ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZOMBIES HARD CREEPER | KAIHUN CHANBAEK FT.EXO

    ลำดับตอนที่ #81 : Chapter 76 :: The One That Got Away

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.13K
      92
      20 ส.ค. 57

    ? Tenpoints!

     
     

     

    Chapter 76

    The One That Got Away

     


     

     

    ท้องฟ้ามืดแล้ว ตอนนี้น่าจะประมาณสองทุ่มหรืออาจจะดึกกว่านั้น คนอื่น ๆ คงอยู่หน้ากองไฟหรือไม่ก็รวมตัวอยู่ในห้องที่เซฮุนพักฟื้น ในขณะที่แบคฮยอนเลือกที่จะนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงเงียบ ๆ ตามลำพัง

    วันนี้เขาได้รู้แล้วว่าความมืดนั้นเป็นเพื่อนสนิทกับความเงียบ มันช่างเข้ากันได้ดีอย่างไม่มีข้อบกพร่อง ก่อนหน้านี้ซูโฮมาเคาะประตูห้องเรียกให้ออกไปกินข้าวด้วยกันแต่เชื่อไหมว่าตลอดทั้งวันเขาแทบจะไม่รู้สึกถึงคำว่าหิวเลย สิ่งที่บยอนแบคฮยอนรู้สึกได้ในตอนนี้นั้นมีเพียงแค่ความเจ็บปวดตามร่างกาย กับความหวาดกลัวถึงการสูญเสียที่กระซิบบอกอยู่ข้างหูอยู่ตลอดเวลาว่าจงอินคงไม่โชคดีอย่างที่เขาคิดเอาไว้

    เด็กหนุ่มซบหน้าลงกับหัวเข่าแล้วหลับตา ได้แต่คิดว่าทำไมเรื่องราวมันถึงกลายเป็นแบบนี้ทั้งที่ทุกคนแค่อยากมีชีวิตต่อไป บยอนแบคฮยอนเคยคิดว่าเขาคงอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปได้แม้ว่าจะไม่มีเหลือใครอีกแล้ว ขอเพียงแต่มีคนกลุ่มนี้ คนที่เป็นครอบครัวใหม่ซึ่งไม่เคยทิ้งเขาไว้ข้างหลัง

    เสียงประตูห้องเปิดออก แสงสว่างจากตะเกียงทำให้มองเห็นใบหน้าของผู้มาใหม่ได้ไม่ยาก ทั้งคู่สบตากันอยู่ครู่เดียวร่างสูงก็เดินเข้ามาข้างในก่อนจะวางตะเกียงไว้บนโต๊ะข้างเตียง แบคฮยอนมองกล่องพยาบาลที่อยู่ในมืออีกคนก่อนจะเงยหน้าขึ้นเป็นเชิงถาม

    ชานยอลหยัดตัวนั่งลงกับขอบเตียง เขาเว้นระยะพื้นที่ไว้พอสมควรเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดกับการมาของเขามากนัก ทั้งคู่ไม่มีใครเอ่ยปากพูดก่อน ซึ่งแบคฮยอนก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับรอยยิ้มที่มาพร้อมกับประโยคทักทายจากผู้ชายคนนี้ คนตัวเล็กมองอีกคนที่กำลังสนใจอยู่กับกล่องพยาบาล ขวดเบตาดีน ซองสำลีกับแผงพลาสเตอร์ถูกหยิบออกมาวางไว้อย่างเป็นระเบียบโดยนิสัย แน่นอนว่ามันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจให้แบคฮยอน

    ผมกลัวคุณหลับอยู่ก็เลยไม่ได้เคาะประตู ชานยอลพูดทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย มันทำให้คุณรู้สึกไม่ดีหรือเปล่าครับ?

    ผมควรตอบยังไง ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองแววตาคู่นั้นที่กำลังหวังคำตอบจากปากเขาเช่นกัน แม้แต่ตัวชานยอลเองก็ยังไม่รู้ว่าคนตรงหน้าจะรู้สึกยังไงกับการมาของเขาในครั้งนี้

    เห็นคุณไม่ออกไปทานข้าวพร้อมคนอื่น ๆ

    ผมไม่หิวน่ะ แบคฮยอนชักมือกลับตามสัญชาติญาณเมื่ออีกฝ่ายเอื้อมมากุมมือ และดูเหมือนว่าชานยอลจะตกใจกับท่าทีของคนตัวเล็กอยู่เหมือนกัน

    ผมต้องขออนุญาตทำแผลให้คุณหรือเปล่า?

    ...แต่พอเห็นว่ามืออีกข้างของร่างสูงถือสำลีชุบแอลกอฮอล์ล้างแผลแบคฮยอนก็เลยยอมให้อีกฝ่ายประคองมือไปทำแผลแต่โดยดี

    จะช่วยประหยัดเสบียงหรือไงครับ แบคฮยอนไม่ได้ตอบกลับมาแม้ว่าเขาจะพยายามชวนคุยก็ตาม ทันทีที่สำลีแตะลงบนรอยถลอก ชานยอลรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเกร็งเพราะความแสบร้อนของมัน มีโจ๊กสำเร็จรูปอยู่ ถ้าคุณหิวผมจะเทใส่น้ำร้อนให้ทาน

    ผมไม่เป็นไร ขอบคุณนะ

    ปกติคุณก็ทานน้อยอยู่แล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ไปนาน ๆ อาจเป็นโรคกระเพาะได้ ร่างสูงประคองมือคนตรงหน้าขึ้นมาก่อนจะพ่นลมอ่อน ๆ ลงไป

    ถ้าเรื่องปวดท้อง ผมปวดจนชินแล้วล่ะ

    ถ้าชินแล้วคุณจะไม่รู้สึกถึงมันหรอกครับ ชานยอลเงยหน้าขึ้น เขาสบตากับคนตรงหน้าอยู่พักหนึ่งก่อนจะประคองใบหน้าคนตัวเล็กเอาไว้แล้วแตะสำลีลงไปตรงโหนกแก้มอย่างเบามือนึกถึงผลระยะยาวด้วยสิ

    ...

    ...

    จงอินไม่อยู่แค่วันเดียวคุณก็บ่นแทนเขาแล้วเหรอ ทันทีที่พูดจบชานยอลก็หัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วก้มลงแกะพลาสเตอร์แปะลงบนรอยแผลให้อีกคน

    จงอินชอบบ่นคุณเหรอครับ?

    ใช่ เขาน่ะชอบทำตัวเหมือนคนแก่

    อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน ไม่ยักรู้ว่าเขาเป็นคนชอบพูด

    อาจจะแค่กับคุณก็ได้ ชานยอลเบนความสนใจจากรอยแผลไปสบตากับคนที่กำลังต่อปากต่อคำกับเขา

    คุณอาจจะติดนิสัยนั้นมาจากเขา

    หมายถึงชอบพูดน่ะเหรอ ชานยอลพยักหน้าแล้วเสยผมม้าคนตรงหน้าขึ้นเล็กน้อย แบคฮยอนหลุบสายตาลงเมื่อสัมผัสของอีกฝ่ายมันทำให้เขากำลังอึดอัดจนทำตัวไม่ถูก พอเห็นแบบนั้นชานยอลเลยเชยคางอีกคนขึ้น

    ผมอยู่ตรงนี้อีกแค่ไม่นานเดี๋ยวก็ไปแล้ว

    ...

    คุณเลือกที่จะหลับตาได้ถ้าไม่อยากมองหน้าผม

    ...

    ฝืนอีกหน่อยนะครับ สีหน้าของปาร์คชานยอลเปลี่ยนไป คนที่พูดจาหยั่งเชิงเมื่อก่อนหน้านี้หายไปไหนแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ผู้ชายคนนึงที่แสดงออกทางสีหน้าว่ากำลังเจ็บปวดกับสิ่งที่เขาเป็นอยู่

     

     

    ถ้าบยอนแบคฮยอนไม่คิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไป

     

     

    คุณไม่เห็นต้องพูดแบบนี้เลย ร่างสูงชะงักมือทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ แบคฮยอนไม่ได้หลับตาขณะที่เขากำลังทำแผลให้ ไม่ได้เบือนหน้าหลบไปอีกทางเพราะไม่อยากทนมองเขาจากความจงเกลียดจงชังเรื่องราวในอดีต ใช่...ตอนนี้แบคฮยอนกำลังจ้องหน้าเขาอยู่ คุณนั่นแหละทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้

    ...

    ถ้าคุณไม่สนใจผมเหมือนตอนนั้นผมอาจจะไม่เป็นไรก็ได้ มือแกร่งค่อย ๆ ผละออกจากหน้าผากมนหลังจากแตะพลาสเตอร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็ยังไม่ละสายตาไปไหนแผลพวกนี้ก็ด้วย

    ...

    คุณไม่รำคาญผมแล้วเหรอ

    ...

    ไม่พยายามหลบหน้าผมแล้วเหรอ?

    ...

    ไม่ปล่อยผมไว้คนเดียวอีกแล้วเหรอครับ?

    แบคฮยอน...

    ไม่เอาแล้วนะ... ชานยอลชะงักเมื่อได้ยินเสียงสั่นเครือของอีกฝ่ายอีกทั้งน้ำตาที่คลออยู่เหมือนจะไหลออกมารอมร่อแค่เรื่องจงอินผมก็จะแย่แล้ว

    ...

    ถ้ามีเรื่องคุณเพิ่มมาอีกผมก็ไม่รู้จะเข้มแข็งต่อไปไหวไหม

    แบคฮยอนก้มหน้าแล้วหลับตาลง เหนื่อยเหลือเกินที่ต้องพยายามเข้มแข็งทั้งที่ในใจมันบอกว่าไม่ไหวอยู่ตลอดเวลา แต่พอมีความคิดแบบนั้นเข้ามาในหัวทีไรเขาก็จะบอกกับตัวเองให้เอาชนะไอ้ขี้แพ้คนเดิมให้ได้ ถึงมันจะเป็นเรื่องยากมากแต่เขาก็ได้พยายามแล้ว

    เด็กหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อร่างของเขาถูกรั้งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด มือแกร่งที่เคยทำรุนแรงตอนนี้กำลังค่อย ๆ ลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน หยดน้ำตาไหลอาบแก้มเมื่อความรู้สึกเดิม ๆ ย้อนกลับมาอีกครั้ง ผู้ชายที่เคยใจดีกับเขานั้นเคยหายไปและดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นได้กลับมาแล้ว มือเล็กที่วางอยู่บนอกแกร่งกำลังสั่น แบคฮยอนไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะตัวเขากำลังร้องไห้หรือเป็นเพราะประหม่าจนทำตัวไม่ถูกกันแน่

    ชานยอลเอื้อมมือมาทาบกับมือแบคฮยอน เขาเพียงแค่กุมไว้หลวม ๆ เท่านั้นเพื่อไม่ให้คนตัวเล็กต้องเจ็บเพราะสัมผัสเขา ไม่มีใครถามหรือพูดอะไรอีก ราวกับว่าสิ่งที่ร่างสูงกำลังทำอยู่มันคือคำตอบที่อีกคนต้องการ

    แบคฮยอนปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน ถึงจะอยู่ในความกลัวและไม่แน่ใจ แต่ลึก ๆ แล้วความรู้สึกของเขามันยังบอกว่าปาร์คชานยอลคนนั้นไม่ได้หายไปไหน...

     

     

    ผมอยู่ตรงนี้แล้วแบคฮยอน

     

     

     

     

    ปึง!

    ทั้งคู่ปิดประตูรถพลางทอดสายตาไปยังถนนเบื้องหน้าที่มีพวกผีดิบยืนอยู่ตามจุดประปราย พวกมันก็เอื่อยเฉื่อย เชื่องช้า อาจเป็นเพราะสภาพอากาศหรือเพราะว่าไม่มีอาหารตกถึงท้องมานานแล้วเขาก็ไม่สามารถรู้ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้

    ลู่หานหันไปพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้มินซอกเดินตามมาก่อนจะอ้าปากหาวอย่างไม่กระดากอาย คนตัวเล็กส่ายหน้าหน่ายแล้วมองอีกคนที่กำลังชักมีดดาบออกมาฟันคอผีดิบที่ยืนอยู่ทางด้านข้างภายในครั้งเดียวก่อนจะกระโดดข้ามศพไปอย่างไม่ยี่หระ

    มีดดาบเล่มนี้อยู่กับคุณมานานพอสมควรเลยนะ

    ไอ้นี่เหรอ? ลู่หานหันกลับไปหาอีกคนก่อนจะมองอาวุธในมือใช่ นานพอ ๆ กับไม้เบสบอลของแบคฮยอนนั่นแหละ...อุ่บ!”

    พูดจบก็รีบตะปบปากตัวเองเมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดคำต้องห้ามออกไป ลู่หานเหล่มองคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้ การเอ่ยชื่อของคนที่คุณก็รู้ว่าใครต่อหน้ามินซอกมันเป็นการเอาสำลียัดรูจมูกแล้วพาตัวเองเข้าไปนอนในโลงเย็น ๆ โดยที่ยังไม่ตาย แต่ถึงอย่างนั้นมินซอกก็ยังปั้นหน้านิ่งไม่ได้แสดงอาการมากไปกว่าที่เป็นอยู่

    โทษที

    เรื่อง?

    ที่พูดถึงแบคฮยอนไง

    คิดว่าผมแคร์หรือไง?

    แคร์หน่อย นี่อ่อยเลยนะ

    เร็วไปสิบปี มินซอกส่ายหน้าก่อนจะสะดุ้งถอยหลังเมื่อจู่ ๆ ก็มีผีดิบโผล่ออกมาจากตรอกทางด้านข้าง แต่เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้นผู้ชายน่ารำคาญก็จัดการทันทีก่อนที่มันจะมีสิทธิ์เข้าใกล้ตัวเขา

    ปากดีไปเถอะ ทีเมื่อวานยังเห็นทำท่าจะเป็นจะตายอยู่เลย

    เมื่อวานก็ส่วนเมื่อวาน วันนี้ก็ส่วนวันนี้สิ

    เหรอ มินซอกแค่นยิ้มขณะที่อีกคนกำลังค้นตัวศพ มันเป็นเรื่องไร้สาระจริง ๆ ที่เขาต้องมายืนดูอะไรแบบนี้ทั้งที่รอบข้างเต็มไปด้วยร้านค้าและแน่นอนว่ามีพวกกัดคนส่วนหนึ่งอยู่ข้างใน บางทีลู่หานควรจะสำเหนียกได้ว่าตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมาเอ้อละเหย ทั้งที่เป็นคนบอกเองแท้ ๆ ว่าแผนการวันนี้คือมาหาแว่นใหม่ให้เขาแล้วก็รีบไปตามหาจงอิน

    คนตัวเล็กขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายได้อะไรบางอย่างติดมืออกมาแล้วก็พบว่ามันเป็นเศษเหรียญห้าร้อยวอนที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงศพของยาม ลู่หานยิ้มพอใจ สายตาจับจ้องไปยังเหรียญเก่า ๆ ในมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กกว่า

    โชคดีชะมัด

    โจรกระจอก

    อะไรเล่าเปาจื่อ ไม่เคยเก็บเงินได้หรือไง บ่นอุบอิบแล้วดีดเหรียญให้ลอยขึ้นกลางอากาศก่อนจะคว้ามันเอาไว้เหรียญนำโชค

    ลู่หานเก็บเศษเงินใส่กระเป๋ากางเกงแล้วถือวิสาสะจูงมือมินซอกให้เดินไปด้วยกัน คนตัวเล็กถอนหายใจแล้วใช้มืออีกข้างแกะออกแต่ก็ไม่เป็นผล หนำซ้ำผู้ชายตรงหน้ายังออกแรงเพิ่มขึ้นอีก

    ที่ผมมากับคุณ มันไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำแบบนี้ได้นะ

    อ้าวเหรอ ทำไงดีล่ะจับไปแล้ว อู้ยยยยยยย ลู่หานตีหน้าซื่อ

    ถามโง่ ๆ ก็ปล่อยซะสิมินซอกมองด้วยสายตาที่คน ๆ หนึ่งจะเอือมคนนึงได้

    ปล่อยก็บ้าแล้ว ลู่หานยิ้มทะเล้นก่อนจะสอดประสานมือคนตัวเล็กให้เดินไปจัดการตัวกินคนที่กำลังเดินโซเซมาทางนี้ด้วยมือเดียว

    อย่าทำเป็นเล่นไป

    พี่ดูเหมือนคนกำลังเล่นอยู่เหรอ?

    คงไม่ ถ้าโลกนี้ไม่ได้เต็มไปด้วยพวกกัดคน นี่คุณจะบ้าเหรอเดินจูงมือผมไปตามถนนแล้วฟันคอพวกมันแบบนั้น สุดจะเหลืออด บางทีคิมมินซอกอาจจะคิดผิดก็ได้ที่เสนอตัวมากับไอ้บ้านี่ ทั้งที่กลัวว่าลู่หานจะเครียดมากจนสติแตกฝ่าฝูงพวกกัดคนเข้าไปถล่มค่ายอย่างบ้าคลั่ง ก็เลยคิดว่าถ้าเขามาคอยเตือนสติให้ระหว่างทางอาจจะเป็นการดีกว่า

    ไม่บ้าหรอก ฆ่ามันน่ะง่ายกว่าการเอาชนะใจเราอีก

    หุบปากได้แล้วลู่หาน

    ขอปฏิเสธ เจ้าของชื่อกำด้ามมีดดาบไว้พร้อมกระดิกนิ้วชี้ มินซอกกัดฟันแน่นแล้วหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะฟาดมือลงกลางหัวอีกฝ่ายอย่างเหลืออด

    โอ้ย!!!!”

    ดังกว่านี้ พวกกัดคนจะได้แห่มาที่นี่กันหมด คุณจะได้เล่นกับพวกมันจนกว่าจะพอใจไง

    เจ็บนะเปาจื่อ

    อย่า...เรียก...ชื่อ...นั้น...อีก ลู่หานลูบหัวตัวเองแล้วอมยิ้มขณะสบตากับคนตัวเล็กที่กำลังมองคาดโทษเขาอยู่

    เปาจื่อ <3”

    ไปตายซะ

    ตายก็บ้าแล้ว นรกไม่มีเปาจื่อใครจะไปให้โง่ คนทะเล้นยักคิ้วแล้วดึงให้มินซอกเข้ามาเดินข้างในให้ห่างจากกองหิมะบนฟุตปาธระวังหน่อย ในนั้นอาจจะมีพวกมันอยู่

    หิมะน่ะเหรอ

    ใช่ ไม่ได้อยากตอกย้ำหรอกนะแต่ว่าอึนจีน่ะ...อืม... ลู่หานเม้มปากแล้วชี้กองหิมะเป็นเชิงบอกกราย ๆ ว่าเพื่อนของมินซอกถูกกัดเพราะอะไร

    เรื่องนั้นผมรู้แล้ว

    ก็ดี จะได้ระวังตัวเอาไว้ ชายหนุ่มว่าแล้วเอาท้องแขนเช็ดฝ่ามัวกระจกร้านแว่นเมื่อพวกเขามาถึงที่หมายแล้ว มินซอกมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างหวาดระแวง แทบจะนับครั้งได้เลยกับการที่เขาออกมาผจญภัยแบบนี้นอกจากการลงสนามจริงอย่างตอนไปช่วยอี้ฟานและค่ายทหารครั้งล่าสุด ลู่หานส่องไฟฉายเพื่อสำรวจความปลอดภัยก่อนจะผลักประตูเข้าไปในร้าน มันเป็นโชคดีของทั้งคู่ที่ประตูไม่ได้ล็อกไว้

    ถ้าผมจะโดนกัดคงไม่ใช่ที่ขา ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางหันกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง มินซอกถลกขากางเกงให้ดูแล้วเขาก็เลิกคิ้วอย่างสงสัย

    อะไร

    นั่นน่ะสิ เจ้าตัวว่าแล้วยกขาที่ถูกพันด้วยนิตยาสารคาดเทปผ้าขึ้นมา มีคนทำให้ หมอนั่นบอกว่ามันช่วยให้รอดตายจากการถูกกัดได้

    หมอนั่น?

    คนที่คุณคาดไม่ถึงน่ะ มินซอกยักไหล่แล้วเปิดไฟฉายก่อนจะเดินเข้าไปสำรวจภายในร้านและทิ้งให้ใครอีกคนยืนงงอยู่ตรงนั้น

     

     

     

     

    เสียงประตูปิดลงครั้งแล้วครั้งเล่า เซฮุนจำไม่ได้ว่ามีใครบ้างที่เข้ามาในห้องนี้เพื่อดูว่าเขาตายหรือยัง มีเพียงแค่ชานยอลคนเดียวเท่านั้นที่เข้ามาถามไถ่ว่าหิวไหม อาการเป็นยังไงบ้างและมันก็จบเหมือนกับทุกครั้งคือการส่ายหน้าเป็นคำตอบ

    มันอาจจะเป็นข่าวดีของคนอื่นที่โอเซฮุนยังมีชีวิตอยู่แต่เขากลับไม่รู้สึกอย่างนั้น มันอาจจะดีกว่านี้หากว่าคนที่โดนลากกลับไปค่ายทหารกลายเป็นเขาแทนที่จะเป็นจงอิน ความรู้สึกในตอนนี้มันช่างขัดแย้งกัน เสียงหนึ่งบอกให้สายตาคู่นี้มองออกไปนอกหน้าต่างดึงความสนใจและความรู้สึกไว้กับจุดนั้นเพื่อที่เขาจะไม่ต้องคิดถึงเรื่องการจากไปของจงอิน

    เสียงที่สองบอกให้ปล่อยไปตามความรู้สึก และแน่นอนว่าทุกครั้งที่ภาพของใครอีกคนผุดเข้ามาในหัวสิ่งที่ตามมาก็คือน้ำตา มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้...ทุกคนต่างพูดอย่างนั้น แต่สำหรับเซฮุนมันก็เป็นเพียงแค่คำปลอบใจเพื่อที่จะไม่ให้เขารู้สึกผิดกับตัวเองไปมากกว่านี้

    ทุกอย่างมันว่างเปล่า ขาวโพลนเหมือนกับหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาไม่มีผิด ถ้าไม่นับร่างกายที่อ่อนเพลียไร้เรียวแรงเขาก็ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกใด ๆ ได้อีกนอกจากความเจ็บปวดตรงหน้าอกข้างซ้าย มันเป็นเหมือนแผลสดที่ทำให้รู้สึกถึงมันทุกวินาทีเพียงแค่คิดว่าจงอินไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว มือเรียวลูบไปตามผืนเตียงสีขาว ตรงที่เคยมีใครอีกคนนอนอยู่ตรงนี้ ที่ ๆ เขาทั้งคู่มอบไออุ่นให้กันและกันในวันที่เหน็บหนาว

    ชานยอลบอกว่าลู่หานกับมินซอกกำลังออกไปตามหาจงอิน นั่นเป็นความหวังสุดท้ายของคนที่ทำได้เพียงแค่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บนเตียงอย่างเขา หลังจากฟังเรื่องตอนเกิดเหตุแล้วก็ช็อกจนพูดไม่ออก จงอินถูกทำร้ายโดยทหารกลุ่มหนึ่งและคงสาหัสพอสมควร จากที่เคยอยู่ที่นั่น เคยถูกปฏิบัติยังไงมันก็พอทำให้รู้ได้ว่าคนพวกนั้นคงไม่ใจดีปล่อยให้จงอินกลับมาง่าย ๆ แน่

    อี้ฟานกับชานยอลผลัดกันสลับมานั่งเฝ้าดูอาการเขา เบื้องต้นอาจจะเป็นความหวังดีหรือบางทีสองคนนั้นอาจจะกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนเป็นพวกกินคนแล้วพังประตูออกไปไล่เที่ยวกัดใคร ซึ่งทั้งหมดมันเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าเลย...เซฮุนคิดอย่างนั้น

    เด็กหนุ่มไม่สามารถควบคุมความคิดตัวเองได้และไม่สามารถมองโลกในแง่ดีได้อีก แม้ว่าทุกคนจะไม่ตำหนิ ไม่กล่าวโทษสักคำ แต่โอเซฮุนกลับรู้สึกเหมือนมีคนเป็นร้อยเป็นพันกำลังตะโกนใส่หูว่าทุกอย่างมันเป็นความผิดของเขาคนเดียว

     

     

    ที่จงอินต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ก็เพราะโอเซฮุนคนเดียว...

     

     

    ...

    เสียงประตูเปิดออกอีกแล้ว เด็กหนุ่มไม่ได้หันไปดูว่าใครเป็นคนเข้ามาดูอาการเขาทุก ๆ หนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ชานยอลเพิ่งออกไปเมื่อไม่นานมานี้ เสียงเก้าอี้ลากมาจากทางด้านขวา ถึงจะเอาแต่ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างแต่สุดท้ายเขาก็ได้เห็นหน้าผู้มาใหม่อย่างชัดเจน

    ชานยอลบอกว่านายไม่ยอมกินข้าว หัดเป็นคนหัวดื้อตั้งแต่เมื่อไหร่?

    สภาพฉันตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการนั่งกับนอนหรอก

    เหรอ หวงจื่อเทาหลุบตาลงมองถ้วยโจ๊กสำเร็จรูปที่อยู่ในมือ เขารู้ว่าถ้าหากเริ่มบทสนทนากับเซฮุนแล้วจะได้รับอะไรตอบกลับมาบ้าง มันคงไม่ต่างจากที่อี้ฟานกับชานยอลเจอ แล้วมันก็ใช่จริง ๆ เซฮุนไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าเขาเกินสามวินาทีถ้าทำได้แค่นั้นฉันจะป้อนนายแล้วกัน

    เทาเจ้าของชื่อกำลังมองคนป่วยที่นั่งอยู่บนเตียง ดูไม่ออกเหรอว่าฉันกำลังรู้สึกยังไง พูดจบก็ทิ้งจังหวะไปครู่หนึ่ง

    ดูออกสิ เทาคนโจ๊กเหลวในถ้วยแล้วเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มฟังนะ เซฮุนยังคงมองหน้าเพื่อนตัวสูงอยู่อย่างนั้น และดูเหมือนว่าเทากำลังใช้เวลาเพื่อเรียบเรียงคำพูดดี ๆ ในการสื่อให้อีกฝ่ายฟัง

    ตอนที่นายกับไอ้จงอินขับรถออกไปจากอุทยาน ฉันโกรธมากแต่ทำอะไรไม่ได้ ในหัวฉันมีแต่คำถามว่าทำไม? มันเรื่องอะไรที่พวกนายต้องดิ้นรนไปที่นั่น? สิ่งที่เราต้องทำไม่ใช่คือการมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อวันพรุ่งนี้หรอกเหรอ? มั่นใจได้ยังไงว่าค่ายนั้นมันดีอย่างที่คิด? แล้วยิ่งได้ยินจากปากไอ้ลู่หานว่านายสองคนกำลังอยู่ในอันตรายฉันก็ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่

    ...

    ฉันคิดในใจว่า เห็นไหม กูพูดผิดซะที่ไหนแม้แต่ตอนไปช่วยถึงที่นั่นฉันก็ยังโกรธอยู่ คิดว่าถ้าเจอหน้านายแล้วจะด่าให้หายโง่สักที ทั้งคู่สบตากันก่อนที่เซฮุนจะเป็นฝ่ายเปิดประโยคต่อไป

    แต่สุดท้ายนายก็มานั่งอยู่ตรงนี้ แล้วก็ทำท่าเหมือนจะป้อนข้าวฉัน

    ถ้านายกินเองได้ฉันคงไม่ทำเรื่องโง่ ๆ แบบนี้หรอก

    จงอินบอกว่านายกับลู่หานถนัดเรื่องแบบนี้ดี ทนอีกหน่อยจะเป็นไรไป เซฮุนยิ้มบาง ๆ เมื่อนึกถึงคำพูดของอีกคนที่เคยบ่นให้เขาฟัง

    รู้ไหม?เทาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ตลอดเวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมาฉันกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาคนอื่นที่เอาแต่นั่งคุยกับป้ายหลุมศพได้ทั้งวันไม่ว่าวันนั้นจะท้องฟ้าโล่ง หิมะตก หรือหนาวสะบั้นจนต้องกอดตัวเอง

    ...

    ฉันไม่พูดไม่คุยกับใครเลยนอกจากครู เด็กปากดีที่ชื่อหวงจื่อเทากลายเป็นตัวปัญหาที่สร้างความอึดอัดให้กับคนที่นี่ ฉันรู้ว่าพวกเขาพยายามเข้าหาฉันด้วยการส่งยิ้มให้เวลาหันมาเจอกัน และสิ่งที่ฉันตอบโต้กลับไปคือเดินหนีไปจากตรงนั้น

    ...

    ทุกคนเครียดเพราะฉัน

    ...

    แล้วตอนนี้ก็มีนายเพิ่มขึ้นมาอีกคน เทาเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้พร้อมกับมองเพื่อนตัวบางด้วยสายตาเรียบเฉย ฉันเลยรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังกอดคอนายเป็นภาระให้กับคนที่นี่

    เทาถอนหายใจเบา ๆ เขายกตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อลากเก้าอี้ไปหยุดอยู่ข้างหัวเตียงก่อนจะตักโจ๊กร้อน ๆ ขึ้นมาเป่าให้อุ่น เซฮุนควรกินตอนที่มันยังร้อน ๆ อยู่

    นายไม่ใช่คนงี่เง่าเหมือนฉัน เพราะงั้นการกินข้าวคงไม่ใช่เรื่องที่ต้องให้คนอื่นคอยจ้ำจี้จ้ำไช พูดจบก็เลื่อนช้อนพลาสติกเข้าไปใกล้ ๆ เซฮุนลดระดับสายตามองโจ๊กอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอ้าปากรับเข้าไป แล้วก็...

    ...

    ฉันบังเอิญได้ยินคนพวกนั้นคุยกัน...อืม...ไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ เทาปั้นหน้านิ่งพลางยักไหล่เพื่อให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่กำลังพูดถึงนักว่าที่นายเป็นแบบนี้ก็เพราะเรื่องไอ้จงอิน

    แบบไหนเหรอ

    อืม... เทาคนโจ๊กในถ้วยจนมันข้นเหนียวที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ

    ...

    ฉันเข้าใจนะ

    ...

    ทุกคนที่นี่รู้ว่านายกับไอ้จงอินสนิทกันมากเหมือนพี่น้องแท้ ๆ พอมาเจอเรื่องแบบนี้ก็เลยยากที่จะทำใจได้ ทั้งที่พูดกับคนตรงหน้าแต่ในหัวกลับคิดไปถึงใครอีกคนหนึ่งที่จากไปแล้ว เด็กผู้หญิงคนนั้นที่ยังคงอยู่ในใจเขาเสมอมา ไม่มีใครรู้หรอกว่าวันไหนจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิต

    ...

    ไม่มีใครรู้ว่าวันหนึ่งคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เราจะต้องจากไป

    เทาถอนหายใจ เขาใช้เวลาจมอยู่กับความคิดขณะคนโจ๊กในถ้วยอยู่หลายวินาทีก่อนจะตักมันขึ้นมาป้อนให้เพื่อนตัวบางอีกครั้งและเซฮุนก็อ้าปากรับอย่างไม่อิดออด แม้ว่าเขาจะไม่อยากกินก็ตาม

    ฉันใช้เวลาทั้งคืนไปกับการคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ตั้งแต่วันแรกที่ต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด เคยคิดอยากตาย ๆ ไปจะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก แต่พอหันไปเห็นหน้าครูกับเพื่อนที่โรงเรียนแล้วก็ไม่กล้า

    ...

    เพราะจริง ๆ แล้วคนบางคนอาจจะมีชีวิตอยู่เพื่อคนข้าง ๆ มีคนเคยบอกฉันแบบนี้ เด็กหนุ่มนึกไปถึงใครอีกคนที่ได้นั่งคุยกับเขาหน้าบ้านท่ามกลางหิมะคืนนั้นเมื่อก่อนฉันฝืนทำเป็นตลกให้คนรอบข้างหัวเราะด้วยหน้าตาแบบนี้ เทาชี้หน้าตัวเองแล้วยิ้มน้อย ๆ เด็กหนุ่มยังใช้วิธีแบบของเขาในการทำให้เพื่อนกินข้าวได้ทั้งที่ฉันก็ไม่ได้อยากยิ้มนักหรอก

    ...

    ตอนโดนกัดครั้งแรกคิดว่าต้องตายแล้วแน่ ๆ แต่พระเจ้าดันเลือกให้ฉันอยู่ต่อ เทาเอื้อมไปเอาขวดน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมารินใส่แก้วให้เพื่อน นายก็เหมือนกัน

    ...

    ต่อให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่นายจะมีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ต่อ ถึงเราจะต้องเสียคนที่รักไปอีกสักกี่คน แต่ฉันก็อยากให้นายหายใจต่อไป

    ...

    ถ้าไม่ใช่เพื่อคนที่เหลือ...ก็คิดซะว่าทำเพื่อตัวเองเถอะนะเซฮุน

     

     

     

     

    เราน่าจะลองใส่คอนแทกเลนส์ดูนะ แว่นมันเทอะทะ เวลาต่อสู้แล้วตกแตกทุกที

    มินซอกทำหน้าเนือยขณะปีนขึ้นไปบนต้นไม้หลังจากมาถึงที่หมาย ตั้งแต่ลงจากรถลู่หานก็ยังไม่หยุดพูด เสียงของคนที่รออยู่ข้างล่างทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอยู่พอสมควร

    มันเรื่องอะไรที่ผมต้องเอาพลาสติกใส่เข้าไปในตาตัวเองด้วย คุณช่วยดูโลกตอนนี้บ้างนะ แค่เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ก็สกปรกจะแย่แล้วยังจะต้องไปดูแลไอ้ของพรรค์นั้นอีกเหรอ?

    อะไรเล่า ไม่ใส่ก็ไม่ใส่สิทำไมต้องเดือดด้วยล่ะ มินซอกอ่า...ปีนดี ๆ ครับอย่ามัวแต่บ่นเดี๋ยวจะตกลงมานะ ลู่หานแหงนหน้ามองคนตัวเล็กที่ปีนต้นไม้ได้เร็วกว่าเขาแล้วก็เป็นห่วง มินซอกแค่นหัวเราะแล้วหาที่ยึดก่อนจะก้มลงมองคนข้างล่าง

    แล้วทำไมไม่ขึ้นมาเอง

    หื้ม?

    ปอดแหก...

    โหย ว่าใครครับเปาจื่อ ที่พี่ให้ปีนขึ้นไปก็เพราะว่าถ้าเราตกลงมาพี่จะได้อ้าแขนรับแบบนี้ ลู่หานอ้าแขนออกท่าเจ้าบ่าวประกอบคำพูดแต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจแม้แต่จะมอง โอ๊ะ!” ชายหนุ่มยกมือขึ้นบังหิมะที่คนตัวเล็กจงใจเหยียบกิ่งไม้แรง ๆ เพื่อให้มันตกลงมาใส่หัวเขา มินซอกเบ้ปากแล้วเอากล้องส่องทางไกลที่คล้องคออยู่ขึ้นมาดูจุดเกิดเหตุวันนั้น

    เจออะไรบ้างไหม?

    บนถนนไม่มีอะไรเลย ซากศพพวกกัดคนก็ไม่เห็น

    จริงเหรอ?

    อาจเป็นเพราะมันถูกหิมะถมก็ได้ มินซอกว่าพลางเลื่อนกล้องส่องเข้าไปในค่าย เพราะก่อนหน้านี้หิมะเพิ่งตกไปคงไม่แปลกถ้าศพเหล่านั้นจะถูกทับถมข้างในนั้นกำลังบูรณะกันอย่างยกใหญ่ พวกทหารกำลังช่วยกันเอาศพขึ้นท้ายรถ

    ...

    ไม่เห็นจงอิน

    คำตอบของคนตัวเล็กทำให้คนทะเล้นกลับมาคิดมากอีกครั้ง ลู่หานขมวดคิ้วเข้าหากันขณะใช้ความคิด ยิ่งได้ยินว่าศพพวกกัดคนโดนหิมะทับถมแล้วก็ยิ่งเครียด จริงอยู่ว่าการที่เขากับเด็กคนนี้มาที่นี่ก็เพราะคิดว่ายังมีความหวัง แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้มั่นใจอย่างที่คิดจะเอายังไงต่อ

    ลู่หานหันไปทางคนตัวเล็กที่ลงมาจากต้นไม้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทั้งคู่มองหน้ากันราวกับขอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ต่างฝ่ายต่างก็เงียบเพราะลู่หานไม่ได้มีแผนไว้ตั้งแต่แรก...ไม่ได้มีแผนว่าถ้ามาที่นี่แล้วไม่เจอจงอินแล้วจะทำยังไงต่อ

    จะกลับหรือจะใช้วิธีโง่ ๆ

    วิธีโง่ ๆ ที่ว่าของเราคืออะไร?

    เดินเตะหิมะเล่นเพื่อค้นหาซากศพ

    มินซอก... ลู่หานเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างอ่อนใจ ในเวลาแบบนี้ช่วยพูดให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้างไม่ได้เลยหรือไงนะ พี่ยิ่งใจไม่ดีอยู่

    ถ้าจงอินไม่นอนอยู่ใต้หิมะ เขาก็คงถูกลากกลับไปในค่าย ผมพูดถูกไหม?

    ถูก

    งั้นตอนนี้คุณมีอยู่สามตัวเลือก คนตัวเล็กว่าพร้อมกับช่วยรูดซิปเสื้อตัวนอกให้ลู่หานหนึ่งคือกลับอุทยาน สองคือเดินโง่ ๆ หาร่างจงอินใต้หิมะ แต่ผมไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้เท่าไหร่เพราะผมไม่อยากเห็นคุณร้องไห้ฟูมฟายถ้าเกิดว่าเขานอนจมอยู่ใต้หิมะจริง ๆ ส่วนข้อสาม...เนียนเข้าไปในค่าย

    ...

     

     

    งานถนัดคุณเลยใช่ไหม?

     

     

     

     

    สุดท้ายก็ต้องปีนเข้ามาเสี่ยงตายในค่ายทหารอีกครั้งเพราะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้ว ไม่สิ จริง ๆ มันก็มีหรอกไอ้ทางที่ดีน่ะแต่มันไม่ใช่สำหรับเขา บางทีลู่หานอาจจะบ้าเกินไปสักนิดที่ไม่ยอมค้นหาศพตรงจุดเกิดเหตุก่อนที่จะเข้ามาในนี้เพียงเพราะกลัวจะรับความจริงไม่ได้ แต่คิดว่ามนุษย์เราก็ต้องมีมุมนี้กันบ้างแหละและเชื่อว่าเขาไม่ได้กลัวความจริงแค่คนเดียว

     

     

    เออ ผู้ชายชื่อลู่หานนี่แหละที่เลือกเสี่ยงตายมากกว่าการหาศพเพื่อน

     

     

    ชายหนุ่มกระโดดลงบนพื้นอย่างเงียบเชียบ เขาใช้เท้าเตะหิมะกลบรอยเอาไว้เผื่อว่าจะมีพวกขาจรเดินผ่านมาละแวกนี้จะได้ไม่แตกตื่นรอยเท้าของเขา แน่นอนว่าคราวนี้ลู่หานไม่ได้ปีนเข้าจากทางเดิมเพราะมินซอกบอกว่าตรงนั้นมีทหารยืนเฝ้ายามอยู่

    ชายหนุ่มก้มต่ำแล้วเดินเลียบไปตามกำแพงบ้านก่อนจะหยุดอยู่กับที่เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยของคนที่อยู่ในระยะใกล้ ชาวบ้านกำลังช่วยกันขนศพขึ้นท้ายรถกระบะ และช่วยกันซ่อมแซมจุดที่เสียหายของที่พักอาศัย สังเกตได้ว่ามีทหารยืนเฝ้ายามเพิ่มขึ้นกว่าที่เคย นั่นหมายความว่าลู่หานกำลังเจอบทหนักกับการฉายเดี่ยวในครั้งนี้

    ชายหนุ่มเลียริมฝีปากก่อนจะทุ้งศอกใส่ถังน้ำมันขึ้นสนิมที่อยู่ข้างตัวเพื่อเรียกความสนใจ และมันก็ได้ผล ทหารที่ยืนเฝ้ายามอยู่ตรงนั้นหันหลังกลับมาพร้อมกับยกปืนขึ้นตั้งระดับอกเตรียมพร้อมจะเหนี่ยวไกหากว่ามีตัวประหลาดโผล่ออกมาจากมุมนั้น ขายาวกำลังก้าวมาทางนี้อย่างช้า ๆ ในขณะที่ลู่หานค่อย ๆ หยัดตัวลุกขึ้นยืนพิงกับผนังตัวบ้าน  ได้แต่บอกตัวเองในใจว่าเขามีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นและจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด

    ทันทีที่เห็นรองเท้าคอมแบทก้าวเข้ามาเขาก็คว้าปืนกลที่อีกฝ่ายถือเอาไว้ก่อนจะซัดหมัดใส่เต็มแรงจนทหารหนุ่มเสียหลัก ลู่หานเงยหน้าขึ้นสังเกตการณ์เพียงแค่เสี้ยววินาทีก่อนจะโยนปืนนั้นไปข้างหลังแล้วกระชากคอเสื้ออีกคนให้เข้ามาหลบมุม

    อั่ก!!”

    นิ่งไว้ไอ้หนู มีดมันคม นายทหารหลุบตาลงมองปลายมีดที่จ่ออยู่กลางคอหอยเขาก่อนจะเงยหน้าสบตากับอีกฝ่าย เอาล่ะ คราวนี้มึงทิ้งอาวุธที่มีอยู่ไปให้หมด ลู่หานข่มเสียงพร้อมกับจ้องอีกฝ่ายเพื่อให้รู้ว่าเขาเอาจริงแน่หากว่ามันตุกติก

    ...!!!”

    ให้...หมด ลู่หานจี้มีดย้ำเข้าไปเป็นเชิงกดดันให้คนตรงหน้ารีบทำให้ทุกอย่างมันเสร็จ ๆ ทหารหนุ่มควักเอาปืนพกที่เหน็บอยู่สนับเอวออกมาอย่างช้า ๆ แล้วโยนลงพื้นก่อนจะตามด้วยมีดพกทหาร

    ...มึงต้องการอะไร

    มีแน่ แต่กูไม่ชอบทำอะไรทีละอย่าง มันอืดอาดชักช้าน่าหงุดหงิด เพราะงั้นเราจะคุยไปแล้วก็แลกเปลี่ยนเสื้อผ้ากันไป ลู่หานยิ้มแล้วพยักหน้าขณะจ่อปลายมีดไว้ที่เดิม ทหารหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ได้คำตอบเมื่ออีกคนดึงหมวกเขาเอาไปใส่ถอดเสื้อผ้ามึงออกมา

    มึงจะบ้าเหรอวะ!”

    ชู่ว์...มีดกูมันขี้ตกใจ อย่าเสียงดังให้มากเดี๋ยวเลือดทะลัก...กูให้มึงเลือกว่าจะนั่งเปลือยอยู่ตรงนี้หรือจะใส่เสื้อผ้ากู? ลู่หานชักสีหน้า เขาเริ่มจะหงุดหงิดกับการที่ไอ้ทหารเหลาเหย่เอาแต่ยืนทำหน้าโง่อยู่ได้

    สุดท้ายทหารก็ยอมถอดชุดออก สายตาที่เต็มไปด้วยคำด่านั้นเขารับรู้ได้ แต่มันคงไม่สำคัญไปกว่าการที่เขาจะได้เข้าไปข้างในโดยที่ไม่มีใครสงสัย ลู่หานใช้เวลาเปลี่ยนเป็นชุดทหารอยู่พอสมควรเพราะต้องคอยเล็งปืนไปยังคนตรงหน้าหลังจากเก็บมีดแล้ว

    มึงจะทำอะไร...

    ตามหาเพื่อน คราวนี้มึงบอกกูได้แล้วว่าพวกมึงจับเพื่อนกูไว้ที่ไหน

    ใครคือเพื่อนมึง กูไม่รู้

    อ้อ เมื่อวานมึงคงไม่ทันได้เห็นหน้ากูสินะ ลู่หานแค่นยิ้ม โอเค กูคือหนึ่งในคนที่ทำให้ค่ายนี้เละเป็นขี้เองแหละ และวันนี้กูมาเพื่อตามเพื่อนกลับ

    ... ทหารหนุ่มขมวดคิ้วพลางใช้ความคิด เขาก้มลงเก็บเสื้อผ้าของลู่หานขึ้นมาใส่เมื่ออีกฝ่ายเตะมันมาให้เขา

    บอกมา

    ...กูไม่รู้

    อ่า~” ลู่หานเลิกคิ้วพร้อมกับอ้าปากแล้วเก็บปืนพกไว้กับสนับเอวก่อนจะเดินไปเก็บปืนกลขึ้นมากูมีเวลาประมาณหนึ่งนาทีในการปีนรั้วหนีหลังจากยิงหัวมึงก่อนที่พวกทหารจะแห่มาตรงนี้ แต่เชื่อเถอะว่ากูใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบวิ เพราะฉะนั้นมึงรีบบอกมาดีกว่าอย่าให้กูต้องโมโห

    ก็กูบอกว่าไม่รู้ไง!”

    ไม่รู้ก็ต้องรู้ ทหารหนุ่มปากสั่นเมื่ออีกฝ่ายยัดปืนเข้ามาในปากเขา ลู่หานยิ้มกวนประสาทขณะสบตากับอีกฝ่าย แน่นอนว่าตอนนี้เขากำลังถือไพ่เหนือกว่า เรื่องนี้ต้องขอบคุณปาร์คชานยอลที่ทำให้เขาเรียนรู้การกดดันคนอื่นด้วยวิธีแบบนี้

    จ...จูจีฮุน...

    หื้ม?

    จูจี...ฮุนน่าจะรู้...มึงต้องให้กูไปถามเขาแล้วมาบอกมึง...

    ตลกละ ถ้ากูปล่อยมึงไปพวกทหารก็แห่กันมาทำฌาปนกิจศพให้กูสิ ลู่หานตบหัวอีกฝ่ายแล้วจ้องเค้นคำตอบไอ้จูจีฮุนมันเป็นใคร

    ...เป็นทหารเหมือนกัน

    มันอยู่ไหน?

    ...อยู่

     

     

     

     

    เสียงเคาะประตูบ้านทำให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าค้างอยู่ท่านั้น จีฮุนใส่เสื้อพร้อมกับเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูก่อนจะเปิดมันออก ร่างสูงเบิกตากว้างก่อนจะลดระดับสายตาลงเมื่อพบว่าใครอีกคนซ่อนปืนไว้ใต้ถุงผ้าทหารสีเขียวขี้ม้าที่พาดอยู่กับข้อมือ และที่สำคัญคือมันเล็งมาทางเขา

    ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้ง

    ...

    จีฮุนสบตากับอีกฝ่ายที่ทำให้รู้สึกคุ้นหน้าอยู่ไม่น้อย แต่จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่และประโยคทักทายมันก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เพราะต่อให้จะมีเรื่องไม่ลงรอยกับทหารในค่ายแต่อย่างมากสุดพวกเขาก็สามารถตกลงกันได้ถึงแม้ว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พอใจก็ตามแต่มันก็ไม่ถึงขั้นที่จะเอาปืนมาขู่กันแบบนี้ ลู่หานยกยิ้มแล้วขยับปืนเล็กน้อยเป็นเชิงบอกให้อีกคนถอยออกจากประตูเพื่อที่เขาจะได้เดินเข้าไปได้และจูจีฮุนก็ไม่ได้ขัดขืน

    ปิดประตู

    ...

    นายทหารหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย ลู่หานเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาเก่า ๆ ที่เบาะขาดจนเห็นฟองน้ำก่อนจะเอนหลังพิงอย่างสบายตัว เขากำลังจับตามองการเคลื่อนไหวของคนตัวสูงที่ดูเหมือนว่ากำลังใช้ความคิดกับความสงสัยในตัวเขา

    มึงคงจำกูไม่ได้สินะ แต่ไม่เป็นไร เพราะตอนแรกกูก็จำมึงไม่ได้เหมือนกัน

    ...

    เราเคยเจอกันแล้วครั้งนึงตอนที่มึงเจอไอ้จงอินกับเซฮุนครั้งแรก หวังว่ามึงคงจำชื่อสองคนนั้นได้?ภาพ Flashback ย้อนกลับไปยังวันที่เขาวิ่งหนีพวกผีดิบไปจนเจอจงอินกับเซฮุนและใครอีกคนหนึ่งที่เขาจำหน้าไม่ได้แต่ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นได้มาอยู่ที่นี่แล้ว ปิดไฟแล้วเปิดตะเกียงซะ ลู่หานผินหน้าไปทางด้านข้างทั้งที่ยังไม่ยอมลดปืนลง ร่างสูงถอนหายใจก่อนจะเดินไปปิดอย่างปฏิเสธไม่ได้ ที่นี่สบายจริงนะ มีไฟฟ้าให้ใช้ ข้างในคงมีเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่อยู่สิท่า

    มีอะไรก็ว่ามา

    โว้ว คนที่จะรีบมันควรเป็นกูมากกว่าไหม? ลู่หานเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มก่อนจะแค่นหัวเราะกับท่าทางชวนเลือดกบปากของใครอีกคน

    คุณต้องการอะไรอีก?

    ไอ้จงอินอยู่ไหน?

    ...

    ชัด? ลู่หานเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย และเชื่อว่าจูจีฮุนคงไม่โง่พอที่จะถามอะไรออกมาอีก นายทหารหนุ่มหลุบตาลงพลางถอนหายใจอีกครั้ง และมันทำให้เขาเป็นกังวลอย่างบอกไม่ถูกกับสิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออกมา

    เขาตายแล้ว

    กูให้โอกาสมึงพูดใหม่อีกที ลู่หานลุกขึ้นยืนพร้อมกับเล็งปืนไปยังคนตรงหน้าและไม่ลืมที่จะปลดเซฟตี้ให้เห็นคาตา

    ...

    ...

    ทั้งคู่สบตากันอย่างหยั่งเชิง สีหน้ากวนประสาทของคนที่ถือไพ่เหนือกว่าได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันทีที่ได้ยินจากปากศัตรูว่าเพื่อนของเขาตายไปแล้ว ลู่หานกัดฟันกรอด เขายังคงคาดหวังว่าไอ้เวรนี่กำลังโกหกเพื่อยั่วโมโหเขาหรืออะไรก็ตามที่มันกำลังเลี่ยงจะพูดความจริง

     

     

    อะไรก็ได้...ที่มันพยายามปิดบังว่าจงอินยังไม่ตาย

     

     

    ผมจะโกหกไปเพื่ออะไรในเมื่อคุณกำลังเล็งปืนมาที่ผมแล้วก็พร้อมที่จะเหนี่ยวไกทุกเมื่อ

    ...

    เขาตายแล้ว

    ลู่หานกำลังมือสั่นเขารู้สึกได้ จูจีฮุนยังคงทำหน้านิ่งแม้ว่าความตายนั้นได้มาอยู่เบื้องหน้าและมันสามารถปลิดชีวิตเขาได้ภายในนัดเดียว นายทหารหนุ่มกลืนน้ำลายแล้วก้าวถอยหลังก่อนจะคว้าเอาเสื้อกันหนาวทหารออกมาใส่ทับเสื้อตัวใน

    มันตายยังไง?

    ...

    พวกมึงฆ่าเพื่อนกูด้วยวิธีไหน? เขาได้ยินเสียงที่ลอดออกมาจากไรฟัน มันบ่งบอกได้ดีว่าผู้ชายที่ปลอมตัวเป็นทหารกำลังอยู่ในอารมณ์โทสะมากแค่ไหน

    เราซ้อมเขาจนสาหัส

    ...

    จงอินหมดสติหลังจากที่พวกคุณหนีไปแล้ว...หลังจากนั้นเราก็ลากเขาไปทิ้งในป่า ลู่หานส่ายหน้า เขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ไอ้สารเลวนี่กำลังพูดถึง ชายหนุ่มเดินวนไปวนมาอยู่อย่างนั้นไม่กี่วินาทีก่อนที่จีฮุนหน้าหันไปอีกเมื่ออีกฝ่ายซัดหมัดลุ่น ๆ ใส่ไม่ยั้งจนเขาเซถอยหลังไปชนกับตู้วางของอย่างแรง

    มึง!!!”

    อั่ก!!!”

    ลู่หานยังคงไม่หยุด...หมัดของเขาซ้ำลงที่เดิมจนหลังมือเต็มไปด้วยเลือด จูจีฮุนปล่อยให้อีกฝ่ายชกหน้าเขาจนกว่าจะพอใจทั้งที่สามารถตอบโต้กลับไปได้ ลู่หานปล่อยคอเสื้ออีกฝ่ายออกแล้วก้าวถอยหลังอย่างคนหมดแรง

    จีฮุนทรุดตัวนั่งกับพื้นพร้อมกับปาดคราบเลือดออก พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าผู้ชายคนนั้นกำลังจะสติแตก สองมือกำกลุ่มผมตัวเองเอาไว้พร้อมกับพึมพำไม่หยุด ความเงียบเท่านั้นที่โรยตัวอยู่โดยรอบในตอนนี้ ในหัวของเขามีแต่คำถามว่า ทำไม? ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ยอมเสี่ยงตายเข้ามาในค่ายเพื่อที่จะตามหาคิมจงอิน?

     

     

    พวกเขาไม่เคยท้อ ไม่เคยกลัวตายกันเลยหรือยังไงกัน?

     

     

    ในป่า... ลู่หานเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงแหบพร่าจากอีกฝ่าย ผมไม่ได้ฆ่าเขาให้ตายคามือ...แต่มันก็เหมือนฆ่า จูจีฮุนกลืนน้ำลายปนเลือดลงคอ เขายังจำสภาพจงอินในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี

    ...

    เพราะสภาพแบบนั้น...อีกทั้งอากาศข้างนอก มันก็เหมือนการฆ่าเขาทางอ้อม

    ...

    ถ้าโชคดี เขาอาจจะพาตัวเองหนีไปได้ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น

    มึงหมายความว่าไง?

    เขายังไม่ตาย...แต่ก็อาจจะตายเพราะความหนาว

    ...

    แต่ความเป็นไปได้มันน้อยมาก...

    กูไม่สน ลู่หานมองอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจังก่อนจะเข้าไปกระชากคอเสื้อให้ลุกขึ้นยืน ในเมื่อพูดแบบนี้มึงก็ต้องพากูไปให้เห็นกับตา

    ...

    ว่ามันตายจริงหรือว่ารอดกันแน่...

     

     

     

     

    ถ้าคุณอยากอยู่คนเดี๋ยว อีกหนึ่งชั่วโมงผมจะเข้ามาใหม่ อี้ฟานมองเซฮุนเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความเป็นห่วง ร่างบางเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้นแล้วเขาก็ปิดประตูลง

    เด็กหนุ่มดึงผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่ข้างหน้าต่าง ทันทีที่เปิดมันออกกระแสลมหนาวก็พัดผ่านเข้ามาจนต้องหลับตาลง ตลอดเวลาทั้งวันโอเซฮุนนั้นใช้เวลาไปกับการคิดถึงคิมจงอินจนไม่เป็นอันทำอะไร หรือจริง ๆ แล้วเขานั้นทำอะไรไม่ได้เพราะสภาพร่างกายที่เป็นแบบนี้

     

     

    เพียงแค่คิดถึง...ความเจ็บปวดก็กลับมาทำร้ายเขาอีกครั้ง

     

     

     

    เซฮุนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แม้จะถูกหลังคาบังแต่เขาก็ยังสามารถมองเห็นกลุ่มเมฆครึ้มที่กระจายอยู่บนนั้นได้ สองมือวางกับขอบหน้าต่าง นี่เป็นครั้งที่สองที่เด็กหนุ่มกำลังถูกความคิดถึงทำร้ายนับตั้งแต่ตอนอยู่เกาะเชจู ตอนนั้นเซฮุนได้แต่คิดว่าพระเจ้าคงเห็นใจคนอย่างเขาถึงได้คืนจงอินมาให้...แล้วคราวนี้ล่ะ?

     

     

    พระเจ้าก็จะทำแบบนั้นเหมือนกันใช่ไหม?

     

     

    เสียงรถดับลงตรงหน้าบ้านทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกกระตือรือร้นจนต้องพยุงร่างตัวเองให้เกาะไปตามผนังบ้านเพื่อออกไปดู เซฮุนได้แต่ภาวนาในใจว่าถ้าหากเขาอดทนอีกอึดใจเดียวแล้วเดินออกไปข้างนอกก็จะเห็นจงอินลงมาจากรถพร้อมกับลู่หานและมินซอก

    ทันทีที่ประตูบ้านเปิดออกทุกคนที่ยืนอยู่ข้างรถก็หันมาที่เขาเป็นตาเดียวกัน และสายตาที่มองมานั้นมันไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ เซฮุนคว้าราวบันไดไว้เป็นหลักแล้วค่อย ๆ เดินลงไปก่อนที่อี้ฟานจะเข้ามาช่วยประคอง

    ผมไม่เป็นไรครับ เด็กหนุ่มหันไปบอกอีกคน แต่อี้ฟานก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาเดินเองจนกระทั่งทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าลู่หานกับมินซอกนั่นแหละร่างสูงถึงได้ยอมปล่อย

    เซฮุนสบตากับคนตรงหน้าเป็นเชิงถาม และดูเหมือนว่าทุกคนที่นี่น่าจะรู้คำตอบก่อนเขาแล้วเพราะการพาตัวเองออกมาถึงหน้าบ้านก็เสียเวลาไปหลายนาทีเหมือนกัน ลู่หานนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ ส่ายหน้าเป็นคำตอบ อี้ฟานก้มลงมองมือของเซฮุนที่กำลังออกแรงบีบต้นแขนเขาโดยไม่รู้ตัว ถึงมันจะเบาบางแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเด็กคนนี้

    ฉันเข้าไปในค่าย ไปหาทหารคนหนึ่งแล้วก็ได้เรื่องว่ามันลากไอ้จงอินไปทิ้งในป่า

    ...

    ฉันกับมินซอก แล้วก็ไอ้เวรนั่น...เราสามคนไปที่นั่นด้วยกันเพื่อตามหาไอ้จงอินลู่หานไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นกับการอธิบายเรื่องนี้ สีหน้าของเขาดูอิดโรย เหนื่อย และท้อกับการที่ต้องพูดถึงเรื่องดังกล่าว

    แต่พอไปถึงก็ไม่เห็นอะไรสักอย่าง...

    นั่นหมายความว่าเขาอาจจะรอดก็ได้ไม่ใช่เหรอ? แบคฮยอนแทรกขึ้นมา

    ตรงนั้นเป็นป่า ฉันไม่รู้ว่ามีสัตว์ร้ายกี่ตัวที่สามารถลากสิ่งมีชีวิตเข้าไปกินในถ้ำได้ อีกอย่างมันก็ไม่มีหลักฐานอะไรทิ้งไว้ให้เห็นเลยว่ามันยังมีชีวิตเพราะหิมะปกคลุมเต็มไปหมด

    ...

    อยากจะโลกสวยนะ แต่ถ้าฉันโดนอัดจนน่วมแบบนั้นคงไม่มีปัญญาพาตัวเองไปหาที่อบอุ่นได้หรอก

    ...

    ขอโทษ ลู่หานเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วตรงเข้าไปยังบ้านหลังที่สอง ทุกคนต่างยืนนิ่งเพราะพูดไม่ออกกับเรื่องที่ได้ฟังเมื่อครู่โดยเฉพาะเซฮุนกับแบคฮยอนที่คาดหวังว่าจงอินยังมีชีวิตอยู่

    มินซอกมองหน้าเพื่อนตัวสูงก่อนจะหันไปทางบยอนแบคฮยอนที่กำลังช็อกไม่ต่างกัน คนตัวเล็กมองตามแผ่นหลังของเซฮุนที่กำลังถูกอี้ฟานประคองเข้าไปในบ้าน ตอนนี้เหลือเพียงแค่เขา เทา คยองซู และแบคฮยอนที่ยังไม่ไปไหน

    ทุกอย่างต้องใช้เวลา พวกนายเข้าใจใช่ไหม

    ทั้งสามคนหันไปมองหวงจื่อเทาที่กำลังมองไปยังทางเดินลงแม่น้ำ การทำใจหลังจากเกิดการสูญเสียมันเป็นเรื่องยากที่จะรับไหว แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถหลีกหนีความเศร้าในฐานะของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ เด็กตัวสูงหันมาตบบ่าแบคฮยอนก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ

     

     

    เราทุกคนต้องใช้เวลา

     

     

     

     

    เซฮุนล็อกกลอนประตูเพื่อไม่ให้ใครได้เข้ามาอีก เด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่กับที่แล้วให้สมองช่วยประมวลผลกับทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังวนเวียนอยู่ในหัวเขา นัยน์ตากวาดมองไปรอบ ๆ ห้อง...ที่จงอินเคยบ่นว่ามันแคบนิดเดียวแต่สำหรับเขาในตอนนี้มันช่างกว้างขวางจนกลัวกับการที่ต้องอยู่คนเดียว

    ทุก ๆ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ ตรงหน้าต่างบานนั้นจงอินเคยกอดเขาจากข้างหลังพร้อมกับเอาคางเกยไหล่ เล่านิทานบ้า ๆ ที่ฟังทีไรเนื้อเรื่องก็ไม่เคยเหมือนเดิม เซฮุนเดินไปหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าแล้วเปิดออก เลือกเสื้อยืดสีดำออกมาพร้อมกับกางเกงยีนส์สีซีดขาดเข่า เขาจ้องมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอาไปวางจัดเรียงไว้บนเตียง

    ร่างบางเอนตัวลงนอนข้าง ๆ เสื้อยืดกับกางเกงของจงอินพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้ ๆ แล้ววางมือลงบนเสื้อราวกับว่าตอนนี้เขากำลังกอดใครอีกคนอยู่ น้ำตาอุ่นไหลออกมาผ่านสันจมูกจนหยดลงบนหมอนเป็นต่างดวงครั้งแล้วครั้งเล่า ขายาวขดเข้าหาตัวก่อนจะดึงเอาเสื้อเข้ามากอดแนบอก

    ...

    เสียงสะอื้นในลำคอหนักยิ่งขึ้นเพียงแค่ได้กลิ่นของคนที่เขารักมากที่สุด มันชัดเจนแล้วจริง ๆ ชัดเจนแล้วว่าโลกที่ไม่มีคิมจงอินมันทรมานมากแค่ไหน ภาพความทรงจำตอนอยู่ด้วยกันตั้งแต่วันแรกย้อนกลับเข้ามาราวกับม้วนหนัง ตั้งแต่ตอนที่ได้สบตากับจงอิน ตอนนั้นเขาทั้งคู่ต่างเห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น

    ตั้งแต่วันนั้นที่โอเซฮุนกำลังจะถูกไฟคลอกแต่จงอินก็เสี่ยงตายเข้าไปช่วยเขา วันนั้นที่โอเซฮุนตัดสินใจตายด้วยการโดดตึกมากกว่าการยอมเป็นอาหารให้กับพวกกินคน แต่จงอินก็ไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น

     

     

    ทุกอย่างพร่ามัวไปหมด เขามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความเจ็บปวดที่ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นน้ำตา

     

     

     

     

     
     

    หนาว...ความเย็นพวกนี้มาจากไหน?

    มันหนาวไปถึงสมองแล้ว เขากำลังจะตายเพราะปวดหัว

     

     

    ชายหนุ่มค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและสิ่งแรกที่พบก็คือแสงสว่างสีส้มที่มาจากอะไรสักอย่าง เห็นเงาดำตะคุ่มอยู่ในระยะสายตาแต่ยังไม่ทันได้ให้สมองคิดทบทวนมือหนาก็ต้องยกขึ้นบังแสงสว่างจ้าจากไฟฉายจนต้องถอยตัวไปชิดกับผนังแล้วยกมือขึ้นบังราวกับกลัวว่าจะมีใครมาทำร้าย

    เขาเปลี่ยนหรือยัง?

    ยัง

     

     

    ผู้หญิง?

     

     

    พวกมันชอบวิ่งเข้าหาแสง

    ชายหนุ่มค่อย ๆ ลดมือลงเมื่อแสงสว่างนั้นหายไปแล้ว และทันทีที่ลืมตาขึ้นเขาก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ถือกระทะเอาไว้ในมือ เธอกำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาหวาด ๆ  หลังจากนั้นเจ้าของเสียงห้วน ๆ เมื่อครู่ก็เดินกลับมาพร้อมกับมีดในมือและแน่นอนว่ามันทำให้เขาผงะจนแผ่นหลังติดผนังอีกครั้ง

    เฮ้?

    ...

    ได้ยินเปล่า? หญิงสาวมัดผมหางม้าถามพร้อมกับหมุนวนนิ้วชี้ข้าง ๆ หูเป็นท่าประกอบ ส่วนมืออีกข้างก็ชี้มีดมาตรงหน้าเขา

    เขาอาจจะเป็นใบ้ก็ได้ หญิงสาวหน้าสวยกระซิบอีกคนทั้งที่ยังไม่วางกระทะลง

    ...

    โอเค ฉันจะวางมีดลง เธอมองหน้าเขาแล้วค่อย ๆ วางมีดลงบนโต๊ะอย่างช้า ๆ คราวนี้จะพูดได้ยัง?

    ...

    ...

    พูด...?

    เขาไม่ได้เป็นใบ้นี่ หญิงสาวผมยาวยิ้มกว้าง ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องยินดีอะไรขนาดนั้น

    ฉัน...พูดได้

    ถ้านายไม่ได้เป็นใบ้ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ผู้หญิงผมหางม้าพูด ท่าทางเธอดูห่าม ๆ ผิดจากผู้หญิงอีกคนอย่างสิ้นเชิง

    ขอน้ำหน่อย...

    อ๋อ ได้สิ ผู้หญิงที่ถือกระทะหันไปหยักหน้าเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ แล้วผู้หญิงผมหางม้าก็ถอนหายใจอย่างหัวเสียแล้วยื่นขวดน้ำพลาสติกที่เหลือเพียงแค่ก้นขวดมาให้เขา ชายหนุ่มรีบดื่มมันเพราะความกระหาย พอรู้สึกสดชื่นแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวทั้งสอง

    ...ที่นี่ที่ไหน? เขามองไปรอบ ๆ ที่แคบแห่งนี้ก่อนที่ผู้หญิงผมหางม้าจะเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงมุมฝั่งตรงข้ามแล้วลับมีด

    บ้านเราเอง เอ่อ...จริง ๆ แล้วมันเป็นรถบ้านน่ะ ผู้หญิงผมยาววางกระทะลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงข้างขอบเตียง เธอดูเคอะเขินตอนพยายามอธิบายบ้านเคลื่อนที่ให้อีกฝ่ายฟัง ฉันชื่อจองซูยอน ส่วนนั่นพี่สาวฉัน ควอนยูริ

    ... ชายหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ พร้อมกับมองหน้าอีกคนที่ยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น ทั้งที่เมื่อกี้ยังทำท่าจะฟาดกระทะใส่หัวเขาอยู่เลยแท้ ๆ ร่างหนานิ่วหน้าเจ็บพร้อมกับกุมขมับ เพียงแค่เขาขยับตัวเท่านั้นความเจ็บก็แล่นปราดเข้ามาทันที

    อย่าขยับตัวบ่อยนักสิ นายยังต้องพักผ่อนนะ ซูยอนเข้ามาประคองร่างชายหนุ่มให้เอนตัวลงนอนเหมือนเดิมพร้อมกับห่มผ้าให้ นายน่ะหลับไปสามวันเต็ม ๆ เลยนะรู้ไหม

    ...สามวันเลยเหรอ?

    อื้ม คิดว่าจะตายแล้วซะอีก นายนี่ดวงแข็งจริง ๆ

    ดวงแข็ง? พอเห็นชายหนุ่มขมวดคิ้ว ซูยอนเลยหันกลับไปมองหน้าหญิงสาวอีกคนที่ยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าเธอไม่ต้องการที่จะยุ่งกับผู้ชายคนนี้

    ฉันกับพี่สาวเห็นนายถูกทิ้งไว้ในป่าน่ะก็เลยช่วยกลับมา

    ... ร่างหนาขมวดคิ้ว เขากำลังพยายามนึกถึงเรื่องราวที่คนตรงหน้ากำลังพูดถึงแต่ที่นึกออกกลับมีเพียงแค่ภาพทหารที่กำลังรุมทำร้ายเขาและภาพสุดท้ายตอนเห็นเงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งที่ดูเหมือนว่ากำลังจะทำอะไรสักอย่างก่อนที่เขาจะหมดสติไป

    นายชื่ออะไรเหรอ?

    ...

    นี่ เธอเขย่าแขนชายหนุ่มเบา ๆ อย่าเพิ่งใจลอยสิ ฉันถามว่านายชื่ออะไรคนขี้เซา

    ...ชื่อ

    ชื่อ...? เห็นซูยอนขยับปากตามอย่างลุ้น ๆ ยูริก็ได้แต่ส่ายหน้าระอา เธอนั่งลับมีดต่อไปแล้วก็หันไปมองทั้งคู่เป็นระยะ

     

     

     

     

     

    ฉัน...จำไม่ได้

     

     

     

     

     

    TBC

     

     

     

    เราไปก่อนนะ บาย #ชูนิ้วหัวแม่มือขึ้นสุดแขน

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×