คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #68 : Chapter 64 :: Bad Santa
Chapter 64
Bad Santa
ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังยุ่งอยู่กับการตกแต่งบ้านให้เข้ากับบรรยากาศในวันคริสต์มาส หวงจื่อเทาก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเพื่อทำการแลกห้องกับมินซอกอย่างเป็นทางการหลังจากทนนอนเบียดกันสามคนบนเตียงห้าฟุตอยู่หลายวัน เขาไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องที่พักอาศัย สำหรับเด็กผู้ชายอย่างหวงจื่อเทาแล้วให้นอนพื้นเย็น ๆ ก็ยังได้ เพราะฉะนั้นมันเลยไม่มีข้อกังขาใด ๆ กับคำขอแลกเปลี่ยนห้องของมินซอก
แต่พอเข้ามาในห้องซึ่งเต็มไปด้วยความว่างเปล่า นั่นไม่ได้หมายถึงวัตถุสิ่งของที่ถูกตกแต่งภายในห้องแต่มันหมายถึงความรู้สึกของเขาต่างหาก กระเป๋าเป้ที่มีเสื้อผ้าแค่ไม่กี่ชุดถูกเขวี้ยงอัดกับผนังอย่างแรงก่อนจะตกลงไปกองกับพื้น เด็กตัวสูงเสยผมขึ้นอย่างหัวเสยก่อนจะหลับตาลงเพื่อสงบสติอารมณ์
“ไม่เอาแบบนี้ดิห่า...ใจเย็น...ใจเย็น”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หวงจื่อเทาหงุดหงิดตัวเองแบบนี้ มันหลายครั้งแล้วที่เขาสติแตกเพราะเห็นสองคนนั้นอยู่ด้วยกัน จับมือกัน หยอกล้อกัน ซึ่งมันก็ไม่ผิดเลยสักนิด เพราะถ้าจะผิดก็คงเป็นผู้ชายปากหมาอย่างเขาที่เอาแต่ทำตัวบ้าบอคอแตกไปวัน ๆ แล้วมาแอบนอยด์แดกลับหลังโดยที่ไม่มีใครรู้นี่แหละ
“ห่าเอ้ย”
“มีอะไรให้ช่วยเปล่า” เสียงผู้มาใหม่เรียกความสนใจเด็กตัวสูงให้หันกลับไปมองแล้วก็พบว่าคน ๆ นี้ไม่ใช่ใครนอกจากเจ้าของห้องที่จะกลายเป็นรูมเมทเขาตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
“ช่วยตัวเองก่อนเหอะ” เทาเก็บกระเป๋าที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า ลู่หานเบ้ปากแล้วหลุบสายตาลงมองขวดเบียร์กับขนมขบเคี้ยวในมือ
“เออ มึงพูดถูก” ว่าแล้วก็ยกเบียร์กระดกย้อมใจอีกสักหน่อย ชีวิตตัวเองยังเอาไม่รอดยังสาระแนไปช่วยคนอื่นอีก ลู่หานนี่มันลู่หานจริง ๆ
ตอนนี้มีเพียงแค่เสียงกุกกักตรงตู้เสื้อผ้าเท่านั้นที่ทำลายความเงียบภายในห้องนอน เทาหันหน้าเข้าหาคนที่นั่งทำหน้าหมดอาลัยตายอยากอยู่ขอบเตียงแล้วก็อดที่จะถามไม่ได้
“มึงมานั่งทำอะไรตรงนี้วะ” ปกติเห็นสุมหัวดูดหรี่กับไอ้เชี่ยจงอินอยู่บ่อย ๆ คนกำลังงิด ๆ เสือกมานั่งทำตัวเตี้ยอยู่ได้
“ไม่มีที่ยืนสำหรับคนชอบพยายามทำเรื่องไม่เป็นเรื่องกูก็เลยระเห็จมาอยู่นี่ไง” ตอนนี้ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของลู่หานต่างนัดกันเอื่อยเฉื่อย เทาหรี่ตามองไอ้เจ๊กรุ่นพี่ตัวเตี้ยที่กำลังถอนหายใจซะเสียงดังแล้วต่อมเสือกก็กลับมาทำงาน
“เป็นไรวะ...” เด็กตัวสูงปิดประตูตู้เสื้อผ้าแล้วตีเนียนมานั่งข้าง ๆ เอาเถอะ...อย่างน้อยการเสือกเรื่องชาวบ้านก็ทำให้เขาหายจิตตกไปได้บ้าง
“มินซอกว่าไงบ้างตอนขอแลกห้องกับมึง?” ผินหน้าไปแค่นิดเดียวทั้งที่ไม่หันไปมองอีกฝ่าย เทาล้วงมือเข้าไปในซองขนมขบเคี้ยวแล้วก็หยิบใส่ปาก
“จะต้องว่าไงอ่ะ ก็แค่ถามว่าแลกห้องกันได้ไหม?”
“แล้วมึงก็ตกลง?”
“เอ้า? แล้วมีเหตุผลอะไรที่กูจะต้องปฏิเสธล่ะครับ ‘ไม่แลกหรอก กูอยากนอนกอดอี้ชิง’ งี้เหรอ?” เทาเลิกคิ้วขึ้นมองคนข้าง ๆ ที่กำลังปั้นหน้าไม่พอใจก่อนจะเอากล้องดิจิตอลออกมา
“ถ้ามึงตอบแบบนั้นมันจะดีนะ” ลู่หานยังคงทำตาลอย ก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายจังไรอย่างมัน แต่ถ้าจะปล่อยไปเฉย ๆ ก็ยังไงอยู่ จะบอกว่าเป็นห่วงก็คงไม่ใช่เพราะนี่คือความเสือกล้วน ๆ
“มึงเล่าให้กูฟังได้นะเว้ย...” ประโยคปลายเปิดของมนุษย์ขี้เสือก เรื่องดราม่าของตัวเองเอาไว้ก่อน ด้วยอุดมการณ์อันแน่วแน่ว่าการเสือกมันคือวิถีเพราะฉะนั้นเขาต้องสานต่อให้สำเร็จ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้สนใจหรอกว่ามินซอกขอแลกห้องทำไมแต่ตอนนี้เขาชักจะอยากรู้ขึ้นมาแล้ว
“กูก็อยากเล่านะแต่...” ลู่หานถอนหายใจพลางหันไปมองเด็กเขียวข้าง ๆ ที่ทำหน้าพร้อมจะกลืนคำตอบของเขาเข้าระบบความทรงจำในสมอง “นี่กูจนตรอกถึงขนาดต้องหันมาพึ่งมึงแล้วเหรอวะ”
“เอ้าสัด พูดแบบนี้เข่ากูถึงกับกระตุก” เทามองหน้าหาเรื่องแล้วยกขาขึ้นโชว์ ลู่หานถอนหายใจอีกครั้งและแน่นอนว่าการกระทำแบบนี้มันทำให้เด็กตัวสูงเสียเซลฟ์พอสมควร จริงอยู่ที่หวงจื่อเทาไม่ใช่คนดีอะไรแต่ถ้าคนอย่างเขาอุตส่าห์ยื่นมือยื่นขาเข้ามาช่วย(เสือก)แบบนี้แสดงว่าห่วงสุด ๆ แล้ว
“กูเล่าไม่ได้ว่ะ”
“...”
“มึงเคยมีเรื่องที่พูดกับใครไม่ได้ป่ะวะ?” ลู่หานไล้ปากขวดเบียร์ด้วยนิ้วหัวแม่มือ เด็กตัวสูงชะงักไปกับคำถามแทงใจ พอเห็นรูมเมทคนใหม่ไม่ตอบคำถามเลยหันไปแล้วก็พบว่าเทากำลังนั่งนิ่งอยู่
“มี” เสียงแผ่วลงกว่าประโยคก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มถูจมูกตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหันหน้าเข้าหาอีกคน “ตอนนี้กูก็เป็นอยู่”
“เป็น?”
“เออ”
“หนังหน้าอย่างมึงน่ะนะ?”
“หนังหน้าอย่างมึงด้วย” เทาชี้หน้าอีกฝ่าย หนุ่มชาวจีนทั้งสองมองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ลู่หานเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วเด็กตัวสูงก็ทำตามประหนึ่งส่องกระจก ถึงจะไม่ค่อยมีบทสนทนาอย่างเป็นจริงเป็นจังมาก่อนแต่พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วเขาทั้งคู่ก็ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน
“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรเอาเป็นว่ามึงต้องสู้นะ มึงยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ อย่าเป็นเหมือนกู” ลู่หานตบหลังเทาปั่ก ๆ เด็กตัวสูงหรี่ตามองรุ่นพี่ที่เขาไม่รู้ว่าอายุเท่าไหร่แล้วก็เอนหลังเล็กน้อยพลางหรี่ตา “ตั้งแต่เกิดมายี่สิบกว่าปี กูไม่เคยรู้สึกว่าเรื่องไหนแม่งยากเลยนอกจากการเข้าใจคนอื่น”
“ทะเลาะกับมินซอกเหรอวะ” พอเห็นมันเกริ่นขึ้นมาแล้วประเด็นแรกที่น่าจะเป็นไปได้คือเรื่องนี้ ในทีแรกก็สงสัยหรอกว่าทำไมไอ้ลู่หานถึงอยู่กับมินซอกได้ทั้งที่นิสัยต่างกันคนละขั้วขนาดนั้น คนหนึ่งก็ปากบอนอีกคนก็เงียบกริบแต่พอได้พูดก็เหมือนวาจาสั่งตาย เจ็บแสบเลือดซิบกันไปข้าง
“กูไม่เล่า”
“เอาน่า...มาถึงขนาดนี้แล้วเผื่อมีไรที่ช่วยได้กูจะได้ช่วยไง” เทาหรี่ตามองอีกคนยิ้ม ๆ ถามว่าจะช่วยอย่างที่พูดไหมก็คงตอบว่าไม่...จริง ๆ แล้วกูก็แค่อยากเสือกเท่านั้น
ลู่หานไม่ยอมปริปากทั้งที่มีคนตั้งหน้าตั้งตารออยู่ เขาเอาแต่กระดกเบียร์อึก ๆ แล้วผละออกมาเรอซะเสียงดัง เทามองอีกคนอย่างเวทนา นาทีนี้ไม่ต่างอะไรจากพระเอกละครหลังข่าวทั้งสองช่องโคจรมาเจอกัน
“ไม่มีใครช่วยกูได้หรอก” นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่มีโอกาสได้คุยกับมินซอกตั้งหลายนาทีโดยที่เจ้าตัวไม่ใจร้ายเดินหนีไปซะก่อน ลู่หานถึงได้รู้ว่าเรื่องระหว่างเขากับมินซอกมันมาไกลมากเกินกว่าที่จะกลับไปแก้ไขได้อย่างง่าย ๆ
คำปลอบของเพื่อนสนิทอย่างจงอินเขาขอคิดว่ามันคือคำสอน ทุกประโยคที่มันพูดมาก็ถูกแทบจะทั้งหมด ผู้ชายอย่างลู่หานเป็นคนดี เป็นคนรักเพื่อน และเป็นได้ทุกอย่างยกเว้นแฟนที่ดี
“นอกจากเวลา”
“ระวังตก”
“รู้แล้วน่า ไปช่วยคนอื่นสิจะมายืนเฝ้าฉันทำไม” อึนจีก้มลงมองแบคฮยอนที่กำลังแหงนหน้ามองเธอติดพู่หลากสีตรงประตูทางเข้าบ้านพักหลังแรกพร้อมกับจับเก้าอี้ไว้แน่นราวกับกลัวว่าเธอจะตกลงไป
“ให้ฉันอยู่ด้วยนะ” แบคฮยอนลดสีหน้าลง แววตาที่เคยยิ้มก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงทั้งที่ระยะเวลาห่างกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ อึนจีกระโดดลงจากเก้าอี้แล้วมองหน้าคนที่กำลังส่งสายตาขอร้องแล้วก็ด่าไม่ออก
“เป็นไรเนี่ย” ยังไงความเป็นเพื่อนก็ต้องมาก่อน เธอถามเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนมีเรื่องอึดอัดในใจด้วยความเป็นห่วง
“ต้นเหตุมาจากอะไรไม่สำคัญหรอก แค่ฉันอยู่กับเธอแล้วรู้สึกปลอดภัยน่ะ” แบคฮยอนยิ้มบาง ๆ
“นี่ไม่ใช่การหยอดใช่ไหม?” อึนจีหรี่ตามองคนตรงหน้า ประโยคแปลก ๆ ที่หมอนี่พูดออกมาฟังยังไงมันก็ไม่เหมือนวิธีจีบสาวเลยสักนิดเดียว
“ไม่ได้หยอด” แบคฮยอนจ้องหน้าอึนจีแล้วหยิบค้อนกับตะปูขึ้นมาก่อนจะขึ้นไปเหยียบบนเก้าอี้ “เธอกำลังเข้าใจผิดอยู่แน่ ๆ” เด็กหนุ่มยิ้มพลางก้มลงมองอีกคนที่มือข้างหนึ่งจับเก้าอี้ไว้เป็นหลักส่วนมืออีกข้างก็จับขาเขาเพื่อกันไม่ให้ตกลงมา
“ฉันอาจจะเข้าใจถูกแล้วก็ได้ว่านายรู้สึกอยากให้ฉันปกป้อง” แบคฮยอนหลุดขำออกมา เขาแทบลืมความเศร้าไปชั่วขณะเพียงแค่ได้ยินประโยคนี้
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
“ใช่ชัด ๆ ดูอย่างตอนนี้สิ ช่วยยืนให้มันดี ๆ ได้ไหมเดี๋ยวก็ตกลงมาหัวฟาดพื้นความจำเสื่อมหรอก” อึนจียังคงขยับปากบ่นอุบอิบ
“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็คงดี”
“ว่าไงนะ?”
“อ้อ...เปล่า”แบคฮยอนตอกตะปูโดยที่ไม่พูดอะไรอีก มันคือเรื่องจริงที่เขารู้สึกปลอดภัยเวลาอยู่กับอึนจี อย่างน้อยผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เคยมองเขาด้วยแววตาเย็นชา ถึงความสัมพันธ์จะไม่คืบหน้ามากนักแต่การได้อยู่กับคนที่ไม่ต้องตั้งคำถามให้ตัวเองมันก็คงดีกว่าการอยู่กับคนที่เพียงแค่สบตากันก็รู้สึกกระอักกระอ่วนความอึดอัดเป็นไหน ๆ
ในตอนนี้จะให้เขาอยู่ส่วนไหนของโลกก็ได้ขอแค่ไม่มีปาร์คชานยอล
หิมะขาวเกาะอยู่ตามใบไม้ร่วงลงพื้นเมื่อมือแกร่งปัดออกให้พ้นทาง สองขายังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ไม่สิ...การที่ปาร์คชานยอลเข้ามาในป่าลึกแบบนี้เขามีจุดหมายอย่างหนึ่งที่ตั้งใจว่าจะจัดการมันให้เสร็จในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังยุ่งอยู่กับการตกแต่งบ้านเพื่อฉลองวันคริสต์มาสหลังจากทนใช้ชีวิตอยู่กับความเศร้ามานานเกินครึ่งปี ร่างสูงหยุดยืนกับที่พลางกวาดสายตามองต้นไม้รอบข้างกับโขดหินที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
ก้มลงมองรองเท้าที่ถูกหิมะกลืนลงไปเพียงเล็กน้อย ความเย็นของมันทำให้คิดได้ว่าเขาควรพอแค่นี้ก่อนจะเดินเข้าไปลึกเกินความจำเป็นจนบังเอิญเจอเพื่อนฝูงมีเขี้ยวของจงแดเข้าอย่างไม่ตั้งใจ
ร่างสูงนั่งยอง ๆ ก่อนจะถอดถุงมือไหมพรมสีเทาข้างซ้ายออก ความหนาวเย็นจากสภาพอากาศส่งผลจากมือไปถึงหัวใจได้ไม่ยากนัก แหวนเงินเกลี้ยงที่สวมอยู่นิ้วนางข้างซ้ายคือสิ่งเดียวที่ดึงดูดตายามมองไปยังฝ่ามือ
การถอนหายใจมันกลายเป็นเรื่องที่ปาร์คชานยอลทำได้ดีที่สุดตั้งแต่เมื่อไหร่ แน่นอนว่าความทุกข์ที่อัดอั้นอยู่เต็มอกมันไม่ได้ระเหยไปตามอากาศทุกครั้งที่ทำอย่างนั้น นับวันเขายิ่งหงุดหงิดตัวเองกับสิ่งที่เป็นอยู่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิตกับเรื่องของบยอนแบคฮยอนคนที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงมากที่สุดตั้งแต่ถูกความกลัวครอบงำ
สำหรับคนขี้แพ้ที่เอาแต่หนีปัญหา วันนี้ปาร์คชานยอลควรทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะเป็นบ้าไปเสียก่อน หลายวันมานี้เขานอนได้นานขึ้น กินข้าวได้มากขึ้นซึ่งนับว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีกับการเปลี่ยนตัวเอง การได้พูดคุยกับเซฮุนช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาได้แม้ว่าเขาจะไม่ได้เล่าอะไรให้อีกฝ่ายฟังเลยสักคำ
ถึงจะทำใจมาพอสมควรแล้วแต่พอถึงเวลาก็ยังไม่กล้าลงมือทำในทันที ชานยอลหลับตาลงแล้วหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ถอดแหวนออกจากนิ้วนางข้างซ้าย
ไม่เสียเวลานานไปกว่านั้น มือข้างซ้ายแหวกหิมะออกจนเป็นวงขนาดไม่กว้างและไม่แคบจนเกินไปก่อนจะวางแหวนลงแล้วกลบทับจนมิด ร่างสูงหยัดตัวขึ้นทั้งที่สายตายังไม่ละออกห่างจากพื้นสีขาว ถ้ามัวแต่อาลัยอาวรณ์พนันได้เลยว่าสุดท้ายแล้วปาร์คชานยอลก็คงไม่กล้าทำอย่างที่ตั้งใจไว้
“...”
ขายาวก้าวถอยหลังไปได้แค่สามก้าวก็เอี้ยวตัวหันหลังกลับ วูบหนึ่งมีคำถามแล่นเข้ามาให้หยุดยืนใช้ความคิดว่าสิ่งที่ทำลงไปมันถูกต้องแล้วเหรอกับการทิ้งแหวนแต่งงานเพราะคิดว่ามันคือโซ่ที่ผูกติดเขาเอาไว้ไม่ให้ไปไหน
พอทิ้งไปแล้วรู้สึกดีขึ้นบ้างไหม?
คำตอบก็คือไม่เลย...มันยังเหมือนเดิมทุกอย่าง
ไม่ใช่เขาหรอกหรือที่ล่ามโซ่ไว้กับขาตัวเอง? ความหวาดกลัวที่ไม่ว่าจะมาจากความฝันหรืออะไรก็แล้วแต่ จริง ๆ แล้วมันอาจมาจากจิตใต้สำนึกและความผิดบาปในใจที่ปาร์คชานยอลขังตัวเองเอาไว้ในนั้น
‘ลองมีความสุขกันสักครั้งโดยไม่ต้องพะวงว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง เกิดมาครั้งเดียวจะให้ใช้ชีวิตอยู่กับความกลัวไปจนวันตายเลยเหรอวะ’
เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ รู้สึกโมโหตัวเองที่เลือกจะหนีปัญหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า รอยแหวนตรงนิ้วนางข้างซ้ายยังเด่นชัดไม่ว่าจะมองด้วยตาหรือความรู้สึก ร่างสูงกำหมัดแน่นก่อนจะหันหลังกลับไปที่เดิมแล้วก้มลงกวาดหิมะออกเพื่อหาแหวนสีเงินที่เพิ่งฝังไปเมื่อครู่นี้
ถ้าการเริ่มต้นใหม่ไม่จำเป็นว่าต้องทิ้งความทรงจำเก่า ๆ ไว้ข้างหลังอย่างที่เขาคิดเอาไว้ ความรู้สึกผิดต่อโฮจองและลูกของเขายังคงวนเวียนให้ทุกข์ใจอยู่ไม่จางหายไป แต่ปัญหาหลักไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาจะลืมมันด้วยวิธีไหนแต่มันอยู่ที่ว่าเขาจะอยู่กับมันยังไงให้เจ็บปวดน้อยที่สุดสิถึงจะถูก
โฮจองไม่ผิด แบคฮยอนก็ไม่ผิดเช่นกัน...
ถ้าจะถามหาคนผิดก็คงเป็นคนที่เริ่มต้นและทำให้ทุกอย่างมันแย่ลงอย่างผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอลเพียงคนเดียวเท่านั้น
อากาศข้างนอกหนาวเหน็บและถูกปกคลุมไปด้วยหิมะที่กำลังตกลงมาเพิ่มบรรยากาศในคืนวันคริสต์มาสอีฟ ภายในบ้านถูกตกแต่งด้วยพู่หลากสีไปจนถึงเทียนที่จุดอยู่โดยรอบเพื่อให้ความสว่าง เด็ก ๆ กำลังสนใจรูปโพลารอยด์ที่ถ่ายเล่นกันตั้งแต่เมื่อกลางวัน มีทั้งรูปที่เก๊กท่าพร้อมและรูปตอนทีเผลอ ทุกรูปล้วนเรียกรอยยิ้มจากพวกเขาได้เป็นอย่างดี
กาฮีเลิกคิ้วมองสมาชิกใหม่ที่กำลังยืนมองเธอตาปริบ ๆ ด้วยความสงสัยก่อนจะวางจานกับแกล้มลงบนโต๊ะซึ่งมีชายหนุ่มหกคนนั่งดื่มเหล้ากันอยู่ฝั่งตรงข้ามจุดที่เด็ก ๆ นั่งล้อมวงกันอยู่ ซูโฮยิ้มตาหยีพร้อมกับยื่นการ์ดสีน้ำตาลอ่อนให้แล้วเธอก็รับมาถือไว้อย่างงง ๆ
“การ์ดวันคริสต์มาสครับคุณครูกาฮี”
“ขอบใจมากนะจ้ะ” ครูสาวยีหัวเด็กน้อยแล้วละมือออกมา เธอยืนนิ่งพลางยิ้มแห้ง ๆ เมื่อคนให้การ์ดยังคงยืนยิ้มอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนก่อนจะลดระดับสายตาลงมองการ์ดในมือเธอ
“เปิดอ่านเลยสิครับเปิดเลย” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นของซูโฮกดดันให้เธออ่านการ์ดอวยพรที่เพิ่งได้มาเมื่อครู่ กาฮีหันไปมองหน้าชายหนุ่มทั้งหกคนที่นั่งยิ้มขำอยู่แล้วก็รู้สึกอายขึ้นมา
“บนท้องฟ้ามีหมู่ดาว ที่เมืองลาวมีข้าวเหนียว ในกระทะมีไข่เจียว ใจดวงเดียวมีแต่เธอ...?” ประโยคสุดท้ายทำเอาหญิงสาวถึงกับหน้าเหวอหลังอ่านจบ จงอิน ลู่หานและจงแดระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมตบหน้าขาอย่างสะใจจนเด็ก ๆ ที่นั่งล้อมวงอยู่ฝั่งตรงข้ามหันมามองเป็นตาเดียวกัน
สองเพื่อนซี้หันไปไฮไฟฟ์กับการ์ดมุกเสี่ยวแดกในขณะที่ซูโฮได้แต่ยิ้มเก้อเพราะไม่เข้าใจว่าสามคนนี้กำลังหัวเราะอะไร กาฮีหน้าขึ้นสี เธอไม่ได้เขินประโยคในการ์ดอวยพรเลยสักนิดแต่ที่เขินก็เพราะชายหนุ่มกลุ่มนี้กำลังพยายามกลั้นขำกันอย่างสุดความสามารถต่างหาก ไม่เว้นแม้กระทั่งคนหัวเราะยากอย่างอู๋อี้ฟาน ปาร์คชานยอลและจางอี้ชิง
“พวกพี่ขำอะไรกันครับ” ซูโฮขมวดคิ้วมองแต่ละคนที่กำลังยกขวดเบียร์ขึ้นดื่ม
“นี่ไอ้หนู เป็นเด็กเป็นเล็กใครสอนให้จีบสาวด้วยวิธีนี้วะ” จงอินผลักหัวเด็กน้อยเบา ๆ ซูโฮสะบัดออกแล้วจัดผมให้เข้าที่
“ผมเปล่าจีบนะ คุณครูอ่านต่อสิครับยังมีต่ออีกนิดนึง” จงอินกับลู่หานเลิกคิ้วมอง
แม่งยังมีหนังม้วนต่ออีกต่างหาก อี้ฟานก้มหน้าลงเล็กน้อย การหัวเราะในขณะที่คน ๆ หนึ่งกำลังพยายามทำอะไรสักอย่างมันเป็นเรื่องเสียมารยาท แต่ในเมื่อมันกลั้นไม่ไหวเห็นทีว่าการก้มหน้าลงแล้วยกมือบังริมฝีปากตอนกำลังยิ้มก็เป็นทางออกทีดีเหมือนกัน ซูโฮยิ้มกริ่ม คราวนี้ทุกคนต้องขำไม่ออกแน่เขามั่นใจ กาฮียิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะพยักหน้าแล้วอ่านต่อ
“กลุ่มดาวบนท้องฟ้าที่ว่าสวยยังเทียบคุณไม่ได้ ดอกไม้นานาชนิดก็เช่นกัน ดั่งมีคนเคยกล่าวไว้ว่าครูบาอาจารย์คือแม่พิมพ์ของชาติ มันจะเป็นยังไงนะ...ถ้าเกิดว่าคุณมาเป็นทั้งครูสอนทั้งความรู้และครูสอนทั้งความรักให้กับผม...”
กริบ...
“ไงครับ! เขินจนพูดไม่ออกเลยใช่ไหม?” ซูโฮยิ้ม ชายหนุ่มทั้งหกค่อย ๆ หันไปมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย จริงอย่างที่เด็กคนนี้พูดว่าเธอกำลังพูดไม่ออกแต่นั่นไม่ใช่เพราะความเขินจากสำนวนแปลก ๆ ที่เหมือนจะพยายามเรียบเรียงมาเป็นอย่างดี และคิดว่าเจ้าของการ์ดใบนี้คงไม่ใช่ของซูโฮ...แน่นอน
“อะแฮ่ม”
ทุกสายตาหันไปตามต้นเสียงแล้วก็พบกับชายหนุ่มร่างสูงยืนเท้าแขนกับชั้นวางของพร้อมกับมือซ้ายที่มีแก้วไวน์ทั้งสองอยู่ตามง่ามนิ้ว สายตาเจ้าชู้ที่มองมายังปาร์คกาฮีทำให้ชายหนุ่มทั้งหกพร้อมใจเบ้ปากกันอย่างพร้อมใจ ขายาวก้าวอาด ๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าครูสาวพร้อมกับยื่นแก้วไวน์ให้
“ดื่มกับผมนะครับ”
“เอ่อ...”
“ว่าไงครับมายลิตเติ้ลสตาร์...”
“ค่ะ...” กาฮียิ้มเจื่อน วินาทีนี้เธอคงหลีกเลี่ยงสถานการณ์จำเป็นไม่ได้นอกจากจะดื่มตามที่อีกคนต้องการเพื่อให้มันจบ ๆ ไป แต่ยังไม่ทันทำอะไรครูสาวก็เบิกตาโพลงเมื่อจู่ ๆ ซีวอนก็สอดแขนเข้ามาไขว้กับแขนของเธอพร้อมขยิบตาให้
“แบบนี้โรแมนติกกว่าเป็นไหน ๆ เลยใช่ไหมล่ะครับ...”
“...” กาฮียืนตัวเกร็ง พอเรียกสติกลับมาได้เธอก็พยายามยิ้มเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีผู้ชายรุกขนาดนี้แม้กระทั่งคิมจงแดผู้ชายที่คิดว่าทำตัวเนียนที่สุดก็ยังมีถอยห่างตอนที่เธอแสดงอาการว่าเขาได้เข้าใกล้มากเกินไปแล้ว
ซูโฮยืนทำตาเป็นประกายระหว่างที่พ่อกำลังไขว้แขนดื่มไวน์กับครูสุดสวย ถ้ามีคนถามว่าใครคือฮีโร่ในดวงใจเขาก็คงตอบแบบไม่คิดเลยว่าจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากชเวซีวอนพ่อของเขา ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูเท่ไปหมด ซูโฮอยากโตขึ้นแล้วดูดีแบบพ่อ
จงอินกับลู่หานไม่รู้ตัวว่ากำลังอ้าปากค้างอยู่ระหว่างมองไปยังชายหญิงคู่นั้น ภาพบรรยากาศโดยรอบเหมือนงานหมั้นอะไรสักอย่างที่ฝ่ายสาวถูกคลุมถุงชนกับลูกนักธุรกิจเศรษฐีผู้มีอันจะแดกและให้ลูกชายร่อนแบล็กการ์ดเล่นแทนการ์ดยูกิ อี้ฟานส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะหันไปชนขวดเบียร์กับอี้ชิงและจงแดแล้วยกดื่ม
“กูว่ากูรู้เหตุผลละว่าทำไมซูโฮไม่มีแม่” ลู่หานหันไปคุยกับเพื่อนซี้ที่กำลังโยนถั่วเข้าปาก พอได้ยินอย่างนั้นคนถูกถามก็หัวเราะ
“ทำไมวะ”
“ประโยคเสี่ยวแดกแบบนั้นถ้ากูเป็นผู้หญิงคงเอาตีนบี้ขี้หมาแล้วยันหน้าคนเขียนการ์ดอ่ะครับ แม่งต้องมีความกล้าแค่ไหนถึงได้เต๊าะสาวด้วยกลอนกะโหลกแบบนั้นต่อหน้าคนเป็นสิบได้ แถมยังมีลูกชายยืนหัวโด่อยู่ข้าง ๆ อีกต่างหาก” จงอินหัวเราะพลางมองคุณพ่อลูกติดที่กำลังดึงเก้าอี้ออกเล็กน้อยเพื่อให้ครูสาวนั่งเพื่อแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ
“แล้วยังไงเนี่ยครู สรุปให้เด็กกินเหล้าได้เหรอ?” จงอินหันไปถาม และตอนนี้ซูโฮกลับไปนั่งเล่นกับกลุ่มสิบแปดไลน์เหมือนเดิมแล้ว
“ค่ะ ฉันคิดว่าถ้าให้เด็ก ๆ ลองดื่มบ้างก็คงไม่เป็นไร อย่างน้อยก็อยู่ในสายตาผู้ใหญ่ไม่ได้ไกลตาจนน่าเป็นห่วง”
“งั้นผมจะ – ไปนั่งสังเกตการณ์” อี้ชิงชี้ไปยังกลุ่มเด็ก ๆ แล้วกาฮีก็โค้งหัวเป็นเชิงขอบคุณ
“ฝากด้วยนะคะ”
“พนันด้วยแรงงานว่าไอ้ห่าเทาปลิ้นคนแรก” จงอินวางขวดเบียร์ลงบนโต๊ะ จากประสบการณ์เชิดสิงโตวันนั้นมันทำให้เขามั่นใจอยู่พอสมควร ลู่หานเพ่งมองกลุ่มเด็กสิบแปดที่กำลังเล่นเกมอะไรบางอย่างอยู่แล้วก็นึกเป็นห่วงมินซอก “อ้าวเฮ้ย” ยังไม่ทันพนันกันเพื่อนซี้ก็ลุกพรวดเดินตามหลังอี้ชิงไปติด ๆ ก่อนที่เด็ก ๆ จะขยายวงกว้างเพื่อให้หนุ่มชาวจีนทั้งสองร่วมวงด้วย
“ผมว่าอึนจี” จงแดลูบคางพลางใช้ความคิดขณะมองไปยังเด็กสาวที่กำลังหัวเราะเหมือนคนเพิ่งพี้ยามา ลำพังแค่แสงสีส้มจากเปลวเทียนคงเดาได้ยากหน่อย แต่ถ้ามีแสงไฟจากหลอดนีออนการคาดเดาครั้งนี้คงแม่นขึ้นเพราะสามารถดูได้จากสีหน้า
“ผมต้องเดาด้วยไหม?” อี้ฟานหันไปทางคนต้นคิด
“พนันด้วยแรงงานนะ คนแพ้ต้องกวาดหิมะออกจากถนนให้โล่ง” จงอินยักคิ้ว อี้ฟานหันไปทางเด็ก ๆ แล้วก็มองแต่ละคนเพื่อเก็บรายละเอียด
“ตัดโดคยองซูไปได้เลย เด็กคนนั้นดูเหมือนไม่มีอะไรก็จริงแต่ช่วงเวลาที่อยู่ในผับด้วยกันผมเคยเห็นเขาถูกจับเอาเหล้ากรอกปากอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เห็นเมา” กลุ่มเด็กที่กำลังสนุกอยู่กับเกมบนพื้นกลายเป็นประเด็นน่าสนใจสำหรับเหล่าผู้ใหญ่ไปแล้ว “ผมขอเดาว่ามินซอกแล้วกัน” อี้ฟานเอนหลังพิงพนักโซฟาแล้วกอดอก ซีวอนลูบคางพลางใช้ความคิด
“ผมขอเดาว่าลูกชายของผมเอง อีกสิบห้านาทีข้างหน้าซูโฮจะขยี้ตาเดินมาหาผมแล้วก็นอนตรงนี้” ซีวอนชี้หน้าตักตัวเองพร้อมกับยิ้มมุมปากอย่างมั่นใจ
“แล้วคุณล่ะชานยอล?” ร่างสูงชะงักมือก่อนจะมองไปยังเด็กกลุ่มนั้นอีกครั้ง
“อาจจะเป็นอึนจีมั้งครับ” ชานยอลตอบราบเรียบแล้วยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม
“เพราะอะไรคุณถึงคิดว่าจะเป็นอึนจีล่ะ?” จงแดถามเพราะอยากรู้เหตุผลของคนที่เดาเหมือนกันกับเขา
“เด็กคนนั้นดื่มไปเยอะพอสมควร สำหรับคนที่ไม่เคยดื่มมาก่อนคงไปง่ายกว่าใคร ส่วนเซฮุนผมสังเกตจากขวดเบียร์ที่วางอยู่ตำแหน่งเดิมเขาแทบจะไม่ได้ดื่มเลยด้วยซ้ำ คนที่เอาแต่พูดอย่างเทาก็คงไม่เมาเหมือนกันเพราะเอาแต่พูดไม่หยุด คยองซูดื่มไปแค่นิดหน่อย ผมสังเกตจากสายตาเขาเวลามองคนรอบข้างเชื่อว่าเขาคงกำลังพยายามดูแลคนอื่นไม่ให้เมาไปเสียก่อน ส่วนมินซอกเดินไปเข้าห้องน้ำแล้วประมาณสามรอบ ถึงจะเมาแค่ไหนแต่เขาคงไม่ใช่คนแรกที่จะน็อคไปก่อนใคร” ทุกคนเงียบกริบหลังจากฟังชานยอลอธิบายอย่างละเอียด
“แล้วแบคฮยอนล่ะ?” จงอินปรายตามองคนที่นั่งถัดไปจากอี้ฟาน ร่างสูงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงเกี่ยวที่เปิดกระป๋องเบียร์ออก
“เด็กคนนั้นดื่มไปไม่ถึงครึ่งกระป๋องคงไม่เมาหรอกมั้งครับ” คำตอบของชานยอลอาจจะดูธรรมดาสำหรับคนอื่น จงอินหมุนซองบุหรี่เล่นพลางมองไปยังคนถูกพูดถึงแล้วก็ใช่จริง ๆ ข้างตัวแบคฮยอนยังคงเป็นเบียร์กระป๋องแรกที่เจ้าตัวเดินมาหยิบไปเมื่อก่อนหน้านี้ในขณะที่คนอื่นเลือกที่จะดื่มแบบขวดขนาดเหมาะมือ
“เลิกเล่าเรื่องผีแล้วมาเล่นเกมกันดีกว่า” อึนจีว่าแล้วหันหลังไปเอาตลับไพ่ที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะวางของข้างโซฟาออกมา เด็กหลายคนกำลังตื่นเต้นกับ ‘เกม’ ที่เด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวกล่าวถึงเมื่อครู่พร้อมชะเง้อหน้ามอง
“เราจะเล่นการพนันกันเหรอครับพี่อึนจี”
“หน้าฉันเหมือนเจ้ามือที่พร้อมจะแจกไพ่ให้พวกนักพนันหิวเงินหรือไง” อึนจีแยกเขี้ยวใส่เด็กน้อยที่นั่งทำตาใส
“ไหนเล่นเกมอะไรว่ามา” ลู่หานแบมือขอตลับไพ่จากอึนจีก่อนจะสับจะกรีดไพ่โชว์ชนิดที่ว่าเด็ก ๆ ถึงกับอ้าปากค้างในความสามารถที่คนดี ๆ เขาไม่ทำกัน
“เยดเข้ นี่มันเก๋าจิ้ง!” เทาทำเป็นทึ่งในฝีมือคนข้าง ๆ
“เกิดทันเหรอมึงอ่ะ”
“ก็เกิดไม่ทันอ่ะครับ แต่หนังบ้านพ่อมึงฉายรอบเดียวแล้วสลายหายไปจากโลกใบนี้เลยไง? บ้านกูมีทั้งดีวีดีตั้งแต่ภาคแรกยันภาคสุดท้ายแต่กูชอบอันนี้สุด ตอนกำเนิดเก๋าจิ้ง” เทาพูดเป็นต่อยหอยก่อนจะยกขวดเบียร์กระดก
“ฉันรู้จักนะ ที่โจวเหวินฟะเล่นใช่ไหม?” แบคฮยอนตาเป็นประกาย ถ้าเรื่องดูหนังล่ะก็ทุกเย็นหรือวันหยุดเขากับแบคโฮมักจะหาหนังมาดูด้วยกัน
เทายิ้มค้างเมื่อคนที่เข้ามาผสมโรงด้วยคือมารหัวใจหมายเลขหนึ่ง แน่นอนว่าหวงจื่อเทาไม่ได้เกลียดแบคฮยอน แต่ที่ทุกอย่างมันมึนตึงจนทำให้คนอย่างเขาเริ่มใช้ชีวิตยากขึ้นก็ตอนที่ต้องเรียบเรียงคำพูดทุกครั้งตอนมองหน้าหมอนี่นั่นแหละ
ไหนจะตอนที่ยัยช้างแพ้หันไปงุ้งงิ้งกับแบคฮยอนแล้วยิ่งงิด สวีทกันเข้าไปเหอะ รักกันไปจนกาลปาวสานเลยนะ คบกันจนแก่เฒ่ามีลูกสาวออกมาไล่ฆ่าซอมบี้เหมือนแวมไพร์ทไวไลท์ไปเลย พอถึงตอนนั้นมึงจะได้รู้ว่ากูนี่แหละคือเจคอบแบล็คผู้รอเคลมลูกสาวมึงอยู่สึด
“เลือกไพ่ดิ”
“ห๊ะ?” เทาหลุดออกจากความคิดแล้วหันไปทางซ้ายทีขวาที ทุกสายตาในวงล้อมกำลังมองเขาเป็นตาเดียวกัน ชิบหายละ คิดเพลินไปนิด “เลือกไร”
“อย่าบอกนะว่าไม่ได้ฟังเลย” อึนจีหรี่ตามองเพื่อนตัวสูงที่นั่งเยื้องอยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อกี้เธอเพิ่งอธิบายไปแต่ไอ้หมอนี่ก็นั่งเงียบเลยคิดว่าคงนั่งฟังอยู่ เทายักไหล่พร้อมแบมือทั้งสองข้างเป็นเชิงบอกว่า ‘ก็ช่วยไม่ได้’
“มันคือเกมทรูออแดร์น่ะ นายเคยเล่นไหม?” เป็นเซฮุนที่อธิบายให้เทาฟัง
“อ๋อ เกมกะโหลก ๆ นั่นอ่ะนะ”
“กติกาคือเลือกไพ่คนละใบ นายจะเห็นไพ่ของทุกคนแต่มีข้อแม้ว่าห้ามดูไพ่ของตัวเอง ใครที่แต้มน้อยสุดต้องเลือกว่าจะทรูหรือแดร์ ถ้าเลือกทรูต้องตอบคำถามหนึ่งข้อที่เป็นความจริง”
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าตอนนั้นนายกำลังพูดความจริงหรือว่าโกหกอยู่” สายตาของคยองซูกับรอยยิ้มน้อย ๆ ที่ส่งมาเป็นเชิงบอกว่า ‘รู้จักคำว่าละอายใจหรือเปล่า? ถ้ามึงโกหกหลังจากเลือกทรูมันก็จะเหี้ยมากเลยนะหวงจื่อเทา อ่อ...คนอื่น ๆ ก็ด้วย’ อะไรประมาณนั้น
“แต่มันก็แค่เกมไม่ใช่เหรอ” มินซอกพูดเสียงเรียบ “ทุกครั้งที่เล่นเกมก็หวังเอาความสนุก ผ่อนคลายทั้งนั้นถ้าเล่นแล้วซีเรียสจะเล่นไปทำไม”
“งั้นเราควรเริ่มเล่นได้แล้วเพราะคนบางคนกำลังซีเรียส โอ๊ะ!” เทายกมือขึ้นบังตามสัญชาติญาณเมื่อมินซอกเขวี้ยงหมอนอัดหน้าเขาอย่างแรง แต่เพราะฤทธิ์เหล้าเลยทำให้รีแอคชั่นช้าไปนิด
“เลือกไพ่ได้ละ” ลู่หานกระจายไพ่ออกบนผ้าสีน้ำเงินที่ปูอยู่บนพื้น แต่ละคนหยิบไพ่ขึ้นมาแล้วแปะบนหน้าผากตัวเอง นัยน์ตากวาดมองไพ่ของแต่ละคนแล้วริมฝีปากก็ลอบยิ้มออกมาเมื่อเห็นแต้มชัดเจนเต็มสองตา โดยเฉพาะของตัวเอง...
ผ่านเลนส์แว่นของมินซอก
คนตัวเล็กขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะสบตากับคนที่นั่งยิ้มอยู่ฝั่งตรงข้าม แน่นอนว่ารอยยิ้มของลู่หานคือสิ่งที่เขาเกลียดรองจากการได้เห็นหน้า ร่างโปร่งยักคิ้วกวนประสาทเด็กแว่นหน้านิ่งที่กำลังสู้กับเขาผ่านทางสายตาแล้วก็อารมณ์ดีแปลก ๆ
เอาวะ ถ้าทำให้มองด้วยความรักไม่ได้จะถูกมองด้วยความหมั่นไส้ก็ยอม!
“มีใครจะเปลี่ยนไพ่ไหม”
“เปลี่ยนได้ด้วยเหรอครับ?” ซูโฮถาม
“เปลี่ยนได้สิ...ว่าแต่มินซอกอยากเปลี่ยนไพ่ไหม?” คนเจ้าเล่ห์ส่งรอยยิ้มกดดันไปให้เด็กแว่นที่ไม่รู้ชะตากรรมตัวเองว่าที่กำลังถูกข่มขู่อยู่ และไม่รู้ว่ามันเป็นความหวังดีหรือหวังร้ายกันแน่
เซฮุนส่ายหน้าห้าม จะว่าไปแล้วแต้มมินซอกก็เยอะมากกว่าใครหลายคนในนี้ คนตัวเล็กหันไปมองเซฮุนที ลู่หานที พอเห็นเทาพยักหน้าย้ำอีกครั้งก็ยิ่งหวั่นใจว่ากำลังถูกแกล้งอยู่หรือเปล่า
“นายก็ด้วยคยองซู” เทาพยักเพยิดหน้าไปทางคนที่นั่งนิ่งอยู่
“ฉันอยากแพ้” เจ้าของชื่อตอบเสียงเรียบ ลูกไม้หลอกล่อให้กลัวแบบนี้มีแต่เด็กน้อยเท่านั้นแหละที่คล้อยตามไปด้วย
“ฉันล่ะ ฉันล่ะ!” อึนจีขยับปากถามเบา ๆ เทายักไหล่แล้วเบือนหน้าไปอีกทางทำท่าไม่สนใจว่าเธอจะเป็นตายร้ายดียังไง เด็กสาวหรี่ตามองคาดโทษไอ้เจ๊กไร้น้ำใจที่ทำกับเพื่อนอย่างเธอได้ลงคอ แต่เอาเถอะ...แต้มอี้ชิงโอป้าก็ร่อแร่เหมือนกัน
“งั้นฉันเปลี่ยน” มินซอกคว่ำไพ่ลงแล้วจั่วใบใหม่ขึ้นมา ซูโฮ อึนจี แบคฮยอน เซฮุนต่างเบิกตาโพลงกับการตัดสินใจของมินซอก เพราะแต้มที่เพิ่งคว่ำไปเมื่อครู่นี้สูงถึงเจ็ดแต้มเลยทีเดียว
“...” ลู่หานก้มหน้าลงเม้มริมฝีปากไว้ไม่ให้กลั้นขำ ตอนแรกก็ว่าจะมานั่งคุมความประพฤติไม่ให้เด็กคนนี้ดื่มเหล้าหรอกนะ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตอนเมาคนเราจะคุยกันง่ายทางภาษากายแล้วความจังไรก็บังเกิดลู่หานเลยจำเป็นต้องโยนการเป็นคนดีทิ้งไปอย่างปฏิเสธไม่ได้ จะว่ามินซอกซวยหรือเพราะเจ้าเข้าข้างเขากันแน่นะที่ให้ไพ่ใบใหม่ของคนตัวเล็กออกมาอีท่านั้น
“หงายได้” ทุกคนหงายไพ่ลงบนพื้น ผู้โชคดีจากซองมาม่าคนแรกไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากคนที่เพิ่งเปลี่ยนไพ่ไปเมื่อครู่
“ฮ่า ๆ ฉันรอดแล้ว!” อึนจีหันไปไฮไฟฟ์กับคยองซู แบคฮยอน ซูโฮ และปิดท้ายด้วยอี้ชิง มินซอกทำหน้าเหวอก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตัวการที่หลอกล่อให้เขาสับสน
“เอาล่ะมินซอก ทรูออแดร์”
“...”
“แล้วแดร์ต้องทำอะไรวะ?” เทาถาม เพราะตอนที่เซฮุนกำลังอธิบายก็ถูกคั่นรายการโดยเรื่องพูดความจริงหรือพูดโกหกไปเสียก่อน
“แดร์ก็แดก” ลู่หานตอบสั้น ๆ แต่ได้ใจความ เทาเลิกคิ้วมองคนข้าง ๆ ที่กำลังรินเหล้าเพียว ๆ ใส่แก้วสูงประมาณข้อนิ้วรออย่างมั่นใจว่ายังไงมินซอกก็คงไม่กล้าตอบทรูแน่ ๆ
“ทรู”
มันต้องอย่างนี้...
“ใครจะถาม” <- เทา
“ขอคิดแปปนึง” <- อึนจี
“ถามเรื่องไหนก็ได้เหรอครับ?” <- ซูโฮ
“เอาแบบไม่ลามกก็พอมั้งนะ” <- เซฮุน
ทุกเสียงลอยเข้าหูไม่ได้ขาด มีเพียงไม่กี่คนที่เลือกนั่งอยู่เฉย ๆ โดยไม่ออกความเห็นใด ๆ ยกตัวอย่างเช่นจางอี้ชิงกับบยอนแบคฮยอน ซึ่งก็ขอบคุณมากที่หมอนั่นไม่เข้าผสมโรงด้วย
“งั้นฉันขอถาม”
“ผมไม่ตอบคำถามของคุณ”
“เอ้า...” เทาถึงกับอุทานก่อนจะมองลู่หานสลับกับมินซอกไปมา
“ตอบทรูแล้วมีสิทธิ์เลือกตอบคำถามด้วยหรือไง”
“กติกาไม่ได้ระบุไว้ไม่ใช่เหรอ”
“หรือว่ากลัว?” ไม่ใช่แค่คำพูดที่กำลังฉะฉานกันอย่างไม่มีใครยอมใคร แววตาที่ทั้งคู่ส่งไปยังอีกฝ่ายก็เช่นกัน ทุกคนนั่งกริบ มีเพียงแค่ตาทั้งสองข้างที่กลอกมองลู่หานสลับกับมินซอก
“เหตุผลอะไรที่ผมต้องกลัว อยากรู้อะไรก็ถามมา” อี้ชิงสะกิดแขนคนข้าง ๆ พร้อมกับส่งสายตาเป็นเชิงบอกให้มินซอกใจเย็น ๆ
“มีคนที่ชอบแล้วหรือยัง” ฮุคหมัดตรงแม่งเลยครับ ถ้าจะให้ถามว่ายังโกรธอยู่ไหมคนอย่างลู่หานมั่นใจว่าคงได้รับคำตอบเจ็บ ๆ ต่อหน้าเด็กหัวหลิมเหล่านี้แน่
“ไม่มี” ตอบไวไปเปล่าวะ -_-
“โกหก”
“นี่มันเกมพูดความจริง?” มินซอกเลิกคิ้วมองอีกคน
“เนี่ย มินซอกกำลังโกหกอยู่” ลู่หานหันไปหาคนรอบข้าง มินซอกถอดแว่นสายตาออกแล้วคว้าเอาแก้วเหล้าเพียว ๆ มากระดกรวดเดียวจนหมดก่อนจะวางลง
เด็กน้อยพยายามจะเก็บอาการขมลิ้นเอาไว้จนอี้ชิงต้องเปิดฝาน้ำอัดลมแล้วให้อีกคนดื่มตามลงไป ลู่หานอ้าปากค้างไม่คิดว่ามินซอกจะสดขนาดนั้นเพราะไอ้การที่จะต้องฝืนทนกระดกเหล้าเพียว ๆ ลงไปก็ต่อเมื่อคนแพ้สมยอมว่าเป็นไอ้กระจอกที่เลี่ยงตอบทรูแล้วเลือกแดร์เท่านั้น
“นี่สิขาโหด” <- เทา
“เริ่มเกมใหม่” <- มินซอก
“รู้เรื่องเลย” เทายิ้มพอใจแล้วกวาดเอาไพ่มาสับ ลู่หานถึงกับพูดไม่ออก ดูเหมือนว่าตอนนี้มินซอกจะโกรธเขายิ่งกว่าเดิมอีก
คราวนี้ก็เหมือนเดิม แต่ละคนหยิบไพ่ไปคนละใบแล้วผู้โชคดีรอบนี้ก็คือจางอี้ชิง หนุ่มชาวจีนที่ถูกลู่หานหลอกล่อให้ตอบแดร์ด้วยความไม่รู้ ตั้งแต่มานั่งกับเด็ก ๆ เป้าหมายแรกของอี้ชิงคือช่วยดูแล ช่วยปรามให้ดื่มกันน้อย ๆ เท่านั้น บทสนทนาเป็นยังไงก็พอฟังออกบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ เพราะจุดด้อยเรื่องภาษาเลยทำให้เขาถูกแกล้งได้อย่างง่ายดาย
เกมดำเนินไปเรื่อย ๆ เสียงหัวเราะชอบใจของเหล่าเด็ก ๆ ทำให้ผู้ใหญ่ที่นั่งดื่มอยู่ไม่ห่างจากตรงนั้นเริ่มเป็นห่วง ซีวอนเข้าไปหาลูกชายที่ผล็อยหลับคาตักคยองซูไปกลางคันทั้งที่ไม่ได้ดื่มก่อนจะนั่งลงยอง ๆ แล้วให้คยองซูช่วยประคองลูกชายของเขาให้ขึ้นหลัง
“บ๊ายบายซูโฮ”
“เขาเมาเหรอ?!” เสียงของจงอินตะโกนถามแล้วเด็ก ๆ ก็ไขว้มือเป็นรูปกากบาทเป็นคำตอบจงอินถึงได้ยิ้มกริ่ม อย่างน้อยการพนันในครั้งนี้ก็ยังไม่จบลง
ชานยอลคว้าเอาซองบุหรี่กับเบียร์กระป๋องออกไปนั่งข้างนอกตามลำพังท่ามกลางลมหนาวที่พัดผ่าน นิ้วเรียวยาวเกี่ยวฝากระป๋องออกแล้วยกกระดกพลางมองไปยังใครอีกคนที่นั่งหัวเราะกับอึนจีอยู่ในบ้าน ยิ่งเห็นก็ยิ่งหงุดหงิด เขาเอาแต่ยกดื่มครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับว่าจะให้น้ำเมาที่กำลังบาดคอกัดกินความรู้สึกแบบนี้ออกไปซะ
“หงายไพ่!”
“โอ๊ะ!”
“โดนแล้วไหมล่ะ ฮ่า ๆ ” อึนจีหัวเราะแล้วผลักหัวคนข้าง ๆ แบคฮยอนมองไพ่ในมือที่ผลลัพธ์ออกมาว่าแต้มที่ได้มันน้อยที่สุดแล้วก็เงยหน้ามองคนในวงล้อม
“ถ้าตอบแดร์คือป๊อดนะแบคฮยอน” <- เทา
“คนจริงต้องทรูเท่านั้น” <- ลู่หาน
แบคฮยอนเงียบพลางใช้ความคิด พอถึงตอนนี้เรื่องที่เขากังวลนั่นไม่ใช่อะไรนอกจากว่าถ้าถูกถามแล้วจะขุดเรื่องไหนมาเล่าที่จะทำให้ทุกคนหัวเราะได้ แต่ถ้าตอบแดร์เกมนี้มันคงน่าเบื่อเหมือนตอนรอบก่อนหน้านี้ที่เทาโดนถามว่ามีคนที่ชอบหรือยัง แล้วหมอนั่นก็เงียบไปแป๊บนึงก่อนจะมองมาที่เขาแล้วตอบว่า ‘มีแล้ว’ แถมยังขยิบตากัดปากปิดท้ายให้ขนลุกอีกต่างหาก พอหลังจากเกมนั้นเทาก็โดนซ้ำอีกครั้งแต่หมอนั่นกลับเลือกแดร์ ด้วยเหตุผลที่ว่าเสี้ยนเหล้าอยากดื่มจนคนอื่น ๆ บ่นอุบอิบกันไป
“ทรู” แบคฮยอนยิ้มแห้ง ๆ แต่ละคนมองหน้ากันพลางใช้ความคิดว่าจะเล่นหมอนี่ด้วยวิธีไหนดี คำถามสุดเบสิกว่ามีแฟนคนแรกตอนอายุเท่าไหร่ก็ธรรมดาเกินไป จูบแรกก็ไม่น่าตื่นเต้น เพราะงั้น...
“นายเคยชอบผู้ชายไหม?” คำถามหยุดโลกของอึนจีทำเอาใครหลายคนแทบสะอึก ลู่หานเงยหน้าขึ้นมองเด็กแว่นที่หลบสายตาไปก่อน ไม่ใช่แค่แบคฮยอนที่พูดไม่ออกพอเจอคำถามแบบนี้เพราะถ้าเป็นเขาก็คงเงิบอยู่เหมือนกัน ยัยน้องแมมม็อธนี่ปากสร้างงานจริง ๆ
แบคฮยอนเงียบไปนานพอสมควรอึนจีเลยเขย่าแขนให้ตอบ แน่นอนว่าคำถามของอึนจีทำให้ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นกลับเข้ามาอยู่ในความคิดของเขาอีกครั้งทั้งที่อยากลืมสุดจะทน ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นก่อนจะหายใจเข้าลึก ๆ
“เคย” แบคฮยอนตอบสั้น ๆ แล้วยกเหล้ากระดกย้อมใจจนหมดแก้วโดยไม่ดื่มน้ำอัดลมตามหลัง เป็นอีกครั้งที่ทุกคนเงียบเพราะพูดไม่ออกและคนที่อึ้งมากที่สุดก็คงเป็นจองอึนจี คนที่ได้ชื่อว่ากำลังถูกตามจีบอยู่
รู้สึกได้ถึงความร้อนของแอลกอฮอล์ที่เพิ่งดื่มลงไปเมื่อครู่นี้ เขาชักจะชอบตอนเวลาใกล้เมาซะแล้วสิ ไอ้ความรู้สึกที่เหมือนตัวเบาหวิว กล้าพูด กล้าทำในสิ่งที่ตอนปกติไม่กล้า เพราะเป็นแบบนี้นี่เองผู้ใหญ่ถึงได้ชอบดื่มนัก
“เอ้า ๆ มาเล่นเกมใหม่กันเถอะ คยองซูนายเป็นคนสับไพ่เป็นไง?” ลู่หานรวบไพ่มารวมอยู่ในกองเดียวแล้วยื่นให้ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่ปฏิเสธ
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เขาก็จำไม่ได้ แต่รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ก้นบุหรี่มวนที่สามก็ถูกบี้ลงไปในกระป๋องเบียร์ เสียงหัวเราะในบ้านเงียบไปชานยอลถึงได้เอี้ยวหน้าหันกลับไปมองผ่านกระจกหน้าต่างซึ่งเหล่าผู้ใหญ่ยังคงนั่งคุยกันอย่างออกรสในขณะที่เด็ก ๆ บางคนหลับคอพับไปแล้ว คยองซูยังคงนั่งดวลเหล้ากับลู่หานที่ดูเหมือนว่าจะเซ็งจัดหลังจากอี้ชิงพามินซอกเข้าไปนอนแล้วบุรุษพยาบาลชาวจีนก็ไม่ออกมาอีกเลย
ออกมาสูบบุหรี่แค่ครู่เดียวเด็กพวกนั้นก็สิ้นฤทธิ์ ยังไม่ทันรู้ผลด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนฟุบหลับไปก่อน ดูเหมือนว่าเขาอาจจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อออกมาเคลียร์หิมะออกให้พ้นทางเพราะแพ้พนันเสียแล้วสิ
สายตามองไปยังเด็กคนนั้นที่กำลังช่วยครูสาวประคองอึนจีให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล อึนจีเมาไม่ได้สติแต่จงแดกลับหัวเราะร่าพร้อมกับโยกตัวไปมาอย่างดีใจปาร์คชานยอลถึงได้รู้ว่าการพนันในครั้งนี้มีผู้ชนะแล้วถึงสองคนและหนึ่งในนั้นคือเขา แบคฮยอนส่ายหน้าไล่ความมึนงงก่อนจะหันไปยิ้มให้กับผู้ใหญ่ที่ยังคงนั่งดื่มกันอยู่ ได้ยินแว่ว ๆ ว่าถูกถามเรื่องอาการเมา แบคฮยอนถึงได้ส่ายหน้าแล้วปฏิเสธว่าไม่เป็นไร
ประตูบ้านหลังแรกถูกเปิดออก แบคฮยอนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วเดินฝ่าหิมะกลับไปบ้านหลังที่สามโดยที่ไม่รู้ว่าถูกจับตามองอยู่โดยใครอีกคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก เพราะถ้าเด็กคนนั้นหันมาทางขวาหน่อยก็คงเจอเขาอย่างง่าย ๆ
หลังจากแบคฮยอนเดินหายไปจนลับสายตากระป๋องเบียร์ก็ถูกบีบแน่นจนบุบคามือเล็กน้อย ควันสีหม่นถูกอัดเข้าปอดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนมวนบุหรี่ที่เพิ่งสูบไปแค่ครึ่งตัวจะถูกปล่อยลงพื้นและบี้ด้วยรองเท้าจนดับ
ทันทีที่เข้ามาในบ้านความหนาวเหน็บก็จางลง แบคฮยอนส่องไฟฉายไปตามทางเดินก่อนจะเปิดประตูห้องนอนเข้าไป จริง ๆ แล้วจะนอนห้องโถงบ้านหลังแรกเหมือนกับคนอื่นก็ได้แต่การซุกใต้ผ้านวมอุ่น ๆ มันคงดีกว่าเป็นไหน ๆ เด็กหนุ่มถอดเสื้อโค้ทตัวนอกออกพาดไว้บนเก้าอี้ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม
สองขาขดเข้าหาตัวเพิ่มความอบอุ่น กลิ่นเหล้าคละคลุ้งทุกครั้งยามหายใจเข้าออก ก่อนหน้านี้ก็โดนแบบเพียว ๆ ไปหลายแก้วเพราะเลือกตอบแดร์ ในตอนนั้นบยอนแบคฮยอนถึงได้เข้าใจว่าทำไมเทากับมินซอกถึงได้เลี่ยงไม่ตอบทรูก็เพราะกลัวว่าจะถูกถามเรื่องที่ไม่อยากตอบนี่เอง
ใช่...เขาก็มีเรื่องที่ไม่อยากพูดถึงเหมือนกัน
นัยน์ตามองออกไปข้างนอกหน้าต่าง แสงสว่างจากดวงจันทร์ทำให้พอมองเห็นหิมะที่ยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง นึกถึงตอนที่ยังอยู่กับพ่อแม่และพี่ชาย ทุกวันคริสต์มาสทุกคนต่างก็รีบกลับบ้านเพื่อเตรียมอาหารเย็นและแลกของขวัญกัน
ไม่มีน้ำตาออกมาสักหยด ดูเหมือนว่าทุกความรู้สึกจะเทลงไปอยู่ตรงหน้าอกข้างซ้ายหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวด เหงา เสียใจ ไปจนถึงความคิดถึง ขอบคุณตัวเองที่ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาไม่ว่าจะตอนที่อยู่ต่อหน้าคนอื่นหรืออยู่ตามลำพัง
ถอนหายใจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลง ปล่อยให้ลมหายใจผ่อนเข้าออกช้า ๆ ตามจังหวะอย่างที่ควรจะเป็น ยังไม่ทันเข้าสู่ห้วงนิทราเสียงประตูห้องก็ถูกเปิดออก คิดว่าคงเป็นคยองซูที่ตามกลับมานอนหลังจากดวลเหล้ากับลู่หานจนเมาได้ที่
เตียงนุ่มห้าฟุตที่นอนเบียดกันทุกคืนยวบลงไปตามแรงกดทับ แบคฮยอนขยับตัวชิดกับขอบเตียงเพื่อให้อีกคนนอนอย่างสบายตัวหน่อย คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อเตียงยังคงยวบลงไปเพราะใครอีกคนขยับตัวไปมาโดยที่ไม่ยอมนอน คนตัวเล็กเอี้ยวตัวหันกลับไปมองท่ามกลางความมืด แสงสว่างจากนอกหน้าต่างที่ส่องเข้ามาเพียงน้อยนิดแต่ก็พอทำให้มองเห็นเงาตะคุ่มบางอย่างที่กำลังมุดเข้าไปใต้ผ้าห่ม
“จะทำอะไรน่ะ?!” แบคฮยอนดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วเปิดผ้าห่มออก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนก กลิ่นแอลกอฮอล์ตามตัวอีกคนลอยเตะจมูกก่อนที่ร่างนั้นจะเงยหน้าขึ้นมองตอบ
เงาคนตรงหน้าเริ่มเด่นชัดขึ้นเมื่อปรับสภาพสายตาเข้ากับความมืดได้แล้ว บุคคลปริศนาที่ดูจากรูปร่างก็รู้แล้วว่าไม่ใช่โดคยองซูนั้นไม่ตอบคำถามก่อนจะค่อย ๆ โน้มตัวเข้ามาใกล้
“นี่ ปล่อยนะ!” แบคฮยอนดันแผงอกแกร่งเอาไว้หากแต่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะสนใจฟังเสียงห้าม ข้อมือทั้งสองข้างถูกตรึงไว้กับผืนเตียงทั้งที่พยายามขืนตัวไว้อย่างสุดแรงแล้ว “ปาร์คชานยอล!”
“เสียงดังทำไมครับ?”
ภายใต้ความมืดบยอนแบคฮยอนไม่มีทางรู้เลยว่าผู้ชายคนนี้กำลังอยู่ในสีหน้าแบบไหน คนตัวเล็กยังคงพยายามขืนตัวออกจากพันธนาการในครั้งนี้แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นไปได้ยากเมื่อปาร์คชานยอลขึ้นมาคร่อมทับร่างของเขาเสียแล้ว ซ้ำยังออกแรงบีบที่ข้อมือน้อย ๆ เพื่อปรามให้การสนทนาครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นส่วนตัวที่สุด
“เป็นบ้าอะไรของคุณ!”
“ผีเข้ามั้ง?”
‘คุณต้องถูกผีเข้าแน่ ๆ เลย’
‘แล้วคุณกลัวผีหรือเปล่าครับ?’
‘ถ้าไม่กลัวมันก็คงไม่มีปัญหาอะไรถ้าเกิดว่าผมจะปล่อยให้ผีตัวนี้สิงผมต่อไป...ใช่ไหมครับ?’
“ปาร์คชานยอล!” แบคฮยอนยังคงพยายามดิ้นแต่แรงของผู้ชายคนนี้มีมากเกินกว่าที่เขาจะสู้ได้ ชานยอลอาจจะแค่อยากกวนประสาทให้เขาโมโหหรือมากกว่านั้น
“อยากให้คนได้ยินเหรอครับถึงได้ส่งเสียงร้องไม่หยุดแบบนี้?” เสียงกระซิบข้างหูเชิงข่มขู่คนตัวเล็กถึงได้สงบลง แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามปาร์คชานยอลก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาทำแบบนี้กับเขา
“คุณต้องการอะไร”
“...” คนถูกถามเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงตอบปัด ๆ ราวกับไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้ “จำเป็นต้องตอบไหมครับ”
“อย่ามากวนประสาทผม ห้องคุณอยู่ฝั่งนั้นเชิญออกไปได้แล้ว” แบคฮยอนพูดเสียงแข็ง เขารู้สึกแย่กับสถานการณ์ที่เป็นอยู่จนอยากวิ่งหนีออกไปให้พ้น ๆ
ความเงียบโรยตัวลงมาแข่งกับหิมะทางด้านนอก และถ้าปาร์คชานยอลยังใช้ความคิดนานไปกว่านี้ ร่างข้างใต้ก็คงไม่ยอมฟังเขาอีกเหมือนกัน
“กับอึนจี...”
“...”
“คงมีความสุขมากสินะครับ”
“มากกว่าอยู่กับคุณเป็นไหน ๆ” แบคฮยอนตอบโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาคิด ชานยอลนิ่งไปครู่หนึ่งกับคำตอบที่เขาก็คิดไว้แล้วว่าคนตัวเล็กต้องตอบแบบนี้ แต่พอได้ฟังจากปากก็ยิ่งชวนให้รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“คุณโกหก”
“การที่ผมจะโกหกหรือไม่มันไม่เกี่ยวอะไรกับการตอบคำถามของคุณ” แบคฮยอนกำหมัดแน่น รู้สึกเจ็บข้อมือกว่าที่เป็นอยู่เมื่อร่างสูงออกแรงมากยิ่งขึ้น “พอสักทีเถอะ”
“...”
“เราควรต่างคนต่างอยู่เหมือนกับตอนแรกที่เพิ่งรู้จักกัน ถ้าเห็นหน้าผมก็แค่หันไปทางอื่น ส่วนผมก็จะทำแบบนั้นเหมือนกัน”
“...”
“ในเมื่อคุณเลือกทางนี้ผมก็จะไม่ยุ่งกับชีวิตคุณอีกแล้วไงปาร์คชานยอล” แบคฮยอนเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่ง “ที่เป็นอยู่มันก็แย่มากพอแล้ว ผมเหนื่อยที่จะต้องมองคุณทั้งที่ยังรู้สึกแบบนั้น”
“...”
“ผมก็แค่เคยรักคุณ แต่ทุกอย่างมันจบแล้ว”
“...”
“ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับ...”
ริมฝีปากบางที่คอยเอื้อนเอ่ยวาจาร้ายกาจถูกปิดด้วยริมฝีปากของอีกคน บยอนแบคฮยอนดิ้นขลุกขลักจนร่างสูงต้องออกแรงกดข้อมือเขาลงกับที่นอนแน่นขึ้นอีก แบคฮยอนไม่รู้ว่านี่เป็นรสจูบแบบไหน มันค่อย ๆ ช้าลง อ่อนลง ในตอนที่เขายอมแพ้กับการดิ้นสู้แล้ว
ชานยอลใช้มือหนึ่งเกี่ยวขาร่างข้างใต้มาพาดไว้กับเอวตัวเอง เขาไม่ได้รุนแรง แต่คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่านี่คือการบังคับขืนใจ ชานยอลรู้ตัว ทั้งที่หยุดทุกอย่างได้แต่เขากลับไม่อยากทำ ถึงแบคฮยอนไม่ได้ตอบรับและเลือกที่จะต่อต้านด้วยการขืนตัวอย่างเงียบ ๆ นี่ก็เถอะ
จะโทษว่าเป็นเพราะพิษเหล้าก็คงไม่ถูก บางทีสิ่งที่ปาร์คชานยอลทำอยู่มันอาจมาจากจิตใต้สำนึกที่อยากรั้งเด็กคนนี้ไว้กับตัวเอง มันไร้เหตุผล งี่เง่า แล้วก็เอาแต่ใจอย่างถึงที่สุด ซึ่งเขารู้ตัวดีทุกอย่าง
แบคฮยอนหดคอหนีจมูกโด่งรั้นกับริมฝีปากที่กดย้ำลงมาบริเวณต้นคอ มือแกร่งกำลังวนเวียนอยู่ใต้สาบเสื้อและพยายามจะถอดมันออก ชานยอลคงจะทำเหมือนเหมือนวันนั้น นั่นคือสิ่งที่แบคฮยอนเรียนรู้และจำได้ดี
“แบคฮยอน”
ริมฝีปากคลอเคลียตามร่างกายในตอนที่ชานยอลดึงเสื้อเขาให้หลุดออกจากศีรษะและแขนพร้อม ๆ กับการรวบสองมือเขาเอาไว้ด้วยกัน ยิ่งพยายามจะขืนตัวลุกขึ้นเท่าไหร่มืออีกข้างของร่างสูงก็มีแต่จะยิ่งรั้งเขาให้ลงไปอยู่ใต้ร่างเท่านั้น
‘ที่คุณเป็นอยู่ตอนนี้...เขาเรียกว่าเมาค้างเหรอครับ?’
‘ผมดูเหมือนคนเมาเหรอ?’
‘ไม่รู้สิ ปกติคุณไม่เคยเป็นแบบนี้นี่นา’
‘แล้วมันแย่หรือเปล่าหื้ม?’
‘พอเมาแล้วคุณดูน่ารักขึ้นตั้งเยอะ’
บยอนแบคฮยอนไม่รู้ว่าเขาควรจะรู้สึกยังไงกับการถูกทำแบบนี้เป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกมันก็เกิดจากความเต็มใจของเขาทั้งนั้น แล้วครั้งนี้ล่ะ?
“ชานยอล...หยุดเถอะ...”
รู้ว่าปาร์คชานยอลฟังอยู่ รู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินชัดเต็มสองหู ถึงอย่างนั้นชานยอลก็ยังเลื่อนตัวลงต่ำลงไปเรื่อย ๆ แบคฮยอนรู้ตัวอีกนั่นแหละว่าเขากำลังอ่อนลงทุกขณะ เขาไม่ควรปล่อยให้ผู้ชายคนนี้ย่ำกรายเข้ามาอีกเป็นครั้งที่สอง
“ชานยอล!” เจ้าของชื่อนิ่งไป ภายใต้ผืนผ้าห่มนั้นแบคฮยอนมองเห็นแค่ไรผมมัว ๆ จากแสงจันทร์ทางด้านนอก แล้วเสียงทุ้มของชานยอลก็ถามขึ้น
“คุณเกลียดผมมากเหรอครับ?”
“...”
คนตัวเล็กตอบไม่ถูก แต่ชานยอลก็ยังคงนิ่งราวกับรอฟังคำตอบจากปากนี้ พักหนึ่งทีเดียวที่ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง เงาของหิมะที่โปรยปรายอยู่ทางด้านนอกไม่ต่างอะไรจากลายวอลเปเปอร์ ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้อยู่ในความคิดของบยอนแบคฮยอนนัก
“ตอบผมสิว่าคุณทำแบบนี้ทำไม”
“...”
“ปาร์คชานยอล”
ถึงตอนนี้ร่างสูงขยับตัวขึ้นมาจูบเขาอีกครั้ง มันไม่ใช่คำตอบที่ชัดเจนนัก หรืออันที่จริงแบคฮยอนก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าชานยอลอยากบอกอะไรเขาหรือแค่จงใจเลี่ยงที่จะตอบคำถามพรรค์นั้นกันแน่
ปาร์คชานยอลก็แค่เมาหรือแค่พยายามแสดงความเป็นเจ้าของร่างกายของเขา หรืออะไรก็ตามแต่...เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว
มือใหญ่ปลดกระดุมกางเกงร่างข้างใต้ออกแล้วสอดมือเข้าไปจนกางเกงร่นลงไปอยู่ที่สะโพก “อ...อ่ะ!” แบคฮยอนนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกได้ถึงปลายนิ้วที่แทรกเข้ามายังช่วงหว่างขา ชานยอลยังไม่ละริมฝีปากออกไป ไม่แม้แต่จะตอบคำถามที่ต่างฝ่ายต่างอยากรู้
ร่างสูงปล่อยมือออกจากการกอบกุมเขาแล้ว มันวางท้าวอยู่ที่ข้างแก้ม แบคฮยอนชะงักไปเมื่อเห็นว่ามันเป็นผ้าพันแผลที่พันอยู่รอบท่อนแขน เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าชานยอลบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง เพราะการเลือกที่จะไม่รับรู้ของเขาเองทั้งนั้น
“...”
ทั้งร่างไหวไปตามแรงจากมือแกร่งที่อยู่ข้างใต้ แบคฮยอนนิ่วหน้าเพราะเจ็บจากความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย ทำไมเขาถึงยอมให้ชานยอลทำแบบนี้อีก ถ้าปล่อยให้มันเกิดขึ้นแล้วพรุ่งนี้จะเป็นยังไง? ทุกอย่างจะยังคงวนกลับมาที่เดิมไหม?
กางเกงเกะกะถูกดึงออกจากเรียวขา ตอนนี้ร่างของแบคฮยอนเปลือยเปล่าในความมืด ไม่เห็นด้วยซ้ำว่าชานยอลกำลังมองมาที่เขาอยู่หรือเปล่า
‘คุณไม่จำเป็นต้องแบกทุกอย่างเอาไว้คนเดียวหรอกนะ’
‘คุณยังมีพวกเรานะครับ’
‘เด็กอย่างผมคงช่วยอะไรคุณได้ไม่มาก แต่ถ้าคุณพูดมาคำเดียว...ผมจะทำตามทุกอย่างเลย’
ปาร์คชานยอลไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ในตอนที่เดินเข้ามาในห้องนี้เขาแทบไม่รู้ความคิดตัวเองด้วยซ้ำ ทุกอย่างมันเหมือนเป็นสีควันบุหรี่ เชียร์ให้ใช้วิธีแย่ ๆ และทำเหมือนอย่างที่เคยทำในวันนั้น
“ชานยอล...” แบคฮยอนนิ่งไปพักหนึ่งแล้ว คนตัวเล็กดูเหมือนจะยอมปล่อยให้เขาทำอะไรตามใจก็ได้ “คุณรู้ใช่ไหมว่าถ้าทำแบบนี้แล้วพรุ่งนี้ผมจะเกลียดคุณมากกว่าเดิม...”
CUT
แต่สิ่งที่ทำให้คนตัวเล็กตกใจนั่นไม่ใช่คำพูดจาว่าร้ายที่หลุดออกมาจากปากปาร์คชานยอลแต่มันคือเสียงสะอื้นกับน้ำตาอุ่นที่หยดลงบนไหล่เขาต่างหาก
มือเรียวเลื่อนไปประคองใบหน้านั้นไว้อย่างประหม่า แบคฮยอนสัมผัสได้ถึงน้ำตาและแววตาที่มองมาผ่านความมืด ถึงจะไม่ได้เห็นมันชัดเจนนัก แต่ชานยอลก็กุมตอบมือของเขาพลางกระชับไว้เบา ๆ
“ผมขอโทษ...แบคฮยอน”
“...”
เด็กหนุ่มเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นชานยอลยังคงร้องไห้อย่างหนักอย่างกับเป็นคนละคน แบคฮยอนทำอะไรไม่ถูก เขาได้เพียงแค่นอนอยู่เฉย ๆ เพื่อตั้งสติก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนอีกมือขึ้นมาวางลงบนแผ่นหลังกว้างอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ผู้ชายคนนี้ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าเขาเลยด้วยซ้ำไป
ทิฐิที่มีอยู่กลับเอาชนะความรู้สึกที่ซ่อนไว้ไม่ได้ ไม่จำเป็นเลยสักนิดที่เขาจะหยิบยื่นความเห็นใจให้กับผู้ชายคนนี้ แต่เหตุผลอะไรที่ทำให้แบคฮยอนค่อย ๆ ลูบหลังปลอบใจคนตัวสูงที่กำลังร้องไห้อยู่ ไม่รู้แม้แต่เหตุผล...ไม่รู้อะไรเลยสักนิด
เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นชานยอลก็กระชับกอดร่างคนตัวเล็กไว้แน่น...แน่นจนแทบหายใจไม่ออก มันนานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้รับสัมผัสแบบนี้จากผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอล ไม่สิ...จะว่าไปแล้วเขาไม่เคยถูกกอดแน่นขนาดนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ
มันหนักหนาเสียจนแบคฮยอนอยากจะร้องไห้ตาม เขาเรียบเรียงความรู้สึกตัวเองไม่ถูก ไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นมันอยู่ตรงไหนและจะพาไปในทิศทางใดต่อไป ร่างของเขาจมหายไปในอ้อมกอดของใครอีกคน...คนที่เขาคิดไว้แล้วแท้ ๆ ว่าจะตัดใจให้ได้อย่างเด็ดขาด
มือที่ทาบทับอยู่บนใบหน้าของปาร์คชานยอลประสานกับมือของเจ้าตัวไว้อย่างหลวม ๆ พวกเขาขดตัวอยู่ภายใต้ผ้านวมผืนหนา คืนนี้คยองซูคงจะไม่กลับมาแล้วและวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไงต่อไปเขาคิดไม่ออกเลยสักนิด
เสียงสะอื้นไห้ของปาร์คชานยอลยังคงอยู่ข้างหู แบคฮยอนรู้สึกว่าทุกส่วนของร่างกายนั้นอุ่นจนร้อน จะมีก็แต่แหวนสีเงินกลมเกลี้ยงบนนิ้วนางข้างซ้ายของชานยอลล่ะมั้งที่มันยังคงเย็นเยียบตามสภาพอากาศที่ควรจะเป็น
และตอนนี้แบคฮยอนก็ได้แต่ใช้ปลายนิ้วลูบมันเบา ๆ ...ไปอย่างไร้จุดหมาย
TBC
เอาพี่ชาร์ลมากอดเดี๋ยวนี้ TTTTTTTTTTTT_TTTTTTTTTTT แบดซานต้าผู้น่าสงสาร
#ออกไปกดโหวตพี่ชาร์ลหน้าบทความฟิคในเวลาถัดมา
ฉากคัทในทวิตเตอร์เหมือนเดิมนะคะที่รัก @_malinworld
ขอบคุณผู้สนับสนุนหลักอย่าง @_oharha ที่มาช่วยชีวิตมลินค่ะไว้อีกครั้งด้วยการช่วยเกลาฉากพรีเมียมให้ภาษาสวยงามขึ้น เพราะถ้ามลินค่ะเขียนเองท่านผู้อ่านคงรู้สึกได้ถึงความ 4D ที่อ่านฟิคอยู่ดี ๆ ก็มีเสียงตรั่บ ๆ ก้องอยู่ในหัว orz เราเป็นคนเขียนฉากพรีเมียมไม่เก่งค่ะ รู้ตัวเองและคิดว่าคงเอาดีด้านนี้ไม่ได้จริง ๆ ยังอ่อนหัดมาก ขอบคุณกิ๊งมากที่ช่วยเกลาจนสื่อความรู้สึกของชานแบคออกมาได้ชัดเจนขนาดนี้ คือรัก #ตบหน้าขาดังฉาด
ความคิดเห็น