คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Chapter 11 :: Prank
Chapter 11
Prank
ตึกตึก...
‘เซฮุนนา...หยิบผักในตู้เย็นให้แม่หน่อยสิจ๊ะ’
ตึกตึก...
‘เซฮุนแม่งเจ๋งว่ะ ขนาดไม่ค่อยมาเรียนยังได้คะแนนดีกว่ากูอีก’
ตึกตึก...
‘อี้ฟาน ถอยออกมาเร็วเข้า!’
‘นายวิ่งไหวไหม รีบวิ่งกลับไปที่รถ...เดี๋ยวนี้!’
ตึกตึก...
‘โดนกัดพร้อมกันกับพี่ชายฉัน แต่นายกลับรอด มันน่าหมั่นไส้ไหมล่ะ’
ตึกตึก...
‘ผมไม่ได้อยากใจร้ายหรอกนะ แต่ในห้องนี้มีคนถูกกัดอยู่ถึงสองคน ถ้าเกิดพวกเขาเปลี่ยน...แน่นอนว่าพวกเราอาจจะตายห่ากันหมด’
ตึกตึก...
‘แล้วแผลแค่นี้ทำให้นายตายไหม? หา? ตายหรือยัง?’
ตึกตึก...
‘กูน่าจะปล่อยให้มึงโดนแดกตายตั้งแต่วันนั้น โอเซฮุน!’
ตึกตึก...
‘เดี๋ยวฉันจะทำแผลให้ ดีใจไหม?’
ตึกตึก...
‘แข็งใจไว้นะ ห้ามหลับเด็ดขาด ได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่าโอเซฮุน!’
เปลือกตาบางค่อย ๆ ลืมขึ้นและสิ่งแรกที่เห็นคือใครคนหนึ่งที่กำลังเปลี่ยนเสื้ออยู่หน้าตู้เสื้อผ้าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ความเหนื่อยล้ายึดให้ร่างของเขายังคงนอนอยู่ในท่าเดิมไม่ขยับตัวไปไหน มีเพียงอย่างเดียวที่ขยับได้คือเปลือกตาที่กระพริบตามหน้าที่ของมัน
“...”
“...”
ผู้ชายที่คิดว่าป่าเถื่อนที่สุดในโลกหันมาสบตากับเขาพร้อมกับดึงชายเสื้อยืดสีเทาลงจนคลุมหัวกางเกงยีนส์สีดำ ไม่มีบทสนทนาอะไรใด ๆ เกิดขึ้นราวกับว่าอีกฝ่ายให้โอกาสเขาได้ทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ
“ผมยังไม่ตายใช่ไหม?”
“ฉันยังไม่เคยเห็นตัวกินคนพูดได้ แต่ถ้าใช่ ฉันจะเอาไอ้นี่เป่าหัวนายซะ ปัง ๆ!” จงอินหันกลับมาพร้อมกับหน้ากวนประสาท ทำมือเป็นรูปปืนแล้วยิงมาที่เขา
“คุณอายุเท่าไหร่แล้วครับ”
“อะไร? นายจะหาว่าฉันปัญญาอ่อนงั้นเหรอ ยังซ่าได้อยู่นะครับ...ยังซ่าได้ ช่วยดูสังขารตัวเองก่อนจะปากดีนิดนึง” จงอินแค่นหัวเราะกับเด็กที่นอนอยู่บนเตียง ร่างหนาหันกลับไปคว้าเสื้อตัวนอกในตู้เสื้อผ้าแล้วก็ได้แต่บ่นอุบอิบกับตัวเอง
กวนตีนตาใสแบบนั้นคิดว่าน่ารักเหรอวะแม่ง
“ก็ดูเล่นมุข...” เซฮุนงึมงำแล้วอมยิ้มคนเดียว แต่ก็ต้องหุบยิ้มลงทันทีเมื่ออีกฝ่ายหันกลับมา
“อยู่ในนี้ ห้ามออกไปไหน ยังฟังภาษาคนรู้เรื่องใช่ไหม?”
“ทำไมล่ะครับ...ว่าแต่นี่...มันห้องคุณกับลู่หานไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ นายเพิ่งถูกกัดรอบสองและฉันก็ไม่คิดว่านายจะดวงดีเหมือนกับคราวที่แล้ว เพราะฉะนั้นห้ามออกไปข้างนอกเด็ดขาดจนกว่าฉันจะแน่ใจว่านายปลอดภั...” ประโยคสุดท้ายหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ ร่างหนาชะงักไปชั่ววินาทีขณะสบตากับใครอีกคนที่อยู่บนเตียง แววตาคู่นั้นราวกับรอให้เขาพูดต่อให้จบ มือสากเลื่อนขึ้นนวดท้ายทอยแก้โง่ทั้งที่ยังปั้นหน้าเป็นปกติ เหี้ยแล้วกู พูดอะไรออกไป
“ฉันหมายถึงว่านายต้องอยู่ที่นี่จนกว่าฉันจะแน่ใจแล้วว่านายปลอดภัยสำหรับคนอื่น ฉันเป็นห่วงแบคฮยอน เกิดอยู่ ๆ นายเปลี่ยนขึ้นมา โดนไม้เบสบอลตะปูของเด็กนั่นหวดหน้าให้แล้วศพจะไม่สวย” แก้ตัวไปหน้าด้าน ๆ แล้วก็เผลอไปสบตาใส ๆ ของคนที่นอนอยู่บนเตียงเข้าให้ ร่างหนาเบือนหน้าหลบไปอีกทางแล้วเอาดิ้นดันกระพุ้งแก้ม
กูประหม่าเชี่ยไร หันกลับมองไปดิ มองให้ชนะมัน!
“ครับ ผมจะไม่ออกไปไหน”
“เออดี พูดง่าย ๆ โตไว ๆ ” พูดทั้งที่ยังหันหน้าไปอีกทาง
คือเพิ่งแซวไอ้เชี่ยลู่หานไปหยก ๆ เรื่องชอบผู้ชาย แต่นี่อะไร...ไม่ดิ เขาไม่ได้ชอบไอ้เด็กนี่สักหน่อย ก็แค่รู้สึกวูบวาบตอนมองหน้ามันบางครั้งเองนะเว้ย
มันก็ต้องมีบ้างเปล่าวะที่ผู้ชายจะมองว่าผู้ชายด้วยกันหล่อ ดูดี น่ารัก เท่ อะไรทำนองนั้นน่ะ แต่มันไม่ใช่ความชอบสักหน่อย เออใช่ เขาไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับเด็กนี่เลยด้วยซ้ำ โอเซฮุนก็แค่น่ารักตอนยิ้มตาปิด ตอนทำหน้ากวนตีนหน้าตาย ตอนหลับ ตอนงัวเงียเพิ่งตื่น ตอนหัวเราะ
...เดี๋ยว
กูว่าชักจะเยอะไปละ
“คุณตามไปช่วยผมใช่ไหม”
“...”
ร่างบางจ้องมองแผ่นหลังกว้างของคนที่ยืนหันหลังให้กับเขาอยู่ ทั้งที่รู้ ทั้งที่จำได้ แต่แค่อยากได้ยินจากปากคน ๆ นี้ว่ามันเป็นเรื่องจริง เซฮุนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องรู้สึกดีด้วยที่จงอินไปช่วยเขากลับมา
“อะไร?”
“เมื่อคืนน่ะ”
“อ๋อ ถ้าเป็นเรื่องที่นายไปวิ่งเล่นในโรงเรียนโดยไม่บอกฉันล่ะก็...อี้ฟานเป็นคนไปช่วยน่ะ พอดีหมอนั่นบอกว่าต้องการมือดีจากพระนครให้ไปช่วยเคลียร์ทางไง ฉันก็ฟันคอซอมบี้ส่วนไอ้หมอนั่นก็หิ้วนายออกมา มีแอบบ่นด้วยนะว่าตัวนายหนักมากอย่างกับกินควายมาทั้งตัว”
“เหรอครับ...งั้นแสดงว่าผมคงฝันไป” น้ำเสียงดูผิดหวังจนคนได้ฟังแอบหันกลับไปมอง เห็นสีหน้าหงอย ๆ นั่นแล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมาแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
“ฉันจะไปทำธุระหน่อย เดี๋ยวมีคนเอามื้อเที่ยงมาให้กิน ถ้าง่วงก็นอนรอไปก่อนแล้วกัน” พูดแค่นั้นแล้วก็เดินออกไปจากห้อง เซฮุนได้เพียงแค่มองประตูที่ปิดลงแล้ว ร่างบางถอนหายใจเล็กน้อยแล้วมองข้อมือตัวเองที่ถูกพันแผลไว้เป็นอย่างดี
นี่เขาถูกกัดอีกครั้งแล้วสิ...
ว่าแต่คราวนี้...เขาจะเปลี่ยนเป็นเหมือนพวกนั้นหรือเปล่านะ?
ความหวาดกลัวเหมือนตอนนั้นกลับมาอีกครั้ง แต่มันแปลกไปจากเดิมคือความรู้สึกที่ต่างออกไป คราวนั้นเขายอมที่จะตายไปได้ง่าย ๆ เพราะไม่มีเหตุผลที่ต้องอยู่ แต่ตอนนี้...เขากลับรู้สึกกลัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เพราะตอนนี้โอเซฮุนมีความสุขที่ได้อยู่กับทุกคนสินะ...
แอ๊ด...
เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงที่เดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารในมือ ยิ้มทักทายเป็นเชิงให้กำลังใจกับคนที่นอนอยู่ก่อนจะวางอาหารลงบนโต๊ะแล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง
“อรุณสวัสดิ์”
“ไม่ใช่เที่ยงแล้วเหรอครับ” เซฮุนถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าจงอินเพิ่งพูดถึงเรื่องมื้อเที่ยงไปเมื่อครู่ อี้ฟานหัวเราะแล้วลูบหัวคนที่นอนอยู่เบา ๆ
“ตอนนี้บ่ายโมงกว่าแล้วล่ะ นี่ผมเอาโจ๊กมาให้ทาน ถึงมันจะไม่มีอะไรเลยนอกจากข้าวเหลว ๆ แต่คุณก็ควรทานรองท้องเอาไว้บ้างนะ”
“ขอบคุณครับ”
“แล้วคุณเป็นยังไงบ้าง?” ร่างสูงถามพลางหลุบสายตาลงมองแผลตรงข้อมืออีกฝ่าย
“ตอนนี้ยังครับแต่อีกชั่วโมงข้างหน้าก็ไม่แน่...” เด็กหนุ่มพูดติดตลกเรียกรอยยิ้มจากริมฝีปากของทั้งคู่ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าคมก็เริ่มจางลงเมื่อมองดวงหน้าหวานอีกครั้ง
“ผมขอโทษที่ทิ้งคุณไว้ตรงนั้นตามลำพัง”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกครับ อย่าขอโทษเลย ผมเลือกที่จะทำแบบนั้นเอง”
“...”
“แต่คุณก็ไปช่วยผมกลับมา ผมยังไม่ตาย ยังคุยกับคุณได้อยู่เลย ขอบคุณนะครับอี้ฟาน” เซฮุนยิ้มเพราะไม่อยากให้ร่างสูงรู้สึกผิด
“เปล่าหรอก จงอินต่างหากที่ไปช่วยคุณ”
“...” ร่างบางลดสีหน้าลง ราวกับรอยยิ้มลอยหายไปตามสายลม นัยน์ตาเรียวมองอีกคนที่กำลังทำหน้าคิดไม่ตก
“ผมเจอจงอินระหว่างทาง เขาฝ่าฝูงพวกกินคนมาเพื่อช่วยพวกเรา ขากลับเราเกือบไม่รอดแล้วถ้าไม่ได้ลู่หานตามมาช่วยอีกคน” ร่างสูงยิ้มเศร้าเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน
“...”
“แล้วคนที่ให้คุณขี่หลังกลับมาที่นี่...ก็ไม่ใช่ผมหรือลู่หานหรอกนะเซฮุน”
“อึ่ก...” เทานิ่วหน้าเจ็บเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงกดจากปลายเข็มแหลม ๆ ที่ทิ่มลงตรงนิ้วกลาง ร่างสูงหันไปมองเมื่ออาจารย์สาวเอาสำลีกดห้ามเลือดที่เพิ่งเจาะไปเมื่อกี้ให้
“ไม่คิดว่าเธอจะกลัวเข็ม”
“ให้ผมไปเจ็บเพราะอะไรก็ได้ยกเว้นของแหลมแบบนี้ครับครู” เทาถอนหายใจขณะมองหญิงสาวในชุดกาวน์ที่กำลังหยดเลือดของเขาลงบนแผ่นฟิล์มใส ท่ามกลางคนป่วยที่นอนหลับไม่รู้เรื่องหลังจากได้รับยาไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว
เทามองเพื่อนของเขาที่นอนหลับสนิทแล้วก็โล่งอก เขาคงทนไม่ได้แน่ถ้าต้องมีคนตายเพิ่มขึ้นอีก ตอนนี้เขาจะคิดแค่เรื่องอยู่ไปวัน ๆ ไม่ได้แล้ว นอกจากอาหาร เครื่องดื่ม ที่สำคัญอีกอย่างก็คือยารักษาโรค เห็นทีว่าเขาต้องออกไปร้านยาสักหน่อย
ตอนนี้ไม่รู้ว่าเซฮุนเป็นยังไงบ้าง เพราะตั้งแต่กลับมาถึงโรงเรียนก็ตรงดิ่งมาช่วยคนป่วยในห้องนี้เลย หลายคนที่เกือบตายเพราะพิษไข้ ถึงมันจะไม่ร้ายแรงนัก แต่เป็นเพราะสภาพจิตใจที่ติดลบเลยทำให้อาการทรุดตัวลงจนน่าเป็นห่วง
แกร่ก...
“...” ทั้งคู่หันกลับไปมองผู้มาใหม่ที่มีสีหน้าไม่ต่างจากเขา คิมจงอินในสภาพอิดโรยแบบสุด ๆ เดินเข้ามาในห้องก่อนจะหยุดอยู่ข้าง ๆ เทา
“ยังไม่ได้นอนเหรอ?”
“เออดิ ถ้าหลับกลางอากาศได้ทำไปแล้ว ว่าแต่นายเป็นไง?”
“เพิ่งเจาะเลือดไปเมื่อกี้” ร่างสูงหันไปมองครูสาวที่กำลังส่องกล้องจุลทรรศน์อยู่ “โชคดีที่ปาร์คชานยอลฉลาดเลือกกล้องแบบอิเล็กตรอนมาไม่งั้นคงตรวจอะไรไม่ได้”
“อืม”
เทาเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวต่าง ๆ เหตุการณ์ชลมุนวุ่นวายไปหมดนักเรียนจำนวนมากที่ถูกกัด เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงโรงเรียนของเขาได้กลายเป็นสุสานอย่างไม่ตั้งใจ หวงจื่อเทาไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากหาทางหนีเอาตัวรอดอย่างหัวซุกหัวซุน ร่างสูงปิดประตูทางเข้า-ออกหอพักชายและให้เพื่อนที่อยู่ระแวกนั้นยื้อเอาไว้ส่วนเขาก็วิ่งไปหาโซ่กับแม่กุญแจมาล็อคก่อนที่พวกมันจะบุกเข้ามา
แต่เหตุการณ์มันแย่กว่านั้นคือพวกกินคนมันไม่ได้มีอยู่แค่ในโรงเรียน...
เหล่าผีดิบแห่กันมาทางประตูหลังกัดกินคนผู้คนอย่างหิวโหย จังหวะนั้นเองที่เขาหันไปเห็นผู้หญิงคนนั้น...ปาร์คกาฮี ครูคุมหอที่เขาเคารพเหมือนแม่คนหนึ่ง
เทาเข้าไปช่วยเธอออกมาจากรถพร้อมกับชกผีดิบจนเซไปข้างหลัง มือข้างหนึ่งคว้าข้อมือหญิงสาวเอาไว้ท่ามกลางเสียงหวีดร้องแห่งความเจ็บปวดของนักเรียนที่อยู่รอบข้าง มองไปข้างไหนก็เห็นไอ้พวกเวรนั่นอยูเต็มไปหมด...
‘ครูเป็นอะไรไหม?’
‘ครูไม่เป็นไร เทา! ข้างหลังเธอ!’
เขาคิดว่าจะไม่รอดแล้ว แต่น่าแปลกที่หวงจื่อเทากลับยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ พวกเขากันรั้วเอาไว้จนพวกที่รอดมาได้ถูกกัดตายเป็นจำนวนมาก และวิธีเดียวที่จะกำจัดพวกมันได้คือการเผา เด็กนักเรียนอย่างเขารู้แค่นี้ คนเป็นร้อยลดลงไปจนเหลือไม่ถึงห้าสิบเพราะไม่รู้วิธีกำจัดมัน...
“ครูเอาเลือดของครูกาฮีกับของคนอื่น ๆ มาตรวจดูตอนที่เธอหลับไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว” ฮโยรินพูดขณะที่เธอกำลังทำการย้อมสี Giemsa กับเลือดบนฟิล์ม อย่างที่รู้กันว่าหน้าที่ของเม็ดเลือดขาวคือตรวจจับทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย เธอย้อมสีให้เม็ดเลือดขาวต่างจากเม็ดเลือดอื่นเพื่อให้ง่ายต่อการนับ
“แล้วเป็นยังไงบ้างครับ?”
“...คุณพระช่วย” ยังไม่ทันตอบคำถามหญิงสาวก็ต้องชะงักเมื่อเห็นภาพบางอย่างในกล้องที่ส่องอยู่
แทนที่จะเป็นเม็ดเลือดขาวที่ต้องกำจัดสิ่งแปลกปลอมจากร่างกาย แต่ภาพที่เห็นคือไวรัสกำลังพยายามเกาะเม็ดเลือดขาวราวกับจะทำลายมัน ไวรัสสีดำหน้าตาแปลก ๆ บางตัวมีรูปร่างเหมือนเม็ดเลือดขาวหากแต่มันนิ่งเฉยไม่มีปฏิกิริยาเหมือนกับไวรัสตัวอื่น ๆ ราวกับว่าไวรัสส่วนนั้นได้ตายไปแล้ว และพอส่องต่อไปอีกแค่ครู่เดียวก็ได้คำตอบ...เมื่อเธอพบสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่า...
ว่าไวรัสพวกนั้น...กำลังพยายามทำลายและโคลนนิ่งเม็ดเลือดขาว...
เธอผละตัวออกแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ พลางเท้าศอกลงบนโต๊ะพร้อมกับกุมขมับ จนชายหนุ่มทั้งสองต้องเข้ามาดูอาการด้วยความเป็นห่วง
“เกิดอะไรขึ้นกับเลือดผมเหรอครับครู?”
“...” ฮโยรินใช้เวลาประมวลผลสมองอยู่ราว ๆ ครึ่งนาที เธอเม้มริมฝีปากก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่ม
“เลือดของเธอ...มีไวรัสอยู่เต็มไปหมด”
“...”
“ครูไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวกับเรื่องภูมิคุ้มกันทางร่างกายหรือเปล่า เธอถึงได้...”
“หมายความว่าในร่างกายของผมมีเชื้อ...”
“ใช่...และของคนอื่นก็ด้วย” เธอจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจัง ชายหนุ่มทั้งสองเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว
“หมายความว่า?”
“ครูไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ โอเค...แน่นอนว่าต้องทำการตรวจในแลปอย่างถูกต้องถึงจะได้ผลลัพท์ แต่ว่าสิ่งที่ครูเห็น...มันก็พอจะทำให้รู้ว่าพวกเราทุกคนติดเชื้อกันหมด...”
“...”
“...”
“เลือดของครูกาฮี ของนักเรียนคนอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งตัวครูเอง...มีไวรัสเจือปนอยู่ในเลือดทั้งนั้น แต่ว่าพวกมันอ่อนแอและดูเหมือนว่าจะถูกเม็ดเลือดขาวกำจัดไปตามระยะเวลา”
“หมายความว่ายังไง? ถึงแม้ว่าเราไม่ถูกกัด เราก็ติดเชื้อแล้วงั้นเหรอ?” จงอินขมวดคิ้วถาม
“ฉันไม่รู้ ฉันเป็นแค่ครูห้องพยาบาล ที่ทำไปก็แค่ความรู้ตอนสมัยเรียนเท่านั้น”
“ให้ตายเถอะ นี่มันเรื่องบ้าชัด ๆ ” จงอินกัดฟันกรอด ถ้ามันเป็นอย่างที่เธอพูดจริง ๆ นั่นก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าทุกคนต้องกลายเป็นเหมือนพวกนั้นอยู่ดีไม่ว่าจะตายด้วยวิธีไหน
“อย่างน้อยเราก็ได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นแล้วนี่...” ถึงจะช็อคกับสิ่งที่ได้ฟังแต่หวงจื่อเทาก็ได้แค่ปลอบใจตัวเองแบบนี้ ร่างสูงถอนหายใจก่อนจะหันไปมองคนข้าง ๆ ที่มีสีหน้าคิดไม่ตกเหมือนกัน
พรึ่บ พรึ่บ!!
“อย่าสะบัดผ้าใส่ฉันสิอึนจีอา~”
“ฮ่า ๆ ก็เธอเอาแต่ใจลอยอยู่นั่น เมื่อไหร่จะตากเสร็จล่ะยัยซื่อบื้อ” อึนจียิ้มพอใจเมื่อเห็นเพื่อนสนิทยืนงอหน้าอยู่ฝั่งตรงข้าม ตอนนี้เด็กสาวกลุ่มเดียวในโรงเรียนกำลังช่วยกันตากผ้าในวันที่แดดออกหลังจากฝนตกมาตลอดทั้งคืน
“ว่าแต่คิมฮาเน่าไปไหน ยัยนั่นชักจะสบายไปแล้วนะ...นั่นไง...มานู่นละ ฮู้ยยยย” จองอึนจีจิ๊ปากขณะมองไปยังร่างระหงที่เดินทอดน่องไปหาชายหนุ่มร่างสูงอยู่ฝั่งด้านขวา
“เมื่อวานก็เพิ่งไปให้ท่าผู้ชายหน้าโหดคนนั้น มาวันนี้เปลี่ยนคนอีกแล้ว ยัยนี่กะจะทำแต้มให้ครบทุกคนภายในสองวันเลยหรือไงนะ” โชรงส่ายหน้าเอือมระอา
“งานการไม่รู้จักช่วย น่าจิกหัวตบจริง ๆ ” อึนจีพูดลอดไรฟัน บ้านเมืองพินาศขนาดนี้แล้วแทนที่จะช่วยกันทำมาหากิน นี่ไม่ช่วยแล้วยังเพิ่มภาระ มันน่านัก!
“นั่นเพื่อนใหม่เธอไม่ใช่เหรออึนจี เขาชื่ออะไรนะ?” โชรงถามพร้อมกับมองไปยังเป้าหมายที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรสักอย่างกับพื้นดินอยู่ข้าง ๆ ผู้ชายตัวสูงอีกคน
“แบคฮ๊อก ไม่ดิ...แบคอะไรสักอย่างนี่แหละจำไม่ได้”
“ยัยขี้ลืมเอ๊ย!”
“อะไรเล่า! ประเด็นมันอยู่ที่ยัยคิมฮานาต่างหาก!”
“อย่าไปใส่ใจเลยน่า ยัยนั่นพูดหูซ้ายก็ทะลุหูขวา พวกเรารีบ ๆ ตากให้เสร็จเถอะ บิดให้แห้งนะเดี๋ยวแดดหมดแล้วผ้าจะเหม็นอับเอา” โชรงสั่งเด็กสาวข้าง ๆ
อึนจีแค่นยิ้มขณะมองไปยังตัวปัญหาที่กำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับผู้ชายท่าทางเหมือนผู้ดีคนนั้น ชื่ออะไรนะชาน ๆ อะไรสักอย่าง แต่ที่รู้คือหมอนั่นกำลังเป็นเหยื่อรายต่อไปของยัยฮานา
สิ้นสุดความอดทนอึนจีถลกแขนเสื้อย่างสามขุมไปหาเป้าหมาย เธอยืนหยุดอยู่ตรงหน้าคิมฮานาพร้อมกับเลิกคิ้วมอง
“คิมฮานา”
“มีอะไร?” จากสีหน้ายิ้มแย้มแปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งไม่พอใจ ชายหนุ่มทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองเธอ
“หล่อนมาทำอะไรอยู่ตรงนี้มิทราบ?”
“ฉันก็มาช่วยคุณชานยอลขุดดินน่ะสิ ใช่ไหมคะ~” เธอหันไปกระแซะคนข้าง ๆ ซึ่งดูเหมือนว่าปาร์คชานยอลจะพยายามแกะมือปลาหมึกนี่ออกตลอด แบคฮยอนได้เพียงแค่มองการกระทำของผู้หญิงคนนี้โดยที่ทำอะไรไม่ได้
“ผ้าก็ไม่ช่วยซัก เอาแต่เดินแรดไปวัน ๆ อยู่ได้”
“ว่าไงนะ นี่เธอด่าว่าฉันแรดงั้นเหรอจองอึนจี?!” เด็กสาวลุกขึ้นเต็มความสูง ใบหน้าบึ้งตึงเพราะความโมโหเมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มกวนประสาท
“เอ้อ~ ต้องให้คนอื่นช่วยย้ำใช่ไหมถึงจะรู้ตัวว่าเธอน่ะแรดมากกกกก แรดสุด ๆ แรดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้”
“ธ...เธอ?!”
“แล้วนี่อะไร? มานั่งอ่อยผู้ชายอยู่ได้ทั้ง ๆ ที่แฟนเขานั่งหัวโด่อยู่นี่”
“แฟน? ไหนแฟน?”
“โน่นไงโน่น หัดเกรงอกเกรงใจเขาซะบ้างนะ แสดงความเสร่ออยู่ได้ฉันล่ะอายแทนจริง ๆ”
“อะไรนะ? ผู้ชายคนนี้น่ะเหรอแฟนคุณชานยอล?!” แบคฮยอนเบิกตาโพลงเมื่อถูกพาดพิง เด็กหนุ่มชี้หน้าตัวเองงง ๆ ก่อนจะหันไปมองหน้าชานยอลทั้งที่หน้าแดงระเรื่อ
“ป...เปล่านะครับ”
“เออดิ คิดดูเอาเองแล้วกันนะว่าผู้ชายเขายังสนใจกันเองทั้งที่มีชะนีอย่างเธออยู่บนโลกใบนี้ 555555”
“จองอึนจี!!!”
“เอ้อ! แล้วก็ไม่ต้องกลัวนะว่าเธอจะถูกกัดตายน่ะ ไม่ต้องกลัวเลย” เด็กสาวปั้นหน้าปั้นตาไร้เดียงสาพร้อมกับวางมือลงบนลาดไหล่อีกคน
“ทำไม?!”
“อย่างเธอโดนกัดตายไม่ได้หรอก แต่คงได้ตายห่าเพราะไม่มีน้ำยาล้างคอนแทกเลนส์ซะมากกว่าอ่ะ จริงไหมพวกเรา?! 5555555555555555” ประโยคสุดท้ายที่หันไปถามความเห็นจากกลุ่มเด็กสาวที่กำลังตากผ้าอยู่ เด็กสาวกลุ่มนั้นชูนิ้วหัวแม่มือขึ้นสุดแขนก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังขึ้นตาม ๆ กัน
คิมฮานากำหมัดแน่น เธอโกรธที่ถูกหักหน้าจนทนไม่ไหว หญิงสาวร่างเล็กเข้าไปจิกหัวจองอึนจีทันทีก่อนที่ทั้งคู่จะกอดรัดกันกลิ้งขลุก ๆ ไปตามพื้นหญ้าในเวลาถัดมา
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”
“ย๊าห์! เธออยากตายนักใช่ไหมคิมฮานา ได้เลย! ฉัน! รอ! เว! ลา! นี้! มา! นาน! แล้ว!”
“ฉันจะฆ่าเธอ!!!!”
“ให้ตายเถอะ” ชานยอลยืนแก้ ๆ กัง ๆ เพราะทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นเด็กผู้หญิงตีกัน เขาก็พอจะจำภาพตอนผู้หญิงตบตีกันในสมัยเรียนได้หรอกนะ มันมีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ แต่ใช่ว่าเขาจะชินกับมันเสียเมื่อไหร่
“อ...อึนจี พอเถอะ!” แบคฮยอนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้แต่ตะโกนห้ามขณะที่เด็กสาวทั้งสองยังคงเกลือกกลิ้งไปบนพื้นหญ้าแล้วทึ้งหัวกันอย่างบ้าคลั่ง ลู่หานกับจงอินที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดทางขึ้นตึกได้เพียงแค่หัวเราะกับสิ่งที่เห็น
“เพศหญิงนี่แม่งโหดสัดจริง ๆ คนนั้นป่ะวะที่มึงจ้ำบ๊ะด้วยเมื่อคืน”
“เออ กูเชื่อแล้วว่าเค้าเป็นแม่เสือสาวอย่างที่พูดจริง ๆ ห่าลาก กูว่าไม่ใช่ละ นั่นมันหมีขั้วโลกสู้กับแมมมอธท้องแก่ชัด ๆ ” ร่างหนาหัวเราะแล้วหันไปแท๊กมือกับคนข้าง ๆ ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นเรื่องตลกสำหรับใครหลาย ๆ คนในเวลาแบบนี้
นักเรียนคนอื่น ๆ โผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างแล้วส่งเสียงเชียร์เบา ๆ บ้างก็ตะโกนเรียกอึนจี บ้างก็ตะโกนเรียกชื่อคิมฮานา
“จัดว่าโหด คิดสภาพถ้าคบกับมึงคงมีตบเช้าเย็นอ่ะ มึงดูแข้งซะก่อน กูนึกว่าสึบาสะ”
“โห อย่าให้เป็นเมียเลยครับ มีทติ้งชั่วคราวพอ” จงอินส่ายหน้าหน่าย ๆ ก่อนจะสูบเอาควันเข้าปอดแล้วปล่อยให้มันลอยขึ้นบนอากาศ
“ใส่ถุงป่ะวะ”
“ใส่ พอดีมีในลิ้นชักไอ้เทา”
“โห...อดสวัสดีวันพ่อเลย”
“วันพ่อที่เบ้าหน้ามึงเถอะครับ” พูดจบก็ยกเท้าขึ้นเตรียมจะถีบคนข้าง ๆ ลู่หานหัวเราะชอบใจขณะที่กลางสนามหญ้ายังคงโชว์มวย K-ONE อยู่อย่างต่อเนื่อง
“รีบถอยออกมาเร็ว เดี๋ยวถูกหมากัดเข้านะคะพี่!” เด็กสาวทีกำลังตากผ้าตะโกนบอกทั้งหัวเราะ ชานยอลหันไปมองคนตัวเล็กที่ยังคงหน้าขึ้นสีอยู่ก่อนจะตัดสินใจจูงมือแบคฮยอนออกมาจากตรงนั้น
“...อ้าวสัด”
รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายเพียงแค่เห็นชานยอลจูงมือคนที่เขานั่งมองมาตั้งนานไปต่อหน้าต่อตา ลู่หานลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ
“กู๊ดบายมายเลิฟฟฟฟ~~~~~” เสียงเยาะเย้ยมาจากคนข้าง ๆ ที่เขาเพิ่งแซวไปเมื่อครู่ พอหันไปก็เห็นจงอินทำหน้าแป้นแล้นราวกับสะใจที่เห็นเขาเป็นแบบนี้
“สัด” ด่าทิ้งท้ายอย่างเหลืออดแล้วเดินหายเข้าไปในตึก ตอนแรกก็หงุดหงิดที่เห็นแบคฮยอนเกาะติดชานยอลมันแล้วนะ ละนั่นอะไร? มีจับมงจับมือ...โมโหโว้ย
เดินฟึดฟัดขึ้นไปบนดาดฟ้าเพื่อให้ลมเย็น ๆ ช่วยเอาความหงุดหงิดพัดไปตามสายลม แต่พอขึ้นไปถึงก็พบคน ๆ เดิมที่ยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าขาวหันมามองเขาด้วยแววตานิ่งเฉยผ่านเลนส์แว่นที่แตกร้าวข้างหนึ่งก่อนจะส่องกล้องทางไกลลงไปข้างล่าง
“ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านหรือไงเรา?”
“มันคือสัญชาติญาณของมนุษย์ต่างหาก” เด็กหนุ่มตอบทั้งที่ยังส่องกล้องไปข้างล่าง ลู่หานขยับเข้าไปใกล้จนชิดกับคนตัวเล็กก่อนจะฉวยโอกาสกอดคอโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว
“คึ...” มินซอกหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นอึนจีเขย่าหัวอีกฝ่ายจนยุ่งเหยิงไปหมด กระโปรงที่คิมฮานาใส่ก็ถลกขึ้นมาจนถึงเอวจนเธอต้องละมือออกจากหัวอึนจีลงมาเพื่อดึงกระโปรงลง ลู่หานยิ้มขำเมื่อเห็นมินซอกดูสนุกกับมัน
“ขอดูมั่งดิ”
“ไม่เอา”
“น่านะ~” ก็ไม่ได้อยากดูอะไรหรอก จริง ๆ แล้วเขาก็แค่อยากแกล้งมินซอกเท่านั้น ร่างโปร่งอมยิ้มขณะจ้องมองคนข้าง ๆ ที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่
“เดี๋ยว...อีกแปปนึง อย่าเพิ่งกวนได้ไหม”
“เปาจื่ออา...สนใจพี่หน่อยสิ พี่เบื่อ”
“เรื่องของคุณสิ” มินซอกหันมาขมวดคิ้วมองอย่างรำคาญ ผู้ชายคนนี้นี่ยังไงนะ เอาแต่ใจจริง ๆ
“ไม่คุณสิครับ ไหนบอกว่าจะเรียกพี่ไง?”
“ผมไม่ได้พูดสักหน่อย คุณพูดเองเออเองทั้งนั้น” พอรู้ตัวว่าถูกกอดคออยู่ก็รีบแกะมือออกในทันที มินซอกถอนหายใจพรืดแล้วขยับไปทางซ้ายก้าวหนึ่งก่อนจะส่องกล้องลงไปข้างล่างอีกครั้ง
ที่ส่อง...ไม่ใช่เพราะอยากดูหรอกนะ...
คิมมินซอกก็แค่ไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้ายังไงตอนที่ลู่หานยืนอยู่ตรงนี้ก็เท่านั้น
“เป่าจื่อ”
“อือ”
“ชอบสีอะไร”
“ดำ”
“ไม่เห็นจะเข้ากับหน้าเลย ชอบสีชมพูดีกว่านะ”
“ตลกไหม?” คนตัวเล็กหันไปชักสีหน้าใส่คนข้าง ๆ ลู่หานหัวเราะแล้วบีบจมูกรั้นเบา ๆ ก่อนที่มินซอกจะปัดออก
“เปาจื่อสายตาสั้นเท่าไหร่น่ะ”
“หกร้อย”
“ตาบอดเลยดีกว่า”
“อะไร?” เด็กน้อยหันมาปั้นหน้าตึงใส่จนร่างโปร่งต้องรีบเม้มปากเมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดไม่เข้าหูมินซอกไป
หลังจากนั้นก็กลับเข้าสู่ความเงียบ สายตายังคงมองไปยังเบื้องล่างผ่านเลนส์กล้องหากแต่มินซอกไม่ได้สนใจอยู่กับภาพเหล่านั้น เขาก็แค่รอว่าผู้ชายคนนี้จะพูดอะไรต่อ...
“มินซอกเคยมีแฟนเปล่า?”
“เคย”
“สวยไหม?”
“...” เด็กหนุ่มลดระดับกล้องลง ยืนใช้ความคิดครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนรอคำตอบอยู่
“ในรูปน่ะสวย”
“หา?”
“ผมคบกับเธอทางอินเตอร์เนตน่ะ” มินซอกพูดอู้อี้เมื่อนึกไปถึงเรื่องนั้น ผิดกับคนข้าง ๆ ที่ได้ยินแล้วแทบจะขำพรืดออกมา
“แล้วไม่เคยเจอกันเลยเนี่ยนะ แฟนประสาอะไร”
“เจอสิ แต่ผมเจอเขาฝ่ายเดียวน่ะ”
“อ้าว แล้วไม่ได้ไปเดทกันหรอกเหรอ?”
“เดทไม่ลงหรอก”
“ทำไมล่ะ เธอไม่น่ารักเหมือนในรูปล่ะสิ?” ลู่หานยิ้ม
“เปล่า เขาเป็นผู้ชายต่างหาก -_-”
“ห๊า?!”
“สูงเท่าคุณชานยอลที่มากับคุณเลย แต่ตัวอ้วนกว่านั้นสองคนโอบ อย่างงี้” มินซอกทำท่าอ้าแขนออกประกอบ ลู่หานยืนมองคนตรงหน้าแล้วก็ยิ้มขำกับท่าทางแบบนั้น
แต่ทำไมพอเขายิ่งหัวเราะ ก็ยิ่งรู้สึกหน่วง ๆ ตรงหัวใจกันนะ?
เลิกตามมาหลอกหลอนกันสักทีเถอะบยอนแบคฮยอน...
หมั่บ...
“...”
“ขอกอดหน่อย ไม่มีแรงแล้ว” ลู่หานหลับตาลงพร้อมกับซุกหน้าลงกับไหล่เล็ก มือเรียวดันแผ่นหลังบางเข้าหาตัวเพื่อให้อ้อมกอดแนบแน่นยิ่งขึ้น มินซอกเบิกตาโพลงทั้งที่ยังค้างอยู่ในท่าเดิม ได้เพียงแค่ทำตาปริบ ๆ ขณะที่คางของเขากำลังเกยอยู่บนไหล่คนขี้แกล้ง
“เป็นอะไรทำไมไม่มีแรง ไม่สบายเหรอ ห้องพยาบาลก็อยู่ชั้นหนึ่งไง ไปขอยากินสิ” มินซอกพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดแม้จะรู้ดีว่าตอนนี้ตัวเขากำลังรู้สึกผิดปกติ
“ไม่ได้ป่วย”
“อือ”
“เปาจื่อ...”
“อะไร”
“กอดพี่บ้างสิครับ”
ประโยคนี้ทำให้หัวใจที่เต้นแรงอยู่แล้วเต้นแรงยิ่งขึ้นอีก คนตัวเล็กยังคงยืนนิ่งเฉยราวกับให้สมองประมวลผลกับคำพูดนั่นแล้วชั่งน้ำหนักว่าควรทำตามคำขอนั้นหรือเปล่า ลู่หานกระชับกอดแน่นยิ่งขึ้นราวกับเร่งให้เขารีบตัดสินใจ มือเรียวเล็กเอื้อมขึ้นมาอย่างช้า ๆ เปลือกตาบางปิดลงพร้อมกับมอบอ้อมกอดให้คนตัวโตกว่า
“ชอบจัง กลิ่นแป้งเด็กใช่ไหม?”
“อือ”
“ฮึ...” ลู่หานหัวเราะในลำคอก่อนจะหลับตาลง
ลู่หานไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันผิดหรือถูก
แต่ในเมื่อมีรอยแผลเกิดขึ้น...เขาก็แค่ต้องการยารักษามันก็เท่านั้น...
ซ่า...
เด็กหนุ่มกวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าอยู่สองสามครั้งแล้วเงยขึ้นมองกระจก ปล่อยให้หยดน้ำไหลลงจากปลายคางทั้งที่ยังมองใบหน้าตัวเองผ่านกระจกตรงหน้า คำพูดของอี้ฟานยังคงก้องอยู่ในหัวเขา ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าคงฝันไปอย่างที่จงอินพูดจริง ๆ แต่ทำไมพอรู้ว่ามันไม่ใช่ความฝัน...เขาถึงได้คิดอะไรเยอะแยะแบบนี้
แอ๊ด...
“ผมใช้ห้องน้ำอยู่” เซฮุนมองผู้มาใหม่ผ่านกระจกที่จู่ ๆ ก็เปิดประตูเข้ามาอย่างถือวิสาสะ จงอินยักไหล่อย่างไม่ยี่หระแล้วถอดเสื้อออกวางไว้ตรงซิงค์หินขัดตรงหน้า
“กินข้าวยัง?”
“ครับ”
“ปวดแผลมากเปล่า?”
“ปวด”
“อดทนเอา โตแล้ว” เหมือนจะเป็นห่วงแต่สุดท้ายก็ตบหน้ากันด้วยคำพูดกวนประสาทเหมือนกับทุกครั้ง เซฮุนหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาซับหน้าอยู่ในทีแล้วเหลือบมองคนข้าง ๆ ที่เปลือยท่อนบนอยู่
“คุณจะอาบน้ำเหรอ?”
“เออ จะยืนดูไหมล่ะ?”
“...” พอได้ยินแบบนี้แล้วก็นึกถึงฉากเร่าร้อนระหว่างจงอินกับผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา เซฮุนส่ายหัวไล่ความคิดแล้วก็ชะงักเมื่อพบว่าร่างหนากำลังจ้องเขาผ่านกระจก
“เห็นใช่ไหม?”
“...”
“หืม?” ไม่พูดอย่างเดียว จงอินเดินเข้ามาประชิดตัวอีกฝ่ายไล่ต้อนให้จนมุม แผ่นหลังบางมีเพียงแค่เสื้อยืดสีขาวเท่านั้นที่กั้นความเย็นของผนังห้องน้ำเอาไว้
“ผมล้างหน้าเสร็จแล้ว คุณก็อาบน้ำไปแล้วกัน” ยังไม่ทันเดินออกไปไหนมือหนาก็วางทาบทับบนผนังกั้นขวางไม่ให้เขาหนีไปได้ เซฮุนหยุดยืนกับที่แล้วค่อย ๆ หันไปมองแววตาคู่นั้นที่มองมาด้วยสายตาแปลก ๆ
“...”
“ทำไมไม่เรียก?”
“อะไรครับ” เซฮุนพยายามทำตัวปกติแม้ว่าเขาจะรู้สึกแปลก ๆ กับท่าทางแบบนี้ของจงอิน
“ทำไมถึงตัดสินใจเอาเอง ทำไมไม่เปิดประตูเข้าไปแล้วลากฉันออกมาจากตรงนั้น?” นัยน์ตาคมจ้องเข้ามาอย่างมีความหมาย เซฮุนหลุบสายตาลงแล้วดันแผงอกแกร่งออกหากแต่มือของเขากลับถูกจับเอาไว้
“ตอบ”
“ผมก็เห็นคุณมีความสุขอยู่ เลยไม่อยากรบกวน” ร่างบางตอบทั้งที่ไม่มองหน้าอีกฝ่าย ทำไมเขาต้องรู้สึกไม่ดีกับสถานการณ์แบบนี้ด้วยนะ “ไม่เห็นต้องมาพูดอะไรแบบนี้เลยนี่ มันผ่านไปแล้ว ผมก็ยังไม่ตาย ทุกคนในห้องคนป่วยก็ปลอดภัย”
“แล้วถ้าฉันไม่ตามไปนายจะเป็นยังไง โดดตึกตายว่างั้น?”
“...”
“แล้วเรื่องที่บอกว่าฉันกำลังมีความสุขอยู่น่ะ...” ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้จนเซฮุนต้องเบี่ยงหน้าหลบ ข้อมือข้างที่ถูกจับเมื่อครู่ถูกตรึงไว้กับผนังห้องน้ำ ร่างบางหันควับกลับมาด้วยความตกใจแล้วก็พบว่าใบหน้าของเขาทั้งสองคนห่างกันเพียงแค่ปลายจมูกเท่านั้น
“รู้ดีจังนะ?”
“...”
“แสดงว่าเคยมีความสุขแบบนั้นเหมือนกันล่ะสิ?”
“คุณจะแกล้งผมแรงเกินไปแล้วนะจงอิน”
“เออ จะแกล้งให้หนักกว่านี้อีก”
“ถึงผมจะตายมันไม่เห็นสำคัญอะไรไม่ใช่เหรอ ทั้งที่ตอนนั้นคุณก็ดูเตรียมพร้อมที่จะเอาไฃควงแทงเข้ากลางสมองผมอยู่เลยนี่ครับ” เซฮุนจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาอีกฝ่าย บทสนทนาระหว่างเขาทั้งคู่มันชักจะไม่ตลกเหมือนกับทุกครั้งแล้วสิ
“ขอถามอะไรสักข้อสองข้อ...”
“...”
“หนึ่ง...ถ้าฉันอยากให้นายตาย วันนั้นฉันจะเข้าไปในบ้านที่กำลังไฟไหม้อยู่ทำไม?”
“...”
“สอง...ถ้าฉันอยากให้นายตาย ฉันจะฝ่าพวกกินคนเป็นร้อยเพื่อไปตามหาไอ้เด็กอวดดีที่ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของโรงเรียนเพื่ออะไร?”
“...”
ร่างบางยืนนิ่ง เขาไม่สามารถโต้ตอบจงอินได้เลยเพียงแค่ได้ยินประโยคนั้น มันกลับมาอีกแล้วไอ้ความรู้สึกบ้า ๆ นี่...ความรู้สึกดีที่ไม่เข้าใจความหมายแบบนี้
“คุณก็พูดง่าย ผมจะเข้าไปหาคุณในตอนนั้นได้ยังไง”
“ไม่ได้ก็ต้องได้”
“คุณจะบ้าเหรอ ผมไม่ได้อยากดูคุณทำเรื่องแบบนั้นกับผู้หญิงที่ไหนหรอกนะ”
“แสดงว่ากับผู้ชายได้ใช่ไหม?” จงอินสวนกลับในทันทีจนร่างบางพูดไม่ออก
“ได้ งั้นถ้ามีครั้งต่อไปคุณอย่ามาว่าผมแล้วกัน” เด็กหนุ่มจ้องคนตรงหน้าเขม็ง จงอินกระตุกยิ้มมุมปากแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือคลึงริมฝีปากร่างบางเบา ๆ
“ไม่ต้องหรอก...”
“...”
“เพราะฉันขี้เกียจไปมีอะไรกับใครแล้ว”
“...”
“ถ้าเป็นนายก็ไม่แน่”
ยังไม่ทันได้งงกับคำพูดนี้ร่างหนาก็เอียงใบหน้าปรับองศากดจูบลงมาบนริมฝีปากของเขาเสียแล้ว เซฮุนผงะเล็กน้อยจนแผ่นหลังของเขาแนบชิดกับผนังเย็น แต่มันก็แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นที่เขาสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มของริมฝีปาก จงอินผละใบหน้าออกมาเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มพอใจเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตูมของเซฮุน
“สมน้ำหน้า...พูดมากดีนัก”
TBC
เรามาผ่อนคลายกันค่ะ หลังจากวิ่งหนีซอมบี้กันจนขาหล่อยกันแล้ว
ตอนนี้วายกันไปก่อน ห้ามว่าพี่ลู่ของมลินนะคะ พี่ลู่ อิส มายน์ ปล.ถ้าข้อมูลผิดพลาดตรงไหนท้วงได้เลยนะคะ มลินจะได้แก้ไขค่ะ TT
EDIT. ต้องขอบคุณ คุณ MUU POR ด้วยนะคะที่มาให้คำแนะนำเรื่องกล้องจุลทรรศน์ อันนี้มันเป็นความผิดพลาดของมลินเองที่ไม่ได้หาข้อมูลให้ดีก่อน แหะ ๆ คราวหน้าจะพยายามระวังให้มากกว่านี้นะคะ ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ!
#ficzombie -/-
ความคิดเห็น