คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #108 : Chapter 103 :: Freezing cold (1,000%)
Chapter 103
Freezing cold
“หนึ่ง สอง สาม สี่... เอ้า มึงด้วยเหรอเพื่อน?”
จงอินคิดว่าเขาคงนึกอะไรออกเร็วขึ้นเพราะไอ้ลู่หานแน่ ๆ ถ้าได้กระโดดถีบยอดหน้ามันสักครั้ง และคาดว่าคิมจงอินคนเดิมคงรู้สึกไม่ต่างกันหรือบางทีตีนอาจจะลอยไปก่อนความคิด ชายหนุ่มผิวแทนปั้นหน้านิ่ง สบตากับเพื่อนเป็นเชิงบอกว่าไม่ได้พูดเล่น กับการเสนอหน้าเป็นตัวแถมออกไปล่อฝูงผีดิบบนถนนเส้นเล็กเบื้องหน้าเพื่อเคลียร์ทาง
“ผมรู้แล้วว่าทำไมถึงปิดถนนสองเลน” ทุกคนเงยหน้าขึ้นไปบนรถบ้านที่มีเด็กแว่นนอนหมอบส่องลำกล้องไรเฟิลสังเกตการณ์อยู่ “ตรงกลาง ๆ มีหลุมใหญ่ทางขวาสุดของเลน ถ้าจะผ่านไปได้ก็คงต้องเข็นรถทางซ้ายออกหลายคันเลยครับ”
“ไหน” ลู่หานปีนขึ้นไปบนหลังคารถบ้านอย่างคล่องแคล่วก่อนจะรับไรเฟิลไปส่องด้วยตนเอง หนุ่มหน้าตี๋ขมวดคิ้ว เรียบเรียงความคิดและคำนวณความเป็นไปได้อยู่ชั่วอึดใจแล้วลดไรเฟิลลง
“เป็นไงบ้างลู่หาน เราพอจะใช้ทางนี้ได้หรือเปล่า?” คนเจ็บที่ทำได้แต่อยู่เฉย ๆ อย่างอู๋อี้ฟานถามขึ้นมาอย่างกังวล พวกเขามองตามจนลู่หานกระโดดลงมาข้างล่างและเสียงถอนหายใจของหนุ่มหน้าตี๋นั้นไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก
“ได้นะ แต่ต้องใช้แรงคนไปเคลียร์รถกับพวกแดกตับออกจากถนนพอสมควรเลยว่ะ ละเสือกพากันจอดเรียงเป็นโดมิโน่ด้วยนะห่าจิก”
“งั้นก็รีบกันเถอะ เดี๋ยวฟ้าจะมืดก่อน” สิ้นเสียงของควอนยูริ จงอิน ลู่หาน เทา เซฮุน และกาฮีจึงเตรียมอาวุธให้พร้อมเพื่อออกไปจัดการเคลียร์เส้นทางตามที่ตกลงไว้ โดยมีมินซอกคอยระวังหลังให้ด้วยไรเฟิลบนหลังคารถบ้าน
ป้ายลูกศรสีส้มชี้ไปด้านขวามือเป็นสัญญาณเตือนให้ประชาชนรู้ว่าต้องใช้ทางเบี่ยงเนื่องจากมีการซ่อมแซมถนน ลู่หานและยูริเดินนำข้างหน้า เซฮุนและจงอินระวังซ้ายขวาส่วนเทาและกาฮีรับหน้าที่ระวังหลัง ทุกคนก้าวไปอย่างระมัดระวัง เงียบเชียบจนได้ยินเพียงเสียงครางฮือในลำคอของผีดิบที่อยู่ในละแวกนี้
กรวยสีส้มล้มกระจัดกระจายอยู่ตามพื้น ทุกอย่างดูเก่าไปหมดหลังจากถูกปล่อยให้ตากแดดตากฝนมานานเกือบปี ลู่หานแยกตัวไปจัดการผีดิบตัวแรกที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุดด้วยการฟันหัวจนแหว่งด้วยดาบเล่มยาว
เสียงโหยหวนของพวกมันใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทุกคนแยกกันไปจัดการทีละตัวอย่างเงียบเชียบ ซึ่งจงอินเป็นคนเดียวที่ประหม่ามากที่สุด เขายังคงมีความกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะจัดการกับพวกมัน แต่ลึก ๆ ในใจก็บอกกับตัวเองว่าถ้าไม่พร้อมวันนี้ คิมจงอินก็จะกลายเป็นไอ้กระจอกต่อไปอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด ชายหนุ่มไม่อยากมองกระจกแล้วรู้สึกแย่ที่ต้องเปรียบเทียบตัวเองคนใหม่กับคนเก่าว่าต่างกันมากแค่ไหน
ทุกคนหยุดเดินเมื่อเข้ามาถึงจุดที่มินซอกบอกว่าถนนเป็นหลุมใหญ่ ซึ่งมันอาจเกิดจากแผ่นดินไหวหรือน้ำท่วมหนักจนทำให้ถนนทรุด แต่อะไรคงไม่เลวร้ายเท่ากับศพของกรรมกรราว ๆ เจ็ดนายที่ตายอยู่ในนั้นและกลายร่างเป็นศพเดินได้
สองมือยกขึ้นเหนือศีรษะปะป่ายเมื่อเห็นเหยื่ออันโอชะ บางคนยังสวมหมวกนิรภัยเต็มเครื่องแบบ แต่บางคนก็เหลือเสื้อผ้าขาด ๆ ที่ปกปิดร่างกายซึ่งแหว่งไปด้วยรอยกัดไม่มิด ดวงตาต้อขาวกำลังมองมนุษย์ซึ่งกำลังพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกที่แทบไม่มีสิ่งดี ๆ หลงเหลืออยู่อีก ริมฝีปากดำเขลอะไปด้วยดินโคลนอ้ากว้าง ฟันบนล่างขบกันเสียงกึกกักก่อนจะมองภาพตรงหน้าไม่เห็นอีกเมื่อรถที่เคยอยู่บนถนนถูกเข็นลงมาในหลุมจนทับพวกมัน
“อีกสักคันน่าจะดี ไอ้เทา มึงไประบายความเกรี้ยวกราดกับพวกที่อยู่บนรถซิ” ลู่หานทำปากยื่นไปทางตัวกินคนที่ติดอยู่ในรถและพวกที่กำลังพาสองขาเดินมาทางนี้
“มากับกู” เซฮุนมองเพื่อนตัวสูงที่บอกให้จงอินไปด้วยกัน มันกึ่งคำสั่งแต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว และถึงจะเป็นห่วงเพราะไม่อยากให้จงอินอยู่ไกลเกินสายตา แต่เด็กหนุ่มก็วางใจว่าหวงจื่อเทาจะดูแลได้
คนที่เหลือช่วยกันเข็นรถลงหลุมจนพวกผีดิบไม่มีโอกาสเสนอหน้าโผล่มาอ้าปากโตลมอีก ผีดิบไม่ได้อยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มก้อนแต่กระจายอยู่รอบข้างประปราย ลู่หานกับเซฮุนจัดการเสี้ยนหนามระหว่างทาง คนอื่น ๆ จึงแยกไปยังรถที่จอดอยู่บนถนนคนละคัน
“ดูนี่” เทาชูกระเป๋าเป้พร้อมเอาอาหารกระป๋องออกมาชูให้ดู เรียกรอยยิ้มจากคนรอบข้างและตัวเขาได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยวันนี้พวกเขาก็ไม่ต้องอดมื้อเย็นเพื่อกินทีเดียวตอนเช้า
“แต่ละคันค้นดี ๆ นะเผื่อเจอทีเด็ด” เสียงของลู่หานไม่ได้เบาและดังจนเกินไป และพอได้ยินอย่างนั้นทุกคนจึงเริ่มค้นท้ายรถเพื่อหาสิ่งของที่กินได้เพื่อเป็นเสบียงในวันถัด ๆ ไป จงอินกวาดสายตามองไปโดยรอบ เขาหยุดยืนอยู่ตรงนี้มาราว ๆ หนึ่งนาทีแล้วหลังจากเห็นว่ามีตัวกินคนกำลังปะป่ายมืออยู่กับกระจกด้านใน
เขาจะจัดการกับมันยังไง?
ต้องใช้สัญชาตญาณหรือว่าความน่าจะเป็น?
“...”
ไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้าจะหันไปขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ชายหนุ่มผิวแทนกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอพร้อมกำมีดไว้แน่น วินาทีนี้โอเซฮุนก็ห้ามพึ่งเพราะจุดประสงค์หลักของคิมจงอินคือปกป้องเด็กคนนั้น เขาไม่อยากเห็นอีกฝ่ายเดินนำหน้าอีกแล้ว
ค่อย ๆ เปิดประตูรถฝั่งคนขับเพียงเล็กน้อยจนมือหยาบกร้านแทรกออกมาข้างนอก ปะป่ายทุรนทุรายส่งเสียงร้องแหบพร่า กระทั่งชายหนุ่มแทงมีดเข้ากลางศีรษะอย่างแรงจนด้ามทั้งหมดฝังเข้าไปในกะโหลก ร่างที่เคยตะเกียกตะกายอยู่บนรถคันนี้มานานจึงสงบแน่นิ่งไป
จงอินถอนหายใจพรูอย่างโล่งอก ใช้เวลาราว ๆ สิบห้าวินาทีในการตั้งสติก่อนจะดึงประตูรถเข้าหาตัวแล้วลากซากศพออกมาข้างนอก ชายหนุ่มผิวแทนนิ่วหน้าพร้อมปัดมือไล่กลิ่นเหม็นเน่าซึ่งคงมาจากผีดิบตัวนี้และพิซซ่าหนึ่งถาดที่กล่องเปิดฝาค้างไว้อยู่บนเบาะข้าง ๆ
ชะโงกหน้ามองเบาะหลังก็พบกระเป๋าสองสามใบ พอหันไปมองศพชายร่างท้วมเมื่อครู่ก็ได้แต่คิดว่าเจ้าตัวคงไม่ได้โดนกัดตายที่นี่ แต่อาจจะถูกกัดมาเลยคิดพยายามหนีไปที่ปลอดภัยซึ่งวินาทีนั้นมันจะมีใครบ้างที่รู้
“เอาวะ อย่างน้อยมึงก็ตายตอนที่อิ่มแล้ว”
จงอินสอดแขนเข้าใต้รักแร้ศพลากไปตามพื้นและทิ้งไว้บนฟุตปาธ ก่อนจะตบหลังสองครั้งพร้อมมองอย่างเวทนา มันชวนให้คิดไปว่าชีวิตคนเราแม่งสั้น ไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่ง ยังมีอีกหลายอย่างที่อยากทำแต่ก็ไม่มีโอกาส
รถที่เคยจอดขวางถูกเข็นไปจอดอีกสองเลนที่ยังว่างเพราะการซ่อมแซมถนน เซฮุนกับกาฮีช่วยกันเก็บป้ายบอกทางและกรวยไปวางที่อื่น ส่วนลู่หานบังคับพวงมาลัยโดยให้คนที่เหลือช่วยเข็นรถ
เวลาผ่านไปนานพอสมควรทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย ต่างคนต่างหาที่นั่งพักหายใจชั่วคราว ส่วนยูริ เทา และเซฮุนกลับไปที่รถเพื่อขับมารับพวกเขาที่นี่
“หิวจังโว้ย”
“อดทนอีกหน่อยนะคะ เราได้เสบียงเพิ่มแล้ว” กาฮีหันไปทางหนุ่มตี๋ที่กำลังหงุดหงิดชะตาชีวิตตนเองเพราะถูกความหิวและความเหนื่อยล้าเล่นงาน
“ได้มาเพิ่มก็จริงครู แต่มันไม่ได้เยอะขนาดที่จะเผื่อกินวันต่อไปได้ ดูพวกเราดิมีกันตั้งกี่คน ฟาดมื้อเดียวก็สบายดากละ”
“หรือมึงจะเสียสละไม่แดก” จงอินถอดเสื้อกันหนาวตัวนอกออกมาซับเหงื่อบนใบหน้าตนเองแล้วม้วนเป็นก้อนไว้บนตัก
“ไม่แดกเชี่ยไรล่ะ กูเป็นช้างเท้าหน้านะ กูต้องได้แดกเยอะสุดด้วย” คนฟังเพียงกลอกตา เกลียวนิ้วชี้ใส่หูตนเองราวกับว่าคำพูดของลู่หานเป็นเพียงลมที่พัดมาแล้วก็ผ่านไป “พระเจ้ามีจริงปะวะ ไหนลองเสกของแดกมาให้กูซิ”
กาฮีและจงอินหันมามองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย หลังจากได้ยินเสียงความเพ้อเจ้อของลู่หานที่กำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าเพื่อถามหาความยุติธรรมที่ไม่มีในโลกนี้แล้ว ชายหนุ่มผิวแทนส่ายหน้าหน่ายพลางคิดไปว่าถ้าพระเจ้ามีจริงก็คงเอาเวลาไปช่วยคนอื่น ๆ มากกว่ามาช่วยพวกมนุษย์สิ้นหวังอย่างพวกเขา...
หรือเปล่าวะ?
“ขอข้าวร้อน ๆ สักถ้วยได้ไหม ราดทูน่าก็ได้เอ้า”
“ลู่หาน”
“หรือจะเป็นขนมโง่ ๆ ไม่ก็ถั่วรสวาซาบิก็ได้ เผ็ดนรกแตกในโพรงจมูกจริง แต่ซองนึงก็น่าจะต่อลมหายใจได้อยู่”
“ไอ้ห่า มึงดูนั่น”
“อะไรวะ!” คนที่กำลังหิวจนเพ้อเจ้อขมวดคิ้วมองค้อนเพื่อนสนิทที่เอาแต่เขย่าแขนเขาอยู่ได้ บทจะอ้าปากด่าก็เห็นว่าสายตาของมันกำลังมองไปยังที่แห่งหนึ่ง
ที่ตรงนั้น... ที่ทำให้คิมจงอินคิดว่าบางทีพระเจ้าอาจจะว่างมาช่วยพวกเราแล้ว
ทั้งสามคนลุกขึ้นยืนพร้อมกันทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากตึกฝั่งตรงข้ามซึ่งมีรถบดถนนจอดขวางบังตาอยู่ เพียงครู่เดียวเท่านั้นรถทั้งสามคันก็ขับมาถึงและเทียบจอดข้างทางแต่ยังไม่ดับเครื่อง ยูริขมวดคิ้วมองสามคนที่ยังไม่ยอมขยับตัวมาขึ้นรถ กระทั่งเธอเปิดประตูรถลงไปดู ตามด้วยหวงจื่อเทาและโอเซฮุนที่เป็นคนขับเช่นกัน
พวกเขาเหล่านั้นหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ กันและกัน พร้อมมองไปยังความหวังของเย็นวันนี้ ก่อนที่คิมจงอินจะหันมายักคิ้วให้เพื่อนสนิท
“ไอ้ลู่หาน มึงคิดว่าคนเราจะแพ็คอะไรส่งผ่านไปรษณีย์บ้างวะ”
เสียงถุงก็อบแก็บปลุกเด็กหนุ่มให้ตื่นจากฝัน คยองซูปรือตามองความพร่ามัวก่อนจะกระพริบตาเพื่อปรับสภาพให้คุ้นชิน แล้วพบว่าตอนนี้ตัวเขานอนอยู่บนพื้นกระเบื้องสีขาวและมีกระเป๋าเป้สีดำเป็นหมอน
ภาพตรงหน้าคือจางอี้ชิงกำลังช่วยทำแผลให้ชเวซีวอน มันเกินความคาดหมายไปสักหน่อยตรงที่บรรยากาศรอบข้างไม่ใช่ต้นไม้หรือแม่น้ำลำธาร แต่กลับเป็นห้องแคบ ๆ ที่มีตู้กระจกอยู่รอบข้าง... และกลิ่นยา
“แค่ก!”
“คยองซู”
เจ้าของชื่อขมวดคิ้วกับเสียงที่เหมือนจะคุ้นเคยแต่ก็รู้สึกว่าไม่ได้ยินมานานแล้ว ร่างของเด็กหนุ่มถูกประคองให้ลุกขึ้นนั่ง ก่อนทุกอย่างจะนิ่งไปเมื่อเขาได้เห็นใบหน้าของคนที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือ
“แบคฮยอน...?” เสียงของคยองซูและชื่อตนเองที่หลุดออกมาจากปากนั้นทำให้หลุดยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ แบคฮยอนดีใจเหลือเกินที่อีกฝ่ายพูดได้หลังจากหมดสติไปหลายชั่วโมง
“ใช่ ฉันเอง”
ร่างกายและหัวใจที่เหน็ดเหนื่อยมานานกำลังถูกเยียวยาด้วยการกลับมาของใครคนหนึ่ง แม้ทั้งคู่จะไม่ได้สนิทสนมกันจนเรียกเพื่อนซี้ แต่โดคยองซูก็รู้สึกดีที่เหตุการณ์บนรถมันไม่ใช่แค่ความฝัน แบคฮยอนยังมีชีวิตอยู่ และช่วยเขาไม่ให้ตายอยู่ตรงนั้น
ซีวอนกับอี้ชิงละจากการทำแผลเพื่อมาดูอาการคนป่วยที่ตอนแรกเกือบจะไม่รอด แต่ก็โชคดีที่พวกเขาหาร้านยาเจอ จึงตั้งใจหยุดพักที่นี่กันหนึ่งคืนเพื่อฟื้นฟูอาการคนป่วย
“เป็นยังไงบ้าง ปวดหัวมากหรือเปล่า?” ชายวัยกลางคนถามอาการ ขณะที่คยองซูกำลังกวาดสายตาไปรอบตัว
“จงแดล่ะ”
“...”
“เขาอยู่ไหน?” เสียงแหบพร่าของคยองซูมาพร้อมความหวาดกลัวเมื่อไม่เห็นผู้ชายบ้าบอที่คิดปกป้องอุทยานไว้จนวินาทีสุดท้าย เขาจำได้ว่าได้ยินเสียงหมอนั่นพูดว่าอะไรก่อนจะแยกย้ายออกไปรนหาที่ตายเพื่อให้ทุกคนหนี
“เขาอยู่ในห้องนั้นน่ะ พักอยู่” แบคฮยอนยิ้มเจื่อนพลางชี้ไปยังประตูซึ่งเป็นห้องพักของเภสัชกร
“แล้วเป็นมายังไงทำไมถึงมาช่วยพวกเราได้ ...นายมาคนเดียวเหรอ”
“เปล่า ฉันมากับชานยอลน่ะ” แบคฮยอนสบตากับคนป่วยโดยไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดีถ้าอีกฝ่ายถามคำถามต่อไป
“แล้วเขาอยู่ที่ไหน?”
ว่าแล้วเชียว...
“เขา”
ไม่มีใครตอบคำถามว่าทำไมชานยอลและจงแดไม่อยู่ที่นี่ด้วยกัน เด็กหนุ่มตาโตจ้องอีกฝ่ายอย่างคาดหวังคำตอบแต่ก็ได้เพียงความเงียบกลับคืนมา
“จงแดมีรอยแผลที่คอ เราไม่รู้ว่าเขาถูกข่วนมาหรือเปล่า ชานยอลก็เลย --”
“เขาทำไม?” คนเจ็บถามเสียงเรียบโดยไม่เปิดโอกาสให้ซีวอนได้พูดอะไรต่ออีก
จริงอยู่ที่โดคยองซูจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อเพราะละอายใจกับอึนจีและซูโฮ อีกทั้งยังรู้สึกว่าตนเองไร้ประโยชน์และดีแต่สร้างความเดือดร้อนให้คนรอบข้าง จึงมีความคิดอยากให้ทุกคนทิ้งเขาไว้ที่นั่น แม้ว่าลึก ๆ แล้วโดคยองซูก็อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
ใช่... คนปอดแหกอย่างเขาไม่ได้อยากตายจริง ๆ หรอก ทุกอย่างที่พูดไปก็เพราะอยากประชดชีวิตตัวเองเท่านั้น และถ้าคนอื่น ๆ จะทำตามที่ขอจริง ๆ โดคยองซูก็ไม่คิดจะคัดค้าน
ชเวซีวอนจะพูดอะไรต่อ? ผู้ชายคนนี้คงไม่ได้กำลังจะบอกว่าไอ้เจ้าหน้าที่บ้านั่นโชคร้ายโดนข่วนระหว่างทางจนติดเชื้อใช่ไหม? และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงตอนนี้คิมจงแดจะเป็นยังไง? กลายร่างไปแล้วหรือยัง หรือว่าถูก...
“ปาร์ค -- ชานยอล” คยองซูเจ็บคอทุกครั้งที่กลืนน้ำลาย เขาขมวดคิ้วพร้อมหลุบสายตาลงมองขาตนเองซึ่งมีผ้าห่มคลุมอยู่ ภาพคิมจงแดถูกผู้ชายเย็นชาคนนั้นแทงหัวแล่นเข้ามาในความคิด เขารู้สึกเหมือนได้กลิ่นเลือดอยู่ใต้จมูก
ประตูห้องเปิดออกท่ามกลางความเงียบและความกังวลใจ ทุกสายตามองไปยังแผ่นไม้สีน้ำตาลที่พวกเขากลัวเหลือเกินว่าเรื่องไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น รองเท้าบูทหุ้มข้อก้าวออกมาจนได้เกิดเสียง ทุกคนกำลังลุ้นว่าจงแดเป็นอยู่ยังไงในห้องนั้นหลังจากผ่านไปแล้วสองชั่วโมง
ไม่มีมีดอยู่ในมือชานยอล ไม่มีคราบเลือดใด ๆ ให้รู้สึกกลัวมากไปกว่านี้ คนตัวสูงเพียงตรงเข้ามาและหยุดอยู่หน้ากระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนตู้กระจก ก่อนจะหันมามองทุกคนด้วยแววตาเรียบเฉยเหมือนกับทุกครั้ง
“กินข้าวกันเถอะครับ จงแดหิวแล้ว”
เศษกระจกประตูแตกกระจายอยู่ตามพื้นจนได้ยินเสียงบดแก้วทุกครั้งที่ก้าวเดิน ลู่หานและเทากำไฟฉายไว้ในมือพร้อมสอดส่องดูความปลอดภัยโดยรอบ ก่อนจะเห็นผีดิบสองตัวยืนอยู่ด้านใน
คราบเลือดที่ลากเป็นทางยาวเข้าไปในประตูกั้นระดับเอวน่าจะเกิดจากใครสักคนที่คิดหาทางเอาตัวรอดด้วยการคลานหนีหลังถูกกัด ลู่หานหันไปพยักหน้ากับเทาอย่างรู้กันแล้วเดินนำเข้าไปข้างใน จัดการฟันหัวผีดิบที่หันหลังให้ภายในเสี้ยววินาทีแล้วทุกคนก็ตามเข้ามาด้วยกัน
“ฉันจะเข้าไปเช็กในห้องรอจ่าย” ยูริว่า ซึ่งก็ไม่มีใครแย้ง
ลู่หานกับเทายังคงเป็นแนวหน้าในการเดิน ส่วนจงอิน เซฮุน กาฮีเดินตามหลังพร้อมหันไฟฉายไปโดยรอบ ในใจได้แต่ลุ้นว่ายังมีอะไรหลงเหลืออยู่บ้างหรือไม่ แต่จากการคาดเดาของจงอินซึ่งบอกว่าการที่ถนนเส้นนี้ถูกปิดซ่อมแซมและเป็นเส้นทางที่คงไม่มีคนเข้ามา วัดจากตัวกินคนที่กระจายตัวอยู่ข้างนอกซึ่งพวกเขาจัดการไปแล้ว
ในไปรษณีย์ต้องมีกล่องพัสดุ ซึ่งคนเป็นหมื่นแสนส่งของแตกต่างกัน จงอินคิดว่านอกจากเสื้อผ้าและของใช้จุกจิกแล้ว มันต้องมีเสบียงของแห้งอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ถ้าไม่มีใครมาถึงก่อน... ถ้าไม่มีใคร...
“กรรรรซ์”
เสียงโหยหวนจากพนักงานในเครื่องแบบร้องโหยหวนทันทีที่ถูกไฟฉายส่องหน้า ลู่หานหมุนข้อมือตั้งท่าก่อนจะตรงเข้าไปแทงเข้าปากศพเดินได้จนทะลุออกท้ายทอยแล้วชักมีดดาบกลับในทันที
“ทำไมพวกมันมีน้อยแปลก ๆ วะ หรือว่าไปตายข้างนอกกันหมด”
“กูว่าคงใช้ประตูหลังเข้าเพราะข้างหน้าปิดซ่อมถนน” ทันทีที่พูดจบ จงอินก็ได้แต่ยืนนิ่งแล้วหันไปมองทุกคนที่กำลังมองเขาราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน "อะไร"
“เปล่าครับ ผมว่าเราเข้าไปดูในห้องขาออกกันดีไหม ข้างในนั้นน่าจะมีของเยอะเลย ตอนนี้ฟ้าก็ใกล้มืดแล้วด้วย” เซฮุนรีบแทรกขึ้นมาก่อนที่จะมีใครทำลายความรู้สึกของจงอินด้วยคำพูดที่อ้างว่าล้อเล่น ซึ่งการที่ลู่หานยอมเงียบก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
“ถ้าข้างหลังมีพวกมันอยู่เยอะ งั้นเราหาแค่แถว ๆ นี้แล้วรีบกลับออกไปดีไหมคะ นี่ก็ใกล้ค่ำเหมือนที่เซฮุนบอกแล้ว” น้ำเสียงของแม่พิมพ์ของชาติย่อมได้ผลเสมอกับคนไม่มีความรู้อย่างลู่หาน หนุ่มตี๋ขมวดคิ้วยืนนิ่ง ก่อนจะพยักหน้าแล้วตรงเข้าไปในห้องขาออก
ข้างในมีกล่องพัสดุมากมายกองกันอยู่ในรถเข็นกรงขนาดสูงถึงไหล่ ซึ่งถูกแยกไว้ตามจังหวัดที่จะถูกนำส่ง ทุกคนแยกย้ายเข้าไปเลือกมุมค้นหาของที่จำเป็นต้องใช้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเสื้อผ้าใหม่ ๆ ในวินาทีนี้ได้อะไรก็เอา
“อัยหยา... ไนกี้คู่ใหม่ไฉไลจุงเบย” ทันทีที่กรีดกล่องพัสดุออกมา ลู่หานก็ยิ้มร่าชูของในมือให้ทุกคนดู ก่อนจะรีบถอดคู่เก่าออกเพื่อลองใส่คู่ใหม่
“อื้อหือ นี่กลิ่นตีนหรือซากหมาตายครับกูอยากรู้ กูว่าพวกแดกตับที่อยู่อิตาลี่ก็คงได้กลิ่น เน่าเหมือนชีวิตนี้ไม่เคยล้างตีนมาก่อน” เพื่อนสนิทที่อยู่ข้าง ๆ ถึงกับนิ่วหน้าปัดมือไล่กลิ่นเหม็นเน่า ซึ่งคนถูกแซวกลับไม่สะทกสะท้าน แถมยังยื่นเท้าไปใกล้ ๆ หน้าจงอินอีกด้วย
“อิจฉาที่กูได้รองเท้าคู่ใหม่สิน้า”
“เดี๋ยวกูลองกรีดกล่องนี้ดู ถ้าได้อีกคู่กูให้มึงเอาไปห้อยคอเลยยังได้” จงอินแค่นหัวเราะ มองคนที่กำลังระริกระรี้มองรองเท้าด้วยหางตา
“ห่านเอ๊ย หลวมเป็นคืบเลย” ลู่หานยืนขึ้นขมวดคิ้วมองเท้าตัวเอง ก่อนคนรอบข้างจะหลุดขำออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“ตีนอนุบาลแต่เสือกเปรี้ยวใส่รองเท้าไซส์นักบาส”
“เสียเวลาชีวิตฉิบหายสังคม” ลู่หานเขวี้ยงรองเท้าไปสุดมุมห้องอย่างหัวเสีย ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักในลำคอของคนอื่น ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเพื่อนสนิทอย่างจงอินที่ดูเหมือนจะสะใจมากที่สุด
“ทางนี้มีน้ำหอมกับครีมค่ะ”
“ครูเก็บไว้ใช้สิ” สิ้นเสียงของศิษย์อย่างหวงจื่อเทา หญิงสาวก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าสบตากับอีกฝ่าย
“ไม่ดีกว่า หนักเปล่า ๆ”
“เดี๋ยวผมสะพายให้เอง ครูเอามาเถอะ” เทายิ้มพร้อมมองหญิงสาวตรงหน้าซึ่งเขานับถือเหมือนเป็นแม่อีกคน เด็กหนุ่มอยากให้ครูมีความสุขด้วยการดูแลตัวเองเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ แม้ว่าโลกนี้จะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม
“งั้นแค่ขวดนี้ขวดเดียวก็พอ”
“เอาอันนี้ด้วยสิ เซรั่มอะไรก็ไม่รู้ เหมือนจะลดรอยย่นกับรอยตีนกาได้ด้วยนะ”
“เทา...”
“ผมล้อเล่น” เด็กหนุ่มตัวสูงยิ้มขำแล้วรวบเอาขวดครีมทั้งหมดใส่ในบับเบิ้ลกันกระแทกเช่นทีแรกแล้วเก็บใส่กระเป๋าเป้ตนเอง
“ตรงนี้มีขนมครับ” เซฮุนอุ้มกล่องกระดาษสีน้ำตาลมาวางลงบนพื้นโดยมีไฟฉายของเทาคอยให้ความสว่าง เด็กหนุ่มตัวผอมยิ้มอย่างดีใจกับเสบียงมากมายที่อัดแน่นอยู่ในกล่อง แม้จะไม่มีข้าวสารอาหารแห้ง แต่ขนมซองจำนวนมากก็ทำให้อิ่มได้ทั้งวันเหมือนกัน
“โอย พระเจ้ารักกูแล้ว” ลู่หานทรุดเข่านั่งพับเพียบ ซบหน้าลงกับซองขนมพร้อมบีบน้ำตาแห้ง
“ส่วนทางนี้มีผักกาดดองกระปุกนึง ถั่วลิสง เห็ดอบแห้ง ธัญพืชกับผลไม้อบกรอบ... คนส่งนี่แม่แน่ ๆ” จงอินขมวดคิ้ว จับของอบแห้งขึ้นมาดูใกล้ ๆ แล้วดมกลิ่นผ่านซองแก้วว่ามันยังกินได้หรือเปล่า
“เก็บใส่กระเป๋าเลยค่ะจงอิน มันยังกินได้” ครูสาวยิ้ม ซึ่งชายหนุ่มที่เอาแต่บอกว่าตัวเองไม่มีประโยชน์ก็พยักหน้าแล้วเก็บของจากลังสีน้ำตาลใส่กระเป๋า
“จงแดจะตายใช่ไหม?”
คำถามของคยองซูนั้นอยู่ในใจทุกคนตั้งแต่บนรถ แต่พวกเขาเลือกที่จะเงียบมากกว่าหันไปปรึกษากันว่าจะเอายังไงกับเจ้าหน้าที่อุทยานซึ่งตอนนี้ถูกขังอยู่ในห้องนอน ท่ามกลางความเงียบบนพื้นร้านยา ซึ่งมีเทียนเพียงสามแท่งเท่านั้นที่จุดให้ความสว่างในที่มืดแห่งนี้ขณะทุกคนกำลังกินมื้อเย็น
“ตอนนี้ยังครับ”
“แล้วถ้าเขาเปลี่ยน คุณจะฆ่าเขาหรือเปล่า?” ทุกคนละความสนใจจากไส้กรอกกระป๋องในมือพร้อมเงยหน้าขึ้นมองคนป่วยที่ยิงคำถามไปยังปาร์คชานยอล ราวกับว่าชายหนุ่มคนนั้นคือผู้ตัดสินทุกอย่าง
“คุณอยากได้คำตอบแบบไหนครับคยองซู?”
‘คุณไม่อยากได้ยินคำตอบหรอกครับ’
แบคฮยอนมองรอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าซึ่งมาพร้อมประโยคที่เขาเคยได้ยินด้วยตัวเองเมื่อนานมาแล้ว มันอาจจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่ก็ทำให้รู้สึกบาดใจจนไม่อยากรับรู้อะไรอีก แต่วินาทีนี้คยองซูกำลังเผชิญหน้ากับความวกวนทางความคิดของชานยอล ซึ่งเขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน
“คุณไม่อยากให้ผมฆ่าเขา”
“แต่ถ้าจงแดเปลี่ยน ใครก็ห้ามคุณไม่ได้ใช่ไหม?”
“คยองซู – กิน – ก่อนเถอะ” อี้ชิงวางมือลงบนขาคนป่วยเพื่อแสดงความเป็นห่วงและปรามให้หยุดในคราวเดียวกัน
“หรือคุณจะปล่อยให้เขาเปลี่ยนจนมากัดตัวเองล่ะ” ซีวอนไม่ได้เข้าข้างชานยอลหรือคยองซู เพราะเขาไม่สามารถไม่หลีกหนีความจริงได้ว่าต่อให้ผูกพันกันแค่ไหน แต่พอตายไปก็จำใครไม่ได้อยู่ดี คนที่เรารักพร้อมจะอ้าปากกัดอย่างหิวกระหาย กระชากเนื้อออกมาเป็นชิ้น ๆ และเคี้ยวกลืนลงคอโดยไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดเดียว
“ชานยอลไม่ทำแบบนั้นหรอกคยองซู”
“...” ชานยอลมองไปยังคนตัวเล็กที่กำลังปกป้องเขาจากความคิดร้ายของคนรอบข้าง ซึ่งชานยอลคงไม่ปฏิเสธว่าเขาคิดอย่างนั้นจริงถ้าจงแดเปลี่ยน แต่เขาเลือกที่จะไม่ลงมือทำเมื่อตอนนี้มันมีทางเลือกอีกมากมายที่ผู้ชายอย่างเขาสามารถรักษาความรู้สึกคนรอบข้างไว้ได้โดยไม่ต้องฆ่าใคร
“จงแดยังไม่เปลี่ยนสักหน่อย บางทีเขาอาจจะไม่ได้โดนพวกกินคนข่วนก็ได้นะ ทุกอย่างก็แค่การสันนิษฐานถูกไหม ที่จงแดอยู่ในนั้นก็เพื่อความสบายใจของทุกคน แล้วเขาก็เป็นคนขออยู่ข้างในเองด้วย” แบคฮยอนพยายามอธิบายเพื่อให้คนป่วยไม่ทรุดทางกายและใจไปมากกว่านี้
“แล้วถ้าเขาเปลี่ยนล่ะ”
“ตอนนี้จงแดยังไม่เป็นอะไร แต่ถ้าคุณไม่ยอมดูแลตัวเอง คนที่จะเปลี่ยนอาจเป็นคุณก็ได้คยองซู” ชายวัยกลางคนมองดุเด็กหนุ่มที่เอาแต่ดื้อไม่หยุด สาบานเลยว่าถ้าโดคยองซูเป็นลูกชายของชเวซีวอนนะ เขาจะ --
เขาจะ...
“แค่ก!!!”
“คยองซู!” แบคฮยอนและอี้ชิงรีบเข้าไปประคองร่างคนป่วยที่อาเจียนออกมาเต็มมือตนเอง ชานยอลจึงรีบวิ่งเข้าไปหลังร้านเพื่อเอาผ้าขี้ริ้ว ถุงพลาสติก และกระดาษทิชชู่มาหนึ่งม้วน
บุรุษพยาบาลหนุ่มรับถุงมาใส่อ้วกของคนป่วยและเช็ดปากให้ด้วยทิชชู่อย่างไม่รังเกียจ และในนาทีนี้ทุกคนได้หันมาให้ความสนใจคนป่วยแทนอาหารมื้อเย็น ก่อนร่างของคยองซูจะถูกประคองให้ไปนั่งพิงกับผนังพร้อมห่มผ้าให้
“สนใจที่จะทำให้ตัวเองหายป่วยหน่อยได้ไหม ผมขอร้องล่ะ” ซีวอนว่าก่อนจะบิดผ้าในกะละมังใบเล็กแล้วซับใบหน้าและซอกคอให้เด็กหนุ่ม
“ต่อให้คุณคิดอย่างนั้น แต่ผมก็ไม่ได้อยากให้มันแย่ลงไปกว่านี้หรอก... แค่ก!”
“ก่อนจะห่วงคนอื่นก็ควรดูสภาพตัวเองด้วย ไว้ไปดราม่าตอนหายแล้วก็ยังไม่สาย ถ้ายังเป็นแบบนี้เดี๋ยวอี้ชิงได้จับคุณนอนคว่ำแล้วเอาเข็มฉีดยาทิ่มก้นอีกแน่” ซีวอนยังคงดุอีกฝ่ายด้วยคำพูดห้วน ๆ แม้ในใจจะนึกเป็นห่วงแต่ปากมันก็พาลให้พูดอย่างนั้นทั้งที่ไม่ใช่นิสัยของเขาเลยสักนิด
เพราะลึก ๆ ชเวซีวอนก็เห็นแก่ตัว ที่บางครั้งก็มองเห็นโดคยองซูเป็นตัวแทนลูกชายของเขา
“ดื่ม – น้ำหวาน – หน่อย – จะได้ – สดชื่น” อี้ชิงมาพร้อมน้ำอัดลมให้คนป่วยที่ร่างกายต้องการน้ำตาลได้ดื่ม เป็นเพราะที่นี่ไม่มีอุปกรณ์สำหรับการเจาะสายน้ำเกลือ ดังนั้นการชงผงเกลือแร่ผสมน้ำให้ดื่มก็คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว
เสียงเคาะประตูจากด้านในของห้องพักดังขึ้นก่อนประตูจะเปิดออกในวินาทีถัดมา ทุกสายตามองไปยังบานไม้ที่ค่อย ๆ แง้มออกอย่างเชื่องช้า ก่อนจะพบใบหน้าของจงแดที่ชะโงกออกมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“นี่คุณไม่ได้ล็อกประตูไว้หรอกเหรอ?” ซีวอนหันไปถามชานยอลที่กำลังเก็บกวาดพื้นซึ่งเลอะไปด้วยคราบอ้วกของคยองซู ก่อนจะได้รับรอยยิ้มบาง ๆ เป็นคำตอบ
“ครับ ผมไม่ได้ล็อก” ชายหนุ่มตอบสั้น ๆ โดยไม่ได้หันไปสบตากับคนตัวเล็กที่กำลังเก็บขยะใส่ถุง แบคฮยอนยังคงไม่ละสายตาจากคนข้าง ๆ พร้อมคำถามในหัวว่า ‘ทำไม?’
“เอ่อ... ก็ไม่ได้อยากออกมาสร้างความอึดอัดหรอกนะ แต่ผมอยากทำธุระในห้องน้ำสักห้านาทีน่ะ ได้ใช่ไหม” จงแดยิ้มเจื่อนพร้อมก้าวขาออกมาข้างนอก สร้างระยะห่างจากทุกคนพร้อมรูดเอาเข็มขัดออกมาจากเอวแล้วคาดมันไว้ที่ปาก เพื่อแสดงให้คนอื่นสบายใจว่าถ้าหากเขาเปลี่ยนระหว่างเข้าห้องน้ำก็คงไม่มีปัญญาอ้าปากกัดใครได้แน่
“ตามผมมาครับ ห้องน้ำอยู่ทางนี้” ชานยอลถือผ้าขี้ริ้วติดมือไปด้วย ผู้ชายคนนั้นไม่ลังเลหรือแสดงความสงสัยที่มีต่อตัวเจ้าหน้าที่หนุ่มเลยสักนิด แบคฮยอนมองตามแผ่นหลังกว้างของผู้ชายเข้าใจยากที่ดูเหมือนว่าจะมีอะไรอยู่ในใจอีกแล้ว และเขาก็ไม่สามารถเข้าถึงความรู้สึกนั้นได้
จงแดคลายสายเข็มขัดออกจากปากพร้อมถอนหายใจยาว ๆ ก่อนจะมองคนตรงหน้าซึ่งยื่นสมาร์ทโฟนที่ได้มาจากศพของคนมาซื้อยาเพราะถูกกัดแขน ชานยอลจึงฆ่าทั้งลูกค้าและเภสัชกรที่ถูกกัดเช่นกัน แม้สมาร์ทโฟนจะใช้เล่นอินเทอร์เน็ตไม่ได้ แต่มันก็พอใช้ประโยชน์กับแอพลิเคชั่นไฟฉายได้ดีในที่มืด ๆ ของห้องน้ำ
จงแดเลียริมฝีปากพลางหันซ้ายขวาดูว่ามีคนอยู่แถวนี้หรือไม่ ก่อนจะมองอีกฝ่ายที่กำลังล้างมือและผ้าขี้ริ้ว ก่อนทั้งคู่จะหันมาเผชิญหน้ากัน
“คยองซูเป็นไงบ้าง เขาดีขึ้นหรือเปล่า”
“แผลติดเชื้อแล้วก็ไข้ขึ้นสูง เราต้องพักอยู่ที่นี่อีกสักคืนเพื่อรอดูอาการเขาครับ”
“เฮ้อ... จริง ๆ เลยเจ้าเด็กนั่น” จงแดจิ๊ปากแล้วชะโงกหน้าออกไปข้างนอก พยายามมองหาเด็กหนุ่มที่ทั้งเจ็บทั้งป่วย แต่ก็เห็นแค่ปลายเท้าที่โผล่พ้นออกมาให้มองเท่านั้น
“อยากใช้ห้องน้ำไม่ใช่เหรอครับ เข้าไปสิ” ชานยอลยืนกอดอกมอง ซึ่งคนถูกยิงด้วยคำโกหกของตัวเองถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว
“อะไรกัน คุณปล่อยผมมาตั้งนาน จะมาบังคับกันตอนนี้เนี่ยนะ” เจ้าหน้าที่หนุ่มขมวดคิ้ว
“หรือว่าคุณมีอะไรในใจอยากจะพูดเหรอครับจงแด?”
“ผมแค่สงสัยว่าทำไมคุณไม่จับผมมัดแล้วขังไว้ อ่า ความจริงผมค่อนข้างกลัวแล้วก็เหงาด้วย อยู่คนเดียวในห้องนั้นมันเคว้งเป็นบ้า” จงแดถอนหายใจ “แต่หลัก ๆ ที่คาใจก็คงเป็นเรื่องนั้นน่ะ ผมอยากรู้จริง ๆ”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงทำอย่างนั้น แต่ตอนนี้ผมอยากให้คุณซื่อสัตย์กับตัวเองและคนอื่น ๆ ครับ” ชานยอลตอบอย่างไม่โกหก ซึ่งจงแดก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ทั้ง ๆ ที่คิดว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงเขาอาจจะต้องตายแล้ว
“คุณพอจะรู้หรือเปล่าว่านานแค่ไหนถึงจะเปลี่ยนเป็นพวกนั้น... ผมเองก็จำไม่ได้ว่าตอนอึนจีเธอต้องทนอยู่กับความรู้สึกบ้า ๆ นี่กี่ชั่วโมง” เขาถามอย่างใคร่รู้ เพราะตอนโลกเพิ่งเปลี่ยนใคร ๆ ก็ตายเพราะโดนกัดกิน หรือไม่ก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว แค่ไม่ใช่ในกรณีของเขากับอึนจีที่เหมือนว่าจะโชคร้ายเพราะรอยขีดข่วน
“คุณทำให้ผมนึกถึงบยอนแบคโฮ พี่ชายของแบคฮยอน”
“พี่ชายของแบคฮยอน?” เจ้าหน้าที่อุทยานทวนคำถามพลางเลิกคิ้วขึ้น
“ครับ เขาโดนกัดระหว่างที่ทุกคนกำลังหาทางช่วยเซฮุน พอกลับไปถึงที่บ้านอี้ฟานเราก็ขังเขาไว้ในห้องแบบนี้” รอยยิ้มของชานยอลเปลี่ยนไปเมื่อเริ่มพาตัวเองกลับไปในอดีต แววตาของผู้ชายเข้าใจยากกำลังเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วคุณก็เป็นคนจัดการเขาเหรอ”
“เปล่าครับ” คนตัวสูงถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านไปนานแล้ว “ตอนนั้นเซฮุนก็โดนกัด เขาทั้งสองคนเลยถูกจับมัดไว้คนละมุมห้อง อาจจะฟังดูใจร้ายไปสักหน่อย แต่ตอนนั้นพวกเราเพิ่งเจอกันได้แค่วันสองวันก็เลยไม่มีความเมตตาต่อกันสักเท่าไหร่น่ะครับ” ทันทีที่จบประโยค ชานยอลก็ฝืนยิ้มออกมาอีกครั้ง
“แต่เซฮุนก็ไม่เปลี่ยน มันเริ่มต้นจากตรงนั้นใช่ไหม?”
“ครับ” เขาตอบ “วันนั้นเราสูญเสียคนดี ๆ ไปหนึ่งคน ที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมทางและโลกทั้งใบของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง”
จงแดรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก กว่าคนกลุ่มนี้จะเดินทางมาถึงอุทยานก็คงผ่านอะไรร่วมกันมานักต่อนักจนเขาจินตนาการไม่ออกเลยทีเดียว คิมจงแดไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมหลายคนถึงไม่ยอมทอดทิ้งเซฮุนไว้ในค่ายทหาร... เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าทำไมทุกคนถึงยังตามหาคิมจงอินทั้งที่ความเป็นไปได้ค่อนข้างชัดว่าผู้ชายคนนั้นน่าจะตายไปแล้ว
“ที่คุณไม่จับผมมัดก็เพราะเหตุผลนี้สินะ” จงแดยิ้ม แม้จะเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนี้ได้ไม่นาน แต่เขาก็ภูมิใจที่ครั้งหนึ่งคนกลุ่มนี้เคยอ้าแขนต้อนรับและช่วยเจ้าหน้าที่อุทยานโง่ ๆ อย่างเขาให้หลุดออกมาจากความตาย แม้ว่าอาจจะต่อลมหายใจได้ไม่มาก แต่อย่างน้อยคิมจงแดก็คงจากไปพร้อมความทรงจำดี ๆ
“ผมยังอยากเชื่อสัญชาตญาณตัวเองว่าคุณจะไม่เป็นอะไร”
ชานยอลคว้าซองบุหรี่ออกมากะเทาะแล้วคาบไว้ในปากก่อนจะจุดไฟแช็กแล้วพ่นควันสีหม่นออกมา ดวงตาคู่นั้นเหม่อมองไปยังผนังมืดในห้องครัวหลังบ้าน ก่อนรอยยิ้มบาง ๆ จะแต่งแต้มบนใบหน้าผู้ชายที่เข้าใจยากมากที่สุด
“และผมไม่อยากให้แบคฮยอนต้องเจอฝันร้ายซ้ำสองอีก”
60%
“ลู่หาน เทา แบ่งบางส่วนไปไว้ที่รถของพวกคุณด้วย เผื่อเกิดเหตุฉุกละหุกทุกคนจะได้มีเสบียงไว้กิน”
“จัดให้” หนุ่มหน้าตี๋ทำตามคำบอกของอี้ฟานอย่างว่าง่าย
อี้ฟานมองตามทุกคนที่กำลังแยกย้ายกันไปขึ้นรถเพื่อเดินทางก่อนที่ฟ้าจะมืดเสียก่อน ในสถานการณ์แบบนี้เขาต้องรอบคอบให้มากที่สุด เพราะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเป็นแนวหน้าปกป้องคนที่เหลือได้ ชายหนุ่มจึงกังวลถึงภัยรอบด้านซึ่งพร้อมจะเกิดขึ้นทุกเมื่อ ลำพังตัวอู๋อี้ฟานในตอนนี้ก็คือภาระชิ้นใหญ่ที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อยากยอมรับ ชายหนุ่มอยากหายดีไว ๆ เพื่อจะได้ออกไปทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มความสามารถ แต่ไม้เท้าที่ใช้อยู่จนถึงวินาทีนี้ก็เป็นสิ่งตอกย้ำว่าอู๋อี้ฟานทำได้แค่นั่งเป็นกังวลและมองแผ่นหลังคนอื่น ๆ ออกไปเผชิญหน้ากับอันตราย
ดังนั้นการแยกเสบียงไว้เป็นสามส่วนจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เผื่อมีเหตุจำต้องพลัดหลงกันทุกคนจะได้ไม่ลำบากออกไปเสี่ยงหาเสบียง ทั้งที่คนเหล่านั้นอุตส่าห์หาได้แล้วทั้งที
“คุณน่าจะนั่งรออยู่ในรถนะคะ การเดินบ่อย ๆ ฉันเกรงว่ามันจะทำให้คุณหายช้า” ครูสาวมองชายหนุ่มตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างรถ อี้ฟานจึงหันไปสบตากับเธอแล้วยิ้มบาง ๆ
“มันไม่แย่อย่างที่คุณคิดหรอกครับ ที่ผมยังใช้ไม้เท้าและปล่อยให้ถูกประคองไปไหนมาไหนก็เพื่อความสบายใจของทุกคน ความจริงขาของผมมันดีขึ้นมากแล้ว แต่แค่ยังวิ่งไม่ได้ก็เท่านั้นเอง”
“ฉันรู้ค่ะว่าคุณอยากออกไปทำอะไรเองจะแย่แล้ว แต่ยังไงฉันก็อยากให้คุณพักผ่อนจนหายดีก่อน นี่ก็เพื่อความสบายใจของทุกคนเช่นกันค่ะ” เจ้าของลักยิ้มกล่าวด้วยความเป็นห่วง ซึ่งอี้ฟานเข้าใจเจตนาของเธอเป็นอย่างดี
“ตกลงครับคุณครู ผมจะรีบขึ้นไปนั่งเฉย ๆ บนรถเดี๋ยวนี้เลย”
“คุณไม่ใช่นักเรียนของฉันสักหน่อย” เธอยิ้มขำพลางส่ายศีรษะ ไม่บ่อยเลยที่อู๋อี้ฟานจะแสดงมุมขี้เล่นออกมา ซึ่งมันนานมากเสียจนปาร์คกาฮีแทบลืมไปเลยว่าครั้งหนึ่งเธอเคยรู้สึกดีกับผู้ชายคนนี้มากแค่ไหน
แต่พอเวลาผ่านไปอู๋อี้ฟานก็ทำให้เธอได้รู้ว่าการทุ่มเทเพื่อเพื่อนฝูงนั้นสำคัญกว่าการหันมามองเธอในแบบผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้ชายคนนี้มักจะเห็นเรื่องส่วนรวมก่อนเรื่องส่วนตัวเสมอ ซึ่งเธอก็เคารพเรื่องนี้ และพอรู้ตัวอีกทีใจของปาร์คกาฮีก็เปลี่ยนไปรู้สึกดี ๆ กับจางอี้ชิงโดยไม่รู้ตัว
ผู้ชายอีกคนที่เธอไม่รู้เลยว่าจะได้พบเจอกันอีกหรือไม่
“ไม่เป็นไรนะครับ”
“...”
“ทุกอย่างต้องดีขึ้น”
หญิงสาวเงยหน้าสบตากับชายหนุ่มที่ยิ้มบาง ๆ ราวกับรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่ ปาร์กาฮีเคยเป็นคนเก็บความรู้สึกไว้ใต้สีหน้าได้ดีเพราะด้วยหน้าที่ความเป็นครู แต่ตอนนี้เธอทำได้แค่ฝืนยิ้มแล้วก้าวถอยหลังกลับไปยังรถคันที่สามเพื่อเลือกจมอยู่กับความเศร้าในใจข้าง ๆ นักเรียนตัวสูงก่อนที่จะปล่อยให้น้ำตาแห่งความอึดอัดต่อทุก ๆ เรื่องบนโลกใบนี้ไหลออกมาต่อหน้าอู๋อี้ฟาน
คนขาเจ็บค่อย ๆ ขึ้นไปบนรถโดยมีมินซอกกับซูยอนเข้ามาช่วยประคอง เพียงครู่เดียวรถทั้งสามคันก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง หญิงสาวเงยหน้ามองท้องฟ้าสีเทาผ่านกระจกรถ มันหม่นหมองลงเรื่อย ๆ และอีกไม่นานคงถูกความมืดกลืนกิน
“วันนี้ทำดีนี่” ลู่หานชำเลืองมองเพื่อนสนิทด้วยหางตาฉายให้รู้ถึงความซึน แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าเป็นทองไม่รู้ร้อนราวกับว่าคำชมของเขาเป็นเพียงกลิ่นตดแมวที่ลอยผ่านไป “อะแฮ่ม! แต่กูว่าที่มึงเจอไปรษณีย์ก็แค่ฟลุ๊กหันไปเห็นเท่านั้นล่ะวะ”
“มึงจะชมว่ากูตาดีจนทำให้ทุกคนสบายท้องไปด้วยก็พูดมาตรง ๆ”
“ไรมึง กูไม่ได้จะพูดแบบนั้นเลยสักนิด อย่าเหลิงไปหน่อยเลยห่า แล้วไอ้ที่ออกไปเจอพวกแดกตับกองอยู่หลังไปรษณีย์จริง ๆ อันนั้นกูก็ว่าฟลุ๊กเหมือนกัน”
“มึงต้องยอมรับได้แล้วว่ากูเก่ง เขินที่จะชมกูสินะควายน้อย” จงอินหันไปยิ้มเยาะกวนประสาทคนข้าง ๆ ที่กำลังเบ้ปากไม่ยอมรับการคาดเดาที่เป็นความจริงของเขา
เป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นของไอ้ลู่หาน ทุกคนจึงลองแง้มประตูหลังไปรษณีย์ดูจนมันเกือบโดนกระชากคอออกไปข้างนอกแต่วินาทีนั้นแขนของเขาก็คว้าคอเสื้อเพื่อนไว้พร้อมกระชากออกมาได้อย่างทันท่วงที ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เพียงวูบเดียวเท่านั้นที่ไอ้ลู่หานโดนดึงซึ่งโชคดีที่เซฮุนกับไอ้เทาเข้ามาช่วยดันประตูไว้ได้ทัน
จงอินก็รู้สึกดีที่การคาดเดาของเขามันไม่ส่อถึงความโง่ แต่ก็เกือบจะโง่ถ้าหากว่าไอ้ลู่หานโดนกัด ถึงปากไอ้หอกนี่จะบอกว่าสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น แต่คิมจงอินก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงกลัวและกังวลถึงคนรอบข้าง ชายหนุ่มไม่อยากให้ใครเป็นอะไรไปอีก ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถวางใจได้เลย
พอสถานการณ์ผ่อนคลายขึ้น ไม่มีใครถูกกัด ทุกคนมีรอยยิ้มหลังจากเห็นจำนวนเสบียงซึ่งคาดว่าคงต่อลมหายใจให้พวกเขาไปได้อีกหลายวัน ตอนนี้คิมจงอินจึงรู้สึกดีจนสามารถต่อปากต่อคำกับเพื่อนชั่ว ๆ อย่างลู่หานได้อย่างเต็มปากโดยไม่จมอยู่กับการโทษตัวเองอีก
“มึงก็แค่ฟลุ๊กเท่านั้นล่ะวะ”
“รอดมาได้เพราะกูยังจะปากดีอีก รู้งี้น่าจะปล่อยให้เป็นอาหารเย็นพวกเปรตนั่นซะให้รู้แล้วรู้รอด” จงอินจิ๊ปากส่ายหน้าหน่าย ๆ จนถึงตอนนี้ทั้งคู่ก็ยังลับฝีปากกันไม่หยุด ซึ่งคนที่นั่งฟังมาตลอดอย่างเซฮุนก็ได้แต่ยิ้ม
“ทำดีครั้งเดียวแล้วคุยเหรอ กูช่วยมึงมาตั้งกี่ร้อยครั้งนี่เคยทวงบุญคุณไหม ก็ไม่” ลู่หานเบ้ปากหันไปยั่วโมโหคนข้าง ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศในรถ
“โทษทีว่ะ พอดีกูจำอะไรไม่ได้เลย ไหน ๆ ตอนนี้ก็ว่างอยู่ งั้นมึงช่วยนับหน่อยซิว่าเคยช่วยอะไรกูบ้าง”
“โห เล่าวันนี้ก็ไม่หมดครับกูว่า เยอะเกิน เผลอ ๆ อาจต้องยืมนิ้วมึงมานับด้วย”
“จัดไปเลยนิ้วแรก” พูดจบจงอินก็ชูนิ้วกลางให้
“เอาไปแยงตูดตัวเองเถอะค่ะพี่จงอิน ห่า” หนุ่มหน้าตี๋ดัดเสียง ก่อนจะปัดมือเพื่อนสนิทลงอย่างรำคาญ
“กินหมากฝรั่งไหมครับลู่หาน”
“อะไร จะหาวิธีให้ฉันเลิกพูดหรือไงเด็กกรงหมา?” คนไม่ได้รับความยุติธรรมมองค้อนเด็กตัวผอมที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังพร้อมกระเป๋าเป้สีดำซึ่งวางอยู่บนตัก ในนั้นอัดแน่นไปด้วยขนมแต่เจ้าตัวกลับนั่งกอดมันแล้วเอาคางเกยไหล่เหมือนหมา
“อะไร เถียงไม่สู้แล้วพาลเด็กเหรอ มึงนี่มันชั่วจริง ๆ”
“ใช่ซี้ อยู่ด้วยกันนี่ เข้าข้างกันนี่ กูมันตัวคนเดียวนี่” ลู่หานแค่นหัวเราะประชดเสียงดัง
“จงอินจะเคี้ยวเป็นเพื่อนคุณนะครับ” เซฮุนยิ้มแล้วยื่นให้สองเพื่อนซี้ คนผิวแทนสบตาเพื่อนแล้วยักคิ้วพร้อมรับหมากฝรั่งจากเซฮุนมาใส่ปากโดยไม่พูดอะไร
ผ่านไปไม่ถึงสองกิโล รถคันแรกก็ชะลอความเร็วลงเมื่อพบอุปสรรคใหญ่หลวงที่อยู่เบื้องหน้า ลู่หานเปิดไฟขอทางเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้คันหลังจอด ก่อนควอนยูริกับหวงจื่อเทาที่เป็นคนขับรถบ้านและรถคันที่สามจะเดินลงมา
“มีอะไร?” หญิงสาวถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย อู๋อี้ฟานที่นั่งอยู่ในรถบ้านจึงเปิดแผงที่กั้นเล็ก ๆ เพื่อส่องดูสถานการณ์เบื้องหน้า
“ดูเหมือนเราจะเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้วว่ะ” ลู่หานมองไปยังสะพานสี่เลนเบื้องหน้าซึ่งมีทั้งเหล่าผีดิบและรถรามากมาย
ยูรินิ่งไปครู่หนึ่งพลางกวาดสายตาไปโดยรอบเพื่อมองหาทางอื่น แต่ทางซ้ายและขวาต่างก็อัดแน่นไปด้วยรถเช่นกัน คงยาวมาจากถนนเส้นเดิมที่มนุษย์มากมายต่างพร้อมใจกันหาทางหนีไปหาจุดเซฟโซนโดยเร็วที่สุด เธอเห็นศพที่นอนเป็นซากแห้งติดกระดูกอยู่บนพื้นโดยมีกระเป๋าเดินทางคว่ำอยู่ไม่ห่าง รถบางคันชนกันจนยุบเพราะความรีบร้อน ถนนแยกซ้ายขวาจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี แต่สะพานเบื้องหน้าก็ค่อนข้างเสี่ยงอยู่เหมือนกัน
“เอาไงดีวะ” เทาพึมพำทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากอันตรายเบื้องหน้าก่อนจงอินกับเซฮุนจะตามเข้ามาสมทบ “เดี๋ยวมา”
เด็กหนุ่มชาวจีนเดินไปยังรถบ้านก่อนจะออกมาพร้อมไรเฟิลของมินซอก เทาปีนขึ้นไปบนหลังกระบะที่จอดเทียบอยู่ข้างฟุตปาธ ส่องลำกล้องสังเกตการณ์หาความเป็นไปได้ เพียงชั่วอึดใจเด็กตัวสูงก็กระโดดลงมาจากรถแล้วตรงเข้าไปหาคนอื่น ๆ ที่รอคำตอบอยู่
“บนสะพานมีพวกกัดคนกระจายอยู่พอสมควร คิดว่าคงเป็นพวกเจ้าของรถที่ถูกกัดจนติดเชื้อ”
“พอจะมีทางขับแหกไปได้ปะวะ” ลู่หานขมวดคิ้วเคี้ยวหมากฝรั่งครุ่นคิด
“ค่อนข้างเสี่ยง” ยูริตอบโดยไม่ต้องขอไรเฟิลจากเทาไปส่องดูด้วยตัวเอง “ถ้าขับฝ่าไปแล้วเจอรถขวางอยู่กลางทางได้ตายหมู่เพราะถูกพวกมันเข้ามารุมแน่” เพราะรถแต่ละคันก็ไม่ใช่ว่าจะแรงม้าที่สามารถขับชนทุกสิ่งได้
“ถ้าไปต่อไม่ได้งั้นเราก็ต้องย้อนกลับทางเดิมเหรอครับ?” คำถามของเซฮุนเป็นสิ่งที่ใครหลายคนไม่อยากเลือก
“ก็แย่ละ ฉันไม่ได้เหนื่อยเคลียร์ทางมาทั้งวันเพื่อกลับไปเริ่มต้นใหม่หรอกนะ” ลู่หานทำหน้าแหย
“นายเลือกเสี่ยงทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าพวกเราอาจจะเจอทางตันจนต้องติดแหงกอยู่กลางสะพานน่ะเหรอ?” ยูริปรายตามอง
“ไม่ใช่อย่างนั้นสิวะ ฉันหมายถึง --”
“เกิดอะไรขึ้น?” ทุกคนหันไปทางอี้ฟานกับกาฮีที่ตามมาสมทบหลังจากที่พวกเขายังหาข้อสรุปให้กับเรื่องนี้ไม่ได้
“ข้างหน้า” ลู่หานชี้ไปยังสะพาน ซึ่งอี้ฟานก็พอจะจับต้นชนปลายได้ไม่ยากว่ากำลังจะเผชิญหน้ากับอะไร “เอาจริงนะ มันก็เสี่ยงทุกทางนั่นแหละ ไม่มีใครรู้หรอกว่าทางไหนจะปลอดภัยกว่ากัน” เขาพูดตามที่คิดจริง ๆ เพราะไม่ว่าจะไปทางไหนอันตรายก็อยู่รอบตัวไปหมด ใช่ว่าจะแค่สะพานเสียเมื่อไหร่
“จากที่ดูเมื่อกี้มันพอจะมีช่องว่างให้ขับซอกแซกไปได้อยู่นะ แต่ก็ต้องแบ่งคนออกไปจัดการกับพวกที่กระจายอยู่บนสะพาน เพราะขับฝ่าไปก็เสี่ยงเจอทางตันอย่างที่คุณยูริว่าจริง ๆ” เทาเสนอ เขาเองก็ไม่อยากย้อนกลับไปทั้ง ๆ ที่เหนื่อยมาจนถึงจุดนี้แล้ว และจากที่เห็นด้วยตาเมื่อครู่มันก็มีความเป็นไปได้ถ้าค่อย ๆ ไปอย่างใจเย็น
“จัดให้ กูรับหน้าที่นี้เอง” รู้อยู่แล้วว่าต้องแผนต้องออกมาอีหรอบนี้ แต่ควอนยูริก็พล่ามอยู่นั่นลู่หานเลยไม่มีโอกาสได้โชว์หล่อ
“งั้นที่คิดกันไว้ตอนนี้ก็คือแบ่งเป็นทีมจัดการพวกกินคนกับทีมขับรถถูกไหม?” อี้ฟานถามพร้อมมองยูริและลู่หานซึ่งเป็นคนมองสถานการณ์ได้เฉียบขาดในระดับหนึ่ง
“ปิ๊งป่อง!” หนุ่มหน้าตี๋ชี้นิ้ว
“ผมกับเซฮุนก็เอาด้วย” เทาเสริม อี้ฟานจึงนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อเรียบเรียงความคิดและความเป็นไปได้ ก่อนจะพยักหน้าตกลง
“เดี๋ยวนะ ถ้าแบ่งคนไปเคลียร์ทางให้รถขับตามแล้วมึงเสนอหน้าออกไปรำดาบเล่นบนถนนแถมเซฮุนก็ตามไปสมทบด้วย คำถามคือใครเป็นคนขับคันนั้นวะ” จงอินถามอย่างคิดไม่ตก เพราะคนที่มีความสามารถแนวหน้าทั้งหมดก็มีล้วนแต่เป็นคนขับรถมาตลอดทางทั้งนั้น
“มึงไงขับ” ลู่หานโบ้ยให้คนถาม ซึ่งเขามั่นใจว่าคงตีนผีกว่าไอ้หอกหักสมองหายแน่ ๆ ขืนให้มันออกไปเปรี้ยวตีนมีหวังเสี่ยงโดนกัด ตายห่าทิ้งให้คนอื่นร้องห่มร้องไห้อีก
“กู?”
“ใช่ มึงอะขับ ง่ายกว่ายืนฉี่อีกจะคิดอะไรให้เสียเวลา” ลู่หานเชิดหน้าเหลือกตามอง ก่อนจะเซไปทางซ้ายเพราะถูกจงอินตบหัว
“เอาล่ะ ถึงจะมีคนเห็นดีเห็นงามกับแผนนี้ แต่ผมก็อยากให้ทุกคนลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ก่อน เผื่อในกรณีที่มีคนอยากย้อนกลับไปมากกว่า” เป็นอีกครั้งที่อี้ฟานคือผู้สงบศึก ชายหนุ่มกวาดสายตามองแต่ละคนขณะปล่อยให้บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ “ใครอยากเดินหน้าต่อให้ยืนอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าอยากย้อนกลับทางเดิมให้เดินไปที่รถ”
ท่ามกลางความลำบากใจที่จำเป็นต้องเลือก ทุกคนต่างยืนเงียบเพื่อใช้ความคิดว่าจะเสี่ยงไปเจอกับความไม่รู้หรือจะกลับไปทางเดิมเพื่อพบความว่างเปล่าโดยไม่รู้ว่าความปลอดภัยข้างหลังนั้นจะมีทางใหม่ให้พวกเขาหรือไม่
อาจจะสักหนึ่งนาทีที่ทุกคนใช้เวลาไปกับการตัดสินใจ แต่สุดท้ายคำตอบก็ออกมาเป็นเอกฉันท์ว่าพวกเขาเลือกเดินหน้าต่อไป
“จัดมาดิอี้ฟาน พร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้วเนี่ย” ลู่หานมองคนตัวสูงด้วยความไว้ใจ และมันเป็นอย่างนี้มาตลอด แม้อู๋อี้ฟานจะออกไปลุยด้วยไม่ได้ แต่ผู้ชายคนนี้ก็มักจะมีวิธีดี ๆ ให้พวกเราเสมอ
ทุกสายตามองไปยังผู้นำที่ลดระดับสายตามองพื้นราวกับกำลังใช้ความคิดเพื่อทบทวนไตร่ตรอง อู๋อี้ฟานกำลังนึกถึงความอันตรายที่อาจเกิดได้ทุกเมื่อ ซึ่งเขาต้องวางแผนให้ดี
“เรารีบไม่ได้ แต่เราก็ช้าไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว อีกไม่นานฟ้าก็จะมืด แสงไฟหน้ารถจะดึงความสนใจจากพวกมัน ซึ่งถ้าเป็นไปได้เราก็ควรหลุดจากสะพานโดยเร็วที่สุด เพราะฉะนั้นความกดดันจะไปอยู่กับกลุ่มที่เคลียร์พวกกินคนบนถนน” ทันทีที่พูดจบอี้ฟานก็ถอนหายใจกับการโยนภาระใหญ่หลวงให้คนอื่นโดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย “ลู่หาน เทา เซฮุน ผมต้องรบกวนพวกคุณแล้ว”
“รบกงรบกวนอะไร๊ เลอะเทอะ” ลู่หานบิดคอหมุนไหล่ วอร์มอัพเตรียมตัวให้พร้อมกับการออกไปเผชิญหน้ากับพวกไร้วิญญาณ
“จงอิน คุณขับรถได้ใช่ไหม?”
“อ่า อืม” ชายหนุ่มที่มีดีกรีเป็นช่างซ่อมรถขานรับอย่างไม่เต็มปากนัก บอกตามตรงว่าเขาไม่มั่นใจในตัวเองเลยสักนิด แต่ถ้าจะให้ออกไปเป็นแนวหน้าก็กลัวจะพาทุกคนซวยเพราะความกระจอกของตนเอง ดังนั้นการตั้งสติแล้วค่อย ๆ ขับซอกแซกไปตามถนนคงไม่แย่สักเท่าไหร่หรอก... มั้ง
“ฉันขับได้ค่ะ” กาฮีตอบทันทีที่ชายหนุ่มหันมาหาเธอ การขับรถตามมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับครูสาวที่เคยขับรถไปกลับโรงเรียนทุกวัน
“งั้นตกลงตามนี้”
“ฮืออออ...”
ตุ่บ!
ร่างไร้วิญญาณล้มลงไปกองบนพื้นพร้อมเลือดสีคล้ำที่ทะลักออกมาจากกะโหลกเปราะบาง รองเท้าผ้าใบคู่เก่าของเด็กหนุ่มมอปลายทั้งสองคนก้าวไปอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะหันไปมองลู่หานอย่างรู้กันเพื่อแยกย้ายไปคนละเลน
จงอินกำพวงมาลัยแน่นจนมือชุ่มไปด้วยเหงื่อ สายตาของเขามองเพื่อนสนิทที่รู้อยู่แก่ใจว่าสามารถเอาตัวรอดได้อย่างง่าย ๆ ด้วยมีดดาบเล่มนั้น แต่พอหันไปทางเซฮุนก็เริ่มเป็นกังวลอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่เห็นด้วยตาตัวเองมาตลอดว่าเจ้าเด็กคนนั้นมีไหวพริบดีแค่ไหน แต่ภาพเลือดกำเดาไหลจนเปื้อนเสื้อไม่รู้กี่ครั้งมันยังคงติดตา ดังนั้นเขาจึงเป็นกังวลยิ่งกว่าเรื่องรับหน้าที่ขับรถตามเสียอีก
เซฮุนก้มตัวลงต่ำ หลบอยู่ข้างรถพร้อมกำมีดพกไว้เพื่อรอจังหวะออกไปจัดการผีดิบสามตัวที่ยืนอยู่ติดกัน พวกเขาเลือกลดความเสี่ยงด้วยการเข้าไปประชิดตัวมันพร้อมกัน โดยให้ลู่หานเป็นตัวล่อดึงความสนใจ
เด็กหนุ่มมอปลายทั้งสองเข้าไปทางด้านหลังกำคอเสื้อเก่า ๆ ของผีดิบพร้อมลากให้ถอยออกมาจากลู่หานที่กำลังจัดการกับอีกตัว ทั้งคู่แทงปลายมีดแหลมคมเข้าไปในกะโหลกจนมิดด้าม เป็นจังหวะเดียวกับที่ลู่หานฟันคอตัวกินคนจนขาด ศีรษะกลิ้งขลุก ๆ หายเข้าไปใต้ท้องรถ
จงอินพรูลมหายใจทางริมฝีปาก กลืนน้ำลายอย่าฝืดคอขณะค่อย ๆ เหยียบคันเร่งไปตามทางที่ถูกเคลียร์ไว้ รถที่จอดแน่นิ่งอยู่บนสะพานมีความเสี่ยงอีกเรื่องคือสัญญาณกันขโมย ก่อนขึ้นรถเขาจึงย้ำเรื่องนี้กับควอนยูริและปาร์คกาฮีไปแม้ว่าเธอทั้งคู่จะรู้อยู่แล้ว
‘ห่วงตัวเองเถอะ อย่าพลาดจนทำให้คนอื่นเดือดร้อนแล้วกัน’
นั่นคือประโยคที่ยัยปากมากตราหน้าเขาเอาไว้ ซึ่งคิมจงอินก็ไม่กล้าเถียงเสียด้วย เพราะที่พูดมาก็เป็นเรื่องที่เขากังวลอยู่เหมือนกันว่าจะเป็นภัยให้คนรอบข้างหรือไม่ แต่ก็เอาวะ คิมจงอินมันคงไม่โง่ขนาดนั้นหรอกมั้ง
ภายในรถที่จอดนิ่งอยู่บนสะพานมีผีดิบเด็กและผู้หญิงกำลังตะกรุยกระจก ปะป่ายอ้าปากส่งเสียงอยู่ข้างในซึ่งเขาไม่ได้ยิน แนวหน้าทั้งสามคนเร่งมือเร็วขึ้นจนทิ้งห่างจากรถคันแรกไปพอสมควร จงอินจึงเหยียบคันเร่งเล็กน้อยเพื่อทำเวลาแข่งกับดวงอาทิตย์ที่ใกล้จมหายไปกับขอบฟ้าทุกที และตอนนี้พวกเขาเพิ่งมาถึงครึ่งทางซึ่งไม่รู้ว่าเบื้องหน้าจะมีอุปสรรคอะไรอีก
รถบัสสีส้มคันสูงจอดขวางอยู่ เขาเห็นว่าลู่หานนั่งลงยอง ๆ ตรงหน้าเซฮุนและเทา พร้อมทำสัญญาณมือบอกให้จอดรอก่อน เพียงชั่วอึดใจทั้งสามคนก็หายไป มองจากตรงนี้ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าข้างหน้ารถบัสสีส้มนั้นเป็นยังไงบ้าง ผ่านไปราว ๆ สามนาทีเทาก็โผล่ออกมาพร้อมชี้นิ้วไปทางซ้ายเพื่อบอกให้รถทั้งสามคันวิ่งเส้นนั้น
จงอินเข้าเกียร์แล้วหักพวงมาลัยเลี้ยวไปตามทางแคบซึ่งมีพื้นที่ว่างจำกัด ใจก็อยากจะเปิดประตูลงไปเข็นรถออกเพื่อเพิ่มช่องว่าง แต่รถยนต์ด้านหลังก็จอดเบียดกันแน่นจนไม่สามารถทำดั่งใจคิดได้ ส่วนรถบัสสีส้มคันข้างหน้าก็คงคันใหญ่เกินกว่ากำลังของเราทุกคน
ชายหนุ่มผิวแทนถอนหายใจหนัก ๆ อย่างโล่งอกเมื่อขับพ้นจุดอันตรายมาได้ แต่พอหันไปด้านข้างก็ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพบรถบัสสีส้มซึ่งจอดต่อกันสามคัน พร้อมตัวหนังสือสีดำที่บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นรถทัวร์ของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง
กระจกสีดำทึบทำให้มองไม่เห็นผู้โดยสารด้านในที่ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากเห็นในนาทีนี้ พอขับมาจนถึงบัสคันหน้าสุดก็จำเป็นต้องเลี้ยวเข้าเลนขวา จงอินชะโงกหน้ามองออกไปนอกรถพร้อมหักพวงมาลัยอย่างระมัดระวัง สุดท้ายเขาก็ขับผ่านออกมาจากช่องแคบได้อย่างปลอดภัยเหมือนเช่นทีแรก
เออ อันที่จริงคิมจงอินมันก็ไม่ได้กระจอกเสียทีเดียวนี่หว่า
ยังชมตัวเองไม่ถึงห้าวิเสียงสัญญาณกันขโมยก็ดังลั่นขึ้นจนชายหนุ่มต้องหลุดออกจากความคิด จงอินหันขวับไปด้านหลังทันทีที่ได้ยินเสียง ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อพบว่ารถบ้านที่เคยหักเลี้ยวเข้ามาในช่องแคบครั้งแรกได้แต่ดันโชคร้ายเฉียดรถยนต์ที่จอดอยู่เลนซ้ายและไม่สามารถขับเบียดออกมาได้
ลู่หาน เทา และเซฮุนหันหลังขวับขณะกำลังเข้าปะทะผีดิบเบื้องหน้า เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่ปล่อยให้สมองได้เกิดความสงสัยกับเสียงสัญญาณกันขโมย ทั้งสามก็ต้องหันกลับไปฆ่าตัวกินคนอีกสี่ตัวที่กำลังตรงเข้ามาเอาชีวิตพวกเขา
“ฉิบหายแล้วพวกมึง” หนุ่มหน้าตี๋สบถพร้อมถีบร่างตัวกินคนไร้วิญญาณจนไถลไปกับพื้น
“เอาไงดีวะ กูว่าเสียงคงไม่หยุดง่าย ๆ แน่” เทาขมวดคิ้ว พลางกวาดสายตาไปโดยรอบ
ผีดิบที่เคยอ้าปากเหม่อลอยอยู่ในรถต่างถูกปลุกด้วยเสียงสัญญาณกันขโมย พวกมันปะป่ายสองมือก่อนจะเปลี่ยนเป็นทุบกระจกเพื่อพังมันออกมา ทั้งพวกที่อยู่ข้างหน้าและพวกที่อยู่ในรถที่พวกเขาเดินผ่านมาแล้ว
“ทุกคนดูนั่น...” เซฮุนเบิกตากว้างอย่างตกใจพร้อมชี้ไปยังรถรถบัสสีส้มเคยจอดแน่นิ่งเรียงกันทั้งสามคันแต่ตอนนี้มีซากศพนักเรียนชายหญิงก้าวขาออกมา...
เริ่มจากหนึ่งเป็นสอง... สาม... สี่... พวกมันก้าวลงจากที่เหยียบจนล้มลงไปทับกันบนถนนก่อนจะลุกขึ้นมาอ้าปากส่งเสียงหวีดร้อง
ร่างเด็กชายหญิงที่มีคราบเลือดเปรอะเปื้อนตามชุดนักเรียนกำลังเบียดเสียดกันออกมาตามหาต้นเสียง ศีรษะซึ่งมีกลุ่มผมยุ่งเหยิงติดอยู่บนกะโหลกหันซ้ายขวาราวกับหุ่นยนต์ซึ่งจงอินมองเห็นภาพนั้นได้ชัดเจนที่สุด เพราะตอนนี้ชายหนุ่มกำลังเป็นเป้าหมายหลักที่เด็กพวกนั้นมองเห็นด้วยสายตาและเสียงรถของเขาที่ยังคงสตาร์ทอยู่
เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลจากขมับลงไปถึงปลายคาง จงอินหันไปทางรถบ้านที่ติดอยู่ตรงนั้นเพราะขนาดที่ใหญ่กว่าช่องทาง ชายหนุ่มเห็นสีหน้าของควอนยูริที่ทั้งหัวเสียและตกใจ เขาจึงหันไปทางเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่บนถนนเบื้องหน้า ซึ่งตอนนี้จงอินได้ไฟเขียวแล้วว่าให้เหยียบคันเร่งจนมิด
“ครู... ครูอยู่คันข้างหลังสุด” เทาไม่สามารถตั้งสติได้เมื่อถูกความกลัวเล่นงานในระยะไกล รถของครูสาวยังขับไม่ผ่านรถบัสสีส้มคันที่สองเลยด้วยซ้ำ และเขาไม่อยากจินตนาการเลยว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ “เซฮุน ปล่อย! ฉันจะไปช่วยครู!”
เซฮุนไม่ยอมปล่อยมือเด็ดขาด จนกว่าลู่หานจะอนุมัติแล้วว่าเราสามารถปล่อยให้คนเลือดร้อนอย่างหวงจื่อเทาวิ่งไปเผชิญหน้ากับผีดิบมากมายฝั่งนั้นได้
“ไอ้ฉิบหายเอ๊ย มากันทั้งโรงเรียนเลยไงวะ?!” ลู่หานสบถอย่างหัวเสีย พร้อมหันไปตัดคอผีดิบที่กำลังกรูมาทางนี้ กระทั่งจงอินขับมาถึงแล้วเปิดประตูรถลงมาด้วยความเร่งรีบ
“จากที่เห็น กูว่ารถบ้านขับออกมาไม่ได้แน่” ชายหนุ่มผิวแทนกล่าว
“ใช่... คงออกมาไม่ได้” สีหน้าของเทาซีดเผือด ดวงตาจดจ้องอยู่กับรถบ้านซึ่งมีรถของครูสาวจอดอยู่ข้างหลัง และตอนนี้เด็กหนุ่มมองไม่เห็นเธอ
รถบ้านพยายามเหยียบคันเร่งฝ่าออกมา แต่ก็ติดรถที่กำลังส่งเสียงสัญญาณกันขโมยและบัสสีส้มคันหน้าสุดจึงไม่สามารถขับพ้นออกมาได้จึงต้องถอยกลับไปเล็กน้อย หัวใจของคนที่มองอยู่เต้นเร็วแรงจนไม่เป็นจังหวะ เพียงชั่วพริบตาเดียวหวงจื่อเทาก็สะบัดแขนเซฮุนออกแล้ววิ่งกลับไปยังทางเดิมด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี
“เทา!”
“เราต้องไปช่วยพวกเขาออกมา” จงอินเลียริมฝีปากที่แห้งผาก ก่อนจะหันไปสบตากับเด็กหนุ่มตัวผอมซึ่งอยู่ข้างตัว “...เดี๋ยวนี้”
“ครับ ว่าแต่คุณมีแผนหรือเปล่าครับจงอิน?” เจ้าของชื่อไม่ตอบคำถาม เพียงครู่เดียวเซฮุนก็เบิกตากว้างเมื่ออยู่ ๆ คนผิวแทนก็เดินถอยหลังออกไปจากตรงนี้
“ไอ้ลู่หาน ช่วยไปเคลียร์กับพ่อมึงด้วย!”
“เชี่ยเอ๊ยกูอีกแล้ว!” หนุ่มหน้าตี๋สบถ “เออ ๆ เดี๋ยวจัดให้เดี๋ยวนี้เลย!” ลู่หานตอบโดยที่ไม่หันไปมองเพื่อนสนิทเลยสักนิด เขายังคงวิ่งหาทางหนีทีไล่เพื่อเลี่ยงการถูกรุม และฆ่าผีดิบไปพร้อม ๆ กัน
จงอินมองภาพตัวกินคนวัยมัธยมจำนวนมากที่กรูเข้าไปรุมรถบ้านจนเซล้มลงไปชนกับแผงกั้นขอบสะพาน ไม่มีแม้แต่เวลาให้ผู้ชายขี้ขลาดได้รวบรวมความกล้า รู้ตัวอีกทีคิมจงอินก็วิ่งไปค้นท้ายรถและหยิบอุปกรณ์ช่างติดมือมาสองอย่างโดยหาเหตุผลให้ตนเองไม่ได้ว่าทำไมถึงหยิบมันมา
สัญชาตญาณพาขายาวของชายหนุ่มผิวแทนวิ่งไปด้วยความเร็ว จงอินเอามือซ้ายค้ำกระโปรงรถคันที่จอดขวางอยู่ข้างหน้าพร้อมสไลด์ตัวข้ามไปแล้ววิ่งต่อ เซฮุนมองสถานการณ์ในตอนนี้และมันถึงเวลาแล้วที่เด็กหนุ่มต้องตัดสินใจ เด็กตัวผอมจำต้องปล่อยให้ลู่หานต่อสู้ตามลำพังเพราะการกลับไปช่วยคนอื่น ๆ ออกมาจากรถคือเป้าหมายหลักในตอนนี้
“กรี๊ดดดดด!!!!” ซูยอนหวีดร้องลั่น สองมือประกบข้างหูเพราะแรงกระแทก ร่างของเธอถูกอี้ฟานคว้าไว้ได้ทันเมื่อรถบ้านเอียงล้มไปชนกับขอบสะพาน ชายหนุ่มนิ่วหน้าหลังจากกล่องใส่เสบียงไหลลงมากระแทกขาของเขาและมินซอก
“ชู่ว์...” อี้ฟานปิดปากหญิงสาวพร้อมกระซิบข้างหู ขณะที่พวกกินคนมากมายกำลังพร้อมใจกันทุบรถบ้านจนเสียงดังกึกก้องภายใน
“ข้างหลังเป็นยังไงบ้าง!”
“พวกเราปลอดภัย!” อี้ฟานตอบคนขับรถบ้านผ่านทางช่องสี่เหลี่ยม
“กร๊าซซซซซซซซซซ!!!”
คนตัวเล็กหันไปทางอี้ฟานกับซูยอนที่ดูเหมือนว่าจะน่าเป็นห่วงทั้งคู่ หนึ่งคนเจ็บขาเพราะเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ส่วนอีกคนกำลังผวาเพราะถูกความกลัวครอบงำ
“มินซอก เอาปืนพกมาให้ผม” เจ้าของชื่อทำตามในทันที แม้จะลนจนมือสั่นแต่เด็กน้อยก็ยื่นปืนให้คนที่เคยสอนเขาใช้มัน “ผมรู้ว่าคุณถนัดใช้ไรเฟิลมากกว่า แต่มันไม่เหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้ คุณรู้ใช่ไหมว่าต้องใช้อะไร”
“ครับ... ผมรู้” เด็กน้อยกลืนน้ำลาย เสียงทุบรถที่ดังอย่างต่อเนื่องยังคงสั่นขวัญของเด็กที่นับจำนวนการฆ่าผีดิบได้ ใช่ เด็กอย่างเขายังคงกลัว แต่พอเห็นซูยอนร้องไห้น้ำตาอาบแก้มและเอาแต่พึมพำว่า ‘ช่วยด้วย’ เบา ๆ อย่างไม่หยุด มินซอกจึงอ่อนแอในตอนนี้ไม่ได้
หลังจากเห็นว่ารถบ้านคันข้างหน้าถูกล้อมจนล้มลงไปทับกับขอบสะพานและผีดิบอีกหลายตัวที่กำลังมาจากด้านหลัง ปาร์คกาฮีจึงรวบรวมสติแล้วเปิดประตูรถลงมา
“กร๊าซซซซซซซซซซซซ!!!” ครูสาวผลักร่างเด็กนักเรียนให้พ้นระยะ ก่อนจะถีบเข้าเอวร่างไร้วิญญาณจนถอยหลังไปสามก้าวเพื่อหาจังหวะให้ตนเองปีนหนีออกไปนอกสะพาน
หัวใจที่เต้นเร็วแรงแทบหยุดลงเมื่อพวกกัดคนชะโงกหน้าออกมา พร้อมเอื้อมมือไขว่คว้าหวังจะดึงตัวเธอขึ้นไปฉีกเนื้อเป็นชิ้น ๆ พวกมันยังคงพยายามจนบางตัวพลาดท่าเสียหลักตกลงไปในแม่น้ำ
ครูสาวนิ่วหน้ากัดฟันแน่น พยายามหายใจเข้าออกอย่างใจเย็นพร้อมปีนข้ามไปตามขอบสะพาน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นไต่ตามราวด้านล่างเมื่อรถบ้านทับขอบที่จับข้างบน ต้องขอบคุณตัวเองที่วิ่งขึ้นเขาลงเขาทุกวันเมื่อตอนยังอยู่อุทยาน ไม่อย่างนั้นปาร์คกาฮีคงตกแม่น้ำไปแล้วเพราะหมดแรง
รถบ้านเอียงเข้าหาแม่น้ำจนเหมือนว่าเหล็กที่เป็นขอบสะพานจะชำรุดเข้าไปทุกที ร่างครูสาวจึงกระตุกไปเล็กน้อยพร้อมมือเรียวที่ยึดราวไว้แน่นขึ้น ยูริที่นอนแนบประตูรถกำลังพยายามใช้เท้าถีบกระจกหน้าออกแต่ก็ไม่เป็นผล สายตาเฉียบคมพลันมองไปยังประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับเป็นระยะ สบตากับพวกเดนตายที่กำลังปะป่ายมือหาเหยื่อซึ่งไร้หนทางหนี
“ให้ตายเถอะ...” หญิงสาวสบถเสียงลอดไรฟัน ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพบว่าหวงจื่อเทากำลังวิ่งมาทางนี้
บอกตามตรงว่าเธอไม่เคยคาดหวังความช่วยเหลือจากเด็กคนนั้น แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในวินาทีนี้หวงจื่อเทากำลังกลายเป็นฮีโร่ แต่ก็แค่วินาทีเดียวเท่านั้นที่ควอนยูริรู้สึก เพราะทันทีที่เห็นว่าเป้าหมายของเด็กหนุ่มชาวจีนไม่ใช่เธอทุกอย่างจึงดับลงเหมือนเทียนที่ถูกลมพัดผ่าน
“ครูครับ!”
“เทา!”
“อีกนิดเดียวนะ แข็งใจไว้!” เด็กหนุ่มชะโงกหน้ามอง ก่อนจะหันไปใช้มีดแทงผีดิบที่เปลี่ยนความสนใจจากรถบ้านมาหาเขา ซึ่งการที่เซฮุนวิ่งไปยืนบนขอบสะพานฝั่งนั้นและส่งเสียงเรียกร้องความสนใจ ก็ทำให้ดึงพวกผีดิบสารเลวจากตรงนี้ไปได้บ้าง
“หวงจื่อเทา!!!!!!!!!!!!!!” ควอนยูริตะโกนเรียกให้ไอ้เด็กโง่นั่นรู้ตัวเสียทีว่ายังมีเธอตรงนี้และกำลังเข้าใกล้ความตายอยู่รอมร่อ
เวรเอ๊ย! ทั้งที่เห็นอยู่คาตาว่าพวกเดนนรกมันกำลังจะพังประตูเข้ามากินเธออยู่แล้ว แต่หวงจื่อเทาแค่มองมาอย่างรู้สึกผิดแล้วฆ่าผีดิบ ก่อนจะหันไปตรงขอบสะพานเพื่อดึงปาร์คกาฮีขึ้นมา
“ระยำ...” ดวงตาคู่สวยแข็งกร้าวขณะมองเด็กหนุ่มที่แสดงความเห็นแก่ตัวด้วยการประคองร่างครูสาวให้หนีไปจากพื้นที่อันตราย ควอนยูริไม่อยากเข้าใจความเป็นจริงอะไรทั้งนั้น แม้ว่าเธอคงทำแบบเดียวกันถ้าหากจองซูยอนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับปาร์คกาฮี
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
“...!!!”
หญิงสาวผงะเล็กน้อยกับเสียงเหล่าผีดิบด้านนอกที่มาพร้อมเสียงร้าวของกระจกอีกฝั่งของประตู แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นที่ควอนยูริปล่อยให้ตนเองจมอยู่กับความคับแค้นใจ เธอขมวดคิ้วเมื่อพบว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งฝ่าผีดิบมาทางนี้พร้อมส่งสัญญาณมือให้เธอหมอบ
ยูริยกมือขึ้นบังเศษกระจกที่แตกละเอียดด้วยอุปกรณ์ที่ชื่อว่าเรสคิวมี ซึ่งคุณสมบัติของมันนั้นสามารถทำลายกระจกได้อย่างง่ายดายแม้มีขนาดเล็กกว่าฝ่ามือ และทันทีที่เงยหน้าขึ้นสิ่งแรกที่เห็นก็คือมือของผู้ชายที่เธอเคยตอกหน้าด่าด้วยคำเจ็บแสบนานับไม่ถ้วน คิมจงอินยื่นมือมาพร้อมพยักหน้าเร่ง หญิงสาวจึงคว้ามืออีกฝ่ายไว้แล้วดึงตัวเองออกจากรถบ้าน
“ซูยอนอยู่ข้างใน!”
“โอเค เราจะเข้าไปช่วยสามคนนั้นแต่ตอนนี้ต้องช่วยไอ้ลู่หานกับเซฮุนก่อน เพราะถ้าไม่มีคนมาช่วยจัดการพวกที่อยู่รอบตัวรถเราก็คงช่วยทุกคนออกมาไม่ได้” จงอินมองไปยังเพื่อนสนิทกับคนรักที่กำลังล่อเหล่าผีดิบออกไปให้ห่างจากรถบ้านเพื่อให้พวกเขาได้ช่วยคนที่ติดอยู่ในรถ แต่ประตูรถบ้านไม่สามารถเปิดออกได้เพราะติดขอบสะพาน จงอินกำลังคิดหนักว่าจะทำยังไงถึงจะพลิกรถกลับมาได้ท่ามกลางพวกหิวกระหายซึ่งมีมากมายจนไม่รู้ว่าจะฆ่าให้ตายหมดเมื่อไหร่
ดวงอาทิตย์กำลังจะหายลับขอบฟ้าและแทนที่ด้วยความมืด เซฮุนพยายามมีสติมากที่สุดเพราะแสงสว่างเริ่มน้อยลง ถ้าหากเขาพลาดแค่ก้าวเดียวคงมีสิทธิ์ถูกกัดแน่
“กรี๊ดดด!!!” ซูยอนนั่งตัวสั่นสองมือยังคงปิดหู เธอแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว เสียงทุบรถจากด้านนอกที่ดังติดต่อกันมาหลายนาทีคงไม่น่ากลัวเท่ารอยบุบของตัวรถซึ่งคาดว่าอีกไม่นานพวกมันคงพังเข้ามาได้
“ได้โปรด ซูยอน เชื่อที่ผมพูดสักครั้ง” อี้ฟานขมวดคิ้วอ้อนวอนอย่างอ่อนใจ กับการพยายามเกลี้ยกล่อมหญิงสาวให้ปีนออกจากรถด้วยช่องหน้าต่างบนเพดาน แม้มันจะมีขนาดเล็ก แต่ก็ไม่แคบเกินกว่าที่เราทั้งสามคนจะพาตัวเองออกไปได้
“ถ้าไม่ออกไปตอนนี้ คนที่อยู่ข้างนอกจะแย่นะ” มินซอกช่วยเกลี้ยกล่อมอีกแรง แต่หญิงสาวที่กำลังกลัวจนไม่กล้าแม้แต่ขยับตัวกลับไม่ฟังเลยสักนิด ซูยอนยังคงหลุดกรี๊ดออกมาเป็นระยะ แม้จะเบาลงแต่ก็ทำให้เหล่าผีดิบด้านนอกไม่ยอมละความสนใจไปไหน
“งั้นคุณออกไปก่อน” ชายหนุ่มตัวสูงหันมาสบตากับคนตัวเล็ก เขารู้ว่ามินซอกคงกลัวไม่ต่างกัน แต่ถ้ามัวแต่รอซูยอน ทุกคนอาจจะตายกันหมด
“แล้วคุณล่ะครับ”
“ผมไม่เป็นไร ผมฝากคุณเอาอาวุธออกไปให้คนอื่นด้วย เร็วเข้า เราไม่มีเวลาแล้ว” เสบียงที่เคยเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดถูกเทลงบนพื้น เมื่อตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดกลายเป็นปืนพกที่สามารถช่วยชีวิตพวกเขาไว้ได้ ชายหนุ่มจัดแจงปืนใส่ในกระเป๋าเป้แล้วสะพายให้คนตัวเล็ก ทั้งคู่สบตากัน ซึ่งมินซอกก็สามารถรับรู้ได้ว่าตอนนี้อู๋อี้ฟานคาดหวังในตัวเขามากแค่ไหน
“ผมจะพาพวกลู่หานมาช่วยคุณ”
“ผมจะรอ”
เด็กตัวเล็กเม้มริมฝีปากแน่นแล้วเปิดฝาเพดานรถบ้านออก รอดูท่าทีอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะชะโงกหน้าออกไปเล็กน้อย และสิ่งที่สร้างความหวาดกลัวให้กลับไม่ใช่พวกกัดคน แต่เป็นแม่น้ำเบื้องล่างที่ไม่รู้ว่าลึกและเย็นมากแค่ไหน
ไม่มีเวลาคิดแล้ว... มินซอกกัดฟันรวบรวมความกล้าปีนออกไปข้างนอกด้วยขาที่สั่นเทา ระหว่างนั้นก็ก้ม ๆ เงย ๆ ดูภัยจากด้านล่างและเหนือศีรษะที่ไม่รู้ว่าจะโผล่มาเมื่อไหร่ เสียงโหยหวนของตัวกินคนบริเวณนี้ยังคงข่มขวัญอย่างต่อเนื่อง เด็กน้อยหลับตาแน่นเพราะเอาเข้าจริงเด็กอย่างเขาก็กลัวจนไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง
“มินซอก!” เสียงของเพื่อนอย่างหวงจื่อเทาทำให้ใจชื้นขึ้นมา คนตัวเล็กเงยหน้ามองไปยังฝั่งซ้ายมือซึ่งห่างจากตรงนี้ไปราว ๆ สี่ถึงห้าเมตรโดยประมาณ ซึ่งเทากำลังมองมาอย่างกระวนกระวายก่อนจะแทงมีดใส่ผีดิบที่อยู่ใกล้ตัวโดยมีครูสาวคอยคุ้มกันให้ “รีบปีนมาเร็วเข้า”
“...!!!” มีใครบ้างจะไม่อยากรีบไปจากการห้อยขาอยู่กลางอากาศท่ามกลางความกดดันรอบด้าน มินซอกพยายามปีนไปทางซ้าย โดยมีเสียงชำรุดของรั้วกั้นขอบสะพานซึ่งดังเข้าหูอยู่เป็นระยะ ซึ่งคิดว่าอีกไม่นานมันคงจะพังลงไปแน่
“มินซอก! เร็วเข้า!” ไม่มีเวลาแล้ว... ตอนนี้ทั้งไอ้จงอิน ไอ้ลู่หาน เซฮุน รวมถึงควอนยูริก็ใกล้จะจวนตัวเพราะพวกมันมีมากเกินไปที่จะจัดการด้วยอาวุธในระยะประชิดซึ่งมีความเสี่ยงสูง
“เทา!” เจ้าของชื่อหันไปหาเพื่อนที่ห้อยขาอยู่กับขอบสะพาน สีหน้ามินซอกตอนนี้ดูไม่สู้ดีนัก และการที่หมอนั่นเหวี่ยงกระเป๋าเป้ขึ้นมาให้เขามันก็ไม่ใช่สัญญาณที่ดี
“ทำบ้าอะไรของนายวะ?!”
“ฉันต้องรอรับคุณซูยอนก่อน! ข้างในนั้นมีปืน -- อะ!” มือของเด็กที่ไม่คิดออกกำลังกายเริ่มจะไม่มีแรงแล้ว มินซอกนิ่วหน้าพร้อมกำราวไว้จนปวดมือไปหมด “คุณซูยอน!”
เทาสบถคำหยาบพร้อมรูดซิปออกมาแบ่งปืนพกให้ครูสาว ซึ่งปาร์คกาฮีก็รับไปปลดเซฟตี้และเหนี่ยวไกใส่ผีดิบที่กำลังวิ่งเข้าหาเซฮุนจนร่างไร้วิญญาณล้มหน้าคะมำกับพื้น
เด็กหนุ่มชาวจีนยืนขนาบข้างครูที่เคารพ เขาใช้ปืนอย่างใจเย็นแล้วโยนกระเป๋าเป้ให้ยูริ แม้จะรู้สึกแค้นอยู่ในใจแต่หญิงสาวก็รับไว้ คนเคยเป็นทหารมาก่อนเหนี่ยวไกปืนอย่างแม่นยำพร้อมหันไปมองรถบ้านเป็นระยะ
“ออกมาสักทีสิจองซูยอน!”
“ยูริ...” เสียงตะโกนของหญิงสาวคนสนิทดึงสติจองซูยอนให้ตื่นจากความกลัว เสียงปืนดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณไม่หยุด ซึ่งเป็นสัญญาณดีว่าตอนนี้ทุกคนคงกำลังได้เปรียบพวกมันแล้ว
“ใช่ ยูริรอคุณอยู่ข้างนอก”
“แต่ฉันกลัว ฉันไม่กล้าออกไปหรอกค่ะ...”
“ผมจะคุ้มกันคุณอยู่ข้างหลังเอง อดทนหน่อยนะครับ อึดใจเดียวก็เจอทุกคนแล้วนะ” อี้ฟานวางมือลงบนไหล่หญิงสาวที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ำตา
“ถ้าออกไปแล้วฉันจะไม่ตายใช่ไหม?”
“คุณจะต้องไม่เป็นอะไร”
“...” ซูยอนยังคงร้องไห้ เธอกลืนก้อนสะอื้นสุดท้ายลงคอพร้อมมองไปยังช่องแคบบนเพดานรถบ้านซึ่งเด็กแว่นคนนั้นใช้เป็นทางหลบหนีออกไป
“มินซอก”
“คะ... ครับ!”
“เห็นไหม เขายังรอคุณอยู่” ชายหนุ่มยังคงปลอบปะโลมอีกฝ่ายจนถึงวินาทีนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าจะไปได้สวยเมื่อจองซูยอนเริ่มคล้อยตามบ้างแล้ว
“อย่าทิ้งฉันนะคะ” เธอหันมาสบตากับอี้ฟาน ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มบาง ๆ พร้อมพยักหน้ารับ ซูยอนหายใจเข้าลึก ๆ แล้วมองออกไปข้างนอก อาจจะสักราว ๆ สิบวินาทีที่เธอใช้เวลาไปกับการตั้งสติ สุดท้ายหญิงสาวก็ลอดออกมา
แต่ในช่วงเวลาที่ทุกอย่างกำลังชุลมุน ลู่หานวิ่งหนีล้มลุกคลุกคลานแต่ก็ได้จงอินเข้าไปลากออกมาจนลุกขึ้นตั้งหลักได้อีกครั้งโดยมีปาร์คกาฮีคอยคุ้มกันให้ แม้จะเล็งไม่โดนหัวแต่ก็พอถ่วงเวลาให้ทั้งคู่หนีไปได้ เทาและยูริจำต้องทิ้งครูสาวไว้เพื่อไปช่วยเซฮุนที่เริ่มจะไม่ไหวเพราะอาการเก่ากำเริบ
ดังนั้นตอนที่จองซูยอนโผล่ออกมาจากช่องแคบบนเพดานรถบ้านจึงเป็นจังหวะเดียวกับที่ผีดิบสองตัวปีนขึ้นมาบนตัวรถ พร้อมดึงกลุ่มผมของหญิงสาวไว้เต็มมือและออกแรงกระชากจนแผ่นหลังบางแอ่น
“กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!”
“ซูยอน!!” อี้ฟานไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ซึ่งมีเพียงคิมมินซอกเท่านั้นที่เห็นว่าจองซูยอนถูกผีดิบตนหนึ่งกระชากผมไว้... และโดนอีกตัวกัดเข้าที่หัวไหล่จนเลือดทะลักออกมา
“คุณซูยอน!!!!!!”
กาฮีหันไปตามเสียง ก่อนจะเหนี่ยวไกปืนใส่ผีดิบที่กำลังกัดซูยอน เพียงเสี้ยววินาทีเดียวร่างที่เคยหิวกระหายก็ปล่อยมือออกและนอนแน่นิ่งเพิ่มความหนักให้กับรถบ้าน มินซอกยื่นมือออกไปหาหญิงสาวที่กำลังร่ำไห้เพราะความเจ็บปวดจากบาดแผลสดและความกลัว
“ยื่นมือมาให้ผม... เร็วเข้า” สีหน้าเด็กใส่แว่นคนนั้นเหมือนว่าจะร้องไห้แข่งกับเธอยังไงอย่างนั้น น้ำตาของซูยอนไหลจนภาพทุกอย่างพร่ามัวไปหมด รอยกัดตรงหัวไหล่ทั้งเจ็บและชาคล้ายว่ามันจะนำความตายมาสู่เธอ
“คุณอี้ฟาน...”
“ซูยอน!”
“...ไหนคุณบอกว่าจะปกป้องฉัน” หญิงสาวสะอื้น ตัดพ้อชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหลังซึ่งเธอก็รู้อยู่แก่ใจว่าอู๋อี้ฟานคงไม่สามารถช่วยได้กับสิ่งที่มองไม่เห็น “อ๊า!”
ขอบสะพานทรุดตัวลงเพราะแรงดันจากรถบ้านที่ถูกจู่โจม มินซอกเบิกตาโพลงมองรถคันใหญ่ซึ่งอยู่เหนือศีรษะตนเอง และมันคงใกล้จะตกลงไปในน้ำในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าถ้ายังไม่รีบพาจองซูยอนกับอู๋อี้ฟานออกมา
“ซูยอน!” เสียงของควอนยูริสั่น แต่เมื่อเห็นว่าหญิงสาวผู้เป็นที่รักของเธอยังมีชีวิตอยู่ คนที่รีบวิ่งฝ่าฝูงตัวกินเนื้อเข้ามาจึงรู้สึกโล่งใจไปบ้าง
ซูยอนคว้ามือมินซอกไว้ เธอรู้สึกได้ว่ามือของเด็กคนนี้ช่างเย็นยะเยือกและสั่นเทาไปด้วยความกลัวแค่ไหน แต่ยังไม่ทันได้เริ่มปีนป่าย เหล็กหนาที่เคยตรึงขอบรั้วเอาไว้ก็หลุดออกและส่งผลให้รถบ้านตกลงจากสะพาน เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นที่มินซอกมีโอกาสได้ตั้งสติ ก่อนจะปล่อยมือออกจากราวหลังจากคว้ามือซูยอนไว้ได้แล้ว ท่ามกลางสายตาใครหลาย ๆ คนที่หันมาเห็นจังหวะนั้นพอดี
“ซูยอน!!!”
“มินซอก!!!”
ทุกคนต่างช็อกจนไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อหลังจากนี้ จงอิน เซฮุน และเทาที่เคยสู้กับพวกมันจนแทบไม่ได้หยุดหายใจต่างชะงักไปทันทีที่เห็นว่ารถบ้านตกลงไปในแม่น้ำและกำลังจะจมหายไป พร้อมเหล่าผีดิบมากมายที่ตกจากสะพานไปตามเหยื่อ
“สามคนนั้นล่ะ?” สิ้นสุดคำถามของจงอิน มินซอกก็โผล่ขึ้นมาบนผืนน้ำพร้อมซูยอน แต่ยังไม่ทันโล่งใจ คำถามถัดมาก็ทำให้พวกเขาได้รู้ว่าไม่สามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้แล้ว “อี้ฟานออกมาหรือยัง?”
“...”
“คงยังอยู่ในรถค่ะ เพราะเขาน่าจะส่งซูยอนออกมาก่อน” คนที่อยู่ใกล้รถบ้านมากที่สุดอย่างปาร์คกาฮีเป็นคนให้คำตอบ แต่ยังไม่ทันจะตกลงว่าจะทำยังไงกันต่อชายหนุ่มผิวแทนก็ปีนขึ้นไปบนรั้ว พร้อมกระโดดลงไปท่ามกลางความตกใจของทุกคน
“จงอิน!!!” เซฮุนตะโกนเรียกคนรักที่จมหายลงไปในน้ำ และตามด้วยควอนยูริที่ไม่อยากฝากชีวิตซูยอนเอาไว้กับเด็กไม่เอาไหนอย่างคิมมินซอก
“เกิดอะไรขึ้นวะ? เดี๋ยว... นั่นเปาจื่อใช่ไหม?” คนที่ตามมาเป็นคนสุดท้ายอย่างลู่หานรู้สึกใจหายลงไปอยู่ปลายเท้า เมื่อพบว่าตอนนี้มินซอกลอยอยู่กลางน้ำและกำลังพยายามพาซูยอนว่ายหนีผีดิบอย่างทุรนทุราย
“อี้ฟานติดอยู่ในรถค่ะ จงอินกำลังลงไปช่วย ส่วนยูริ...” ทุกคนมองไปยังหญิงสาวเจ้าของชื่อ ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะว่ายฝ่าพวกเดนตายไปหาซูยอนไม่ทัน ยูริมองให้แน่ใจว่ามินซอกจะพาคนที่เธอรักไปจนถึงฝั่ง หลังจากนั้นจึงตัดสินใจดำน้ำลงไปช่วยอี้ฟานที่ติดอยู่ในรถบ้าน
“เปาจื่อ!!!”
“ไม่ได้นะครับลู่หาน ข้างล่างมีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด ถ้าหากคุณลงไปตอนนี้ต้องถูกกัดแน่” เซฮุนรั้งแขนอีกฝ่ายไว้พร้อมเตือนสติคนที่คิดจะกระโดดลงไปในน้ำเพื่อช่วยมินซอกโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ลู่หานสบถอย่างหัวเสีย กับสถานการณ์ตอนนี้ที่มันแย่ลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งคนที่เหลือไม่สามารถเดินหน้าต่อได้เพราะใครหลายคนยังเผชิญอยู่กับความอันตรายใต้น้ำ
จงอินไม่ได้นึกถึงศักยภาพของตนเอง... ไม่เลยสักนิดเดียว จนถึงตอนนี้สิ่งที่สมองมันสั่งการก็คือจะทำยังไงถึงจะช่วยอู๋อี้ฟานออกมาได้ ชายหนุ่มผิวแทนดำน้ำลงไปแข่งกับรถบ้านที่กำลังค่อย ๆ จมลงไป
สองมือแหวกว่ายจนพบช่องสี่เหลี่ยมบนหลังคา พอเข้าไปก็พบว่าขาของอี้ฟานถูกสิ่งของทับอยู่ ทั้งคู่สบตากันโดยไม่สามารถใช้คำพูดสื่อสารได้ และจงอินก็พอจะเดาออกอย่างง่ายดายว่าอีกไม่กี่วินาทีอู๋อี้ฟานคงขาดอากาศหายใจตายแน่ถ้าหากไม่รีบช่วยตอนนี้
จงอินเข้าไปยกสิ่งของออก ซึ่งมันช่างยากลำบากเหลือเกินเมื่อต้องทำใต้น้ำ ชายหนุ่มร่างสูงมองอีกคนที่ยังคงพยายามอย่างไม่ลดละ ก่อนจะพบว่ามีควอนยูริตามมาสมทบ อู๋อี้ฟานจึงมีโอกาสรอดมากขึ้น
ชายหนุ่มผิวแทนหันไปสบตากับหญิงสาวที่ไม่คิดว่าจะตามมา เขาพยักหน้าเพื่อเป็นเชิงบอกให้ดึงอี้ฟานออกมาพร้อม ๆ กันจนสำเร็จ และยูริจะเป็นฝ่ายดำออกไปก่อน ตามด้วยอี้ฟานที่ขายังไม่หายดี จงอินจึงเป็นฝ่ายช่วยดันออกไป
ทั้งคู่หิ้วปีกชายหนุ่มอายุมากกว่าขึ้นเหนือผิวน้ำ และทันทีที่ได้รับอากาศทั้งสามคนก็รีบกอบโกยมันเข้าปอด แต่พวกเขาไม่มีเวลาได้หายใจนานไปกว่านั้น จงอินกับยูริก็ต้องพาอี้ฟานว่ายขึ้นฝั่งก่อนพวกกินคนจะเข้ามาถึงตัว
“เชี่ยจงอิน!”
“เออ!” เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทที่ยังอยู่บนสะพาน ก่อนอี้ฟานจะโบกมือให้ทุกคนคลายความเป็นห่วง
ลู่หานและคนอื่น ๆ รีบหาทางลงจากสะพาน ซึ่งต้องย้อนกลับไปทางเดิมและใช้เวลาราว ๆ เจ็ดนาทีในการวิ่ง เซฮุนชะงักฝีเท้าแล้วกลับไปเอากระเป๋าเสบียงท้ายรถครูกาฮีที่อยู่ใกล้มากที่สุด ก่อนจะวิ่งตามทุกคนไปยังโป๊ะเรือเล็ก ๆ เพื่อดูอาการทั้งสามคน และเป็นเรื่องดีที่ไม่มีใครถูกกัด
“ทุกคนปลอดภัยใช่ไหม?” คำถามแรกของอี้ฟานทำให้อุ่นใจไม่น้อย แต่ก็ยังมีเรื่องให้หนักใจอยู่
“มินซอกกับซูยอนอยู่ฝั่งนั้น” ทุกคนมองไปยังแม่น้ำฝั่งตรงข้ามตามเสียงเรียบเฉยของลู่หาน ชายหนุ่มหน้าตี๋ไม่มีท่าทีขี้เล่นหรือพูดจาแซวคนเจ็บอย่างอี้ฟานให้รู้สึกผ่อนคลาย เพราะตอนนี้คนที่กำลังเป็นกังวลใจไม่แพ้ควอนยูริก็คือผู้ชายคนนี้
“ฉันจะไปหาซูยอน ถ้ามีใครจะค้านก็ขอบอกเลยนะว่าฉันไม่ฟัง” ยูริแกะยางมัดผมหางม้าออกพร้อมยีกลุ่มผมสีเข้มที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำ
“ฉันไปด้วย” แทบจะเป็นครั้งแรกที่ลู่หานเห็นดีเห็นงามกับยูริ หญิงสาวไม่ได้ขานตอบอะไร เธอเพียงลุกขึ้นยืนแล้วถอดเสื้อกันหนาวออกมาบิดน้ำออก
“ตกลง เราจะไปหาสองคนนั้นด้วยกัน” อี้ฟานเข้าใจความรู้สึกของคนสนิทที่ย่อมร้อนใจกว่าคนอื่นหลายเท่า เขาจึงลุกขึ้นยืนโดยได้รับความช่วยเหลือจากจงอิน และจะไม่หยุดพักเพียงเท่านี้
“ครูเป็นอะไรหรือเปล่า สีหน้าดูแปลก ๆ ไป” เด็กหนุ่มชาวจีนที่เดินรั้งท้ายอยู่กับครูสาวถามคำถามที่ให้ได้ยินกันเพียงสองคน กาฮีหันไปสบตากับอีกฝ่ายพลางถอนหายใจออกมา
“ซูยอนโดนกัด เทา... ครูเห็นเองกับตา”
“...”
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ครูและศิษย์ต่างมองไปยังแผ่นหลังของควอนยูริที่คงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับซูยอน... ซึ่งเขาและเธอก็เช่นกัน
“ข้างหน้ามีร้านเสื้อผ้า... ซ้ายมือของนาย”
“มีพวกมันอยู่แถวนี้ไหม”
“ฉันไม่เห็น... ต้องเข้าไปดูใกล้ ๆ หรือเปล่า”
“...งั้นเราค่อยๆ เดินไป พยายามเบาเสียงให้มากที่สุดนะ”
“อื้อ...”
ซูยอนกอดแขนอีกคนไว้แน่น พลางกวาดสายตาไปรอบข้างอย่างหวาดกลัว ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มจนแทบมองไม่เห็นอะไรอยู่แล้ว แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือคนที่พอจะพึ่งพาได้อย่างมินซอกกลับทำแว่นหายไปตอนตกน้ำ จึงทำให้มองทุกอย่างพร่ามัวไปหมดจนเธอต้องคอยบอกทางให้
“เจ็บมากไหม”
“มากจนนายคงนึกไม่ออกว่ามันมากแค่ไหน...” หญิงสาวกลืนน้ำลาย พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วก็ท้อใจจนน้ำตาพาลจะไหลลงมาอีกครั้ง
มินซอกไม่ได้ถามอะไรทิ่มแทงใจอีก อันที่จริงเขาก็แค่เป็นห่วงอาการเธอเท่านั้น เด็กน้อยสะดุดจนเกือบล้มไปทั้งคู่ พอหันไปก็พบว่าต้นเหตุคือท่อนไม้เก่า ๆ มินซอกจึงก้มลงเก็บขึ้นมาถือไว้เป็นอาวุธ
พอมาถึงร้านเสื้อผ้าทั้งคู่ค่อย ๆ ดันประตูเข้าไปด้านใน เด็กน้อยเคาะประตูเพียงสามครั้งเพื่อสังเกตการณ์ความมืดตามที่ถูกสอนมา ไม่มีใครรู้เลยว่าข้างในจะมีตัวอะไรรออยู่ ปกติคิมมินซอกก็ไม่ค่อยเชื่อใจตัวเองอยู่แล้ว และพอไม่มีแว่นเขาก็ยิ่งกลัวเข้าไปอีก
“ได้ยินเสียงอะไรไหม...”
“ไม่... ฉันไม่ได้ยินเลย นายล่ะ...”
“ผมก็ไม่ได้ยิน...”
“แล้วจะทำยังไง เข้าไปพร้อมกันหรือว่านายจะเข้าไปก่อน”
“คุณก็รู้ว่าผมมองอะไรไม่เห็น”
“...โอเค งั้นเข้าไปพร้อมกันนะ”
ทั้งคู่เปลี่ยนเสื้อผ้าในความมืดและใช้ไฟฉายที่หาได้จากลิ้นชักให้ความสว่าง เป็นครั้งแรกที่มินซอกและซูยอนร่วมมือกันขนาดนี้ ทั้งคู่ขึ้นไปบนห้องนอนชั้นสอง หญิงสาวนั่งห่มผ้าพิงหลังกับขอบเตียงโดยมีเทียนเล่มเล็ก ๆ จุดอยู่บนโต๊ะ เธอยังคงหนาวและรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ มือและขาที่เคยมีเรี่ยวแรงก็อ่อนเปลี้ยจนไม่อยากทำอะไรมากกว่าการนั่งเฉย ๆ
มินซอกเอาผ้าสีแดงไปผูกกับหน้าต่างเพื่อให้คนอื่น ๆ รู้ว่าเขาและหญิงสาวรุ่นพี่อยู่ที่นี่ แม้จะเป็นวิธีที่เสี่ยง แต่คาดว่าทั้งคู่คงไม่ซวยซ้ำซวยซ้อนเจอคนไม่ดีก่อนที่ลู่หานและคนอื่น ๆ จะตามเจอหรอกมั้ง...
มินซอกค่อย ๆ คลำทางกลับเข้าไปในห้องพร้อมไฟฉายในมือ เด็กน้อยนั่งลงบนพื้นข้างประตูพร้อมมองไปยังภาพพร่ามัวที่อยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าตอนนี้จองซูยอนกำลังมีสีหน้าแบบไหน กำลังร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้มอยู่หรือเปล่า
“ลึก ๆ แล้วนายเองก็อยากทิ้งฉันไว้ที่ไหนสักแห่งใช่ไหม?”
“อืม ผมคิด” มินซอกตอบอย่างไม่โกหก ตอนนี้สิ่งเดียวที่คนตัวเล็กมองเห็นชัดที่สุดคือมือตนเองที่วางอยู่บนเข่าทั้งสองขางซึ่งชันขึ้น “แต่ผมทำไม่ได้หรอก”
“เพราะอะไรเหรอ บอกได้ไหม?” หญิงสาวถามอย่างใคร่รู้ พร้อมมองไปยังเด็กคนนั้นที่แทบจะไม่เกิดบทสนทนาต่อกันเลยระหว่างที่เคยอาศัยอยู่อุทยานด้วยกัน “เพราะกลัวคนอื่น ๆ ตราหน้าว่าเป็นคนไม่ดี หรือว่าด้วยจิตใจของนายเอง”
“ผมไม่รู้หรอก” มินซอกเลี่ยงที่จะให้คำตอบกับเรื่องที่เขาก็ไม่เคยตั้งคำถาม
“ถ้าฉันเปลี่ยน... นายจะฆ่าฉันไหม?”
“ผมไม่รู้”
“ตอบมาเถอะน่า ฉันไม่บอกใครหรอก” เสียงของซูยอนสั่น เขารู้สึกได้ แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ยังพยายามทำเหมือนว่าบรรยากาศตอนนี้กำลังเริ่มดีขึ้น ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่ “บางทีฉันอาจจะโชคดีเหมือนเซฮุนกับเทาก็ได้ จริงไหม?”
“...”
“มินซอก” ซูยอนเอียงคอเล็กน้อย พร้อมมองไปยังเสี้ยวหน้าของเด็กผู้ชายคนนั้น เปลือกนอกของคิมมินซอกยังคงดูเย็นชาและไร้ความรู้สึก ต่างจากสิ่งที่เจ้าตัวกำลังแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่มีให้กับเธอขณะหนีออกจากรถบ้าน
“ผมมองอะไรไม่เห็น จะเอาอะไรไปฆ่าคุณได้” หญิงสาวมองดวงตาคู่นั้น ที่คงมองเธอได้ไม่ชัดอย่างที่ควรจะเป็น “ไฟฉายหรือไง”
ซูยอนหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ กับใบหน้าเรียบเฉยของมินซอกที่มาพร้อมการชูไฟฉายขนาดเหมาะมือให้เธอดู “ขอบคุณนะ”
“เรื่องอะไร”
“เพราะถ้าตอนนี้อยู่คนเดียวฉันคงเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดแน่ ๆ” เธอชันเข่าเข้าหาตัวพร้อมเกยคางลงไปและปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ “ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันนะ”
มินซอกไม่ได้รู้สึกปลาบปลื้มใจเลยสักนิด กลับกันแล้วเขารู้สึกแย่ลงไปอีกเพียงเพราะรู้ว่าเธอกำลังเจ็บแผลแต่เขาก็ทำได้แค่ช่วยทาเบตาดีนแล้วปิดแผลไว้ด้วยสำลีกับพลาสเตอร์ใสเท่านั้น
“นายคงคิดในใจว่าแม่นี่เป็นบ้าอะไร เอะอะก็เอาแต่ร้องไห้สินะ”
“คิดแทนคนอื่นจนเป็นนิสัยเหรอ”
“ทำไมต้องทำเสียงดุด้วยล่ะ ฉันก็แค่พูดตามที่คิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น”
“ตอนนี้คุณกำลังรู้สึกไม่ดี แล้วผมก็ไม่ใช่พวกที่ถนัดเอนเตอร์เทนคนอื่นด้วย อย่าพูดให้ตัวเองรู้สึกแย่ลงไปกว่าเดิมสิ”
“แล้วฉันต้องพูดอะไรดีนะ...” ซูยอนกำลังคิดว่าอะไรที่จะทำให้เธอลืมความเจ็บบนหัวไหล่และอาการร้อน ๆ หนาว ๆ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะพิษไข้จากการตกน้ำหรือจากผีดิบกัดกันแน่ “ฉัน... อยากเจอเซฮุน ยูริ กับจงอินอีกครั้งจัง”
“เดี๋ยวก็ได้เจอ ตอนนี้พวกเขาคงกำลังตามหาเราอยู่”
“ฉันอยากจะคุยกับสามคนนั้นให้มากกว่านี้ อยากบอกพวกเขาว่าฉันรู้สึกยังไง”
“...”
“บอกเซฮุนอีกครั้งว่าฉันชอบเขามากแค่ไหน ชอบมากจนเผลอคิดอะไรโง่ ๆ ไปหลายครั้งเลย” ซูยอนยิ้มบาง ๆ พลางทอดสายตาไปอย่างไร้จุดหมาย กับเรื่องราวในใจที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังว่าเธอนั้นคิดอยากทิ้งยูริแล้วชวนเซฮุนหนีไปด้วยกันให้ไกล แต่ซูยอนรู้ดีว่าเด็กคนนั้นคงไม่ยอมตกลง
มินซอกมองหญิงสาวที่มีแสงเทียนให้ความสว่าง แม้จะพร่ามัว แต่การเห็นจองซูยอนยังพูดอยู่เรื่อย ๆ มันก็ทำให้เขาสบายใจยิ่งกว่าอะไร ใช่... บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นเหมือนเซฮุนกับเทาก็ได้
“อยากขอโทษจงอินกับความไม่เคยชัดเจน ให้ความหวังไปสุดท้ายก็หักอก แถมยังเห็นแก่ตัวไม่อยากให้อยู่ห่าง ๆ อีก” ซูยอนถอนหายใจ “เคยมีผู้หญิงมาชอบนายแล้วนายไม่ชอบเขาแต่ก็ไม่อยากปล่อยไปไหม? ใช่ นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันทำ”
“ไม่หรอก จากที่ฟังก็ดูเหมือนว่าผมจะเป็นฝ่ายหญิงที่คุณพูดถึงมากกว่า” คิมมินซอกคงบ้าไปแล้วที่ดึงตัวเองกลับไปอยู่กับความรู้สึกเมื่อตอนที่ยังอยู่โรงเรียนอีกครั้ง ภาพตอนลู่หานมาหาที่ห้อง ภาพตอนผู้ชายคนนั้นชอบบยอนแบคฮยอน ทุกอย่างมันย้อนกลับมาให้เจ็บใจอีกแล้ว
“มันแย่ใช่ไหมล่ะ ความรู้สึกแบบนั้นน่ะ”
“มากถึงมากที่สุด” ซูยอนยิ้มกับคำตอบที่ทำให้เธอรู้สึกว่าตอนนี้มินซอกกำลังอินไปกับเรื่องที่เธอชวนคุยแล้ว
“คนแบบฉันสมควรโดนตบใช่ไหม”
“ใช่ แล้วผมก็ตบไปแล้วด้วย”
“อ๋า... นายตบผู้หญิงไปแล้วงั้นเหรอคิมมินซอก?” ซูยอนมองแหย สบตากับคนมองอะไรไม่ชัดที่กำลังทำหน้าเรียบเฉยเหมือนในทีแรก “นี่พูดจริงใช่ไหม?”
ไม่ มินซอกไม่ยอมตอบ
“ไม่รู้สิ นายดูไม่เหมือนคนที่จะไปตบผู้หญิงได้เลย” หญิงสาวพูดอย่างที่คิด
“มองจากภายนอกผมจะเป็นอะไรก็ได้อยู่แล้ว”
“งั้นก็บอกให้ฉันรู้ทีสิ” หญิงสาวยิ้มขณะมองคนความลับเยอะที่เริ่มจะปริปากพูดเรื่องตัวเองออกมาบ้างแล้ว “แลกกันก็ได้”
“ผมต้องอยากรู้เรื่องของคุณหรือไง” มินซอกพยายามใช้คำพูดที่เบาแล้วถ้าเทียบกับลู่หานและแบคฮยอน
“ฉันเคยเป็นเลสเบี้ยนล่ะ”
“...”
“ที่จริงก็ยังเป็นอยู่ เอ่อ... กับยูริน่ะ” แววตาของมินซอกตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งคงไม่แปลกนักสำหรับคนที่ถูกตบตาด้วยคำว่าพี่น้องมาตลอด แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น แววตาของเด็กผู้ชายเย็นชาก็กลับไปเป็นแบบเดิม
“แต่คุณเพิ่งบอกผมว่าชอบเซฮุน”
“ฮั่นแน่ เริ่มสนใจเรื่องของฉันแล้วล่ะสิ”
“ก็คุณพูดให้ผมสงสัยเองนี่”
“ฮ่า นายติดกับฉันแล้ว... แค่ก ๆ”
“คุณซูยอน?” มินซอกขยับตัวเล็กน้อยกับเสียงกระแอมไอที่ดังมาจากหญิงสาว “คุณ... อยากได้น้ำดื่มหรือเปล่า?”
“มะ... ไม่เป็นไร”
“...”
“ใช่ ฉันชอบเซฮุน แต่ก่อนหน้านั้นฉันก็มีความสัมพันธ์แปลก ๆ กับยูริน่ะ มันเป็นความจำเป็น” เธอกลืนน้ำลายพร้อมกระชับผ้าห่มแน่นขึ้น “กับความเห็นแก่ตัวของฉัน ที่อยากมียูริไว้ปกป้องตัวเอง”
“...”
“ทั้งที่ยัยนั่นก็รักและทำดีกับฉันมาตลอดแท้ ๆ” หญิงสาวหลุบสายตาลงมองปลายเท้าตนเองที่มันเริ่มชาเพราะไม่ได้สวมถุงเท้า จนความหนาวแล่นปราดมาจนถึงหัวใจ “ทำไมโลกนี้ถึงต้องมีพวกวิ่งไล่กัดคนด้วยนะ...”
“...”
“บางคนถูกกัดตายทั้งที่ยังเป็นเด็กอยู่เลย คนเราควรใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะตายเพราะความแก่เฒ่าไม่ใช่เหรอ” ซูยอนรู้ตัวว่ากำลังเพ้อเจ้อ ตัดพ้อกับเรื่องบ้าบอคอแตกทั้งหมด
“ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอก มันคงเป็นเหตุผลที่ทุกคนรอบตัวพยายามสอนให้เราเรียนรู้วิธีสู้กับมัน วันนี้ผมรู้ซึ้งแล้ว” มินซอกถอนหายใจ เขารู้สึกแย่ไม่น้อยที่หลบหลังทุกคนมาตลอด จึงทำให้มีภูมิต้านทานกับความร้ายกาจกับโลกใบนี้น้อยกว่าเทาและเซฮุนที่อายุเท่ากัน
ซึ่งจุดจบของอึนจีกับซูโฮก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่าถ้าหากเป็นคนอ่อนแอก็ต้องพ่ายแพ้ รวมไปถึงโดคยองซูที่รอดมาได้อย่างหวุดหวิดเช่นกัน มินซอกไม่รู้เลยว่าหมอนั่นจะเป็นตายร้ายดียังไงกับอุทยานที่กำลังจะพังทลายลง
“ฉันอยากแต่งงานกับผู้ชายดี ๆ สักคน ผู้ชายที่รักฉัน มีแค่ฉัน และปฏิบัติต่อฉันเหมือนผู้หญิงคนหนึ่ง” ซูยอนไม่สามารถกลั้นยิ้มไว้ได้ เพียงเพราะนึกถึงใบหน้าของเด็กผู้ชายอย่างโอเซฮุน “มีลูกกันสักสองคน คนโตเป็นผู้ชาย ให้เรียนศิลปะป้องกันตัวไว้ปกป้องน้องสาว”
“ส่งเสริมให้ลูกไปชกต่อยกับชาวบ้านหรือไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ลูกฉัน ฉันต้องสอนให้เขารู้อยู่แล้วว่าอะไรควรไม่ควร”
“ทำไมไม่สอนให้ลูกสาวแกร่งไปเลยล่ะ เผื่อลูกชายคุณอยากนั่งเรียนเปียโนหรือไม่ก็ปลูกผักสวนครัวมากกว่า”
“อ่า นั่นสินะ...” ซูยอนยกมือขึ้นป้องปาก “ฉันเหมือนแม่ตัวร้ายที่ชอบบังคับลูกเลย”
“เปลี่ยนแผนใหม่ได้แล้ว ลูกนะไม่ใช่หุ่นเชิด” มินซอกยอมพาตัวเองเข้าไปในบทสนทนาเพ้อ ๆ ของผู้หญิงช่างฝัน เพียงเพราะเขาอยากได้ยินเสียงสดใสของเธอมากกว่าน้ำเสียงซึมเศร้าปะปนกับเสียงกระแอมไอ
“แล้วมินซอกล่ะ อยากมีชีวิตแบบไหน”
“...”
“เถอะน่า ฉันสัญญาว่าจะไม่เล่าให้ใครฟังเด็ดขาดเลย”
“คุณนี่นะ...” เขามองคาดโทษภาพพร่ามัวตรงหน้า ซึ่งน้ำเสียงหัวเราะในลำคอนั่นทำให้คิดว่าจำเป็นต้องเล่า “ผม...”
“นาย...?”
“อยากอยู่ใต้ผ้านวมผืนเดียวกันกับเขาในวันหยุดสุดสัปดาห์ นอนดูหนังด้วยกันไปจนกว่าจะถึงเวลากินมื้อเย็น หลังจากนั้นก็เข้าครัวด้วยกัน ต้มรามยอนใส่ต๊อกกับแฮมที่มีเหลืออยู่ในตู้เย็น แล้วใช้ตะเกียบคนละคู่คีบกินในหม้อ”
“อา... มันต้องเป็นวันที่ผ่อนคลายมากแน่ ๆ เลย”
“มันเป็นวันที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงต่างหากล่ะ” มินซอกหัวเราะในลำคอ
“นอกจากนั้นล่ะ นายอยากทำอะไรอีก”
“ถึงตาคุณเล่าแล้วไม่ใช่หรือไง”
“ก็ฉันอยากฟังเรื่องของมินซอกต่อนี่ แค่ก! นะนะ... เล่าต่อ”
“...เอาแต่ใจจริง ๆ” คนตัวเล็กบ่นพึมพำแล้วเงียบไปครู่นึ่ง พร้อมนึกถึงหน้าผู้ชายบ้าบอที่เขามักจะไล่ให้ไปพ้น ๆ “มันอาจจะเป็นเรื่องบ้า ๆ แต่ผมรู้สึกว่าอยากกอดเขาทั้งวันโดยไม่คิดไปทำอะไรนอกเหนือจากนั้นแล้ว”
“...”
“กอดเพื่อสัมผัสความอบอุ่นจากร่างกายเขา หลับตาซึมซับกลิ่นสบู่ที่เราใช้ขวดเดียวกัน ซบหน้าลงไปกับไหล่แคบ ๆ แต่หนักแน่นมากพอที่จะให้ผมหลับไปทั้งอย่างนั้นได้ ผมอยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องสนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่สนใจว่าเวลาเดินไปนานเท่าไหร่ และไม่ต้องตั้งคำถามให้ตัวเองว่าความจริงแล้วเขารักผมจริง ๆ ไหม”
กับคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองและไม่มีมั่นใจความรักเลยสักนิด ให้ตายสิ... ตอนนี้คิมมินซอกกำลังเพ้อเจ้อไม่ต่างจากผู้หญิงช่างฝันอย่างจองซูยอนเลย เด็กน้อยยิ้มขำพลางส่ายศีรษะไล่ความคิด ผู้ชายห่วยแตกคนนั้นน่ะเหรอจะยอมให้เขาหลับไปทั้งที่ยังกอดกันอยู่ มีหวังชวนไปทำเรื่องลามกหรือไม่ก็ชิงหลับไปก่อนแน่
“ถึงตาคุณพูดแล้ว”
เงียบ...
“คุณซูยอน”
เงียบ...
“จองซูยอน”
เงียบ...
“หลับแล้วเหรอ”
น้ำตาเทียนสีขาวไหลลงพื้นแห้งเป็นจุด รอยยิ้มที่เคยเกิดขึ้นเพราะบทสนทนาเพ้อฝันเลือนหายไปเมื่อได้รับคำตอบเป็นความเงียบ มินซอกมองภาพพร่ามัวของหญิงสาวที่นั่งฟุบหน้านิ่งไป ซึ่งเขาไม่รู้เลยว่าจองซูยอนหลับกลางอากาศหรือเพราะสิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นกันแน่
“คุณซูยอน ผมไม่ตลกนะถ้าคุณคิดจะแกล้งผมด้วยวิธีนี้”
“...”
“ผมจะโกรธแล้วก็จะไม่คุยกับคุณจนกว่าคนอื่น ๆ จะมาถึง”
ไม่ว่าจะขู่ยังไงผู้หญิงที่เอาแต่พูดเจื้อยแจ้วมาตลอดก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาทำให้เขารู้สึกโล่งใจเลยสักนิด มินซอกไม่กล้าขยับเข้าไปสะกิดเธอเนื่องจากไม่มีแว่น และการที่เขานั่งอยู่ข้างประตูก็เพราะความปลอดภัยของตนเอง เผื่อกรณีที่หญิงสาวเปลี่ยนอย่างฉับพลันจะได้วิ่งหนีออกไปได้ทัน
ไม่มีแม้แต่เสียงขยับตัวหรือเสียงครางฮือในลำคอที่เป็นสัญญาณว่าเขาได้สูญเสียเธอไปแล้ว มินซอกกลืนน้ำลายพลางยันตัวลุกขึ้น มือซ้ายกำลูกบิดประตูไว้ จนถึงตอนนี้คนตัวเล็กก็ยังให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้ายเผื่อว่าจองซูยอนจะเงยหน้าขึ้นแล้วบอกว่า ‘ฉันล้อเล่น’
“นอกจากจะไม่ยอมเล่าเรื่องของตัวเองแล้วยังหลับตอนฟังเรื่องของคนอื่นอีก ไม่น่ารักเลยนะ...”
ผู้หญิงช่างพูดยังคงนิ่งราวกับคนหลับลึก มินซอกหลุบสายตาลงแล้วหมุนลูกบิดเข้าหาตัว เด็กน้อยรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในตอนนี้ เขาหันไปทางขวามือแล้วก็พบใบหน้าซึ่งปกคลุมไปด้วยกลุ่มผมสีดำกำลังค่อย ๆ เงยขึ้น หากแต่ไม่มีเสียงหัวเราะหรือประโยคถามไถ่ว่าจะไปไหน
เพราะภาพที่มินซอกมองเห็นนั้นยังคงพร่ามัว...
สี่นาฬิกาสิบเจ็ดนาที...
จนถึงตอนนี้... ทุกคนก็ยังไม่หยุดออกตามหามินซอกกับซูยอน
“คุณตัวอุ่น ๆ นะครับ ไม่สบายหรือเปล่า” เซฮุนถามด้วยความเป็นห่วง แต่คนข้าง ๆ กลับส่ายหน้าเป็นคำตอบพร้อมรอยยิ้ม จงอินวางมือลงบนศรีษะเด็กหนุ่มตัวผอมที่เอาแต่มองสังเกตเขามาตลอดทาง
“ถึงคิวฉันสะพายเป้แล้ว เอามาซะดี ๆ” ชายหนุ่มผิวแทนยื่นมือออกมา ซึ่งเซฮุนก็ได้แต่เงียบ “อย่าดื้อสิเซฮุน”
สุดท้ายเขาก็ยอมคลายสายกระเป๋าเป้ออกแล้วยื่นให้อีกฝ่ายสะพายอย่างไม่เต็มใจ เซฮุนเป็นห่วงจงอินที่เหนื่อยมาตลอดทั้งวัน ไหนจะเปียกน้ำมาอีก “ถ้าปวดหัวก็รีบบอกผมเลยนะครับ อย่าปล่อยให้ปวดหัวนะ”
“ห่วงตัวเองบ้างดีไหม เห็นพวกกินคนแล้วหื่นจนเลือดกำเดาไหลเลยดิ”
“ใช่อย่างนั้นซะที่ไหนล่ะครับ...” เซฮุนมองค้อนคนข้าง ๆ ที่กำลังกลั้นขำจนไหล่สั่น
“เซฮุนโอป้า ขอแดกตับหน่อยค่า”
“นี่ไงครับตับ” พูดจบก็หยิกหน้าท้องคนชอบแซวไปแรง ๆ หนึ่งที คนผิวแทนจึงงอตัวเป็นกุ้งพร้อมคว้าแขนเขาไว้
ลู่หานกับยูริเดินนำอยู่ข้างหน้าอย่างเคร่งเครียด พร้อมไฟฉายคนละกระบอกที่หาได้ระหว่างทาง กว่าจะข้ามมาฝั่งนี้ได้ก็เล่นกินเวลาไปพอสมควรเลยทีเดียว ไหนจะหยุดพักหาเสื้อผ้าเปลี่ยนให้ทั้งสามคนเพื่อไม่ให้ป่วยไข้ บวกกับค้นหามินซอกกับซูยอนในบ้านทุกหลังที่เดินผ่านทุกซอกทุกมุมเท่าที่จะเห็นในความมืดได้ หนุ่มหน้าตี๋ร้อนใจจนแทบอยากจะแยกตัวออกไปหาตามลำพังเสียให้รู้แล้วรู้รอดแต่คนอื่นคงไม่เห็นด้วย
“ผ้าสีแดงตรงนั้น?”
“ไหน?”
“บนหน้าต่างตึกซ้ายมือ” ทันทีที่พูดจบยูริก็รีบวิ่งไปข้างหน้าตามด้วยลู่หาน คนอื่น ๆ จึงต้องเร่งความเร็วขึ้น ซึ่งอี้ฟานพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ทุกคนนำไปก่อน
“เทา รีบไปช่วยลู่หานตามหามินซอกเร็วเข้า”
“คนไปทางนั้นเยอะแล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับครูและอี้ฟานใครจะช่วยทัน ผมไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์บ้า ๆ แบบนั้นซ้ำสองอีกแน่” เด็กหนุ่มชาวจีนกล่าวเสียงแข็ง “อีกอย่าง ผมเชื่อว่าทุกคนจะช่วยมินซอกได้ถ้าเขาอยู่ในนั้น”
“...” ครูสาวไม่ได้เถียงต่ออีก เพราะรู้ว่ายังไงหวงจื่อเทาก็คงรั้นจะอยู่กับเธอและอี้ฟานให้ได้ แต่ถ้าจะปล่อยทั้งคู่ไว้ตรงนี้แล้วขอไปตามหามินซอกก็คงไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นเธอและเทาจึงรีบประคองอี้ฟานไปด้วยกัน
ยูริดันประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบตามด้วยแสงไฟฉายของลู่หานที่สาดเข้าไปข้างใน ไม่มีตัวกินคนอยู่ที่นี่แต่ก็ใช่ว่าเขาและเธอจะชะล่าใจ ลู่หานเดินนำเข้าไปก่อน ยูริ จงอินและเซฮุนจึงตามเข้ามาติด ๆ
ตรวจสอบชั้นล่างจนเรียบร้อยแล้วแต่กลับไม่พบอะไรที่พอจะเป็นเบาะแสได้ หนุ่มหน้าตี๋รู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมเพราะเขาค่อนข้างคาดหวังกับผ้าสีแดงผืนนั้น กระทั่งนึกได้ว่ายังมีชั้นสองที่ยังไม่ได้ขึ้นไปตรวจสอบ ลู่หานจึงรีบเดินขึ้นไปอย่างเงียบเชียบและไม่ส่งเสียงให้เกิดความเสี่ยงหากว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดีซ่อนตัวอยู่
เสียงฝืดของประตูสนิมให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังผี ลู่หานชักมีดดาบออกมาพร้อมไขว้มือที่ถือไฟฉายไว้พร้อมเดินนำเข้าไป ควอนยูริเองก็เช่นกัน ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปตรวจดูในห้องครัว ห้องน้ำ และห้องเก็บของ แต่ก็พบเพียงความผิดหวัง
ลู่หานลดมือลงพลางถอนหายใจ ไอ้ผ้าสีแดงโง่ ๆ นั่นอาจจะเป็นใครก็ไม่รู้ตากเอาไว้ก็ได้ใช่ไหมวะ เขาเดาใจมินซอกไม่ถูกเลย ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นจะอยู่ที่ไหนในคืนที่หนาวเหน็บอย่างนี้ เปลี่ยนเสื้อผ้าเปียก ๆ ออกแล้วหรือยัง ถ้าตอนนี้กำลังนั่งตัวสั่นจนไข้ขึ้นอยู่ใครจะดูแล?
กึ่ก!
เสียงดังมาจากมุมห้องเรียกความสนใจจากทุกคนจนต้องหยุดยืนอยู่กับที่เพื่อฟังเสียง ลู่หานยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่าเขาจะเป็นฝ่าเข้าไปดูตู้เสื้อผ้าสีน้ำตาลที่ตั้งอยู่ใกล้หน้าต่างบานนั้นด้วยตัวเอง หนุ่มหน้าตี๋ตั้งไฟฉายและมีดดาบขึ้นอีกครั้ง พร้อมก้าวขาไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าและค่อย ๆ เปิดตู้เสื้อผ้าออก
หากเป็นผีดิบ... แน่นอนว่ามันต้องพุ่งตัวออกมาทันทีที่ถูกปลดปล่อย แต่สิ่งที่ลู่หานเห็นตอนนี้คือความว่างเปล่าเท่านั้น ชายหนุ่มยื่นมีดดาบไปข้างหน้าเพื่อขู่ให้สิ่งมีชีวิตภายในตู้รู้ว่าเขาเอาจริงแน่ถ้าหากยังไม่ยอมเปิดเผยตัว แต่ผ่านไปหลายชั่วอึดใจก็ได้กลับมาเป็นเสียงดังกึกกักเท่านั้น
ลู่หานก้าวขาซ้ายพร้อมง้างมีดดาบขึ้นเตรียมแทงใครก็ตามที่คิดจะสู้กับเขา และทันทีที่ส่องไฟฉายเข้าไป หัวใจที่เคยเต้นแผ่วเบามาตลอดทั้งคืนก็วูบไหวเพียงเพราะเห็นคิมมินซอกนั่งขดตัวอยู่ข้างในพร้อมกำมีดทำครัวมาทางเขาด้วยมืออันสั่นเทา
“เปาจื่อ”
“...” คนที่มองเห็นทุกอย่างพร่ามัวนิ่งไปหลังจากได้ยินชื่อซึ่งมีเพียงคนบ้าคนเดียวในโลกเท่านั้นที่เรียกอย่างนี้
ลู่หานทิ้งมีดดาบและไฟฉายลงบนพื้นจนเกิดเสียง ก่อนจะจับข้อมือของคนตรงหน้าไว้แล้วเอามีดออกจากมือเล็ก ซึ่งคนที่ไม่ได้สวมแว่นคงมองเห็นหน้าเขาได้ไม่ชัดนัก จงอินกับเซฮุนเดินเข้าไปใกล้ตามด้วยยูริที่ส่องไฟฉายให้ ขณะที่ผู้ชายหยาบกระด้างที่ดีแต่ปากหมาไปวัน ๆ กำลังแสดงความอ่อนโยนกับคนที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าด้วยการเอานิ้วหัวแม่มือไล้น้ำตาออกจากดวงหน้าขาว
“ลู่หาน...”
“ใช่ พี่เอง”
มินซอกสบตากับคนตรงหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้จนเขามองเห็นดวงตาเหมือนกวางได้อย่างชัดเจน คนที่ตกอยู่กับความกลัวมาตลอดทั้งคืนรู้สึกเหมือนถูกฉุดขึ้นมาจากนรก โดยอ้อมกอดอุ่น ๆ ของผู้ชายบ้าบอที่เขาเคยเอาแต่ก่นด่าทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้า
ลู่หานลูบศีรษะคนตัวเล็กที่ซบหน้าลงกับไหล่เขาและปล่อยเสียงสะอื้นออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ก่อนจะประคองร่างคนตัวเล็กออกมาจากที่แคบพร้อมหันไปพยักหน้าบอกทุกคนว่ามินซอกปลอดภัยแล้ว
ซึ่งคนที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ ต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ยกเว้นปาร์คกาฮีที่ปล่อยมือออกจากแขนอี้ฟาน พร้อมตรงเข้าไปตรวจดูร่างกายเด็กนักเรียนของตนว่าโดนกัดตรงไหนหรือไม่ ซึ่งการส่ายหน้าปฏิเสธของมินซอกทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกไปอย่างแท้จริง
“โอเค คำถามคือตอนนี้แม่นั่นอยู่ไหน?” คำถามของควอนยูริเป็นสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวคนตัวเล็กมาตลอดหลายชั่วโมง มินซอกยืนนิ่งก่อนจะหันไปสบตากับผู้หญิงคนนั้นที่เพิ่งรู้ว่าเธอมีความสัมพันธ์กับจองซูยอนมากกว่าพี่น้อง “หลับอยู่หรือไง?”
“...”
“ไม่ได้ยินที่ถามเหรอ อ้าว มีประตูอยู่ตรงนี้ด้วยนี่” ยูริมองไอ้เด็กปอดแหกที่เธอแทบจะนึกภาพไม่ออกเลยว่ากล้าฝากชีวิตจองซูยอนไว้ด้วยได้ยังไง หญิงสาวก้าวผ่านลู่หานกับมินซอกไปหมุนลูกบิดประตูที่อยู่เยื้องฝั่งตรงข้ามตู้เสื้อผ้า ก่อนจะรู้ว่ามันถูกล็อกไว้ “อะไรกัน นี่ จองซูยอน”
ลู่หานก้มลงมองมือตนเองที่กำลังถูกมินซอกบีบขณะมองไปยังประตูบานนั้น เขาจึงจับมือเล็กขึ้นมาสอดประสานไว้
“จอง --”
“กรรรรซ์...”
“...”
“...”
“...”
ราวกับว่าโลกนี้เวลาหยุดหมุนไปทันทีที่ได้ยินเสียงซึ่งดังมาจากอีกฟากฝั่งของประตู ยูริยืนนิ่งเพื่อฟังเสียงให้ชัดอีกครั้ง เมื่อครู่นี้เธอต้องหูฝาดแน่ที่ได้ยินเสียงบ้า ๆ นั่นจากข้างใน
“ซูยอน”
ปึง!!!
“...!!!”
ไม่มีใครขยับตัวหลังจากได้ยินเสียงทุบประตูจากอีกฝั่ง เซฮุนมองเสี้ยวหน้าของคนรักซึ่งดูเหมือนว่าจะเดาสถานการณ์ตอนนี้ออกแล้ว และมันไม่ได้ไปในทางที่ดีเลยสักนิด
ปึง!!! ปึง!!!! ปึง!!!
“กร๊าซซซซซซซซซซซซ!!!”
“...” ยูริถอยหลังออกมาก้าวหนึ่งอย่างหมดแรงพร้อมยกมือขึ้นป้องปาก หญิงสาวหันไปขอคำตอบจากเด็กผู้ชายคนนั้นอย่างคาดหวังว่าสิ่งที่เธอคิดจะไม่มีวันเป็นความจริงเด็ดขาด แต่ปาร์คกาฮีกลับเดินมายืนบังมินซอกเอาไว้
“ซูยอนโดนกัด ฉันเห็นเองกับตาตอนที่เธอพยายามปีนออกจากรถบ้าน”
“เธอพูดอะไรของเธอปาร์คกาฮี?”
ควอนยูริไม่มีทางเชื่อกับคำพูดบ้า ๆ นั่นแน่ แม้ว่าตอนนี้มือทั้งสองข้างมันจะสั่นจนทำอะไรไม่ถูก หน้ามืดจนเหมือนจะวูบไปหลายหนแต่สุดท้ายหญิงสาวก็ยังคงยืนอยู่ตรงนี้เพื่อรอฟังคำตอบที่อยากได้ยิน
ไม่มีคำอธิบายจากคิมมินซอกให้ได้ชื่นใจ หญิงสาวกวาดสายตาไปยังทุกคนที่กำลังมองเธออย่างเวทนา ราวกับจะบอกให้ทำใจทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้พิสูจน์เลยด้วยซ้ำว่าที่ร้องโอดครวญอยู่ข้างในนั้นใช่ซูยอนหรือเปล่า
“ยูริ”
“อยู่เฉย ๆ ก็พอ คิมจงอิน” หญิงสาวสวนกลับไปโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดมากไปกว่านี้ “ฉันจะไม่มีทางเชื่ออะไรทั้งนั้นจนกว่าจะได้เห็นกับตาตัวเอง”
ลู่หานรู้สึกถึงมือซึ่งชื้นไปด้วยเหงื่อที่กำลังออกแรงบีบมากขึ้น เขาจึงลูบหลังมือมินซอกเพื่อให้ผ่อนคลายกับความกดดันตอนนี้
ชั่วอึดใจเดียวที่ควอนยูริจมอยู่กับความสงสัย สายตาของเธอจดจ้องอยู่กับประตูไม้สีน้ำตาลตรงหน้าก่อนจะออกแรงใช้ไหล่พังประตู ทำมันซ้ำ ๆ ไม่รู้กี่ครั้งโดยไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้ชาย สุดท้ายประตูก็พังเข้าไปพร้อมความรู้สึกปวดไหล่ที่ระบมไปทั้งช่วงแขน
“กรรรรรรรรรรซ์...”
จงอินและเทาตามไปหยุดอยู่ข้างหลังยูริ ก่อนชายหนุ่มผิวแทนจะเสยผมขึ้นพร้อมค้างมือไว้กลางศีรษะเมื่อพบว่าร่างหญิงสาวที่ล้มอยู่บนพื้นเพราะแรงกระแทกจากประตูเมื่อครู่นั้นคือใครคนหนึ่งที่สมองของคิมจงอินเคยบอกว่าชอบนักหนา
ใบหน้าขาวซีดจนเห็นเส้นเลือดสีม่วงกำลังหันมาทางนี้ เผยให้เห็นดวงตาต้อขาวและริมฝีปากที่อ้าออกเล็กน้อย และคนที่ใจสลายที่สุดคงไม่ใช่คิมจงอินที่รู้ใจตัวเองแล้วว่ารักใคร แต่เป็นผู้หญิงขวานผ่าซากดูไร้หัวใจอย่างควอนยูริซึ่งยืนมองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่แตกสลาย
มือเล็กกำลังเอื้อมขึ้นมาราวกับรอให้อีกคนจับ และควอนยูริก็ยินดีที่จะสัมผัสความบอบบางที่เธอทะนุถนอมมานาน เทาเห็นดังนั้นจึงคิดจะเข้าไปห้ามแต่ก็ถูกจงอินห้ามไว้ ก่อนจะเห็นน้ำตาจากผู้หญิงไร้หัวใจที่ไหลอาบแก้มจนหยดลงใบหน้าซีดเผือดของจองซูยอน
“กรรรรซ์...”
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากควอนยูริ เธอเพียงประคองร่างอีกฝ่ายให้อยู่ในอ้อมกอดตนเองแม้ว่าซูยอนที่เปลี่ยนไปจะพยายามใช้มือปะป่ายร่างกายเธออยู่ทุกวินาที ยูริคว้าข้อมือเล็กพร้อมใช้เข่าข้างซ้ายกดมืออีกข้างของซูยอนไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายดิ้นมากไปกว่านี้
มือที่เคยลูบกลุ่มผมหญิงสาวผู้เป็นที่รักเคยอ่อนโยนยังไง วันนี้ควอนยูริก็ยังแสดงออกอย่างนั้น น้ำตาของผู้หญิงที่หล่อเลี้ยงความรักด้วยการหลอกตัวเองมาตลอดได้หยดลงบนดวงหน้าขาวซีดของอีกฝ่ายซ้ำ ๆ โดยไม่สามารถหยุดได้
“ไม่เป็นไรนะ... ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว... อยู่กับเธอตามที่เคยสัญญาไว้ไงซูยอน...”
“กรรรรรรรรรรซ์...”
จงอินไม่สามารถทนมองภาพตรงหน้าได้อีก เขาเดินออกไปข้างนอกประตูทางลงชั้นหนึ่งก่อนจะแนบหน้าผากลงกับผนังพร้อมหลับตาลง เพียงครู่เดียวชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงอ้อมกอดอุ่น ๆ จากการปลอบโยนของเด็กผู้ชายที่ชื่อโอเซฮุน
คนผิวแทนถอนหายใจพร้อมกุมมืออีกคนที่กำลังกอดเอวเขา เพื่อยืนยันกับตัวเองอีกครั้งว่าโอเซฮุนยังมีตัวตนอยู่กับคิมจงอินตรงนี้ มีตัวตนเพื่อบอกให้เขารู้ว่าต้องทำอะไรให้มากกว่าที่เคย หลังจากที่พวกเราทุกคนได้พบเจอกับความสูญเสียอีกครั้ง ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม
คิมจงอินจะเข้มแข็งให้มากกว่านี้เพื่อปกป้องครอบครัวของเรา
TBC
เหนื่อยเหมือนไปวิ่งเอง โอย เขียนฉากสะพานไปครึ่งนึงคือต้องไปอัดพารา 555555555555555555555555555555 ยาวสะใจไหม ถ้าเจอคำผิดก็โทษเด้อ เขียนเสร็จตีสองครึ่ง 19.4k คำ มึนแรงมาก วิ่งไปขี้ในห้องน้ำแป๊บ
ความคิดเห็น