คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 :: Groom And Bride
Chapter 1
Groom And Bride
เปลือกตาบางค่อย ๆ ลืมขึ้นตามเวลาปกติเหมือนกับทุกวัน แสงสว่างลอดเข้ามาจากผ้าม่านเพียงเล็กน้อยแต่ก็พอทำรู้ว่าพวกเขาทั้งสามคนข้ามคืนวันที่โหดร้ายมาได้จนถึงรุ่งเช้า
เมื่อคืนพวกเขาเลือกที่จะนอนรวมกันในโซฟาห้องนั่งเล่นดีกว่าจะแยกย้ายกันไปนอนในห้องของตัวเอง แผนการพังฐานเตียงมาเป็นที่กั้นประตูหน้าต่างถือเป็นอันล้มเหลว เพราะถ้าใช้เลื่อย มันคงส่งเสียงดังล่อพวกนั้นจนเกินไป
ถึงลู่หานจะไม่น่าไว้ใจ แต่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มไว้คงน่าอุ่นใจกว่าการนอนหลับไม่รู้เรื่องในห้องตามลำพัง แบคฮยอนขยี้ตาพลางหันไปมองรอบข้างแล้วก็พบลู่หานนอนคอพับอยู่บนโซฟาเดี่ยวด้วยท่าทางประหลาด ๆ เขาเชื่อแล้วล่ะว่าต่อให้เจอเรื่องแย่ ๆ มาแค่ไหนผู้ชายคนนี้ก็หลับได้ไม่ยาก
ว่าแต่พี่ชายของเขาหายไปไหนนะ?
หยัดตัวลุกขึ้นแล้วย่องออกไปข้างนอก สิ่งที่พบเจอก็มีเพียงแค่ความเงียบที่โรยตัวอยู่โดยรอบ ตอนนี้ไม่มีเสียงหวีดร้องขอความช่วยเหลือจากใครทั้งนั้น คาดว่าคนที่อยู่ข้างนอกคงจะโดนกัดตายไปหมดแล้ว
“ผมนึกว่าพี่หายไปไหน”
คนที่กำลังง่วนอยู่กับการทำมื้อเช้าหันมายิ้มให้กับน้องชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าครัว คนตัวเล็กเดินมานั่งฟุบหน้ากับโต๊ะอาหารพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก
“พี่เห็นนายหลับอยู่ เลยไม่อยากปลุกน่ะ” ร่างสูงวางจานขนมปังลงบนโต๊ะพร้อมกับนมสดในแก้ว แบคฮยอนดื่มรวดเดียวจนหมดแล้วเลียปากเหมือนกับเด็กจนพี่ชายต้องดึงทิชชู่มาเช็ดให้
“ถามจริงเถอะ ว่านายเป็นพี่ชายหรือเป็นพ่อเขากันแน่” เป็นอีกครั้งที่แบคฮยอนถูกกัดจากใครอีกคน แม้ว่าร่างของเขาจะไม่หลุดออกเป็นชิ้น ๆ เหมือนคนอื่น แต่คำพูดของหมอนี่มันช่างน่ารำคาญเสียจริง แบคฮยอนผินหน้าหันกลับไปมองข้างหลังแล้วก็เห็นลู่หานอ้าปากหาวหวอด ๆ เดินเข้ามาแย่งขนมปังที่อยู่ในจานของเขากินหน้าตาเฉยแล้วก็หงุดหงิด
“ถ้าไม่มีแบคโฮ นายจะเอายังไงกับชีวิต ห๊ะ บยอนแบคฮยอน” ถามพร้อมกับขึ้นไปเหยียบบนเก้าอี้แล้วนั่งลงยอง ๆ แบคโฮไม่ได้ตอบอะไรไป เพราะใจหนึ่งเขาก็อยากให้แบคฮยอนได้คิดถึงข้อนี้เหมือนกัน ว่าถ้าเกิดวันหนึ่งเขากลายเป็นเหมือนพวกนั้น แบคฮยอนก็ต้องดูแลตัวเองให้ได้
“ไม่มีคำว่าถ้า เพราะฉันกับพี่แบคโฮจะอยู่ด้วยกันตลอดไป เราทั้งสองคนจะไม่มีทางเป็นเหมือนพวกข้างนอกนั่น เดี๋ยวอีกไม่นานพ่อก็จะติดต่อมาแล้ว พอถึงตอนนั้นฉันกับพี่แบคโฮก็ต้องไปตามทางของเรา ส่วนนายก็ต้องแยกไปทางอื่น”
“แน่นอนอยู่แล้ว ฉันไม่คิดจะติดสอยห้อยตามนายสองคนไปหรอกน่า”
“ก็ดี”
“ลู่หานพูดถูกนะแบคฮยอน”
“พี่แบคโฮ?” ร่างเล็กขมวดคิ้วไม่พอใจ ทำไมจู่ ๆ พี่ชายของเขาถึงได้เห็นดีเห็นงามกับไอ้สิบแปดมงกุฎคนนี้ด้วย?
“ตอนนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว เราไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น พี่ไม่รู้ว่าจะปกป้องนายได้ไปถึงเมื่อไหร่”
“...”
“พี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะอยู่ไปถึงวันพรุ่งนี้ไหม?”
“พ่อกับแม่จะติดต่อกลับมา แล้วเราจะหนีไปที่อื่นด้วยกัน” แบคฮยอนไม่ยอมรับความจริงอะไรทั้งนั้น ถึงทุกอย่างมันจะชัดเจนอยู่แล้วว่าคงเป็นไปได้ยากที่จะหนีไปจากที่นี่
เมื่อคืนพวกเขาได้ยินแต่เสียงกรีดร้องของความเจ็บปวด...เสียงอุบัติเหตุเกิดขึ้นทั้งคืน ถึงจะไม่เคยใช้อาวุธมาก่อน แต่บยอนแบคฮยอนก็นอนกอดไม้เบสบอลของแบคโฮเอาไว้ทั้งคืน ที่หลับได้ไม่ใช่เพราะเสียงเงียบไป แต่หลับเพราะความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาทั้งวัน แต่ก็ต้องขอบคุณพระเจ้า...ที่มอบรุ่งเช้าวันใหม่ให้กับพวกเขา
“แบคฮยอน...”
“...”
“โทรศัพท์บ้านถูกตัดตั้งแต่เมื่อคืน”
“...”
“พี่คิดว่า...” ร่างสูงเงียบไปครู่หนึ่ง เขาหลุบสายตาลงพลางถอนหายใจ เมื่อคืนขณะที่แบคฮยอนกับลู่หานหลับไปแล้ว เขาลุกขึ้นมาลองใช้โทรศัพท์มือถือหวังว่าจะติดต่อพ่อแต่ก็ใช้ไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องหันไปพึ่งโทรศัพท์บ้านที่พ่อเพิ่งติดต่อมาเมื่อตอนหัวค่ำ...
แล้วก็พบว่ามันถูกตัดไปแล้ว...
“พี่ว่าเราคงต้องหาทางไปสถานกักกันนั่นเอง”
“พี่จะบ้าเหรอ? พี่ก็เห็นว่าข้างนอกเต็มไปด้วยคนพวกนั้น แค่เปิดประตูออกไปพวกเราก็ถูกกัดตายแล้ว” แบคฮยอนแสดงสีหน้าไม่พอใจ ลู่หานลอบยิ้มแล้วลุกขึ้นไปหยิบแกนลอนนมในตู้เย็นอย่างถือวิสาสะ
“อาหารเราเหลือไม่มาก อย่างเก่งก็คงอยู่ได้แค่สามวัน พอถึงตอนนั้นจะทำยังไงแบคฮยอน? นอนรอความตายอยู่ที่นี่เหรอ?”
“ถ้าไม่มีลู่หาน เราก็จะอยู่กันต่อได้อีกเป็นอาทิตย์ ผมจะกินวันละมื้อก็ได้” คนถูกพาดพิงหยุดชะงักหน้าซิงค์ล้างมือเมื่อได้ยินคนตัวเล็กแสดงความเห็นแก่ตัวออกมาได้หน้าตาเฉย
แต่มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์...คนอย่างเขาน่ะเจอแต่คนเห็นแก่ตัวแบบนี้มาทั้งชีวิตแล้ว และมันคงไม่แปลกอะไรที่หมอนั่นคิดจะผลักไล่ไสส่งเขาออกไปข้างนอกเพื่อความอยู่รอดของตัวเองและพี่ชายสุดที่รัก
“แบคฮยอน พ่อกับแม่ไม่เคยสอนให้เราเป็นคนเห็นแก่ตัว”
“แต่เราจะอดตาย ถ้าให้เขาอยู่ต่อไป”
“ถึงต่อให้ไม่มีเขาเราก็ต้องไปจากที่นี่อยู่ดีนะแบคฮยอน”
“เลิกทะเลาะกันสักทีน่า ฉันไปก็ได้ โอเค๊?” ลู่หานดึงคอเสื้อขึ้นมาเช็ดคราบนมอย่างลวก ๆ ก่อนจะบิดขี้เกียจอยู่ในที เขาก็รำคาญเสียงจ้อแจ้ของบยอนแบคฮยอนอยู่เหมือนกันนั่นแหละ ใจคอคิดจะไล่กันท่าเดียวเลย
“ดี งั้นก็ไปตั้งแต่ตอนนี้เลยสิ” แบคฮยอนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ลู่หานยักไหล่แล้วทำท่าจะเดินออกไป
“ลู่หาน” ร่างโปร่งหยุดชะงักก่อนจะเบนหน้าหันไปมองแบคโฮที่มองเขาอยู่
“ผมขอโทษแทนแบคฮยอนด้วย”
“พี่จะไปขอโทษเขาทำไม?”
“ใช่ นายจะขอโทษฉันแทนเด็กนั่นทำไม?” ลู่หานแค่นหัวเราะ
“ไม่เห็นเหรอว่าเขาตัวคนเดียว ลองคิดดูสิ ว่าถ้านายไม่มีพี่ แล้วถูกคนอื่นไล่ให้ไปเผชิญโลกภายนอกตามลำพังแบบนั้นจะเป็นยังไง?”
“...” แบคฮยอนงอหน้าตาแดงเหมือนคนจะร้องไห้ เขาจะร้องไม่ได้เด็ดขาด แค่นี้ผู้ชายที่ชื่อลู่หานก็สบประมาทเขามามากพอแล้ว เขาเข้าใจเหตุผลของแบคโฮ แต่มนุษย์ทุกคนก็ย่อมมีความเห็นแก่ตัวเพื่อการอยู่รอดทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? อีกทั้งผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีท่าทีน่าเห็นใจอะไรเลยสักนิด ก็ดูจะเอาตัวรอดเก่งกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ
“พี่รู้ว่ามันเสี่ยง แต่ถ้าเรารีบไปถึงสถานกักกันให้เร็วเท่าไหร่ โอกาสรอดไปจากฝันร้ายนี่ก็มีมากขึ้นเท่านั้น”
“...”
“ที่นั่นต้องมีทหาร ตำรวจ หน่วยแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้ เราต้องไปให้ถึงที่นั่นก่อนที่คนทั้งเมืองจะกลายเป็นพวกมันกันหมดนะแบคฮยอน”
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าสถานกักกันอยู่ที่ไหน?”
.
.
“อากาศดีชะมัด...”
“เงียบเถอะน่า” แบคโฮหันไปค้อนใส่คนที่กำลังย่องตามหลังเขามาอย่างช้า ๆ บนถนนที่เงียบสงบในเวลาสองทุ่มเศษ ๆ พวกเขาตัดสินใจออกมาในเวลานี้เพราะคิดว่ามันน่าจะปลอดภัยกว่าตอนกลางวันเป็นไหน ๆ
ตอนนี้ไม่มีคนบ้าที่เที่ยววิ่งไล่กัดคนอื่น มีเพียงแค่ซากศพที่นอนจมกองเลือดเท่านั้น กลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วจนต้องปิดจมูกเอาไว้ แบคฮยอนรู้สึกอยากอาเจียน เขาไม่เคยเห็นคนนอนตายเกลื่อนบนถนนแบบนี้มาก่อน
“หมอบลงอีกนิด ข้างหน้ามีพวกมัน” ลู่หานพูดเบา ๆ พร้อมกับกดหัวแบคฮยอนลง คนตัวเล็กรีบปัดมือเรียวออกอย่างรำคาญแต่ก็ถูกปรามด้วยเสียงของพี่ชายที่อยู่ข้างหน้า
“ชู่ว์....”
“จะทำยังไงดี ตรงนั้นมีพวกมันอยู่ตั้งห้าตัว” แบคโฮครุ่นคิด เพราะข้างหน้าคือทางเดียวที่จะออกไปจากหมู่บ้านนี้ได้
“ถ้าคิดจะหนี เท้าเปล่าคงไม่เวิร์คแน่” ลู่หานชะเง้อหน้ามองสังเกตการณ์ ได้ยินเสียงรถยนต์ที่กำลังวิ่งอยู่บนถนนและนั่นทำให้เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นผีดิบพวกนั้นแห่กันตามเสียงไป
“แต่ถ้าใช้รถก็คงจะไม่เวิร์คเหมือนกัน” แบคโฮพูด ทั้งสามคนทิ้งตัวนั่งลงกับพื้น ตรงนี้เป็นมุมอับที่ไม่มีใครมองเห็นได้ และต่อให้มีไอ้พวกนั้นโผล่ออกมา ลู่หานก็พร้อมที่จะเอามีดที่เอามาจากในครัวจ้วงท้องมันให้ไส้แตก
“ทำไมใช้รถไม่ได้ล่ะ?” แบคฮยอนถาม
“ดูเหมือนว่าพวกมันตามเสียงที่ได้ยินนะ...ถ้าเกิดเราส่งเสียงดังพวกมันก็คงแห่กันมาทางนี้เหมือนกัน” ร่างสูงตอบก่อนจะชะเง้อหน้าออกไปสังเกตการณ์อีกครั้ง
“งั้นเราก็ค่อย ๆ เดินไปสิ”
“พูดง่ายจังนะ พวกมันตามเสียงก็จริงแต่ตาไม่ได้บอด” นิ้วชี้กับนิ้วกลางชี้ตรงระหว่างสายตาของเขา แบคฮยอนรู้สึกขัดใจที่พูดอะไรไปก็ฉายความโง่ให้ลู่หานได้จับผิดตลอด นี่เขาคงโง่จริง ๆ นั่นแหละ
“แล้วเราจะเอายังไงกันดีล่ะ ลู่หาน นายว่าไง?”
“ก่อนอื่น เราต้องมีรถ”
“แล้วเราจะไปหารถมาจากไหน?” แบคฮยอนถาม
“ในเมื่อบ้านนายไม่มีรถจอดทิ้งไว้ให้ เห็นทีคงต้องใช้แผนบี” ลู่หานยิ้มพร้อมกับยักคิ้วให้สองพี่น้อง
.
.
“ช่วยเร็วกว่านี้ได้ไหม...”
“เออ รู้แล้ว อย่าเร่งได้ไหมล่ะ...”
“แบคฮยอน อย่าออกไปไกลนัก อยู่ใกล้ ๆ พี่เอาไว้...”
ทั้งสามสนทนากันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับกลัวใครได้ยินเข้า แน่นอน...เขาเลือกที่จะได้ยินกันสามคนดีกว่าให้แขกไม่ได้รับเชิญโผล่ออกมา นี่ก็เกือบสิบห้านาทีแล้วที่สองพี่น้องบยอนต้องนั่งยอง ๆ กับพื้นข้างรถที่จอดอยู่ริมฟุตปาธอย่างหวาดระแวง ส่วนลู่หานกำลังนอนราบกับเบาะรถเพื่อต่อสายตรง เพราะเจ้าตัวออกปากมาเองว่าเคยทำแบบนี้มาแล้ว
ถึงเรื่องที่ได้ฟังจะทำให้มองลู่หานในแง่ลบ แต่ในสถานการณ์แบบนี้บยอนแบคโฮขอนับว่ามันเป็นข้อดีแล้วกัน มือแกร่งกำขวานในมือไว้แน่น สายตาก็มองไปรอบ ๆ ข้างจนกระทั่งสะดุดตากับใครคนหนึ่งที่เดินโซซัดโซเซมาทางนี้
แบคโฮรีบตะปบปากแบคฮยอนเอาไว้ในทันทีเมื่อคนตัวเล็กหันไปเห็น ถ้าเกิดส่งเสียงดังตอนนี้มันคงพุ่งมาที่เขาสองคนแน่ และมันคงทำลายสมาธิลู่หานที่อยู่ในรถอีกด้วย
“ชู่ว์...มันยังไม่เห็นเรา”
“...ผมกลัว”
“ไม่ต้องกลัวนะ พี่อยู่ตรงนี้” ร่างสูงลูบหัวปลอบใจคนเป็นน้อง ส่วนมืออีกข้างก็กำขวานไว้แน่น แบคฮยอนน้ำตาไหลออกมาเมื่อเห็นสภาพของผีดิบตนนั้นในระยะใกล้
“ลู่หาน ใกล้เสร็จหรือยัง?”
“อีกนิด” เสียงลอดออกมาจากปากที่คาบไฟฉายหลอดเล็กเอาไว้เพื่อส่องขณะต่อสายตรง หยาดเหงื่อซึมตรงข้ามขมับ นี่เป็นการขโมยรถที่น่าตื่นเต้นที่สุดในโลกตั้งแต่เคยทำมา
ครืนนน...
“YOLO~” ลู่หานยิ้มกว้างก่อนจะพลิกตัวขึ้นนั่ง ผีดิบที่ได้ยินเสียงรถสตาร์ทติดก็หันหาเป้าหมายในทันที สองพี่น้องเบิกตากว้างก่อนที่คนเป็นพี่จะรีบเปิดประตูเบาะหลังแล้วดันแบคฮยอนให้เข้าไปก่อน
“แย่แล้วสิ...”
“กร๊าซซซซซซซซ” ศพเดินได้สภาพหน้าเหวอะ เนื้อหลุดจากแขนเป็นริ้ว ๆ กำลังพุ่งมาที่ร่างสูง แบคโฮมือสั่นและลนลาน พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วเขาก็กลัวที่จะต้องปะทะกับพวกประหลาดซึ่ง ๆ หน้า
“พี่แบคโฮ เข้ามาสิ!”
“เฮ้ย! ข้างหลังนายอีกสองตัวน่ะแบคโฮ!” ลู่หานแทบจะเอาหัวโขกกับพวงมาลัยเมื่อเห็นแบคโฮคิดจะสู้กับพวกนั้นตัวคนเดียว ร่างโปร่งเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะหันไปมองใครอีกคนที่นั่งอยู่เบาะหลังด้วยสีหน้าตื่นกลัว
“นั่งเงียบ ๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...อย่าออกมา” ลู่หานพูดเสียงเรียบก่อนจะหยิบมีดแล้วเปิดประตูออกไป
แบคโฮจามขวานเข้าซอกคอผีดิบสาววัยทำงานอย่างแรงจนคอบิ่นไปเกือบครึ่ง ร่างของเขาเซไปข้างหน้าเพราะเสียหลักจากขวานที่ปักอยู่ตรงซอกคอ ลู่หานกำมีดไว้แน่น เขาใช้จังหวะที่ผีดิบกำลังสนใจแบคโฮลอบไปข้างหลังแล้วแทงเข้าที่ท้ายทอยจนทะลุคอ
ร่างผีดิบชายกลางคนร้องโอดครวญแค่ครู่เดียวก็ร่วงล้มลงไปกับพื้น ส่วนแบคโฮนั้นกำลังพยายามดึงขวานออกจากคอหญิงสาวแต่กลับไม่เป็นผล มันฝังลึกเกินจนเขาต้องใช้เท้าเหยียบเธอถึงได้ดึงขวานออกมาได้
“แบคโฮระวัง!”
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
ร่างสูงหลับตารอความตายเมื่อหันไปเห็นผีดิบที่อยู่ใกล้เขาไม่เกินหนึ่งช่วงแขน ผ่านไปเกือบห้าวินาที เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเมื่อพบว่าตัวเองไม่ได้ถูกกัดอย่างที่ควรจะเป็น ร่างของผีดิบที่อยู่ใกล้หน้าเขาเมื่อครู่หายไปแล้ว ตอนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือใครอีกคนที่ไม่รู้จัก พอก้มลงมองถึงได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนฆ่ามันเพื่อช่วยชีวิตเขา
“...”
“คุณ...”
“ไม่มีเวลาแล้ว เสียงรถของพวกนายกำลังเรียกมันมาที่นี่”
“ใช่ รีบขึ้นรถเถอะ” ลู่หานเห็นด้วยกับผู้ชายที่เพิ่งมาใหม่ ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วคาดว่าหมอนั่นคงผ่านอะไรมาเยอะพอสมควร
แบคโฮพยักหน้าก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในรถแล้วดึงแบคฮยอนที่กำลังร้องไห้เข้ามากอดปลอบ ส่วนลู่หานก็ทำหน้าที่คนขับโดยที่มีผู้ชายอีกคนนั่งข้าง ๆ
“คุณชื่ออะไร?”
“คิมจงอิน”
“ผมบยอนแบคโฮ...ขอบคุณมากนะที่ช่วยผมเอาไว้” แบคโฮมองอีกฝ่ายผ่านกระจกมองหลังทั้งที่ยังปลอบน้องชายอยู่อย่างนั้น ลู่หานขยี้หัวตัวเองอย่างหัวเสีย ถ้าไม่ได้ผู้ชายคนนี้แบคโฮคงถูกกัดตายแหงแซะ ทั้งที่เขาแทงคอมันจนทะลุแล้ว แต่ไอ้ผีดิบเฮงซวยนั่นกลับไม่ยอมตาย
“ไม่เป็นไร ว่าแต่นั่นน่ะ?” จงอินมองไปยังคนตัวเล็กที่กำลังพยายามหยุดน้ำตาตัวเอง
“น้องชายผมเอง บยอนแบคฮยอน”
“ลู่หาน” ร่างโปร่งตอบสั้น ๆ ขณะขับรถไปตามถนนยามค่ำคืน
“อืม...แล้วนี่คิดจะไปไหนกัน?”
“ไปสถานกักกันผู้ป่วย พ่อแม่ของสองคนนี้อยู่ที่นั่นน่ะ” เป็นลู่หานที่ตอบแทนทั้งคู่ พอได้ยินอย่างนั้นจงอินก็ต้องหันกลับไปมองหน้าคนที่อยู่เบาะหลังทันที
“สถานกักกันผู้ป่วยตรงทางออกเมืองน่ะเหรอ?”
“...มันมีที่เดียวหรือเปล่าครับ?” แบคโฮถาม ดูเหมือนว่าคิมจงอินจะรู้อะไรมากกว่าเขา
“ถ้าเป็นที่นั่น...ทุกคนตายหมดแล้วล่ะ”
“...”
“...”
“ถ้าไม่เชื่อ จะไปดูกับตาเองก็ได้นะ แต่ต้องจอดให้ฉันลงก่อน” จงอินพูดเสียงเรียบ เขาดูไม่ตื่นกลัวกับสถานการณ์นี้เท่าไหร่ ลู่หานคิดว่าเขาใจเย็นมากพอแล้ว แต่คนข้าง ๆ นี่จัดว่าเย็นกว่าเขาเยอะ
“คุณพูดอะไร พ่อแม่ผมยังไม่ตายนะ!” แบคฮยอนโพล่งออกมาจนพี่ชายต้องบีบมือเอาไว้เพื่อเตือนสติ
“ก็บอกแล้ว ว่าถ้าไม่เชื่อก็ให้ไปดูกับตาเอง”
“คุณรู้ได้ยังไง ว่าทุกคนที่นั่นตายหมดแล้ว?”
“ข่าวจากทีวีเมื่อคืนนี้ ก่อนสัญญาณจะตัดไป”
“...”
“...”
“แต่...”
เอี๊ยดดดดดดดด...
ทุกคนแทบหน้าพุ่งไปข้างหน้าเมื่อลู่หานเบรกกะทันหัน ยังไม่ทันได้ก่นด่าทั้งสี่คนก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าถนนเบื้องหน้ามีรถคันหนึ่งถูกเหล่าผีดิบล้อมอยู่ พวกมันพยายามทุบกระจกรถเพื่อลากเหยื่อที่อยู่ข้างในออกมา
“...ให้ตายเถอะ”
“มีคนอยู่ในรถคันนั้น”
“เราต้องช่วยเขา” แบคโฮพูดขึ้นมานั่นทำให้ทั้งสามคนหันไปมองคนที่หวิดตายเมื่อครู่
“ขนาดชีวิตตัวเองยังเอาไม่รอดแล้วยังจะไปช่วยคนอื่นอีกหรือไง?” คิมจงอินพูดแทงใจร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างหลัง
“หมอนี่พูดถูก ไม่เห็นเหรอว่าตรงนั้นมีพวกมันกี่ตัว”
“ใช่ เราจะช่วยทุกคนที่เราเจอไม่ได้หรอกนะพี่แบคโฮ” เป็นครั้งแรกที่แบคฮยอนเห็นดีเห็นงามกับคนแปลกหน้า เพราะเขากลัวว่าถ้าเกิดไปช่วยคนที่อยู่ในรถคันนั้นแล้วจะกลายเป็นพวกเขาเองที่ต้องจบชีวิตลง
“ผมเข้าใจในสิ่งที่พวกคุณพูดนะ...” แบคโฮนั่งนิ่ง เขาหยิบขวานเปื้อนเลือดขึ้นมากระชับไว้แล้วเงยหน้ามองคนทั้งคู่ที่อยู่เบาะหน้า
“แต่ถ้าผมอยู่ในรถคันนั้น ผมก็อยากรอดชีวิตออกมาเหมือนกัน” แบคโฮพูดปิดท้ายก่อนจะทำท่าเปิดประตูออก
“เดี๋ยว”
“...” ร่างสูงชะงัก ทุกคนหันไปมองคิมจงอินเป็นตาเดียวกัน
“ถ้านายไปคนเดียวก็ตายเปล่า” เขาพูดเสียงเรียบก่อนจะหยิบปืนพก 9 มม. ขึ้นมา
“ถ้าจะมีคนตายก็ต้องเป็นพวกมันที่ต้องตายซ้ำอีกรอบ ไม่ใช่เรา”
.
.
“ขอบคุณมากสำหรับหน้าที่นี้...ขอบคุณจริง ๆ ฮะฮะฮะ” ลู่หานหัวเราะเยาะกับชีวิตเส็งเคร็งแล้วก็เหยียบคันเร่งซ้ำ ๆ โดยมีแบคฮยอนที่นั่งคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ข้าง ๆ
ร่างเล็กไม่มีทางเลือก เพราะจะลงจากรถไปกับจงอินและแบคโฮตามแผนก็คงไม่ได้ นอกจากจะช่วยอะไรไม่ได้ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นภาระเสียเปล่า ๆ พวกเขาใช้เวลาวางแผนกันอยู่ห้านาทีหรืออาจจะน้อยกว่านั้น จนกระทั่งได้ผลลัพท์ออกมาแล้วว่า จะให้ลู่หานเป็นคนขับรถล่อเหล่าผีดิบออกมาแล้วให้จงอินกับแบคโฮเข้าไปช่วยคนในรถคันนั้น
“คาดเข็มขัดดีแล้วนะน้องหนู”
“เงียบสักทีเถอะน่า”
“นี่แบคฮยอน”
“อะไร?” คนตัวเล็กเหล่มองคนข้าง ๆ ที่กำลังยิ้มทะเล้นอยู่ นี่มันใช่เวลาที่จะมาปั้นหน้าปั้นตาแบบนั้นหรือไง
“เคยดู Fast And Furious ไหม?”
สิ้นสุดคำถามแบคฮยอนก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อคนขี้เล่นเบิร์นยางรถจนเกิดเสียงดังไปทั่ว แน่นอนว่ามันเรียกความสนใจจากเหล่าผีดิบที่อยู่ในระแวกนั้นได้เป็นอย่างดี คนตัวเล็กเอานิ้วอุดหูพร้อมกับหลับตาปี๋ในขณะที่ลู่หานกำลังผิวปากอย่างอารมณ์ดี
เมื่อก่อนก็พอมีฝีมือเรื่องการแข่งรถบ้าง ถึงจะไม่เคยชนะชาวบ้านเขา แต่เรื่องขับหนีตำรวจนี่ขอให้บอก...
จงอินกับแบคโฮที่หลบอยู่ข้างหลังตู้โทรศัพท์ชะเง้อหน้ามองออกไปข้างนอกเมื่อเห็นว่าพวกผีดิบกำลังทะยอยออกมาจากรถคันนั้นแล้วบางส่วน ร่างหนาเหน็บปืนไว้ข้างหลังแล้วดึงไขควงปากแฉกที่ใช้เป็นอาวุธตั้งแต่เมื่อวานขึ้นมาถือไว้ เขาจะใช้ปืนก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น ทั้งคู่พยักหน้าอย่างรู้กันก่อนจะย่องไปข้างหลังแล้วแทงเข้าที่กลางหัวผีดิบอย่างแรง
“ฮืออออ...”
“กร๊าซซซซซซซ”
“ฟันที่หัว!” จงอินสั่งการแบคโฮที่ยืนแก้ ๆ กัง ๆ ร่างสูงพยักหน้ารับก่อนจะจามขวานลงที่กลางหัวผีดิบเด็กนักเรียนที่เพิ่งหันหน้าเข้าหาเขาแล้วดึงออก
“ปลดล็อคประตู!!” จงอินตะโกนลั่นหวังให้คนที่อยู่ในรถได้ยินก่อนจะหันหน้ากลับไปถีบกลางอกผีดิบให้เซถอยหลังออกไป แล้วหันกลับมาเปิดประตูหลังรถเมื่อได้ยินเสียงปลดล็อค
“...”
“ไม่ใช่เวลาช็อคคุณเจ้าบ่าว รีบขับออกไปเดี๋ยวนี้ก่อนที่พวกมันจะแห่กลับมาเพราะเสียงรถของคุณ” จงอินเท้าแขนลงกับเบาะนั่งข้างหน้าแล้วมองเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวที่กำลังช็อคกับเหตุการณ์เมื่อครู่
“จะให้ผมขับไปไหน...?” เจ้าบ่าวถามเสียงสั่นก่อนจะผินหน้ากลับมามองผู้ช่วยชีวิต
“ห้างสรรพสินค้า K ที่อยู่ถัดจากตรงนี้ไปอีกสี่บล็อก”
.
.
ครืน...
ไฟหน้ารถดับลงพร้อมกับเสียงดับเครื่องยนต์ ลู่หานกับแบคฮยอนที่ยืนรออยู่ในลานจอดรถรู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นว่ารถคันที่เขาช่วยเมื่อครู่ขับมาถึงแล้ว จงอินกับแบคโฮเดินลงมาก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงในชุดทักซิโด้สีขาวจะเดินตามออกมาหากแต่เขากลับอ้อมไปยังที่นั่งข้างคนขับแล้วประคองร่างผู้หญิงในชุดเจ้าสาวเอาไว้
“โอ้ว ช่างเลือกวันแต่งงานได้เหมาะ”
“ลู่หาน” แบคโฮข่มเสียงต่ำพลางมองคนปากเปราะที่ยืนพิงประตูฝั่งคนขับที่เพิ่งขโมยมาได้ไม่นาน
แต่จากสภาพแล้วบ่าวสาวคู่นี้คงจะหนีตายมาในเวลาไล่เลี่ยกับเขา เพราะดูจากชุดสีขาวสะอาดปัจจุบันเต็มไปด้วยคราบฝุ่นสกปรกที่เลอะอยู่ตามชุด
“คุณไหวไหมโฮจอง?”
“ฉัน...ไหวค่ะ”
“เธอถูกกัดเหรอ?”
“เปล่า”
เป็นเจ้าบ่าวที่โพล่งตอบขึ้นมาทันที ร่างสูงขึงตาใส่แบคโฮที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะถอยออกมาสองก้าวเพื่อเว้นระยะห่างเอาไว้
“เธอแค่หกล้มตอนกำลังหนีน่ะ” เขาแผ่วเสียงลงเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเผลอขึ้นเสียงออกไป เจ้าบ่าวประคองเจ้าสาวให้ไปนั่งบนทางเดินเข้าห้างก่อนจะเดินกลับมาหาทุกคนที่ยืนอยู่ข้างรถ
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยชีวิตเราเอาไว้”
“ขอบคุณหมอนั่นแล้วกัน เขาเป็นคนเดียวที่คิดอยากจะไปช่วยคุณ” จงอินพูดพร้อมกับผินหน้าไปทางแบคโฮที่ร่างสูงเพิ่งตะคอกใส่เมื่อครู่
“เมื่อกี้ผมเสียมารยาทไป...ต้องขอโทษด้วยนะครับ” เขายืนขาชิดกันพร้อมกับโค้งหัวเต็มองศา แบคโฮโค้งกลับแล้วยิ้มบาง ๆ
“ไม่เป็นไรครับ คุณสองคนปลอดภัยก็ดีแล้ว”
“ผมปาร์คชานยอล นั่นเจ้าสาวของผม...อีโฮจองครับ” เขายิ้มบาง ๆ แล้วผายมือไปยังเจ้าสาวที่นั่งหน้าซีดอยู่ตรงนั้น เธอยิ้มตอบกลับมาพร้อมกับโค้งหัวให้
“ผมชื่อบยอนแบคโฮ นี่น้องชายผมบยอนแบคฮยอน ผู้ชายที่อยู่ตรงนั้นชื่อคิมจงอิน ส่วนคนนั้นชื่อลู่หานครับ”
“ขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะครับ” เขายิ้มบาง ๆ แล้วโค้งหัวอย่างสุภาพอีกครั้ง ไม่รู้สิ ลู่หานกับจงอินรู้สึกไม่ชินกับความสุภาพเอาเสียเลย
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ ว่าแต่พวกเรามาที่นี่ทำไม?” แบคฮยอนเปิดประเด็นขึ้นมา
“จะหนีก็ต้องมีเสบียง” จงอินตอบสั้น ๆ แค่นั้นทุกคนก็ถึงบางอ้อ ร่างหนาขอยืมขวานจากแบคโฮก่อนจะเดินไปหยุดที่ประตูทางเข้าแล้วจามโซ่ที่ห้อยอยู่จนหลุดออกจากกัน
“ระวังตัวหน่อยนะ คาดว่าข้างในนี้คงมีผีดิบบ้าช๊อปปิ้งอยู่เยอะ” เขาหันมาพูดทิ้งท้ายก่อนจะยื่นขวานคืนให้กับแบคโฮแล้วดึงไคขวงขึ้นมาถือเอาไว้เป็นอาวุธ
“ลุกไหวไหม?” กระซิบหญิงสาวร่างบางแล้วยิ้มให้เป็นกำลังใจ เธอพยักหน้าตอบแล้วหยัดตัวขึ้นโดยได้รับการช่วยเหลือจากคนรัก
“มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า?” แบคฮยอนถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นสีหน้าของเธอดูไม่ดีเท่าที่ควร
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณนะ” ชานยอลยิ้มแล้วประคองร่างคนรักเข้าไปในห้าง แบคฮยอนยืนมองตามคู่บ่าวสาวอยู่ครู่หนึ่ง พอจะเดินตามเข้าไปก็ต้องหยุดชะงัก
“นี่”
แบคฮยอนหันไปมองข้าง ๆ แล้วก็เห็นลู่หานยืนอยู่ สายตาของเขากำลังมองไปยังหนุ่มสาวที่กำลังเดินเข้าไปอย่างทุลักทุเล
“อะไร”
“นายไม่คิดว่ามันแปลก ๆ เหรอ?”
“แปลก...อะไร?” แบคฮยอนขมวดคิ้วมุ่น ลู่หานลอบยิ้มออกมาก่อนจะป้องปากกระซิบคนตัวเล็ก
“ฉันว่ายัยเจ้าสาวคนสวยนั่นต้องถูกกัดมาแน่ ๆ ...”
TBC
ตอนสองมาแล้ว
ย้ำว่าเขียนเพราะสนองนิสจริง ๆ ขนาดไม่มีคนอ่านนางยังเขียนตอนต่อได้ 55555555555555555555555555 ชอบก็ติดแท๊ก #ฟิคซอมบี้ กันได้นะคะ <3
ความคิดเห็น