คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #111 : Chapter 106 :: Guilty (100%)
Chapter 106
Guilty
หวงจื่อเทายังคงเดินหน้าเพื่อหาเสบียงติดมือกลับไปให้ได้ เด็กคนนั้นมีชะแลงอยู่ในมือพร้อมงัดทุกบานประตูถ้าหากเซนส์มันบอกว่าต้องมีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น จงอินไม่ได้แย้งอีกหลังจากลองครั้งแรกแล้วพบว่ามันไม่สำเร็จ
ชายหนุ่มยังคงคิดไม่ตก เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเราต้องเจอดีแน่ถ้าหากเดินเข้าไปลึกมากกว่านี้ จงอินกำลังทบทวนตัวเองว่าความกังวลในใจตอนนี้มันเกิดจากอันตรายที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ หรือเป็นความกลัวเบื้องลึกในใจที่อยู่ติดตัวมาตั้งแต่ลืมตาขึ้นพร้อมความบาดเจ็บหลังศีรษะเมื่อคราวนั้น
ความกล้าที่จะเดินคุ้มกันหลังให้ในตอนนี้คืออะไร คิมจงอินแทบไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิด บางครั้งก็มีความกล้าจนไม่น่าเชื่อ บางครั้งก็กังวลจนดูปอดแหก มันเกิดขึ้นไม่ซ้ำวันและไม่ซ้ำเหตุการณ์
ชายหนุ่มก้มลงมองสองขาที่ยังคงก้าวไปข้างหน้าตามเด็กตัวสูง ถามตัวเองว่าทำไมถึงบอกให้ลู่หานไปกับยูริทั้งที่ไอ้เวรนั่นน่าจะระวังหลังให้หวงจื่อเทาได้ดีกว่าเขา
ด้านหน้าเริ่มมีพวกกินคนหนาตาขึ้นหลังจากพบทางโล่งมาสองบล็อก เราจัดการมันเท่าที่จำเป็นเพราะการทะเล่อทะล่าออกไปฉายเดี่ยวก็มีแต่จะเสี่ยงเรียกให้พวกกินคนเข้ามารุม ไอ้เด็กเลือดร้อนน่าหงุดหงิดเป็นบ้า คงต้องให้เจอสถานการณ์บังคับก่อนสินะถึงจะสำนึกได้ว่าควรมีสติให้มากกว่านี้
ใช่ว่าคิมจงอินจะไม่ห่วงคนในกลุ่ม แต่การบุ่มบ่ามเพราะความใจร้อนก็มีแต่จะเสีย หากต้องการเสี่ยงก็ควรเห็นเป้าหมายชัดเสียก่อน ไม่ใช่บุกไปข้างหน้าทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นว่ามีอะไรรออยู่ การพบความว่างเปล่าไร้เสบียงอาหารในทุกจุดที่เข้าไปมันก็เป็นลางบอกได้แล้วว่าละแวกนี้เคยมีผู้มาเยือน
สองหนุ่มหยุดฝีเท้าพร้อมมองไปยังฝูงอีกาซึ่งกำลังจิกกินซากศพกลางถนน ก่อนพวกมันจะบินหนีไปเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ทั้งคู่จึงก้มตัวลงต่ำหลบหลังรถซึ่งจอดเทียบข้างฟุตปาธ หลบทั้งมนุษย์ด้วยกันและผีดิบที่กำลังให้ความสนใจเสียงนั้นที่ดังก้องไปทั่วอาณาบริเวณ
“กรรรรรรรรรรซ์...”
เสียงเหยียบคันเร่งและเสียงล้อรถที่เสียดสีกับถนนยามหักเลี้ยวมาจากที่ไกลทำให้รู้ว่าเส้นทางเป้าหมายไม่ใช่ที่นี่ จงอินขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อนึกไปถึงเพื่อนสนิทและหญิงสาวอีกคนซึ่งน่าจะอยู่ฝั่งนั้น ก่อนจะหันไปสบตากับเทาอย่างรู้กันว่าอีกสองคนคงกำลังเจอกับปัญหา
“อาจจะไม่ใช่ก็ได้” คนฟังถึงกับคิ้วกระตุกหลังจากได้ยินหวงจื่อเทาพยายามหลอกตัวเองทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนร่วมทางอาจจะกำลังเผชิญอยู่กับอันตราย
“แต่มึงก็รู้ว่าไอ้ลู่หานกับยูริอยู่ทางนั้น”
“แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ” เทาเว้นจังหวะเพื่อให้อีกฝ่ายคิดตาม “หรือถ้าใช่มึงก็ควรรู้ได้แล้วว่าสองคนนั้นมีฝีมือมากพอที่จะเอาตัวรอดได้ มันก็เหมือนเราที่รีบซ่อนตัวทันทีที่ได้ยินเสียง คงไม่ยืนกลางถนนให้คนเห็นหรอก”
“มึงพูดโง่ ๆ แบบนี้ได้ไงวะ”
“แล้วคนฉลาดอย่างมึงทำอะไรได้บ้างล่ะคิมจงอิน”
“...”
“มึงอย่าทำเหมือนว่าเรามีทางเลือกเยอะนักเลยไอ้ฉิบหาย พวกเราจะอดตายอยู่แล้ว ถ้ามัวแต่กลัวอย่างที่มึงเป็นอยู่ตอนนี้แล้วเราจะแดกห่าอะไร” เด็กหนุ่มพูดอย่างเหลืออด ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งหมดเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
โลกเปลี่ยนไปแล้ว จากที่เคยใช้เงินแลกซื้อสิ่งของเพื่อปากท้อง ตอนนี้กลับต้องหาเสบียงด้วยตัวเองจนเลือดตาแทบกระเด็น ไม่มีการผลิตเพิ่ม มีแต่กินแล้วหมดไป แต่หวงจื่อเทาจะเอาเหตุผลเหล่านั้นมาอ้างเพื่อให้เราทั้งคู่ดาหน้าเข้าไปเสี่ยงในพื้นที่อันตรายอย่างนั้นเหรอ
“...”
เสียงเสียดสีของสนิมซึ่งมาจากหน้าต่างชั้นสองของล็อกร้านเสื้อผ้าฝั่งตรงข้าม มันขยับเบา ๆ เหมือนเพราะลมพัด แต่จากที่มองเห็นด้วยตาและใช้ความรู้สึก จงอินคิดว่าลมเบา ๆ กับน้ำหนักของหน้าต่างคงไม่น่าทำให้ขยับแบบนั้นได้
“เทา มึงจะทำอะไร?” จงอินคว้าแขนไว้เมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะลุกขึ้น เด็กหนุ่มหันกลับมาด้วยสายตาแน่วแน่ ก่อนจะแกะมือเขาออก
“ไปดูว่าในนั้นมีอะไร”
“มึงไม่อยากเข้าไปทั้งที่ในมือมีแค่ชะแลงหรอก” ชายหนุ่มกดเสียงลงต่ำ เขาพยายามทำให้อีกฝ่ายจินตนาการออกว่าเราคือฝ่ายเสียเปรียบถ้าหากจะบุกเข้าไปทั้ง ๆ ที่เปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้สูงว่าที่หน้าต่างสนิมส่ายได้นั้นไม่ใช่เพราะลม
“แล้วมึงจะปล่อยให้กูเข้าไปคนเดียวไหมล่ะ?”
“...”
“ถ้าข้างในเป็นพวกกินคนก็แค่ฆ่า แต่ถ้ามีคนอยู่ก็เท่ากับว่าต้องมีเสบียง”
“มึงหมายความว่าเราจะแย่งเสบียงคนอื่นเหรอวะ?”
“ก็ถ้าจำเป็น” สีหน้าของเด็กหนุ่มเรียบนิ่ง ไม่แสดงความอ่อนแอในใจออกมาเหมือนที่เขากำลังเป็นอยู่ “กูขอย้ำอีกครั้งนะจงอิน ว่าไม่ได้มีแค่เราหรอกที่หิว บางคนอยู่ในช่วงพัฒนาฝีมือตัวเอง ถ้าพวกเขาไม่ได้กินแล้วจะเอาเรี่ยวแรงจากไหนไปฝึก?”
“...”
“กูไม่ได้ห่วงแค่ครูนะ เซฮุนก็เพื่อนกูเหมือนกัน”
ทันทีที่ได้ยินชื่อของเด็กคนนั้น จงอินก็รู้สึกเหมือนว่าคำพูดของเทาเริ่มน่าฟังขึ้นอย่างน่าประหลาด
“เซฮุนร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่ออกจากค่ายเวรนั่น แต่ยังต้องเป็นแนวหน้าช่วยพวกเราอยู่ตลอด มึงลองคิดดูจงอิน ถ้านึกภาพในอดีตไม่ออกก็ให้มองปัจจุบันว่าตอนนี้พวกเราอดอยากกันแค่ไหน ถ้าวันนี้หาเสบียงไม่ได้ วันพรุ่งนี้ วันถัด ๆ ไปเราจะเอาเรี่ยวแรงจากไหนหายใจต่อ?”
ความย้อนแย้งเกิดขึ้นในใจ จากเหตุผลความบุ่มบ่ามของเด็กหนุ่มชาวจีนทำให้คิมจงอินนึกขึ้นได้ว่าความกลัวและความกังวลเมื่อก่อนหน้านี้กลายเป็นเรื่องน่าเสี่ยงขึ้นมาเพราะพวกเขาไม่มีทางเลือกอีกแล้ว
ทุกคนหิว และอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ มาสักพัก ซึ่งตอนนี้สถานการณ์มันกำลังบีบบังคับให้เขาทั้งคู่เดินเข้าหาความเสี่ยงอย่างคนโง่ เด็กหนุ่มตัวสูงมองอีกฝ่ายเพื่อรอดูท่าที พอเห็นว่าจงอินไม่แย้งอีกเขาจึงวางมือลงบนบ่าคนตรงหน้า
“ถ้ามึงนำหน้าเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ก็ตามหลังกูมา”
เทาใช้ชะแลงงัดประตูไม้สีขาวที่ถูกล็อกเอาไว้เพียงครู่เดียวมันก็เปิดออก เขาเอาไฟฉายอันเล็กส่องเข้าไปด้านในเพื่อเช็กความเรียบร้อยก่อนจะก้าวเข้าไปข้างในอย่างช้า ๆ ทั้งคู่ไม่ได้แยกย้ายกันสำรวจ เพราะอาวุธที่มีอยู่ก็มีแต่ชนิดที่เอาไว้ใช้โจมตีในระยะใกล้ มันค่อนข้างไม่คุ้มถ้าหากว่าซวยเจอปืน แต่หวงจื่อเทาไม่คิดว่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่จะเลวร้ายไปเสียทุกคน อย่างน้อยเขาก็สามารถเล่นละครตบตาอ้างว่าออกมาหาเสบียงและพร้อมจะออกไปอย่างว่าง่ายได้ถ้าเกิดอีกฝ่ายเอาปืนจ่อหัว
ทั้งคู่แยกกันค้นหาเสบียงในครัวซึ่งไม่มีอะไรเหลือไว้ให้สักอย่าง จึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นชั้นสอง รองเท้าบูทหนังเหยียบลงบนบันไดไม้อย่างระมัดระวัง พร้อมสาดแสงสว่างดวงเล็กจากไฟฉายนำหน้าแต่ก็ไม่พบร่องรอยของสิ่งมีชีวิต
เขาหยุดยืนตั้งหลัก กวาดสายตามองไปโดยรอบของห้องโถงซึ่งไม่มีใครอยู่ มีเพียงโต๊ะอาหาร ชั้นวางของ ตู้ เก้าอี้ ทีวี เหมือนบ้านหลังอื่น ๆ ความเป็นไปได้ว่าชั้นสองจะมีอาหารนั้นค่อนข้างน้อย แต่หวงจื่อเทาก็ไม่ลดละความพยายามจึงเลือกเดินไปฝั่งซ้ายแต่ก็ถูกจงอินคว้าแขนไว้
“...”
เด็กหนุ่มมองไปตามสายตาของคนอายุมากกว่า ก่อนจะพบว่าสุดทางเดินนั้นมีหน้าต่างบานหนึ่งซึ่งมีผ้าม่านบาง ๆ ปิดไว้ แต่มันก็ไม่สามารถต้านแสงสว่างจากข้างนอกได้ จึงทำให้มองเห็นพื้นไม้สีน้ำตาลตรงทางเดิน
จงอินพยักหน้าเพื่อบอกให้เข้าไปใกล้จุดนั้นมากกว่านี้ ก่อนเทาจะเอาไฟฉายส่องพื้นซึ่งเขลอะไปด้วยฝุ่นตามที่คนข้าง ๆ ชี้ให้ดู มันคือรอยเท้าซึ่งจากร่องรอยก็สามารถคาดเดาได้ว่าเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน
“มึงคิดว่าใช่พวกมันปะวะ” เด็กหนุ่มเบาเสียง ก่อนจงอินจะขอไฟฉายเพื่อก้มลงไปดูใกล้ ๆ พร้อมใช้ปลายนิ้วชี้เขี่ย
“ไม่ใช่” คนผิวแทนลุกขึ้นยืน กำไฟฉายไว้ในมือพร้อมส่องไฟไปยังร่องรอยของรองเท้าอีกครั้ง “เพราะพวกกินคนเดินลากเท้า แต่รอยนี้ไม่”
“...”
“ถ้าเริ่มจากตรงนี้ มึงก็จะเห็นว่ารอยเท้าเริ่มเยอะขึ้นพอถึงหน้าประตูบานนั้น”
จงอินส่องไฟฉายไปทางประตูบานหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นห้องนอน เทากำชะแลงแน่น เขาพร้อมจะซัดเข้ากลางศีรษะทุกคนที่โผล่หน้าออกมา และพร้อมจะวางมันลงถ้าหากอีกฝ่ายมีปืน ตอนนี้ผู้ชายจนตรอกสองคนมีตัวเลือกว่าจะถอยกลับหรือจะเลือกเผชิญหน้าในถิ่นคนอื่น
“มึงคิดว่าไง?” คราวนี้เทาเลือกถามความเห็นคนที่คิดว่าสูญเสียความเป็นผู้นำไปแล้ว แต่จากการคาดเดาเมื่อครู่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอยู่ ๆ เขาก็มองเห็นคิมจงอินคนเดิม
“กูคิดอยู่ไม่กี่อย่าง หนึ่ง... ถ้าที่นี่มีคนเยอะกว่า กูว่าเราคงโดนไล่ยิงตั้งแต่คิดจะงัดประตูแล้ว สอง... พวกมันอาจจะอยู่กันแค่ไม่กี่คนแล้วก็ไม่มีปืน บางทีอาจจะซุ่มดักตีหัวเราอยู่ในห้องนั้น สาม... พวกมันมีไม่กี่คนและมีปืนด้วย รอจัดการเราในระยะเผาขนเพราะไม่อยากเสี่ยงยิงพลาด” อย่างน้อยการเก็บศัตรูด้วยปืนก็ต้องเห็นผล เพราะถ้าพลาด นอกจากศัตรูจะหนีได้แล้ว เหล่าผีดิบก็คงแห่มาทางนี้เพราะเสียงปืนด้วย
“แล้วมึงเอาไง คงไม่คิดอยากกลับใช่ไหม?” เทาถามหยั่งเชิง
หากเป็นก่อนหน้านี้ชายหนุ่มผิวแทนคงพยายามโน้มน้าวให้อีกฝ่ายถอยกลับ แต่หลังจากได้ฟังเหตุผลของหวงจื่อเทา คิมจงอินก็เปลี่ยนความคิดและพยายามหาทางเลือกให้เขาทั้งคู่เสี่ยงน้อยที่สุด
เพราะถ้ามีคนจริง ๆ ที่นี่ก็ต้องมีเสบียง
ความคิดด้านมืดเกิดขึ้นกับคนไร้หนทางได้เสมอ และตอนนี้เขาทั้งคู่กำลังปล่อยให้มันครอบงำจิตใจแล้ว
“เราควรแยกกัน ถ้ามีอะไรผิดปกติจะได้มีคนเข้าไปช่วยทัน”
จงอินเป็นคนอาสาเข้าไปในห้องซึ่งมีรอยเท้าอยู่หน้าประตู การใช้ชะแลงงัดมันไม่ใช่วิธีที่เข้าท่า เขาจึงหาลวดแหลม ๆ ละแวกนั้นเพื่อมาปลดล็อกประตูเหมือนที่ไอ้ลู่หานเคยสอน พยายามอยู่สักพักก็สำเร็จ
ชายหนุ่มค่อย ๆ เปิดเข้าไปอย่างระมัดระวังพร้อมมือที่ไร้อาวุธ เขาพร้อมจะยกสองแขนขึ้นจำนนถ้าหากมีใครยืนถือปืนจ่อรออยู่ แต่ทันทีที่เปิดเข้าไปก็พบเพียงห้องนอนว่างเปล่า พร้อมเตียงนอนสีครีมซึ่งมีรอยยับแต่ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเมื่อไหร่เป็นครั้งล่าสุดที่มีคนนอนมัน
จงอินยืนกวาดสายตาเก็บรายละเอียดแล้วก็รู้สึกได้ถึงลมเบา ๆ ที่พัดเข้ามาผ่านทางหน้าต่างขึ้นสนิมบานนั้น แต่ตอนนี้มันกลับแน่นิ่งไม่ขยับ ซึ่งเป็นคำตอบที่ชัดแล้วว่าการเคลื่อนไหวเมื่อไม่กี่นาทีก่อนไม่ได้เกิดขึ้นเพราะแรงลม
ชายหนุ่มไม่มีเวลาคิดเยอะไปกว่านี้ เขาต้องมองหาเป้าหมายที่เกิดขึ้นจากการคาดเดา ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นสายกระเป๋าเป้สีดำโผล่พ้นออกมาจากใต้เตียงเล็กน้อย
‘หยุดนะ!!!’
มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบ สองขาหยุดกึกเมื่ออยู่ ๆ บรรยากาศรอบข้างก็เปลี่ยนเป็นโกดังเก็บของ กลิ่นเหม็นอับลอยอยู่ใต้จมูกทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่รู้สึกได้ถึงมัน ก่อนจะเห็นเจ้าของประโยคเมื่อครู่ซึ่งเป็นผู้ชายชุดคนงานสีเทากำลังเล็งปืนมาที่เขา เพียงครู่เดียวภาพนั้นจะจางหายไป
จงอินกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ เขาใช้เวลาสงบสติอารมณ์เพียงสามวินาทีแล้วตรงเข้าไปดึงสายกระเป๋าเป้ใบนั้นออกมาจากใต้เตียง รีบรูดซิปออกเพื่อเช็กดูสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในกระเป๋า ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่าจะเจอเสบียง
“...”
ไม่เสียเวลามากไปกว่านี้ ชายหนุ่มก้มตัวลงจนแก้มเกือบแนบติดพื้น พร้อมมองใต้เตียงซึ่งมีกระเป๋าอีกหลายใบซ่อนอยู่ มันชัดแล้วว่ามีคนอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้คิมจงอินไม่รู้ว่าเจ้าของของมันออกไปข้างนอกหรือว่ารอจัดการพวกเขาอยู่
‘เอาของ ๆ ที่พวกแกขนออกไปมาคืนฉันให้หมดแล้วรีบไสหัวออกไปซะ’
“วางกระเป๋าเดี๋ยวนี้!”
สองมือชะงักเมื่อได้ยินเสียงในความคิดซ้อนทับกับเสียงของใครอีกคนซึ่งมาพร้อมความเย็นเฉียบของปลายกระบอกปืนที่จ่ออยู่กลางศีรษะ จงอินยกมือขึ้นทั้งสองข้างเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าผู้เสียเปรียบคือใคร ก่อนจะค่อย ๆ เอี้ยวหน้าหันไปมองบุคคลปริศนา
ชายหนุ่มผิวแทนมองเห็นคนงานชุดเทาในโกดังเก็บของซ้อนทับกับเด็กผู้ชายคนนี้ มองดวงตาที่ตื่นตระหนก หยาดเหงื่อซึ่งไหลซึมออกมาตามขมับและซอกคอเพราะความกลัวทั้งที่ในมือถือเพชฌฆาตเอาไว้ เขาสามารถเดาได้ง่าย ๆ เลยว่าอีกฝ่ายคงไม่ถนัดใช้ปืนนัก และคงไม่ชอบที่จะเอามันจ่อหน้าใครอย่างที่ทำในตอนนี้ ดังนั้นการเจรจาน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเรา
“ออกมา” เด็กหนุ่มตัวผอมแห้งพยักหน้าสั่งซึ่งเขาก็ทำตาม จงอินค่อย ๆ ก้าวออกมาข้างนอกกระทั่งอีกฝ่ายปิดประตู ภายในห้องโถงที่เงียบสงบมีเพียงแสงสว่างเล็ก ๆ ซึ่งสาดส่องเข้ามาผ่านผ้าม่านหน้าต่าง และความกดดันที่ว่าอีกฝ่ายจะกล้าเหนี่ยวไกใส่ผู้บุกรุกหรือไม่
“ขอโทษ ไม่คิดว่าที่นี่มีคนอยู่”
“โกหก เพราะแกเห็นฉันจากหน้าต่างก็เลยเข้ามาต่างหาก”
ไอ้เด็กนี่นี่เอง...
“แต่ฉันไม่มีอาวุธ ยังไงช่วยลดปืนลงหน่อยได้ไหม?” จงอินพยายามประนีประนอมพร้อมชูให้เห็นว่าสองมือของเขามันว่างเปล่า แต่อีกฝ่ายก็ยังเล็งปืนมาที่เขา
“หันหลังไป”
“โอเค” ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่ายและปล่อยให้เด็กตัวเล็กกว่าปะป่ายไปตามเอวเพื่อเช็กดูอาวุธ
“คราวนี้ก็ออกไปซะ” จงอินเลียริมฝีปาก เขาไม่อยากทำอย่างนั้นหลังจากเห็นชัดเจนแล้วว่าเสบียงมากมายอยู่ใต้เตียง ความหิวและความจำเป็นทำให้จิตใจของเขาดำดิ่งลงไปเรื่อย ๆ
“ขอแบ่งสักหน่อยได้หรือเปล่า ตอนนี้ครอบครัวฉันกำลังหิวมาก ละแวกนี้ก็ไม่มีเสบียงให้เก็บแล้วด้วย” จงอินถอนหายใจพร้อมหันไปสบตากับอีกฝ่ายเพื่อร้องขอ แต่เด็กตัวผอมแห้งก็ไม่มีท่าทีว่าจะใจอ่อน
“ก็เพราะว่าพวกเรากวาดมาไว้ที่นี่หมดแล้วไง” เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะ “กว่าจะหามันมาได้คิดว่ามันง่ายเหรอวะ มาขอกันง่าย ๆ แบบนี้เป็นขอทานหรือไง?”
กวนตีน...
“ฉันรู้ว่ามันยาก เพราะฉันก็เป็นคนหาเสบียงเลี้ยงครอบครัวเหมือนกัน แต่ตอนนี้ฉันหามันไม่ได้เลย เพราะงั้นขอแบ่งหน่อยได้ไหม รามยอนสักสามสี่ห่อก็ได้”
“อยากได้ก็ไปหาเอาเองสิวะ ไม่งั้นก็ตาย ๆ ไปซะ มีแต่คนเข้มแข็งเท่านั้นแหละที่จะอยู่ได้ ถ้าอ่อนแอก็ตายไปเพราะความหิวมันก็ถูกต้องแล้ว ถ้ายังตอแยไม่เลิกฉันจะยิงจริง ๆ ด้วย”
“...”
ปากดี... ตัวแค่นี้อย่างเก่งก็ทำได้แค่เฝ้าเสบียงเท่านั้นแหละ แม่งจะไปรู้ได้ยังไงว่าความลำบากในการหาเสบียงจริง ๆ เป็นแบบไหน ตอนแรกก็จะรู้สึกผิดแล้ว แต่ปากของเด็กอวดดีมันทำให้เขาคันตีนขึ้นมาพิลึก
“นับหนึ่งถึงสาม ถ้ายังไม่ไสหัวออกไปฉันยิงหัวแกเละแน่”
มึงยังถือปืนไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ
จงอินแกล้งทำเป็นลูบใบหน้าแล้วปล่อยมือลงข้างตัว ก่อนจะคลายประแจแหวนข้างปากตายเบอร์สิบสี่ออกมาจากแขนเสื้อแล้วกำส่วนหัวไว้โดยไม่ให้อีกฝ่ายเห็น เขาไม่คิดจะฟาดหัวเด็ก แต่ถ้ามันเอาปืนเข้ามาใกล้กว่านี้ก็อาจจะมีคนข้อมือหักจนถือปืนไม่ได้ไปอีกหลายเดือน
เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นที่เขากลอกตามองไปยังหวงจื่อเทาซึ่งกำลังย่องเข้าหาเด็กตัวผอมแห้งจากด้านหลัง ก่อนจะก้มตัวลงในจังหวะที่เทาเข้าไปล็อกคออีกฝ่ายจนปืนลั่นยิงขึ้นเพดาน
ปัง!
“พล่ามเยอะเลยนะมึง”
“อั่ก!” เด็กหนุ่มตัวผอมแห้งหน้าแนบกับพื้น สองแขนถูกจับไพล่หลังในเวลาถัดมา เรี่ยวแรงของหัวจื่อเทาเป็นต่อกว่านัก ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่สามารถขัดขืนได้
“โทษทีว่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะใช้กำลัง” จงอินเตะปืนออกให้ไกลจากองศามือ ก่อนจะนั่งลงยอง ๆ มองใบหน้าเหยเกของอีกฝ่าย
“ไอ้พวกลูกหมา เก่งแต่กับเด็ก!”
“มึงก็เอาปืนมาเก่งกับผู้ใหญ่เหมือนกัน” จงอินมองอีกฝ่ายอย่างอ่อนใจ “ถ้าให้ดี ๆ แต่แรกก็ไม่มีใครเจ็บตัวแล้ว”
“จะบ้าเหรอวะ ที่นี่ไม่ใช่งานการกุศลที่จะแจกของให้ใครก็ได้!” เด็กหนุ่มน้ำลายยืดหยดลงพื้น “ขอเตือนนะ รีบออกไปก่อนที่ลุงของฉันจะกลับมาดีกว่า!”
“อยู่กับลุงว่างั้น ทั้งหมดมีใครบ้างไหนบอกกูซิ?” เทาถามพร้อมกดคออีกฝ่ายลง
“เยอะมากจนนับไม่หมด เขาฆ่าพวกแกแน่ถ้าคิดจะเอาของ ๆ เราไป”
“บอกลุงว่าถูกปล้นแล้วกัน”
“ไอ้เลว!”
“...”
“ขอทานยังมีศักดิ์ศรีกว่าพวกแกอีก ถุย!” จงอินถอนลมหายใจ เด็กคนนี้ยังคงตอกย้ำให้เขาเจ็บเล่น ๆ ว่าคิมจงอินเป็นไอ้หัวขโมยเลว ๆ คนหนึ่ง
“พูดมากไอ้ห่า” เทาตบหัวคนที่เอาแต่ปากดีไม่หยุด
“ลุงฉันจะฆ่าพวกแกแน่ เหมือนที่เขาเคยทำมาตลอด เขาจะปกป้องทุกคน” เด็กหนุ่มตัวผอมแห้งพึมพำ
“ตราหน้าว่าพวกกูเลวแล้วลุงมึงดีแค่ไหนวะ ปฏิเสธสิว่ากลุ่มมึงไม่เคยแย่งเสบียงจากคนอื่น?” เทาถามพร้อมออกแรงกดศีรษะอีกคนให้แนบลงกับพื้นยิ่งกว่าเดิม
“...”
เด็กหนุ่มตัวผอมแห้งไม่ตอบ เพราะไม่สามารถเถียงได้ว่าลุงของเขาเคยทำอย่างนั้นจริง
“เห็นไหมล่ะ สุดท้ายลุงของมึงก็ส้นตีนพอ ๆ กับพวกกูนี่แหละ”
“แต่พวกแกจะเอาของ ๆ เราไปไม่ได้! ยังไงก็ไม่ได้!”
จงอินถอนหายใจ เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้ทุกอย่างลงเอยด้วยดี ดังนั้นการออกไปจากที่นี่พร้อมกระเป๋าหนึ่งใบก็คงเป็นตัวเลือกที่ไม่แย่สำหรับฝั่งเขา
“กูจะปล่อยมึงแล้วค่อยออกไปจากที่นี่พร้อมกระเป๋าเป้ใบนั้น ตกลงไหม?” ชายหนุ่มผิวแทนยื่นข้อเสนอ แต่อีกฝ่ายกลับส่งเสียงอู้อี้ไม่ยอม
ปัง!!
ทั้งสองคนสะดุ้งพร้อมก้มตัวลงต่ำเมื่อได้ยินเสียงปืนลั่นและมันไม่ได้มาจากเด็กตัวผอมแห้งที่ถูกกดศีรษะให้แนบกับพื้น จงอินมองผนังที่ทะลุเป็นรูโหว่ใหญ่ ก่อนจะมองไปทางบันไดทางลงซึ่งมีเด็กอายุราว ๆ สิบขวบยืนถือลูกซองอยู่ตรงนั้นและเกือบเซตกลงไปเพราะแรงดีดของปืน
“ไอ้เชี่ยนี่... จงอิน มึงกดมันเอาไว้” เทาสั่งการก่อนจะรีบตรงเข้าไปหาเด็กตัวเล็กซึ่งกำลังยัดกระสุนปืนลูกซองใส่เข้าไปใหม่ แต่ก็ยังช้ากว่าขายาว ๆ ของหวงจื่อเทาอยู่ดี
“อย่า! ปล่อยฉันนะ! ไอ้เลว! พ่อจ๋าช่วยน้องด้วย!”
“ไอ้เทามึงใจเย็น ๆ นั่นเด็ก” จงอินปรามอีกคนที่แย่งลูกซองมาพร้อมหิ้วคอเสื้อเด็กมาจนขาแทบลอยจากพื้น
“นอนลงไปข้าง ๆ ไอ้เวรนี่”
“ฮือ... น้องกลัว”
“ไม่เป็นไร อย่าร้อง... เดี๋ยวพวกข้างนอกได้ยินนะ” เด็กตัวผอมแห้งกอดน้องชายไว้ขณะที่ตนเองยังนอนคว่ำอยู่บนพื้น เห็นอย่างนั้นจงอินก็รู้สึกผิดจึงเปลี่ยนจากกดตัวอีกฝ่ายลงกับพื้นเป็นวางมือลงไปเบา ๆ แทน
“กูหิ้วเบา ๆ เองปะวะ ทำเป็นร้อง” เทาจิ๊ปากกับความสำออยของเด็กตัวเล็ก
“ลุงฉันต้องกลับมาฆ่าพวกแกแน่ พวกแกจะตายทั้งหมด...” เสียงพึมพำของเด็กคนนั้นเบาหวิว แต่เขาก็ได้ยินชัดเจนเป็นอย่างดี
เสียงของหวงจื่อเทากับคำขู่ของเด็กคนนี้สามารถแทรกเข้ามาในความคิดได้เพียงครู่เดียว ก่อนคิมจงอินจะปล่อยให้สมองได้ประมวลผลว่าควรทำยังไงกับสถานการณ์นี้ ระหว่างทำตัวเป็นคนดีแล้วกลับไปมือเปล่า หรือว่าจะเอากระเป๋าเป้ไปแล้วบอกตัวเองว่าเป็นใครก็คงทำ ถ้ากลุ่มนี้เจอพวกเขา มันก็อาจปล้นเสบียงเช่นกันก็ได้
เขาก็เคยขโมยของคนอื่น... เหมือนตอนนั้นที่ทุกคนบุกเข้าไปในโกดังเพื่อกอบโกยเอาอาหารกระป๋องออกมา แต่คราวนั้นมันแย่กว่าตรงที่คนงานชุดเทาถูกพวกผีดิบกัดตาย และพวกเขาก็จวนตัวจนเกือบไม่รอด แต่ยังโชคดีที่สุดท้ายก็หนีออกมาได้
คิมจงอินถามตนเองว่าตอนนั้นเขารู้สึกผิดเหมือนตอนนี้หรือเปล่า และก็ได้คำตอบแล้วว่าไม่
“มึงจะทำอะไร?”
“ปิดปากมัดมือมันไว้ ถ้าเกิดปล่อยไปแล้วเราโดนยิงไล่หลังคงไม่ดีแน่” เทาว่าพร้อมลอกเทปผ้าออกมาปิดปากเด็กผู้ชายทั้งสองคนไว้ และตามด้วยการพันรอบข้อมือ
“โทษทีว่ะ” จงอินกระซิบข้างหูเด็กหนุ่มที่ร้องอู้อี้อย่างขัดขืน ก่อนที่เขาจะเข้าไปในห้องเพื่อคว้ากระเป๋าเป้ใบนั้นมาและวิ่งลงบันไดไป
“มีใบเดียวเหรอวะ?” ทั้งคู่สบตากัน ดูเหมือนว่าหวงจื่อเทายังอยากได้เพิ่มอีก แต่ถ้าหากขโมยทั้งหมดนอกจากจะต้องรู้สึกผิดเพราะความเลวตัวเองแล้ว ไอ้เด็กสองตัวนั่นก็จะไม่มีอะไรกินด้วย
“เออ มีแค่นี้”
เขาเลือกโกหกเพราะแค่เป้ใบเดียวก็เกินพอสำหรับความรู้สึกผิดในใจ ให้ตายเหอะ ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่มันอาจจะง่ายต่อความรู้สึกมากกว่านี้ แต่เพราะสองคนนั้นเป็นเด็กที่ไร้ทางสู้ และคงถูกสั่งให้อยู่เฝ้าของ
“ฉิบหายแล้วไง...”
สองหนุ่มหยุดฝีเท้าเมื่อลงมาถึงชั้นล่างและพบว่าหน้าร้านเต็มไปด้วยผีดิบประมาณสิบกว่าตัวซึ่งปะป่ายมือไปตามกระจก มันคงมาตามเสียงปืนซึ่งดังถึงสองครั้ง จึงทำให้การหลบหนีทางเดิมกลายเป็นเรื่องยาก
“ประตูหลัง”
“อืม”
ทั้งคู่วิ่งไปตามทางแคบก่อนประตูด้านหลังจะถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว สองขายืนนิ่งเมื่อพบว่าตรงนี้มีรถหลายชนิดจอดอยู่ในตรอกแคบข้างหลัง มีทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์หลากหลายชนิดจอดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งมันคงเป็นเป็นของ ‘ลุง’ ไอ้เด็กนั่น
“ขึ้นมา”
จงอินก้าวคร่อมบิ๊กไบค์ที่มีกุญแจเสียบไว้อยู่แล้ว เขายื่นกระเป๋าเสบียงกับหมวกกันน็อกเต็มใบให้และเทาก็รับไว้ก่อนจะก้าวคร่อมซ้อนท้ายอีกฝ่าย ชายหนุ่มสวมหมวกกันน็อกสีดำมันเงาพร้อมบิดข้อมือเร่งเพื่ออุ่นเครื่อง ชั่วอึดใจเดียวบิ๊กไบค์สีดำก็ขับออกมาวิ่งแล่นบนถนนที่พวกกินคนกระจายตัวอยู่
เทาสะพายเป้ไว้ข้างหลังพร้อมกำชะแลงให้เหมาะมือแล้วหวดเสยหน้าผีดิบที่ยืนขวางทางจนมันหงายหลังล้มไป เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มได้ลองทำอะไรแบบนี้ หวงจื่อเทารู้สึกดีที่ได้เสบียงติดมือกลับไป และความสนุกที่เกิดขึ้นจากมอเตอร์ไซค์ซึ่งเขาอยากจะลองขับมันเองสักครั้ง
50%
จงอินและเทาซ่อนตัวอยู่ในตรอกแคบกระทั่งลู่หานกับยูริมาถึง นับว่าโชคดีเหลือเกินที่พวกเขาได้เจอเพื่อนร่วมทางแทนที่จะเป็นเจ้าถิ่นซึ่งคงหัวเสียระดับอ่อน ๆ เมื่อพบว่าถูกบุกรุกโดยใครก็ไม่รู้ และคงจะหงุดหงิดเพิ่มอีกเป็นทวีคูณหลังจากเห็นว่าเสบียงถูกปล้น
ลู่หานมาพร้อมรถคันใหม่พร้อมบอกจะขับมันกลับโดยอ้างว่าขี้เกียจปลุกยูริ น่าแปลกที่เห็นผู้หญิงคนนั้นหลับมากกว่าทอดสายตาออกไปนอกรถอย่างคนเบื่อหน่ายชีวิต แต่การถามเอาคำตอบในถิ่นคนอื่นมันก็คงเสี่ยงเกินไป เทาขึ้นไปขับรถคันเดิม ส่วนเขาก็ขับบิ๊กไบค์กลับเพราะตัดใจทิ้งไม่ลง
อีกกลุ่มกลับถึงที่พักก่อน สิ่งที่ฝั่งนั้นได้ติดมือกลับมาคือความว่างเปล่าที่น่าใจหาย อี้ฟานบอกว่าที่นั่นเหลือเพียงอาหารหมาแบบเม็ด แบบกระป๋องเหลือเพียงซากซึ่งดูเหมือนว่าคนหมดหวังจะกินมันตรงนั้นเพื่อความอยู่รอด
ความกดดันผ่านทางสีหน้าและความรู้สึกของทุกคนแผ่กระจายไปทั่วบ้านพักหลังเล็กที่ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนชั่วคราว จงอินมองความสิ้นหวังที่มาในรูปแบบมนุษย์ ทุกคนดูเหนื่อย อิดโรยจนไม่อยากปริปากเล่าว่าวันนี้พบเจออะไรมาบ้าง
หวงจื่อเทาก็เป็นคนดับทุกข์เหล่านั้นด้วยกระเป๋าเป้ซึ่งอัดแน่นไปด้วยความผิดบาปในใจ เพียงเสี้ยววินาทีสายตาของทุกคนก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นเมื่อเห็นเสบียงอาหารที่สามารถยืดชีวิตต่อไปได้อีกประมาณสองวัน
รามยอนใส่น้ำเปล่าคืออาหารชั้นยอดที่แบ่งกันกินคนละนิด ทุกคนยังต้องประหยัดเสบียงดังนั้นการกินในค่ำคืนนี้จึงเน้นน้ำซุปจืด ๆ แทนที่จะใส่เส้นรามยอนเพิ่มเข้าไป เมื่อมีอาหารตกถึงท้องพอให้มีเรี่ยวแรงเซฮุนก็เป็นฝ่ายทำลายบรรยากาศอึดอัดด้วยการชวนคุย เทาจึงเข้าร่วมด้วยแต่หมอนั่นไม่ได้เล่าว่าวันนี้เราทำอะไรกันมา
ยูริแยกตัวออกไปก่อนทั้งที่กินไปเพียงไม่กี่คำ จงอินไม่แน่ใจว่ายัยนั่นมีปากเสียงกับไอ้ลู่หานหรือเปล่าหลังจากสังเกตเห็นว่าเพื่อนสนิทของเขามองตามเธอไปจนลับสายตา ตอนนี้ปาร์คกาฮีมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เธอคงปวดท้องแต่ก็ยังพยายามทำเหมือนว่าไม่เป็นไร
อี้ฟานกำลังวางแผนการออกหาเสบียงในครั้งต่อไป จงอินจึงก้มลงมองถ้วยรามยอนใบเล็กที่เขาเพิ่งกินไปได้ไม่กี่คำ ก่อนจะวางมันลงแล้วแยกตัวออกไปนั่งสูบบุหรี่ข้างนอก
ควันสีหม่นลอยไปตามลมเบา ๆ ยามค่ำคืน จนถึงตอนนี้เรื่องเมื่อตอนกลางวันก็ยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดเพื่อให้คิมจงอินถามตัวเองว่าเขาทำผิดจริง ๆ ใช่หรือไม่ ชายหนุ่มพยายามทำใจให้เป็นกลางเพื่อหาคำตอบให้กับคำถามนั้น ว่าถ้าเป็นคนอื่นจะทำยังไงถ้าเห็นว่ามีเสบียงอยู่ตรงหน้า
แต่ใคร ๆ ก็ทำกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอวะ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ขโมยมาทั้งหมด กระเป๋าเล็กแค่นั้นอาจเป็นเศษเสี้ยวที่บางทีไอ้ลุงอะไรนั่นคงคิดไม่ถึงก็ได้ว่ามันหายไป โลกนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ใช่... มันเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นการเป็นคนดีจึงไม่ช่วยทำให้อิ่มท้อง ชายหนุ่มผิวแทนไม่สามารถให้ความยุติธรรมในใจทำงานแล้ววางกระเป๋าลงที่เดิม คิมจงอินทำไม่ได้ เขายอมเป็นคนเห็นแก่ตัวเพื่อให้ตัวเองและคนรอบข้างอิ่มท้อง
เห็นหรือเปล่าคิมจงอิน... รอยยิ้มของคนเหล่านั้นที่เกิดขึ้นได้เพราะเสบียงอาหารที่มาในวันนี้ ทุกคนมีเรี่ยวแรงต่อสู้กับโลกอันโหดร้ายต่อไป แต่ทำไมความรู้สึกผิดในใจถึงยังไม่ไปไหน สีของจิตใจคิมจงอินตอนนี้ช่างมืดมนเหลือเกิน เขาพยายามหาข้อดีมากมายเพื่อทำให้ตัวเองไม่รู้สึกผิด
“...”
ชายหนุ่มผิวแทนลดระดับสายตามองถ้วยใบเล็กที่ใครคนหนึ่งยื่นให้ ในนั้นมีรามยอนซึ่งสามารถกินคำเดียวหมดได้พร้อมน้ำซุปที่มีมากกว่าเส้นประมาณสองส่วนสาม เขาสบตากับเจ้าของรอยยิ้มที่ตามออกมาราวกับรู้ว่ามีอะไรเกิดอะไรขึ้นกับจิตใจของคิมจงอิน และเด็กคนนี้ไม่เคยเดาผิด
“กินหน่อยนะครับ”
“นายอิ่มแล้วหรือไง?”
“ครับ กินน้ำซุปไปเยอะเลย” เซฮุนยิ้มตาหยี ก่อนจะหลับตาลงเมื่ออีกฝ่ายเอื้อมมือขึ้นมาวางลงบนศีรษะเขา ลูบเบา ๆ เพื่อแสดงออกถึงความรู้สึก เด็กหนุ่มจึงลืมตาขึ้นสบตากับอีกฝ่าย
“กินเถอะ ฉันอิ่มแล้ว”
“ได้ไงครับ ผมเห็นคุณกินไปแค่คำสองคำเอง” เซฮุนเลิกคิ้วมอง เขานั่งมองจงอินอยู่ตลอด จะเอาอะไรมาอิ่มกัน
ชายหนุ่มผิวแทนมองซ้ายขวา แสร้งขยับเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะป้องมือกระซิบหูอีกฝ่ายเพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน “ฉันแอบกินขนมตอนอยู่ข้างนอก รู้แล้วอย่าบอกใครล่ะ”
เซฮุนสบตากับเจ้าของคำพูดที่ขมวดคิ้วเพิ่มความจริงจังเข้าไป แต่ถึงยังไงคิมจงอินก็เก็บความกังวลไว้ไม่มิด ซึ่งเขาไม่อยากคาดคั้นให้อีกฝ่ายพูดออกมา ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเลือกนั่งอยู่เฉย ๆ ตรงนี้เพื่อให้คิมจงอินรู้ว่าโลกยังมีเด็กผู้ชายอย่างโอเซฮุนอยู่
“ช่วงนี้คงลำบากหน่อย แต่ผมว่าถ้าเราย้ายไปเมืองอื่น อะไร ๆ ก็อาจจะดีขึ้น”
“อืม หวังว่านะ” ชายหนุ่มผิวแทนตอบแบบขอไปที พลางหันไปมองใบหน้าขาวของอีกคน “ฉันรู้ว่านายอยากช่วยคนอื่น แต่ก็อย่าลืมล่ะว่าสุขภาพของนายไม่ได้เต็มร้อยเหมือนคนพวกนั้น”
“ผมพยายามอยู่ครับ” จะไม่เถียงว่า ‘ไม่เป็นไร’ เพราะจงอินคงไม่อยากได้ยินประโยคนั้น เซฮุนไม่อยากให้อีกฝ่ายมองว่าเขาเป็นเด็กชอบเถียงและไม่เชื่อฟัง ดังนั้นการขานรับเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจตอนนี้มันย่อมดีกว่าเป็นไหน ๆ
ชายหนุ่มผิวแทนขยับริมฝีปากบอกให้เซฮุนกินรามยอนถ้วยนั้น แม้ว่ามันจะถูกเตรียมมาเพื่อเขาก็ตาม แต่เด็กหนุ่มตัวผอมก็กินอย่างว่าง่าย จงอินมองคนที่กำลังกินด้วยรอยยิ้ม รามยอนเพียงเท่านั้นจะช่วยให้เด็กคนนี้เดินได้คล่องตัว ไม่อิดโรยเหนื่อยอ่อนเพราะไร้เรี่ยวแรงเนื่องจากถูกความหิวเล่นงาน
จงอินนั่งมองกระทั่งเซฮุนกินมันจนหมด ชายหนุ่มผิวแทนยังคงลูบหัวเด็กผู้ชายจิตใจดีที่เขาอยากปกป้องไปจนถึงนาทีสุดท้ายของชีวิต
“ฉันไม่อยากเห็นนายเลือดกำเดาไหลอีก เข้าใจที่พูดใช่ไหม?” จงอินพูดอย่างจริงจัง ซึ่งรอยยิ้มที่มาพร้อมการพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายนั้นก็ทำให้เขาชื่นใจจนต้องรั้งท้ายทอยเด็กตัวผอมเข้ามาจูบขมับเบา ๆ
“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ?” เซฮุนเลือกคำถามอ้อม ๆ แทนที่จะฮุคไปตรง ๆ ซึ่งจงอินก็เงียบไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว
“ก็... ไม่แย่เท่าไหร่”
“ผมเป็นห่วงคุณนะ”
“...”
“รู้ใช่ไหมครับว่าถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ คุณสามารถเล่ามันให้ผมฟังได้ทุกเรื่องเลย” จงอินทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้า โดยไม่ก้มลงมองว่าตอนนี้เด็กหนุ่มที่ซบอยู่กับไหล่ของเขากำลังทำสีหน้าแบบไหน “โอเซฮุนจะเป็นผู้ฟังที่ดีครับ”
เรื่องนั้นเขารู้ และมันทำให้เกิดคำถามว่าถ้าเป็นคิมจงอินคนเดิมจะกล้าเล่ามันให้เซฮุนฟังหรือไม่? แต่บางทีไอ้หมอนั่นอาจจะไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะคิมจงอินคนเดิมไม่เคยรู้สึกผิดเลยสักนิดกับการขโมยของ ๆ คนอื่น ดังนั้นมันคงไม่มานั่งกังวลจนถูกถามอย่างนี้
“ฉัน” เหมือนคำเหล่านั้นติดอยู่ที่คอเพียงเพราะคิดจะพูดออกมา “เสบียงที่เรามีกินกันวันนี้น่ะ”
จงอินเงียบไปครู่หนึ่ง เซฮุนจึงยันตัวลุกขึ้นนั่งสบตากับผู้ชายที่กำลังแสดงออกผ่านทางสีหน้าว่าลำบากใจที่จะพูดถึงเรื่องนั้นมากแค่ไหน แม้ก่อนหน้านี้เคยบอกกับตัวเองซะดิบดีว่าจะไม่บังคับจงอินให้พูด แต่พออีกฝ่ายเกริ่นมาอย่างนั้นเขาจึงยอมนิสัยไม่ดีสักครั้ง
“ฉันขโมยมาจากคนอื่น”
สายตาของเซฮุนกำลังตอกย้ำว่าการเก็บเรื่องนี้เป็นความลับมันคงเป็นทางที่ดีที่สุด เพราะถ้าพูดออกมาเขาก็จะได้เห็นสีหน้าผิดหวังและไม่อยากเชื่อของอีกฝ่ายอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เซฮุนนิ่งไปและมองเขาราวกับว่าอยากให้อธิบายมากกว่าเมื่อครู่ ชายหนุ่มจึงเลียริมฝีปากและพยายามผ่อนคลาย
“เป็นเสบียงที่คนครอบครัวนั้นหามาได้ และฉันขโมยมาจากเด็กตัวเล็ก ๆ สองคน”
ชายหนุ่มผิวแทนยังคงพูดต่อ เหมือนอย่างที่เด็กคนนี้ต้องการให้เขาระบายมันออกมา เซฮุนหลบสายตาไปแล้ว อีกทั้งยังกลืนน้ำลายและยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันมายิ้มหลอก ๆ เพื่อให้ผู้ชายอย่างเขาสบายใจ
“แค่ขโมยเฉย ๆ ใช่ไหมครับ คุณไม่ได้ทำร้ายร่างกายเขาใช่ไหม?” จงอินมองดวงตาคู่นั้นที่ต้องการคำตอบที่อยากได้ยิน ซึ่งเขาก็พยักหน้า “อะ... ดีแล้วล่ะครับ ไม่เป็นไรนะ ยังไงเรื่องมันผ่านไปแล้ว”
เขาเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงถือถ้วยรามยอนเปล่า ๆ เอาไว้ในมือ พลางก้มหน้าลงเล็กน้อยเหมือนว่ากำลังใช้ความคิด “อย่างนั้นเหรอ?”
“คุณคงเป็นห่วงพวกเราก็เลยเลือกที่จะขโมย แต่มันคงทำให้คุณรู้สึกผิดใช่ไหมล่ะครับ แต่ผมเข้าใจนะ บางครั้งความจำเป็นก็บีบบังคับให้เราทำเรื่องที่ไม่อยากทำ” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เด็กหนุ่มตัวผอมก็หันมามองเขาราวกับอยากให้คิมจงอินพยักหน้าว่าที่โอเซฮุนพูดน่ะมันไม่ผิดเลย
“เด็กคนนึงเอาปืนจ่อหัวฉัน ส่วนอีกคนถือลูกซอง แต่ยิงพลาดไปโดนกำแพงจนเป็นรู”
“...”
“ถามว่าคิมจงอินจะทำยังไงหลังจากถูกทำอย่างนั้น?”
เด็กหนุ่มตัวผอมเผลอบีบถ้วยรามยอนใบเล็กขณะที่ยังสบตากับอีกฝ่าย ความจริงแล้วเขาก็แค่อยากปลอบให้จงอินรู้สึกดีขึ้น แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ทำอยู่มันจะตอกย้ำให้ผู้ชายคนนี้รู้สึกแย่เข้าไปใหญ่
“คุณไม่ได้ทำอะไรนี่ครับ เมื่อกี้คุณเพิ่งพยักหน้าตอบไปเอง” เซฮุนยังคงยิ้มฝืนสู้ความกดดันในตอนนี้
“ฉันมัดมือมัดเท้ามันไว้ เพราะถ้าปล่อยไปก็กลัวถูกเอาปืนยิงไล่หลัง” เด็กตัวผอมนิ่ง กลอกตาราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ ซึ่งจงอินรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้เข้าใจ
“ไม่เป็นไรนะครับ”
“หยุดพูดเหมือนว่าเรื่องนี้มันไม่เลวร้ายสักทีเถอะ นายก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันโคตรระยำ”
“...” แม้จะไม่ได้ขึ้นเสียง แต่เซฮุนก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเริ่มจะโมโหเขา
“ถ้าเป็นนาย นายจะทำยังไง?” จงอินมองดวงตาคู่นั้นอย่างคาดหวังคำตอบ ซึ่งเขาก็รู้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เล่าความจริงแล้วว่าเรื่องนี้มันคงไม่เคยอยู่ในหัวของโอเซฮุนเลยสักนิด เด็กคนนี้ไม่เคยคิดที่จะเอาเปรียบใคร
“ผม...”
“นายทำไม่ได้ เพราะนายจะวางกระเป๋าลงตั้งแต่รู้ว่ามันมีเจ้าของแล้ว”
“เรื่องนั้น...”
“นายจะทำยังไงถ้าเกิดถูกไอ้เด็กส้นตีนเอาปืนจ่อหัว แถมยังลั่นปืนใส่ซี้ซั้วอย่างนั้น ถ้าเกิดมันเสือกยิงแม่นป่านนี้ฉันคงไม่ได้กลับมานั่งโง่ ๆ ให้นายถามแบบนี้”
“...”
“คนที่เหลือต้องตะเกียกตะกายทุกวิถีทางเพื่อเอาชีวิตรอด คนที่หาเสบียงได้ก่อนใช่ว่าจะเป็นเจ้าของเสมอไป เพราะคนที่มาเจอทีหลังก็พร้อมจะแสดงความเห็นแก่ตัวร้อยแปดว่ายังมีครอบครัวที่ต้องดูแล พวกมันกำลังจะอดตาย ซึ่งถ้าเจ้าของมันไม่ยอมให้ดี ๆ ก็อาจจบลงด้วยการแลกเลือด”
“...”
“เพราะคนที่ยังหายใจแม่งหิวไงเซฮุน” ชายหนุ่มกำลังพ่นความอึดอัดในใจออกมาอย่างไม่สามารถหยุดไว้ได้ “ฉันรู้สึกผิด แต่ก็เอากระเป๋าใบนั้นมาเพราะเลือกเห็นแก่ตัวมากกว่าเรื่องจิตสำนึก”
“เรื่องนั้น --”
“คำปลอบใจที่ว่า ‘ไม่เป็นไรนะครับ ทุกอย่างจะผ่านไป’ มันใช้ได้แค่กับคิมจงอินคนเดิมเท่านั้น แต่มันใช้กับฉันไม่ได้” เซฮุนกำถ้วยรามยอนจนมันบี้คามือโดยไม่รู้ตัว “เพราะฉันยังรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป ฉันไม่สามารถทำใจคิดเข้าข้างตัวเองว่าที่ทำลงไปมันถูกแล้ว ครอบครัวเราอิ่มท้อง แต่จะเอาของมาจากไหนก็ช่างเถอะว่ะ มันผ่านไปแล้ว”
“...”
“เพราะตอนที่ถูกกลุ่มอื่นคุกคาม เราก็กำอาวุธแล้วฆ่าพวกมันเหมือนกัน”
ยิ่งความทรงจำเดิม ๆ กลับเข้ามาเท่าไหร่ ชายหนุ่มผิวแทนก็ยิ่งตั้งคำถามให้ตัวเองมากขึ้นเท่านั้น การขโมยกระเป๋าใบเดียวในวันนี้มันอาจจะไม่เลวร้ายมากในความคิดคนอื่น แต่เมื่อเอาทุกเรื่องมารวมกัน คิมจงอินก็ตั้งคำถามให้ตัวเองอีกครั้งว่าในอนาคตเขาจะลงมือทำในสิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นหรือไม่
ทั้งบุกโกดังขโมยเสบียงคนอื่น ฆ่าคนตายในบ้านอี้ฟาน ฆ่ากลุ่มคิมนัมจุนในค่าย ฆ่ากลุ่มโจรที่ช่วยชีวิตอี้ฟานไว้ ฆ่าทหารมากมายเพื่อช่วยเซฮุนออกมา... ทุกการกระทำมันเกิดขึ้นเพราะความเห็นแก่ตัวและความถูกต้องฝั่งเดียวเท่านั้น
ในขณะที่ตราหน้าฝั่งตรงข้ามว่าเป็นคนชั่ว แล้วเขาล่ะดีแล้วหรือยัง? ทุกคนต่างก็มีเหตุผลที่ตัวเองอยากยอมรับ อยากรับฟังแค่คำพูดที่อยากได้ยิน
“ทีหลังถ้าไม่เข้าใจก็อย่าพูดเหมือนว่ามันจะผ่านไปได้ง่าย ๆ”
แม้จะเป็นคำพูดธรรมดา แต่เชื่อเถอะว่ามันทำให้หัวใจของคนฟังแตกละเอียดจนไม่เหลือชิ้นดี เซฮุนมองดวงตาเรียบเฉยคู่นั้น พร้อมเสียงถอนหายใจซึ่งบ่งบอกว่าโอเซฮุนชั่งเขลานักที่คิดปลอบคนรักด้วยคำพูดโง่ ๆ โอเซฮุนเคยทำได้ดีกว่านี้ แต่ไม่ใช่ตอนที่พวกเราทุกคนลำบากจนเหมือนว่าวันรุ่งขึ้นความตายจะมาเยือน เขาไม่รู้อะไรเลยงั้นเหรอ ก็คงจะจริง...
ตอนนี้เราทั้งคู่ไม่ได้มองตากันด้วยความเป็นห่วงอย่างเช่นก่อนหน้านี้แล้ว เซฮุนนั่งโง่ ๆ ข้างคนรักที่เปลี่ยนเป็นคนแปลกหน้าไปในเสี้ยววินาทีเพียงเพราะความจริงที่ตัวเขาเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอย่างนั้นมาตลอด ในบางครั้งเราก็เอาเปรียบคนอื่นเพื่อส่วนรวมในครอบครัว
อากาศในค่ำคืนนี้ช่างหนาวเหน็บนัก แต่มันคงไม่เท่าคำพูดที่หลุดออกมาจากปากคนที่โอเซฮุนรัก จงอินเงยหน้ามองเด็กหนุ่มตัวผอมที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สีหน้าของเซฮุนตอนนี้ไม่สู้ดีนักและชายหนุ่มผิวแทนรู้ว่าต้นเหตุเป็นเพราะเขา แต่คิมจงอินก็ไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้วพูดคำว่า ‘ขอโทษ’ ได้
“คุณคงอยากอยู่เงียบ ๆ มากกว่า”
“...”
“ขอโทษที่ทำให้โมโหนะครับ”
เจ้าเด็กนั่นไม่ได้พูดอะไรอีก ทิ้งไว้เพียงเสียงสั่น ๆ ที่กึกก้องในหูตบหน้าเรียกสติคิมจงอินให้รู้ว่าทำอะไรลงไป ได้ยินเสียงฝีเท้าซึ่งเดินกลับเข้าไปในบ้าน โอเซฮุนจากไปพร้อมทิ้งความรู้สึกผิดให้เขาเพิ่มอีกเป็นเท่าตัว จงอินถอนหายใจอย่างหัวเสียก่อนจะคว้ากระถางต้นไม้พร้อมเขวี้ยงมันออกไปข้างนอกอย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์
“บอกแล้วไงว่าฉันไม่เป็นไร”
“เออรู้ ออกมาหาที่ดูดหรี่เฉย ๆ” ลู่หานว่าพลางคาบบุหรี่จากซอง ก่อนจะยื่นให้หญิงสาวที่นั่งอยู่บนแคร่หลังบ้าน ซึ่งมีเพียงตะเกียงดวงเดียวเท่านั้นที่ให้ความสว่างในเวลานี้
“อย่าพูดอะไรที่มันน้ำเน่าล่ะ เพราะฉันจะคลื่นไส้”
“โถแม่คุณ ฉันน่ะเหรอจะทำเรื่องแบบนั้นกับเธอ ตร่ก” ลู่หานจุดไฟพร้อมพ่นควัน เขาส่งมันต่อให้เธอพลางมองใบหน้าเรียบเฉยซึ่งกำลังมองเขาอย่างหวาด ๆ
“ขอบใจ”
“อ้าว พูดขอบคุณเป็นด้วย?”
“ฉันพูดได้มากกว่านี้อีก โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้นายหัวร้อน”
“เออรู้ แล้วฉันก็ถนัดเรื่องทำลายทุกสิ่งที่ทำให้หัวร้อนด้วย” นี่เลย กับผู้หญิงกูก็ขู่ครับ อย่างโหดอะ
ยูริอัดควันเข้าปอดพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าซึ่งมีดวงดาวส่องแสงระยิบระยับอยู่บนนั้นพลางพ่นควันสีหม่นออกมาอย่างใจเย็น ตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันทั้งคู่ก็แทบไม่ได้พูดอะไรกันเลยนอกจากคำว่า
‘แกล้งหลับเถอะ ถ้าเธอไม่อยากมองหน้าใครหลังจากนี้’
ควอนยูริเป็นคนปากหนัก โดยเฉพาะการพูด ‘ขอบคุณ’ นั้นมันช่างเป็นเรื่องยากสำหรับเธอ ยิ่งกับคนที่คุยกันเมื่อไหร่เป็นต้องทะเลาะก็ยิ่งแล้วใหญ่ หญิงสาวไม่สามารถแยกแยะอารมณ์ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ได้เลยว่าควรรู้สึกยังไง ระหว่างดีใจที่หมอนี่ไม่ได้ทิ้งเธอไว้ตรงนั้น หรือรู้สึกแย่ที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อโดยไม่รู้ว่าต้องปรับตัวเข้าหาคนอื่นยังไง
“ที่พูดว่าขอบคุณ ฉันหมายถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวัน”
ไม่มีเสียงตอบโต้ของผู้ชายพูดมาก ยูริจึงอัดควันเข้าปอดอีกครั้งพลางหันไปมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่าย ลู่หานเพียงยกยิ้มทะเล้นแล้วหันมาพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่า ‘ไม่เป็นไร’ และคำขอบคุณที่คิดว่าต้องแลกมากับความอับอายของเธอก็ผ่านไปได้ด้วยดี
“มีครั้งนึงฉันเกือบตายเพราะช่วยแบคฮยอน เด็กคนนั้นน่ะจำได้ไหม ที่หายไปพร้อมกับไอ้หล่อนั่น”
“อืม พอนึกหน้าออก”
“เออ นั่นแหละ ตอนนั้นทำตัวพระเอกไง ช่วยชีวิตคนอื่นจนเกือบเอาตัวเองไม่รอด วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปจนเจอทางตัน วินาทีนั้นเหมือนเห็นญาติที่ล่วงลับไปแล้วยืนโบกมือไหว ๆ ให้อย่างนี้” ยูริมองคนข้าง ๆ ที่กำลังทำมือประกอบ “แต่คนมันยังไม่ถึงฆาตอะนะ พระเจ้าก็เลยเสกท่อมาให้ฉันมุดหนีไปได้ โหเธอเอ๋ย... ไม่อยากพูดถึงกลิ่นข้างล่างว่าเน่าแค่ไหน ฉันพยายามคลานหนีต่อไปทั้งที่เจ็บข้อเท้า ตอนนั้นพวกกินคนก็ตามลงมาทีละตัวสองตัว โคตรนาทีชีวิต”
“อ่าฮะ”
“สุดท้ายฉันก็ออกจากท่อได้ โผล่มาบนพื้นถนนอีกทีแต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน งงใจ ขาก็เจ็บ มีพวกกินคนรออยู่ข้างหน้าแล้วมันพร้อมมากด้วยที่จะกินฉัน แต่ตอนนั้นมีพ่อลูกเข้ามาช่วยไว้ สองคนนั้นคือซีวอนกับซูโฮ”
“...”
“ตอนนั้นไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่การได้รับความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้าแม่งก็โคตรเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย ในโลกแบบนี้เราสามารถเจอคนส้นตีนสุดขั้วกับดีสุดขีดได้ แล้วฉันก็รอดตายเพราะเจอพวกเขา”
“นั่นคงเป็นเหตุผลที่นายซึมเป็นหมาเหงาไปหลายวันตอนเด็กคนนั้นตาย” ยูริหันไปมองคนข้าง ๆ เธอเห็นว่าลู่หานนิ่งไปหลังจากได้ยินอย่างนั้น
“ซูโฮเป็นเหมือนน้องชายของฉัน ฉันอยากปกป้องเขาเพื่อตอบแทนซีวอนที่ช่วยชีวิตฉันไว้”
“นายคงรู้สึกผิดจับใจที่ช่วยเด็กคนนั้นไม่ทัน”
“โคตรเลยล่ะ มันเป็นความรู้สึกที่... เชี่ยไรวะ? เข้าใจใช่ปะ? แบบ... เชี่ยอะ” ลู่หานขมวดคิ้ว กับความผิดพลาดในครั้งนั้นที่ชายหนุ่มนึกโมโหพระเจ้าที่ไม่ยืดเวลาให้เขาอีกสักหน่อย
“ฉันรู้” ยูริยิ้มบาง ๆ พลางเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวอีกครั้ง “ว่าเวลาปกป้องคนที่เรารักไว้ไม่ได้มันแย่แค่ไหน” หญิงสาวเว้นจังหวะไป พลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า “เป็นเหตุผลที่ฉันไม่อยากผูกพันกับใครอีก ฉันเกลียดความสูญเสีย”
“แล้วทำได้เปล่าอะ?”
“...” ยูริหันไปมองเจ้าของคำถามที่มองมาด้วยแววตาเรียบเฉย
“เป็นไปได้ปะที่เธอจะปิดกั้นตัวเองไปเรื่อย ๆ ทั้งที่อยู่กับพวกเรา?”
“หรือฉันควรจะแยกตัวออกไปเหมือนชเวซีวอนดีล่ะ ฉันคิดว่าเป็นวิธีเข้าท่าเลยทีเดียว” หญิงสาวแค่นหัวเราะ
“ถามใจตัวเองดิว่าอยากไปเปล่า”
“...”
“มันก็จริงเว้ยที่เธออยู่คนเดียวได้ แต่นั่นก็ก่อนที่จะเจอซูยอน ตอนนี้เธอมีพวกเราแล้ว บางทีสมาชิกในครอบครัวอาจจะส้นตีนไปบ้าง แต่มันก็เรียกว่าครอบครัวได้ไม่ใช่เหรอวะ?”
“...”
“วันนึงมียี่สิบสี่ชั่วโมง ออกไปหาเสบียงครึ่งวัน ขับรถสามสี่ชั่วโมง กินข้าวก็นิดเดียว อิ่มบ้าง หิวบ้าง แต่ทุกคนก็แบ่งกันกิน บางวันมีเรื่องน่าปวดหัวก็แค่แยกกันไปหาอะไรทำ วันไหนเหนื่อยมาก ๆ ก็แชร์ประสบการณ์ห่าจิกให้คนอื่นขำ ก็แค่หัวเราะโง่ ๆ ออกมา”
“...”
“มันไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรเลย”
บุหรี่ยังคงคาอยู่กลางนิ้ว ปล่อยให้ขี้บุหรี่ร่วงลงพื้นไปตามกาลเวลาขณะที่เขาและเธอปล่อยให้ความเงียบครอบงำ ควอนยูริไม่ปฏิเสธว่าคำพูดของลู่หานทำให้เธอไขว้เขว จากที่เคยรู้สึกได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว พอเจอเรื่องเมื่อกลางวันหญิงสาวก็ยิ่งต้องกลับมาทบทวนใหม่
เธอยังคงเศร้าเรื่องจองซูยอน และการออกไปอยู่ตามลำพังมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แน่นอนว่าผู้หญิงแกร่งอย่างควอนยูริสามารถอยู่ได้ แต่ตอนนี้เธอกลับไม่อยากคิดอย่างนั้น เพียงเพราะความผูกพันบ้า ๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นเพราะความใจดีของทุกคนซึ่งเธอพยายามปิดกั้นมาตลอด
“อยู่คนเดียวมีแต่จะคิดถึงซูยอน สู้อยู่ทะเลาะกันไปเรื่อย ๆ แบบนี้ไม่ดีกว่าเหรอ อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอลืมความเศร้าไปได้บ้าง ถ้าเอาแต่ฟุ้งซ่านทั้งวันทั้งคืนได้เป็นบ้าตายแน่”
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ลู่หานค่อย ๆ ดึงมวนบุหรี่ออกจากซอกนิ้วอีกฝ่ายแล้วทิ้งลงพื้นก่อนจะใช้รองเท้าบี้มันจนดับ ถ้าไม่รวมเซฮุนที่ยอมพูดด้วยก็คงมีแค่เขาคนเดียวที่ยูริยอมปริปากด่า สาบานอีกทีเลยก็ได้ว่าเขาไม่ใช่คนปลอบเก่งและควอนยูริคงไม่ชอบให้ใครทำเหมือนว่าเธออ่อนแอ
“การมีชีวิตอยู่ต่อจะทรมานน้อยกว่าการตายจริงเหรอ ทำไมฉันถึงเลือกกระโดดลงบนรถแทนที่จะยอมตาย ๆ ไปซะ”
“เคยดูข่าวที่เขาโดดตึกตายเปล่า? บางทีมันเกิดขึ้นเพราะความชั่ววูบเว้ย บางคนคงไม่ได้อยากตายจริงหรอก แต่กว่าจะคิดได้ร่างกายก็ลอยอยู่กลางอากาศแล้ว”
“...”
“เอาจริง ตอนเป็นเด็กฉันก็เคยโกรธชะตาชีวิตตัวเองที่เกิดมาจน ไม่มีครอบครัวว่ะ คิดว่าอยากตาย ๆ ไปซะ แต่ทุกครั้งที่คิดว่าอยากตาย มันเสือกเป็นช่วงเวลาที่ฉันอยากให้ใครสักคนยื่นมือมาช่วยมากที่สุด”
หญิงสาวก้มหน้าร้องไห้เงียบ ๆ เพราะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป ความจริงจากปากอีกฝ่ายมันกำลังตอกย้ำว่าควอนยูริไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่คิดเลยสักนิด เธอเป็นเพียงผู้หญิงแข็งแรงที่จิตใจบอบบางและพร้อมที่จะแตกเป็นเสี่ยง ๆ หลังจากสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไป
ก่อนหน้านี้มีจองซูยอนเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่ตอนนี้ควอนยูริแทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากความว่างเปล่า ทุกอย่างมันเคว้งไปหมด พอคิดว่าอยากจะลองปรับตัวเข้าหาคนอื่นก็กังวลว่าจะเป็นตัวปัญหาและคงไม่มีใครอยากเปิดใจยอมรับ
ลู่หานมองหญิงสาวที่กำลังร้องไห้จนไหล่สั่น เขาจึงวางมือลงบนแผ่นหลังนั้นพร้อมตบเบา ๆ เพื่อปลอบใจ คนเราต่อให้เข้มแข็งแค่ไหนก็ย่อมมีจุดอ่อนที่ไม่อยากให้ใครรู้ทั้งนั้น
“ลู่หานครับ” เจ้าของชื่อหันไปตามต้นเสียงที่มาพร้อมไฟฉายกระบอกขนาดกลาง ควอนยูริจึงรีบเช็ดน้ำตาลวก ๆ แล้วหันไปมองผู้มาใหม่
ลู่หานขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางลุกขึ้นยืนพร้อมตะเกียงเพื่อที่จะได้เห็นหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ ก็สักพักแล้วที่เขาไม่ได้เห็นโอเซฮุนตกอยู่ในสภาพนี้ ถ้าเท่าที่จำได้ครั้งล่าสุดก็ตอนที่ไอ้เพื่อนสมองหายพูดจาไม่ดีใส่เพราะจำความไม่ได้
และครั้งนี้เซนส์ของเขาก็คงเดาไม่ผิดเหมือนกัน ว่าคนที่เรียกน้ำตาจากเด็กเข้มแข็งอย่างโอเซฮุนได้นั้นคงไม่พ้นไอ้หอกนั่น ซึ่งทำหน้าเป็นวัวไม่ได้ขี้มาหลายวัน
“เก็บของ... แล้วออกไปข้างนอกกับผมนะครับ”
ก้นบุหรี่นับสิบกองอยู่ที่พื้นในเวลาดึกสงัดซึ่งทุกคนหลับไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงคิมจงอินที่นั่งกระวนกระวายใจอยู่ตรงนี้เพียงเพราะเห็นว่าเซฮุนออกไปข้างนอกกับไอ้เพื่อนกะโหลกอย่างลู่หานแต่สามสี่ทุ่ม
จะให้หลับตอนนี้ก็คงข่มตาไม่ลง ชายหนุ่มผิวแทนเดินวนเวียนอยู่ละแวกนั้นพร้อมเตะทุกอย่างที่เห็นแล้วขวางตา กระทั่งถึงเวลาตีสามครึ่งรถยนต์ก็ขับกลับมาพร้อมสภาพครบสามสิบสองของทั้งคู่
จงอินพยายามสงบสติอารมณ์เพื่อรอฟังคำตอบว่าเด็กคนนั้นหายออกไปไหนกับเพื่อนเขาดึก ๆ ดื่น ๆ โดยไม่บอกก่อนสักคำ ลู่หานเลิกคิ้วแบมือออกพร้อมยกไหล่ขึ้น เป็นเชิงบอกว่ามันจะไม่ปริปากพูดห่าอะไรทั้งนั้น มันจะกลับไปนอน
ตอนนี้เหลือเพียงเราสองคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบหน้าบ้าน เซฮุนไม่ยอมสบตากันแต่เลือกยื่นกระเป๋าเป้สีน้ำตาลมาข้างหน้า
“ผมออกไปหาเสบียงมาครับ มันอาจจะไม่เยอะเท่าที่คุณได้มาเมื่อวาน แต่ --”
“ไปข้างนอกกลางดึกเพราะเรื่องนี้เหรอ?” ชายหนุ่มถามเสียงลอดไรฟันโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดจายั่วโมโหจนจบประโยค มันไม่ใช่คำตอบที่คิมจงอินอยากได้ยินเลยสักนิด ถ้าหากบอกว่าออกไปนั่งรถเล่นกินลมชมวิวเพราะหัวเสียที่เขางี่เง่าใส่มันก็คงน่าฟังว่านี้
“คุณจะได้เอาไปคืนเขา”
“จะประชดหรือไง?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ” เด็กหนุ่มกลืนน้ำลาย และยังคงก้มหน้ายื่นกระเป๋าโง่ ๆ ใบนั้นมาให้เขา “ผมแค่คิดว่าถ้าเอาเสบียงไปคืนเขาได้ คุณก็คงสบายใจมากกว่านี้”
“...”
“ผมไม่ได้อยากให้คุณโมโหเลยนะครับจงอิน”
“แต่ฉันกำลังโมโหเพราะสิ่งที่นายทำ”
“...”
“คิดแค่นั้นจริง ๆ ใช่ไหม? คิดแค่ว่าจะหาเสบียงให้ฉันเอาไปคืนเจ้าของ ฉันจะได้โล่งใจแล้วพูดว่า ‘ขอบใจนะเซฮุนน่า ต่อไปนี้ฉันจะได้สบายใจสักที’ อย่างนั้นเหรอ?”
“ผม --”
“การออกไปหาเสบียงกลางดึกมันเสี่ยงมากแค่ไหนต้องให้คนสมองกลวงอย่างฉันอธิบายไหม? อากาศหนาว มืดจนมองอะไรไม่เห็น อีกทั้งพวกมันก็กระจายอยู่เต็มไปหมด ถ้านายถูกกัดอีกจะเป็นยังไง?”
“...”
“ถ้าเลือดกำเดาไหลจนหมดสติแต่ไอ้ลู่หานหานายไม่เจอจะทำยังไง เคยคิดไหมว่ามันจะแบกนายฝ่าฝูงกินคนออกมาได้หรือเปล่า?”
“...”
“ให้ตายเถอะว่ะ นายนี่มัน...”
เขาไม่เคยโกรธโอเซฮุนขนาดนี้มาก่อน ในตอนนี้ชายหนุ่มไม่สามารถใจเย็นลงเพราะนึกถึงเจตนาดีของอีกฝ่ายได้ เซฮุนเอาแต่ยืนก้มหน้าและยื่นกระเป๋าโง่ ๆ ใบนั้นด้วยมือที่สั่นเทา เขาจึงแย่งมาและโยนมันเข้าไปในชานบ้าน ก่อนจะหันกลับมามองดวงหน้าขาวซึ่งสะท้อนกับแสงจันทร์ แววตาของโอเซฮุนตอนมองตามเสบียงที่เพิ่งหามาได้นั้นคงบีบหัวใจคิมจงอินได้เป็นอย่างดีถ้าหากตอนนี้เขาไม่ได้หัวเสียอยู่
“กลับเข้าไปในบ้าน”
“แล้วคุณล่ะครับ”
“ฉัน... บอกให้กลับเข้าไป”
“...”
เซฮุนสบตากับคนตรงหน้าเพื่อหวังให้อีกฝ่ายใจเย็นลงบ้าง แต่รออยู่หลายวินาทีเขาก็ได้รับกลับมาเพียงแววตาดุดันซึ่งทั้งหมดเป็นเพราะความโง่เขลาของเขาที่มีแต่จะทำให้จงอินโมโห
เด็กหนุ่มเดินกลับเข้าไปเก็บกระเป๋าเป้ใบนั้นขึ้นมาปัดฝุ่นพร้อมกอดไว้แนบอก ถอนหายใจกับความเหนื่อยล้าทางกายและใจ ก่อนจะหันกลับไปทันทีที่ได้ยินเสียงสตาร์ทมอเตอร์ไซค์
“คุณจะไปไหนครับ? จงอิน? เดี๋ยว! จงอิน!”
เซฮุนวิ่งตามไปแต่ขาทั้งสองข้างก็ทำความเร็วได้ไม่เท่าบิ๊กไบค์คันนั้น เด็กหนุ่มสะดุดล้มไถลกายไปกับพื้นดิน ท่ามกลางความเงียบซึ่งมีเพียงโอเซฮุนเท่านั้นที่รู้ดีว่าค่ำคืนนี้มันช่างมืดมิดและหนาวเหน็บแค่ไหน
ชายหนุ่มก้มลงหน้าแนบกับพื้นกระเบื้องฝุ่นจับพร้อมยืดมือเข้าไปใต้ตู้แช่เย็นในมินิมาร์ทเพื่อใช้นิ้วเขี่ยเอาขวดน้ำออกมา หลังจากพยายามหาเสบียงตามลำพังจนถึงเที่ยง คิมจงอินได้น้ำหนึ่งขวดกับช็อกโกแลตสองกล่องซึ่งละลายจนติดฟอยล์เพราะถูกทิ้งไว้ตั้งแต่ฤดูร้อน และเริ่มจับตัวแข็งอีกครั้งในฤดูหนาว
น้ำเปล่าขวดใหม่ถูกบิดฝาออกแล้วยกขึ้นดื่มดับกระหาย ชายหนุ่มนั่งพิงกับตู้แช่เครื่องดื่มพลางชันขาทั้งสองขึ้น สายตามองไปยังชั้นวางสินค้า มันว่างเปล่าและมีคราบเลือดกระเซ็นติดเป็นหย่อม ๆ จงอินเหยียดขาออกพร้อมพาดเท้าบนซากศพที่นอนคว่ำหน้าอยู่ ที่นี่มีศพตัวกินคนทั้งแบบถูกฆ่าตายนานแล้วและเพิ่งถูกเขาฆ่าไปเมื่อครู่
จงอินคิดว่าที่เขาบ้าบิ่นได้ขนาดนี้เป็นเพราะความหัวเสียทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะความเป็นห่วงเป็นใยโอเซฮุน เขาไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ที่ความกล้าเหล่านี้ต้องแลกมากับความรู้สึกแย่ ๆ ซึ่งถ้าใจเย็นสักหน่อยจุดจบของความรู้สึกคงเป็นอ้อมกอดอุ่น ๆ ของกันและกัน
ช็อกโกแลตสองกล่องนี้เหมือนได้มาเพราะโชคช่วย ถ้าให้เดา... คาดว่าคนที่เข้ามาเอาเสบียงที่นี่น่าจะถูกล้อมจนจวนตัว วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนจนทำมันตกพื้น ผลพลอยได้จึงมาถึงมือเขา เอาเถอะ... ต่อให้เอารามยอนไปคืนไม่ได้ อย่างน้อยช็อกโกแลตก็เอายัดปากได้เด็กเวรสองตัวนั้นได้อยู่ หวังว่าสิ่งที่เขาคิดมันจะไม่เลวร้ายขนาดนั้น
แน่นอนว่าการกลับเข้าไปในรังคนอื่นในฐานะโจรมันไม่ใช่เรื่องดีนัก แต่จงอินก็ไม่สามารถกลับไปแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ อย่างน้อยเขาก็อยากลบล้างจุดดำในใจออกสักนิด เพื่อให้ข่มตานอนหลับและกลับไปขอโทษเซฮุนที่พูดจาแย่ ๆ ใส่ด้วยน้ำเสียงอย่างนั้น
ชายหนุ่มแวะเติมน้ำมันบิ๊กไบค์ก่อนจะเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง เขาใช้เวลาสองชั่วโมงในการกลับไปยังจุดขโมยของเมื่อวาน เมื่อถึงจุดอันตรายจึงจอดรถไว้ห่าง ๆ แล้วเดินเท้าต่อ คิมจงอินไม่ได้ใจเด็ดขนาดนั้น บอกเลยว่าถ้าเห็นท่าไม่ดีสองขาคู่นี้จะรีบวิ่งกลับไปทางเดิมโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ
อย่างน้อยก็ขอให้ได้วางกระเป๋าไว้หน้าประตู แค่นั้นก็เกินพอ
คนผิวแทนก้มตัวลงต่ำพลางกวาดสายตาไปโดยรอบ ละแวกนี้ยังคงเงียบสงบอย่างเช่นเมื่อวาน ตอนนี้ในมือเขามีเพียงกระบองที่ได้มาจากศพ รปภ. แม้จะแทงหัวจนทะลุไม่ได้แต่มันก็ช่วยทำให้ตัวกินคนล้มเสียหลัก
ถ้าถูกไรเฟิลส่องตอนนี้คาดว่าคงสมองเละจนไม่มีโอกาสได้กลับไปขอโทษเซฮุน ชายหนุ่มใจเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อก้าวเข้าไปในใกล้จุดหมายทุกที แต่ภาพในหัวมากมายก็แตกเป็นเศษกระจกเมื่อพบว่าหน้าประตูร้านที่เคยงัดเข้าไปมันถูกเปิดทิ้งไว้ และมีพวกกินคนกระจายอยู่ทั้งด้านในและด้านนอก
“...”
ไม่มีสิ่งไหนฟันธงได้ว่าเกิดอะไรขึ้น จงอินอยู่ในสถานการณ์นั้นครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจอ้อมไปด้านหลัง แต่กลับไม่มีรถสักคันจอดอยู่อย่างเช่นเมื่อวาน
ลางไม่ดีแล้ว... จงอินคิดในใจ
ชายหนุ่มกำกระบองสีดำไว้แน่นพร้อมมองไปยังประตูหลังซึ่งเปิดแง้มไว้เล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เปิดมันเข้าไปอย่างเบาเสียงที่สุด เหล่าตัวกินคนในร้านเกาะติดกันอยู่แถว ๆ ประตูและมีบางส่วนกำลังรุมกินซากศพชายร่างท้วมบนพื้นซึ่งไส้พุงถูกกระชากออกมาจนไม่มีเหลือ จงอินก้มลงต่ำพลางกวาดสายตาดูลาดเลา อย่างน้อยศพที่ถูกกินก็ไม่ใช่เด็กสองคนนั้น แต่เขาจะกลับไปทั้งที่ยังไม่ขึ้นไปดูชั้นสองไม่ได้
ชายหนุ่มคว้ามีดปลายแหลมในครัวมาถือไว้เป็นอาวุธแล้ววางกระบองไว้ ขายาวค่อย ๆ ย่องเข้าไปแล้วหาจังหวะล็อกคอผีดิบตรงบันไดจากด้านหลัง ตามด้วยเอามีดทำครัวแทงเข้ากลางขมับอย่างแรงและชักออก ก่อนจะค่อย ๆ ประคองร่างไร้วิญญาณลงอย่างเบาเสียง
รองเท้าบูทหนังย่ำขึ้นไปบนบันไดอย่างช้า ๆ เมื่อถึงขั้นที่สูงขึ้นก็พบว่ามีศพผีดิบนอนตายเรียงรายอยู่เต็มไปหมดจนต้องก้าวขาข้ามเข้าไป บนนี้ไม่มีตัวกินคนให้ฆ่า ชายหนุ่มกวาดสายตาไปบนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยศพตัวกินคนมากมาย ทั้งนอนจมกองเลือดของตนเองและเลือดของตัวอื่น
ขายาวก้าวเข้าไปในห้องเก็บเสบียงและพบว่ามันถูกเก็บออกไปหมดแล้ว ที่นี่คงถูกฝูงตัวกินคนพังเข้ามาเพราะเสียงปืนลูกซอง แต่ศพที่นอนเกลื่อนพื้นก็คงเป็นฝีมือพวกลุงนั่นที่ต้องเคลียร์ก่อนโกยเสบียงออกไป
จงอินก้มลงหยิบปลอกกระสุน 9 มม. ขึ้นมาดู คนเหล่านั้นใช้ปืนจัดการมันจนพื้นเต็มไปด้วยเศษซากปลอกกระสุน ชายหนุ่มถอนหายใจ ลึก ๆ แล้วคิมจงอินก็ไม่ได้อยากเป็นต้นเหตุให้ชาวบ้านต้องย้ายถิ่นฐาน แต่ไอ้เด็กนั่นมันก็ลั่นปืนเองนี่หว่า
ปลอบใจตัวเองด้วยการโทษเด็กได้ไม่ทันไรสายตาก็มองไปเห็นรองเท้าคู่เล็กที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าผืนบางลายดอกไม้บนพื้น มันต่างจากศพอื่น ๆ ราวกับฟ้าเหวที่ถูกปล่อยให้ตายอย่างไร้ความปรานี ในหัวเริ่มมีบางอย่างผุดมาให้คิดและไม่อยากให้เป็นเรื่องจริง พอเลื่อนละดับสายตาไปอีกนิด...
ก็พบว่าใต้ผ้าห่มผืนนั้นมีรองเท้าอยู่สองคู่
จงอินกลืนน้ำลายเหนียวลงคอพลางยันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาได้ยินเสียงหัวใจตนเองซึ่งดังกึกก้องอยู่ในหัวทั้งที่บรรยากาศรอบข้างช่างเงียบสงบ ขายาวก้าวเข้าไปใกล้ศพใต้ผ่าห่มอย่างเชื่องช้าก่อนจะหยุดอยู่กับที่ เขาใช้เวลาอยู่หลายวินาทีเพื่อคาดเดาให้ตรงข้ามกับสิ่งที่สมองกำลังบอก มองเลือดสีสดที่ซึมตามผ้าห่มตามของร่างกายที่ถูกปกคลุมไว้ ก่อนจะดึงผ้าห่มผืนนั้นออก
“...!!!”
ชายหนุ่มปล่อยมีดทำครัวพร้อมทรุดลงกับพื้น ดวงตาแข็งเกร็งมองไปยังร่างไร้วิญญาณของเด็กผู้ชายสองคนซึ่งใบหน้า ซอกคอและแขนที่ถูกขาดเป็นชิ้น ๆ จนมองเห็นเนื้อสีแดงสด
เขาได้ยินเสียงแมลงวันที่บินอยู่รอบตัวเด็กสองคนนั้น พวกมันกำลังตอมใบหน้าซึ่งถูกกัดจนแหว่งไม่เหลือเค้าเดิม ดวงตาถลนออกมาคล้ายว่าถูกควัก พร้อมเศษเทปผ้าบนพื้น มันถูกตัดออกด้วยมีด ซึ่งคาดว่า ‘ลุง’ คนเป็นคนทำให้ศพของเด็กทั้งคู่เป็นอิสระ
เสียงหัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนเหมือนกำลังตะโกนกรอกหูเขา ภาพเหตุการณ์เมื่อวานซ้อนทับเข้ามาพร้อมเสียงพูดของเด็กคนพี่ที่ตอกย้ำให้ไอ้หัวขโมยจับเด็กมัดเอาไว้จนถึงความตายได้รู้สึกผิดบาป
ริมฝีปากหยักสั่นเทา จงอินก้มลงมองมือทั้งสองข้างแล้วถามตัวเองว่า ‘มึงทำอะไรลงไป?’ เขาอยากให้ภาพตรงหน้าไม่ใช่เรื่องจริง เด็กสองคนนั้นควรย้ายออกไปจากที่นี่พร้อม ๆ กับลุงของมันไม่ใช่จุดจบบ้า ๆ แบบนี้
เสียงก่นด่ากึกก้องในความคิดจนต้องก้มหน้าขยำกลุ่มผมสีเข้มคามือ จงอินหลับตาแน่นกับความผิดใหญ่หลวงที่เขาได้ทำลงไป ร่างกายสั่นเทาจนต้องนั่งคุกเข่าก้มลงหน้าผากซบกับพื้น ชายหนุ่มกำหมัดแน่นกับความทรงจำมากมายตั้งแต่แรกเริ่มที่เบียดเสียดกันเข้ามาตอกย้ำเขาในความคิด
ภาพตอนเดินออกมานอกห้อง ภาพหญิงสาวยืนโขกศีรษะอยู่กับประตู เสียงของบยอนแบคโฮตอนกล่าวขอบคุณในวันแรกที่เราเจอกัน ใบหน้าเรียบเฉยของปาร์คชานยอลและศพของเจ้าสาว บ้านของอู๋อี้ฟานที่ไฟไหม้ลุกโชน การขุดหลุมฝังบยอนแบคโฮ สีหน้าตอนร้องไห้เหมือนจะขาดใจของบยอนแบคฮยอน โรงเรียนมัธยมชุงช็องใต้ เสียงหัวเราะและอ้อมกอดของมิตรภาพระหว่างคิมจงอินและลู่หาน ครูห้องพยาบาลคิมฮโยลิน เด็กที่ถูกลิงกัด ปาร์คกาฮีที่จำเป็นต้องดูแลนักเรียนทุกคน เรือขนข้าว ไร่ข้าวโพด ความหวาดกลัวของจางอี้ชิง ค่ายนัมจุน เสียงไรเฟิล สภาพลู่หานหลังถูกแทง ท่าเรือมกโพ เกาะเชจูกับคิมมินซอก เครื่องบินกระดาษ ความผิดหวัง การกลับมาของอี้ฟาน การตายของคังยุนฮา เด็กไม่ค่อยพูดอย่างโดคยองซู อุทยานแห่งชาติยังซัน เจ้าหน้าที่คิมจงแด เสือและลิงบ้าคลั่ง หลุมศพของจองอึนจี การเปลี่ยนแปลงของหวงจื่อเทา ซูโฮผู้ไร้เดียงสา พ่ออย่างชเวซีวอนที่สูญเสียลูกไป ค่ายทหารและศูนย์วิจัย ชายหนุ่มชุดลายพรางชื่อจูจีฮุน
ภาพทุกอย่างซ้อนทับเข้ามาในเวลาเดียวกัน พร้อมเสียงของโอเซฮุนและแววตาคู่นั้นที่มองมายังเขาอยู่เสมอ
‘หนัก... ไหมครับ’
ภาพอุโมงค์มืดซึ่งมีแสงสว่างอยู่ไม่ไกลนักมาพร้อมเสียงกระซิบแผ่วเบาของคนที่ขี่หลังเขา
'อัดมัน!! อัดมัน!!'
'กระทืบมันเลยโว้ย!!!'
เสียงชายฉกรรจ์มากมายที่รายล้อมอยู่รอบด้าน ความร้อนระอุของเปลวเพลิงยามค่ำคืนในค่ายในนรก เหงื่อมากมายซึมตามขมับและฝ่ามือ เสียงเหล่านั้นยังคงซ้อนทับกันกับเสียงคนที่เขาเรียกว่าครอบครัว
“กรรรรรรรรรรรซ์”
จงอินกัดฟันกรอดกับเสียงโอดครวญที่ย่างก้าวเข้ามาจากทางด้านหลัง เขาลุกขึ้นยืนโดยไม่คว้าเอามีดทำครัวมาเป็นอาวุธแต่กลับเลือกหันไปเผชิญหน้ากับมันซึ่ง ๆ หน้า ผีดิบชายหญิงล้มลุกคลุกคลานผ่านซากศพตรงทางลงบันไดแล้วยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล
สองมือยื่นมาข้างหน้าหวังคว้าเอาเหยื่ออันโอชะในช่วงบ่ายที่ประเคนมาให้ถึงที่ ดวงตาเรียบเฉยมองไปยังตัวกินคนฝั่งขวา ก่อนจะเข้าไปถีบกลางอกอย่างแรงจนหงายหลังเสียหลักล้มไถลไปกับพื้น ไม่ถึงเสี้ยววินาที... ชายหนุ่มตรงเข้าไปคว้าท้ายทอยผีดิบสาว จับศีรษะโขกเข้าผนังอย่างแรงราว ๆ สามครั้งจนสมองทะลักออกมา
“กรรรรซ์....” ตัวกินคนที่ล้มไปเมื่อครู่กำลังคลานเข้าหารองเท้าบูทหนัง ร่างแห้งกรังที่เหลือผมติดศีรษะอยู่เพียงนิดปะป่ายมือไปตามกางเกงพร้อมอ้าปากส่งเสียงครวญครางก่อนจะสิ้นชีวิตอีกครั้งเมื่อถูกเหยียบศีรษะอย่างแรงจนกะโหลกแตก
ชายหนุ่มผิวแทนยืนนิ่งพลางหอบหายใจ เสียงผีดิบด้านล่างเริ่มชัดขึ้นเมื่อพวกมันได้ยินเสียงโหยหวนที่เพิ่งถูกจบชีวิตไป และคิมจงอินรู้ดีว่าจะเผชิญหน้ากับมันด้วยวิธีไหน ขายาวก้าวเข้าไปเปิดกระเป๋าเป้ที่มีทั้งช็อกโกแลตและขวดที่เหลือน้ำอยู่ครึ่งขวด เขาหมุนฝาพลาสติกออกพร้อมยกดื่มรวดเดียวจนหมดก่อนจะเทน้ำที่เหลือใส่หน้าตนเอง
ใบหน้าคมลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ปล่อยให้น้ำไหลหยดลงพื้น ชายหนุ่มมองกระจกฝั่งตรงข้าม มันแตกร้าวเหมือนความรู้สึกและความคิดของเขาเมื่อก่อนหน้านี้ที่ไม่เคยหาความชัดเจนได้ ดวงตาคมมองเงาตนเองในนั้นพร้อมขยำขวดน้ำจนบี้คามือก่อนจะโยนมันลงพื้น ไม่มีอีกแล้วคนที่เคยมองโลกด้วยความหวาดกลัว เมื่อตอนนี้ดวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความแน่วแน่และไร้ความลังเลใด ๆ
เพราะตอนนี้... คิมจงอินจำทุกอย่างได้ทั้งหมดแล้ว
TBC
#พ่อกลับมาแล้ว
#ทำเด็กร้องไห้นะพ่อ #ตอนหน้าจะว่าไง
ปล. กลุ่มอี้ฟานเจออาหารหมาแต่ไม่เอากลับมากินนี่ไม่ใช่เพราะศักดิ์ศรีนะ
คือมันเหลือแต่แบบเม็ด กินยาก ไม่มีนมกลั้วคอ
ความคิดเห็น