ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZOMBIES HARD CREEPER | KAIHUN CHANBAEK FT.EXO

    ลำดับตอนที่ #76 : Chapter 71 :: How Dare You?

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.35K
      72
      2 ต.ค. 58

    ? Tenpoints!

     



     

    Chapter 71

    How Dare You?

     

     

     

    เสียงโหวกเหวกดังมาจากทางหน้าบ้าน จงแดเป็นคนแรกที่ออกไปดู เขาถอนหายใจทันทีที่เห็นว่าต้นกำเนิดเสียงนั้นมาจากใคร และคงไม่พ้นสองหนุ่มที่อาสาออกไปดูจงอินกับเซฮุนที่ค่ายนั้น ลู่หานกับชานยอลกำลังลับฝีปากกันแม้ว่าคนตัวสูงจะดูสงบนิ่งกว่า จริง ๆ แล้วคนที่กำลังขึ้นเสียงและพูดไม่หยุดก็มีเพียงแค่หนุ่มชาวจีนนั่นแหละ

    อี้ฟานกับอี้ชิงเดินออกมาสมทบ จงแดส่ายหน้าหน่าย ๆ ก่อนจะหันไปทางผู้มาใหม่ทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างหลัง เป็นอย่างที่อี้ชิงบอกไว้ไม่มีผิดว่ามันอาจจะไม่เข้าท่าหากว่าให้สองคนนั้นไปด้วยกัน ตอนนี้เด็กคนอื่น ๆ กำลังยืนมองเหตุการณ์อยู่ข้างหน้าต่าง พอรู้ว่าทั้งสองคนไม่ได้ทะเลาะกันอย่างจริงจังเลยถอยกลับเข้าไปสนใจเรื่องที่ทำอยู่ก่อนหน้านี้

    ความผิดมึงแหละ

    เหรอครับ? ทั้งที่คุณจะเดินเข้าไปเลยก็ได้ ผมรั้งคุณไว้หรือไง?

    มึงไม่ได้รั้ง แต่มึงบอกว่ากูไม่ควรเอาปืนเข้าไปด้วย

    ครับ? ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ

    แต่มันก็เป็นเรื่องที่มึงคิด มันอยู่ในหัวของมึงและควรอยู่ในนั้นต่อไปโดยไม่ต้องแสดงความคิดเห็นออกมา ลู่หานกระชับสายสะพายไรเฟิลขณะก้าวไปข้างหน้า ถ้าเดินหล่อเข้าไปแบบไม่มีอาวุธแล้วถูกสอยร่วงกูจะเอาอะไรป้องกันตัววะ โง้โง่

    คุณคิดว่าแค่มีไรเฟิลกับแม็กนั่มรีโวลเวอร์กับแม็กกาซีนอีกสองชุดจะช่วยให้คุณรอดตายจากการโดนยิงได้งั้นเหรอครับ?

    ได้ เพราะกูคือคนเหล็ก...Yo Yo Man~” หันไปปิดบทสนทนาแค่นั้นก่อนจะโบกมือทักทายสามหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าบ้าน วินาทีนี้เขาไม่ต้องการเห็นเบ้าหน้าไอ้ชานยอลอีกเพราะแค่หายใจข้างกันรู้สึกเอียนจะแย่แล้ว ตลอดเวลาเกือบห้าชั่วโมงที่อยู่ด้วยกันนี่ไม่อยากจะพูด ห่านี่แม่งมีความสามารถเรื่องทำหน้าปลุกตีนคนอื่นจริง ๆ  

    เป็นยังไงบ้าง

    กะแล้วว่าต้องถามงี้ ลู่หานพิงไรเฟิลไว้กับผนังก่อนจะทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้หวาย อี้ชิงหันไปทางชานยอลที่แยกตัวไปทางม้านั่งข้างกองไฟโดยไม่คิดจะเข้ามาอธิบายให้คนอื่นฟังเหมือนกับลู่หาน เขาเห็นว่าผู้ชายคนนั้นกำลังจุดบุหรี่สูบจะว่ายังไงดีล่ะ ไม่ได้เข้าไปดูข้างในซะด้วยสิ

    ไหงงั้น เห็นซีวอนบอกว่าคุณกับชานยอลจะเข้าไปดูในค่ายไม่ใช่เหรอ? จงแดถาม

    ตอนแรกก็กะไว้แบบนั้นแหละ แต่พอดีเพื่อนร่วมทางไม่เห็นด้วยยยยยยยยยยย ประโยคหลังเสียงดังขึ้นจงใจให้คนถูกพาดพิงได้ยิน แต่ถึงอย่างนั้นชานยอลก็เพียงแค่ปล่อยควันสีหม่นให้ลอยไปตามแรงลมเท่านั้น

    สรุปว่าได้เรื่องหรือเปล่า? อี้ฟานถามเมื่ออีกฝ่ายยึกยักไม่ยอมเข้าเรื่องสักที

    ก็ประมาณนั้นแหละ ก็ยังได้เห็นไอ้จงอิน คำตอบกำกวมของลู่หานทำให้ทั้งสามคนโล่งใจมาบ้าง อย่างน้อยมันก็ไม่เลวร้ายอย่างที่คิดเอาไว้แต่ไม่เห็นเซฮุน

    อ้าว?

    ไม่รู้ว่าอยู่ในบ้านพักหรือว่าอยู่ในศูนย์วิจัยอะไรนั่น ไม่รู้ดิ แต่ที่รู้ ๆ คือไอ้จงอินยังอยู่ดี พวกเขาเห็นว่าลู่หานดูเป็นกังวล ซึ่งมันขัดกับประโยคที่เพิ่งพูดออกมาไม่สบายใจเลยว่ะ

    ...

    ทั้งที่เห็นว่ามันก็อยู่ดีไม่เจ็บไม่ป่วย แต่ทำไมถึงรู้สึกแปลก ๆ แบบนี้ก็ไม่รู้

    เพราะคุณเป็นห่วงเขาไง จงแดนั่งลงเก้าอี้ตัวข้าง ๆ ลู่หานก่อนจะตบบ่าปุ ๆ เป็นเชิงปลอบใจ ถึงจะไม่สนิทกับใครสักคนในกลุ่มนี้ แต่จากระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันเขาก็พอจะรู้ว่าลู่หานสนิทกับจงอินมากกว่าใคร

    คิดว่าไงวะอี้ฟาน? เมื่อคิดไม่ตกเลยอยากถามเอาความเห็นจากคนที่มีความคิดที่สุดถ้าไม่นับไอ้ชานยอล ร่างสูงยืนกอดอกพิงกับผนังขณะใช้ความคิด ถ้าเกิดเมื่อเช้าเขาไปพร้อมกับลู่หานเรื่องมันอาจจะง่ายต่อการคาดเดากว่านี้

    ประเด็นแรกคือจงอินยังปลอดภัย นั่นเป็นสัญญาณที่ดีว่าที่นั่นไม่ได้แย่ เขาเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่ง สีหน้าของอี้ฟานตอนนี้ราวกับคนไม่มั่นใจกับสิ่งที่เพิ่งพูดออกไปแต่พอคุณบอกว่าไม่เห็นเซฮุน ผมก็เริ่มเป็นกังวล

    บางทีเขาอาจจะอยู่ในบ้านอย่างที่ลู่หานบอกก็ได้ จงแดพยายามพูดให้ทุกคนไม่คิดในแง่ร้ายไปกว่านี้

    แต่ถ้าเซฮุนอยู่ในศูนย์วิจัยล่ะ? อี้ชิงมองหน้าอี้ฟานหลังจากออกความเห็น จงแดขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อคนตรงหน้ากำลังสื่อสารกันเป็นภาษาจีน

    ถ้าเป็นแบบนั้นคำถามแรกคือจงอินยังอยู่เฉย ๆ ได้ยังไง อี้ฟานพูดถูกเพราะลู่หานก็คิดแบบนี้เหมือนกัน

    อะไรก็เกิดขึ้นได้ เราไม่ควรปักใจเชื่อกับเรื่องที่ยังไม่รู้ว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า อี้ฟานพยักหน้า  เขาเห็นด้วยกับที่อี้ชิงพูด พวกเขาควรจะเข็ดได้แล้วกับเรื่องเหนือความคาดหมายที่เคยเกิดขึ้นตลอดเวลาที่ผ่านมา

    เอายังไงดี พอได้ยินงี้ก็เริ่มเครียดแล้วนะเว้ย ลู่หานแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่าเขากำลังเครียดอย่างหนัก ในขณะที่จงแดได้เพียงแค่นั่งเหวอมองแต่ละคนสลับกันไปมา

    ไปตามชานยอลไหม? จงแดเสนอ ถ้าผู้ชายคนนั้นมาร่วมวงสนทนาด้วยอะไร ๆ อาจจะลงตัวง่ายกว่าที่เป็นอยู่

    อย่าดีกว่า ลู่หานส่ายหน้าเราจะคุยกับมันหลังจากเคลียร์ตรงนี้เสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่หนุ่มไม่ได้แย้งกลับไป บางทีชาวจีนทั้งสามคนอาจต้องการคุยเรื่องนี้ด้วยภาษาบ้านเกิด เพราะถ้าหากลากชานยอลมาอีกคนบทสนทนานี้อาจจะใช้เวลานานขึ้นเพราะต้องแปลเป็นภาษาเกาหลีให้ฟังอีกที

    ตั้งแต่สองคนนั้นไปก็เข้าวันที่แปดแล้ว ผมว่ามันแปลกมาก บุรุษพยาบาลหนุ่มขมวดคิ้ว ยอมรับก็ได้ว่าในหัวเขามีแต่เรื่องไม่ดีกำลังวนเวียนอยู่ในหัว และไม่ใช่แค่อี้ชิงที่คิดแบบนั้นเพราะอี้ฟานกับลู่หานก็คิดไม่ต่างกัน การให้เลือดอย่างเก่งสามครั้งก็จะแย่แล้วนะ

    ยังไง?

    การที่สองคนนั้นยังไม่กลับมาคิดไปได้ว่าจงอินอาจจะรอเซฮุนให้เลือดในระยะเวลาแปดวัน แต่ไม่มีทางที่เซฮุนจะให้เลือดได้ทุกวันเพราะร่างกายเขาคงรับไม่ไหวแน่ อี้ชิงขมวดคิ้ว ข้อน่าสงสัยมันมีอยู่เต็มไปหมด แต่มันก็ยังขัดแย้งกับที่คุณบอกว่ายังเห็นจงอินอยู่ปกติดี

    อะไรที่คุณคิดว่ามันขัดแย้งเหรอ? บุรุษพยาบาลหนุ่มกำมือแล้วป้องปากหลังจากได้ยินคำถามของอี้ฟาน เขากำลังใช้ความคิดกับเรื่องนี้

    คุณไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ? ถ้าต้องการเลือดก็แค่เอาเข็มดูดไปทดลองก็น่าจะได้แล้ว แต่ถ้าอ้างว่าต้องใช้ปริมาณเยอะ เลือดถุงนึงมันก็น่าจะมากเกินพอ หรือว่าที่นั่นทำการทดลองครั้งยิ่งใหญ่เลยต้องใช้เลือดจำนวนมหาศาล มันเป็นไปได้? พอถึงตอนนี้จงแดถึงกับกลอกตากับคำบรรยายยาวเหยียดเป็นภาษาจีนของอี้ชิง เขาถอยออกมาทีละก้าวพลางมองหน้าลู่หานเป็นเชิงบอกว่าถ้าคุยกันจบแล้วรบกวนฉายหนังม้วนนี้ให้ดูอีกรอบด้วย

    ...

    แต่มันก็เป็นแค่ความสงสัย ผมไม่รู้หรอกว่าที่นั่นทดลองกันยังไงเพราะผมไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์หรือผู้มีความรู้ทางด้านนี้

    แต่ที่คุณพูดมันก็ฟังดูมีเหตุผล อี้ฟานเสริมแต่ที่เราไม่รู้ก็คือทำไมจงอินถึงยังไม่พาเซฮุนกลับมาอีก?

    ก็ใช่ไง เราจะได้คำตอบนะถ้าไปหามันถึงค่าย ลู่หานเห็นด้วยเสมอถ้าเกิดว่าบทสรุปของเรื่องนี้คือการบุกไปถึงค่ายทหาร พอถึงตอนนี้มันก็มีเหตุผลมากพอที่จะลากคอสองคนนั้นกลับมาได้แล้วเขาเชื่ออย่างนั้น

     

     

    งั้นรออีกสักสองสามวันไหม ถ้าจงอินยังไม่กลับมาเราจะไปที่นั่นกัน

     

     

     

     

     

     

    หยุดยืนอยู่กับที่เมื่อวิ่งมาถึงจุดหมาย เบื้องหน้าคือท้องฟ้ากับต้นไม้มากมายที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาว ดวงอาทิตย์กำลังโผล่พ้นจากขอบฟ้า แม้ว่าจะไม่ได้ดูนาฬิกาแต่ปาร์คกาฮีก็พอรู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว

    หกโมงสิบนาที พูดกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ การคาดเดาของเธอไม่ต่างจากความเป็นจริงมากนัก มันเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่เข้ามาทำลายความฟุ้งซ่านในหัวได้แม้ว่าจะเพียงแค่ไม่กี่วินาที

    หญิงสาวยันมือทั้งสองข้างไว้กับหัวเข่าพร้อมกับหอบหายใจ วันนี้กาฮีวิ่งมาถึงจุดหมายเร็วกว่าเมื่อวานห้านาที เธอเริ่มปรับตัวกับการออกกำลังกายตั้งแต่เช้ามืดได้แล้ว ตั้งแต่อึนจีจากไปครูสาวก็ปฏิญาณกับตัวเองว่าจะเข้มแข็งให้มากกว่านี้ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายหรือจิตใจ

    ช่วงที่จงอินกับเซฮุนไม่อยู่ทุกคนที่นี่ได้นั่งปรึกษากันเรื่องเดิม ๆ และมันจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเรื่องออกไปหาเสบียงและการอยู่กิน จงแดเสนอความคิดเห็นมาว่าควรทำอาหารแค่มื้อเที่ยงกับมื้อเย็น มันคงดีกว่าถ้าเปลี่ยนเป็นดื่มกาแฟหรือโกโก้สำเร็จรูปแทนในตอนเช้าเพื่อการประหยัดเสบียงและคนอื่น ๆ ก็เห็นด้วย

    สภาพจิตใจทุกคนไม่ได้แย่ลงไปกว่าที่เป็นอยู่แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยเสียทีเดียว แต่ละคนเลือกที่จะซ่อนความรู้สึกเอาไว้โดยการแยกตัวไปหาอะไรทำหรือไม่ก็หันหน้าเข้าหากันแล้วพูดคุยเรื่องต่าง ๆ แต่เธอกับลูกศิษย์อีกสองคนไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ความเจ็บปวดทางใจที่เกิดขึ้นจะว่าเป็นเพราะผูกพันกับอึนจีที่สุดก็คงไม่ถูกซะทั้งหมด ปาร์คกาฮีคิดอยู่เสมอว่าลูกศิษย์ทุกคนมีความสำคัญเท่า ๆ กัน แต่ที่เธอจมดิ่งอยู่กับความเศร้าแบบนี้ก็เพราะว่าความสูญเสียที่เพิ่งพบเจอมันเป็นเหมือนกับการราดแอลกอฮอล์ลงบนแผลที่ยังไม่หายดี

     

     

     

    ไม่ว่าจะมีใครจากไปอีกสักกี่คน เธอก็ทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดี

     

     

     

    ...

    หญิงสาวหันไปมองผู้มาใหม่ที่มาพร้อมกับสมุดภาพและเครื่องเขียน ทั้งคู่ต่างอึดอัดเพียงแค่ไม่รู้ว่าต้องเอ่ยทักทายอีกฝ่ายด้วยประโยคไหน จะว่าไปแล้วทั้งกาฮีและคยองซูก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกันนัก เธอเห็นว่าเด็กคนนี้ใช้เวลาอยู่กับมินซอกบ้างเป็นบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็ปลีกตัวออกไปอยู่คนเดียว

    อรุณสวัสดิ์เธอเอ่ยทักทายก่อน คยองซูพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินมาหยุดอยู่ข้างเธอก่อนจะทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า

    คุณดูไม่เหมือนคนที่ขึ้นมาเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น เด็กหนุ่มมองใบหน้าชื้นเหงื่อของอีกฝ่ายทั้งที่สภาพอากาศในตอนนี้หนาวจนต้องสวมเสื้อผ้าหนา ๆ และคิดว่าสิ่งที่เขากำลังเดาอยู่มันคงถูกขึ้นมาออกกำลังกายเหรอครับ?

    วิ่งขึ้นเขาลงเขาน่ะ แล้วคุณล่ะคะ? เห็นถือสมุดมาพร้อมกับเครื่องเขียนแบบนี้คงไม่พ้นขึ้นมาวาดรูป แต่มันคงดีกว่าถ้าเธอถามเพื่อให้บทสนทนานี้ยาวขึ้น

    ที่นี่สงบดี ผมแค่อยากขึ้นมานั่งเงียบ ๆ เด็กหนุ่มวางเครื่องเขียนลงข้างตัว ทำแบบนี้มากี่วันแล้วครับ

    อาทิตย์นึงแล้วล่ะ ทั้งคู่มองไปยังท้องฟ้าที่มีเมฆลอยอยู่ประปราย มันไม่ได้จับตัวอย่างสวยงามเหมือนอย่างที่ควร คยองซูนั่งลง พอเห็นอย่างนั้นเธอเลยนั่งลงข้าง ๆ เขา นอนไม่หลับหรือว่าตื่นเช้าเหรอคะ?

    ทั้งสองอย่างเลย เด็กหนุ่มตอบ ปกติผมจะมาตอนสาย ๆ จะว่าแปลกก็ได้ แต่ผมเกลียดบรรยากาศตอนที่ทุกคนพยายามหาอะไรทำเพื่อให้ตัวเองไม่ว่าง

    ...

    แต่ผมก็กำลังทำในสิ่งที่เกลียดอยู่เหมือนกัน แววตาของคยองซูว่างเปล่า ถึงคำพูดของเด็กคนนี้จะฟังไม่รื่นหู แต่เธอกลับรู้สึกได้ถึงความเศร้าที่อีกคนพยายามหลีกเลี่ยงมัน

    ฉันรบกวนคุณหรือเปล่า

    อย่าคิดแบบนั้นเลย คุณไม่ต้องเกรงใจผมขนาดนั้นหรอก คยองซูหันไปมองหญิงสาว เขาเห็นแววตาที่กำลังมองมา เธอกำลังประหม่าและพยายามอ่านความคิดเขา ซึ่งมันไม่สำเร็จ คุณเคยไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองไหม

    คะ?

    ผมหนีทุกคนขึ้นมาเพื่อนั่งมองท้องฟ้าเงียบ ๆ ตามลำพัง ในขณะที่ผมเองก็รู้สึกเหงาเด็กหนุ่มเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่งถ้าเป็นคนอื่นคงไปหาเพื่อนแล้วคุยกัน แต่ผมไม่

    ...

    ผมพกสมุดวาดภาพติดตัวตลอดแต่นับครั้งได้เลยที่ผมหยิบดินสอขึ้นมาวาดอะไรลงไป เด็กหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ พลางมองสมุดกับเครื่องเขียนที่วางอยู่ข้างตัวมีแต่คำว่าเปล่าประโยชน์อยู่ในหูผม

    ...

    ตั้งแต่วันแรกที่โลกเปลี่ยนไปผมก็ไม่สนิทกับใครอีกเลย จะว่าเป็นเพราะสังคมกลุ่มที่ผมเคยอยู่ด้วยก็อาจจะมีส่วน ที่นั่นมีแต่พวกนักโทษเดนตายกับนักเลงหัวไม้ ผมเป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว แต่จะได้พูดบ่อยหน่อยก็ตอนขานรับหลังถูกจิกหัวใช้เหมือนขี้ข้านั่นแหละ นึกสมเพชตัวเองที่อ่อนแอจนต้องก้มหัวให้คนอื่นอยู่เสมอ คยองซูแค่นยิ้มเมื่อนึกถึงมันแต่พอมาอยู่ที่นี่ ยอมรับว่าตอนแรกผมไม่เชื่อใจใครเลยสักคนแม้กระทั่งอู๋อี้ฟาน คนที่ออกปากชวนผมมาอยู่ด้วยกัน

    ...

    แต่ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นหลังจากที่เด็กพวกนั้นพยายามเข้าหาผม คนที่หน้าตาไม่เป็นมิตรกับทุกคนบนโลก คยองซูชันขาเข้าหาตัว เธอเห็นว่าคนข้าง ๆ กำลังบีบหัวเข่าตัวเองโดยเฉพาะเด็กผู้หญิงคนนั้นน่ะ

    ...

    “อึนจีพยายามชวนผมคุย วาดรูปผมเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ ผมเคยถามเธอว่า เธอสอบผ่านวิชาศิลปะมาได้ยังไง ฉันอยากเห็นหน้าคนออกเกรดเธอจริง ๆ มินซอก แบคฮยอน เทา ซูโฮถึงกับพูดไม่ออก ไม่มีใครเข้าใจว่าผมกำลังพูดเล่น พวกเขาคิดว่าทุกประโยคที่ออกมาจากปากผมเป็นเรื่องจริงจัง แต่คุณรู้ไหมว่ายัยนั่นระเบิดหัวเราะออกมาเหมือนกับคนบ้า

    กาฮีไม่ละสายตาออกจากใบหน้าเด็กหนุ่มที่กำลังยิ้มขณะพูดถึงเรื่องนี้ แววตาของคยองซูเหม่อลอยไปข้างหน้า เธอคิดว่าเขาคงกำลังนึกถึงเหตุการณ์ที่กำลังเล่าอยู่

    อึนจีทำให้ผมรู้ว่าหลังจากเล่นมุกตลกก็ควรจะยิ้มปิดท้าย จริง ๆ แล้วผมก็แค่ดึงมุมปากทั้งสองข้างออกจากกัน...อย่างนี้ คยองซูยิ้มให้อีกคนดู แม้ว่ามันจะเป็นรอยยิ้มที่กำลังฝืนอยู่แต่เธอก็ยิ้มตาม

    ดูดีนะ

    จริงเหรอ

    คนเป็นครูไม่โกหกหรอกค่ะ

    มีแค่คุณนั่นแหละที่คิดแบบนี้

    ไม่มีใครพูดอะไรอีก ทั้งคู่ต่างได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ แน่นอนว่าตอนนี้ทั้งเขาและเธอต่างก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากยิ้มกว้าง ๆ หรือหัวเราะจนน้ำตาไหล เหงื่อที่เคยซึมตามขมับแห้งเหือดไปแล้ว ตอนนี้ที่รู้สึกได้ก็คือความหนาวเย็นของแรงลมยามเช้าที่กำลังพัดผ่านมาทุกขณะเท่านั้น

    ผมไม่ได้เข้าหาคนเก่งเหมือนกับคนอื่น ๆ นิสัยผมก็ไม่ใช่คนน่าคบ เด็กหนุ่มพูดทั้งที่ไม่หันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อยากรู้สึกสบายใจเวลาอยู่กับใครสักคน

    ใช้เวลาคิดอยู่เกือบครึ่งนาที ชั่งใจว่าจะปลอบเด็กคนนี้ด้วยวิธีไหนถึงจะไม่ล้ำเส้นมากเกินไป กาฮีตัดสินใจวางมือลงบนแผ่นหลังอีกฝ่าย เธอไม่ได้ลูบหลังเบา ๆ หรือพูดอะไรสักคำ เพราะสิ่งที่ตั้งใจคือการให้คยองซูรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

    คุณ...เข้าใจผมใช่ไหม? เด็กหนุ่มมองหน้าเธอ เป็นครั้งแรกที่เขายอมแสดงความอ่อนแอออกมาให้ผู้หญิงคนนี้เห็น ปาร์คกาฮีกำลังรู้สึกเจ็บปวดไปกับคนข้าง ๆ เพียงแค่ได้รับฟังเรื่องราว

     

     

    ...ค่ะ ฉันเข้าใจ

     

     

     

     

     

     

    นี่ป้า จินฮีหายไปไหน?

    คนถูกถามละความสนใจจากชั้นวางของในห้องเก็บเสบียงซึ่งเต็มไปด้วยอาหารกระป๋องและข้าวสารอาหารแห้งที่ทหารหามาได้ หญิงวัยกลางคนหันเข้าหาอีกฝ่ายก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ

    ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แกก็เห็นว่าฉันน่ะยุ่งจะตายจะเอาเวลาไหนไปนั่งสังเกต เธอบ่นอุบอิบ ใช่ว่าจงอินจะไม่รู้ว่าเธอทำงานหนักกว่าผู้หญิงคนอื่น ๆ เพราะต้องจัดการเรื่องปากท้องของคนที่นี่ แต่การที่ยูจินฮีหายตัวไปสามวันนั่นมันน่าประหลาดใจจริง ๆ

    ป่วยหรือเปล่า เป็นผู้หญิงด้วยกันป้าก็น่าจะไปดูบ้างไง ถ้าผู้ชายเข้าออกบ้านพักผู้หญิงได้ง่าย ๆ คิมจงอินก็คงไม่ต้องมายืนทำหน้าโง่แบบนี้หรอก ที่เป็นห่วงนี่ไม่ใช่อะไรนะ สามวันแล้วที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ออกมาช่วยทำกับข้าวด้วยกัน สิ่งแรกที่ผุดเข้ามาในหัวคือยัยนั่นไม่สบายหรือเปล่า และถ้าเป็นแบบนั้นก็ควรจะพาไปหาพวกแพทย์สนาม จะได้รักษาให้หายไว ๆ

    ไว้ถ้ามีเวลาว่างพอจะไปดูให้ ป้าพาดาประชด และเขาก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรอีก จงอินเดินออกมาข้างนอก วันนี้เป็นอีกวันที่เขารู้สึกเซ็งกับการที่ทำได้เพียงแค่มองไปยังตึกสีขาว

    เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วเพิ่งถูกปฏิเสธการขอพบเซฮุน เขาควรจะชินกับเรื่องแบบนี้หรือไงวะ ไอ้สองตัวนั่นอ้างว่าจะเข้าพบได้ก็ต่อเมื่อจูจีฮุนมาด้วย แล้วตอนนี้หมอนั่นก็ออกไปลาดตระเวนข้างนอกจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

    เสียงถอนหายใจเป็นสิ่งเดียวที่เขาได้ยินแม้ว่าเสียงพูดคุยของคนที่อยู่รอบข้างจะดังมากกว่าเป็นไหน ๆ สองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงขณะเดินทอดน่องไปตามทาง บางทีเขาก็ควรหาที่เงียบ ๆ เพื่อจุดบุหรี่สูบเพื่อทำใจให้สงบกว่าที่เป็นอยู่

    ตรงหลังบ้านก็สงบดี ที่นั่นไม่มีพวกทหารยืนเฝ้ายามหรือเดินสวนสนามจนลายตาไปหมด มือหนากะเทาะซองบุหรี่ออกมาระหว่างเดินหาที่นั่ง เครื่องบรรเทาความเครียดที่มีอยู่ตอนนี้เหลือเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น

    ความสงสัยยังคงวนเวียนมาให้คิดมาก เขารู้สึกไม่สบายใจทุกทีที่นึกถึงมัน หลายครั้งที่คิมจงอินพยายามดึงเรื่องอื่นเข้ามาเพื่อกลบเรื่องนี้ไปซะ แต่ถึงอย่างนั้นความคิดแย่ ๆ มันก็ย้อนกลับมาอยู่ดี มันเป็นไปได้ยากที่คนอย่างเขาจะมองโลกในแง่บวกได้หลังจากเจอเรื่องร้าย ๆ มานักต่อนัก

    คำพูดของจูจีฮุนฟังดูไม่น่าโกหก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีพิรุธจนอดจับผิดไม่ได้ มันเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปหรือเปล่าที่เขายังไม่ได้เจอเซฮุนมาสิบวันเต็ม ๆ ยิ่งพอมีเรื่องผู้หญิงคนนั้นส่งลูกสาวหนีออกไปข้างนอก อีกทั้งลุงแก่ที่เป็นลมชักจนถูกหามเข้าไปในตึกสีขาวแทนที่จะพาไปรักษากับแพทย์สนามนั่นอีก ทุกอย่างมันไม่มีความสมเหตุสมผลเอาเสียเลย

    ไฟแช็คจุดปลายบุหรี่แต่ยังไม่ทันได้อัดควันเข้าปอดชายหนุ่มก็ค้างอยู่ท่านั้นเมื่อเห็นใครคนหนึ่งกำลังเดินโซซัดโซเซออกมาจากหลังบ้านที่เต็มไปด้วยกล่องไม้และพวกของไม่ใช้แล้ววางพิงอยู่ข้างรั้วสูง

    จินฮี?

    เจ้าของชื่อค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น เธอเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หญิงสาวก้มหน้าลงแล้วเดินต่อไปโดยไม่คิดจะหยุดยืนคุยกับอีกฝ่าย จงอินคว้าแขนเล็กเอาไว้ เพียงแค่นั้นร่างผอมบางก็โงนเงนไปมาราวกับคนไม่มีแรง

    หายไปไหนมา ไม่สบายหรือไง? เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อมองหน้าหญิงสาวแต่เพราะผมเผ้าที่หลุดลุ่ยออกมาจากมวยผมมันปิดหน้าเธอไว้จนทำให้มองไม่เห็นเฮ้?

    ... จินฮีแกะมือหนาออกแล้วแยกตัวออกไป จงอินขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายที่กำลังพยุงร่างตัวเองไปตามทาง หญิงสาวต้องใช้มือข้างหนึ่งยันผนังไว้เป็นหลักไม่อย่างนั้นเธอคงล้มลงไปแน่ ๆ

    ทั้งสงสัยและเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอถามไปแล้วจินฮีก็ไม่ตอบ คิมจงอินไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้เสียด้วยสิ แต่ก็เอาเถอะ บางทียัยนั่นอาจจะทะเลาะกับสามีมาก็ได้ พอคิดแบบนั้นคำถามเรื่องยูจินฮีหายตัวไปหลายวันเลยต้องยกเลิกไป

    ... บุหรี่ค้างอยู่ระดับริมฝีปาก เขาไม่ได้อัดมันเข้าปอดเมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่เพิ่งเดินหนีไปเมื่อครู่นี้ได้หยุดยืนอยู่กับที่หลังจากมีบางอย่างผิดปกติ ร่างผอมบางค่อย ๆ เอนตัวพิงกับผนังอย่างไร้เรียวแรง และที่ทำให้ชายหนุ่มต้องทิ้งบุหรี่ลงพื้นก็คือเลือดที่กำลังไหลลงมาตามหว่างขาของเธอ

    จินฮี!” จงอินรีบเข้าไปประคองร่างหญิงสาวเอาไว้ ใบหน้าซีดเผือดกำลังสบตากับเขาราวกับต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เวลานี้มันไม่ใช่เวลามารอให้ริมฝีปากของเธอขยับเพื่อบอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น จงอินช้อนตัวจินฮีขึ้นมาแล้วอุ้มไปยังบ้านพักที่แพทย์สนามอยู่ช่วยมาดูทางนี้หน่อย!!”

    แพทย์สนามที่นั่งดื่มเหล้าอยู่กับทหารนายหนึ่งลุกขึ้นยืนพร้อมกับมองตามชายหนุ่มที่กำลังพาร่างหญิงสาวไปนอนบนเตียงคนไข้

    ถอยออกมา จงอินยังคงมองไปยังคนตรงหน้าที่หมดสติไปแล้ว เขาก้าวถอยหลังออกมาเพื่อให้แพทย์สนามเข้ามาดูอาการจินฮีก่อนจะเสยผมขึ้นอย่างหัวเสีย

    เธอเป็นอะไร?

    ออกไปข้างนอกก่อน เป็นทหารอีกนายที่พูดขึ้นมา จงอินหันไปทางด้านซ้ายแล้วก็พบขวดบรั่นดีกับแก้วเตี้ยสองใบวางอยู่บนโต๊ะพร้อมกระดานหมากรุก เขาพยักหน้าแล้วเดินออกไปและไม่ลืมที่จะหันไปดูจินฮีเป็นครั้งสุดท้าย ถึงจะอยากอยู่ดูอาการต่อ แต่มันคงดีกว่าหากว่าเขาไม่ไปยืนเกะกะขวางทางข้างใน

     

     

     

     

     

     

    นานพอสมควรกว่าทหารจะออกมาบอกอาการของจินฮี จากสภาพที่เห็นคนโง่ ๆ อย่างคิมจงอินก็พอจะเดาออกว่ามันเป็นอาการตกเลือด นั่นหมายความว่าผู้หญิงคนนั้นท้องอยู่สินะ? มันเป็นเรื่องหนึ่งที่คิมจงอินไม่เคยรู้ตลอดเวลาที่ทำงานร่วมกันกับเธอมาเป็นอาทิตย์

    อยากเข้าไปดูอาการแต่แพทย์สนามบอกว่าคนไข้ต้องการพักผ่อน และมันก็สมควรที่จะเป็นอย่างนั้นเพราะตอนนี้จินฮีคงไม่ได้ต้องการแค่ฟื้นฟูสภาพร่างกาย แต่มันรวมถึงการฟื้นฟูสภาพจิตใจหลังสูญเสียลูกไปด้วย

    เช้าวันรุ่งขึ้นจงอินตื่นเร็วกว่าเดิม เพราะตั้งแต่จินฮีไม่ได้ไปช่วยในครัวงานก็หนักขึ้น วันนี้เขาตั้งใจว่าจะขอให้ป้าพาดาทำซุปร้อน ๆ สักถ้วยแล้วเอาไปให้ผู้หญิงคนนั้น มรสุมงานหยาบตอนเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่มีเวลาว่างที่จะเหนื่อยเลยด้วยซ้ำ

    จงอินเอาซุปร้อน ๆ ตรงไปยังบ้านพักที่ใช้เป็นห้องพยาบาล ตอนนี้ไม่มีใครอยู่และมันก็ดีมากที่ไม่มีใครมาจับตามองว่าเขากำลังทำอะไร ร่างหนาวางถ้วยซุปลงบนโต๊ะแล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงเหล็ก จินฮีไม่ได้หลับอยู่ เธอกำลังเหม่อมองไปยังผนังบ้านอย่างไร้จุดหมาย

    หมอที่นี่ให้เธอกินอะไรบ้างหรือยัง?

    ...

    จินฮี

    ...

    ช่วยพูดอะไรหน่อยเถอะ ฉันจะได้วางใจว่าเธอจะไม่ตายภายในวันสองวันนี้ จงอินเริ่มหงุดหงิด เขาพอเข้าใจความรู้สึกหลังการสูญเสียแต่ยัยนี่ก็ควรจะดูแลตัวเองบ้างไม่ใช่หรือไงฉันรู้ว่าเธอกำลังเสียใจเรื่องลูก เออนั่นแหละ

    ไม่ถนัดเลยสักนิดกับการที่ต้องขุดคำพูดดี ๆ ออกมาปลอบใจคนอื่น ถ้าเป็นอี้ฟานหรือเซฮุนก็ว่าไปอย่าง สองคนนั้นค่อนข้างที่จะถนัดเรื่องโน้มน้าวจิตใจคน จงอินเงียบปาก เขาไม่กล้าพูดอะไรต่อเพราะหลังจากพูดประโยคเมื่อครู่น้ำตาของหญิงสาวก็ไหลออกมาจากหางตาจนเปียกหมอนเป็นวงกว้าง

    เธอไม่เคยบอกว่าท้อง

    ฉันไม่คิดว่าต้องบอกใคร...

    เสียงของเธอสั่น จินฮียังคงตกอยู่ในหลุมดำที่ชื่อว่าความผิดบาป เธอไม่ได้ตั้งใจมีเด็กทั้งที่โลกเป็นแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นสามีของเธอก็ยิ้มและบอกว่าลูกเราจะต้องเกิดมาดูโลกอย่างปลอดภัยแน่ เพราะฉะนั้นยูจินฮีถึงได้มีความกล้าที่จะต่อสู้กับโลกที่เต็มไปด้วยความน่ากลัว จงอินถอนหายใจพรูแล้วพยักหน้าหลังจากอีกฝ่ายพูดจบ

    เธอพูดถูก มันไม่จำเป็นจริง ๆ นั่นแหละที่ยัยนี่จะป่าวประกาศบอกเรื่องนี้กับใคร โดยเฉพาะไอ้เวรที่เข้ามาอยู่ที่นี่ด้วยชะตากรรมแบบไหนก็ไม่รู้อย่างเขา ยังไงก็...เสียใจด้วยนะ

    ...

    คันปากอยากจะถามเหลือเกินว่าไปทำอีท่าไหนทำไมถึงแท้งลูกได้ แต่มันก็จะหยาบคายเกินไปสำหรับคนที่เพิ่งเสียลูก นาทีนี้สิ่งที่เขาควรทำคือการประคองร่างของเธอขึ้นมานั่งแล้วยื่นถ้วยซุปให้

    สามีเธออยู่ไหน หมอนั่นออกมาแล้วหรือยัง? เห็นหายไปหลายวันแบบนี้ท่าทางคงใช้เวลาอยู่กับสามี เพราะผู้ชายคนนั้นก็น่าจะออกมาจากศูนย์วิจัยแล้ว

    รีบหนีไป...

    ว่าไงนะ? จงอินขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ จินฮีหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายก่อนจะกลอกตามองไปยังประตูที่เปิดทิ้งเอาไว้

    ปิดประตูก่อน... ชายหนุ่มมองหน้าอีกคนอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นเขาก็ลุกขึ้นไปปิดประตูตามที่เธอบอกคุณต้องรีบไปจากที่นี่จงอิน...

    เธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?

    สามีฉัน...คงไม่ออกมาแล้ว...

    ทำไม?

    อย่าเชื่อคนที่คุณคิดว่าเขาเป็นคนดี...ชายหนุ่มก้มลงมองมือตัวเองที่กำลังถูกอีกคนบีบก่อนที่ประตูจะเปิดออก จงอินหันไปทางด้านหลังแล้วก็พบทหารสองนายเดินเข้ามา

    หมดเวลาเยี่ยมแล้ว

    ไม่... จินฮีพูดเสียงสั่นพร้อมกับส่ายหน้าราวกับว่าเธอไม่ต้องการให้จงอินไปจากที่นี่ แววตาแข็งกร้าวที่คลอหน่วงไปด้วยน้ำตากำลังมองมาที่เขา จินฮีออกแรงบีบมือแรงยิ่งขึ้นเพื่อยื้ออีกคนเอาไว้แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยเมื่อทหารเข้ามาแยกออกจ...จงอิน!”

    ...

    ชายหนุ่มถูกดันออกไปข้างนอก ภาพสุดท้ายที่เห็นคือใบหน้าของยูจินฮีที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาก่อนที่ประตูจะปิดลง จงอินไม่ได้เดินออกไปจากตรงนั้น เขาเพียงแค่ยืนนิ่งขณะใช้ความคิดทบทวนกับคำพูดทุกอย่างที่หญิงสาวบอกเล่าเมื่อครู่นี้

     

     

    รีบหนีไป...

    สามีฉัน...คงไม่ออกมาแล้ว...

    อย่าเชื่อคนที่คุณคิดว่าเขาเป็นคนดี...

     

     

    มันแปลกเกินไป...

     

     

     

    อื้อ...อื้ออ...!!!”

    คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินเสียงแปลก ๆ ลอดออกมาจากหลังประตู เสียงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวเพราะฉะนั้นเขาไม่ได้หูฝาดไปเองแน่ ๆ ขายาวก้าวไปหยุดยืนอยู่หน้าประตู เสียงที่ลอดออกมามันชัดขึ้นและค่อนข้างที่จะมั่นใจว่ามันเป็นเสียงขอความช่วยเหลือ

    อื้อออ!!!!” จงอินไม่รอช้า เขาหมุนลูกบิดซ้ำ ๆ แต่ก็ไม่ได้ผลเมื่อมันถูกล็อกจากข้างใน เสียงนั้นดังมาเป็นระยะราวกับเร่งให้เขารีบทำอะไรสักอย่าง

    แม่งเอ้ย!”

    ชายหนุ่มสบถพลางถอยหลังออกมาเพื่อตั้งหลักก่อนจะใช้ไหล่พังประตู เพียงสี่ครั้งเท่านั้นเขาก็พังมันเข้าไปได้ ภาพที่เห็นทำให้คิมจงอินแทบช็อกเมื่อพบว่าทหารสองนายกำลังขืนใจหญิงสาวอยู่โดยใช้มือข้างหนึ่งปิดปากเธอเอาไว้

    จินฮี!!!”

    เขาจำได้ว่ามันสองคนคือไอ้เวรตะไลที่เคยแซวจินฮีในโรงอาหารเมื่อวานก่อน ยังไม่ทันได้เข้าไปช่วยร่างของเขาก็หยุดชะงักเมื่อรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างอยู่ตรงกลางหลัง จงอินค่อย ๆ หันกลับไป แล้วก็ได้คำตอบว่ามีทหารอีกคนจ่อปืนอยู่

    สู่รู้มากนักนะมึง อยู่ดีไม่ว่าดี

    ...

    อื้ออ!!!!” จงอินหันไปทางหญิงสาว แต่แค่ครู่เดียวเท่านั้นก็ต้องเบือนหน้าหลบไปอีกทางเมื่อไอ้สารเลวนั่นยังคงขืนใจเธอแม้ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงนี้ จงอินไม่กล้ามองหญิงสาวที่กำลังถูกทารุณอย่างโหดร้ายโดยที่เขาเข้าไปช่วยอะไรไม่ได้เลย

    กูก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอกนะ แต่ทุกอย่างมันต้องมีการแลกเปลี่ยนจงอินกัดฟันกรอดก่อนจะกำหมัดแน่น เรื่องเซ็กส์มันเป็นข้อตกลงที่น้อยนิดธรรมดามากถ้าเทียบกับการออกไปหาเสบียงข้างนอกเหมือนพวกผู้ชาย มึงเข้าใจใช่ไหมว่าผู้หญิงที่นี่มีไว้เพื่ออะไร?

    ...

    เซ็กส์แลกกับอาหาร แฟร์จะตายไป

    พอได้ฟังคำบอกเล่าจากปากอีกฝ่าย ภาพตอนหญิงวัยกลางคนพยายามส่งลูกสาวหนีออกไปข้างนอกก็ลอยเข้ามาในหัว เขายังจำสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นได้ ทุกอย่างมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เสียงหัวเราะของทหารที่อยู่ตรงหัวเตียง มันช้อนตัวจินฮีไว้ในขณะที่ไอ้ชั่วอีกคนกำลังขืนใจเธอ

    ทีงี้ละเงียบ ไม่เห็นปากดีเหมือนวันนั้นเลยห่า

    ว่าไง มึงอยากยืนดูหรือว่าอยากเข้าไปร่วมวงด้วยล่ะ?

    สิ้นสุดความอดทน จงอินพลิกตัวเข้าหาทหารที่ถือปืนจ่อหลังเขาก่อนจะซัดหมัดเข้าเต็มแรงจนอีกฝ่ายล้มลง แต่ยังไม่ทันได้มีโอกาสเข้าไปซ้ำร่างของเขาก็ถูกกระชากออกมาโดยทหารอีกคน ตอนนี้กลายเป็นจงอินที่ล้มลงไปนอนกลิ้งกับพื้นหลังจากถูกถีบอย่างจัง ร่างหนาพลิกตัวลุกขึ้นยืนแต่ก็ถูกเตะลงไปเหมือนเดิม สองแขนยกขึ้นบังรองเท้าคอมแบทเมื่อพวกมันหันมาสนใจเขาแทนการข่มขืนจินฮี

    อย่าทำเขา!!!”

    เก่งนักเหรอวะสัด!”

    แน่จริงลุกขึ้นมา!”

    ทหารสามนายทั้งเตะทั้งถีบ พวกเขารอเวลานี้มานานที่จะได้จัดการกับคนปากดีอย่างคิมจงอิน ชายหนุ่มยืนอย่างทุลักทุเลเพราะถูกกระชากให้ลุกขึ้น เขาสะบัดแขนอีกฝ่ายออกก่อนจะซัดหมัดสวนกลับไป แน่นอนว่าจงอินได้มีโอกาสนั้นเพียงแค่ครั้งเดียว วินาทีถัดมาร่างของเขาก็กระเด็นออกมาตรงฟุตปาธหน้าบ้านหลังจากถูกถีบเข้ากลางอก

    เขาไม่สามารถหลบมือหลบเท้าไอ้ชั่วทั้งสามนี้ได้ทุกครั้ง ถึงจะหลบหมัดคนนึงได้แต่ก็ถูกอีกคนเตะจนล้มลงไปอีกรอบอยู่ดี อย่างเก่งก็แค่สวนหมัดกลับไปตอนจังหวะที่มีโอกาส ซึ่งมันมีเพียงน้อยนิดเหลือเกินในสถานการณ์สามรุมหนึ่งแบบนี้

    จงอินพยายามหยัดตัวลุกขึ้นพลางมองไปยังคนตรงหน้าที่กำลังตรงมาทางเขา แขนทั้งสองข้างยังถูกล็อกไว้เพื่อตรึงให้เขายืนอยู่เป็นเป้านิ่ง ผู้คนทยอยออกมายืนมองตรงนี้เป็นตาเดียวกัน เสียงซุบซิบลอยเข้าหูไม่หยุด จงอินไม่สามารถจับใจความได้ว่าคนเหล่านั้นกำลังพูดถึงอะไร แต่เหนือสิ่งอื่นใดแล้วคงไม่มีเรื่องไหนสำคัญไปกว่าการที่ทหารสามคนนี้รวมหัวกันขืนใจผู้หญิงคนหนึ่ง

     

     

     

    พลั่ก!

     

     

     

    อึ่ก!” จงอินงอตัวลงหลังจากถูกเตะเข้าตรงช่วงท้องอย่างแรงจนจุก เสียงหัวเราะของพวกมันทั้งสามคนชัดเจนยิ่งกว่าเสียงผู้คนรอบข้าง เขาไม่ต้องการเป็นกระสอบทรายที่ทำได้เพียงแค่อยู่เฉย ๆ ให้พวกมันอัดตามความพอใจ

    จับมันเงยหน้าขึ้น!”

    อย่าทำไอ้หนุ่มนี่เลย... จงอินขมวดคิ้วก่อนจะค่อย ๆ หันไปทางด้านข้าง สิ่งแรกที่เห็นคือรองเท้าหุ้มข้อสีน้ำตาลเก่า ๆ กับกางเกงสีกากีทรงกระบอก พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นชายแก่ผมหงอกที่กำลังยกสองมือขึ้นเป็นเชิงขอร้อง เขาไม่แน่ใจว่าที่มือเหี่ยวนั้นกำลังสั่นเป็นเพราะวัยแก่ชราหรือเป็นเพราะความกลัวที่ตาแก่นั่นกำลังเผชิญหน้าอยู่กันแน่?

     

     
     

    ใช่...ลุงคนนี้ที่เขาตักข้าวให้ทุกวัน

     

     
     

    หยุดเถอะพ่อหนุ่ม...เขาเจ็บมากแล้ว

    มันใช่เรื่องของมึงเหรอไอ้แก่ ถอยไป

    ถือว่าฉันขอร้องนะ...

    ขอห่าไร กูบอกให้ถอยไปไง? ทหารคนนั้นเดินออกมาก้าวหนึ่งพร้อมกับกระชากคอเสื้อคนตรงหน้า ชายผมหงอกยืนตัวสั่น เสียงฮือฮาของผู้คนดังขึ้นเมื่อชายแก่หลังค่อมถูกผลักจนล้มลงไปนอนบนหิมะที่ถูกกวาดออกมากองไว้ด้วยกัน

    เสือกจริง ๆ

    ... หันไปมองชายแก่ที่กำลังพยายามลุกขึ้นอย่างยากลำบาก แค่การเดินไปไหนมาไหนก็ว่าแย่แล้วทำไมตาแก่นี่ต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วยนะ จงอินค่อย ๆ พยุงร่างตัวเองให้ลุกขึ้น เขาไม่ได้เจ็บสาหัสอะไรขนาดนั้นแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ร่างกายบางส่วนมันร้าวจนต้องนิ่วหน้าเวลาขยับตัว จงอินมองไปยังชายแก่คนนั้นแต่ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปหาอีกคนร่างของเขาก็เซไปข้างหน้าเพราะถูกเตะ

    ร่างหนากัดฟันกรอดพลางเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม เขาหันหน้าเข้าหาไอ้ชั่วทั้งสามก่อนจะถุยน้ำลายปนเลือดลงพื้นแล้วตรงไปหาทหารนายหนึ่ง รู้ว่าการสู้มือเปล่ากับพวกมันนั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ดี แต่ตอนนี้ที่รู้ ๆ คือคิมจงอินจะไม่ยอมให้มันสามคนเล่นเขาฝ่ายเดียวแน่ ชายหนุ่มเปิดด้วยหมัดขวาหลังจากนั้นแขนทั้งสองข้างก็ถูกล็อกไว้อีกครั้ง เขาเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังโมโหจนถึงจุดขีดสุด

    มึง!! อั่ก!!” ยังไม่ทันได้เข้ามาเอาคืนทหารตัวสูงก็เซถอยกลับไปเมื่อถูกจงอินถีบเข้าตรงช่วงท้อง ไม่จุกให้มันรู้ไป ทหารหนุ่มยืนตั้งหลักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน ร่างหนายืนหอบหายใจ เขาไม่ได้พยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการนี้เพราะรู้ดีว่ามันไม่ได้ผล

    ทหารคนนั้นมาพร้อมกับปืน M16 เขาเห็นว่ามันโชว์การใส่แม็กกาซีนตอนกำลังเดินออกมา สองขาหยุดยืนอยู่ไม่ห่างจากชายหนุ่มที่เพิ่งชกหน้าเขาก่อนจะตั้งปืนขึ้นระดับริมฝีปาก

    กูอยากรู้ว่าเก่ง ๆ อย่างมึงนี่จะทนลูกตะกั่วได้สักกี่นัด

    ไม่ลองยัดเข้าไปในปากตัวเองดูล่ะ แต่อย่างมึงต่อให้นัดเดียวจอดก็ควรยิงซ้ำจนหมดแม็ก ทหารหนุ่มเบิกตากว้าง เขากำลังจะสติแตกเมื่อถูกอีกฝ่ายยั่วโทสะทุกประโยค

    คิดว่ากูไม่กล้ายิงมึงงั้นเหรอ? ทหารหนุ่มแค่นยิ้ม จงอินไม่ได้พูดร้องขอชีวิต เขาเพียงแค่สบตากับไอ้สารเลวที่กำลังเล็งปืนมาทางนี้ แววตาของมันเต็มไปด้วยความโกรธแค้น วินาทีนั้นทั้งคู่ต่างกำลังวัดใจกันและกัน

    หาคำตอบให้ได้สิ...ไอ้ลูกหมา

    ร่างสูงกัดฟันกรอด แม้ว่ามีมัจจุราชอยู่ในมือแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่เหนือไปกว่าคนตรงหน้า แน่นอนว่าการเหนี่ยวไกในครั้งนี้จะมีผลกระทบกลับมาในทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการเรียกพวกผีดิบที่อยู่ข้างนอกไปจนถึงการถูกนายเรียกไปเตือนและถูกลงโทษ

    ทหารอีกสองนายมองเพื่อนที่กำลังโกรธจนมือสั่น พวกเขาเองก็รู้ทุกอย่างถึงได้ส่งสายตาห้ามปรามไปยังคนตรงหน้า การลงโทษคนปากดีโดยการยิงทิ้งมันยังเป็นเรื่องที่ยังไม่ได้รับอนุมัติจากเจ้านาย แต่การปล่อยให้คิมจงอินเดินออกไปเฉย ๆ ในสภาพครบสามสิบสองเขาทั้งสองคนก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกัน ทหารหนุ่มหลุดออกจากความคิด เขาหันไปสบตากับเพื่อนก่อนจะพยักหน้าอย่างรู้กัน เขาใช้สันปืนฟาดเข้ากลางขมับจงอินอย่างแรงจนสลบไปในวินาทีถัดมา

     

     


     

     

    คุณอยู่ที่นี่ดีกว่า อี้ฟานหันกลับไปบอกอี้ชิงที่เดินตามมา ทั้งคู่หยุดยืนอยู่ข้างรถในขณะที่ลู่หานกำลังเช็คสภาพความพร้อมของตัวเครื่อง เขาพอจะมีความรู้เรื่องนี้เพราะจงอินเคยสอนเอาไว้

    บุรุษพยาบาลหนุ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี เขารู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูกหลังจากทุกคนนั่งประชุมกันแล้วก็ได้ข้อตกลงว่าอี้ฟาน ชานยอล และลู่หานจะออกไปตามจงอินกับเซฮุน เพราะอย่างน้อยทุกคนที่นี่ก็ควรได้รู้ว่าสองคนนั้นเป็นอยู่ยังไง ส่วนจะกลับมาหรืออยู่ต่อก็ค่อยว่ากันอีกที

    ผมจะรีบไปรีบกลับ เป็นอีกครั้งที่เขาต้องพูดให้อีกฝ่ายสบายใจหลังจากอธิบายให้ปาร์คกาฮีฟังไปแล้วหนหนึ่ง อี้ชิงพยักหน้ารับก่อนจะหันไปทางชานยอลที่เพิ่งเดินมาถึง

    “You're coming with us?” (คุณจะไปกับเราเหรอครับ?)

    “I'd like to but...” (ผมอยากไปนะ แต่...) อี้ชิงหันไปทางอี้ฟานที่กำลังยืนมองเขากับชานยอล “I don't know what I'm afraid of.” (ผมไม่รู้ว่ากำลังกลัวอะไรอยู่กันแน่)

    “I understand.” (ผมเข้าใจ) ชานยอลยิ้มบาง ๆ เขาหันไปทางอีกคนที่ยืนกอดอกพิงกับประตูรถก่อนจะหันไปทางลู่หานที่ชะโงกหน้าออกมาด้วยสีหน้าเหวี่ยง ๆ

    ให้ไวหน่อย นี่ไม่ใช่ชั่วโมงฝึกพูดภาษาอังกฤษนะครับพี่ ฮัลโหล~ ขอพาสปอร์ตให้ฉันสักเล่มสิ ชานยอลไม่ได้สนใจเสียงนกเสียงกา เขาเพียงแค่หันกลับไปทางอี้ชิงที่กำลังยืนใช้ความคิดอยู่ ลู่หานแบมือออกทั้งสองข้างแล้วยักไหล่เมื่อถูกอี้ฟานมองดุ

    “I know you guys are smart but isn't it too dangerous to go in there?” (ผมรู้ว่าพวกคุณฉลาด แต่การเข้าไปในนั้นมันไม่อันตรายไปหน่อยเหรอ?)

    อันตราย อี้ฟานแทรกขึ้นผมก็คิดแบบนั้นแต่ถ้าจงอินอยู่ที่นั่นได้มันก็ไม่น่ามีปัญหา

    อี้ชิงเงียบไป มันก็ถูกอย่างที่อีกคนพูด อาจเป็นเพราะเขาเจอเรื่องแย่ ๆ มามากเลยทำให้กลัวทุกอย่างไปหมด แต่การที่อี้ฟานเลือกที่จะไปที่นั่นแค่สามคนมันก็เป็นการบอกนัย ๆ แล้วว่าถ้าเกิดมีเหตุฉุกละหุกจนต้องหนีมันคงดีกว่าเป็นไหน ๆ ถ้าไม่ต้องคอยพะวงคนที่เอาตัวรอดเองไม่ได้อย่างเขา

    ชานยอลวางมือลงบนไหล่อีกคน เขายิ้มเพื่อให้อี้ชิงสบายใจ ใช่ว่าเขาจะไม่กังวลกับเรื่องนี้ แต่การที่พวกเขาเลือกไปที่นั่นมันก็เป็นการตัดสินใจอย่างดีแล้ว

     

     

    “We're not gonna rush in, trust us.” (เราจะไม่มีบุ่มบ่ามเข้าไปแน่ ๆ คุณวางใจเถอะ)

     

     

     

     

     

     

    ตลอดช่วงสองชั่วโมงที่ผ่านไปอย่างล่าช้า อาจเป็นเพราะลู่หานตื่นเต้นกัที่จะได้เจอเบ้าหน้าเพื่อนอีกครั้งในรอบครึ่งเดือนมันเลยทำให้ทุกอย่างดูอืดอาดไปหมด หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะว่าในรถคันนี้มีผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอลคอยโชว์ภูมิปัญญาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับอู๋อี้ฟานมาตลอดทั้งทางก็ได้ ใช่ มันต้องใช่แน่ ๆ

    ทั้งสามคนลงจากรถซึ่งจอดไม่ห่างจากจุดเดิมกับเมื่อวานก่อน คราวนี้เป็นลู่หานที่ถูกทิ้งให้อยู่บนรถตามลำพังในขณะที่ผู้ชายตัวสูงสองคนได้สร้างโลกส่วนตัวแล้วเดินไปข้างหน้าคุยเรื่องสากเบือยันเรือรบไปจนถึงเรื่องประธานาธิบดีสหรัฐใช้มือข้างไหนล้างก้น (ประชด)

    แกล้งปิดประตูเสียงดังไปทีนึงเผื่อว่าพวกมันจะหันมาสนใจบ้างว่าตรงนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าลู่หานอยู่อีกคน แต่ก็เปล่าประโยชน์ ตอนนี้รอบตัวชายหนุ่มกำลังกลายเป็นสีเทา เขาไม่สามารถแทรกบทสนทนาได้เพราะที่พวกมันคุยกันมีแต่เรื่องสาระทั้งนั้น บางทีก็อยากจะโพล่งเข้าไปให้รู้แล้วรู้รอดว่าชีวิตของพวกมึงสองคนเคยมีเรื่องบันเทิงหรรษาอัศจรรย์ใจบ้างไหม จริงจังกับชีวิตแบบนี้ไม่กลัวเป็นบ้าเข้าสักวันเหรอ แต่ถ้าถามไปแบบนั้นเชื่อว่าร้อยทั้งร้อยพ่อคนมีความรู้ทั้งสองคนคงหันมามองเขาด้วยแววตาที่คนปกติพึงจะมองคนไม่มีความรู้ เพราะฉะนั้นลู่หานถึงได้เงียบเป็นเป่าสากมาตลอดทั้งทาง

    ทั้งสามหนุ่มกำลังเดินไปตามถนนสีขาว ลู่หานล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเตะนั่นเตะนี่ไปเรื่อย เมื่อกี้ก็แอบสะดุ้งเพราะเผลอไปโดนแขนตัวกินคนที่นอนแช่อยู่ใต้หิมะ พอเห็นงั้นเลยดึงมีดออกมาทิ่มหัวแม่งไปหนึ่งดอกข้อหาทำกูตกใจ  

    เสียงพูดคุยของอี้ฟานกับชานยอลยังคงดังวี๊ ๆ ๆ เข้าหูอย่างต่อเนื่อง นี่ไปอดอยากมาจากไหนถึงได้คุยกันเหมือนกับว่าพรุ่งนี้พวกมึงจะเป็นใบ้ ก็ไม่ได้อยากฟังหรอกนะแต่พอมันลอยเข้าหูแบบนี้ก็อดเสือกไม่ได้ พวกมันสองคนนี่เหลือทนจริง ๆ ไม่เคยจะให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ด้วยกันหรอก ถึงจะไม่มีความรู้มากมายแต่การที่เขาถูกปล่อยเซอร์ให้เดินตามหลังต้อย ๆ แบบนี้โดยที่ไม่ถูกเรียกเข้าวงสนทนามันก็น่าเกลียดเกิ๊น

    คนพวกนั้นมีความสุขกับการดื่มเหล้ามากกว่าการทานข้าวเสียอีก การออกไปหาเสบียงแต่ละครั้งก็วุ่นวาย หลายครั้งที่ผมต้องทนเห็นคนถูกกินเพราะวิ่งหนีไม่ทัน ว่าแต่ตอนนั้นคุณเป็นยังไงบ้าง?

    พอจะรู้ว่าชานยอลแยกตัวออกไปช่วงที่เขาอยู่ในผับกับพวกนักโทษ ตลอดเวลาที่ผ่านมาอี้ฟานไม่มีโอกาสได้คุยกับชานยอลอย่างเป็นจริงเป็นจังแม้ว่าทั้งคู่จะพักห้องเดียวกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยหาจังหวะที่จะเข้าหาอีกฝ่ายแล้วเปิดบทสนทนาขึ้นมาสักเรื่องเพื่อหาเรื่องชวนคุย แต่ดูเหมือนว่าชานยอลจะปิดกั้นตัวเองพอสมควร แต่ตอนนี้มันก็เป็นจังหวะดีที่เขาจะได้เปิดอกคุยกัน อู๋อี้ฟานยอมเล่าเรื่องของตัวเองก่อนเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลายและคล้อยตาม

    ผมเหรอ ชานยอลนิ่งไปครู่หนึ่งหลังจากฟังอี้ฟานเล่าเรื่องส่วนตัว เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มลังเลว่าควรเล่าเรื่องที่เป็นบาดแผลในใจให้ฟังดีหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นก่อนหน้าเขาคงบ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่นหรือไม่ก็ปฏิเสธไปทันที แต่ว่าตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดกับมันเหมือนก่อนหน้านี้แล้วแต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยผมอยู่คนเดียวจนได้เจอกับครอบครัวหนึ่ง เป็นคู่สามีภรรยาและเด็กในท้อง

    ท้องเหรอ?

    ครับ ตอนผมเจอเธอก็โย้เย้แล้วล่ะ ชานยอลยิ้มบาง ๆ เขายังจำใบหน้าของกงฮโยจินกับโซจีซบที่ยิ้มให้คนแปลกหน้าที่ชอบทำหน้าไม่เป็นมิตรอย่างเขาได้ดี พวกเขามาจากกลุ่มใหญ่ แต่โชคร้ายที่ต้องหนีออกมาเพราะแคมป์โดนพวกกินคนบุกรุก จนบังเอิญมาเจอกับผม

    อี้ฟานพยักหน้า ตอนนี้ลู่หานเดินเข้ามาใกล้ทั้งสองคนยิ่งกว่าเดิมเพราะได้ยินไม่ถนัด พอเห็นว่าไอ้ขี้เก๊กมันเงียบไปแล้วไม่ยอมเล่าต่อเขาก็เริ่มหงุดหงิด สมัยเรียนครูบาอาจารย์ไม่เคยสอนเรื่องการพูดยังไงไม่ให้คนฟังค้างเหรอวะห่า

    พวกเขาโชคดี

    โชคร้ายมากกว่า ชานยอลพูดเสียงเรียบก่อนจะหันไปทางคนข้าง ๆ พวกเขาตายเพราะผม

    ...

    ผมตั้งใจจะแยกตัวออกไปตั้งแต่วันแรก แต่เธอขอร้องให้ผมช่วยอยู่ทำคลอดให้เพราะเราไม่มีทางเลือกแล้ว ทั้งผมและสามีเธอ เราสองคนไม่มีความรู้เรื่องนั้นเลย ชานยอลเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่ง ถ้าคุณเป็นผมในตอนนั้นคุณจะทำยังไงหลังจากถูกฝากความเป็นความตายไว้กับมือเหรอครับอี้ฟาน?

    ถ้าเป็นผมเหรอ ร่างสูงเงียบไปเพื่อใช้ความคิด มันเป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่ต้องจินตนาการว่าถ้าตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับชานยอลแล้วเขาจะตัดสินใจแบบไหน ผมก็คงอยู่ช่วยเธอ

     ช่วยทำคลอดน่ะเหรอ?

    ครับ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้น่ะ

    ชานยอลนิ่งไป เขารู้สึกเหมือนถูกของแหลมทิ่มกลางอกเมื่อคำพูดของอี้ฟานมันคือสิ่งที่คนมีจิตใต้สำนึกควรจะทำ ถูกต้องแล้ว การทำคลอดให้กับกงฮโยจินทั้งที่โลกเต็มไปด้วยผีดิบมันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะถ้าถึงเวลาที่เด็กจะต้องลืมตาขึ้นมาดูโลกก็คงไม่มีหมอที่ไหนจะมาช่วยพวกเขาได้ แต่ถึงอย่างนั้นครั้งหนึ่งปาร์คชานยอลก็เคยมีความคิดที่จะทิ้งทั้งคู่ไว้ข้างหลัง

    ลู่หานขมวดคิ้วมองคนตัวสูงทั้งสองที่กำลังประชันความคิดและอีโก้ที่ตัวเองมีอยู่อย่างไม่มีใครยอมใคร วูบหนึ่งเขาแอบเห็นออร่าสีดำแผ่แซ่นออกมาจากตัวมันทั้งสองคน เขาไม่แน่ใจว่าตอนนี้มันกำลังใช้เหตุผลคุยกันหรือเถียงกันอยู่

    แต่ก็ไม่แน่หรอก ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของผมในตอนนั้นด้วย พอมาคิดอีกที...ผมอาจจะทำเป็นหูทวนลมแล้วขับรถหนีไปเลยก็ได้ การทำคลอดมันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยนี่ อี้ฟานพูดต่อหลังจากเห็นว่าชานยอลหน้าเสียไปแต่คุณก็อยู่กับพวกเขาใช่ไหม?

    ครับ ตอนนี้อู๋อี้ฟานเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเขาคิดถูกหรือคิดผิดที่ชวนคนข้าง ๆ คุยเรื่องนี้ทั้งที่รู้แล้วว่าจดจบของครอบครัวนั้นคือการตาย สิ่งที่เขาอยากรู้มันอาจจะเป็นเรื่องที่ใครอีกคนอยากลืม ชานยอลหันเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมกับมองด้วยแววตาเรียบเฉยผมทำคลอดให้เธอ

    ...

    แล้วเธอก็ตาย

    คราวนี้ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก แม้กระทั่งลู่หานที่มักจะหาจังหวะกัดจิกปาร์คชานยอลอยู่ตลอด ชายหนุ่มมองแผ่นหลังคนตัวสูงทั้งสองคน ถึงเขาจะเป็นคนห่ามดูเหมือนไม่แคร์อะไร แต่ยอมรับเถอะว่าเรื่องที่ได้ฟังมันน่าหดหู่จริง ๆ

    คุณไม่ต้องเล่าต่อก็ได้นะ อี้ฟานวางมือลงบนไหล่คนข้าง ๆ ซึ่งลู่หานก็เห็นด้วย ไม่ใช่ไรนะ กูฟังแล้วอิน

    ไม่เป็นไรครับ ชานยอลลอบถอนหายใจก่อนจะยิ้มบาง ๆ ขณะมองไปยังถนนเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยหิมะเธอตายระหว่างคลอดเด็ก บางทีเธออาจจะรอดถ้าผมมีเวลามากกว่านั้น

    ...

    ถ้าไม่ต้องหันไปฆ่าสามีของเธอที่เพิ่งเปลี่ยนเป็นตัวกินคน เด็กคนนั้นอาจจะได้มีโอกาสลืมตาขึ้นมาดูโลก

    ...

    เขาถูกกัดตอนเราออกไปหาเสบียง ผมน่าจะเอะใจบ้างตอนที่เห็นเขาถูกโจมตี ผมวางใจไปง่าย ๆ เพราะผู้ชายคนนั้นบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร มันอาจจะดีกว่านั้นถ้าเกิดโซจีซบเปลี่ยนระหว่างอยู่ในรถกับผม

    เหมือนได้เปิดโลกลู่หานคิด วูบหนึ่งเขารู้สึกว่ามีอะไรอีกมากมายบนโลกใบนี้ที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน และหนึ่งในนั้นก็คือความรู้สึกลึก ๆ ที่ปาร์คชานยอลเก็บเอาไว้

    นี่คือเรื่องทั้งหมดที่ผมคิดว่าเล่าให้คุณฟังได้ เพราะตอนที่ผมอยู่คนเดียวมันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการกิน นอน สูบบุหรี่แล้วก็ออกไปหาเสบียง

    ผมว่าจะพูดเรื่องนี้นานแล้วล่ะ คุณสูบบุหรี่จัดพอสมควรเลยนะชานยอล ทั้งคู่ยิ้ม เขารู้ว่าอี้ฟานกำลังพูดติดตลกเพื่อให้เขารู้สึกผ่อนคลายหลังจากเล่าเรื่องราวร้าย ๆ ที่เคยเกิดขึ้น

    ลู่หานก็สูบนะครับ พูดจบก็ชำเลืองหันไปมองคนข้างหลังที่ขมวดคิ้วทำหน้าเครียดเพราะยังคงอินกับเรื่องที่ได้ฟัง

    กูไม่ตายเพราะมะเร็งหรอกมึงเชื่อเถอะ

    ฟังไว้นะครับ ชานยอลหันไปยิ้มขำกับคนข้าง ๆ ลู่หานเบ้ปากมองแผ่นหลังพวกมันทั้งสองคน หล่อไปเหอะสัด เดี๋ยวอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าก็ถึงคิวกูแล้ว คราวนี้แหละพี่จะแสดงฤทธาให้เห็นเองว่าท่าพระเอกตอนเดินผงาดเข้าไปในค่ายทหารมันเป็นยังไง

    ...

    สองหนุ่มหยุดยืนพลางมองไปยังใครอีกคนที่เดินจำอ้าวแซงหน้าทั้งคู่ไป ลู่หานหันกลับไปข้างหลังเมื่อสองคนนั้นไม่ยอมเดินตามมาแถมยังพร้อมใจกันมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ อีกด้วย มึงงงไรกันเหรอครับ

    หยุดทำไมวะ ให้ไวหน่อยเถอะ รีบเคลียร์ให้เรียบร้อยจะได้พามันสองคนกลับ พูดจบก็ดึงสายสะพายไรเฟิลออกมาแล้วกระชับไว้ให้เหมาะมือ

    คุณจะเข้าไปทั้งอย่างนั้นน่ะเหรอ? ชานยอลถามแล้วลู่หานก็พยักหน้ารับอย่างภาคภูมิขอโทษนะครับ ถ้าผมเป็นทหารในค่ายคงคิดว่าคุณจะเข้าไปปล้นสะดม

    มึงก็คิดงี้ตลอดแหละห่า หน้ากูเหมือนโจรมากป่ะถาม  ถ้ากูตั้งใจหน่อยป่านนี้ได้เป็นดาราไปแล้ว ใช่ย่อยที่ไหนอ่ะ ลู่หานเถียงคอเป็นเอ็น อี้ฟานเบือนหน้าหลบไปอีกทางเมื่อสองคนนี้เริ่มลับฝีปากกันอีกแล้ว

    ดูลาดเลากันก่อนเถอะครับ ลู่หานถลึงตามองไอ้ขี้เก๊กที่หันไปขอความเห็นจากอี้ฟาน ไรมึงครับพอไฝว้ไม่สู้แล้วหันไปขอตัวช่วยจากคนอื่นว่างั้น ถุ้ยถุ้ยถุ้ยผมอยากให้คุณเห็นก่อนว่าเราควรเข้าไปในนั้นเลยหรือว่าต้องทำยังไง

     ชานยอลเป็นอย่างนี้เสมอ เขามักจะไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจและมันเป็นข้อดีหลัก ๆ ที่อู๋อี้ฟานมองเห็นในขณะที่ลู่หานคิดว่ามันเป็นข้อเสียสุด ๆ ที่เขารู้สึกได้

    เอาสิ คราวที่แล้วคุณทำยังไงล่ะ?

    ตรงนั้นครับ อี้ฟานขมวดคิ้วเมื่อเห็นชานยอลผินหน้าไปตรงป่าทางด้านข้าง

    โว้ว ๆ ๆ อย่าบอกนะว่ามึงจะพากูปีนต้นไม้อีกแล้ว ลู่หานค่อย ๆ ย่องกลับมา เขาเบ้ปากมองต้นไม้สูงสลับกับใครอีกคน

    ทำไมพูดแบบนี้ล่ะครับ ทั้งที่คราวก่อนคุณเป็นคนพาผมปีนขึ้นไปสังเกตการณ์บนนั้นแท้ ๆ ร่างสูงเงยหน้าขึ้นเพื่อเลือกต้นไม้ที่เหมาะสมสำหรับการปีนในครั้งนี้

    โทษกูอีก ตอนนั้นมันจำเป็นป่ะวะ แต่ตอนนี้ก็รู้อยู่แล้วว่ามิตรสหายท่านหนึ่งของกูอยู่ในนั้น มึงจะปีนขึ้นไปโลดโผนเป็นลิงเป็นค่างทำมะเขือด้ามทู่อะไร อี้ฟานเดี๋ยวดิ...อ้าวปีน...เออดี...จัดไปครับ นั่นแหละ...ใครอยากปีนก็ปีนไปนะ แต่กู ไม่

    ลู่หานหรี่ตามองทั้งสองคนที่กำลังปีนขึ้นไปบนต้นไม้โดยไม่สนใจเสียงเขาเลยสักนิดเดียว ร่างโปร่งยืนถ่างขากอดอก เขารู้ว่าท่าทางแบบนี้ค่อนข้างจะกวนส้นตีนแต่ก็ถูกต้องแล้วครับ ลู่หานได้มาถูกทางแล้ว

    ระวังตกลงมาปากแตกนะครับบบบบบบบ ลู่หานรัวลิ้นโชว์แม้ว่าคนถูกแซะจะไม่แม้แต่จะหันมามองเขา ชานยอลปีนขึ้นไปถึงก่อนและตามด้วยอี้ฟานที่ไม่ชินกับการปีนป่าย แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องความสูงก็เป็นอันดับท้าย ๆ ที่เขาจะกลัว

    ถ้ากลัวก็รออยู่ข้างล่างก็ได้ครับไม่มีใครว่าคุณอยู่แล้ว ห่าชานยอล เมื่อกี้ตอนเล่าเรื่องโศกกูเกือบจะสงสารมึงอยู่แล้ว แต่พูดจาแบบนี้มึงอยากนอนแพลงกิ้งจูบฝ่าตีนกูใช่ไหมสัด

    กูเนี่ยนะกลัว ถุ้ยยยย ไม่พูดอย่างเดียว ลู่หานถุยน้ำลายลงบนหิมะเพื่อความสมจริงขณะที่อี้ฟานกับไอ้ขี้เก๊กกำลังพยายามทรงตัวบนต้นไม้เพื่อไม่ให้ตกลงมา คราวนี้ไม่มีใครง้อไรเฟิลหรือขอกล้องทางไกลจากเขาเพราะไอ้ห่าชานยอลมันเตรียมมาซะดิบดี

    ที่ตอนนั้นยอมปีนก็เพราะเป็นห่วงไอ้จงอินจนลืมเรื่องกลัวความสูงหรอกครับ ไม่งั้นจ้างกูก็ไม่ขึ้นไปให้เสียวดาก ตกลงมามีก้นจ้ำเบ้า ช้ำไปกี่วันกว่าจะหายใครจะเข้าใจดีเท่าลู่หานผู้นี้วะ

    เห็นไหม?

    อืม... อี้ฟานส่องกล้องทางไกลไปยังค่ายทหารที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนักก่อนจะเลื่อนไปรอบ ๆ ที่นั่นดูไม่เลวร้ายอย่างที่คิดแต่ก็ไม่ได้ดีจนน่าอยู่ในความรู้สึกของเขา คราวที่แล้วคุณเจอจงอินตรงไหน

    หน้าบ้านสีน้ำตาลเข้มหลังนั้นน่ะ

    ตึกสีขาวนั่นคือศูนย์วิจัยใช่ไหม?

    น่าจะใช่นะ?

    ลู่หานเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึก Appears Offline กลายเป็นตัวสีเทา เสียงพูดคุยของสองคนนั้นกลอกเข้าหูกระตุ้นต่อมเสือกอย่างต่อเนื่อง จนอดคิดไม่ได้ว่าพวกมันกำลังแกล้งปั่นประสาทให้เขาอยากรู้อยากเห็น

    เดี๋ยว?

    ชานยอล คุณเห็นหรือเปล่า?

    ...

    เห็นท่าทางตกใจของคนตัวสูงบนต้นไม้ทั้งสองแล้วก็ขมวดคิ้ว ลู่หานฝ่ากองหิมะเดินเข้าไปในป่าแล้วเงยหน้าขึ้นมอง

    เกิดอะไรขึ้นวะ?

    นั่นจงอินหรือเปล่า?

    ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน คุณคิดว่าไง?

    อะไร เจอไอ้จงอินแล้วเหรอ? ลู่หานตะโกนขึ้นไปแต่ถึงอย่างนั้นมนุษย์ตัวสูงทั้งสองก็ไม่ยอมละห่างจากกล้องส่องทางไกลเพื่อก้มเบ้าหน้าลงมาบอกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น

    ...นั่นจงอิน

    พระเจ้า...

    เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นบอกกูมั่งดิ!”

    ทำไมเขาถึงถูกซ้อมแบบนั้น?

    แค่นั้นแหละ เพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้นที่ทำให้ลู่หานลืมคำว่ากลัวความสูง ชายหนุ่มเบิกตากว้างแล้วหันซ้ายขวาก่อนจะรีบปีนขึ้นไปบนต้นไม้จนไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถปีนได้เร็วขนาดนี้

    ไรเฟิลถูกยกขึ้นตั้งระดับหัวไหล่ ลู่หานเอียงคอเล็กน้อยเพื่อปรับท่าทีให้เหมาะสมก่อนจะหลับตาข้างซ้ายแล้วส่องลำกล้องไปยังเป้าหมาย และสิ่งที่เห็นมันทำให้ปืนเกือบลั่นเมื่อพบว่าเพื่อนของเขากำลังถูกทหารสามคนรุมกระทืบอยู่

    ไอ้เหี้ย กูว่าชัดแล้ว นั่นมันไอ้จงอิน

    ทุกคนต่างทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นภาพจงอินโดนรุมทำร้าย ทั้งที่ตั้งใจจะเข้าไปในค่ายนั้นแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะโชคดีที่ตัดสินใจหยุดดูลาดเลาก่อน เพราะถ้าเข้าไปบางทีพวกเขาทั้งสามคนอาจจะอยู่ในสถานภาพเดียวกันกับจงอินก็ได้

    ห่าเอ้ย คนแก่พวกมันยังไม่เว้น

    เอาไงดีอี้ฟาน?

    เข้าไปตอนนี้ผมว่าเราคงไม่ได้ออกมาแน่ ทั้งสามคนยังไม่ลดละจากเป้าหมายกระทั่งจงอินถูกฟาดด้วยสันปืนจนหมดสติแล้วถูกลากออกไปจนพ้นพิกัดสายตาพวกเขาถึงได้ลดมือลง

    เกิดอะไรขึ้นวะ วันนั้นมันยังยืนคุยกับทหารอยู่เลยนี่? ลู่หานหันไปทางชานยอลคนที่เห็นเหตุการณ์เดียวกับเขา แต่ก็ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ ทั้งสามคนเงียบไปขณะจมอยู่กับความคิดของตัวเอง

    จะคิดว่าทะเลาะกันเฉย ๆ ก็คงไม่ใช่... อี้ฟานขมวดคิ้ว

    จงอินไม่น่าทะเลาะกับคนที่นั่นหรอกครับ เพราะถ้ามองในแง่ของผู้หวังดีที่เข้าไปเพื่อบริจาคเลือด ถึงจะไม่ได้ดูแลแขกแต่ก็ไม่น่ารุมทำร้ายเขาแบบนั้น ชานยอลหันไปมองอีกคนที่อยู่ต้นไม้ข้าง ๆ

    คุณสองคนคิดว่าไง? อี้ฟานถามความเห็น ตอนนี้พวกเขาทั้งสามคนกำลังเป็นกังวลอย่างหนัก

    ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อกี้มันโดนอัดจนสลบแถมไม่รู้ด้วยว่าถูกลากไปไหนต่อ นั่นจะโดนกระทืบซ้ำอีกเปล่าก็ไม่รู้ ควายเอ้ย กูบอกแล้วว่าอย่าเข้าไป ลู่หานกำลังสติแตก เขาแทบจะเหนี่ยวไกใส่ไอ้หอกหักสามตัวนั้นที่บังอาจรุมเพื่อนเขา

    ผมว่าที่นั่นต้องมีอะไรสักอย่างผิดปกติ

    ...

    เอาไงวะ บู๊เลยไหม? ลู่หานเริ่มคันไม้คันมือ แค่สองคนนี้ตอบตกลงเขาก็พร้อมที่จะวิ่งอ้อมไปตรงรั้วด้านข้างของค่ายแล้วหาช่องทางปีนเข้าไป อี้ฟานส่องกล้องทางไกลไปอีกครั้ง เขาใช้เวลาสังเกตการณ์เพียงแค่นาทีเดียวแล้วก็ลดกล้องลง

     
     

     

    กลับกันเถอะ เราต้องคุยกับทุกคนแล้ววางแผนกันว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้

     

     

     

     

     

     

    ปัง!!!

     

    เสียงประตูเหล็กขึ้นสนิมปิดลงหลังจากร่างของเขาถูกผลักเข้ามาในห้องเก็บของที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์เก่า ๆ ฝุ่นเขรอะ ชายหนุ่มพยายามลุกขึ้นนั่งทั้งที่บอบช้ำไปทั้งตัว เขาถุยน้ำลายปนเลือดลงบนพื้นเมื่อรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวที่คละคลุ้งอยู่ทั่วโพรงปาก

    จงอินค่อย ๆ ประคองร่างของเขาให้ถอยไปชิดกับตู้เสื้อผ้าเก่าก่อนจะเอนหลังพิงกับมันเพื่อเป็นหลัก กลิ่นเหม็นอับกับแสงสว่างที่ลอดเข้ามาตามรูผนังไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแย่มากไปกว่านี้ นัยน์ตาเหม่อลอยไปยังเบื้องหน้าก่อนจะใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดคราบเลือดตรงมุมปากออกลวก ๆ

    ไอ้ทหารระยำ พวกมันข่มขืนจินฮีทั้งที่เธอเพิ่งจะแท้งลูกไปได้ยังไง มันยังมีความเป็นคนกันอยู่ไหม วินาทีนี้คนที่เขาอยากเจอมากที่สุดนั่นไม่ใช่เซฮุน แต่มันคือจูจีฮุนคนที่หลอกล่อเขามาที่นี่แล้วพูดโน้มน้าวให้ตายใจว่าทุกอย่างในค่ายนี้มันดีเลิศนักหนา ทั้งที่จริงแล้วส่วนหนึ่งมันก็เป็นความผิดของเขาที่เลือกมาเอง ไม่มีใครเอาปืนจ่อคอหรือบีบบังคับให้มาที่นี่ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นความลวงโลกที่เขารู้สึกว่ามันทุเรศทุรังเกินไป

    ขายาวข้างหนึ่งชันเข้าหาตัวแล้ววางข้อศอกลงบนเข่า นิ้วหัวแม่มือและนิ้วกลางคลึงขมับทั้งสองข้างก่อนจะปิดเปลือกตาลงแล้วจมดิ่งไปกับความหมองหม่นที่โรยตัวอยู่โดยรอบ เขากำลังรู้สึกผิดกับทุกคนที่ทุกอย่างมันพลาดจนมาถึงจุดนี้ มันผิดที่เขาพาเซฮุนมาที่นี่ และผิดที่ไม่ยอมเชื่อฟังลู่หาน

    ตอนนี้เซฮุนจะเป็นยังไงบ้าง? พอได้เห็นธาตุแท้ของพวกทหารที่อยู่ข้างนอกแล้วเขาก็ไม่กล้านึกถึงภายในห้องทดลองนั้นเลย คราวนี้จงอินยอมปล่อยให้ความคิดแย่ ๆ เข้ามาในหัวโดยที่ไม่คิดจะหาเรื่องอื่นเข้ามากลบทับ แน่นอนว่าตอนนี้เขากำลังจะเป็นบ้าเพียงแค่จินตนาการไปถึงไหนต่อไหน

     

     

     

    จงอิน...

     

     

    ภาพเซฮุนหน้าซีดเผือดกำลังมองมาที่เขาก่อนจะกระอักเลือดออกมา เสียงแหบพร่าเหมือนคนเจียนขาดใจกำลังร้องเรียกชื่อเขาอย่างทรมาน คิมจงอินไม่เคยคิดมาก่อนว่าการคิดไปเองมันจะทำให้เขากระวนกระวายได้ถึงขนาดนี้

    เสียงเคาะประตูดังขึ้น แต่นั่นไม่ใช่การเคาะเพื่อขอให้เขาลุกขึ้นไปเปิดประตูให้แต่มันเป็นการบอกให้รู้ว่ามีคนมา จงอินมองไปยังประตูเหล็กที่อยู่เบื้องหน้า เขาเห็นเงาใครคนหนึ่งผ่านรูผนังที่ทำด้วยไม้ ผู้ชายคนนั้นเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ประตูและกำลังมองมาทางนี้

    จงอิน

    จูจีฮุน? พอรู้ว่าใครยืนอยู่ตรงนั้นร่างหนาก็รีบพยุงตัวลุกขึ้นยืน จงอินเสียหลักเซไปชนกับตู้ที่อยู่ข้างหลังแต่เขาก็ไม่ยอมเสียเวลามากไปกว่านี้ เขาเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายและทาบมือลงบนผนังไม้เพื่อยืนทรงตัว

    ผมเพิ่งรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณ

    รู้เร็วดีนะ? เขาแค่นหัวเราะ ตอนนี้สิ่งที่ทั้งคู่มองเห็นกันและกันก็มีเพียงแค่ดวงตาที่อยู่ตรงระดับช่องต่อของแผ่นไม้เท่านั้นงั้นก็ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคนที่นี่

    ...

    เรื่องทหารข่มขืนผู้หญิง...นายก็รู้มาตลอดใช่ไหม? จีฮุนไม่ได้ตอบกลับไป เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงการสบตากับคนที่อยู่อีกฝั่งของกำแพงไม้ตรงหน้าจูจีฮุน

    ใช่ ผมรู้

    ...

    ผมไม่มีคำจะแก้ตัว รวมถึงเรื่องของเซฮุนด้วย

    หมายความว่าไง? ร่างหนาโพล่งกลับไปในทันทีเพียงแค่ได้ยินชื่อของใครอีกคน ช่วงไม่กี่วินาทีในการรอมันนานมากจนอยากจะกระชากคออีกฝ่ายเข้ามาเค้นเอาคำตอบให้ได้ เซฮุนเป็นอะไร

    ...

    ตอบสิวะ!”

    ตอนนี้ยัง

    ...ว่าไงนะ? คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจนายทำอะไรกับเด็กคนนั้น?

    ...

    ฉันถามว่าทำอะไร?!” จีฮุนเบือนหน้าหลบไปอีกทาง นั่นยิ่งทำให้คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโมโหยิ่งกว่าเดิม

    ทำในสิ่งที่ควรทำ

    ...

     

     

     

    อย่าเชื่อคนที่คุณคิดว่าเขาเป็นคนดี...

     

     

     

    ผมอยากให้คุณอยู่เฉย ๆ ถ้าอยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี

    จบด้วยดีงั้นเหรอ? กล้าใช้คำนี้ได้ไงวะ?

    ถ้าคุณไม่สร้างปัญหา อีกสองสามวันก็ออกไปจากที่นี่ได้แล้ว ทหารหนุ่มหันกลับมาสบตากับอีกฝ่าย

    หมายถึงเซฮุนด้วยใช่ไหม?

    เปล่า

    ...

    ผมหมายถึงคุณแค่คนเดียว รู้สึกเหมือนจูจีฮุนเป็นใครอีกคนที่เขาไม่รู้จักเพียงแค่เห็นแววตาที่กำลังมองมา ทั้งคู่นิ่งไปโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกแม้กระทั่งจงอิน

    ฉันจะไม่ออกไปจากที่นี่ถ้าไม่มีเด็กคนนั้น ชายหนุ่มพูดลอดไรฟัน ซึ่งจีฮุนก็รู้ดีว่าจงอินคงไม่ยอมให้มันเป็นเรื่องง่ายอย่างที่เขาบอกเอาไว้

    แต่คุณพาเซฮุนไปด้วยไม่ได้

    ทำไมฉันถึงจะพาเด็กคนนั้นออกไปไม่ได้ นายไม่มีสิทธิ์ขังฉันไว้แบบนี้ด้วยซ้ำ ร่างหนากำหมัดแน่นนายมีเวลาสามวิในการเปิดประตูให้ฉันจูจีฮุน

    ...

    หนึ่ง

    ...

    สอง

    ดูสภาพตัวเองหน่อยสิจงอิน ตอนนี้คุณทำอะไรได้บ้างนอกจากขู่ให้ผมกลัว สายตาที่มองมาราวกับเวทนาเขานักหนา จงอินกัดฟันกรอดขณะมองกลับไปเช่นกันและผมก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นด้วย

    ฉันไม่ได้พูดให้กลัว จงอินเว้นจังหวะไว้ชั่วอึดใจ ความโทสะที่ก่อตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เขามีความคิดชั่ว ๆ เข้ามาในหัวหากว่าคนตรงหน้ายังมีความคิดที่จะทำร้ายเซฮุนแต่ฟังไว้ให้ดีนะจูจีฮุน

    ...

     

     

     

    ถ้าออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไหร่...คนที่ฉันจะฆ่าเป็นคนแรกก็คือนาย

     

     

     

     

     

    TBC

     

     

     

     

    สาดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

    พี่จงอินอิ่มแล้วค่ะแดกตีนรสคอมแบท นางช่างน่าสงสารเหลือเกิน เป็นพระเอกที่มีแต่ไขควงเหน็บไว้ตรงดากก็สู้ปืนทหารไม่ได้ ตอนหน้าจะเป็นยังไง สามหนุ่มสามมุมจะกลับไปจัดการกับเรื่องนี้แบบไหน? จะต้องบุกแบบค่ายนัมจุนอีกหรือเปล่า? ต้องอ่านอ่ะนี่พูดเลย

     

     

     

    เออ ไม่ได้อยากขายของอะไรหรอกนะแต่แบบขอพื้นที่โฆษณานิดนึงเนอะ

    โอนค่าฟิคกับค่าเสื้อลายใหม่ยังคะ นี่ไม่ได้บังคับนะแค่อยากขายเฉย ๆ มีสองสีให้เลือกสรรเลยนะ
    มีคอนสองวันก็ใส่มันไปเลยสองสี

    อย่าลืมนะเตง เสื้อหมดเขตโอนก่อนรูปเล่มฟิค คือเราจะจัดส่งเสื้อก่อนคอนไง อยากขาย อยากให้ใส่เสื้อสวย ๆ

     

     

    โอย ฟ้อนท์ใหญ่โตมโหราญมาก เดินไปสำเพ็งมองกลับมาหน้าจอยังเห็น สรรถ 55555555555555555555555555555555555555555555555555555555555

    ป่ะ ซื้อเสื้อใส่ไปคอนกัน 55555555555555555555555555555555555

    V

    V

    https://docs.google.com/forms/d/1vxqLJ79057RxSeITtVhcXO-KmysucdF09xXUtmMtYJc/viewform

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×