกเสียอึกใหญ่ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“รีบอะไรขนาดนั้น วันนี้คุณไม่ต้องทำอะไรนอกจากนอนเฉย ๆ บนเตียง” มินซอกวางยาลงบนมือคนป่วยซึ่งลู่หานก็ไม่ยอมเสียเวลานานไปกว่านี้ ราวกับว่าการกินยาลดไข้กับยาแก้อักเสบแล้วพิษไข้จะหายไปในทันทียังไงอย่างนั้น “นอน”
“ขอบใจนะ”
“อืม”
มินซอกหันหลังให้อีกฝ่ายแล้วเอาซากถ้วยโจ๊กที่กินหมดแล้วไปด้วย สองขาหยุดอยู่หน้าประตูมือข้างซ้ายจับลูกบิดเอาไว้ ถ้าลู่หานทำตัวบ้าบอเหมือนปกติเขาคงเดินออกไปได้อย่างไม่มีข้อสงสัย แต่พอเห็นเป็นแบบนี้ก็ไม่สบายใจเลย
เด็กหนุ่มเอี้ยวตัวหันกลับไป ตอนนี้ลู่หานกำลังนอนก่ายหน้าผากราวกับว่ามีเรื่องหนักใจอยู่ในหัว ในทีแรกมินซอกไม่รู้เหตุผว่าลหรอกว่าเพราะอะไรที่ทำให้ผู้ชายคนนั้นนิ่งไปได้ถึงขนาดนี้จนกระทั่งนึกได้ว่าต้นเหตุของอาการไข้ขึ้นสูงที่มาจากการพยายามออกไปตามหาโอเซฮุนทั้งวันโดยที่เจ้าตัวผ่านการตกน้ำมาก่อน
มินซอกเอาขยะไปทิ้งแล้วแวะเอาหม้อไปตักหิมะหน้าบ้าน ใช้เวลาก่อกองไฟอยู่พอสมควรเพราะไม่ค่อยได้ทำเหมือนกับคนอื่น สองมือจับหูหม้อแล้วเอาขึ้นตั้งไฟ รออยู่ราว ๆ สี่ถึงห้านาทีหิมะก็ละลายจนได้น้ำในระดับพอดี ไม่ร้อนและไม่เย็นจนมากเกินไป
ตักหิมะใส่เข้าไปอีกเพื่อลดอุณหภูมิ มินซอกแวะเอาผ้าขนหนูที่ครูสาวซักตากเอาไว้มาพาดกับช่วงแขนแล้วตรงไปยังบ้านหลังที่สอง เด็กหนุ่มได้แต่คิดว่าถ้าลู่หานหลับไปแล้วเขาคงไม่เช็ดตัวให้ แต่การคาดเดาของมินซอกผิด ตอนนี้ลู่หานนั่งอยู่ขอบเตียงพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง เพียงแค่ครู่เดียวก็หันมามองเขาหลังจากเสียงประตูปิดลง
“มีคนสั่งให้มาทำเหรอ...” มินซอกไม่รู้ว่าจะตอบยังไงให้ดูปกติที่สุด แต่ถ้าบอกว่าอยากทำเองมันก็เป็นเรื่องตลกจนเกินไป “วางไว้ตรงนั้นก็ได้นะ...เดี๋ยวพี่ทำเอง”
“ขยับมาทางนี้”
“...”
“เงียบเหมือนเมื่อกี้ก็ดีอยู่แล้ว” มินซอกพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยขณะบิดผ้าขนหนูให้แห้ง ลู่หานหลุบตาลง ถึงจะไม่ได้รู้สึกดีขึ้นกับเรื่องเซฮุนและเรื่องที่ไปช่วยในอุทยานเมื่อคืนไม่ได้ก็ตามที แต่การที่คิมมินซอกอยู่ที่นี่กับเขาก็แทบจะอยากขอบคุณพระเจ้าแล้ว
“ชอบให้พี่เงียบ ๆ เหรอ...”
“แบบไหนก็ไม่ชอบทั้งนั้น” มินซอกนั่งลงข้าง ๆ คนป่วยก่อนจะซับผ้าขนหนูลงบนใบหน้าอีกคนเบา ๆ
“แล้วเราคุยกันได้ไหม?” คำถามของลู่หานมันน่าหงุดหงิดจริง ๆ สำหรับคนที่พูดอยู่คนเดียวมาเกินครึ่งชั่วโมงอย่างเขา มินซอกถอนหายใจหน่าย ๆ ทั้งที่ไม่มองหน้าอีกฝ่าย นึกอยากจะคุยอะไรตอนนี้ “หงุดหงิดพี่อีกแล้วล่ะสิ”
“กับเรื่องไม่ดีนี่เข้าใจง่ายจังนะ”
“เพราะมันแทบจะไม่มีเรื่องดีเกิดขึ้นระหว่างเราเลยไง”
“เรื่องนั้นผมรู้ตั้งแต่คุณก้าวเข้ามาในชีวิตผมแล้ว” นึกย้อนไปถึงวันนั้นที่ทุกคนยังอยู่ในโรงเรียน และมันทำให้ลู่หานรู้สึกผิดอีกครั้งที่ไม่ได้สร้างความทรงทำดี ๆ ให้มินซอกเลย
“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องของเราจะแย่ไปกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?”
“ตอนนี้ห่วงตัวเองก่อนเถอะ” ร่างเล็กหันกลับไปบิดผ้าขนหนูใหม่อีกครั้ง ระหว่างนั้นลู่หานก็ถอดเสื้อตัวนอกออกและตามด้วยเสื้อยืดตัวที่อยู่ข้างใน มินซอกหันมาก่อนจะขมวดคิ้วมองอีกฝ่าย “เป็นบ้าเหรอ ถอดออกทำไม”
“ก็เราจะเช็ดตัวให้พี่ไม่ใช่เหรอ?”
“ใส่เสื้ออยู่ก็เช็ดได้ ผมไม่ได้หวังดีถึงขั้นจะเช็ดทุกซอกทุกมุมให้ขนาดนั้น ส่วนใต้ร่มผ้าก็เชิญเช็ดเอง”
“อ่า” คนป่วยขมวดคิ้ว มินซอกถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนจะจับแขนอีกคนมาเช็ดให้อย่างหัวเสีย “เรานี่...เคยเป็นยังไงก็ยังเป็นอย่างนั้นเหมือนเดิมเลยนะ”
“จะหลอกด่าหรือไง” ลู่หานหัวเราะในลำคอเบา ๆ ขณะมองเด็กแว่นหน้าบึ้งที่กำลังถูแขนเขาแรงขึ้นเรื่อย ๆ
“ถึงจะไล่พี่ให้ไปไกล ๆ แค่ไหน แต่รู้ไหมว่าเรานั่นแหละเป็นคนยื้อพี่เอาไว้”
“คิดไปเองทั้งนั้น”
“ขอบใจนะมินซอก” ลู่หานยิ้มบาง ๆ ซึ่งเขาไม่ชินเลยกับมุมนี้ มินซอกวางมือลงแล้วจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างจริงจัง
“มันไม่ใช่ความผิดของคุณ”
“...”
“ทั้งเรื่องเซฮุนแล้วก็เรื่องอุทยานเมื่อคืนด้วย สิ่งที่คุณควรทำตอนนี้ไม่ใช่เหม่อไปเรื่อยเปื่อย แต่คุณควรพักผ่อนให้หายไว ๆ แล้วก็ออกไปจัดการทุกอย่างที่คาใจซะ”
“...”
“แล้วก็เลิกทำเป็นซึ้งสักทีเถอะ อย่างคุณน่ะทำตัวเป็นผีเจาะปากเหมือนเดิมก็เหมาะแล้ว” มินซอกก้ม ๆ เงย ๆ มองหน้าอีกฝ่าย เขาพยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติที่สุดกับการฝืนพูดให้กำลังใจอีกฝ่ายทั้งที่เขาก็ไม่ได้อยากพูดมันออกมานัก
“เราชอบให้พี่เป็นแบบไหนพี่ก็จะเป็นแบบนั้นแหละ”
“เพ้อเจ้อ เป็นตัวของตัวเองไปสิจะมาทำเพราะคนอื่นชอบทำไม พิลึกคน”
“โอ้ย! พี่เจ็บนะเปาจื่อ” ลู่หานขมวดคิ้วชักแขนกลับเพราะอีกฝ่ายออกแรงถูจนเขาแสบไปหมดแล้ว
“ก็สมน้ำหน้าแล้ว ทำไมต้องให้ผมมาพูดอะไรแบบนี้ด้วย ผมเกลียดคุณจะตายอยู่...อ่ะ!” มินซอกเบิกตาอย่างตกใจเพราะถูกสวมกอดโดยไม่ทันได้ตั้งตัว รู้สึกได้ถึงไอร้อนจากร่างกายอีกฝ่ายที่ส่งต่อมายังเขา คางมนเกยกับไหล่ที่ร้อนระอุเพราะพิษไข้ก่อนจะหลับตาแน่นเมื่อลู่หานออกแรงกระชับกอด
“พี่กลัวเซฮุนตาย...ได้ยินไหมมินซอก”
“...”
“ถ้าเด็กคนนั้นเป็นอะไรไป...ความพยายามของไอ้จงอินมันก็สูญเปล่า...แล้วพี่คงให้อภัยตัวเองไม่ได้...” เสียงของลู่หานแผ่วลงและแฝงไปด้วยความหวาดกลัว แน่นอนว่ามันสื่อออกมาจากทางน้ำเสียงและทางอ้อมกอดได้เป็นอย่างดี
มินซอกค้างมือไว้กลางอากาศ เขาให้สมองได้ตัดสินใจว่าควรจะทำยังไงกับผู้ชายคนนี้ดีระหว่างอยู่เฉย ๆ หรือผลักออกไป มันไม่เข้าท่าตั้งแต่ที่เขาเลือกเข้ามาดูแลลู่หานแทนที่จะเป็นคยองซูแล้ว
แต่สุดท้ายคิมมินซอกก็ให้ความรู้สึกตัดสินแทนสมอง สองมือค่อย ๆ กอดตอบอีกคนเพื่อให้ความอบอุ่นและการปลอบใจ ผู้ชายคนนี้ไม่เคยกลัวตาย อีกทั้งยังหัวดื้อไม่ฟังใคร แต่ร่างของลู่หานกำลังสั่นเทาทั้งที่อยู่ในอ้อมกอดเขา
“แค่เรื่องไอ้จงอินคนเดียวพี่ก็จะบ้าตายอยู่แล้วมินซอก...”
“...”
“พี่เริ่มจะไม่ไหวแล้ว เราจะต้องเห็นคนอื่นจากไปอีกกี่คนถึงจะพอ”
“...”
“จนกว่าจะเหลืออยู่ตัวคนเดียวงั้นเหรอ...” ลู่หานเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่ง “แล้วถ้าเราเป็นอะไรไปอีกคน พี่จะทำยังไง?”
“ช่วยห่วงตัวเองก่อนห่วงคนอื่นได้ไหม” เสียงของมินซอกไม่ได้ประชดประชัน มันเบาบางราวกับจะเตือนสติลู่หานว่าไม่ควรเห็นคนอื่นมาก่อนตัวเอง “เพราะถ้าคุณยังเห็นการเสี่ยงตายเป็นเรื่องเล่น ๆ วันหนึ่งอาจจะเป็นผมก็ได้ที่ต้องกลัว”
“...”
“ผมจะอยู่เกลียดคุณไปเรื่อย ๆ แบบนี้แหละ อย่าชิงตายไปก่อนล่ะ ผมไม่อยากอยู่คนเดียว”
ทั้งที่มันเป็นประโยคที่ไม่น่าจะรู้สึกดีได้แต่เชื่อเถอะว่ามันทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในความเศร้ามีกำลังใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ลู่หานกระชับกอดแน่นยิ่งขึ้นและมินซอกก็เช่นกัน ในเวลาแบบนี้ชายหนุ่มไม่ได้ต้องการได้ยินคำว่ารักหรือคำปลอบใจจากคนตรงหน้า แต่สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดก็คือ...
เสียงลมหายใจที่ยังผ่อนเข้าออกอย่างสม่ำเสมอของทุกคนที่เป็นครอบครัวของเขา...
TBC
เคลียร์เวที MNet / Music Bank / Music Core / Inkigayo ให้หน่อยค่ะ น้องคัมแบคสเตจแล้ว 55555555555555555555555555555555555555555555
ความคิดเห็น