คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #106 : Chapter 101 :: Dead End (100%)
Chapter 101
Dead End
“นายหลบหน้าฉัน”
คนที่กำลังง่วนอยู่กับเครื่องยนต์หน้ารถถึงกับไปไม่ถูก ทันทีที่ได้ยินเสียงใสของหญิงสาวที่ไม่รู้ว่ามายืนข้างตัวเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ จงอินหันไปสบตากับอีกฝ่ายที่แสดงออกทางสีหน้าว่ากำลังไม่พอใจ ซึ่งคนสูญเสียความทรงจำแต่ไม่ถึงขั้นโง่ก็พอจะเดาออกว่าจองซูยอนกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่
“อิ่มแล้วหรือไง”
“ตั้งนานแล้ว นี่ อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ” หญิงสาวยืนกอดอก คาดโทษชายหนุ่มที่เลือกชะโงกหน้ามองหาคนอื่นที่กำลังเก็บของขึ้นรถมากกว่าการสบตากัน
“อะไรกัน นี่เธอมาเพื่อหาเรื่องฉันเหรอ จะเกินไปแล้วเจ้าหญิง” จงอินพูดกลั้วหัวเราะ พลางยันมือข้างหนึ่งลงกับรถพร้อมเทน้ำเปล่าลงไปในถัง หลังจากรอมาหนึ่งชั่วโมงเพื่อให้เครื่องยนต์เย็นลง
“นายไม่พอใจที่ฉันไม่รับรักก็เลยตีตัวออกห่างล่ะสิ” ซูยอนยิ้มพร้อมก้มลงเล็กน้อยเพื่อมองหน้ามึน ๆ ของอีกคน
“ฉันน่ะนะ” จงอินแค่นหัวเราะ
“ยังจะถามอีกเหรอว่าใคร ทึ่มเอ๊ย” หญิงสาวผลักหัวอีกคนเบา ๆ เธอเห็นว่าอีกฝ่ายเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มพร้อมมองมาด้วยสายตาไม่พอใจที่ถูกเล่นหัว
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม หือ หือ หือ” ชายหนุ่มผิวแทนยีกลุ่มผมสีเข้มของหญิงสาวจนยุ่งเหยิง ซูยอนหัวเราะก่อนจะจับมืออีกคนออกแล้วจัดเผ้าผมให้เข้าที่
“พูดความจริงก็ได้” หญิงสาวถอนหายใจ พลางหันหลังให้รถพร้อมทอดสายตาไปยังถนนเส้นยาวเบื้องหน้า ส่วนจงอินให้เครื่องยนต์ใต้กระโปรงรถเป็นจุดยึดสายตา “ฉันก็แค่รู้สึกไม่ดีเวลานายหันหลังให้น่ะ ขอโทษนะ ฉันนี่เห็นแก่ตัวชะมัด”
ท่ามกลางเสียงบ่นของลู่หาน และบทสนทนาของคนอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นเพราะความจำเป็น ชายหนุ่มผิวแทนรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างเขาและเธอมันเริ่มจะกระอักกระอ่วนเข้าไปทุกทีแล้ว
“คิดมากน่ะ” จงอินไม่สามารถอธิบายได้ว่าเธอกำลังเข้าใจผิด เพราะเหตุผลที่เขาถอยออกมานั้นไม่ใช่เพราะถูกหักอก แต่เป็นเพราะคิมจงอินไม่สามารถหลีกหนีความรู้สึกที่มีต่อโอเซฮุนได้ ไม่ว่าจะเป็นคนเดิม หรือคนใหม่ที่ไม่มีความสามารถและไร้สมอง
นานพอสมควรกว่าชายหนุ่มจะกล้าทำตามหัวใจตัวเอง และมันก็น่าปวดหัวเป็นบ้าเมื่อเขาเดินมาไกลเกินกว่าจะทำอะไรให้มันชัดเจนได้ มือข้างหนึ่งจับซูยอนไว้ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่มืออีกข้างมันก็ไม่อยากปล่อยเซฮุน และพอคิมจงอินตัดสินใจเลือกเด็กผู้ชายคนนั้น เขาจึงไม่มีความกล้าสู้หน้าเธอตรง ๆ เพราะรู้สึกผิด
“ขอโทษถ้าฉันทำให้เธอรู้สึกไม่ดี” ชายหนุ่มพูดความจริงตามที่รู้สึก ซึ่งจองซูยอนก็ไม่ได้เข้าใจยากจนต้องชักสีหน้าและพยายามเอาเรื่องเขา
“เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ใช่ไหม?”
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ คิมจงอินคงรู้สึกดิ่งจนทนให้คำตอบเธอไม่ได้ เขาไม่แน่ใจว่าควรโล่งใจดีหรือเปล่า มันเป็นความรู้สึกที่ต้องตั้งคำถามให้ตัวเองว่า... ถ้าไม่มีโอเซฮุน เขาจะมีโอกาสได้สบายใจอย่างนี้ไหม?
“ฉันอายุตั้งเท่าไหร่ เธอต้องเรียกฉันว่าโอป้าสิ”
“ไม่เอาล่ะ ขนลุก” เธอทำท่าลูบต้นแขนประกอบ ก่อนจะหันไปทางด้านหลังเพื่อดูว่าคนอื่น ๆ จัดการธุระเรียบร้อยแล้วหรือยัง “จงอิน”
“หืม?”
“นายชอบเซฮุนไหม?”
“...”
น้ำเกือบจะล้นออกมาจากถังแต่โชคดีที่ยั้งมือไว้ทัน ชายหนุ่มค่อย ๆ เงยหน้าสบตากับหญิงสาวเจ้าของประโยคที่ทำให้ระบบความคิดในหัวผู้ชายไร้สมองถึงกับนิ่งไป จงอินเงียบ เขาไม่ได้ตอบคำถามเพราะขอดูท่าทีอีกฝ่ายก่อน และสายตากับสีหน้าของหญิงสาวในตอนนี้ ก็คล้ายว่าอยากขอความเห็นมากกว่าจะเป็นคำถามเรื่องความรู้สึกรัก ๆ ใคร่ ๆ
“ถามทำไม”
“ฉันก็แค่อยากรู้ ตอนแรกนายรำคาญน้องจะตาย แต่อยู่ ๆ ก็กลับมาสนิทกันเฉยเลย” เธอเลิกคิ้วพูดตามที่คิด จะผิดไหมถ้าคิมจงอินรู้สึกโล่งใจเพราะกลัวถูกถามว่า ‘นายสองคนน่ะ... มีความสัมพันธ์มากกว่าที่เห็นใช่หรือเปล่า’
ใช่ว่าอยากปิดบัง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเปิดเผย เราต่างเป็นผู้ชายทั้งคู่ และเซฮุนก็บอกว่ามีเพียงไม่กี่คนที่รู้ จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้เขาเคยรู้สึกไม่ดีกับความสัมพันธ์แบบนั้น แต่พอรู้ตัวอีกที เขาก็แคร์โอเซฮุนมากเกินกว่าจะเอาแต่คิดว่าความรักระหว่างผู้ชายด้วยกันมันเป็นเรื่องผิดปกติ ซึ่งถ้าเด็กนั่นพูดออกมาคำเดียวว่าอยากให้คนอื่นรับรู้ล่ะก็... ทำไมคิมจงอินจะไม่กล้า
“อ๋อ เรื่องนั้น”
ชายหนุ่มผิวแทนมองไปยังเด็กตัวผอมที่กำลังนั่งคุยกับชายหนุ่มที่อายุมากที่สุดในกลุ่มของเรา และหัวข้อสนทนาน่าจะเป็นเรื่องอาการบาดเจ็บที่ขาของอี้ฝานซึ่งคาดว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น ซูยอนมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มอยู่ ก่อนดวงตาคู่นั้นจะหันมามองเธอ โดยที่รอยยิ้มยังไม่จางหายไป
“คงเพราะฉันได้เห็นเด็กคนนั้นในแบบที่เธอไม่เคยเห็นล่ะมั้ง?”
บยอนแบคฮยอนไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ ว่าตอนนี้ทุกคนกำลังให้ความสนใจเขากับชานยอลมากกว่ามื้อเย็นที่อยู่ตรงหน้า คนตัวเล็กกลอกตามองไปรอบตัวพลางใช้ส้อมจิ้มทูน่ากระป๋องเข้าปาก ก่อนจะหันไปทางชานยอลที่กำลังกินอย่างสุภาพ และไม่สนใจแววตาเหล่านั้น
“พวกนายทำได้ยังไง? ฉันหมายถึงว่าอะไรที่ทำให้นายสองคนกล้าขนาดนั้นทั้ง ๆ ที่จะหนีไปก็ได้”
“คุณเป็นคนบอกผมเองว่าถ้าคิดหนีก็เหมือนรนหาที่ตาย ผมกับแบคฮยอนก็แค่ห่วงชีวิตอยู่” ชายหนุ่มยิ้ม ขณะสบตากับคนเป็นผู้นำของที่นี่ คนตัวเล็กรู้ว่าคำตอบของปาร์คชานยอลฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด แต่มันก็เป็นการหยุดความสงสัยของอีกฝ่ายจนถามต่อไม่ได้
“อ๊า ไม่มีทางที่นายสองคนจะรอดเพราะมีดสองเล่มและแฟร์สี่อันหรอกน่า ให้ตายเหอะ” บ็อบบี้แทรกขึ้นหลังจากทนฟังเงียบ ๆ อยู่นาน จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากเชื่อว่าสองคนนี้จะเอารถบรรทุกออกมาได้โดยไม่โดนกัดเลย แต่ตอนกลับมาถึงที่พัก เขาและคนอื่น ๆ ก็ช่วยกันเช็กร่างกายทั้งคู่ ก็พบเพียงแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งคงเกิดขึ้นระหว่างการต่อสู้ แต่ไม่ใช่รอยข่วนหรือรอยกัดของผีดิบ
“ที่จริงพวกเราก็แค่ดวงดีน่ะ” นัมแทฮยอนหลุดหัวเราะออกมากับสีหน้าซื่อ ๆ ของคนตัวเล็กที่คงมีแค่คนโง่ที่เชื่อ
“มีเครื่องรางติดตัวหรือไง แบ่งให้ฉันบ้างสิ” ในเมื่อทั้งคู่ไม่อยากพูดถึง แทฮยอนก็ไม่อยากรบเร้าอีก เขาจะบังคับขู่เข็ญก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายมีท่าทีไม่ปลอดภัยกับคนที่นี่เท่านั้น
“กินเสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำซะ ฉันให้คนเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้แล้ว” คนเป็นผู้นำพยักหน้าไปตรงทางเดินขวามือที่สามารถทะลุไปด้านหลังได้ “มันเคยเป็นห้องซาวน่าเก่า ๆ แต่ก็ใช้เป็นห้องแช่น้ำอุ่นแก้เครียดได้อยู่”
ซงมินโฮไม่ใช่คนใจดีนัก โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า แต่ในเมื่อทั้งคู่ซื้อใจเขาด้วยการเสี่ยงตายไปเอารถบรรทุกออกมาโดยไม่มีข้อกังขา เรื่องบริการน้ำอุ่นคงไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร
“ขอบคุณครับ” ชานยอลยิ้ม ก่อนจะมองเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ถูกวางไว้ตรงหน้า
“ที่นี่ไม่มีร้านเสื้อผ้าให้ช็อป เพราะงั้นทนใส่ของฉันไปก่อนแล้วกัน” มินโฮว่า ก่อนจะมองไปทางแบคฮยอน “ส่วนนายคงใส่ของไอ้บ็อบบี้ได้ มีปัญหาอะไรไหม?”
คนตัวเล็กส่ายศีรษะ ท่ามกลางเสียงช้อนส้อมที่กระทบกับกระป๋องอาหาร ซงมินโฮจึงพยักหน้าเพื่อบอกให้ทั้งคู่ไปจัดการเรื่องส่วนตัวแทนที่จะนั่งตอบคำถามพวกเขา วันนี้สองพี่น้องท้องชนกันควรได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เสียที
ไม่มีที่นอน ผ้าห่ม หรือหมอนนุ่ม ๆ สำหรับค่ำคืนนี้ รถทั้งสามคันขับเข้ามาจอดในปั๊มน้ำมันแถบชานเมือง ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกตัวกินคนยึดพื้นที่ แต่พวกเขาแยกย้ายกันจัดการพวกมันจนสามารถใช้มินิมาร์ทในปั๊มเป็นพื้นที่ค้างแรมชั่วคราวได้
ยูริและซูยอนนอนในรถบ้าน ส่วนคนที่เหลือเลือกหามุมส่วนตัวในมินิมาร์ทเก่า ๆ ซึ่งเหลือแต่ของไร้ประโยชน์วางเรียงอยู่บนชั้น ไม่มีอะไรที่สามารถหยิบจับมากินได้ ถ้าไม่นับขนมปังขึ้นราและซากขนมขบเคี้ยวที่ถูกเหยียบจนละเอียดบนพื้น
ทุกคนพยายามประหยัดโดยการจิบน้ำที่มีอยู่ ไม่มีใครได้กินมื้อเย็นเพราะต้องเผื่อไว้ในวันถัดไป ตราบใดที่ยังไม่ได้เสบียงเพิ่ม ทุกคนก็คงกินกันอย่างสบายใจไม่ได้ นี่คือวิกฤติที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่
ท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน คิมจงอินไม่สามารถนับได้เลยว่านอนพลิกตัวไปแล้วกี่ครั้ง ชายหนุ่มผิวแทนไม่ใช่คนรักสบายจนนอนไม่หลับเพราะรู้สึกแปลกที่ แต่เขาก็ไม่สามารถข่มตาลงได้ทั้งที่ในหัวมีเรื่องให้คิดอยู่เต็มไปหมด
เมื่อกลางวันพวกเราประชุมกันอีกครั้ง และลงมติว่าจะเดินทางไปเรื่อย ๆ เพื่อหาเสบียงกักตุนไว้ก่อน เพราะการไปอุลซันคงเป็นเรื่องยากเกินไป ไม่มีใครอยากเสี่ยงไปในที่ ๆ ไม่รู้ว่ามีความหวังอยู่จริงหรือไม่
พรุ่งนี้จะเป็นยังไง หนทางข้างหน้าจะมีเสบียงหลงเหลือพอให้พวกเราหรือไม่? คิมจงอินคนเดิมจะทำยังไงถ้าเจอปัญหานี้ ให้ตายเถอะว่ะ เขารู้สึกรำคาญตัวเองเป็นบ้าที่ทำได้แค่นอนก่ายท่อนแขนลงบนหน้าผากอย่างหมาขี้แพ้คิดไม่ตก
จงอินมองไปยังเด็กหนุ่มตัวผอมที่นอนอยู่ฝั่งตรงข้าม ค่ำคืนนี้เราไม่ได้นอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันอย่างที่เคย อยู่ ๆ ก็นึกไปถึงเหตุการณ์ในป่าวันนั้นที่เห็นว่าเจ้าเด็กนั่นเลือดกำเดาไหลออกมา จนอดคิดไม่ได้ว่าทุกวันนี้อาการเซฮุนดีขึ้นบ้างหรือเปล่า และจะทรุดตัวลงไปอีกไหม
เราทุกคนต่างถูกความเหนื่อยล้าเล่นงาน เขายังคงมองเจ้าของร่างผอมสูงที่ขดตัวนอนเป็นดักแด้ และคนอื่นก็เช่นกัน พวกเขามีเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ตัวที่ยัดใส่กระเป๋ามาด้วย แม้จะช่วยให้ความอบอุ่นได้ไม่ดีเท่าผ้าห่ม แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
ชายหนุ่มผิวแทนถอนหายใจแผ่วเบา พลางยันตัวลุกขึ้นนั่งท่ามกลางความเงียบก่อนจะเอาเสื้อกันหนาวตนเองห่มให้เด็กหนุ่มตัวผอม ทุกอย่างเขาทำมันลงไปอย่างเบามือและเกลี่ยปอยผมออกจากดวงหน้าขาวออกโดยไม่ให้คนหลับต้องตื่นขึ้นมาตั้งคำถาม
ตัดสินใจเดินออกไปด้านนอกเพื่อหาที่สูบบุหรี่สักหน่อย แต่สิ่งแรกที่ได้ยินเมื่อดันประตูกระจกออกไปก็คือเสียงบทสนทนาซึ่งน่าจะดังมาจากเครื่องเล่นอะไรบางอย่าง คิ้วหนาขมวดมุ่นพลางคาบมวนบุหรี่ออกมาจากซองขณะจับต้นเสียงของต้นเหตุ เพียงครู่เดียวก็รู้ว่ามันมาจากบนหลังคารถบ้าน ซึ่งมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น
“กูเกือบลั่นยิงหัวมึงแล้ว” หวงจื่อเทาว่าขณะมองอีกคนที่ยืนอยู่ด้านล่าง
“โชคดีที่แค่เกือบ” จงอินจุดไฟแช็กพลางอัดควันเข้าปอด ในคำแรกมันช่วยให้เขารู้สึกเบาหวิวขึ้นมาหน่อย “ขึ้นไปได้ไหม?”
“ถ้าจำไม่ผิด อีกเป็นชั่วโมงถึงจะเป็นคิวเพื่อนรักของมึง”
“เออ ช่างหัวมันเถอะ กูไม่ได้มานั่งเฝ้ายาม” เด็กหนุ่มชาวจีนไม่ได้ว่าอะไรอีก เขาจึงถือวิสาสะปีนขึ้นไปบนหลังคารถบ้านโดยให้เกิดเสียงน้อยที่สุด เพราะมันคงไม่ดีสักเท่าไหร่ถ้าควอนยูริจะตื่นมาเฉ่งหัวเขาเพราะถูกปลุกขึ้นกลางดึก “เสือกได้ไหมว่ามึงกำลังดูอะไรอยู่”
คนถูกถามไม่ได้ตอบ เทาเอาแต่จดจ้องสายตาอยู่กับคลิปวิดีโอในกล้องดิจิตอล ก่อนจะยื่นให้เขาดู “ผู้หญิงคนนี้ชื่ออึนจี”
“...”
“จองอึนจี”
“อ้อ... อืม” ชายหนุ่มผิวแทนขมวดคิ้วพลางอัดควันเข้าปอดอีกครั้ง
จองอึนจี ใช่ เขาเคยได้ยินชื่อนี้อยู่หลายครั้ง เธอคือเจ้าของหลุมฝังศพที่อยู่ข้างแม่น้ำในอุทยาน ซึ่งเขาก็รู้สึกคุ้นหน้าเธอเป็นอย่างดี
“มึงอาจจะจำไม่ได้ แต่ว่าช่วงที่ยัยนี่ยังอยู่ อุทยานโคตรมีสีสันเลย” เทายิ้มหลังจากกดหยุดคลิปเป็นภาพนิ่งไว้ “ต่อให้กูจะชอบบอกว่ารำคาญก็เถอะ”
ตั้งแต่คิมจงอินได้กลับไปอยู่อุทยานอีกครั้ง ก็มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เขาจำเรื่องเก่า ๆ ได้โดยไม่ต้องพยายามเหมือนช่วงที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาพบความจริง มันเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่ต้องค่อย ๆ ประกอบกันทีละชิ้น
“เด็กคนนี้ก็ด้วย ซูโฮ”
รอยยิ้มสดใสของเด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จองอึนจี ใช่ เขาเคยเห็น และภาพที่กำลังฉายอยู่บนจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ คงกำลังทำร้ายคนที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยความทรงจำได้เป็นอย่างดี
“เด็กสองคนนี้ยังไม่ไปไหนหรอก”
“...”
“เขายังอยู่กับมึงนั่นแหละ อย่าเศร้าไปกว่านี้” ชายหนุ่มผิวแทนทุบหน้าอกข้างซ้ายของตนเป็นท่าประกอบ
ในมุมมองที่หวงจื่อเทามีต่อคิมจงอินตอนนี้ เขาไม่คิดว่าไอ้เวรนี่จะเป็นคนปลอบใจเก่งสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะกับเรื่องที่เขารู้ดีแก่ใจว่าต่อให้พูดยังไงก็ไม่มีวันดีขึ้นได้เช่นความเป็นความตาย แต่ถ้าให้มองคิมจงอินในแบบชายหนุ่มที่น่านับถือและเคยเป็นผู้นำที่ดี และวันหนึ่งได้สูญเสียทุกอย่างไปจนจำอะไรไม่ได้ แต่ไอ้หมอนี่ก็พยายามทำให้มันดีขึ้น ผิดกับเขาที่เอาแต่จมดิ่งอยู่กับตัวเอง
“เป็นเพราะเรารอดมานานเกินไป ความสูญเสียมันเลยเกิดขึ้นมากเรื่อย ๆ” จงอินทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้า กับเรื่องที่ทุกคนล้วนรู้แก่ใจดีว่ายังไงมันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเป็นใคร ไม่ตัวเขา ก็คนรอบข้าง
“กูเคยคิดว่าถ้าเราทุกคนตายพร้อมกันทั้งหมดมันก็คงดี”
“มึงไม่ได้อยากคิดแบบนั้นหรอก มึงก็แค่เหนื่อย”
รอยยิ้มของหวงจื่อเทานั้นดูสิ้นหวัง จงอินมองสองมือนั้นที่กำลังจัดแจงเก็บกล้องดิจิตอลเข้ากระเป๋าอย่างทะนุถนอมและหยิบกล้องไรเฟิลขึ้นมาตั้งระดับหัวไหล่ พร้อมเพ่งสายตามองเข้าไปในลำกล้อง
“มึงพูดถูก”
ผีดิบที่อยู่ห่างจากจากตรงนี้ราว ๆ สี่สิบเมตรกำลังเดินไปบนถนนอย่างไร้จุดหมาย อ้าปากส่งเสียงครางโขลกในลำคออย่างไม่รู้จักเหนื่อย เด็กหนุ่มมองมันผ่านลำกล้องอย่างใจเย็น หากแต่ไม่กดเหนี่ยวไกดับชีวิตมันเป็นครั้งที่สอง
“เพราะการตายมีแต่คนโชคร้ายกับคนใจกล้าเท่านั้นแหละที่จะได้รับมัน”
แบคฮยอนคิดว่าเราคงสนิทกันมากขึ้นหลังจากผ่านวิกฤติในถนนนรกนั่นมาได้ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ เขากลับรู้สึกกระอักกระอ่วนอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าต้องอาบน้ำในอ่างเดียวกับชานยอลเพราะซงมินโฮไม่ได้ใจดีต้มน้ำร้อนให้สองรอบ
คนตัวเล็กยืนกอดผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าชุดใหม่ไว้แนบอก ขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกำลังตรงไปหยุดอยู่หน้าอ่างอาบน้ำซึ่งเคยเป็นอดีตห้องซาวน่า ซึ่งปัจจุบันมันถูกดัดแปลงเป็นห้องอาบน้ำสำหรับชายหนุ่มที่ออกไปหาเสบียงมาเหนื่อย ๆ และต้องการผ่อนคลายในหน้าหนาวด้วยน้ำอุ่น
“ตามสบายนะ ห้องนี้มันเก็บเสียง”
“...” แบคฮยอนไม่ใช่คนที่จะพูดคำหยาบ แต่ตอนนี้เขาอยากจะยืมคำที่ลู่หานพูดบ่อย ๆ มาใช้กับบ็อบบี้สักครั้ง ให้ตายเถอะ หมอนั่นเอาแต่หัวเราะตาหยี ก่อนจะเดินออกไปพร้อมถังน้ำ หลังจากจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
“เราจะหันหลังถอดเสื้อผ้าและถอยเข้าไปในอ่าง ตกลงไหมครับ?” ชานยอลคงรู้ว่าเด็กอย่างเขากำลังจะสติแตก ถึงได้เสนอไอเดียนั้น ซึ่งมันเป็นเรื่องดีมาก ๆ
คนตัวเล็กพยักหน้าพร้อมหันหลังให้ แต่ยังไม่ทันถอดเสื้อออก เขาก็แอบชำเลืองไปด้านหลัง ก่อนจะรีบหันกลับเข้าหาผนังเมื่อเห็นว่าชานยอลถอดเสื้อออกแล้วและกำลังจะถอดกางเกงลง
บ้าเอ๊ย... เขาคุยกับชานยอลได้แล้วนะ คุยแบบไม่ต้องพยายามคิดว่าต้องพูดอะไรถึงจะไม่ดูโง่เหมือนที่เมื่อก่อนเคยทำ ก็แค่อาบน้ำด้วยกันเอง แถมยังหันหลังให้กันด้วย ไม่เห็นต้องอายอะไร
เด็กน้อยวางทุกอย่างที่เคยใส่ลงข้างชุดใหม่แล้วค่อย ๆ ก้าวถอยหลัง มือก็คลำหาอ่างอาบน้ำที่ถูกทำด้วยปูนซีเมนต์ แบคฮยอนกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ตกดึกอากาศก็หนาวจะแย่ แต่เขากลับเหงื่อออกเหมือนไปวิ่งรอบเกาหลีใต้มา
“แบคฮยอน”
“ห... หะ?”
“คุณยังไม่ลงมาเหรอครับ?”
กำลังจะลงไปแล้วนี่ไง... ทำไมต้องทักด้วย แบคฮยอนกัดริมฝีปากล่างพร้อมถอยหลังปีนเข้าไปในอ่าง เขารู้สึกสมเพชตัวเองเหลือเกินที่ต้องรู้สึกแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่เราเคยผ่านช่วงเวลาที่ไม่ได้อาบน้ำหลายวันมาแล้วไม่ใช่หรือไง ความจริงคืนนี้จะกินข้าวแล้วเข้านอนก็ได้ แต่ --
ไวเท่าความคิด พระเจ้าคง ได้ยินเด็กโง่กำลังบ่นกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ใช่ไหม ท่านคงรำคาญเต็มแก่ เขาถึงหงายหลังตกลงไปในอ่างทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครผลัก เด็กน้อยรีบพุ่งออกมาเหนือผืนน้ำ ปาดมือกับใบหน้าพร้อมสำลักออกมาอย่างห้ามไม่ได้
พอลืมตาขึ้นก็เหมือนจะเป็นลมจับ เพียงเพราะตอนนี้ใบหน้าของคนที่พยายามหลบสายตามาตลอดอยู่ใกล้เพียงช่วงหายใจ อีกทั้งสองมือใหญ่ที่ประคองไหล่ของเขาไว้และจ้องมองมาด้วยความเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้าง?”
“...”
บยอนแบคฮยอนไม่รู้ว่าจะต้องตอบแบบไหนถึงจะช่วยให้เขาดูเป็นปกติมากที่สุด คนตัวเล็กป้องปากสำลักน้ำที่ยังคงคั่งค้างอยู่ โดยได้รับความช่วยเหลือจากชายหนุ่มตรงหน้า ซึ่งกำลังเสยผมให้อย่างเบามือ
“ดูเหมือนว่าวิธีของผมจะไม่เข้าท่า” เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของรอยยิ้มบาง ๆ ที่มองมาราวกับว่าเอ็นดูเขายังไงอย่างนั้น แบคฮยอนนั่งนิ่งในอ่าง พลางกระแอมไอกลบความขลาดอายของตนเองในตอนนี้
“อ่างเล็กเป็นบ้า”
“ไว้พรุ่งนี้เช้าผมจะคอมเพลนมินโฮ ถ้าจำไม่ผิด... เหมือนเขาจะเคยเล่าให้ผมฟังว่าก่อนหน้านี้เคยทำงานเป็นกรรมกร” ตอนนี้ชานยอลดูสบายมากเกินกว่าจะรู้สึกอึดอัดเวลาอยู่ด้วยกันในที่แคบ ๆ แบบนี้
“ผมจะหันหลัง” คนถูกไล่ต้อนด้วยสายตายิ้มเจื่อน ก่อนจะค่อย ๆ หมุนตัวแล้วถอนหายใจหนัก ๆ
ไม่มีใครพูดอะไรอีก มีเพียงเสียงกวักน้ำและเสียงกระแอมไอทุ้มต่ำของคนตัวสูงเท่านั้นที่ทำลายความเงียบในห้องซาวน่า เราอยู่ใต้น้ำอุ่น ๆ ที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและอึดอัดไปพร้อม ๆ กัน แม้แบคฮยอนจะไม่อยากรู้สึกแบบนี้ แต่เขาก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะทำตัวสบาย ๆ แล้วหันไปชวนอีกฝ่ายคุย ทั้ง ๆ ที่ตอนกลางวันเราเพิ่ง...
“ช่วยถูหลังให้ผมหน่อยได้ไหมครับ?”
จูบกัน...
“อะ -- อ้อ ได้สิได้”
แบคฮยอนเสยผมที่เปียกชุ่มพร้อมหันหลังไป แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นไม่ใช่แผ่นหลังกว้างที่ต้องการให้ถู แต่กลับเป็นท่อนบนเปลือยเปล่าและดวงตาคู่นั้นซึ่งกำลังมองเขา
“...”
“มองหน้าคุณแล้วสบายตากว่ามองผนังเสียอีก”
เขาต้องหูฝาดแน่ ๆ ที่ได้ยินคำพูดแบบนั้นหลุดออกมาจากปากผู้ชายชื่อปาร์คชานยอล คนตัวเล็กปั้นหน้านิ่งสบตากับอีกฝ่ายอย่างหวาด ๆ ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อคนตัวสูงยื่นฟองน้ำขัดผิวให้ พร้อมเลิกคิ้วถามอย่างหน้าตาเฉยราวกับสงสัยว่าเขาเป็นอะไร
“เขินที่ต้องเปลือยเวลาอยู่กับผมเหรอครับ”
“คิดเอาเองสิ คุณฉลาดอยู่แล้วนี่” คนอายุน้อยกว่าบ่นพึมพำ พร้อมทำให้ฟองน้ำชุ่ม ขณะมองอีกคนที่กำลังหันหลังให้กับเขา
“ผมเหนื่อยที่ใช้สมองมาทั้งวัน เพราะงั้นมันคงดีนะครับถ้าคุณพูดมันทั้ง ๆ ที่ผมอาจจะรู้อยู่แล้ว”
“คุณกำลังกวนประสาทผม” แบคฮยอนคาดโทษเจ้าของแผ่นหลังกว้าง แล้วถูฟองน้ำแรง ๆ
“เปลี่ยนเป็นคำว่าชวนคุยน่าจะรื่นหูกว่านะ” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเบา ๆ
“คุยเรื่องคุณจวนตัวจนเกือบโดนรุมกินยังเข้าท่ากว่า” เด็กที่กำลังจะแพ้เม้มปากพลางจับฟองน้ำถูหลังให้อีกคนจนเกิดรอยแดง
“ก็ได้ครับ”
แบคฮยอนขมวดคิ้วเพราะอีกฝ่ายยอมเปลี่ยนเรื่องได้ง่าย ๆ จนน่าประหลาดใจ ชายหนุ่มพลิกตัวหันเข้าหาคนตัวเล็กที่กำลังฉายแววตาสงสัย เขาจึงยิ้มบาง ๆ แล้วแย่งฟองน้ำมา และไม่ลืมที่จะจับเด็กน้อยพลิกหันหลัง
“ถ้าตอนนั้นผมตายจริง ๆ คุณจะรู้สึกเสียใจบ้างหรือเปล่าครับ แบคฮยอน?”
“...”
เหมือนยื่นปืนให้อีกฝ่ายเหนี่ยวไกใส่หัวตัวเองไม่มีผิด คนตัวเล็กนั่งนิ่งและพยายามให้สมองกลวง ๆ ของตนเองคิดว่าจะตอบแบบไหนเพื่อช่วยให้รอดพ้นจากคำถามแบบนี้ ชานยอลไม่ได้เร่งเร้า ผู้ชายตัวโตเพียงถูฟองน้ำไปตามแผ่นหลังของเขาอย่างเบามือ ก่อนจะลากมาจนถึงหัวไหล่
“ถ้าชีวิตคุณไม่มีคนอย่างผมอยู่ มันจะดีหรือเปล่า?”
คำถามนี้กระซิบอยู่ข้างหู จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของคนที่อยู่ด้านหลัง แบคฮยอนนั่งห่อไหล่โดยไม่รู้ตัว ทั้ง ๆ ที่ผ่านไปไม่ถึงนาทีเลยด้วยซ้ำ แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเล็กลงเรื่อย ๆ
ที่จริงคำตอบมันง่ายนิดเดียวโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดทบทวนเลยด้วยซ้ำ ปาร์คชานยอลก็แค่อยากได้ยินจากปากเขา อยากเห็นบยอนแบคฮยอนจวนตัว หน้าแดง หรือพูดติดอ่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ และสุดท้ายก็จบลงที่รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าผู้ชายคนนี้ เหมือนกับตอนนั้น ที่อีกฝ่ายทำให้เขาตกหลุมรัก
ไม่มีทางที่แบคฮยอนจะมีความสุข ถ้าหากชานยอลพลาดท่าถูกกัดตาย หรือแม้แต่ตอนที่คิดว่าอีกฝ่ายคิดจะหนีไป ตอนนั้นเขาทั้งเจ็บใจ ผิดหวัง และไม่อยากให้เป็นความจริง
การพยายามเมินเฉย ไม่มองหน้า ไม่สนใจ และแข็งข้อใส่เท่าที่จะทำได้ตลอดเวลาที่อยู่อุทยาน มันเป็นแค่ฉาก ๆ หนึ่งที่อยากให้ชานยอลเห็นว่าเขาไม่ใช่เด็กโง่ ๆ คนนั้นที่ทั้งอ่อนแอ ไร้ประโยชน์ และไม่มีใครอยากให้ความรัก
แต่แล้วยังไงล่ะ สุดท้ายก็มองหาแต่ปาร์คชานยอลอยู่ดี
“แบคฮยอน”
ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะรู้สึกว่าชื่อตนเองมันพิเศษ แต่พอหลุดออกมาจากปากผู้ชายคนนี้ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า มันก็ทำให้เด็กโง่ ๆ อย่างเขาโอนอ่อนให้กับความรู้สึกเดิม ๆ อีกครั้ง
“ถ้าคุณตาย ผมจะบอกให้พี่แบคโฮฆ่าคุณอีกรอบ”
คนตัวสูงอมยิ้ม พลางมองเสี้ยวหน้าของเด็กน้อยที่ค่อย ๆ หันมาพร้อมสายตาซึ่งเต็มไปด้วยความประหม่า ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบทำงาน อาจจะเพื่อให้เราใช้เวลาทบทวนเรื่องความรู้สึกซึ่งต่างคนต่างก็มีคำตอบให้ตนเองอยู่แล้ว
ชายหนุ่มปล่อยฟองน้ำลง และเปลี่ยนเป็นเชยคางมนให้เงยขึ้นเล็กน้อย แบคฮยอนไม่ได้ขัดขืนและแสดงท่าทีว่าขลาดอาย เขาเพียงแค่หลับตาอย่างช้า ๆ เมื่อผู้ชายเข้าใจยากเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะเผยอปากรับจูบที่สองของวัน เพื่อทำให้น้ำในอ่างเปลี่ยนจากความอุ่นเป็นความร้อนผ่าวแทน
ในโลกของบยอนแบคฮยอน ปาร์คชานยอลช่างตัวใหญ่เหลือเกิน
70%
เสียงน้ำไหลไปตามลำธารและเสียงแมลงไม่ใช่ต้นเหตุของการทำให้นอนไม่หลับ อี้ชิงยกแขนขึ้นก่ายหน้าผากพลางหันไปมองคนเจ็บที่นอนตัวสั่นเทาเพราะถูกความเหน็บหนาวเล่นงานกลางดึก คยองซูกำลังไข้ขึ้นและปัญหาในตอนนี้คือเราไม่มีผ้าห่มหนา ๆ สักผืนที่พอจะให้ความอบอุ่นได้
ที่จริง... ตอนนี้ไม่มีใครหลับลงเลยแม้ว่าท้องฟ้าจะถูกความมืดกลืนกินมาแล้วหลายชั่วโมง แม้จะไม่มีนาฬิกาให้ดูเวลา แต่คาดว่าอีกไม่นานดวงอาทิตย์ก็คงฉายความสว่างทั่วท้องฟ้า แต่มันก็คงอีกนานโขกว่าจะถึงตอนนั้น สำหรับคนที่กำลังเผชิญความหนาวเหน็บอย่างทรมานในทุกวินาที
พวกเราจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง?
นั่นคือคำถามที่อี้ชิงคิดไม่ตก
“ทำอะไร...”
“อยู่เฉย ๆ แล้วก็หลับตาก็พอ”
อี้ชิงหันไปทางชายวัยกลางคนที่ให้ความอบอุ่นกับเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยอ้อมกอด ซีวอนดูไม่ได้อยากทำมันนัก แต่ถ้าให้เลือกระหว่างปล่อยให้คยองซูหนาวตายกับเลือกลับฝีปากกับอีกฝ่าย อี้ชิงเชื่อว่าชายคนนั้นคงเลือกข้อหลังอย่างไม่มีข้อกังขา
ซีวอนหลับตาลงเพื่อเลี่ยงการตั้งคำถามทางสายตาของบุรุษพยาบาลหนุ่มหรือเจ้าหน้าที่อุทยานซึ่งต่างก็ยังไม่หลับทั้งคู่ และเขาเองก็เช่นกัน... ชเวซีวอนไม่สามารถข่มตานอนได้แม้จะลำดับความสำคัญในตอนรุ่งสางไว้แล้วว่าควรทำอะไรบ้าง
เด็กหนุ่มในอ้อมกอดมีขนาดตัวพอ ๆ กับลูกชายของเขาเลยทีเดียว มันทั้งน่าใจหายและรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดในคราวเดียวกันเมื่อชเวซีวอนอยากหลอกตัวเองในช่วงเวลาสั้น ๆ ว่าเด็กคนนี้คือซูโฮ
เขาคิดถึงลูกชายเหลือเกิน...
“จงแด – เรา – ก่อไฟ – ไม่ได้จริง ๆ เหรอ?” อี้ชิงถามอีกครั้ง ตอนนี้เราทุกคนต่างก็หนาวจนมือไม้ชาไปหมด แต่เจ้าหน้าที่หนุ่มกลับปฏิเสธการก่อกองไฟแล้วบอกทุกคนรูดซิปเสื้อผ้าให้มิดชิด เพราะในป่าชื้นตอนกลางคืนนั้นเต็มไปด้วยยุงจึงเสี่ยงต่อการเป็นมาลาเรีย ซึ่งอี้ชิงเข้าใจเหตุผลนี้ดี
“ไม่ได้หรอก”
“แค่กอง – เล็ก ๆ ให้คยองซู – อุ่น” อี้ชิงพยายามอธิบายพร้อมผายมือไปยังเด็กหนุ่มที่ยังคงนอนสั่นเทาในอ้อมกอดของชายวัยกลางคน ซึ่งจงแดก็หันไปมองอย่างเห็นใจ แต่กลับไม่ตอบตกลงในข้อเสนอนี้
“ผมเชื่อว่ากองไฟไม่ได้ช่วยทำให้เรารอดไปจากคืนนี้” เจ้าหน้าที่หนุ่มว่าเสียงเรียบ แม้ใจเขาจะอยากทำสักแค่ไหน แต่การจุดไฟมันก็เป็นการหลอกล่อให้พวกผีดิบเข้ามาใกล้พวกเรามากขึ้น จงแดถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะหันไปทางป่าไม้ทึบซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ “คุณจินตนาการไม่ออกหรอกว่าฝั่งนั้นมีตัวอะไรที่เป็นภัยต่อเราบ้าง”
“สัตว์ – กลัวไฟ – ไม่ใช่ – เหรอ?”
“พวกมันกลัวไฟป่า อี้ชิง” เจ้าหน้าที่หนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “แต่ช้างป่าจะวิ่งเข้าหากองไฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ถ้าไม่อยากวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงกลางดึก ผมว่าการอดทนอยู่กับความหนาวคงดีกว่าเป็นไหน ๆ”
“...” อี้ชิงเงียบ เขาพยายามทำความเข้าใจกับทุกประโยคของจงแดแล้วก็ได้แต่ยอมรับมันอย่างไม่เต็มใจนัก
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ต่างคนต่างมีมุมเป็นของตัวเองและจงแดเลือกถือหน้าไม้เฝ้ายามให้ ซีวอนควรพักผ่อนมากที่สุดเพราะเป็นเพียงคนเดียวที่พึ่งพาได้ ในขณะที่อี้ชิงขอเพียงงีบในช่วงเวลาสั้น ๆ เพื่อให้ร่างกายพร้อมในการเอาตัวรอดในวันรุ่งขึ้น
จิตใจของจงแดเป็นสีเดียวกับท้องฟ้าและป่ามืด ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวที่แต่งแต้มสีสันให้กับโลกใบนี้ พลางคิดไปว่าบางทีมันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้มีโอกาสมองมัน... ในช่วงวินาทีสั้น ๆ ที่คิมจงแดถามตนเองว่าจะสู้จนถึงวินาทีสุดท้ายหรือตายไปอย่างไร้ค่าดี?
“อะ!”
“...”
บรรยากาศกระอักกระอ่วนเริ่มต้นตั้งแต่เช้า แบคฮยอนยืนนิ่งพลางเงยหน้ามองคนตัวสูงกึ่งคาดโทษที่อยู่ ๆ ก็เข้ามารูดซิบเสื้อตัวนอกให้จนถึงคอ อีกทั้งยังใส่ถุงมือให้จนเหมือนว่าเขาเป็นเด็กอนุบาลที่ยังจัดการเรื่องส่วนตัวไม่ได้
“เราไม่รู้ว่าวันนี้ต้องเจออะไรบ้าง เพราะฉะนั้นเตรียมตัวไว้ให้พร้อมจะดีที่สุดครับ”
ตื่นมาก็สวมบทพ่อเลย... แบคฮยอนได้แต่ยืนนิ่งมองคนที่แสดงความใส่ใจปนเผด็จการ ซึ่งกำลังก้มลงไปดึงขากางเกงของเขาขึ้นพร้อมยัดมีดพกเล่มเล็กขนาดพกพาเข้าไปจนต้องเลิกคิ้วมอง
“คุณไปเอามาจากไหน?”
“ไม่สำคัญหรอกครับ ที่ควรรู้ก็คือถ้าถึงเวลาจวนตัวมันจะช่วยต่อชีวิตให้คุณได้” ชานยอลยิ้มพร้อมจัดแจงเสื้อผ้าให้คนตัวเล็ก
เนื่องจากบ็อบบี้มาเคาะประตูปลุกเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว พร้อมบอกว่าวันนี้เราทั้งคู่มีภารกิจต้องออกไปทำ และมันก่อให้เกิดคำถามในใจแบคฮยอนว่าความดีที่สร้างไปเมื่อวานมันถูกหักลบไปด้วยการได้อาบน้ำอุ่น ๆ ในอ่างแล้วหรือ?
“วันนี้เราต้องเจอกับอะไรอีกนะ...”
“ใจไม่สู้แล้วเหรอครับ?” เด็กน้อยขมวดคิ้วช้อนตามองเจ้าของคำถามที่กำลังยิ้มบาง ๆ ขณะมองเขา
“ผมเปล่าหมายความอย่างนั้นสักหน่อย” ทั้งคู่สบตากัน ก่อนที่บยอนแบคฮยอนจะรวบรวมความกล้าเพื่อจัดผ้าพันคอสีดำให้อีกคน “แล้วถ้าสมมติเป็นอย่างนั้นจริง คุณจะบอกให้ผมรออยู่ที่นี่เหรอ”
“เปล่าครับ”
“...”
“ยังไงเราก็ต้องอยู่ด้วยกัน แต่ถ้าเกิดอยู่ในสถานการณ์บังคับ ผมจะยอมให้คุณรออยู่ข้างหลังแทนก็ได้”
“ทีเมื่อวานยังทำท่าเหมือนไม่อยากให้ผมไปด้วยอยู่เลย”
“นั่นก็ก่อนที่เราจะเข้าใจกันมากขึ้นนี่ครับ”
“...”
คำพูดของชานยอลทำเอาเด็กน้อยที่พยายามใช้ความกล้ามาตลอดถึงกับนิ่งไป แบคฮยอนไม่น่าพูดมากเลยให้ตาย เขาควรเออออไปตามที่อีกฝ่ายพูดมากกว่าหาเรื่องให้เขินแต่เช้า
“ไปกันเถอะครับ”
แบคฮยอนพยักหน้าแล้วปล่อยให้คนตัวสูงเดินไปก่อน ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกอุ่นใจเมื่อเห็นว่าชานยอลนำอยู่ข้างหน้าหนึ่งก้าวส่วนเขาตามอยู่ข้างหลัง ได้เห็นผู้ชายคนนี้หันมาแสดงออกทางสายตา ไม่ว่าจะเป็นเพราะความเป็นห่วงเป็นใย หรือความไว้ใจซึ่งเมื่อก่อนอีกฝ่ายไม่เคยมีให้เด็กที่เคยเอาตัวไม่รอดอย่างเขา
ด้านนอกไม่ได้ครึกครื้นเหมือนเมื่อวาน ไม่มีกลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดดำพร้อมอาวุธครบมือ ไม่มีการเตรียมตัวอย่างขะมักเขม้นเพื่อออกไปต่อสู้กับโลกภายนอก คนตัวเล็กรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยเมื่อพบรถเก๋งหนึ่งคันกับบ็อบบี้ที่กำลังเช็กเครื่องยนต์อยู่ และมินโฮกับแทฮยอนซึ่งกำลังตรงมาทางนี้
“โทษทีที่ให้ไอ้บ็อบบี้ไปปลุก เมื่อคืนหลับสบายดีนะ?” มินโฮล้วงกระเป๋ากางเกง พลางมองรอยยิ้มตามมารยาทของปาร์คชานยอลกับสีหน้าซื่อ ๆ ของน้องชายท้องชนกัน
เขาเห็นว่าสายตาของปาร์คชานยอลค่อย ๆ กวาดมองไปรอบตัวราวกับกำลังเก็บรายละเอียดและเรียบเรียงความคิดว่ากำลังจะเจอกับอะไร ซึ่งมันทำให้ซงมินโฮหลุดยิ้มออกมากับนิสัยระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลาของผู้ชายคนนี้
“วันนี้เราต้องใช้หนี้อีกเหรอ”
“ทำไม ไม่อยากทำแล้วหรือไง?” แทฮยอนมองคนตัวเล็กด้วยความเอ็นดู ถ้าเทียบพวกไซส์มินิโดยไม่นับไอ้บ็อบบี้แล้ว ก็มีเจ้าเด็กตาใสนี่แหละที่รอดมาได้ด้วยฝีมือตนเอง
“เปล่า ผมก็แค่ถามเพราะอยากรู้ว่าเราต้องทำอะไร ก็แค่นั้นเอง”
“กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ ชานยอล?” มินโฮสบตากับอีกฝ่ายอย่างหยั่งเชิง ซึ่งคนถูกถามนิ่งไปเพียงเสี้ยววิก่อนแววตาคู่นั้นจะกลับสู่ปกติ
“ผมกำลังคิดว่าวันนี้ต้องขับรถเองหรือว่าจะมีคนขับให้”
มินโฮหัวเราะกับคำตอบของอีกฝ่าย “มีแค่ทางเดียวที่นายจะได้นั่งอย่างสบายใจเฉิบก็คือตอนออกไปหาเสบียงข้างนอกพร้อมพวกเรา กับตอนถูกมัดไว้อย่างนี้” คนเป็นผู้นำกลุ่มเอามือทั้งสองข้างมาประกบกัน
“ถ้าอย่างนั้นมันคงจะดีกว่านะครับถ้าผมได้ขับเอง คุณคิดอย่างนั้นหรือเปล่ามินโฮ?” ชานยอลยิ้ม บทสนทนาหยั่งเชิงแปลก ๆ นี้แบคฮยอนไม่เข้าใจเลย ทำไมซงมินโฮทำท่าเหมือนว่าเมื่อวานไม่เคยมีเรื่องราวดี ๆ เกิดขึ้น ถึงได้พูดจาแปลก ๆ และพร้อมจะถีบเขาและชานยอลออกไปหาเสบียงอีก
“รู้หน้าที่ก็ดี” มินโฮยิ้มมุมปาก พร้อมยื่นมือออกไปด้านข้างเพื่อรับกระเป๋าเป้หนึ่งใบจากแทฮยอน “เอาไป”
“...” ชานยอลขมวดคิ้วกับความหนักในเป้ซึ่งตามความน่าจะเป็นแล้วมันควรเบาหวิวมากกว่านี้เป็นไหน ๆ คนตัวสูงเงยหน้าสบตากับคนเป็นผู้นำครู่หนึ่ง ก่อนจะรูดซิปออกเพื่อดูสิ่งของด้านใน
แบคฮยอนชำเลืองมองอย่างลุ้น ๆ พอเห็นว่าคนข้างตัวนิ่งไปจึงชะโงกหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อสิ่งที่อยู่ในนั้นคือเสบียงจำนวนหนึ่งและเสื้อผ้า
“ของแถมจากการใช้หนี้เมื่อวาน”
“ของแถมงั้นเหรอ?” คนตัวเล็กขมวดคิ้ว พลางมองตามซงมินโฮที่กำลังจะเดินออกไปจากตรงนี้ แต่เจ้าตัวก็หันกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
“อ้อ ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป พวกนายเป็นอิสระแล้ว”
ทั้งที่ไม่ได้ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ตั้งแต่แรก เพราะเขากับชานยอลเลือกอยู่ที่นี่เพราะตั้งใจตอบแทนบุญคุณที่กลุ่มของซงมินโฮช่วยพวกเขาฝ่าฝูงกินคนออกมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแบคฮยอนรู้สึกดีเหลือเกินกับประโยคที่หลุดออกมาจากปากอีกฝ่าย
“ข้างในมีเสื้อผ้าให้คนละชุด กับยาแก้ปวดสารพัดประโยชน์ แฟร์สามอัน ส่วนพวกอุปกรณ์ทำแผลคงไม่จำเป็น เพราะโลงศพอุ่น ๆ น่าจะจำเป็นกว่าถ้าใครสักคนถูกกัดเข้าให้ แต่ฉันมีผ้าพันแผลไว้ห้ามเลือดเผื่อในกรณีอยากร่ำลากันก่อนมีใครจะตายจากไปน่ะนะ แล้วก็อาหารสำหรับสามมื้อ -- โทษที ฉันแบ่งให้ได้แค่นี้จริง ๆ ว่ะ พวกนายก็ดันมีกันตั้งสองคน ส่วนฉันก็ต้องเลี้ยงดูคนอีกเป็นสิบ”
“หมายความว่าผมกับเขาออกไปจากที่นี่ได้แล้วเหรอ?” แทฮยอนยิ้มขำกับแววตาซื่อ ๆ ของเด็กน้อยตรงหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปยีศีรษะทุยอย่างเอ็นดู
“ใช่ ส่วนนั่นคือรถของพวกนาย” มินโฮหันไปทางรถเก๋งสีขาว ก่อนจะพบรอยยิ้มโง่ ๆ ของบ็อบบี้ที่ส่งมา
“คุณคงไม่ได้ทดสอบเราอยู่หรอกใช่ไหมครับ?” คำถามของชานยอลทำเอาคนเป็นผู้นำหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ อาจจะสักห้าวินาทีเห็นจะได้ที่ต่างคนต่างให้อีกฝ่ายใช้ความคิด
“ฉันทำไปแล้ว และนายสองคนก็ผ่านมันมาได้”
“คุณคงไม่ได้หยิบปืนขึ้นมายิงทันทีที่เราหันหลังให้หรอกใช่ไหม” แบคฮยอนมองอย่างหวาด ๆ ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อถูกแทฮยอนยีหัวแรง ๆ
“ถ้าคิดจะทำอย่างนั้นจริง ฉันคงไม่ปล่อยให้นายสองคนอาบน้ำอุ่นจนชื่นฉ่ำใจแล้วให้นอนหลับฝันดีจนถึงเช้าหรอก”
“จะรู้เหรอ...” เด็กน้อยพึมพำ ก่อนจะเงยหน้ามองคนข้าง ๆ ที่ยังคงสบตากับซงมินโฮอย่างหยั่งเชิง
“โลกนี้มันอันตราย เราทุกคนต่างก็เคยเจอเรื่องแย่ ๆ มาในรูปแบบที่ต่างกัน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีเรื่องดี ๆ อยู่” มินโฮคาบมวนบุหรี่ไว้แล้วจุดไฟแช็ก “ฉันเคยเจอคนชั่วที่ฆ่าคนเพื่อความสะใจ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ที่ยังหลงเหลืออยู่จะเป็นบ้าอย่างนั้นทุกคน”
“...”
“เราทุกคนไม่ได้เป็นคนดี แต่เราทำเพื่อปกป้องคนของเรา เพราะฉะนั้นฉันอยากให้นายเป็นแบบนี้ต่อไป ปาร์คชานยอล” มินโฮตบบ่าอีกฝ่ายพร้อมบีบเบา ๆ “อย่าไว้ใจใครง่าย ๆ และหลังจากนี้ก็ขอให้นายสองคนโชคดี”
แบคฮยอนมองชายหนุ่มร่างสูงทั้งสองสลับกันไปมา ก่อนจะหยุดสายตาที่นัมแทฮยอนซึ่งกำลังยิ้มบาง ๆ ให้กับความรู้สึกของเราทั้งคู่ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาอันสั้น เด็กน้อยนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อเอาสิ่งของบางอย่างที่เขาหยิบติดมือมาตั้งแต่เมื่อวานให้
รอยยิ้มบนใบหน้านัมแทฮยอนหายไปขณะมองซองบุหรี่ในมือ ซึ่งมันทำให้นึกถึงครั้งแรกที่เจอกัน และเด็กคนนี้ติดหนี้บุญคุณเขาและต้องชดใช้ด้วยบุหรี่หนึ่งซอง
“ขอบคุณที่ช่วยผมนะ”
ชายหนุ่มพูดไม่เก่งยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพยักหน้าเพื่อตอบรับมิตรภาพหลวม ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่างเขาและเด็กคนนี้ นัมแทฮยอนจะจดจำไว้ว่าบนโลกยังมีคนจิตใจดีเหลืออยู่ แม้ว่าพวกเราต่างก็มีความเห็นแก่ตัวในรูปแบบที่ต่างกัน
“ขอให้เจอกลุ่มไว ๆ ล่ะ”
“ขอบคุณครับ” ชานยอลยังคงทำอะไรตามมารยาทเหมือนในทีแรก ซึ่งมินโฮก็ไม่ได้รู้สึกหัวเสียให้กับเช้าวันใหม่ที่ควรมีแต่เรื่องดี ๆ หลังจากเราทุกคนได้เจอมนุษย์ที่เรียกว่ามนุษย์จริง ๆ
มนุษย์ที่ยังมีการให้ใจซึ่งกันและกัน ไม่เห็นแก่ตัวจนทิ้งผู้อื่นไว้ข้างหลังแม้ว่าโอกาสของตนจะมีมากกว่า
“ของแถม” มินโฮยื่นปืนพกให้คนละกระบอก ก่อนจะใช้นิ้วชี้เกี่ยวตรงช่องเหนี่ยวไกไว้จนปืนหมุนหงายขึ้นฟ้า
“เพล์เซฟนะ ใช้ให้คุ้มล่ะ” แทฮยอนยื่นแม็กกาซีนสำรองให้อีกสองแม็ก พอเห็นแบคฮยอนรับไปถือไว้ เขาจึงหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณมือเพื่อขอกล่องกระสุนเพิ่ม แล้ววางลงบนมืออีกฝ่าย “อันนี้ให้เป็นค่าขอโทษที่ไม่รักษาสัญญา”
“สัญญา?” คนตัวเล็กเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่แทฮยอนกลับยิ้มเป็นคำตอบและเลือกให้อีกฝ่ายสงสัยต่อไป สำหรับเรื่องที่เขาปากโป้งบอกมินโฮเรื่องที่คุยกันในคืนนั้น ก็ถือว่าชดใช้เป็นกระสุนกล่องนี้ไปแล้วกัน
“ไปกินมื้อเช้าเถอะ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง”
ไม่มีใครตื่นขึ้นมาต่อสู้กับความเป็นจริง เมื่อต่างคนต่างถูกความหนาวและความเหนื่อยล้าเล่นงานจนผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ซีวอนเป็นคนแรกที่ตื่นขึ้นมาพบไออุ่นตอนสาย ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงครางฮือซึ่งดังมาจากเหนือศีรษะของตน
ชายวัยกลางคนพยายามตั้งสติแล้วประคองร่างซึ่งร้อนระอุไปด้วยพิษไข้ของคยองซูลงบนพื้นอย่างเบามือ ก่อนจะคว้าเอามีดเล่มใหญ่ขึ้นมากำไว้แน่นแล้วโค้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อรอรับมือกับผีดิบที่อยู่บนทางลาดชัน
เมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจน ร่างไร้วิญญาณและความคิดก็กลิ้งตกไถลก้อนหินลงมาจนคนที่หลับอยู่ผวาตื่นพร้อม ๆ กัน ซีวอนแตะนิ้วชี้ที่ริมฝีปากตนเองเป็นเชิงบอกให้เงียบ ซึ่งจงแดกับอี้ชิงก็รีบไปหิ้วปีกคยองซูออกให้ห่างจากตรงนั้น เมื่อผีดิบที่อยู่บนทางลาดชันไม่ได้มีเพียงตัวเดียว
ฉับ!
ชายวัยกลางคนสับมีดเป็นลายเฉียงจนผ่าเข้าไปในกะโหลก ก่อนจะรีบใช้เท้าถีบมันออกเพื่อตั้งหลักต่อสู้กับผีดิบอีกสามตัวที่กำลังกลิ้งไถลลงมาตามตัวแรกพร้อมส่งเสียงโอดครวญหิวโหย
“กรรรรรรรซ์...”
“จงแด เก็บของ” คำสั่งของซีวอนไม่ได้ทำให้เขาขอใช้เวลาคิดเลยแม้แต่วินาทีเดียว บุรุษพยาบาลหนุ่มรีบเข้าไปเก็บทุกอย่างยัดใส่กระเป๋าเป้พร้อมเหวี่ยงให้ไปอยู่ด้านหลังตน ก่อนจะคว้าเอาหน้าไม้ที่อีกฝ่ายทำสัญญาณมือบอกว่ายังไม่จำเป็นต้องใช้ตอนนี้
แม้จะยังไม่ตื่นดี แต่จางอี้ชิงก็พอรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะสมกับการนอน บุรุษพยาบาลหนุ่มหิ้วปีกร่างคนเจ็บที่ไข้ขึ้นสูงจัด คยองซูหอบหายใจและทิ้งน้ำหนักอย่างไร้เรี่ยวแรงพร้อมเอามือปิดปากเมื่อรู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน จนอี้ชิงต้องกัดฟันประคองร่างอีกฝ่ายไว้บนหลังอย่างทุลักทุเล
“ไป” ทุกฝีเท้าก้าวถอยหลังในจังหวะที่ผีดิบก้าวเข้าหา ซีวอนยังคงคุ้มกันด้านหน้าและจงแดก็คุ้มกันด้านหลังให้อย่างรู้งาน แม้จะใช้อาวุธไม่ถนัด แต่เจ้าหน้าที่หนุ่มก็รู้ว่าควรจัดการยังไงในสถานการณ์ที่บีบบังคับว่าจำเป็นต้องรอดให้ได้
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
“บ้าเอ๊ย!” จงแดผงะถอยหลัง ก่อนจะฟาดสันหน้าไม้ใส่ตัวกินคนที่โผล่ออกมาจากหลังต้นไม้เมื่อพวกเขากำลังเริ่มต้นการหนีเข้าป่า เจ้าหน้าที่หนุ่มตั้งหน้าไม้ขึ้นมาอีกครั้งเตรียมส่งความแหลมคมเจาะเข้าทุกสัดส่วนร่างกายขอแค่มันโผล่เข้ามาให้เห็นอีกครั้ง
ฟึ่บ!!
ลูกดอกแหลมคมแทงเข้ากลางลูกตาจนทะลุออกไปด้านหลังทันทีที่ผีดิบก้าวเข้ามาใกล้ จงแดเหนี่ยวไกอย่างมั่นใจและใส่ลูกใหม่เข้าไปแทนที่ ก่อนจะเดินไปดึงลูกที่ติดอยู่กับศีรษะร่างไร้วิญญาณออกมาสลัดคราบเลือดออกและปิดท้ายด้วยการเช็ดกับต้นไม้ใบหญ้า
“เป็นอะไรหรือเปล่าจงแด?”
“ผมไม่เป็นไร” แม้จะรู้สึกขวัญเสียอยู่ แต่เจ้าหน้าที่หนุ่มก็พยายามเรียกสติตนเองกลับมาจนได้ จงแดกวาดสายตาไปโดยรอบอย่างหวาดระแวง และบอกตนเองว่าต้องมีไหวพริบให้มากกว่านี้หากยังต้องการปกป้องคนอื่น แม้ว่าเขาจะแทบเอาตัวไม่รอดก็ตาม
“อึ่ก!” คยองซูยกมือขึ้นปิดปากตนเองเพื่อไม่ให้ส่งเสียงกระแอมไอให้พวกมันได้ยิน เด็กหนุ่มปรือตามองภาพพร่ามัวตรงหน้า ซึ่งเขาไม่เห็นเลยว่าพวกเราจะพบกับสิ่งที่เรียกว่าความหวังจริง ๆ
รอบด้านมีพวกมันกระจายอยู่ประปราย ซีวอนและจงแดต้องช่วยกันหาจังหวะลอบฆ่าจากด้านหลังเพราะการเผชิญหน้ามันค่อนข้างเสี่ยง ซีวอนเป็นคนมีฝีมือ แต่ลำพังแค่เขาคนเดียวก็คงจัดการพวกมันทั้งหมดไม่ได้ อีกทั้งจงแดที่ยังไม่ค่อยเป็นงาน แต่ก็ต้องยอมรับว่าช่วยได้มากเลยทีเดียว
“เอาล่ะ... เราต้องไปทางไหนต่อ?”
หลังจากเดินวนอยู่ในป่าทึบเพราะพยายามเลี่ยงเส้นทางแห่งความเสี่ยงมาได้สักพัก ทุกคนก็รู้สึกเหนื่อยจนหอบฮักและต้องการหยุดโกยอากาศหายใจเข้าปอด อี้ชิงประคองให้คยองซูได้นั่งพัก อาจจะแค่ห้านาทีหรือน้อยกว่านั้น แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้หยุดเลย
จงแดขมวดคิ้ว กวาดสายตาไปโดยรอบก่อนจะเดินนำไปข้างหน้าเล็กน้อย ก้มลงมองอะไรบางอย่างราวกับกำลังสังเกตการณ์พื้นที่เหยียบอยู่ ก่อนจะชี้ไปทางขวามือ “เราต้องไปทางนี้”
“มันไม่ใช่ทาง – ที่เราเพิ่งมา – หรอกเหรอ?”
เจ้าหน้าที่หนุ่มส่ายหน้าเป็นคำตอบ “รากไม้จะตรงไปในทิศทางที่มีน้ำอยู่ นั่นหมายความว่าถ้าเดินไปทางนี้เรื่อย ๆ เราจะเจอริมธารแทนที่จะเป็นประตูทางออก”
ซีวอนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรเดินยังไงไม่ให้หลงป่ามากไปกว่านี้ สำหรับคนที่บ้าบิ่นอยู่ในเมืองมาตลอดอย่างเขานั้นไม่ชำนาญการเดินป่าเอาเสียเลย ดังนั้นวินาทีนี้เขาขอมอบตำแหน่งผู้นำให้กับจงแด
“เรา – หลงกัน – อยู่ในนี้ – มานานเป็นชั่วโมง – แล้วนะ – ตอนนี้ – คยองซูก็เริ่ม – จะไม่ไหวแล้ว – ถ้าไม่หาที่พัก – เขา – ต้องแย่แน่” ทุกคนหันไปทางเด็กหนุ่มซึ่งมีสีหน้าซีดเซียวราวกับว่าไม่มีเลือดหลงเหลืออยู่ในร่างกาย และการย้ำของอี้ชิงนั้นเพิ่มความกดดันให้กับชายหนุ่มอีกสองคนจนต้องหยุดคิด
“จงแด”
“...”
“ถ้าเรากลับไปตรงบันไดทางขึ้นจากลำธารได้ เราก็จะฉีกออกซ้ายไปหาประตูที่มีกระสอบทรายขวางอยู่ได้ใช่ไหม?”
“เดี๋ยว... อย่าบอกนะ?”
“เราไม่มีทางเลือกแล้ว ลำพังจะเดินสุ่มในป่าที่ไม่มีทางออกแบบนี้มีแต่จะเหนื่อยเปล่า เราไม่มีเสบียง ไม่มีผ้าห่ม ถ้าตัดสินใจช้ากว่านี้คยองซูคงแย่แน่ เขาทนความหนาวในป่าเป็นคืนที่สองไม่ไหวหรอกผมกล้าพนันกับคุณเลย” อี้ชิงกับจงแดมองหน้าชายวัยกลางคน ทั้งคู่คิดว่าตอนนี้อีกฝ่ายคงกำลังมีแผนบ้า ๆ ซึ่งดูเหมือนว่าเขากึ่งอยากจะยอมรับและไม่ยอมรับอยู่ในที
“คุณมีแผนอะไร” เจ้าหน้าที่หนุ่มถามระหว่างตั้งสติ เพราะเขาเองก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน ในฐานะคนที่คลุกคลีอยู่ในป่ามานาน คิมจงแดรู้ดีว่าการพยายามเลี่ยงการต่อสู้พวกมันก็แค่ทำให้ยืดเวลาออกไปได้ แต่สุดท้ายทางออกที่แน่นอนที่สุดก็ยังคงเป็นตรงนั้น
ตรงที่ต้องให้เลือกว่าต้องเสียสละหรือจะตายอยู่ในนี้กันหมด
“เราต้องมีคนล่อพวกมัน”
“มองอะไรครับ?”
ชานยอลถามทำลายความเงียบ หลังจากเห็นว่าคนข้าง ๆ เอาแต่ดูกระจกหลังเป็นระยะ เพียงครู่เดียวคนตัวเล็กก็หันมาสบตากัน ก่อนจะยิ้มแห้งแล้วเกาท้ายทอย
“ผมแค่อยากรู้ว่าพวกเขาปล่อยเราแล้วจริง ๆ หรือเปล่า... คุณหัวเราะอะไร?” แบคฮยอนขมวดคิ้วมองคนขับที่มือข้างหนึ่งกำพวงมาลัย ส่วนมืออีกข้างกำไว้พร้อมป้องริมฝีปากขณะส่งเสียงหัวเราะในลำคอ
“เป็นคนขี้ระแวงตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับ”
“ตั้งแต่รู้จักคุณไง ปาร์คชานยอล”
“ฉะฉานกว่าที่คิด” ชายหนุ่มยังคงหัวเราะ และมันทำให้คนตัวเล็กหัวเสียขึ้นมาแปลก ๆ “เราควรคุยกันนะครับ เอาแต่เงียบผมก็กลัวว่าจะหลับในเอา”
“ถ้าคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรก็ต้องคิดให้ออกเหรอ คุณคิดว่าระหว่างเรามันดูฝืนไหม?” แบคฮยอนเลือกที่จะไม่สบตากับอีกฝ่ายระหว่างเกริ่นคำถามนี้ไป ซึ่งเชื่อเถอะว่าถ้าให้มองหน้ากันตรง ๆ จ้างให้ก็ไม่กล้าพูดแบบนี้
“ใครบอกว่าคิดไม่ออกครับ เมื่อกี้คุณเพิ่งชวนผมคุยนะ” ชานยอลยิ้ม
“งั้นก็ตอบเลย” ถนนยังคงเป็นจุดยึดสายตาที่ดีสำหรับคนตัวเล็ก เพราะมันคงดีกว่าการลุ้นว่าอีกฝ่ายจะตอบยังไง
“สำหรับผมไม่” ชานยอลเว้นจังหวะไปเพียงครู่ แล้วหันไปทางอีกฝ่ายซึ่งจงใจไม่มองเขา “แล้วคุณล่ะครับ รู้สึกฝืนหรือเปล่าเวลาคุยกับผม?”
“การทำตัวไม่ถูกแบบนี้เรียกฝืนไหม” แบคฮยอนพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เขาจะไม่ยอมถูกชานยอลไล่ต้อนอีกเป็นอันขาด
“ผมก็ทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่กับคุณเหมือนกัน”
“...”
“แต่มันเป็นไปในทางที่ดีนะครับ”
สุดท้ายปาร์คชานยอลก็ทำสำเร็จ...
ความเงียบเริ่มโรยตัวอีกครั้ง แต่แปลกที่มันไม่น่าอึดอัดอย่างที่ควรจะเป็น แบคฮยอนรู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นแรงอย่างหนัก กับคำพูดที่แสนจะธรรมดา แต่กลับทำให้เด็กอย่างเขาเขินจนเผลอกำชายเสื้อกันหนาวไว้แน่น
“...” แบคฮยอนเลิกคิ้วเมื่ออยู่ ๆ กระจกรถก็เลื่อนลง พอหันไปทางคนขับก็พบว่าคนตัวสูงกำลังมองออกไปข้างนอก และปล่อยให้สายลมเย็น ๆ พัดผ่านเอาอิสรภาพมาให้กับเรา
สุดท้ายเขาก็ยิ้มโดยไม่อยากหาเหตุผลให้ตัวเองแล้วว่าเพราะอะไร ...ความอึดอัดที่ติดตามเราไปในทุก ๆ ที่เหรอ? หรือว่าเป็นความสุขเล็ก ๆ ที่ความจำเป็นทำให้เราต้องมีกันและกัน? แต่ไม่ว่าเหตุผลโง่ ๆ แบบไหนก็ทำให้แบคฮยอนยิ้มได้โดยไม่ร้องไห้ออกมา ซึ่งเขากำลังรู้สึกดี
คนตัวเล็กพาดแขนลงกับขอบประตู หลับตาลงซึมซับความเย็นสบายของธรรมชาติในโลกที่มองไปทางไหนก็พบแต่ความโหดร้าย แต่วันนี้เด็กอย่างเขารู้แล้วว่าทุกอย่างมันก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียว ตราบใดที่ยังมีคนที่คอยอยู่เคียงข้าง
“อีกนานเลยกว่าจะถึง งีบสักหน่อยดีไหมครับ?” คำถามนี้อาจจะดูธรรมดา แต่มันเริ่มจะพิเศษก็ตรงที่ชานยอลกำลังจับมือเขาไว้หลวม ๆ ราวกับว่าอยากดูท่าที
แบคฮยอนหันไปทางชายหนุ่มที่ละสายตาจากท้องถนนมาเพื่อมองเขา เรายิ้มให้กันและกันก่อนที่คนตัวเล็กจะพยักหน้าและปรับเบาะให้เอนลง
ชานยอลไม่ได้ใจเย็น... แต่เขากำลังเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับการกลับไปยังอุทยานซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง เพราะจากที่คาดเดาเอาเองก็คิดว่าพวกผีดิบน่าจะไปถึงหน้าประตูแล้วถ้าพวกอี้ฟานไม่เก็บกวาดจนเรียบร้อย..
ตอนนี้คนเหล่านั้นจะเป็นอยู่ยังไง?
นั่นคือคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวชายหนุ่มมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา
“จะถึงแล้วครับแบคฮยอน”
คนตัวเล็กงัวเงียลืมตาตื่นพลางทอดสายตาไปยังถนนเบื้องหน้าซึ่งมีสภาพค่อนข้างชวนให้เป็นกังวล ชายหนุ่มเหยียบเบรกจอดรถเทียบข้างทางเพื่อสังเกตการณ์ทางเข้าอุทยานซึ่งตอนนี้มีพวกผีดิบกระจายตัวอยู่บนถนนและไหล่ทาง
“เดี๋ยวนะ...” คนตัวเล็กขมวดคิ้วพร้อมยื่นหน้าเข้าไปใกล้คอนโซลรถเพื่อมองภาพความน่ากลัวของร่างไร้วิญญาณจำนวนมากซึ่งอยู่ตรงฝั่งประตูทางเข้าบ้านพัก
“ผมว่าเรามาช้าเกินไป” ปาร์คชานยอลไม่ใช่คนถนัดเรื่องหลอกตัวเองหรือการมองโลกในแง่ดีสุดโต่ง ดังนั้นคงไม่ต้องคิดเลยว่าจะยังมีคนอยู่ข้างในเมื่อมีพวกกินคนมากมายยืนออกันอยู่หน้าทางเข้า
“แบบนี้หมายความว่าเราคลาดกับพวกเขาแล้วน่ะสิ” น้ำเสียงของคนตัวเล็กดูผิดหวัง ซึ่งเขาเข้าใจดี แบคฮยอนตื่นเต้นกับการจะได้กลับไปเจอทุกคนมากแค่ไหน เจ้าตัวได้แสดงให้เขาเห็นแล้วตอนเพิ่งขับรถออกมาจากที่พักของกลุ่มซงมินโฮ “ย้ายออกไปไหนกันนะ”
“อุลซัน”
“...” แบคฮยอนหันไปมองเสี้ยวหน้าคนข้างตัวที่ยังคงไม่ละสายตาจากพวกหิวกระหายอยู่ตลอดเวลา
“ถ้ายังไม่เปลี่ยนเป้าหมายที่เคยคุยกันเมื่อตอนนั้น อุลซันก็คงเป็นที่พักใหม่สำหรับพวกเขา”
“เราจะไปตามหาเขาใช่ไหม ชานยอล?” ชายหนุ่มหันไปมองดวงตาคู่นั้นที่กำลังคาดหวังคำตอบจากเขา
ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบทำงาน กระทั่งแบคฮยอนเป็นฝ่ายกุมมือชายหนุ่มเพื่อร้องขอปนกดดันให้ตอบในสิ่งที่ต้องการ เพราะเขายังคงกลัวว่าผู้ชายคนนี้จะเชื่อหลักความเป็นไปได้มากกว่าความรู้สึก จนคิดล้มเลิกการตามหาครอบครัวของเรา
“ครับ เราจะตามหาพวกเขาให้เจอ”
แม้จะไม่ได้คาดหวังขนาดนั้นเพราะคิดว่าชานยอลคงไม่ตามใจเขาเสียทุกอย่าง แต่คำตอบที่ได้ฟังมันก็ทำให้คนตัวเล็กใจชื้นขึ้นมาจนไม่สามารถกลั้นยิ้มไว้ได้ เด็กน้อยยอมนั่งนิ่ง ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายยีหัว และยิ้มให้กับความเปลี่ยนแปลงระหว่างเราที่พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นอย่างที่ชานยอลว่าไว้จริง ๆ
คนตัวสูงหยิบแผนที่ขึ้นมากาง ซึ่งแบคฮยอนก็ขยับเข้ามาใกล้จนเขาต้องหันให้ดูด้วยกัน นี่คือกิจกรรมร่วมอย่างหนึ่งที่จะทำให้ช่องว่างระหว่างเขาและคนตัวเล็กลดลง ตอนเห็นสีหน้าซึ่งฉายไปด้วยความสงสัยของแบคฮยอนนั้น มันทำให้นึกอยากโน้มใบหน้าลงไปหอมแก้มสักครั้ง แต่ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เวลาที่สมควรนัก
“เอาล่ะ ถ้าจะไปอุลซันเราต้อง --”
ปัง!!!
“...!!!” ทั้งสองคนหันไปทางด้านขวามือทันทีที่ได้ยินเสียงปืนดังลั่นออกมาจากอุทยาน
ใช่ ไม่ผิดแน่... มันดังมาจากอุทยาน...
“คุณได้ยินเหมือนผมไหมชานยอล?”
“ครับ ผมได้ยิน” ทั้งคู่ยังคงไม่ละสายตาจากต้นเสียง ก่อนจะเบนสายตาไปทางตัวกินคนที่เคยออกันอยู่ด้านหน้าอุทยาน พวกมันกำลังค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปตามเสียงปืนอย่างเชื่องช้า และแน่นอนว่าพวกมันกำลังตรงเข้าไปด้านใน
“จะเป็นพวกอี้ฟานหรือเปล่า”
“...” ชานยอลไม่คิดอย่างนั้น เพราะเขาเชื่อว่าการติดสินใจของผู้นำที่เปรียบเสมือนพี่ชายของเขาคงไม่คิดอยู่ต้านจนปล่อยให้พวกมันเข้าไปรุกรานถึงหน้าบ้านแน่
ปัง ๆๆๆ
“ชานยอล” คนตัวเล็กเริ่มร้อนใจ จึงเขย่าแขนเขาหลังจากได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกระลอก
ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังใช้ความคิดและชั่งน้ำหนักถึงความน่าจะเป็นไปได้ และในหัวของปาร์คชานยอลก็ยังอยากเชื่อว่าทุกคนย้ายออกไปแล้ว แต่เสียงปืนที่กราดยิงเหมือนคนไม่ชำนาญวิธีการใช้มันก็ทำให้คิดว่าใครกันที่เป็นเจ้าของเสียงปืนเมื่อครู่
“ชานยอล เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้วนะ”
“...”
“ถ้าไปช้ากว่านี้พวกเขาต้องไม่รอดแน่ ดูสิ พวกกินคนอยู่ข้างนอกเต็มไปหมด เราต้องเคลียร์ทางเผื่อพวกเขา” แบคฮยอนรีบเอื้อมไปคว้ากระเป๋าเป้มารูดซิปออก พร้อมเอาปืนทั้งสองกระบอกออกมาวางเป็นเชิงกดดัน
เด็กน้อยยัดแม็กกาซีนสำรองใส่มือคนตัวโตกว่า แม้ว่าจะดูโง่และหาความเป็นไปได้ยากที่จะฝ่าเข้าไป แต่เขาก็ยังสบตากับอีกฝ่ายเป็นเชิงขอร้อง ก่อนจะถูกตอกหน้ากลับมาด้วยสิ่งที่เขาลืมนึกไป
“ถ้าไม่ใช่พวกอี้ฟานล่ะครับ?”
“...”
“มันก็เท่ากับว่าเรากำลังเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง ซึ่งผมคิดว่าพวกเขาน่าจะย้ายออกไปตั้งแต่เห็นพวกมันเข้ามาใกล้อุทยานแล้ว”
“แต่ถ้าใช่ล่ะ...” แบคฮยอนไม่ได้กำลังเถียงเขา แต่คนตัวเล็กกำลังมองมาเพื่อให้ชายหนุ่มได้สละเวลาสักวินาทีเพื่อนึกถึงความเป็นไปได้
เจ้าของมืออุ่น ๆ ที่เขากุมมาเกือบครึ่งทางกำลังออกแรงบีบเพื่อขอความเห็นใจ ระหว่างนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่มันจะเงียบไป เหมือนกับเป็นสัญญาณสุดท้ายที่ให้ปาร์คชานยอลทบทวนและเลือกว่าจะเชื่อความคิดตนเองหรือว่าอยากจะลองเสี่ยงเพื่อความรู้สึกแบคฮยอนสักครั้ง
“ผมให้เวลาคุณหนึ่งนาทีกับการผูกเชือกรองเท้าให้แน่น”
ชานยอลปลดเซฟตี้ปืนแล้วหันไปสบตากับคนตัวเล็กที่กำลังมองมาด้วยแววตาซึ่งเต็มไปด้วยความตื้นตันใจ ไหน ๆ เราทั้งคู่ก็บ้าบิ่นเสี่ยงตายกับเรื่องโง่ ๆ มาแล้ว ถ้าลองอีกครั้งมันจะเป็นไรไป
“พร้อมที่เข้าไปช่วยครอบครัวของเราหรือยังครับ แบคฮยอน?”
TBC
โว้ยยยยยยยยยยยยยย หายไปนานมาก น่าตบไหมอิคนเขียนเนี่ย (หยอกเล่นนะ ห้ามด่า เดี๋ยวร้องไห้ เป็นคนอ่อนไหวที่หัวใจบอบบาง)
ความคิดเห็น