คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 6 :: Rest In Peace
Chapter 6
Rest In Peace
พลั่วสีดำปักลงกับพื้นดินซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นหลุมลึกเกือบเท่าเอว หยาดเหงื่อที่เกิดขึ้นเพราะความร้อนของแสงแดดและความเหนื่อยล้าเป็นสิ่งบ่งบอกได้ดีว่าบยอนแบคฮยอนใช้เวลาในการขุดหลุมมานานมากแค่ไหน มือที่ไม่เคยใช้งานหนักขึ้นริ้วแดงจนถลอกปอกเปิกแต่เขากลับไม่ยอมลดความตั้งใจ
ชายหนุ่มทั้งสามได้เพียงแค่ยืนมองศพห่อด้วยผ้าปูเตียงสีขาวที่นอนอยู่ข้าง ๆ หลุม ถึงจะเป็นห่วงแต่พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เข้าไปขัดขวาง อี้ฟานบอกว่าถึงว่าแล้วที่แบคฮยอนจะต้องเข้มแข็งและลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองให้ได้ ลู่หานทอดสายตามองไปยังคนตัวเล็กที่เอาแขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่อก่อนจะยืนหอบหายใจหนัก เสื้อฮู๊ดสีครีมเต็มไปด้วยคราบสกปรกของฝุ่นดินหมดสภาพลูกคุณหนูอย่างที่เคยเป็น
“ตัวก็แค่นั้น เป็นลมขึ้นมาจะหัวเราะให้” ลู่หานพึมพำ อี้ฟานยีหัวคนตรงหน้าที่ทำท่าทางไม่พอใจที่เห็นคนตัวเล็กเป็นแบบนั้น ทั้งที่ลู่หานเสนอตัวเข้าไปช่วยขุดหลุมแต่กลับถูกแบคฮยอนไล่กลับเข้ามาในบ้าน
“ปล่อยให้เขาทำไปเถอะ”
“เออไง จะได้ไม่เหนื่อย” ลู่หานยักไหล่แล้วนั่งลงกับขั้นบันได เท้าคางมองคนตัวเล็กที่ก้มหน้าก้มตาขุดหลุมต่อไป ชานยอลที่ยืนอยู่ห่าง ๆ ได้เพียงแค่ลอบถอนหายใจแล้วเดินกลับไปนั่งโซฟาที่ห้องนั่งเล่น
ถ้าเกิดเขาไม่ทิ้งทิฐิเมื่อคืนแบคฮยอนจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ เด็กนั่นก็หัวรั้นเสียเหลือเกิน ปากก็เจ็บ แดดก็ร้อน แทนที่จะให้คนอื่นช่วยแต่กลับตะบี้ตะบันขุดหลุมไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ ถ้าเป็นลมล้มพับไปอีกคนจะเป็นยังไง เขาล่ะเกลียดเด็กนิสัยแบบนี้จริง ๆ
สายตายังคงมองไปยังชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ตรงประตูหลังบ้าน ทุกคนต่างเป็นห่วงแบคฮยอนแต่เจ้าตัวคงไม่สำนึก เขาลอบถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดผ้าม่านที่อยู่ข้างหลังออกเล็กน้อยแล้วก็เห็นคิมจงอินกำลังถางโพรงหญ้าที่สูงขึ้นเลยหัวเข่าอยู่
“คุณทำอะไรน่ะ”
ร่างหนาละความสนใจจากหญ้าในกำมือก่อนจะหันไปมองผู้มาใหม่ที่เดินมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ เขาโยนเศษหญ้าที่เพิ่งถางออกมาเมื่อครู่ไปกองไว้ที่เดียวกันแล้วพ่นควันบุหรี่ที่คาบไว้ออกมา
“ถางหญ้า แถวนี้อยู่ใกล้ป่า เกรงว่าเราจะตายห่าเพราะถูกงูกัดแทนที่จะถูกพวกนั้นกิน” จงอินพูดแล้วคาบบุหรี่ไว้เหมือนก่อนหน้านี้ เขาโน้มตัวลงไปถางหญ้าต่อแต่ก็ต้องเงยหน้าขึ้นอีกครั้งเมื่อปาร์คชานยอลยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“แบคฮยอนล่ะ?”
“เหมือนเดิม”
“ใกล้ความจริงยัง?” จงอินถามต่อ เห็นขุดมาตั้งแต่เช้าจนบ่ายป่านนี้แล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จ เห็นแบบนั้นเขาก็ชักจะเป็นกังวล
“ก็คงใกล้แล้ว...ว่าแต่เด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง?”
“เออว่ะ” คิ้วหน้าขมวดมุ่นเมื่อนึกถึงใครคนหนึ่งที่เขามองข้ามไปเกือบครึ่งวัน ร่างหนาหันไปถุยน้ำลายขมลงบนพื้นแล้วโยนบุหรี่ทิ้งก่อนจะใช้รองเท้าบี้เพื่อดับไฟ “ลืมให้อาหารไปเลย” พูดอย่างกับเป็นสัตว์เลี้ยง
“คุณไม่คิดว่ามันแปลกบ้างเหรอ?”
“หมายถึงโอเซฮุน?”
“อืม ทั้งที่ลู่หานบอกว่าเขาถูกกัดก่อนแบคโฮ แต่ทำไมถึงอยู่ได้มาจนถึงตอนนี้”
“ไม่แน่หรอก” จงอินตีหน้าตายก่อนจะถือมีดเข้าไปในบ้าน ชานยอลมองแผ่นหลังกว้างของร่างหนาแล้วเดินตามเข้าไป
เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้น...
ปัง...
“...”
“...”
“...”
ทั้งสามคนไม่มีใครพูดอะไรออกมา ทั้งคิมจงอิน ปาร์คชานยอล มองไปยังเด็กหนุ่มที่นั่งทำตาปริบ ๆ อยู่ที่เดิม ไม่มีอาการหน้าซีด เหงื่อแตกพลั่ก ๆ เหมือนอย่างที่ควรจะเป็น ร่างหนาหันไปขอความเห็นจากคนข้าง ๆ ทางสายตาแล้วหันกลับไปมองเซฮุนอีกครั้ง
“คุณบอกว่าจะเข้ามาทำแผลให้ผมตอนเที่ยง”
“แล้วไง”
“ผมว่ามันน่าจะเลยเที่ยงไปแล้ว”
“รู้ได้ยังไงว่าผ่านไปแล้ว”
“ผมเห็นแสงแดดส่องมาจากมุมนั้น” เด็กหนุ่มหันหน้าไปทางขวาเป็นการบอกพิกัดเมื่อมือของเขาถูกมัดเอาไว้ จงอินเดินมานั่งยอง ๆ อยู่ข้างหน้าเขาแล้วเอามืออังหน้าผาก
“ปวดหัวป่ะ”
“ไม่ครับ”
“...”
“...”
“ผมหิว”
“...”
“คุณครับ ผมหิว” เมื่อไม่ได้คำตอบจากคิมจงอิน โอเซฮุนก็เปลี่ยนเป้าหมายไปยังร่างสูงที่ยืนอยู่หน้าประตู ปาร์คชานยอลนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเดินออกไป
“สบายจังเลยนะ สั่งเอา ๆ เป็นพระเจ้าไง?” ร่างหนาผลักหัวคนตรงหน้าจนเงนไปข้างหลัง เซฮุนเบี่ยงตัวหลบเมื่อคิมจงอินทำท่าจะแกล้งเขาต่อ
“ผมยังไม่ตายนะ ผมก็ต้องหิวเป็นธรรมดา แล้วคุณยังมัดผมไว้แบบนี้อีก”
“ก็ถูกต้องแล้วนี่ ถ้าไม่ให้มัดแล้วจะให้ทำยังไง ปล่อยนายให้ออกมาเดินเพ่นพล่านไล่กัดคนอื่นทีหลังน่ะเหรอ?”
“ถ้าไม่ปล่อย คุณก็ต้องให้ผมทานข้าวสิครับ”
“ขอถามอะไรสักสองสามข้อ”
“...”
“ข้อแรก เราเป็นอะไรกัน ทำไมฉันถึงต้องหาอะไรให้นายกินด้วย?”
“...”
“ข้อสอง นายถูกกัด มันสมควรไหมที่ฉันจะต้องหาข้าวหาน้ำให้นายกินทั้งที่ไม่รู้ว่านายจะตายเมื่อไหร่?”
“แล้วคุณกินข้าวทำไม ในเมื่อสักวันหนึ่งคุณก็ต้องตายอยู่ดี”
“อ้าวกวนตีนป่ะ” ร่างหนาง้างมือขึ้นมาทำท่าจะโบกกระบาลอีกฝ่าย เซฮุนห่อไหล่เล็กน้อยพร้อมกับหลับตาปี๋ แต่ก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเมื่อคนตรงหน้าไม่ได้ทำร้ายเขาอย่างที่คิด
“รอนี่” นิ้วเรียวยาวชี้หน้าคาดโทษร่างบาง เซฮุนมองปลายนิ้วนั่นก่อนจะเงยหน้ามอง
“ผมไปไหนได้ด้วยเหรอครับ?”
“ถ้ายังไม่เลิกกวนตีนน้องอาจจะเจ็บตัวนะครับ พี่ขอเตือน”
เซฮุนเม้มริมฝีปากแน่น มันก็ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมานั่งยิ้มอะไรแบบนี้หรอก แต่ไหน ๆ อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าเขาก็จะตายแล้ว งั้นก็ขอทำให้ชีวิตมันดูตลกบ้างแล้วกัน
จงอินเดินกลับมาพร้อมกับกล่องพยาบาลและข้าวโพดกระป๋อง เขาวางของลงแล้วเอื้อมไปปลดเชือกให้จนคนถูกมัดประหลาดใจ เซฮุนลูบข้อมือที่เป็นรอยมัดเบา ๆ แล้วมองหน้าอีกฝ่ายที่ยื่นข้าวโพดกระป๋องกับช้อนมาให้
“รีบกิน”
“ครับ” เซฮุนรับมาอย่างว่าง่าย ไม่มีการกวนตีนโต้ตอบอะไรใด ๆ นิ้วเรียวเกี่ยวกับที่เปิดฝาแล้วดึงออกก่อนจะใช้ช้อนตักกินอย่างเร่งรีบ
จงอินมองภาพตรงหน้าแล้วก็ชะงักมือ ไม่แปลกที่ไอ้เด็กนี่จะหิวเพราะตอนนี้ก็ปาไปแล้วบ่ายสามโมง สิ่งที่เขาทำมันเสี่ยงมากที่ปล่อยให้โอเซฮุนเป็นอิสระแบบนี้
เพราะถ้าเผลอ...เพียงแค่เสี้ยววินาทีเขาอาจจะตายได้ถ้าเกิดเด็กนี่กลายสภาพขึ้นมา
“ถอดเสื้อออก”
“หื้อ?” เซฮุนทำตาโตมองคนตรงหน้าที่ถือสำลีกับแอลกอฮอล์ขวดไว้ในมือ ไม่ต้องโง่ถามอะไรให้มากความเด็กหนุ่มก็ทำตามอย่างว่าง่าย เขาควรจะได้รับการรักษาถึงแม้จะปลงตกแล้วว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาอาจจะต้องตาย
“จะกินก็กินไป แล้วหันหลังมานี่” น้ำเสียงห้วน ๆ บอกคนตรงหน้า เซฮุนพลิกตัวให้นั่งหันหลังก่อนจะวางกระป๋องข้าวโพดลงแล้วถอดเสื้อสูทประจำโรงเรียนออกเผยให้เห็นคราบเลือดที่แห้งกรังอยู่กับเสื้อเชิร์ตสีขาวตัวใน
“ถ้าแสบแล้วบอก”
“คุณจะเบามือเหรอครับ?”
“เปล่า จะได้ทำแรงขึ้น”
“นิสัย...”
“ไม่ต้องบ่น” ผู้ชายห่ามแตะสำลีชุบแอลกอฮอล์ลงบนแผ่นหลังขาวที่มีรอยกัดตรงเกือบถึงหัวไหล่ ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยกับความแสบร้อนก่อนจะส่งเสียงประหลาด ๆ ออกมาให้คนทำแผลได้ยิน
“อ...อา...”
“...”
“อ...คุณครับ...ผมเจ็บ...เบา ๆ หน่อย...”
“...”
“อ...อือ...”
“เลิกส่งเสียงประหลาด ๆ สักทีเถอะน่า” สิ้นสุดความอดทน ร่างหนาผลักหัวคนตรงหน้าจนไปชนกับผนังไม้เต็ม ๆ
“โอ๊ย!” เซฮุนกุมกุมตัวเองเอาไว้แล้วเอี้ยวหน้าหันกลับไปมองคนใจร้ายที่มองคาดโทษเขาด้วยสายตาดุ ๆ
“ก็ผมเจ็บนี่ครับ คุณลองมาโดนกัดเหมือนผมดูบ้างไหมล่ะ จะได้รู้ว่ามันเจ็บแค่ไหน”
“แล้วแผลแค่นี้ทำให้นายตายไหม? หา? ตายหรือยัง?”
“ก็เพราะยังไม่ตายไงครับเลยรู้สึกเจ็บ”
“กรีดร้องเป็นผู้หญิงไปได้ ชายแท้เปล่าเราอ่ะ?”
“แท้ครับ”
“เหรอ? มีเซ็กส์ครั้งแรกตอนอายุเท่าไหร่?”
“...”
“โด่ ไม่เคยอ่ะดิ” จงอินแค่นหัวเราะ รู้สึกมีชัยที่ไล่ต้อนไอ้เด็กนี่ให้จนมุมได้
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเป็นชายแท้ครับ?”
“ผู้ชายที่แท้จริงมันต้องเคยนอนกับผู้หญิงดิวะ ตอนฉันอายุเท่านายนี่ฟาดนูน่าไปแล้วหลายคน”
“คุณคิดว่าทำแบบนั้นแล้วดูเท่หรือไง มันก็แค่เซ็กส์เอง”
“ถ้าพูดว่า ‘ก็แค่เซ็กส์’ แล้วทำไมนายถึงไม่เคยมีล่ะหื้ม?” แดกดันเสียงใส่อีกฝ่ายแล้วจงใจกดสำลีลงไปแรง ๆ จนร่างบางร้องซี๊ดในลำคอ
“บอกให้เลิกส่งเสียงประหลาด ๆ เดี๋ยวปั๊ด!”
“เซ็กส์ก็เก็บไว้ให้คนที่รักสิครับ”
“โถ...นายหลุดมาจากยุคแปดสิบหรือไง หวงตัวอย่างกับผู้หญิง ไม่เก็บไว้ตอนแต่งงานไปเลยล่ะ”
“ก็คิดอยู่”
“เออ เอาให้ฟอสซิลแดกกันไปข้าง” จงอินขยับปากบ่นอุบอิบ หมั่นไส้ไอ้เด็กนี่จริง ๆ มันเกิดมาเพื่อกวนตีนเขาแท้ ๆ
“แล้วช่วยตัวเองครั้งแรกเมื่อไหร่”
“...”
“เอ้าเงียบ เกิดอาการใบ้แดกแบบฉับพลันเหรอครับน้อง”
“ผมแค่คิดว่าทำไมต้องมานั่งคุยเรื่องทะลึ่งแบบนี้กับคุณตอนใกล้จะตายด้วย”
“เอ้า เป็นผู้ชายคุยเรื่องเอากันมันแปลกตรงไหน?”
“...”
“เออ เอาจริงนะ ชายแท้หรือชายเทียมวะ?”
“อย่าคิดว่าคนอื่นจะเหมือนตัวเองสิครับ” เซฮุนขมวดคิ้วน้อย ๆ เขารู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดคำจาของผู้ชายคนนี้จริง ๆ
“หมายความว่าไง”
“เปล่าครับ” ตัดสินใจปิดบทสนทนานี้ไปซะ ตอนแรกเขาก็เหงาหรอกที่ต้องนั่งอยู่คนเดียวในห้องเก็บของรก ๆ แบบนี้ อยากคุยกับใครสักคนก่อนตายแต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว
“อาทิตย์ล่ะกี่ครั้ง”
“ครับ?”
“ช่วยตัวเองน่ะ อาทิตย์ละกี่ครั้ง...”
“นี่คุณ!”
.
.
“...”
ร่างเล็กยืนมองกองดินที่เพิ่งถมทับลงไปหลังจากที่เขาประคองร่างพี่ชายเพียงคนเดียวลงไปอยู่ในนั้น ท้องฟ้าเป็นสีส้ม...ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน ลมเย็นพัดผ่านมันทำให้คนที่เพิ่งพบเจอความสูญเสียรู้สึกเศร้ายิ่งกว่าเดิม
ขอบตาร้อนผ่าว น้ำตาอุ่น ๆ ไหลลงตามแก้มมอมแมมก่อนที่เขาจะทรุดเข่าลงกับพื้นโดยที่ไม่กลัวเจ็บ ร่างเล็กฟุบหน้าลงกับหลุมศพที่เพิ่งฝังเสร็จไปเมื่อครู่แล้วปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก ทุกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเดินเอาดอกไม้มาวางไว้บนหลุมศพทีละคน จงอินเป็นคนสุดท้ายที่เดินเข้าไป เขานั่งลงข้าง ๆ คนตัวเล็กพร้อมกับวางมือลงบนหัวทุยที่กำลังร้องไห้อย่างหนัก
เสียงร่ำร้องถึงพี่ชายที่เพิ่งจากไปหลุดออกมาจากปากแบคฮยอนนับครั้งไม่ถ้วน จงอินบีบไหล่แล้วโน้มตัวไปกระซิบปลอบใจคนตัวเล็กอยู่นานกว่าแบคฮยอนจะตัดใจลุกขึ้นมาได้
“ร้องออกมาให้หมด ไม่มีใครห้ามนายทั้งนั้น...แต่ว่านายจะอยู่ตรงนี้ทั้งวันทั้งคืนไม่ได้นะแบคฮยอน...” ร่างหนากระซิบคนที่อยู่ในอ้อมกอดเขา แบคฮยอนดูไร้เรี่ยวแรงเพราะสภาพจิตใจและสภาพร่างกายที่โหมหนักมาทั้งวันโดยที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย
“พี่แบคโฮ...”
“กลับเข้าบ้านกันนะ แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยมาใหม่”
“...” ลู่หานกับคนอื่น ๆ ได้เพียงแค่มองตามจงอินที่กำลังประคองร่างแบคฮยอนเข้าไปในบ้าน
“ทีไอ้จงอินเสือกไม่ด่า” ลู่หานบ่นอุบอิบ
“ทำไม อิจฉาเหรอ?” เป็นอี้ฟานที่ถามขึ้นมา ร่างโปร่งเอี้ยวหน้าหันกลับไปมองร่างสูงก่อนจะเลิกคิ้วมอง
“ใคร ใครอิจฉา? ทำไมผมต้องอิจฉาไอ้ดำมันด้วย ผมไม่ได้ชอบแบคฮยอนนะ”
“ผมยังไม่ได้พูดสักคำว่าคุณชอบแบคฮยอน...” ทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้พร้อมกับรอยยิ้มแล้วเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับชานยอล ดูเหมือนว่าสองคนนั้นกำลังคุยกันเรื่องปืนอยู่ มันสองคนไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่กันวะ
แต่เดี๋ยว...ทำไมจู่ ๆ ถึงรู้สึกว่ากำลังถูกมองว่าเขาชอบแบคฮยอนอยู่ล่ะ?
บ้าบอน่า!
.
.
ก๊อก ๆ
“...”
ก๊อก ๆ
ประตูเปิดออกพร้อมกับสีหน้าอิดโรยของคนตัวเล็ก ทั้งคู่จ้องหน้ากันอยู่แค่ชั่วอึดใจแล้วก็กลายเป็นแบคฮยอนที่เอ่ยปากถามขึ้นมาก่อน
“มีอะไร...”
“คุณทานข้าวบ้างหรือยัง”
“ผมไม่หิว...”
“แต่คุณควรจะทานอะไรบ้าง” ร่างสูงยื่นจานขนมปังทาแยมที่ลู่หานหามาได้ให้กับคนตัวเล็กแต่แบคฮยอนกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“ผมไม่อยากกิน...”
“คุณไม่ได้ทานอะไรมาทั้งวันแล้ว”
“ช่างมันเถอะ” แบคฮยอนทำท่าจะปิดประตูแต่ร่างสูงเอามือขวางเอาไว้
“คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
“คุณจะสนใจทำไม ตอนที่ภรรยาคุณตาย คุณไม่กินอะไรเป็นอาทิตย์คุณก็ยังอยู่ได้”
“...”
“กลับไปเถอะ ผมจะนอน” แบคฮยอนปิดประตูใส่หน้าร่างสูงจนเจ้าตัวพูดไม่ออก มันก็ถูกอย่างที่คนตัวเล็กพูด ตอนที่ภรรยาของเขาเพิ่งจากไปปาร์คชานยอลก็กินอะไรไม่ได้เป็นอาทิตย์ เขาเข้าใจถึงความสูญเสีย แต่คนเราก็เป็นอย่างนี้ ตัวเองทำได้แต่คนอื่นห้ามทำ
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งเรียกสติคนตัวเล็กที่นอนเหม่ออยู่บนเตียงให้หันไปมอง แบคฮยอนเอาหมอนอุดหูเอาไว้ เขาอยากอยู่คนเดียวไม่เข้าใจหรือไงนะ?
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะประตูยังคงลอดเข้ามาให้ได้ยินแม้ว่าเขาจะเอาหมอนอุดหูไว้แล้วทั้งสองข้าง บยอนแบคฮยอนลุกขึ้นนั่งมุ่ยหน้าแล้วมองไปยังประตูจนกระทั่งเสียงนั้นเงียบหายไป
ไปซะได้ก็ดี...
สุดท้าย...ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูห้อง แล้วสิ่งที่ทำให้ต้องประหลาดใจนั่นก็คือปาร์คชานยอลที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น แต่มันแปลกตาขึ้นมาหน่อยคือตรงที่ร่างสูงถือกล่องยาติดมือมาด้วย
“คุณไม่ทานข้าวก็เรื่องของคุณ แต่รอยแผลนั้นผมต้องรับผิดชอบ” ร่างสูงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะมองรอยช้ำตรงมุมปากแบคฮยอน
“...”
“...”
“ผมทำเอง” แบคฮยอนเอื้อมมือไปข้างหน้าหวังจะรับกล่องพยาบาลมาถือแต่ชานยอลกลับยื้อเอาไว้
“ถ้าทำเสร็จแล้วผมจะออกไปจากห้องคุณทันที”
.
.
“จะเอายังไงกับเด็กคนนั้น?” อี้ฟานถามขณะที่เขากับจงอินและลู่หานนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น
“ไม่รู้ว่ะ แต่นี่ก็จะเข้าวันที่สามแล้วนะ เด็กนั่นยังไม่เปลี่ยนอีก มึงเคยเจอเคสนี้ป่ะวะลู่หาน?”
“ไม่เคย หรือว่าเซฮุนมันไม่ได้ถูกกัดวะ? แต่จะว่าโดนอย่างอื่นมาก็คงไม่ใช่” ลู่หานขมวดคิ้วทำหน้าครุ่นคิด
“มันถูกกัดจริง ๆ กูทำแผลให้กับมือ ถ้านั่งนับรอยฟันได้กูทำไปแล้ว”
“แล้วเราจะขังเขาไปถึงเมื่อไหร่? อาการก็ดูปกติดี ไม่เหมือนคนกำลังติดเชื้ออะไร” อี้ฟานพูด
“แต่ถ้าปล่อยมาเดินเหินก็อันตรายนะ เกิดจู่ ๆ แม่งเปลี่ยนขึ้นมาตอนนั่งกินข้าวได้ชิบหายกันทั้งแผ่นดิน” ลู่หานเหยียดขาลงกับโต๊ะแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟา
“อาการของคนที่ใกล้จะเปลี่ยนจากที่กูเห็นคือถ้าไม่ตายห่าในทันทีเพราะโดนแดกเลยก็ต้องมีอาการไข้ขึ้นสูงก่อน เหงื่อออก ไม่มีแรง หลับไปแล้วตื่นมาไล่กวดคนอืน” จงอินสาธยายในสิ่งที่เขาเคยพบเจอมา
“หมายความว่าไม่มีทางที่จู่ ๆ เขาจะเปลี่ยนไปในทันทีใช่ไหม?” อี้ฟานถามและจงอินก็พยักหน้าเป็นคำตอบ
“หนึ่งเสียงว่าปล่อยหมอนั่น พอถึงเวลานอนก็ขังไว้ในห้อง”
“ไม่ต่างอะไรจากนักโทษเลยว่ะ เห็นงั้นกูก็สงสารอยู่” ลู่หานส่ายหน้าเบา ๆ
“แล้วตอนนี้เราเลือกอะไรได้บ้าง แม่งใช้ชีวิตอยู่กับความเสี่ยงทั้งนั้น” จงอินถอนหายใจ
.
.
สำลีชุบเบตาดีนค่อย ๆ แตะลงบนริมฝีปากบาง แบคฮยอนสะดุ้งน้อย ๆ ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาหวังจะจับดูแผลแต่ถูกมือแกร่งรั้งเอาไว้
“เดี๋ยวมันอักเสบ”
“...”
ภายในห้องนอนที่มีแสงสว่างจากโคมไฟสีซีเปียตรงหัวเตียงเท่านั้น ทั้งคู่นั่งอยู่ขอบเตียงและปล่อยให้ปาร์คชานยอลทำแผลตามอำเภอใจ รีบทำ...จะได้รีบออกไปสักที
“ผมไม่มีพี่ชายแต่มีพี่สาว”
“...” แบคฮยอนมองหน้าอีกฝ่ายที่ยังคงตั้งใจทำแผลให้กับเขา
“ตอนเป็นเด็กเราสนิทกันมาก เราอยู่ด้วยกันตลอดจนผมได้นิสัยผู้หญิงมาหลายอย่างเลย”
“...”
“ผมทำอาหารเป็น ปักครอสติสเป็นด้วยนะ” เขายิ้มบาง ๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เคยทำร่วมกันกับพี่สาว
“...”
“ผมกับพี่สาวสนิทกันมาก จนวันหนึ่งเธอต้องย้ายไปเรียนต่างประเทศ มันคือจุดเปลี่ยนระหว่างเราสองคน”
“...”
“ผมไม่เคยอยู่คนเดียว ไม่เคยทำอะไรเองตามลำพัง จนกระทั่งไม่มีเธอ ผมถึงได้เริ่มทำอะไรด้วยตัวเอง”
“แล้วตอนนี้เธอเป็นยังไง”
“...” ชานยอลเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่กำลังพูดกับเขา ร่างสูงเก็บอุปกรณ์ใส่ในกล่องให้เรียบร้อย
“เธออยู่โซล...หรือว่าอยู่ต่างประเทศ?” แบคฮยอนถามต่อ ร่างสูงยิ้มบาง ๆ เป็นคำตอบขณะสบตากับคนตัวเล็ก
“อยู่ในงานแต่งงานของผม...”
“...” ร่างเล็กพูดไม่ออกเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าหมองของร่างสูง...ชานยอลลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องก่อนจะหันมายิ้มบาง ๆ ให้กับเขา
“ราตรีสวัสดิ์”
ปัง...
เสียงประตูปิดลงพร้อมกับความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาเต็มอก มือเล็กเสยผมขึ้นก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน สิ่งที่ปาร์คชานยอลเล่าให้ฟังเขาพอจะสัมผัสได้ว่าร่างสูงฝืนใจที่จะพูดถึง แต่ที่คนเย็นชาแบบนั้นยอมพูดมันออกมา...ก็เพื่อที่จะปลอบให้เขาเข้มแข็งขึ้นใช่ไหม?
คนที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เพียงแค่บยอนแบคฮยอนคนเดียว แต่ยังมีปาร์คชานยอลที่สูญเสียครอบครัวและคนรักของเขา อู๋อี้ฟานที่สูญเสียภรรยาและลูกสาวไปและผู้คนอีกมากมายที่ต้องพบเจอโศกอนาถกรรมนี้
หยดน้ำตาอุ่นไหลลงมาอีกครั้งหลังจากที่มันเหือดหายไปแล้วเมื่อก่อนหน้านี้ ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันพลางกำผ้าปูที่นอนไว้แน่น...
‘แบคฮยอนอา~ เลิกช้าแล้วทำไมไม่บอกพี่ล่ะ’
‘จะขี่หลังเหรอ? ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ (หัวเราะ)’
เข้มแข็งไว้สิบยอนแบคฮยอน...เข้มแข็งเอาไว้...
.
.
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา...
“หาว~” ลู่หานบิดตัวเต็มองศาพร้อมกับเดินเข้าไปในครัวแล้วก็พบกับปาร์คชานยอลกำลังยืนทำมื้อเช้าอยู่ หลายวันแล้วที่หมอนี่อาสาเป็นคนทำอาหารให้เพราะฝีมือของลู่หานมันช่างสมเต่าถุยจนหมาไม่แดก ร่างโปร่งนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเอาหน้าแนบกับโต๊ะก่อนที่คนอื่น ๆ จะทยอยเข้ามาในครัว
“อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์”
การกล่าวทักทายแบบขอไปทีเป็นแบบนี้มาตลอดหนึ่งอาทิตย์ บรรยากาศมาคุ ดราม่าเรื้อรังหลังจากที่บยอนแบคโฮจากไปแต่ก็ยังดีที่แบคฮยอนยอมลงมากินข้าวแทนที่จะฝังตัวเองไว้ในห้องอย่างที่เขาคิดเอาไว้
และแขกหน้าใหม่ที่เข้าร่วมโต๊ะอาหารเป็นวันที่สามแล้วก็คือโอเซฮุน มันเป็นเรื่องน่าประหลาดที่พวกเขาค้นพบว่าเซฮุนไม่มีการติดเชื้อหลังจากถูกกัดเหมือนคนอื่น ๆ พวกเขาใช้เวลาปรึกษาเรื่องนี้กันอยู่ครึ่งค่อนวันจนกระทั่งตัดใจทิ้งไปเพราะยังไงก็ไม่มีทางช่วยอะไรได้ ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนเซฮุนเสียเมื่อไหร่ ยังไงซะ...มันก็คือเรื่องดีที่เด็กนี่ยังไม่ตาย
“วันนี้เราต้องออกไปหาเสบียง”
“...” แบคฮยอนหยุดชะงักเมื่อได้ยินประโยคนี้ เหตุการณ์เมื่อวันนั้นมันผุดเข้ามาในหัวอย่างห้ามไม่ได้ เหตการณ์วันที่แบคโฮถูกกัด...ก็คือวันที่เขาออกไปหาเสบียงมาให้ทุกคน...
“จะมีใครไปกับผมไหม?” อี้ฟานถามความสมัครใจ เพราะครั้งนี้คงไม่มีการเสี่ยงดวงจับไม้สั้นไม้ยาวกันอีก
“ผมจะไปกับคุณ” ชานยอลพูดแล้วเทข้าวผัดในกระทะลงบนจานให้ทีละคน
“มีใครอีกหรือเปล่า จงอิน คุณว่าไง?”
“ได้ งั้นเดี๋ยวฉันจะไปเช็คสภาพรถรอแล้วกัน” ร่างหนาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินหายไปทางหลังบ้าน
“แบคฮยอน”
“อะไร”
“อยู่กับเซฮุนที่นี่นะ” ลู่หานหันไปมองคนตัวเล็กที่นั่งมองจานข้าวเฉย ๆ
“ไม่ ผมจะไปด้วย”
“ไม่ต้องเลย จะแห่กันไปทำไมเยอะแยะ รถคันนึงนั่งได้สิบคนเหรอ” ลู่หานดุแบคฮยอนแล้วขยี้หัวเบา ๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว
“งั้นให้ฉันไปแทนนายสิ”
“ไม่ให้ไป เซฮุน ฝากดูแบคฮยอนด้วยนะ ถ้าดื้อก็เอาโซ่ล่ามไว้เลย” ลู่หานฝากฝังเด็กเจ้าปัญหาไว้กับคนที่นั่งเงียบ ๆ อยู่มุมโต๊ะ เซฮุนพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะหันไปสนใจกับมื้อเช้า
“เราต้องรีบไปเพราะเป้าหมายอยู่ลึกยิ่งกว่าคราวที่แล้ว”
“ใช้เวลาเดินทางเท่าไหร่?” ชานยอลถาม
“เกือบสามชั่วโมงโดยประมาณ”
“นั่งจนตูดเป็นสี่เหลี่ยมกันเลยทีเดียว” ลู่หานพูด
“แล้วจะให้ผมกับเซฮุนรออยู่ที่นี่เฉย ๆ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลยงั้นเหรอ?” แบคฮยอนแย้งขึ้นมา
“ถ้าคุณอยากทำ ก็ถางหญ้าตรงหน้าบ้านแล้วกัน มันสูงขึ้นมากแล้ว”
“ถางหญ้า?”
“อืม” อี้ฟานปิดบทสนทนาแล้วเดินออกไปข้างนอก เหลือเพียงแค่เขาสี่คนที่ยังอยู่ในห้องครัว
.
.
“เฝ้าบ้านดี ๆ นะน้องหมา” ลู่หานโผล่หน้าออกมาจากรถพร้อมกับโบกมือลาเด็กหนุ่มทั้งสองที่ยืนมองพวกเขาอยู่หน้าบ้าน
“ว่าใครหมา?”
“ว่าเซฮุนไง! น้องหมาที่ถูกขังไว้ในกรง อย่าดื้ออย่าซน แต่งหล่อรอพี่กลับบ้านนะครับคนดี” ลู่หานทำท่าโปรยจูบก่อนจะอ้าปากหวอเมื่อกระจกรถค่อย ๆ เลื่อนขึ้นจนต้องรีบกลับเข้าไปในรถเพราะฝีมืออี้ฟาน
รถกระบะสีดำเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้า ๆ เหมือนกับวันนั้น...ทำไมถึงใจไม่ดีแบบนี้นะ เขากลัวจริง ๆ กลัวว่าจะต้องเสียใครไปอีก...
“เราจะเริ่มถางหญ้ากันตอนนี้เลยไหม?” เซฮุนถามทำลายความเงียบขึ้นมาหลังจากที่รถคันนั้นลับสายตาไปแล้ว แบคฮยอนหันมามองคนข้าง ๆ แล้วพยักหน้า
“นายอายุเท่าไหร่”
“สิบแปดปีนี้” เซฮุนตอบ ทั้งคู่หันหลังให้กันและกันแล้วใช้มีดตัดหญ้า
“งั้นก็อายุเท่ากันเลยสิ”
“แต่นายหน้าเด็กกว่าฉันนะ”
“จะหาว่าฉันนิสัยเด็กด้วยก็บอกมาเถอะ” แบคฮยอนพูดทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาถางหญ้าอยู่อย่างนั้น
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย นายเป็นคนชอบคิดไปเองแบบนี้แต่ไหนแต่ไรแล้วหรือไง?”
“ก็ทุกคนทำให้ฉันคิดแบบนี้”
“พูดว่าทุกคนได้ยังไงในเมื่อฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้คิดแบบนั้น อย่าเหมารวมสิ”
“ขี้บ่นจัง มนุษย์ประหลาด”
“อะไร?”
“โดนกัดพร้อมกันกับพี่ชายฉัน แต่นายกลับรอด มันน่าหมั่นไส้ไหมล่ะ”
“ขอโทษที่ไม่ตายแล้วกันนะ” เป็นครั้งที่สองที่เขาต้องพูดประโยคนี้ ทั้งคิมจงอิน ทั้งบยอนแบคฮยอน พวกเขาสองคนทำให้คิดว่าคนที่น่าจะตายควรเป็นเขาไม่ใช่บยอนแบคโฮ
“ล้อเล่นนะ ไม่โกรธใช่ไหม?”
“อืม”
“นายโกรธ”
“เปล่า ไม่ได้โกรธ”
“ขอโทษแล้วกัน”
“เวลาจะขอโทษคนอื่นควรแสดงความจริงใจให้มากกว่านี้สิ ไม่ใช่พูดแบบส่ง ๆ ไป คนฟังเขาจะรู้สึกไม่ดีเอา”
“ไหนบอกว่าไม่ได้โกรธไง?”
“ก็ไม่ได้โกรธ แค่บอกให้ฟังว่าไม่ควรพูดแบบนั้น”
“อือ ฉันก็เป็นคนแบบนี้แหละ เลยไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนด้วย”
“อย่าคิดแบบนั้นสิ ถ้ารู้ว่าตัวเองมีข้อเสียตรงไหนก็ควรจะปรับปรุง ไม่ใช่ตัดพ้อว่านายเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ใครจะรับได้ไม่ได้ก็เรื่องของมัน”
“ฉันไม่ได้พูดสักหน่อยว่าใครรับไม่ได้ก็เรื่องของมัน”
“แต่สิ่งที่นายพูดมันทำให้คิดแบบนั้นนี่...”
“โอเค ฉันผิดเองแหละ ฉันขอโทษ นี่ไม่ได้ประชดนะ”
“ฮ่า ๆ โอเค...ฉันให้อภัย” ทั้งคู่ลอบยิ้มทั้งที่ไม่หันไปมองหน้ากัน ต่างคนต่างตั้งใจทำหน้าที่ ๆ ได้รับมอบหมาย ถึงความเสี่ยงจะไม่เท่ากับคนอื่น ๆ แต่เขาสองคนก็จะทำในส่วนที่ช่วยได้ เขาไม่อยากรู้สึกไร้ค่าอีกต่อไปแล้ว
ทั้งคู่หัวเราะกับเรื่องตลกที่ผลัดกันเล่าให้ฟังจนลืมความโศกเศร้าไปชั่วขณะ...หากแต่เขาทั้งสองคนไม่รู้เลยว่า...มีคนกลุ่มหนึ่งแอบมองเขาอยู่ห่าง ๆ
บุคคลปริศนากระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะให้สัญญาณคนข้าง ๆ ให้ถอยรถกลับไป...วันนี้เขาได้ข่าวใหม่ไปบอกลูกพี่แล้ว...เห็นทีวันนี้คงมีเรื่องสนุกให้ทำ
“รีบกลับค่าย...ไปบอกลูกพี่ว่าไอ้เหี้ยเซฮุนมันยังไม่ตาย...”
TBC
มาแล้วค่า~~~~
ตอนนี้ไม่ค่อยมีอะไร แลจะน่าเบื่อหน่อย ๆ นะคะ
ตอนหน้าจะเป็นยังไง ดูเหมือนว่าแบคฮยอนกับเซฮุนจะงานเข้าแล้วล่ะ แล้วพวกนั้นจะทำอะไร อย่าลืมติดตาม #ficzombie นะคะ~~~
ถ้าชอบฝากกดโหวต หรือจะคอมเมนท์แนะนำติติงได้เสมอนะคะ มลินเปิดใจรับค่ะ มลินเป็นนักเขียนอ่อนหัด ถ้าเขียนไม่ถูกใจยังไงขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ (กราบตัก)
ความคิดเห็น