คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #81 : Chapter 76 :: The One That Got Away
Chapter 76
The One That Got Away
ท้องฟ้ามืดแล้ว ตอนนี้น่าจะประมาณสองทุ่มหรืออาจจะดึกกว่านั้น คนอื่น ๆ คงอยู่หน้ากองไฟหรือไม่ก็รวมตัวอยู่ในห้องที่เซฮุนพักฟื้น ในขณะที่แบคฮยอนเลือกที่จะนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงเงียบ ๆ ตามลำพัง
วันนี้เขาได้รู้แล้วว่าความมืดนั้นเป็นเพื่อนสนิทกับความเงียบ มันช่างเข้ากันได้ดีอย่างไม่มีข้อบกพร่อง ก่อนหน้านี้ซูโฮมาเคาะประตูห้องเรียกให้ออกไปกินข้าวด้วยกันแต่เชื่อไหมว่าตลอดทั้งวันเขาแทบจะไม่รู้สึกถึงคำว่าหิวเลย สิ่งที่บยอนแบคฮยอนรู้สึกได้ในตอนนี้นั้นมีเพียงแค่ความเจ็บปวดตามร่างกาย กับความหวาดกลัวถึงการสูญเสียที่กระซิบบอกอยู่ข้างหูอยู่ตลอดเวลาว่าจงอินคงไม่โชคดีอย่างที่เขาคิดเอาไว้
เด็กหนุ่มซบหน้าลงกับหัวเข่าแล้วหลับตา ได้แต่คิดว่าทำไมเรื่องราวมันถึงกลายเป็นแบบนี้ทั้งที่ทุกคนแค่อยากมีชีวิตต่อไป บยอนแบคฮยอนเคยคิดว่าเขาคงอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปได้แม้ว่าจะไม่มีเหลือใครอีกแล้ว ขอเพียงแต่มีคนกลุ่มนี้ คนที่เป็นครอบครัวใหม่ซึ่งไม่เคยทิ้งเขาไว้ข้างหลัง
เสียงประตูห้องเปิดออก แสงสว่างจากตะเกียงทำให้มองเห็นใบหน้าของผู้มาใหม่ได้ไม่ยาก ทั้งคู่สบตากันอยู่ครู่เดียวร่างสูงก็เดินเข้ามาข้างในก่อนจะวางตะเกียงไว้บนโต๊ะข้างเตียง แบคฮยอนมองกล่องพยาบาลที่อยู่ในมืออีกคนก่อนจะเงยหน้าขึ้นเป็นเชิงถาม
ชานยอลหยัดตัวนั่งลงกับขอบเตียง เขาเว้นระยะพื้นที่ไว้พอสมควรเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดกับการมาของเขามากนัก ทั้งคู่ไม่มีใครเอ่ยปากพูดก่อน ซึ่งแบคฮยอนก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับรอยยิ้มที่มาพร้อมกับประโยคทักทายจากผู้ชายคนนี้ คนตัวเล็กมองอีกคนที่กำลังสนใจอยู่กับกล่องพยาบาล ขวดเบตาดีน ซองสำลีกับแผงพลาสเตอร์ถูกหยิบออกมาวางไว้อย่างเป็นระเบียบโดยนิสัย แน่นอนว่ามันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจให้แบคฮยอน
“ผมกลัวคุณหลับอยู่ก็เลยไม่ได้เคาะประตู” ชานยอลพูดทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย “มันทำให้คุณรู้สึกไม่ดีหรือเปล่าครับ?”
“ผมควรตอบยังไง” ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองแววตาคู่นั้นที่กำลังหวังคำตอบจากปากเขาเช่นกัน แม้แต่ตัวชานยอลเองก็ยังไม่รู้ว่าคนตรงหน้าจะรู้สึกยังไงกับการมาของเขาในครั้งนี้
“เห็นคุณไม่ออกไปทานข้าวพร้อมคนอื่น ๆ”
“ผมไม่หิวน่ะ” แบคฮยอนชักมือกลับตามสัญชาติญาณเมื่ออีกฝ่ายเอื้อมมากุมมือ และดูเหมือนว่าชานยอลจะตกใจกับท่าทีของคนตัวเล็กอยู่เหมือนกัน
“ผมต้องขออนุญาตทำแผลให้คุณหรือเปล่า?”
“...” แต่พอเห็นว่ามืออีกข้างของร่างสูงถือสำลีชุบแอลกอฮอล์ล้างแผลแบคฮยอนก็เลยยอมให้อีกฝ่ายประคองมือไปทำแผลแต่โดยดี
“จะช่วยประหยัดเสบียงหรือไงครับ” แบคฮยอนไม่ได้ตอบกลับมาแม้ว่าเขาจะพยายามชวนคุยก็ตาม ทันทีที่สำลีแตะลงบนรอยถลอก ชานยอลรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเกร็งเพราะความแสบร้อนของมัน “มีโจ๊กสำเร็จรูปอยู่ ถ้าคุณหิวผมจะเทใส่น้ำร้อนให้ทาน”
“ผมไม่เป็นไร ขอบคุณนะ”
“ปกติคุณก็ทานน้อยอยู่แล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ไปนาน ๆ อาจเป็นโรคกระเพาะได้” ร่างสูงประคองมือคนตรงหน้าขึ้นมาก่อนจะพ่นลมอ่อน ๆ ลงไป
“ถ้าเรื่องปวดท้อง ผมปวดจนชินแล้วล่ะ”
“ถ้าชินแล้วคุณจะไม่รู้สึกถึงมันหรอกครับ” ชานยอลเงยหน้าขึ้น เขาสบตากับคนตรงหน้าอยู่พักหนึ่งก่อนจะประคองใบหน้าคนตัวเล็กเอาไว้แล้วแตะสำลีลงไปตรงโหนกแก้มอย่างเบามือ “นึกถึงผลระยะยาวด้วยสิ”
“...”
“...”
“จงอินไม่อยู่แค่วันเดียวคุณก็บ่นแทนเขาแล้วเหรอ” ทันทีที่พูดจบชานยอลก็หัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วก้มลงแกะพลาสเตอร์แปะลงบนรอยแผลให้อีกคน
“จงอินชอบบ่นคุณเหรอครับ?”
“ใช่ เขาน่ะชอบทำตัวเหมือนคนแก่”
“อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน ไม่ยักรู้ว่าเขาเป็นคนชอบพูด”
“อาจจะแค่กับคุณก็ได้” ชานยอลเบนความสนใจจากรอยแผลไปสบตากับคนที่กำลังต่อปากต่อคำกับเขา
“คุณอาจจะติดนิสัยนั้นมาจากเขา”
“หมายถึงชอบพูดน่ะเหรอ” ชานยอลพยักหน้าแล้วเสยผมม้าคนตรงหน้าขึ้นเล็กน้อย แบคฮยอนหลุบสายตาลงเมื่อสัมผัสของอีกฝ่ายมันทำให้เขากำลังอึดอัดจนทำตัวไม่ถูก พอเห็นแบบนั้นชานยอลเลยเชยคางอีกคนขึ้น
“ผมอยู่ตรงนี้อีกแค่ไม่นานเดี๋ยวก็ไปแล้ว”
“...”
“คุณเลือกที่จะหลับตาได้ถ้าไม่อยากมองหน้าผม”
“...”
“ฝืนอีกหน่อยนะครับ” สีหน้าของปาร์คชานยอลเปลี่ยนไป คนที่พูดจาหยั่งเชิงเมื่อก่อนหน้านี้หายไปไหนแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ผู้ชายคนนึงที่แสดงออกทางสีหน้าว่ากำลังเจ็บปวดกับสิ่งที่เขาเป็นอยู่
ถ้าบยอนแบคฮยอนไม่คิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไป
“คุณไม่เห็นต้องพูดแบบนี้เลย” ร่างสูงชะงักมือทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ แบคฮยอนไม่ได้หลับตาขณะที่เขากำลังทำแผลให้ ไม่ได้เบือนหน้าหลบไปอีกทางเพราะไม่อยากทนมองเขาจากความจงเกลียดจงชังเรื่องราวในอดีต ใช่...ตอนนี้แบคฮยอนกำลังจ้องหน้าเขาอยู่ “คุณนั่นแหละทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้”
“...”
“ถ้าคุณไม่สนใจผมเหมือนตอนนั้นผมอาจจะไม่เป็นไรก็ได้” มือแกร่งค่อย ๆ ผละออกจากหน้าผากมนหลังจากแตะพลาสเตอร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็ยังไม่ละสายตาไปไหน “แผลพวกนี้ก็ด้วย”
“...”
“คุณไม่รำคาญผมแล้วเหรอ”
“...”
“ไม่พยายามหลบหน้าผมแล้วเหรอ?”
“...”
“ไม่ปล่อยผมไว้คนเดียวอีกแล้วเหรอครับ?”
“แบคฮยอน...”
“ไม่เอาแล้วนะ...” ชานยอลชะงักเมื่อได้ยินเสียงสั่นเครือของอีกฝ่ายอีกทั้งน้ำตาที่คลออยู่เหมือนจะไหลออกมารอมร่อ “แค่เรื่องจงอินผมก็จะแย่แล้ว”
“...”
“ถ้ามีเรื่องคุณเพิ่มมาอีกผมก็ไม่รู้จะเข้มแข็งต่อไปไหวไหม”
แบคฮยอนก้มหน้าแล้วหลับตาลง เหนื่อยเหลือเกินที่ต้องพยายามเข้มแข็งทั้งที่ในใจมันบอกว่าไม่ไหวอยู่ตลอดเวลา แต่พอมีความคิดแบบนั้นเข้ามาในหัวทีไรเขาก็จะบอกกับตัวเองให้เอาชนะไอ้ขี้แพ้คนเดิมให้ได้ ถึงมันจะเป็นเรื่องยากมากแต่เขาก็ได้พยายามแล้ว
เด็กหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อร่างของเขาถูกรั้งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด มือแกร่งที่เคยทำรุนแรงตอนนี้กำลังค่อย ๆ ลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน หยดน้ำตาไหลอาบแก้มเมื่อความรู้สึกเดิม ๆ ย้อนกลับมาอีกครั้ง ผู้ชายที่เคยใจดีกับเขานั้นเคยหายไปและดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นได้กลับมาแล้ว มือเล็กที่วางอยู่บนอกแกร่งกำลังสั่น แบคฮยอนไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะตัวเขากำลังร้องไห้หรือเป็นเพราะประหม่าจนทำตัวไม่ถูกกันแน่
ชานยอลเอื้อมมือมาทาบกับมือแบคฮยอน เขาเพียงแค่กุมไว้หลวม ๆ เท่านั้นเพื่อไม่ให้คนตัวเล็กต้องเจ็บเพราะสัมผัสเขา ไม่มีใครถามหรือพูดอะไรอีก ราวกับว่าสิ่งที่ร่างสูงกำลังทำอยู่มันคือคำตอบที่อีกคนต้องการ
แบคฮยอนปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน ถึงจะอยู่ในความกลัวและไม่แน่ใจ แต่ลึก ๆ แล้วความรู้สึกของเขามันยังบอกว่าปาร์คชานยอลคนนั้นไม่ได้หายไปไหน...
“ผมอยู่ตรงนี้แล้วแบคฮยอน”
ปึง!
ทั้งคู่ปิดประตูรถพลางทอดสายตาไปยังถนนเบื้องหน้าที่มีพวกผีดิบยืนอยู่ตามจุดประปราย พวกมันก็เอื่อยเฉื่อย เชื่องช้า อาจเป็นเพราะสภาพอากาศหรือเพราะว่าไม่มีอาหารตกถึงท้องมานานแล้วเขาก็ไม่สามารถรู้ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้
ลู่หานหันไปพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้มินซอกเดินตามมาก่อนจะอ้าปากหาวอย่างไม่กระดากอาย คนตัวเล็กส่ายหน้าหน่ายแล้วมองอีกคนที่กำลังชักมีดดาบออกมาฟันคอผีดิบที่ยืนอยู่ทางด้านข้างภายในครั้งเดียวก่อนจะกระโดดข้ามศพไปอย่างไม่ยี่หระ
“มีดดาบเล่มนี้อยู่กับคุณมานานพอสมควรเลยนะ”
“ไอ้นี่เหรอ?” ลู่หานหันกลับไปหาอีกคนก่อนจะมองอาวุธในมือ “ใช่ นานพอ ๆ กับไม้เบสบอลของแบคฮยอนนั่นแหละ...อุ่บ!”
พูดจบก็รีบตะปบปากตัวเองเมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดคำต้องห้ามออกไป ลู่หานเหล่มองคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้ การเอ่ยชื่อของคนที่คุณก็รู้ว่าใครต่อหน้ามินซอกมันเป็นการเอาสำลียัดรูจมูกแล้วพาตัวเองเข้าไปนอนในโลงเย็น ๆ โดยที่ยังไม่ตาย แต่ถึงอย่างนั้นมินซอกก็ยังปั้นหน้านิ่งไม่ได้แสดงอาการมากไปกว่าที่เป็นอยู่
“โทษที”
“เรื่อง?”
“ที่พูดถึงแบคฮยอนไง”
“คิดว่าผมแคร์หรือไง?”
“แคร์หน่อย นี่อ่อยเลยนะ”
“เร็วไปสิบปี” มินซอกส่ายหน้าก่อนจะสะดุ้งถอยหลังเมื่อจู่ ๆ ก็มีผีดิบโผล่ออกมาจากตรอกทางด้านข้าง แต่เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้นผู้ชายน่ารำคาญก็จัดการทันทีก่อนที่มันจะมีสิทธิ์เข้าใกล้ตัวเขา
“ปากดีไปเถอะ ทีเมื่อวานยังเห็นทำท่าจะเป็นจะตายอยู่เลย”
“เมื่อวานก็ส่วนเมื่อวาน วันนี้ก็ส่วนวันนี้สิ”
“เหรอ” มินซอกแค่นยิ้มขณะที่อีกคนกำลังค้นตัวศพ มันเป็นเรื่องไร้สาระจริง ๆ ที่เขาต้องมายืนดูอะไรแบบนี้ทั้งที่รอบข้างเต็มไปด้วยร้านค้าและแน่นอนว่ามีพวกกัดคนส่วนหนึ่งอยู่ข้างใน บางทีลู่หานควรจะสำเหนียกได้ว่าตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมาเอ้อละเหย ทั้งที่เป็นคนบอกเองแท้ ๆ ว่าแผนการวันนี้คือมาหาแว่นใหม่ให้เขาแล้วก็รีบไปตามหาจงอิน
คนตัวเล็กขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายได้อะไรบางอย่างติดมืออกมาแล้วก็พบว่ามันเป็นเศษเหรียญห้าร้อยวอนที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงศพของยาม ลู่หานยิ้มพอใจ สายตาจับจ้องไปยังเหรียญเก่า ๆ ในมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กกว่า
“โชคดีชะมัด”
“โจรกระจอก”
“อะไรเล่าเปาจื่อ ไม่เคยเก็บเงินได้หรือไง” บ่นอุบอิบแล้วดีดเหรียญให้ลอยขึ้นกลางอากาศก่อนจะคว้ามันเอาไว้ “เหรียญนำโชค”
ลู่หานเก็บเศษเงินใส่กระเป๋ากางเกงแล้วถือวิสาสะจูงมือมินซอกให้เดินไปด้วยกัน คนตัวเล็กถอนหายใจแล้วใช้มืออีกข้างแกะออกแต่ก็ไม่เป็นผล หนำซ้ำผู้ชายตรงหน้ายังออกแรงเพิ่มขึ้นอีก
“ที่ผมมากับคุณ มันไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำแบบนี้ได้นะ”
“อ้าวเหรอ ทำไงดีล่ะจับไปแล้ว อู้ยยยยยยย” ลู่หานตีหน้าซื่อ
“ถามโง่ ๆ ก็ปล่อยซะสิ” มินซอกมองด้วยสายตาที่คน ๆ หนึ่งจะเอือมคนนึงได้
“ปล่อยก็บ้าแล้ว” ลู่หานยิ้มทะเล้นก่อนจะสอดประสานมือคนตัวเล็กให้เดินไปจัดการตัวกินคนที่กำลังเดินโซเซมาทางนี้ด้วยมือเดียว
“อย่าทำเป็นเล่นไป”
“พี่ดูเหมือนคนกำลังเล่นอยู่เหรอ?”
“คงไม่ ถ้าโลกนี้ไม่ได้เต็มไปด้วยพวกกัดคน นี่คุณจะบ้าเหรอเดินจูงมือผมไปตามถนนแล้วฟันคอพวกมันแบบนั้น” สุดจะเหลืออด บางทีคิมมินซอกอาจจะคิดผิดก็ได้ที่เสนอตัวมากับไอ้บ้านี่ ทั้งที่กลัวว่าลู่หานจะเครียดมากจนสติแตกฝ่าฝูงพวกกัดคนเข้าไปถล่มค่ายอย่างบ้าคลั่ง ก็เลยคิดว่าถ้าเขามาคอยเตือนสติให้ระหว่างทางอาจจะเป็นการดีกว่า
“ไม่บ้าหรอก ฆ่ามันน่ะง่ายกว่าการเอาชนะใจเราอีก”
“หุบปากได้แล้วลู่หาน”
“ขอปฏิเสธ” เจ้าของชื่อกำด้ามมีดดาบไว้พร้อมกระดิกนิ้วชี้ มินซอกกัดฟันแน่นแล้วหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะฟาดมือลงกลางหัวอีกฝ่ายอย่างเหลืออด
“โอ้ย!!!!”
“ดังกว่านี้ พวกกัดคนจะได้แห่มาที่นี่กันหมด คุณจะได้เล่นกับพวกมันจนกว่าจะพอใจไง”
“เจ็บนะเปาจื่อ”
“อย่า...เรียก...ชื่อ...นั้น...อีก” ลู่หานลูบหัวตัวเองแล้วอมยิ้มขณะสบตากับคนตัวเล็กที่กำลังมองคาดโทษเขาอยู่
“เปาจื่อ <3”
“ไปตายซะ”
“ตายก็บ้าแล้ว นรกไม่มีเปาจื่อใครจะไปให้โง่” คนทะเล้นยักคิ้วแล้วดึงให้มินซอกเข้ามาเดินข้างในให้ห่างจากกองหิมะบนฟุตปาธ “ระวังหน่อย ในนั้นอาจจะมีพวกมันอยู่”
“หิมะน่ะเหรอ”
“ใช่ ไม่ได้อยากตอกย้ำหรอกนะแต่ว่าอึนจีน่ะ...อืม...” ลู่หานเม้มปากแล้วชี้กองหิมะเป็นเชิงบอกกราย ๆ ว่าเพื่อนของมินซอกถูกกัดเพราะอะไร
“เรื่องนั้นผมรู้แล้ว”
“ก็ดี จะได้ระวังตัวเอาไว้” ชายหนุ่มว่าแล้วเอาท้องแขนเช็ดฝ่ามัวกระจกร้านแว่นเมื่อพวกเขามาถึงที่หมายแล้ว มินซอกมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างหวาดระแวง แทบจะนับครั้งได้เลยกับการที่เขาออกมาผจญภัยแบบนี้นอกจากการลงสนามจริงอย่างตอนไปช่วยอี้ฟานและค่ายทหารครั้งล่าสุด ลู่หานส่องไฟฉายเพื่อสำรวจความปลอดภัยก่อนจะผลักประตูเข้าไปในร้าน มันเป็นโชคดีของทั้งคู่ที่ประตูไม่ได้ล็อกไว้
“ถ้าผมจะโดนกัดคงไม่ใช่ที่ขา” ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางหันกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง มินซอกถลกขากางเกงให้ดูแล้วเขาก็เลิกคิ้วอย่างสงสัย
“อะไร”
“นั่นน่ะสิ” เจ้าตัวว่าแล้วยกขาที่ถูกพันด้วยนิตยาสารคาดเทปผ้าขึ้นมา “มีคนทำให้ หมอนั่นบอกว่ามันช่วยให้รอดตายจากการถูกกัดได้”
“หมอนั่น?”
“คนที่คุณคาดไม่ถึงน่ะ” มินซอกยักไหล่แล้วเปิดไฟฉายก่อนจะเดินเข้าไปสำรวจภายในร้านและทิ้งให้ใครอีกคนยืนงงอยู่ตรงนั้น
เสียงประตูปิดลงครั้งแล้วครั้งเล่า เซฮุนจำไม่ได้ว่ามีใครบ้างที่เข้ามาในห้องนี้เพื่อดูว่าเขาตายหรือยัง มีเพียงแค่ชานยอลคนเดียวเท่านั้นที่เข้ามาถามไถ่ว่าหิวไหม อาการเป็นยังไงบ้างและมันก็จบเหมือนกับทุกครั้งคือการส่ายหน้าเป็นคำตอบ
มันอาจจะเป็นข่าวดีของคนอื่นที่โอเซฮุนยังมีชีวิตอยู่แต่เขากลับไม่รู้สึกอย่างนั้น มันอาจจะดีกว่านี้หากว่าคนที่โดนลากกลับไปค่ายทหารกลายเป็นเขาแทนที่จะเป็นจงอิน ความรู้สึกในตอนนี้มันช่างขัดแย้งกัน เสียงหนึ่งบอกให้สายตาคู่นี้มองออกไปนอกหน้าต่างดึงความสนใจและความรู้สึกไว้กับจุดนั้นเพื่อที่เขาจะไม่ต้องคิดถึงเรื่องการจากไปของจงอิน
เสียงที่สองบอกให้ปล่อยไปตามความรู้สึก และแน่นอนว่าทุกครั้งที่ภาพของใครอีกคนผุดเข้ามาในหัวสิ่งที่ตามมาก็คือน้ำตา มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้...ทุกคนต่างพูดอย่างนั้น แต่สำหรับเซฮุนมันก็เป็นเพียงแค่คำปลอบใจเพื่อที่จะไม่ให้เขารู้สึกผิดกับตัวเองไปมากกว่านี้
ทุกอย่างมันว่างเปล่า ขาวโพลนเหมือนกับหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาไม่มีผิด ถ้าไม่นับร่างกายที่อ่อนเพลียไร้เรียวแรงเขาก็ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกใด ๆ ได้อีกนอกจากความเจ็บปวดตรงหน้าอกข้างซ้าย มันเป็นเหมือนแผลสดที่ทำให้รู้สึกถึงมันทุกวินาทีเพียงแค่คิดว่าจงอินไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว มือเรียวลูบไปตามผืนเตียงสีขาว ตรงที่เคยมีใครอีกคนนอนอยู่ตรงนี้ ที่ ๆ เขาทั้งคู่มอบไออุ่นให้กันและกันในวันที่เหน็บหนาว
ชานยอลบอกว่าลู่หานกับมินซอกกำลังออกไปตามหาจงอิน นั่นเป็นความหวังสุดท้ายของคนที่ทำได้เพียงแค่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บนเตียงอย่างเขา หลังจากฟังเรื่องตอนเกิดเหตุแล้วก็ช็อกจนพูดไม่ออก จงอินถูกทำร้ายโดยทหารกลุ่มหนึ่งและคงสาหัสพอสมควร จากที่เคยอยู่ที่นั่น เคยถูกปฏิบัติยังไงมันก็พอทำให้รู้ได้ว่าคนพวกนั้นคงไม่ใจดีปล่อยให้จงอินกลับมาง่าย ๆ แน่
อี้ฟานกับชานยอลผลัดกันสลับมานั่งเฝ้าดูอาการเขา เบื้องต้นอาจจะเป็นความหวังดีหรือบางทีสองคนนั้นอาจจะกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนเป็นพวกกินคนแล้วพังประตูออกไปไล่เที่ยวกัดใคร ซึ่งทั้งหมดมันเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าเลย...เซฮุนคิดอย่างนั้น
เด็กหนุ่มไม่สามารถควบคุมความคิดตัวเองได้และไม่สามารถมองโลกในแง่ดีได้อีก แม้ว่าทุกคนจะไม่ตำหนิ ไม่กล่าวโทษสักคำ แต่โอเซฮุนกลับรู้สึกเหมือนมีคนเป็นร้อยเป็นพันกำลังตะโกนใส่หูว่าทุกอย่างมันเป็นความผิดของเขาคนเดียว
ที่จงอินต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ก็เพราะโอเซฮุนคนเดียว...
“...”
เสียงประตูเปิดออกอีกแล้ว เด็กหนุ่มไม่ได้หันไปดูว่าใครเป็นคนเข้ามาดูอาการเขาทุก ๆ หนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ชานยอลเพิ่งออกไปเมื่อไม่นานมานี้ เสียงเก้าอี้ลากมาจากทางด้านขวา ถึงจะเอาแต่ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างแต่สุดท้ายเขาก็ได้เห็นหน้าผู้มาใหม่อย่างชัดเจน
“ชานยอลบอกว่านายไม่ยอมกินข้าว หัดเป็นคนหัวดื้อตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“สภาพฉันตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการนั่งกับนอนหรอก”
“เหรอ” หวงจื่อเทาหลุบตาลงมองถ้วยโจ๊กสำเร็จรูปที่อยู่ในมือ เขารู้ว่าถ้าหากเริ่มบทสนทนากับเซฮุนแล้วจะได้รับอะไรตอบกลับมาบ้าง มันคงไม่ต่างจากที่อี้ฟานกับชานยอลเจอ แล้วมันก็ใช่จริง ๆ เซฮุนไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าเขาเกินสามวินาที “ถ้าทำได้แค่นั้นฉันจะป้อนนายแล้วกัน”
“เทา” เจ้าของชื่อกำลังมองคนป่วยที่นั่งอยู่บนเตียง “ดูไม่ออกเหรอว่าฉันกำลังรู้สึกยังไง” พูดจบก็ทิ้งจังหวะไปครู่หนึ่ง
“ดูออกสิ” เทาคนโจ๊กเหลวในถ้วยแล้วเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม “ฟังนะ” เซฮุนยังคงมองหน้าเพื่อนตัวสูงอยู่อย่างนั้น และดูเหมือนว่าเทากำลังใช้เวลาเพื่อเรียบเรียงคำพูดดี ๆ ในการสื่อให้อีกฝ่ายฟัง
“ตอนที่นายกับไอ้จงอินขับรถออกไปจากอุทยาน ฉันโกรธมากแต่ทำอะไรไม่ได้ ในหัวฉันมีแต่คำถามว่าทำไม? มันเรื่องอะไรที่พวกนายต้องดิ้นรนไปที่นั่น? สิ่งที่เราต้องทำไม่ใช่คือการมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อวันพรุ่งนี้หรอกเหรอ? มั่นใจได้ยังไงว่าค่ายนั้นมันดีอย่างที่คิด? แล้วยิ่งได้ยินจากปากไอ้ลู่หานว่านายสองคนกำลังอยู่ในอันตรายฉันก็ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่”
“...”
“ฉันคิดในใจว่า ‘เห็นไหม กูพูดผิดซะที่ไหน’ แม้แต่ตอนไปช่วยถึงที่นั่นฉันก็ยังโกรธอยู่ คิดว่าถ้าเจอหน้านายแล้วจะด่าให้หายโง่สักที” ทั้งคู่สบตากันก่อนที่เซฮุนจะเป็นฝ่ายเปิดประโยคต่อไป
“แต่สุดท้ายนายก็มานั่งอยู่ตรงนี้ แล้วก็ทำท่าเหมือนจะป้อนข้าวฉัน”
“ถ้านายกินเองได้ฉันคงไม่ทำเรื่องโง่ ๆ แบบนี้หรอก”
“จงอินบอกว่านายกับลู่หานถนัดเรื่องแบบนี้ดี ทนอีกหน่อยจะเป็นไรไป” เซฮุนยิ้มบาง ๆ เมื่อนึกถึงคำพูดของอีกคนที่เคยบ่นให้เขาฟัง
“รู้ไหม?” เทาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “ตลอดเวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมาฉันกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาคนอื่นที่เอาแต่นั่งคุยกับป้ายหลุมศพได้ทั้งวันไม่ว่าวันนั้นจะท้องฟ้าโล่ง หิมะตก หรือหนาวสะบั้นจนต้องกอดตัวเอง”
“...”
“ฉันไม่พูดไม่คุยกับใครเลยนอกจากครู เด็กปากดีที่ชื่อหวงจื่อเทากลายเป็นตัวปัญหาที่สร้างความอึดอัดให้กับคนที่นี่ ฉันรู้ว่าพวกเขาพยายามเข้าหาฉันด้วยการส่งยิ้มให้เวลาหันมาเจอกัน และสิ่งที่ฉันตอบโต้กลับไปคือเดินหนีไปจากตรงนั้น”
“...”
“ทุกคนเครียดเพราะฉัน”
“...”
“แล้วตอนนี้ก็มีนายเพิ่มขึ้นมาอีกคน” เทาเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้พร้อมกับมองเพื่อนตัวบางด้วยสายตาเรียบเฉย “ฉันเลยรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังกอดคอนายเป็นภาระให้กับคนที่นี่”
เทาถอนหายใจเบา ๆ เขายกตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อลากเก้าอี้ไปหยุดอยู่ข้างหัวเตียงก่อนจะตักโจ๊กร้อน ๆ ขึ้นมาเป่าให้อุ่น เซฮุนควรกินตอนที่มันยังร้อน ๆ อยู่
“นายไม่ใช่คนงี่เง่าเหมือนฉัน เพราะงั้นการกินข้าวคงไม่ใช่เรื่องที่ต้องให้คนอื่นคอยจ้ำจี้จ้ำไช” พูดจบก็เลื่อนช้อนพลาสติกเข้าไปใกล้ ๆ เซฮุนลดระดับสายตามองโจ๊กอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอ้าปากรับเข้าไป “แล้วก็...”
“...”
“ฉันบังเอิญได้ยินคนพวกนั้นคุยกัน...อืม...ไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ” เทาปั้นหน้านิ่งพลางยักไหล่เพื่อให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่กำลังพูดถึงนัก “ว่าที่นายเป็นแบบนี้ก็เพราะเรื่องไอ้จงอิน”
“แบบไหนเหรอ”
“อืม...” เทาคนโจ๊กในถ้วยจนมันข้นเหนียว “ที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ”
“...”
“ฉันเข้าใจนะ”
“...”
“ทุกคนที่นี่รู้ว่านายกับไอ้จงอินสนิทกันมากเหมือนพี่น้องแท้ ๆ พอมาเจอเรื่องแบบนี้ก็เลยยากที่จะทำใจได้” ทั้งที่พูดกับคนตรงหน้าแต่ในหัวกลับคิดไปถึงใครอีกคนหนึ่งที่จากไปแล้ว เด็กผู้หญิงคนนั้นที่ยังคงอยู่ในใจเขาเสมอมา “ไม่มีใครรู้หรอกว่าวันไหนจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิต”
“...”
“ไม่มีใครรู้ว่าวันหนึ่งคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เราจะต้องจากไป”
เทาถอนหายใจ เขาใช้เวลาจมอยู่กับความคิดขณะคนโจ๊กในถ้วยอยู่หลายวินาทีก่อนจะตักมันขึ้นมาป้อนให้เพื่อนตัวบางอีกครั้งและเซฮุนก็อ้าปากรับอย่างไม่อิดออด แม้ว่าเขาจะไม่อยากกินก็ตาม
“ฉันใช้เวลาทั้งคืนไปกับการคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ตั้งแต่วันแรกที่ต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด เคยคิดอยากตาย ๆ ไปจะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก แต่พอหันไปเห็นหน้าครูกับเพื่อนที่โรงเรียนแล้วก็ไม่กล้า”
“...”
“เพราะจริง ๆ แล้วคนบางคนอาจจะมีชีวิตอยู่เพื่อคนข้าง ๆ มีคนเคยบอกฉันแบบนี้” เด็กหนุ่มนึกไปถึงใครอีกคนที่ได้นั่งคุยกับเขาหน้าบ้านท่ามกลางหิมะคืนนั้น “เมื่อก่อนฉันฝืนทำเป็นตลกให้คนรอบข้างหัวเราะด้วยหน้าตาแบบนี้” เทาชี้หน้าตัวเองแล้วยิ้มน้อย ๆ เด็กหนุ่มยังใช้วิธีแบบของเขาในการทำให้เพื่อนกินข้าวได้ “ทั้งที่ฉันก็ไม่ได้อยากยิ้มนักหรอก”
“...”
“ตอนโดนกัดครั้งแรกคิดว่าต้องตายแล้วแน่ ๆ แต่พระเจ้าดันเลือกให้ฉันอยู่ต่อ” เทาเอื้อมไปเอาขวดน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมารินใส่แก้วให้เพื่อน “นายก็เหมือนกัน”
“...”
“ต่อให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่นายจะมีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ต่อ ถึงเราจะต้องเสียคนที่รักไปอีกสักกี่คน แต่ฉันก็อยากให้นายหายใจต่อไป”
“...”
“ถ้าไม่ใช่เพื่อคนที่เหลือ...ก็คิดซะว่าทำเพื่อตัวเองเถอะนะเซฮุน”
“เราน่าจะลองใส่คอนแทกเลนส์ดูนะ แว่นมันเทอะทะ เวลาต่อสู้แล้วตกแตกทุกที”
มินซอกทำหน้าเนือยขณะปีนขึ้นไปบนต้นไม้หลังจากมาถึงที่หมาย ตั้งแต่ลงจากรถลู่หานก็ยังไม่หยุดพูด เสียงของคนที่รออยู่ข้างล่างทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอยู่พอสมควร
“มันเรื่องอะไรที่ผมต้องเอาพลาสติกใส่เข้าไปในตาตัวเองด้วย คุณช่วยดูโลกตอนนี้บ้างนะ แค่เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ก็สกปรกจะแย่แล้วยังจะต้องไปดูแลไอ้ของพรรค์นั้นอีกเหรอ?”
“อะไรเล่า ไม่ใส่ก็ไม่ใส่สิทำไมต้องเดือดด้วยล่ะ มินซอกอ่า...ปีนดี ๆ ครับอย่ามัวแต่บ่นเดี๋ยวจะตกลงมานะ” ลู่หานแหงนหน้ามองคนตัวเล็กที่ปีนต้นไม้ได้เร็วกว่าเขาแล้วก็เป็นห่วง มินซอกแค่นหัวเราะแล้วหาที่ยึดก่อนจะก้มลงมองคนข้างล่าง
“แล้วทำไมไม่ขึ้นมาเอง”
“หื้ม?”
“ปอดแหก...”
“โหย ว่าใครครับเปาจื่อ ที่พี่ให้ปีนขึ้นไปก็เพราะว่าถ้าเราตกลงมาพี่จะได้อ้าแขนรับแบบนี้” ลู่หานอ้าแขนออกท่าเจ้าบ่าวประกอบคำพูดแต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจแม้แต่จะมอง “โอ๊ะ!” ชายหนุ่มยกมือขึ้นบังหิมะที่คนตัวเล็กจงใจเหยียบกิ่งไม้แรง ๆ เพื่อให้มันตกลงมาใส่หัวเขา มินซอกเบ้ปากแล้วเอากล้องส่องทางไกลที่คล้องคออยู่ขึ้นมาดูจุดเกิดเหตุวันนั้น
“เจออะไรบ้างไหม?”
“บนถนนไม่มีอะไรเลย ซากศพพวกกัดคนก็ไม่เห็น”
“จริงเหรอ?”
“อาจเป็นเพราะมันถูกหิมะถมก็ได้” มินซอกว่าพลางเลื่อนกล้องส่องเข้าไปในค่าย เพราะก่อนหน้านี้หิมะเพิ่งตกไปคงไม่แปลกถ้าศพเหล่านั้นจะถูกทับถม “ข้างในนั้นกำลังบูรณะกันอย่างยกใหญ่ พวกทหารกำลังช่วยกันเอาศพขึ้นท้ายรถ”
“...”
“ไม่เห็นจงอิน”
คำตอบของคนตัวเล็กทำให้คนทะเล้นกลับมาคิดมากอีกครั้ง ลู่หานขมวดคิ้วเข้าหากันขณะใช้ความคิด ยิ่งได้ยินว่าศพพวกกัดคนโดนหิมะทับถมแล้วก็ยิ่งเครียด จริงอยู่ว่าการที่เขากับเด็กคนนี้มาที่นี่ก็เพราะคิดว่ายังมีความหวัง แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้มั่นใจอย่างที่คิด “จะเอายังไงต่อ”
ลู่หานหันไปทางคนตัวเล็กที่ลงมาจากต้นไม้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทั้งคู่มองหน้ากันราวกับขอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ต่างฝ่ายต่างก็เงียบเพราะลู่หานไม่ได้มีแผนไว้ตั้งแต่แรก...ไม่ได้มีแผนว่าถ้ามาที่นี่แล้วไม่เจอจงอินแล้วจะทำยังไงต่อ
“จะกลับหรือจะใช้วิธีโง่ ๆ”
“วิธีโง่ ๆ ที่ว่าของเราคืออะไร?”
“เดินเตะหิมะเล่นเพื่อค้นหาซากศพ”
“มินซอก...” ลู่หานเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างอ่อนใจ ในเวลาแบบนี้ช่วยพูดให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้างไม่ได้เลยหรือไงนะ “พี่ยิ่งใจไม่ดีอยู่”
“ถ้าจงอินไม่นอนอยู่ใต้หิมะ เขาก็คงถูกลากกลับไปในค่าย ผมพูดถูกไหม?”
“ถูก”
“งั้นตอนนี้คุณมีอยู่สามตัวเลือก” คนตัวเล็กว่าพร้อมกับช่วยรูดซิปเสื้อตัวนอกให้ลู่หาน “หนึ่งคือกลับอุทยาน สองคือเดินโง่ ๆ หาร่างจงอินใต้หิมะ แต่ผมไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้เท่าไหร่เพราะผมไม่อยากเห็นคุณร้องไห้ฟูมฟายถ้าเกิดว่าเขานอนจมอยู่ใต้หิมะจริง ๆ ส่วนข้อสาม...เนียนเข้าไปในค่าย”
“...”
“งานถนัดคุณเลยใช่ไหม?”
สุดท้ายก็ต้องปีนเข้ามาเสี่ยงตายในค่ายทหารอีกครั้งเพราะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้ว ไม่สิ จริง ๆ มันก็มีหรอกไอ้ทางที่ดีน่ะแต่มันไม่ใช่สำหรับเขา บางทีลู่หานอาจจะบ้าเกินไปสักนิดที่ไม่ยอมค้นหาศพตรงจุดเกิดเหตุก่อนที่จะเข้ามาในนี้เพียงเพราะกลัวจะรับความจริงไม่ได้ แต่คิดว่ามนุษย์เราก็ต้องมีมุมนี้กันบ้างแหละและเชื่อว่าเขาไม่ได้กลัวความจริงแค่คนเดียว
เออ ผู้ชายชื่อลู่หานนี่แหละที่เลือกเสี่ยงตายมากกว่าการหาศพเพื่อน
ชายหนุ่มกระโดดลงบนพื้นอย่างเงียบเชียบ เขาใช้เท้าเตะหิมะกลบรอยเอาไว้เผื่อว่าจะมีพวกขาจรเดินผ่านมาละแวกนี้จะได้ไม่แตกตื่นรอยเท้าของเขา แน่นอนว่าคราวนี้ลู่หานไม่ได้ปีนเข้าจากทางเดิมเพราะมินซอกบอกว่าตรงนั้นมีทหารยืนเฝ้ายามอยู่
ชายหนุ่มก้มต่ำแล้วเดินเลียบไปตามกำแพงบ้านก่อนจะหยุดอยู่กับที่เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยของคนที่อยู่ในระยะใกล้ ชาวบ้านกำลังช่วยกันขนศพขึ้นท้ายรถกระบะ และช่วยกันซ่อมแซมจุดที่เสียหายของที่พักอาศัย สังเกตได้ว่ามีทหารยืนเฝ้ายามเพิ่มขึ้นกว่าที่เคย นั่นหมายความว่าลู่หานกำลังเจอบทหนักกับการฉายเดี่ยวในครั้งนี้
ชายหนุ่มเลียริมฝีปากก่อนจะทุ้งศอกใส่ถังน้ำมันขึ้นสนิมที่อยู่ข้างตัวเพื่อเรียกความสนใจ และมันก็ได้ผล ทหารที่ยืนเฝ้ายามอยู่ตรงนั้นหันหลังกลับมาพร้อมกับยกปืนขึ้นตั้งระดับอกเตรียมพร้อมจะเหนี่ยวไกหากว่ามีตัวประหลาดโผล่ออกมาจากมุมนั้น ขายาวกำลังก้าวมาทางนี้อย่างช้า ๆ ในขณะที่ลู่หานค่อย ๆ หยัดตัวลุกขึ้นยืนพิงกับผนังตัวบ้าน ได้แต่บอกตัวเองในใจว่าเขามีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นและจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด
ทันทีที่เห็นรองเท้าคอมแบทก้าวเข้ามาเขาก็คว้าปืนกลที่อีกฝ่ายถือเอาไว้ก่อนจะซัดหมัดใส่เต็มแรงจนทหารหนุ่มเสียหลัก ลู่หานเงยหน้าขึ้นสังเกตการณ์เพียงแค่เสี้ยววินาทีก่อนจะโยนปืนนั้นไปข้างหลังแล้วกระชากคอเสื้ออีกคนให้เข้ามาหลบมุม
“อั่ก!!”
“นิ่งไว้ไอ้หนู มีดมันคม” นายทหารหลุบตาลงมองปลายมีดที่จ่ออยู่กลางคอหอยเขาก่อนจะเงยหน้าสบตากับอีกฝ่าย “เอาล่ะ คราวนี้มึงทิ้งอาวุธที่มีอยู่ไปให้หมด” ลู่หานข่มเสียงพร้อมกับจ้องอีกฝ่ายเพื่อให้รู้ว่าเขาเอาจริงแน่หากว่ามันตุกติก
“...!!!”
“ให้...หมด” ลู่หานจี้มีดย้ำเข้าไปเป็นเชิงกดดันให้คนตรงหน้ารีบทำให้ทุกอย่างมันเสร็จ ๆ ทหารหนุ่มควักเอาปืนพกที่เหน็บอยู่สนับเอวออกมาอย่างช้า ๆ แล้วโยนลงพื้นก่อนจะตามด้วยมีดพกทหาร
“...มึงต้องการอะไร”
“มีแน่ แต่กูไม่ชอบทำอะไรทีละอย่าง มันอืดอาดชักช้าน่าหงุดหงิด เพราะงั้นเราจะคุยไปแล้วก็แลกเปลี่ยนเสื้อผ้ากันไป” ลู่หานยิ้มแล้วพยักหน้าขณะจ่อปลายมีดไว้ที่เดิม ทหารหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ได้คำตอบเมื่ออีกคนดึงหมวกเขาเอาไปใส่ “ถอดเสื้อผ้ามึงออกมา”
“มึงจะบ้าเหรอวะ!”
“ชู่ว์...มีดกูมันขี้ตกใจ อย่าเสียงดังให้มากเดี๋ยวเลือดทะลัก...กูให้มึงเลือกว่าจะนั่งเปลือยอยู่ตรงนี้หรือจะใส่เสื้อผ้ากู?” ลู่หานชักสีหน้า เขาเริ่มจะหงุดหงิดกับการที่ไอ้ทหารเหลาเหย่เอาแต่ยืนทำหน้าโง่อยู่ได้
สุดท้ายทหารก็ยอมถอดชุดออก สายตาที่เต็มไปด้วยคำด่านั้นเขารับรู้ได้ แต่มันคงไม่สำคัญไปกว่าการที่เขาจะได้เข้าไปข้างในโดยที่ไม่มีใครสงสัย ลู่หานใช้เวลาเปลี่ยนเป็นชุดทหารอยู่พอสมควรเพราะต้องคอยเล็งปืนไปยังคนตรงหน้าหลังจากเก็บมีดแล้ว
“มึงจะทำอะไร...”
“ตามหาเพื่อน คราวนี้มึงบอกกูได้แล้วว่าพวกมึงจับเพื่อนกูไว้ที่ไหน”
“ใครคือเพื่อนมึง กูไม่รู้”
“อ้อ เมื่อวานมึงคงไม่ทันได้เห็นหน้ากูสินะ” ลู่หานแค่นยิ้ม “โอเค กูคือหนึ่งในคนที่ทำให้ค่ายนี้เละเป็นขี้เองแหละ และวันนี้กูมาเพื่อตามเพื่อนกลับ”
“...” ทหารหนุ่มขมวดคิ้วพลางใช้ความคิด เขาก้มลงเก็บเสื้อผ้าของลู่หานขึ้นมาใส่เมื่ออีกฝ่ายเตะมันมาให้เขา
“บอกมา”
“...กูไม่รู้”
“อ่า~” ลู่หานเลิกคิ้วพร้อมกับอ้าปากแล้วเก็บปืนพกไว้กับสนับเอวก่อนจะเดินไปเก็บปืนกลขึ้นมา “กูมีเวลาประมาณหนึ่งนาทีในการปีนรั้วหนีหลังจากยิงหัวมึงก่อนที่พวกทหารจะแห่มาตรงนี้ แต่เชื่อเถอะว่ากูใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบวิ เพราะฉะนั้นมึงรีบบอกมาดีกว่าอย่าให้กูต้องโมโห”
“ก็กูบอกว่าไม่รู้ไง!”
“ไม่รู้ก็ต้องรู้” ทหารหนุ่มปากสั่นเมื่ออีกฝ่ายยัดปืนเข้ามาในปากเขา ลู่หานยิ้มกวนประสาทขณะสบตากับอีกฝ่าย แน่นอนว่าตอนนี้เขากำลังถือไพ่เหนือกว่า เรื่องนี้ต้องขอบคุณปาร์คชานยอลที่ทำให้เขาเรียนรู้การกดดันคนอื่นด้วยวิธีแบบนี้
“จ...จูจีฮุน...”
“หื้ม?”
“จูจี...ฮุนน่าจะรู้...มึงต้องให้กูไปถามเขาแล้วมาบอกมึง...”
“ตลกละ ถ้ากูปล่อยมึงไปพวกทหารก็แห่กันมาทำฌาปนกิจศพให้กูสิ” ลู่หานตบหัวอีกฝ่ายแล้วจ้องเค้นคำตอบ “ไอ้จูจีฮุนมันเป็นใคร”
“...เป็นทหารเหมือนกัน”
“มันอยู่ไหน?”
“...อยู่”
เสียงเคาะประตูบ้านทำให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าค้างอยู่ท่านั้น จีฮุนใส่เสื้อพร้อมกับเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูก่อนจะเปิดมันออก ร่างสูงเบิกตากว้างก่อนจะลดระดับสายตาลงเมื่อพบว่าใครอีกคนซ่อนปืนไว้ใต้ถุงผ้าทหารสีเขียวขี้ม้าที่พาดอยู่กับข้อมือ และที่สำคัญคือมันเล็งมาทางเขา
“ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้ง”
“...”
จีฮุนสบตากับอีกฝ่ายที่ทำให้รู้สึกคุ้นหน้าอยู่ไม่น้อย แต่จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่และประโยคทักทายมันก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เพราะต่อให้จะมีเรื่องไม่ลงรอยกับทหารในค่ายแต่อย่างมากสุดพวกเขาก็สามารถตกลงกันได้ถึงแม้ว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พอใจก็ตามแต่มันก็ไม่ถึงขั้นที่จะเอาปืนมาขู่กันแบบนี้ ลู่หานยกยิ้มแล้วขยับปืนเล็กน้อยเป็นเชิงบอกให้อีกคนถอยออกจากประตูเพื่อที่เขาจะได้เดินเข้าไปได้และจูจีฮุนก็ไม่ได้ขัดขืน
“ปิดประตู”
“...”
นายทหารหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย ลู่หานเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาเก่า ๆ ที่เบาะขาดจนเห็นฟองน้ำก่อนจะเอนหลังพิงอย่างสบายตัว เขากำลังจับตามองการเคลื่อนไหวของคนตัวสูงที่ดูเหมือนว่ากำลังใช้ความคิดกับความสงสัยในตัวเขา
“มึงคงจำกูไม่ได้สินะ แต่ไม่เป็นไร เพราะตอนแรกกูก็จำมึงไม่ได้เหมือนกัน”
“...”
“เราเคยเจอกันแล้วครั้งนึงตอนที่มึงเจอไอ้จงอินกับเซฮุนครั้งแรก หวังว่ามึงคงจำชื่อสองคนนั้นได้?” ภาพ Flashback ย้อนกลับไปยังวันที่เขาวิ่งหนีพวกผีดิบไปจนเจอจงอินกับเซฮุนและใครอีกคนหนึ่งที่เขาจำหน้าไม่ได้แต่ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นได้มาอยู่ที่นี่แล้ว “ปิดไฟแล้วเปิดตะเกียงซะ” ลู่หานผินหน้าไปทางด้านข้างทั้งที่ยังไม่ยอมลดปืนลง ร่างสูงถอนหายใจก่อนจะเดินไปปิดอย่างปฏิเสธไม่ได้ “ที่นี่สบายจริงนะ มีไฟฟ้าให้ใช้ ข้างในคงมีเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่อยู่สิท่า”
“มีอะไรก็ว่ามา”
“โว้ว คนที่จะรีบมันควรเป็นกูมากกว่าไหม?” ลู่หานเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มก่อนจะแค่นหัวเราะกับท่าทางชวนเลือดกบปากของใครอีกคน
“คุณต้องการอะไรอีก?”
“ไอ้จงอินอยู่ไหน?”
“...”
“ชัด?” ลู่หานเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย และเชื่อว่าจูจีฮุนคงไม่โง่พอที่จะถามอะไรออกมาอีก นายทหารหนุ่มหลุบตาลงพลางถอนหายใจอีกครั้ง และมันทำให้เขาเป็นกังวลอย่างบอกไม่ถูกกับสิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออกมา
“เขาตายแล้ว”
“กูให้โอกาสมึงพูดใหม่อีกที” ลู่หานลุกขึ้นยืนพร้อมกับเล็งปืนไปยังคนตรงหน้าและไม่ลืมที่จะปลดเซฟตี้ให้เห็นคาตา
“...”
“...”
ทั้งคู่สบตากันอย่างหยั่งเชิง สีหน้ากวนประสาทของคนที่ถือไพ่เหนือกว่าได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันทีที่ได้ยินจากปากศัตรูว่าเพื่อนของเขาตายไปแล้ว ลู่หานกัดฟันกรอด เขายังคงคาดหวังว่าไอ้เวรนี่กำลังโกหกเพื่อยั่วโมโหเขาหรืออะไรก็ตามที่มันกำลังเลี่ยงจะพูดความจริง
อะไรก็ได้...ที่มันพยายามปิดบังว่าจงอินยังไม่ตาย
“ผมจะโกหกไปเพื่ออะไรในเมื่อคุณกำลังเล็งปืนมาที่ผมแล้วก็พร้อมที่จะเหนี่ยวไกทุกเมื่อ”
“...”
“เขาตายแล้ว”
ลู่หานกำลังมือสั่นเขารู้สึกได้ จูจีฮุนยังคงทำหน้านิ่งแม้ว่าความตายนั้นได้มาอยู่เบื้องหน้าและมันสามารถปลิดชีวิตเขาได้ภายในนัดเดียว นายทหารหนุ่มกลืนน้ำลายแล้วก้าวถอยหลังก่อนจะคว้าเอาเสื้อกันหนาวทหารออกมาใส่ทับเสื้อตัวใน
“มันตายยังไง?”
“...”
“พวกมึงฆ่าเพื่อนกูด้วยวิธีไหน?” เขาได้ยินเสียงที่ลอดออกมาจากไรฟัน มันบ่งบอกได้ดีว่าผู้ชายที่ปลอมตัวเป็นทหารกำลังอยู่ในอารมณ์โทสะมากแค่ไหน
“เราซ้อมเขาจนสาหัส”
“...”
“จงอินหมดสติหลังจากที่พวกคุณหนีไปแล้ว...หลังจากนั้นเราก็ลากเขาไปทิ้งในป่า” ลู่หานส่ายหน้า เขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ไอ้สารเลวนี่กำลังพูดถึง ชายหนุ่มเดินวนไปวนมาอยู่อย่างนั้นไม่กี่วินาทีก่อนที่จีฮุนหน้าหันไปอีกเมื่ออีกฝ่ายซัดหมัดลุ่น ๆ ใส่ไม่ยั้งจนเขาเซถอยหลังไปชนกับตู้วางของอย่างแรง
“มึง!!!”
“อั่ก!!!”
ลู่หานยังคงไม่หยุด...หมัดของเขาซ้ำลงที่เดิมจนหลังมือเต็มไปด้วยเลือด จูจีฮุนปล่อยให้อีกฝ่ายชกหน้าเขาจนกว่าจะพอใจทั้งที่สามารถตอบโต้กลับไปได้ ลู่หานปล่อยคอเสื้ออีกฝ่ายออกแล้วก้าวถอยหลังอย่างคนหมดแรง
จีฮุนทรุดตัวนั่งกับพื้นพร้อมกับปาดคราบเลือดออก พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าผู้ชายคนนั้นกำลังจะสติแตก สองมือกำกลุ่มผมตัวเองเอาไว้พร้อมกับพึมพำไม่หยุด ความเงียบเท่านั้นที่โรยตัวอยู่โดยรอบในตอนนี้ ในหัวของเขามีแต่คำถามว่า ‘ทำไม? ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ยอมเสี่ยงตายเข้ามาในค่ายเพื่อที่จะตามหาคิมจงอิน?’
พวกเขาไม่เคยท้อ ไม่เคยกลัวตายกันเลยหรือยังไงกัน?
“ในป่า...” ลู่หานเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงแหบพร่าจากอีกฝ่าย “ผมไม่ได้ฆ่าเขาให้ตายคามือ...แต่มันก็เหมือนฆ่า” จูจีฮุนกลืนน้ำลายปนเลือดลงคอ เขายังจำสภาพจงอินในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี
“...”
“เพราะสภาพแบบนั้น...อีกทั้งอากาศข้างนอก มันก็เหมือนการฆ่าเขาทางอ้อม”
“...”
“ถ้าโชคดี เขาอาจจะพาตัวเองหนีไปได้ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น”
“มึงหมายความว่าไง?”
“เขายังไม่ตาย...แต่ก็อาจจะตายเพราะความหนาว”
“...”
“แต่ความเป็นไปได้มันน้อยมาก...”
“กูไม่สน” ลู่หานมองอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจังก่อนจะเข้าไปกระชากคอเสื้อให้ลุกขึ้นยืน “ในเมื่อพูดแบบนี้มึงก็ต้องพากูไปให้เห็นกับตา”
“...”
“ว่ามันตายจริงหรือว่ารอดกันแน่...”
“ถ้าคุณอยากอยู่คนเดี๋ยว อีกหนึ่งชั่วโมงผมจะเข้ามาใหม่” อี้ฟานมองเซฮุนเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความเป็นห่วง ร่างบางเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้นแล้วเขาก็ปิดประตูลง
เด็กหนุ่มดึงผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่ข้างหน้าต่าง ทันทีที่เปิดมันออกกระแสลมหนาวก็พัดผ่านเข้ามาจนต้องหลับตาลง ตลอดเวลาทั้งวันโอเซฮุนนั้นใช้เวลาไปกับการคิดถึงคิมจงอินจนไม่เป็นอันทำอะไร หรือจริง ๆ แล้วเขานั้นทำอะไรไม่ได้เพราะสภาพร่างกายที่เป็นแบบนี้
เพียงแค่คิดถึง...ความเจ็บปวดก็กลับมาทำร้ายเขาอีกครั้ง
เซฮุนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แม้จะถูกหลังคาบังแต่เขาก็ยังสามารถมองเห็นกลุ่มเมฆครึ้มที่กระจายอยู่บนนั้นได้ สองมือวางกับขอบหน้าต่าง นี่เป็นครั้งที่สองที่เด็กหนุ่มกำลังถูกความคิดถึงทำร้ายนับตั้งแต่ตอนอยู่เกาะเชจู ตอนนั้นเซฮุนได้แต่คิดว่าพระเจ้าคงเห็นใจคนอย่างเขาถึงได้คืนจงอินมาให้...แล้วคราวนี้ล่ะ?
พระเจ้าก็จะทำแบบนั้นเหมือนกันใช่ไหม?
เสียงรถดับลงตรงหน้าบ้านทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกกระตือรือร้นจนต้องพยุงร่างตัวเองให้เกาะไปตามผนังบ้านเพื่อออกไปดู เซฮุนได้แต่ภาวนาในใจว่าถ้าหากเขาอดทนอีกอึดใจเดียวแล้วเดินออกไปข้างนอกก็จะเห็นจงอินลงมาจากรถพร้อมกับลู่หานและมินซอก
ทันทีที่ประตูบ้านเปิดออกทุกคนที่ยืนอยู่ข้างรถก็หันมาที่เขาเป็นตาเดียวกัน และสายตาที่มองมานั้นมันไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ เซฮุนคว้าราวบันไดไว้เป็นหลักแล้วค่อย ๆ เดินลงไปก่อนที่อี้ฟานจะเข้ามาช่วยประคอง
“ผมไม่เป็นไรครับ” เด็กหนุ่มหันไปบอกอีกคน แต่อี้ฟานก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาเดินเองจนกระทั่งทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าลู่หานกับมินซอกนั่นแหละร่างสูงถึงได้ยอมปล่อย
เซฮุนสบตากับคนตรงหน้าเป็นเชิงถาม และดูเหมือนว่าทุกคนที่นี่น่าจะรู้คำตอบก่อนเขาแล้วเพราะการพาตัวเองออกมาถึงหน้าบ้านก็เสียเวลาไปหลายนาทีเหมือนกัน ลู่หานนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ ส่ายหน้าเป็นคำตอบ อี้ฟานก้มลงมองมือของเซฮุนที่กำลังออกแรงบีบต้นแขนเขาโดยไม่รู้ตัว ถึงมันจะเบาบางแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเด็กคนนี้
“ฉันเข้าไปในค่าย ไปหาทหารคนหนึ่งแล้วก็ได้เรื่องว่ามันลากไอ้จงอินไปทิ้งในป่า”
“...”
“ฉันกับมินซอก แล้วก็ไอ้เวรนั่น...เราสามคนไปที่นั่นด้วยกันเพื่อตามหาไอ้จงอิน” ลู่หานไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นกับการอธิบายเรื่องนี้ สีหน้าของเขาดูอิดโรย เหนื่อย และท้อกับการที่ต้องพูดถึงเรื่องดังกล่าว
“แต่พอไปถึงก็ไม่เห็นอะไรสักอย่าง...”
“นั่นหมายความว่าเขาอาจจะรอดก็ได้ไม่ใช่เหรอ?” แบคฮยอนแทรกขึ้นมา
“ตรงนั้นเป็นป่า ฉันไม่รู้ว่ามีสัตว์ร้ายกี่ตัวที่สามารถลากสิ่งมีชีวิตเข้าไปกินในถ้ำได้ อีกอย่างมันก็ไม่มีหลักฐานอะไรทิ้งไว้ให้เห็นเลยว่ามันยังมีชีวิตเพราะหิมะปกคลุมเต็มไปหมด”
“...”
“อยากจะโลกสวยนะ แต่ถ้าฉันโดนอัดจนน่วมแบบนั้นคงไม่มีปัญญาพาตัวเองไปหาที่อบอุ่นได้หรอก”
“...”
“ขอโทษ” ลู่หานเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วตรงเข้าไปยังบ้านหลังที่สอง ทุกคนต่างยืนนิ่งเพราะพูดไม่ออกกับเรื่องที่ได้ฟังเมื่อครู่โดยเฉพาะเซฮุนกับแบคฮยอนที่คาดหวังว่าจงอินยังมีชีวิตอยู่
มินซอกมองหน้าเพื่อนตัวสูงก่อนจะหันไปทางบยอนแบคฮยอนที่กำลังช็อกไม่ต่างกัน คนตัวเล็กมองตามแผ่นหลังของเซฮุนที่กำลังถูกอี้ฟานประคองเข้าไปในบ้าน ตอนนี้เหลือเพียงแค่เขา เทา คยองซู และแบคฮยอนที่ยังไม่ไปไหน
“ทุกอย่างต้องใช้เวลา พวกนายเข้าใจใช่ไหม”
ทั้งสามคนหันไปมองหวงจื่อเทาที่กำลังมองไปยังทางเดินลงแม่น้ำ การทำใจหลังจากเกิดการสูญเสียมันเป็นเรื่องยากที่จะรับไหว แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถหลีกหนีความเศร้าในฐานะของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ เด็กตัวสูงหันมาตบบ่าแบคฮยอนก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ
“เราทุกคนต้องใช้เวลา”
เซฮุนล็อกกลอนประตูเพื่อไม่ให้ใครได้เข้ามาอีก เด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่กับที่แล้วให้สมองช่วยประมวลผลกับทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังวนเวียนอยู่ในหัวเขา นัยน์ตากวาดมองไปรอบ ๆ ห้อง...ที่จงอินเคยบ่นว่ามันแคบนิดเดียวแต่สำหรับเขาในตอนนี้มันช่างกว้างขวางจนกลัวกับการที่ต้องอยู่คนเดียว
ทุก ๆ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ ตรงหน้าต่างบานนั้นจงอินเคยกอดเขาจากข้างหลังพร้อมกับเอาคางเกยไหล่ เล่านิทานบ้า ๆ ที่ฟังทีไรเนื้อเรื่องก็ไม่เคยเหมือนเดิม เซฮุนเดินไปหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าแล้วเปิดออก เลือกเสื้อยืดสีดำออกมาพร้อมกับกางเกงยีนส์สีซีดขาดเข่า เขาจ้องมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอาไปวางจัดเรียงไว้บนเตียง
ร่างบางเอนตัวลงนอนข้าง ๆ เสื้อยืดกับกางเกงของจงอินพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้ ๆ แล้ววางมือลงบนเสื้อราวกับว่าตอนนี้เขากำลังกอดใครอีกคนอยู่ น้ำตาอุ่นไหลออกมาผ่านสันจมูกจนหยดลงบนหมอนเป็นต่างดวงครั้งแล้วครั้งเล่า ขายาวขดเข้าหาตัวก่อนจะดึงเอาเสื้อเข้ามากอดแนบอก
“...”
เสียงสะอื้นในลำคอหนักยิ่งขึ้นเพียงแค่ได้กลิ่นของคนที่เขารักมากที่สุด มันชัดเจนแล้วจริง ๆ ชัดเจนแล้วว่าโลกที่ไม่มีคิมจงอินมันทรมานมากแค่ไหน ภาพความทรงจำตอนอยู่ด้วยกันตั้งแต่วันแรกย้อนกลับเข้ามาราวกับม้วนหนัง ตั้งแต่ตอนที่ได้สบตากับจงอิน ตอนนั้นเขาทั้งคู่ต่างเห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น
ตั้งแต่วันนั้นที่โอเซฮุนกำลังจะถูกไฟคลอกแต่จงอินก็เสี่ยงตายเข้าไปช่วยเขา วันนั้นที่โอเซฮุนตัดสินใจตายด้วยการโดดตึกมากกว่าการยอมเป็นอาหารให้กับพวกกินคน แต่จงอินก็ไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น
ทุกอย่างพร่ามัวไปหมด เขามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความเจ็บปวดที่ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นน้ำตา
หนาว...ความเย็นพวกนี้มาจากไหน?
มันหนาวไปถึงสมองแล้ว เขากำลังจะตายเพราะปวดหัว
ชายหนุ่มค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและสิ่งแรกที่พบก็คือแสงสว่างสีส้มที่มาจากอะไรสักอย่าง เห็นเงาดำตะคุ่มอยู่ในระยะสายตาแต่ยังไม่ทันได้ให้สมองคิดทบทวนมือหนาก็ต้องยกขึ้นบังแสงสว่างจ้าจากไฟฉายจนต้องถอยตัวไปชิดกับผนังแล้วยกมือขึ้นบังราวกับกลัวว่าจะมีใครมาทำร้าย
“เขาเปลี่ยนหรือยัง?”
“ยัง”
ผู้หญิง?
“พวกมันชอบวิ่งเข้าหาแสง”
ชายหนุ่มค่อย ๆ ลดมือลงเมื่อแสงสว่างนั้นหายไปแล้ว และทันทีที่ลืมตาขึ้นเขาก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ถือกระทะเอาไว้ในมือ เธอกำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาหวาด ๆ หลังจากนั้นเจ้าของเสียงห้วน ๆ เมื่อครู่ก็เดินกลับมาพร้อมกับมีดในมือและแน่นอนว่ามันทำให้เขาผงะจนแผ่นหลังติดผนังอีกครั้ง
“เฮ้?”
“...”
“ได้ยินเปล่า?” หญิงสาวมัดผมหางม้าถามพร้อมกับหมุนวนนิ้วชี้ข้าง ๆ หูเป็นท่าประกอบ ส่วนมืออีกข้างก็ชี้มีดมาตรงหน้าเขา
“เขาอาจจะเป็นใบ้ก็ได้” หญิงสาวหน้าสวยกระซิบอีกคนทั้งที่ยังไม่วางกระทะลง
“...”
“โอเค ฉันจะวางมีดลง” เธอมองหน้าเขาแล้วค่อย ๆ วางมีดลงบนโต๊ะอย่างช้า ๆ “คราวนี้จะพูดได้ยัง?”
“...”
“...”
“พูด...?”
“เขาไม่ได้เป็นใบ้นี่” หญิงสาวผมยาวยิ้มกว้าง ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องยินดีอะไรขนาดนั้น
“ฉัน...พูดได้”
“ถ้านายไม่ได้เป็นใบ้ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละ” ผู้หญิงผมหางม้าพูด ท่าทางเธอดูห่าม ๆ ผิดจากผู้หญิงอีกคนอย่างสิ้นเชิง
“ขอน้ำหน่อย...”
“อ๋อ ได้สิ” ผู้หญิงที่ถือกระทะหันไปหยักหน้าเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ แล้วผู้หญิงผมหางม้าก็ถอนหายใจอย่างหัวเสียแล้วยื่นขวดน้ำพลาสติกที่เหลือเพียงแค่ก้นขวดมาให้เขา ชายหนุ่มรีบดื่มมันเพราะความกระหาย พอรู้สึกสดชื่นแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวทั้งสอง
“...ที่นี่ที่ไหน?” เขามองไปรอบ ๆ ที่แคบแห่งนี้ก่อนที่ผู้หญิงผมหางม้าจะเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงมุมฝั่งตรงข้ามแล้วลับมีด
“บ้านเราเอง เอ่อ...จริง ๆ แล้วมันเป็นรถบ้านน่ะ” ผู้หญิงผมยาววางกระทะลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงข้างขอบเตียง เธอดูเคอะเขินตอนพยายามอธิบายบ้านเคลื่อนที่ให้อีกฝ่ายฟัง “ฉันชื่อจองซูยอน ส่วนนั่นพี่สาวฉัน ควอนยูริ”
“...” ชายหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ พร้อมกับมองหน้าอีกคนที่ยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น ทั้งที่เมื่อกี้ยังทำท่าจะฟาดกระทะใส่หัวเขาอยู่เลยแท้ ๆ ร่างหนานิ่วหน้าเจ็บพร้อมกับกุมขมับ เพียงแค่เขาขยับตัวเท่านั้นความเจ็บก็แล่นปราดเข้ามาทันที
“อย่าขยับตัวบ่อยนักสิ นายยังต้องพักผ่อนนะ” ซูยอนเข้ามาประคองร่างชายหนุ่มให้เอนตัวลงนอนเหมือนเดิมพร้อมกับห่มผ้าให้ “นายน่ะหลับไปสามวันเต็ม ๆ เลยนะรู้ไหม”
“...สามวันเลยเหรอ?”
“อื้ม คิดว่าจะตายแล้วซะอีก นายนี่ดวงแข็งจริง ๆ”
“ดวงแข็ง?” พอเห็นชายหนุ่มขมวดคิ้ว ซูยอนเลยหันกลับไปมองหน้าหญิงสาวอีกคนที่ยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าเธอไม่ต้องการที่จะยุ่งกับผู้ชายคนนี้
“ฉันกับพี่สาวเห็นนายถูกทิ้งไว้ในป่าน่ะก็เลยช่วยกลับมา”
“...” ร่างหนาขมวดคิ้ว เขากำลังพยายามนึกถึงเรื่องราวที่คนตรงหน้ากำลังพูดถึงแต่ที่นึกออกกลับมีเพียงแค่ภาพทหารที่กำลังรุมทำร้ายเขาและภาพสุดท้ายตอนเห็นเงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งที่ดูเหมือนว่ากำลังจะทำอะไรสักอย่างก่อนที่เขาจะหมดสติไป
“นายชื่ออะไรเหรอ?”
“...”
“นี่” เธอเขย่าแขนชายหนุ่มเบา ๆ “อย่าเพิ่งใจลอยสิ ฉันถามว่านายชื่ออะไรคนขี้เซา”
“...ชื่อ”
“ชื่อ...?” เห็นซูยอนขยับปากตามอย่างลุ้น ๆ ยูริก็ได้แต่ส่ายหน้าระอา เธอนั่งลับมีดต่อไปแล้วก็หันไปมองทั้งคู่เป็นระยะ
“ฉัน...จำไม่ได้”
TBC
เราไปก่อนนะ บาย #ชูนิ้วหัวแม่มือขึ้นสุดแขน
ความคิดเห็น