คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #105 : Chapter 100 :: Echo
Chapter 100
Echo
ถ้าไม่นับมีดในครัว จางอี้ชิงก็ไม่เคยจับมีดเล่มใหญ่ขนาดนี้มาก่อนในชีวิต หนุ่มชาวจีนหอบหายใจพลางมองเลือดที่หยดลงจากปลายมีด โดยมีเสียงผีดิบลอยเข้าหูไม่ได้ขาด แม้ว่าเขาและคนอื่น ๆ จะออกมาจากที่พักได้ไกลพอสมควรแล้ว
ด้านข้างเป็นป่าและธารน้ำ ซีวอนเข้าไปช่วยจงแดประคองร่างคยองซูให้นั่งพิงกับต้นไม้ ก่อนจะก้มหัวลงเพื่อวางกระเป๋าอาวุธ ชายวัยกลางคนลุกขึ้นพร้อมกวาดสายตาไปโดยรอบ เขาไม่สามารถวางใจได้แม้ละแวกนี้จะไม่มีเสียงกิ่งก้านไม้ดังกุกกักเป็นลางบอกเหตุ
ซีวอนค้นหากระบอกใส่น้ำในกระเป๋าแล้วเขย่า ก่อนจะตรงไปเติมน้ำข้างลำธาร อี้ชิงทิ้งตัวนั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อน นอกจากตอนค่ายนรกของพวกคิมนัมจุนแล้ว นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการหนี
คยองซูมองแผ่นหลังของชายวัยกลางคน ซึ่งเขามองไม่เห็นอะไรมากไปกว่าความว่างเปล่า เด็กหนุ่มถามตนเองว่าทำไมพระเจ้าถึงไม่ปลดปล่อยเขาเสียที ทำไมถึงให้โอกาสคนไร้ค่าที่หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าควรใช้ชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร
เสียงหอบหายใจของคิมจงแดเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เจ็บปวด และสิ้นหวัง มันดังก้องอยู่ในหูโดคยองซูเพื่อตอกย้ำว่าเราทุกคนล้วนไม่ควรดันทุรังมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อพบเจอเรื่องแบบนี้อีก
“เราหยุดพักนานไม่ได้ ตรงนี้ยังไม่ปลอดภัย” ซีวอนย่อตัวลงพลางยื่นขวดน้ำให้อี้ชิง หนุ่มชาวจีนดื่มดับความกระหายเสียอึกใหญ่ ก่อนจะยื่นต่อให้จงแด “เราต้องหาทางออกไปข้างนอก”
“...” คนฟังชะงัก หลังจากดื่มน้ำไปเพียงนิดเดียว เจ้าหน้าที่หนุ่มไม่ได้เงยหน้าขึ้นเพื่อค้านเสียงแข็งว่าจะดันทุรังอยู่ที่นี่ต่อ คิมจงแดจุกกับความจริงที่ไม่อยากยอมรับ แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง
อี้ชิงประคองท้ายทอยคนเจ็บให้ดื่มน้ำ จนถึงตอนนี้สีหน้าของคยองซูยังไม่ต่างไปจากเดิม และต่อต้านความหวังดีของเขาอยู่เล็กน้อย
“ฝั่งนั้นเป็นยังไง?” ชายวัยกลางคนชี้ไปยังป่าไม้ฝั่งตรงข้ามธารน้ำ จงแดเงยหน้าขึ้น ทอดสายตามองไปยังความสวยงามเหล่านั้น
“ป่าชั้นใน”
“มีสัตว์ประเภทไหนอยู่บ้าง?”
เสียงผีดิบดังมาจากที่ไกล กลบความเงียบข้างริมธารที่กำลังถูกความกดดันเล่นงาน เจ้าหน้าที่หนุ่มนิ่งค้างอยู่ท่านั้น ซีวอนกับอี้ชิงจึงมองหน้ากันแต่ไม่ถามย้ำจนจงแดต้องรู้สึกกดดัน
“ถ้าคุณอยากไปฝั่งนั้นล่ะก็ เลิกคิดไปได้เลย” ชายหนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง แล้วหันไปทางบุรุษพยาบาลที่กำลังจับจ้องสายตามายังเขา “คุณจำจูมงได้ไหมอี้ชิง?” เจ้าของชื่อพยักหน้าช้า ๆ เป็นคำตอบ จงแดจึงชี้นิ้วไปยังฝั่งตรงข้ามธารน้ำ “ฝั่งนั้นมีพี่น้องของมันอยู่อีกประมาณสี่ห้าตัว”
“...”
“ที่นั่นมีสัตว์หลายประเภทที่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง ถ้าเราข้ามไปได้ ก็อาจจะตายเพราะถูกกินเหมือนกัน”
เสียงของจงแดกำลังสั่น กับความจริงที่ว่าสัตว์ที่เขาพยายามปกป้องมาตลอดสามารถทำให้เราทุกคนตายได้ไม่ต่างจากพวกกินคนข้างนอกเลย ซีวอนจ้องใบหน้ามอมแมมของเจ้าหน้าที่ประจำอุทยาน ปล่อยให้อีกฝ่ายจมอยู่กับความคิด ขณะที่เขาเองกำลังหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับทุกคน
“Why did you come back?” (ทำไมคุณถึงกลับมา)
รู้ว่าถ้าเจอคนเหลือรอดอยู่ที่นี่ เขาก็ต้องเจอกับคำถามนี้ ซีวอนสบตากับอี้ชิง พร้อมนึกไปถึงเหตุผลต่าง ๆ นานาที่ทำให้เขาเลือกจากไป และตัดสินใจกลับมาที่อุทยานอีกครั้ง
“I'm done being with myself.” (ผมใช้เวลาอยู่กับตัวเองพอแล้ว) ชายวัยกลางคนยิ้ม เขาเลือกที่จะตอบคลุมเครือมากกว่าอธิบายความรู้สึกที่แสนซับซ้อนของตนเอง “ระหว่างทางผมเห็นพวกมันมาเยอะเรื่อย ๆ อ่า... อันที่จริงผมไม่ได้ไปไกลจากที่นี่สักเท่าไหร่ มันอาจเป็นความอ่อนแออย่างหนึ่งที่ทำให้ผมหันหลังให้ที่นี่ไม่ได้”
ซีวอนพยายามพูดช้า ๆ เพื่อให้ทั้งคนเกาหลีและคนจีนเข้าใจไปพร้อม ๆ กัน อี้ชิงปล่อยให้อีกฝ่ายอธิบาย พร้อมเข้าไปดูอาการของคยองซู ซึ่งบาดแผลยังไม่เยินขนาดที่ต้องเปลี่ยนผ้า
“ผมยังคงคิดเรื่องลูก แต่ก็กังวลถึงพวกคุณในเวลาเดียวกัน ว่าจะอยู่กันยังไง ปลอดภัยดีไหม ผมเลยแอบปีนเข้ามาทางประตูอีกฝั่งที่มีกระสอบทรายขวางอยู่ อย่างน้อยก็อยากดูให้สบายใจ”
ชายวัยกลางคนพูดอย่างไม่โกหก และเขารู้สึกขอบคุณเซนส์ตัวเองที่พาขาทั้งสองข้างกลับมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อช่วยชีวิตทั้งสามคนที่ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงยังอยู่ที่นี่
“คนอื่น ๆ ย้ายออกไปแล้วสินะ” ไม่มีใครขานตอบ จงแดเอาแต่ก้มหน้าจมอยู่กับความรู้สึก “ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เช้า”
“ผมไม่แปลกใจที่จงแดอยู่ที่นี่ แต่คุณสองคนทำไมไม่ไปกับพวกเขา?”
“ผมเลือกที่จะอยู่เอง ส่วนอี้ชิงก็เป็นคนดีไม่รู้จักเวล่ำเวลา” คยองซูตอบเสียงเรียบ
“ผมไม่ได้ – ทำเพราะอยาก – ให้คุณชม – ว่า – เป็นคนดี” บุรุษพยาบาลกำลังขึ้นเสียง เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นจางอี้ชิงหมดความอดทน “เลิก – ใช้คำพูด – แย่ ๆ – ทั้งกับตัวเอง – และคนอื่น – ได้แล้ว”
“ใจเย็น ๆ ...อี้ชิง” จงแดวางมือลงบนไหล่อีกฝ่ายพร้อมบีบเบา ๆ
“คุณควรขอบคุณเขามากกว่าอะไรทั้งหมดนะคยองซู” ซีวอนหยุดสายตาอยู่ที่ใบหน้าซีดเผือดของเด็กหนุ่ม
“สิ่งเดียวที่จะทำให้ผมรู้สึกขอบคุณพวกคุณก็คือปล่อยผมไว้ที่นี่”
“别再胡说八道了!”
“...”
“...”
ทั้งสามคนนั่งนิ่ง ขณะมองไปยังบุรุษพยาบาลหนุ่มที่โพล่งคำพูดเหล่านั้นออกมาเป็นภาษาจีน ซึ่งไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครพ่นคำพูดแย่ ๆ ออกมาอีก ไม่แม้แต่จะโทษว่าเป็นเพราะตัวเองที่ทำให้ทุกคนต้องมาตกระกำลำบากอยู่ที่นี่ ทั้งสี่คนนั่งเงียบและปล่อยให้ความว่างเปล่ากลืนกิน ก่อนอี้ชิงจะเดินหายไปจากตรงนี้ และจงแดเลือกที่จะเป็นคนตามไป
แบคฮยอนตีกระบอกไฟฉายลงกับฝ่ามือ พลางส่องไปรอบ ๆ เพื่อหาอุปกรณ์ที่จะช่วยพาเขาและชานยอลไปถึงที่หมายได้ นึกแล้วก็หงุดหงิดอยู่ในใจที่คนเหล่านั้นไม่ให้ปืนติดตัวมาสักกระบอก แต่พอคิดดูอีกที... ถ้าเขาใช้ปืนในพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยพวกผีดิบอย่างนี้ก็คงไม่ใช่การเอาตัวรอดที่ดีสักเท่าไหร่
“เจออะไรบ้างไหม?” เด็กน้อยส่องไฟฉายไปยังลิ้นชักที่อีกคนกำลังค้นอยู่ เพียงครู่เดียวชานยอลก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง มันเป็นสีแดง และขนาดเล็กกว่าฝ่ามือเขา “มันคืออะไรเหรอ?”
“อ่า... มันชื่อเรสคิวมี” ชายหนุ่มหมุนข้อมือดูสิ่งของขนาดเล็ก “ตรงนี้เอาไว้ตัดเข็มขัดนิรภัย และส่วนนี้เอาไว้ระเบิดกระจก มันเป็นอุปกรณ์เอาตัวรอดในกรณีรถพุ่งตกน้ำน่ะครับ”
แบคฮยอนพยักหน้าช้า ๆ “แล้วมันจะระเบิดกระจกได้ยังไง”
“แบบนี้” ชานยอลยื่นอุปกรณ์เข้ามาใกล้จมูกจนเขาต้องเอนตัวถอยหลังเล็กน้อย ทั้งคู่สบตากัน ก่อนคนตัวสูงจะขยับปากพูดคำว่า ‘ปัง’ เบา ๆ
“...”
“ไปกันเถอะครับ เราหมดธุระกับที่นี่แล้ว”
ชายหนุ่มตบบ่าเด็กน้อยเพียงสองครั้งแล้วเดินสวนออกไป ปล่อยให้คนถูกไอ้เครื่องระเบิดกระจกจี้ใจยืนอยู่ตรงนี้โดยที่ก้าวขาไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง ปาร์คชานยอลเอาอีกแล้ว... ไอ้ท่าทีธรรมดา ๆ เหมือนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้แบบนั้นน่ะ ไม่รู้หรือไงว่ามันเป็นภัยต่อความรู้สึกคนอื่น...
“คุณเคยคิดไหมว่าคนที่อยู่อุทยานจะคิดยังไงกับเรื่องที่เราหายไปอย่างนี้” แบคฮยอนคิดว่าควรเปิดบทสนทนาขึ้นมาทำลายความเงียบสักหน่อย ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความกดดัน ซึ่งเราต่างไม่รู้เลยว่าจะไปถึงรถบรรทุกคันนั้นได้ยังไง
เขามองชายหนุ่มที่เดินไปหยุดอยู่หน้ากระจกใสบานใหญ่ที่ทำให้มองเห็นสินค้าในร้านได้หากมองจากข้างล่างขึ้นมาชั้นสอง แบคฮยอนเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ อีกฝ่าย พร้อมมองไปยังเหล่าผีดิบมากมายที่อยู่ด้านล่าง ซึ่งเราต่างจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะหาทางเดินบนถนนได้ยังไง
“หลายครั้งที่ผมมักจะคาดเดาเอาเอง แต่กับบางเรื่อง ผมก็ไม่อยากเก็บมาคิดถ้าคำตอบมันออกมาบั่นทอนความรู้สึกตัวเอง”
“พวกเขาคิดว่าเราหนี นั่นคือสิ่งที่คุณคิดใช่ไหม?” คนตัวเล็กชำเลืองมองเสี้ยวหน้าคนตัวสูงที่เงียบไป
“ถ้าเป็นคุณล่ะครับ?” ชายหนุ่มหันมาสบตากับเขา ซึ่งแบคฮยอนไม่รู้ว่าดวงตาคู่นั้นกำลังคาดหวังคำตอบหรือแค่หาที่หยุดสายตากันแน่ “คุณจะคิดว่าผมหนีหรือเปล่า?”
ถ้าเป็นช่วงปลายปีที่ผ่านมา บยอนแบคฮยอนคงตอบอย่างฉะฉานได้โดยไม่กลัวว่าผู้ชายคนนี้จะรู้สึกแย่แค่ไหน ตลกดีเหมือนกันที่เขากำลังเรียบเรียงคำพูดในหัว เพื่อชั่งน้ำหนักว่าควรพูดอย่างที่คิดหรือตอบเลี่ยง ๆ เพื่อไม่ให้ความอึดอัดเกิดขึ้นระหว่างภารกิจที่เราทั้งคู่ต้องตัวติดกัน
“ถ้าตอบแบบไม่โกหก แน่นอนว่าผมคิด” แบคฮยอนพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองแล้วว่ามีความจำเป็นอะไรที่ต้องตอบรักษาน้ำใจชานยอล ในเมื่อเขาคิดอย่างนั้นจริง ๆ “คนเรามีสิทธิ์คิดไปเองในเรื่องที่ไม่รู้ ไม่เห็น และไม่เข้าใจ ผมพูดถูกไหม?”
อยากตบปากตัวเองจริง ๆ ที่สุดท้ายก็ต้องมาพูดแก้ตัวเอาทีหลัง
ดูเหมือนว่าเขาจะพูดผิด ไม่สิ... ต้องเรียกว่าพูดไม่ถูกใจอีกฝ่ายถึงจะถูก ไม่งั้นปาร์คชานยอลคงไม่เอาแต่จ้องเขาโดยไม่พูดไม่จาอย่างนี้ แบคฮยอนเลียริมฝีปาก เขาพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ โดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังกังวลถึงเรื่องบ้าบออะไรอยู่
แต่สุดท้าย ผู้ชายคนนี้ก็หลุดยิ้มออกมาโดยที่เขาไม่เข้าใจ
“ถ้าอย่างนั้น การที่เราอยู่ตรงนี้ด้วยกันมันก็คงเป็นเรื่องที่ดีนะครับว่าไหม?”
“เอาล่ะ เราต้องทำอะไรสักอย่าง”
แบคฮยอนหลับตาลงพลางถอนหายใจ หลังจากชะโงกหน้าออกไปด้านนอกระเบียงเพื่อพบความน่าสยดสยองของจำนวนเหล่าผีดิบที่กระจายตัวกันอยู่เต็มท้องถนน เขากับชานยอลมีแค่มีดคนละเล่ม กับพลุแฟร์โง่ ๆ อีกสี่อัน ซึ่งดูจากสภาพแล้วคงไม่ได้เอาไว้ใช้จัดการพวกมัน
“เราข้ามไปไม่ได้แน่ ไม่มีทาง” แบคฮยอนเสยผมขึ้นอย่างหัวเสีย ขณะที่ชานยอลกำลังง่วนอยู่กับแผนที่ที่ซงมินโฮเป็นคนวาดให้เองกับมือ และดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเขาจะมาได้สุดทางอย่างที่คนกลุ่มนั้นพึงจะมาได้แล้ว
คนตัวเล็กไม่อยากให้ประวัติซ้ำรอย เหมือนวันนั้นที่เขาเผลอขึ้นเสียงใส่ชานยอลแล้วเดินหนีออกมาจนเจอพวกนรกกินคนจับตัวไป ตอนนี้อีกฝ่ายคงต้องการเวลาเพื่อใช้ความคิด ซึ่งบยอนแบคฮยอนก็ยินดีให้อย่างเต็มที่ ถ้าชานยอลสามารถคิดหาทางดี ๆ ออกได้
กึง... กึง... กึง...
เสียงนาฬิกาโบราณดังขึ้นเมื่อเข็มยาวหมุนวนมาจนถึงเลขสิบสอง เรียกความสนใจจากทั้งคู่ให้หันกลับไปมอง แบคฮยอนยกมือขึ้นทาบหน้าผากอย่างโล่งใจที่มันไม่ใช่ตัวประหลาดเดินลากไส้ออกมาจากมุมไหนมุมหนึ่งของร้านนาฬิกา ตอนที่เขาทั้งคู่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิด
“มันจะดังไปข้างนอกไหมนะ?” เด็กน้อยสบถพร้อมส่องไฟฉายไปยังตัวต้นเหตุ ก่อนจะชะโงกหน้ามองออกไปด้านนอกอีกครั้ง และเขาก็ได้คำตอบว่าพวกกินคนด้านนอกนั่นไม่ได้ยินเสียงนาฬิกา
แบคฮยอนหันไปทางคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตอนนี้ชานยอลกำลังยืนนิ่งราวกับถูกสะกดจิต คนตัวเล็กขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเอื้อมไปจับท่อนแขนแกร่ง
“คุณ”
“แบคฮยอน คุณไปหากล่องกับสายไฟมาให้ผม” ชายหนุ่มกล่าว พร้อมกำไฟฉายขึ้นระดับใบหน้าและตรงเข้าไปยังตู้กระจกซึ่งมีนาฬิกาหลากหลายรูปแบบวางเรียงกันอยู่
“กล่อง... เหรอ?” เขากำลังงงกับความปุบปับของอีกฝ่ายที่อยู่ ๆ ก็เดินเครื่องตรงเข้าไปในด้านในและค้นหาสิ่งที่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร คนตัวเล็กเกาแก้มแล้วเดินไปค้นหาสิ่งของตามที่อีกฝ่ายสั่ง
ในตู้มีนาฬิกาปลุกหลากหลายรูปแบบวางอยู่เต็มไปหมด ใช่ มันมากกว่าสิบอัน ซึ่งมันคงดีถ้าชานยอลจะอธิบายให้เขาฟังระหว่างค้นตู้ไปด้วย
“คุณจะทำอะไร” แบคฮยอนวางกล่องลังกระดาษที่หามาได้จากหลังร้านลงบนตู้กระจก ก่อนคนตรงหน้าจะหยุดมือและหันมาสบตากัน
“แผนของผม”
“จะลงไปแจกนาฬิกาปลุกให้พวกมันหรือไง” ถ้าชานยอลอธิบายมากกว่าตอบสั้น ๆ ในเรื่องที่เขารู้อยู่แล้วมันก็คงดีหรอก เล่นก้มหน้าก้มตาทำอย่างเดียวโดยไม่เล่าว่าในหัวมีแผนอะไรอยู่ได้ยังไงกัน
“ตัดเอาปลั๊กทิ้งให้เหลือแค่สายไฟพอครับ”
“อ่า... ให้ตายเถอะ” แบคฮยอนจิ๊ปาก นอกจากจะไม่เล่าแล้วยังสั่งซ้ำอีก แต่ถามว่าทำไหม ใช่ เขาทำ
“ผมไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า แต่จะลองดูสักตั้งก็คงไม่เสียหาย” ชานยอลหยุดนิ่งขมวดคิ้วใช้ความคิดระหว่างคำนวณเวลาที่เหมาะสม แล้วหมุนไขลานหลังนาฬิกาปลุกให้เข็มสีแดงชี้ไปข้างหน้าเล็กน้อย ก่อนจะใส่มันเข้าไปในลังทีละอัน และปิดท้ายด้วยการตั้งเวลานาฬิกาข้อมือตนเอง
“ชานยอล มันจะเสียงดังนะ” คนตัวเล็กมองอย่างหวาด ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มเป็นคำตอบพร้อมยกลังกระดาษขึ้นมาแนบอก
“นั่นแหละครับที่ต้องการ” ขายาวเดินไปข้างหน้าเพียงสามก้าว ก่อนจะหยุดแล้วหันเข้าหาคนตัวเล็กที่ยืนงงอยู่ข้างหลัง “เราทำกันเป็นทีม ถูกไหม?”
“ใช่ แต่ต้องหลังจากที่ผมเข้าใจแผนของคุณก่อน”
ชานยอลอมยิ้มกับคำพูดคำจาอีกฝ่าย เพียงครู่เดียวเขาพยักหน้าช้า ๆ และเริ่มต้นอธิบายแผนที่เพิ่งฉุกคิดขึ้นมาได้เมื่อครู่นี้
แบคฮยอนเลื่อนประตูระเบียงออก ก่อนจะย่อตัวลงแล้วก้าวออกไปเงียบ ๆ ริมฝีปากเด็กน้อยยังสบถไม่หยุดกับเรื่องบ้าบอคอแตกที่ทำให้เขาทั้งคู่มาอยู่ตรงนี้ได้ คนตัวเล็กยังคงหวั่นใจกับแผนของชานยอล ที่ต้องเอานาฬิกาปลุกเหล่านั้นไปทิ้งใต้ท้องรถซึ่งอยู่เยื้อง ๆ กับร้านกาแฟที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรา ส่วนเขาแสตนด์บายรอตรงนี้ ซึ่งอยู่ถัดจากร้านกาแฟเพียงสามบล็อก
เด็กน้อยชะโงกหน้ามองอย่างใจจดใจจ่อ จากการคำนวณเวลาแล้วคาดว่าอีกไม่ถึงสามนาทีชานยอลคงถึงที่หมาย แบคฮยอนลุกขึ้นจุดพลุแฟร์อันแรก โบกสะบัดเหนือศีรษะพร้อมตะโกนเรียกร้องความสนใจ
“เฮ้!!!!!!!!!!!”
เหล่าผีดิบไร้สมองหันมาตามเสียงและแสงสีแดงซึ่งลอยอยู่บนระเบียงชั้นสองของอาคารพาณิชย์ ริมฝีปากเคลือบไปด้วยเลือดเหนียวอ้ากว้าง ส่งเสียงโหยหวนพร้อมยื่นมือขึ้นมาหวังว่ากินเหยื่อบนที่สูง
“มาทางนี้สิ หิวมากนักใช่ไหม?!”
ชานยอลเปิดผ้าม่านออกเพียงเล็กน้อยเพื่อสอดส่องสถานการณ์ด้านนอก ขั้นตอนเรียกความสนใจสำเร็จแล้วและตอนนี้เป็นจังหวะดีที่เขาจะออกไปข้างนอกเพื่อทำขั้นตอนต่อไปต่อ
ชายหนุ่มผลักประตูออกไปอย่างเงียบเชียบ พร้อมกล่องลังกระดาษที่กอดอยู่ข้างเอว เขาหันซ้ายขวาเพื่อสังเกตท่าที ก่อนจะวางของลงแล้วใช้มีดแทงเสยคางผีดิบที่อยู่ในระยะอันตรายและกระชากออกอย่างรวดเร็ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ ชานยอลอุ้มลังกระดาษขึ้นมาอีกครั้ง เขาเล็งไว้แล้วว่ารถคันนั้นเหมาะที่สุดสำหรับแผนนี้ เขาพยายามก้มตัวลงต่ำ ตรงไปยังจุดนั้นและเทนาฬิกาปลุกชนิดไขลานจำนวนสิบอันเข้าไปใต้ท้องรถ ก่อนที่มันจะกระจัดกระจายออก
ขายาวรีบวิ่งกลับเข้ามาในร้าน แบคฮยอนยังคงขยันทำภารกิจที่เขามอบหมายให้ กระทั่งแสงไฟสีแดงหมด เพียงชั่วอึดใจนาฬิกาปลุกทุกตัวก็ทำงานเมื่อเข็มเดินทางไปจนถึงเวลาที่ตั้งไว้
หวอ! หวอ! หวอ!
เสียงสัญญาณกันขโมยรถแผดลั่นไปทั่วอาณาบริเวณ แบคฮยอนมองไปยังต้นเหตุของเสียงนั่นซึ่งไม่ได้เกิดแค่คันเดียว สัญญาณเตือนของรถที่จอดอยู่ละแวกนั้นก็พร้อมใจกันทำงานแม้ว่ามันจะถูกจอดไว้นิ่ง ๆ มานานโดยไม่ได้ใช้งาน
คนตัวเล็กก้มหัวลงต่ำและทิ้งพลุแฟร์ที่ใช้แล้วทิ้งไป เพราะตอนนี้จุดที่เรียกความสนใจพวกกินคนได้ดีที่สุดนั้นไม่ใช่ควันสีแดงที่กำลังจางหายไปกับอากาศอีกแล้ว
“บ้าเอ๊ย เราต้องถอยออกจากที่นี่” หนึ่งในกลุ่มชายชุดดำว่า เมื่อตอนนี้เหล่าผีดิบจำนวนหนึ่งกำลังเดินไปตามเสียงสัญญาณกันขโมย ซึ่งทำให้จุดที่พวกเขายืนอยู่ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
“...เริ่มแล้วสินะ” มินโฮมองไปยังท้องฟ้าที่มีแสงสีแดงอ่อน ๆ ลอยคลุ้งอยู่ ขายาวของกลุ่มชายหนุ่มก้าวถอยหลังเรื่อย ๆ เพื่อหาที่ปลอดภัย ขณะที่เสียงสัญญาณเหล่านั้นยังคงทำงานได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“นาฬิกาไขลานเหลือแค่อันเดียวเอง” แบคฮยอนชูสิ่งของในมือให้อีกฝ่ายดู ซึ่งคนตัวสูงก็ไม่ได้แสดงทีท่าว่าลำบากใจนัก หลังจากพบว่าอุปกรณ์ที่ใช้เป็นประโยชน์ได้ดีที่สุดเหลืออันสุดท้าย ซึ่งลำพังแค่ตัวเดียวคงดังเรียกร้องความสนใจได้ไม่ดีพอ
“ไม่เป็นไร คุณเข้าไปเก็บนาฬิกาดิจิตอลใส่กระเป๋าให้ได้มากที่สุดก็พอ”
“แต่รุ่นดิจิตอลมันดังได้ไม่นานนะ?” เด็กน้อยแย้ง พร้อมยัดนาฬิกาปลุกใส่กระเป๋าเป้ที่เก็บมาจากร้านอุปกรณ์กีฬา
“มานี่ครับ” ชานยอลกระดิกนิ้วชี้เรียก คนตัวเล็กจึงละมือแล้วเดินไปหยุดอยู่หน้ากระจกใสบานใหญ่อีกครั้ง “เราไม่ได้ตั้งใจลากพวกมันออกมาที่จุดแรกแค่อย่างเดียว จุดต่อไปที่เราจะวางนาฬิกาอีกคือถัดไปอีกบล็อก และหาจังหวะข้ามถนนไปอีกตึกเพราะไม่มีทางเชื่อมให้เราเดินต่อแล้ว”
“อือ” แบคฮยอนพยักหน้าเข้าใจ
“เราจะวางนาฬิกาปลุกอีกจุดหนึ่ง จากตรงนั้น” ชานยอลชี้นิ้วไปยังตรอกแคบ “ถัดไปอีกสองบล็อกก็วางอีก ทำอย่างนั้นให้ได้มากที่สุด การล่อให้พวกมันเข้าไปในตรอกแคบจะทำให้ถนนเส้นหลักโล่งขึ้น”
“แต่นาฬิกาดิจิตอลมันจะดังพักนึงแล้วหยุด อีกประมาณห้านาทีมันถึงจะดังอีกครั้ง ถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะไม่เดินกลับหลับไปหานาฬิกาตัวหลังเหรอ?”
“นาฬิกาดิจิตอลดังไม่นานก็จริง คุณลองนึกภาพตามดูนะครับ รถจอดอยู่ฝั่งนั้นและมีพวกกินคนอยู่เต็มไปหมด ตอนนี้พวกที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงกำลังทยอยเดินมาตรงนี้”
ชายหนุ่มแสดงให้คนตัวเล็กเห็นด้วยภาพ และมันก็ใช่อย่างที่ว่าไว้จริง ๆ เพราะเหล่าผีดิบกำลังค่อย ๆ เดินโซซัดโซเซมาทางนี้ อ้าปากส่งเสียงโหยหวน ไขว่คว้ามือไปข้างหน้า ตามเสียงนาฬิกาไขลานที่จะดังไม่หยุดจนกว่าใครสักคนจะกดปิดมัน
“ต่อให้นาฬิกาที่อยู่จุดอื่นดังอีกครั้ง พวกมันก็เดินกลับหลังไม่ได้แล้ว”
“กรรรรซ์...”
ภาพเหล่าผีดิบจำนวนมากล้อมรถยนต์ที่ยังคงแผดเสียงก้องละแวกนี้เป็นระยะ บวกกับเสียงนาฬิกาปลุกรุ่นไขลานที่กระจายอยู่ใต้ท้องรถ ที่ทำให้พวกกินคนพยายามหาต้นเหตุต่อไปโดยไม่รู้ว่าจุดนั้นไม่มีอาหารให้มัน ถนนเส้นนี้อัดแน่นไปด้วยรถและซากศพไร้วิญญาณ จึงทำให้พวกมันเคลื่อนที่ได้ยากขึ้น
“เยี่ยม”
“พร้อมจะไปต่อหรือยังครับ?” ชายหนุ่มหันไปถาม ซึ่งเด็กน้อยก็พยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ กับแผนการที่เสี่ยงน้อยกว่าการพยายามวิ่งฝ่าเข้าไปโดยไม่ให้พวกกินคนเห็น
อี้ชิงเทน้ำจากขวดราดลงไปคมมีดเพื่อล้างความสกปรก แม้รู้ดีว่าต้องใช้มันอีก เขาเลือกที่จะล้างบนพื้นมากกว่าในน้ำ เพราะไม่อยากให้คราบสกปรกเหล่านี้ปะปนอยู่กับธรรมชาติ
อีกสามคนนั่งเหม่อมองไปยังเบื้องหน้า หลังจากจัดการปลาสองตัวที่จับได้อย่างยากลำบาก แต่ปัจจุบันเหลือแต่ก้างเพราะความหิวโหย
“คุณทำให้อี้ชิงอารมณ์เสีย” ซีวอนพูดเสียงเรียบ ซึ่งคยองซูก็ไม่ปฏิเสธ เพราะตั้งแต่อีกฝ่ายตะคอกเป็นภาษาจีน เขาก็ไม่เห็นว่าอี้ชิงจะพูดอะไรอีกเลยหลังจากนั้น
“ดีแล้ว คนอย่างเขาควรระเบิดออกมาบ้าง” คนเจ็บไม่ได้รู้สึกผิดเลยสักนิด กลับกันเขายังรู้สึกดีเสียด้วยซ้ำที่ให้คนเงียบ ๆ ได้พ่นความรู้สึกออกมา แทนที่จะพยายามประนีประนอมหว่านล้อมให้คนอยากตายอย่างเขาใจเย็นลง
“ถ้าให้อี้ชิงนั่งด่าทั้งวัน คุณคิดว่าตัวเองจะทนฟังไหวไหม” คยองซูชำเลืองมองชายวัยกลางคนที่ถามอะไรแบบนั้นออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ทำไมผมต้องทำอย่างนั้น”
“แค่อยากรู้”
“เอาเวลาไปคิดหาทางหนีออกจากที่นี่ดีกว่าไหม คุณกำลังชวนผมคุยเรื่องอะไร” เด็กหนุ่มคาดโทษคนอายุมากกว่า เขายังคงรู้สึกผิดกับชเวซีวอน แต่สำหรับคนอยากตายจนแทบตัวสั่นก็คงไม่มีอารมณ์อยากรักษาน้ำใจใครสักเท่าไหร่
“อ้าว ก็คิดได้นี่” ชายวัยกลางคนหัวเราะทำลายความเงียบละแวกนี้ ซึ่งมันทำให้โดคยองซูรู้สึกหัวเสียยิ่งกว่าเดิมที่อีกฝ่ายเอาคำพูดเขาไปเล่นคำ
“จงแด – ตรงนั้นใช่ไหม – ที่ทำให้จูมง – ข้ามมา – ฝั่งนี้ได้?” อี้ชิงชี้ไปยังกลางลำธาร มันตื้นและน้ำสูงกว่าข้อเท้าเล็กน้อย ซึ่งตรงนั้นเป็นจุดที่พวกเขาใช้หาปลาเมื่อครู่
“ใช่”
“งั้นจะเป็นไปได้ไหม – ว่าตอนนี้ – ญาติ ๆ ของมัน – จะ?” บุรุษพยาบาลหนุ่มเว้นจังหวะไปขณะมองหน้าอีกฝ่าย ซึ่งดูเหมือนว่าจงแดจะเข้าใจและนึกภาพตามเขาได้โดยไม่ต้องอธิบายมากไปกว่านี้
“...”
“ถ้าเป็นอย่างที่คุณคิดจริง ๆ งั้นก็แสดงว่านอกจากพวกข้างนอก เรายังต้องระวังตัวจากสัตว์ดุร้ายที่ไม่รู้ว่าข้ามมาฝั่งนี้แล้วหรือยัง... ใช่ไหม?” ซีวอนเลิกคิ้ว และการที่จงแดเอาแต่ยืนเงียบ ก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนดี
“นอกจากจะปกป้องที่นี่ไม่ได้... ผมก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะพาพวกคุณหนีออกไปยังไง” จงแดก้มหน้าลง เสยผมขึ้นพร้อมค้างสองมือไว้กลางศีรษะอย่างคนคิดไม่ตก
“ทางเข้า – ฝั่งที่เคยมีลิงล่ะ?” ในเมื่อซีวอนมาจากฝั่งนั้น นั่นก็อาจจะเป็นอีกทางหนึ่งที่อาจทำให้เราทุกคนรอดได้
“อาจจะ” เจ้าหน้าที่หนุ่มสบตากับอี้ชิง “แต่ปัญหาคือเราต้องผ่านพวกมันก่อนที่จะไปทางนั้นได้”
“จงแดพูดถูก” ซีวอนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เพราะกว่าจะเข้าไปหาพวกคุณได้ ผมก็ลำบากเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน และนั่นหมายความว่าตอนนี้ป่าชั้นนอกคงมีพวกมันกระจายตัวอยู่”
“ทิ้งผมไว้ที่นี่ แล้วไปซะ” ทั้งสามคนหันไปมองคนเจ็บที่โพล่งคำพูดไม่น่าฟังออกมา สายตาเหม่อลอยที่หลุบต่ำนั้นทำให้พวกเขาไม่อยากพูดอะไรอีก
“ให้ตาย ผมไม่คิดว่าบุรุษพยาบาลที่ใช้อาวุธไม่ค่อยเป็น กับคนที่รักอุทยานมากกว่าชีวิตจะคิดอย่างนั้น หลังจากที่พยายามหิ้วคุณออกมาด้วย” ซีวอนมองอีกฝ่ายอย่างหัวเสีย ถ้าเป็นลูกเป็นหลานคงต้องลงไม้ลงมือกันบ้าง
“ผมรู้ว่ากำลังทำตัวน่ารำคาญ แต่ความจริงก็เห็นกันอยู่ว่าผมเป็นภาระที่จะทำให้พวกคุณเดินทางช้าลง” คยองซูกลืนน้ำลาย “เราฝืนกันมามากพอแล้ว”
แม้ประโยคนี้จะพูดโดยรวม แต่คิมจงแดก็จุกจนไม่สามารถอ้าปากเถียงได้ เขายังคงเอาแต่โทษตัวเอง แม้ในใจจะคิดว่าสิ่งที่ทำมาตลอดคือความถูกต้อง
และถ้ามันเป็นความถูกต้อง... แล้วทำไมเขาถึงรู้สึกผิดอย่างนี้ล่ะ?
“คุณฝืนเหรออี้ชิง?”
“...ครับ?”
“จงแด คุณล่ะ?”
“...”
คนถูกถามต่างเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ชเวซีวอนกำลังคิดอะไรอยู่นั้นทั้งคู่ไม่รู้เลยสักนิด ชายวัยกลางคนหยุดสายตาอยู่ที่คนเจ็บ พร้อมจ้องหน้าอย่างจริงจัง
“เห็นไหมว่าไม่มีใครฝืน”
“...”
“ผมคิดว่าคุณกำลังคิดไปเองคนเดียวแล้วล่ะคยองซู” ซีวอนไหวไหล่ ก่อนจะลุกขึ้นเตะดินกลบกองไฟเล็ก ๆ ให้ดับลง แล้วยื่นกระเป๋าอาวุธให้อี้ชิง “ถ้าเราเข้าในป่าชั้นในไม่ได้ งั้นคืนนี้ก็ต้องหาที่ปลอดภัยพักก่อนสักคืน”
“ในป่าเนี่ยนะ?” จงแดเลิกคิ้ว
“ริมธารน่าจะเวิร์คกว่า แต่ต้องห่างจากตรงนี้หน่อย” ชายวัยกลางคนก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนเจ็บ ก่อนจะหันหลังแล้วย่อตัวลง “เอาเขาขึ้นมา”
“คุณจะทำอะไร?” คยองซูขมวดคิ้วมองแผ่นหลังกว้าง ซึ่งแม้แต่จงแดกับอี้ชิงก็ยังไม่เข้าใจ
“พาเข้าขึ้นมา”
“ที่ผมพูดโง่ ๆ มาตลอดทั้งทาง มันไม่ทำให้คุณเข้าใจเลยใช่ไหม?” เด็กหนุ่มนิ่วหน้าเจ็บกับบาดแผล
“ผมเข้าใจ แต่ถ้าคุณกำลังฝืน ผมกับเขาสองคนจะพาคุณออกไปจากที่นี่เอง”
“...”
ทั้งสามมองไปยังชายวัยกลางคนซึ่งดูเหมือนว่าจะมีความกังวลน้อยที่สุด หรืออาจจะมี... แต่เจ้าตัวนั้นเลือกซ่อนมันเอาไว้ใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้น
อี้ชิงพยักหน้าเป็นเชิงบอกจงแดให้ช่วยกันประคองร่างคยองซูให้ขึ้นขี่หลังชายร่างสูงโปร่ง สีหน้าคนเจ็บดูไม่สู้ดีนัก ซึ่งคงมาจากสิ่งที่คนรอบข้างแสดงออกต่อเขามากกว่าความเจ็บปวดทางร่างกาย
“คุณใช้หน้าไม้ได้ใช่ไหมจงแด?”
“ถ้าระยะไกลผมคงยิงไม่โดน แต่ถ้าเป็นระยะใกล้ก็น่าจะ... มั้งนะ” เขาตอบอย่างไม่มั่นใจ แต่ซีวอนก็พยักหน้าบอกให้เขาคว้ามันขึ้นมาถือไว้
“หาทางออกไปจากที่นี่กันเถอะ” ชายวัยกลางคนมองเจ้าหน้าที่หนุ่มและบุรุษพยาบาลสลับกัน “แล้วหลังจากนั้น เราค่อยคิดหาวิธีกลับมาเอาอุทยานคืน”
สายไฟสีดำถูกสอดเข้าไปในหูกล่องกระดาษที่ตัดเป็นรูไว้ ก่อนจะหย่อนลงจากชั้นสองไปอย่างช้า ๆ ขณะที่เสียงโหยหวนรอบข้างยังกดดันไม่ได้ขาด จนถึงตอนนี้พวกผีดิบก็ยังทยอยไปตามเสียงสัญญาณกันขโมยเรื่อย ๆ แม้เขาทั้งคู่จะข้ามมาอีกฝั่งได้แล้ว
ชานยอลจงใจคว่ำกล่องลงเพื่อให้นาฬิกาดิจิตอลกระจายออก เขาตั้งเวลาเผื่อไว้แค่สามนาทีก่อนที่เสียงมันจะดังเรียกความสนใจ สายไฟถูกเก็บขึ้นมาเผื่อเอาไว้ใช้อีก แต่การหาลังกระดาษนั้นไม่ยากนักสำหรับละแวกนี้ที่ต้องใช้กล่องใส่พัสดุสินค้า
หวอ! หวอ! หวอ!
เสียงสัญญาณกันขโมยดังขึ้นเป็นจุดที่สี่ ซึ่งตอนนี้ชายหนุ่มมองเห็นรถบรรทุกที่เป็นเป้าหมายแล้วว่ามันอยู่ตรงไหน แต่ความลำบากอยู่ที่เราทั้งคู่ไม่สามารถข้ามผ่านชั้นดาดฟ้าได้อย่างเช่นก่อนหน้านี้แล้ว และการเดินบนท้องถนนก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพราะตอนนี้พวกมันกำลังทยอยมาตามเสียงที่เขาเป็นคนก่อขึ้น
“เอาไงต่อดี”
นั่นเป็นอีกคำถามหนึ่งที่ทำให้ชานยอลต้องใช้เวลาคิด ซึ่งมันอีกแค่นิดเดียวเท่านั้นพวกเขาก็จะผ่านพ้นจุด ๆ นี้ไปได้ แต่ในเมื่อไม่มีทางเชื่อมต่อ ไม่มีชั้นดาดฟ้า นั่นอาจจะเป็นการบีบทั้งคู่ว่าให้เลือกเส้นทางบนถนนแทน
“คุณทำอะไร?” แบคฮยอนเปิดหน้าต่าง พร้อมชะโงกหน้าออกไปข้างนอกเพื่อสังเกตการณ์ “แบคฮยอน?”
“ไม่ใช่แค่คุณที่มีไอเดียคนเดียวหรอกนะ” คนตัวเล็กยิ้มพร้อมปีนขึ้นไปนั่งยอง ๆ อยู่บนหน้าต่าง โยนกระเป๋าที่หมดประโยชน์ทิ้งไปและเก็บแค่พลุแฟร์เหน็บไว้ข้างหลัง
“...”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว วางสองมือลงบนหน้าต่างและชะโงกมองอีกคนที่กำลังปีนเป็นลิงเป็นค่างทั้งที่ข้อเท้าก็ยังเจ็บอยู่ ระเบียงที่ยื่นออกมานั้นคงแค่ครึ่งเท้าเขาเห็นจะได้ แต่ถ้าให้เลือกระหว่างฝ่าพวกกินคนจากข้างล่างไปหาจุดหมายล่ะก็... การเสี่ยงกับที่สูงอาจจะมีเปอร์เซ็นต์ปลอดภัยกว่า
“อะไรที่ทำให้ผมคิดว่าวิธีนี้ดีที่สุดนะ...” แบคฮยอนพึมพำกับตัวเอง พลางหลุบสายตามองด้านล่างที่พวกตัวกินคนสามารถมองเห็นได้ และกำลังยื่นมือไม้ขึ้นมาราวกับว่าพวกมันพร้อมจะอ้าแขนรับ ถ้าหากเขาหรือชานยอลร่วงลงไป
“อย่ามองข้างล่างครับ”
เด็กน้อยเม้มริมฝีปากแน่น หายใจเข้าลึก ๆ แล้วก้าวไปจนถึงหน้าต่างตึกด้านขวามือ ทันทีที่ผ่านหน้าต่างเข้าไปข้างในได้ สองขาก็แทบทรุดกับพื้น คล้ายว่าหมดเรี่ยวแรงไปกับความบ้าบิ่นของตนเองเมื่อครู่
ชานยอลยื่นมือมาพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งคนตัวเล็กไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายกำลังสมเพชอยู่หรืออะไรกันแน่ แบคฮยอนคว้ามือแกร่งไว้เป็นหลักแล้วดึงตัวเองให้ลุกขึ้น ตรงนี้ไม่มีผีดิบให้ต้องสู้ แต่เสียงครางฮือที่ดังมาจากข้างนอกก็ทำให้คนตัวสูงชักมีดออกมา
“...”
ทั้งคู่หยุดยืนอยู่หน้าประตู แบคฮยอนกำลูกบิดไว้และสบตากับอีกฝ่าย พอชานยอลพยักหน้าเขาจึงหมุนและดึงมันเข้าหาตัว ก่อนคนตัวสูงจะเดินออกไปพร้อมถือไฟฉายขนาดเล็กไว้ระดับปลายคางและไขว้มือที่ถืออาวุธไว้ด้านบนอีกที
ชายหนุ่มส่งสัญญาณมือบอกให้เด็กน้อยแยกไปจัดการผีดิบในชุดพนักงานที่อยู่ฝั่งซ้าย ส่วนเขาเข้าไปจัดการอีกตัวที่อยู่ด้านขวา ทุกอย่างจบลงอย่างรวดเร็วเมื่อพวกเขาต้องทำเวลา และการปีนป่ายไปตามที่สูงคงไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป เพราะพวกเขาเริ่มเข้าใกล้รถบรรทุกคันนั้นจนเห็นได้ในระยะสายตา
“ตรงนั้นยังเยอะอยู่เลย เราฝ่าเข้าไปไม่ได้แน่ นาฬิกาปลุกก็หมดแล้วด้วย” แบคฮยอนขมวดคิ้วอย่างคิดไม่ตก
บนถนนเส้นใหญ่เต็มไปด้วยรถ ซากศพบนพื้น และเหล่าผีดิบที่กำลังหิวโหย คนตัวเล็กถูจมูกและปล่อยให้ความเงียบทำงาน เขากำลังพยายามคิดหาทางออกที่ดีที่สุด แต่มันก็เป็นเรื่องยากเหลือเกิน
“เราต้องทำอาวุธเพิ่ม”
“คุณหมายถึง?” เด็กน้อยขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปทางด้านซ้ายตามจุดที่ชานยอลกำลังจ้องอยู่ ซึ่งนั่นก็คือมินิมาร์ท GS25
“ผมจะสร้างโมโลทอฟ”
แฟร์อันที่สองดับลงหลังจากใช้มันเป็นตัวล่อความสนใจเมื่อทั้งคู่วิ่งข้ามถนนเส้นเล็กมาอย่างทุลักทุเล แต่สุดท้ายเขาก็เข้าไปในร้านได้ในที่สุด แม้ต้องจัดการผีดิบที่ตามตื๊อไม่เลิกไปหลายตัว
“วัตถุดิบไม่ครบแน่ ผมเห็นแค่น้ำตาล” แบคฮยอนกวาดสายตาไปตามชั้นวางของซึ่งมีของเหลือกินเหลือใช้มากมายจนน่าแปลกใจ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าที่นี่อยู่กลางเมือง และกลุ่มซงมินโฮก็ไม่เคยเข้ามาลึกขนาดนี้ เสบียงจึงยังคงเหลืออยู่มากมาย ซึ่งมันยากที่เขาจะหันหลังให้เฉย ๆ “อยากเอากลับไปด้วยจัง” ทำได้แค่คิดแต่ลงมือทำไม่ได้ เพราะถ้าขนเสบียงไปก็รังแต่จะเป็นภาระทำให้เคลื่อนตัวได้ช้าลง
“เอาผงซักฟอกมาให้ผม” ชานยอลตรงเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ พร้อมเปิดตู้ซึ่งมีแผงบุหรี่และเหล้าหลากชนิดวางเรียงอยู่
“คุณจะทำยังไงกับมัน?” คนตัวเล็กวางของตามที่อีกฝ่ายสั่งลงบนเคาน์เตอร์ พลางมองออกไปข้างนอกกระจกมินิมาร์ทเป็นระยะ
“เหล้าทำให้เกิดไฟได้ ส่วนผงซักฟอกมีสารฟอสฟอรัส มันจะทำให้ไฟกระจายเป็นวงกว้างขึ้นครับ” พูดจบก็ใช้ฟันกัดซองไว้แล้วฉีกออก ก่อนจะเทผงซักฟอกใส่เข้าไปในขวดเหล้าและปิดท้ายด้วยการยัดผ้าเข้าไป
“อ่า” แบคฮยอนอ้าปากค้าง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสารบ้าบออะไรนั่นมันมีปฏิกิริยายังไงบ้าง
“ผมไม่รู้ว่าแค่นี้จะระเบิดรถได้ไหม เพราะฉะนั้นผมจะไม่เสี่ยงกับรถยนต์” ชายหนุ่มว่าพลางกวาดสายตาด้านนอก “คงต้องใช้มอเตอร์ไซค์สักคัน”
“คุณจะขับมันเหรอ”
“แบคฮยอนครับ” ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างถอดใจ ซึ่งคนตัวเล็กก็ไม่เข้าใจว่าเขาถามผิดตรงไหน จึงเลิกคิ้วพร้อมแบมือทั้งสองข้างออก
ชานยอลผลักประตูมินิมาร์ทช้า ๆ พร้อมก้มตัวลงต่ำ เขาให้แบคฮยอนตามอยู่ข้างหลังและถือโมโลทอฟกับไฟแช็กไว้ รถที่จอดอยู่ข้างฟุตปาธเป็นกำบังชั้นยอด แต่จะดีกว่านี้ถ้าหากว่ามันจอดเรียงยาวไปจนสุดมุมถนนโดยไม่ทำให้พวกกินคนเห็นพวกเขา
“เอาไง”
“ขอผมคิดหนึ่งนาที” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว พลางชะโงกหน้าออกไปด้านนอกเพื่อหาช่องทางเอาตัวรอดให้ไปถึงรถบรรทุกคันนั้นได้โดยไม่ถูกกัดไปก่อน
“นานไป” แบคฮยอนหันไปมองข้างหลังพลางเขย่าแขนอีกคนเบา ๆ ให้หันไปทางผีดิบสามตัวที่กำลังตรงมาทางนี้
“ยี่สิบวิ”
“ก็ยังนานอยู่ดี...”
“ให้ตายสิ” ชายหนุ่มสบถ ก่อนคว้าขวดโมโลทอฟพร้อมคว้ามือเล็กให้วิ่งหลบโค้งมาด้วยกัน ระหว่างทางเจอตัวกินคนในชุดสูทเก่า ๆ ยืนอ้าปากรออยู่ เขาจึงถีบเข้ากลางอกอย่างแรงจนมันเสียหลักล้มลงไปกับพื้น
ชานยอลใช้ไหล่ดันประตูร้านอาหารเข้าไปเพื่อหาที่หลบภัย ทั้งคู่ยกมือขึ้นปิดจมูก หลังจากได้กลิ่นเหม็นเน่าที่ทำให้รู้สึกอยากอาเจียนออกมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด จากที่มองเห็นผ่านแสงแดดที่ส่องเข้ามา ก็คงไม่สงสัยแล้วว่ากลิ่นนั้นคืออะไร หลังจากได้เห็นซากศพท้องโหว่อยู่บนพื้นราว ๆ สี่คน และมีแมลงวันมากมายบินตอมอยู่
“แบคฮยอน” ทันทีที่ได้ยิน เจ้าของชื่อก็หันไปสบตากับคนตัวสูง “เราคงไปเอารถคันนั้นด้วยกันไม่ได้ คุณรู้ใช่ไหม?”
“...”
“เราคงโดนกัดแน่ถ้าวิ่งฝ่าพวกมันเข้าไปเอารถที่ไม่รู้ว่ามีกุญแจเสียบอยู่หรือเปล่า แฟร์ที่เหลืออยู่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก และนั่นหมายความว่าใครคนหนึ่งต้องล่อพวกมันออกห่างจากรถบรรทุก”
“โอเค งั้น --”
“ไม่ใช่คุณ”
“...”
คนอายุน้อยกว่ายืนนิ่ง กับทางที่ชานยอลไม่เปิดโอกาสให้เขาได้เลือก ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางความเงียบและกลิ่นความตายซึ่งเข้าใกล้จมูกเราเรื่อย ๆ
ไม่รู้ว่าจะเป็นโอกาสสุดท้ายในชีวิตปาร์คชานยอลหรือเปล่าหลังจากเอาตัวรอดมาได้หลายครั้ง ไม่ว่าจะเพราะปาฏิหาริย์หรือฝีมือที่พอมีอยู่ แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะรอดกลับไปได้
เบื้องลึกบอกให้หาทางหนีไปจากที่นี่แทนที่จะตอบแทนกลุ่มชายชุดดำ แต่พอทบทวนแล้ว... ปาร์คชานยอลก็ยังอยากเป็นมนุษย์ที่มีจิตสำนึกอยู่บ้าง สักนิดก็ยังดี
ชายหนุ่มเอื้อมมือขึ้นมาอย่างลังเลขณะสบตากับคนตรงหน้า ก่อนจะตัดสินใจวางลงบนศีรษะทุยแทนแก้มขาวที่ยังเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับคนแย่ ๆ อย่างเขา
“ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น อย่าลังเลที่จะหนี เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหมครับ?”
“อย่าทำแบบนี้สิ ผมเริ่มใจไม่ดีแล้วนะ”
แบคฮยอนไม่ชอบความรู้สึกนี้เลยสักนิด ที่พูดมามันเหมือนสั่งลาเลยไม่ใช่หรือไง คนตัวเล็กคว้าข้อมืออีกคนไว้ทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกห่าง ไม่ว่ายังไงเขาก็อยากให้ผู้ชายเข้าใจยากได้รู้ว่าบยอนแบคฮยอนอยากให้เราอยู่ด้วยกันมากกว่าให้ใครสักคนตายเพราะการเสียสละ
“เรามาถึงตรงนี้ได้ มันไม่ใช่เพราะดวงนะ”
“...”
“มันไม่ใช่นิสัยของคุณเลย ทำไมถึงพูดอย่างนั้น”
คนตัวเล็กสบตากับอีกฝ่าย ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่อยากทำความเข้าใจสิ่งที่เขาพูดสักเท่าไหร่นัก
“ผมขอร้องนะ ชานยอล”
“...”
“อย่าถอดใจ” คนตัวเล็กเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง เพื่อปรับเสียงให้อยู่ในโทนปกติ โดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขากำลังกลัวแค่ไหน “เราต้องกลับไปด้วยกัน สัญญากับผม”
“...”
“พูดมาสิ พูดอะไรก็ได้อย่าเอาแต่ --”
ริมฝีปากสีเชอร์รี่ถูกห้ามให้หยุดโดยที่ยังพูดไม่จบ ชายหนุ่มโอบกอดร่างตรงหน้าเข้าแนบชิดแผงอกตน พร้อมบดขยี้จูบริมฝีปากที่เขาชอบมอง ชานยอลเอียงคอปรับองศาจูบให้แนบแน่นยิ่งขึ้นจนตอนนี้ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของเราที่ประสานกัน
แบคฮยอนกะพริบตากับความงุนงงที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว สองมือค้างอยู่กลางอากาศ ก่อนจะค่อย ๆ กอดตอบและหลับตาลงในวินาทีถัดมา
จูบที่ร้อนแรงในทีแรกสื่อถึงความอดทนที่สิ้นสุดลง กับโลกที่เปลี่ยนไปจนทำให้ทุกอย่างล้วนมีแต่ความน่ากลัว ปาร์คชานยอลไม่อยากอดทนรออีกแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพรุ่งนี้มันจะมีจริงอย่างที่เขาพูดอย่างฉะฉานหรือไม่
จากบดขยี้จูบแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยน ลิ้นร้อนกวาดซึมซับเอาความรู้สึกมากมายเอาไว้ ก่อนจะค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออกมาสบตากัน
“ยังอยากสั่งลาอยู่อีกไหม...” แบคฮยอนถามเสียงแผ่ว มองจากตรงนี้แล้วปาร์คชานยอลไม่รู้เลยว่าคนตัวเล็กกำลังหน้าแดงหรือไม่ แต่ถ้าให้ใช้ความรู้สึกเป็นตัวคาดเดา... เขาคงคิดว่ามันคงพอสมควร
“เรื่องเสียสละน่ะ... ผมว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฮีโร่คงดีกว่า”
ทั้งคู่หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนชานยอลจะกดริมฝีปากลงไปอีกครั้งแล้วผละออกมาจ้องดวงหน้าขาว แบคฮยอนไม่ได้แสดงท่าทีว่ารังเกียจจูบของเขา และนั่นเป็นกำลังใจชั้นเยี่ยมที่ทำให้ปาร์คชานยอลอยากพาตัวเองและอีกฝ่ายรอดจากตรงนี้ไปด้วยกัน
“ชานยอล นั่น” คนตัวเล็กชี้ไปยังมอเตอร์ไซค์ส่งอาหารซึ่งจอดอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก ชายหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ พร้อมกวาดสายตาเก็บรายละเอียดสิ่งรอบข้าง ก่อนจะหันเข้าหาอีกฝ่าย
“คุณจำแผนได้ใช่ไหม?” เขาหันไปถามย้ำ ซึ่งแบคฮยอนก็พยักหน้าเป็นคำตอบ “ดี เราไม่มีเวลาเตรียมตัวหรือลังเล เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องเร็ว”
“ผมพร้อมแล้ว”
ทั้งคู่สบตากันระหว่างรวบรวมความกล้า อาจจะสักห้าหรือสิบวินาทีเห็นจะได้ ชานยอลจึงจุดไฟปากขวดเหล้าและปาไปยังมอเตอร์ไซค์คันนั้นอย่างแรงจนเกิดเพลิงไฟขึ้น กระทั่งมันระเบิดในที่สุด
ดวงตาคมมองไปยังเหล่าผีดิบที่กำลังเดินโซซัดโซเซไปหามอเตอร์ไซค์คันนั้น ชายหนุ่มรอจังหวะอยู่ราว ๆ อึดใจ ก่อนจะทำสัญญาณมือเพื่อบอกให้แบคฮยอนวิ่งเข้าไปในรถคันที่เปิดประตูทิ้งไว้โดยมีซากศพแห้งกรังพาดอยู่ ตามความน่าจะเป็นที่ชานยอลบอกไว้ว่าน่าจะมีกุญแจอยู่ในนั้น
ขายาววิ่งไปขึ้นรถอีกคันและแทงมีดเข้าไปกลางลูกตาผีดิบที่ดิ้นพล่านอยู่ตรงเบาะคนขับ ก่อนจะปลดสายรัดเข็มขัดนิรภัยออกให้และถีบศพไร้วิญญาณออกไปอย่างไม่ใยดี ก่อนจะเข้าไปแทนที่
เสียงสตาร์ทรถอีกคันดังขึ้น แบคฮยอนที่นอนหลบอยู่ในรถกลืนน้ำลายเอาความกดดันลงคอ กระทั่งชานยอลขับรถออกไปเขาจึงค่อย ๆ เลื่อนตัวขึ้นเพื่อมองภาพเบื้องหน้า รถยนต์สีขาวขับเลี้ยวไปทางรถบรรทุก เหยียบคันเร่งเรียกความสนใจจนพวกกินคนเดินไปห้อมล้อม แล้วขับถอยหลังเพื่อลากพวกมันออกมาจากตรงนั้นตามแผนที่วางไว้
แบคฮยอนยันตัวลุกขึ้นนั่ง ตบแก้มเรียกสติตนเองอยู่ในทีก่อนจะสตาร์ทเครื่องแล้วขับไปหารถบรรทุก รอบข้างยังคงมีผีดิบกระจายตัวอยู่ แม้ชานยอลจะขับลากออกไปบ้างแล้ว แต่มันก็บางตาลงจนทำให้คนตัวเล็กกะเผลกขาออกมาและขึ้นไปบนรถบรรทุกได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที
“กร๊าซซซซซซซซซซซซ!!!”
เสียงของพวกมันและภาพชานยอลที่กำลังขับถอยหลังจนโดนล้อมกดดันยิ่งขึ้นเป็นร้อยเท่า แบคฮยอนพยายามตั้งสติให้มากที่สุดแม้ว่าความกลัวจะเล่นงานเขาจนสองมือมันสั่นไปหมด
เด็กน้อยบิดกุญแจ ความรู้สึกแรกคือหัวใจหยุดเต้นเมื่อพบว่าไม่มีเสียงเครื่องยนต์ติดอย่างที่คาดหวังไว้ อาจเป็นเพราะเครื่องเย็นหรืออะไรก็ตามแต่ นัยน์ตาเบิกโพลงอย่างตกใจ พร้อมหมุนข้อมือบิดกุญแจซ้ำ ๆ แต่รถบรรทุกก็ไม่มีทีท่าว่าจะสตาร์ทติด
แกร่ก แกร่ก แกร่ก!
“ไม่สิ... ขอร้องล่ะ... ติดสิ! ติด!”
คล้ายว่าเสียงบิดกุญแจรถคือสัญญาณของความสิ้นหวังที่มาพร้อมภาพผีดิบจำนวนมากที่กำลังล้อมรถยนต์ของชานยอลไว้จนมองเห็นเพียงหลังคาสีขาวเท่านั้น และใกล้เข้ามาหน่อยคือพวกมันที่กำลังตรงเข้ามาหาเขา หลังจากเห็นสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวขึ้นมาบนรถคันนี้
ความกดดันตีตื้นเข้ามาจนรู้สึกหายใจไม่ออก ริมฝีปากบางสั่นระริกพร้อมมือที่ยังคงบิดกุญแจรถไม่หยุด
“กร๊าซซซซซซซซ!!”
ไม่ใช่แค่ชานยอลที่กำลังเผชิญหน้ากับอันตราย แต่ตัวเขาเองก็เช่นกัน กระจกประตูถูกทุบซ้ำ ๆ จากตัวกินคนที่อยู่ด้านนอก และมันยังคงพยายามอย่างไม่ย่อถอยจนกว่าจะได้กินเขา
ครืน...
“...”
ไม่อยากเชื่อ... แบคฮยอนกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอก่อนจะเข้าเกียร์และเหยียบคันเร่งไปข้างหน้าทันทีที่รถสตาร์ทติด สองมือยังคงสั่นเทาจนไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะกลับเข้าสู่สภาพปกติได้ เขาไม่มีเวลาให้ความตกใจหรือความกลัวอีกแล้ว เด็กน้อยเลือกขับตรงเข้าหารถคันสีขาวที่ถูกห้อมล้อมมากกว่าขับหนีหาทางออก
“...”
ชายหนุ่มที่กำลังถอดใจว่าคงไม่รอดกำลังเบิกตากว้าง เพราะสิ่งที่เขามองเห็นตอนนี้กลับไม่ใช่เหล่าตัวกินคนจำนวนมากที่พยายามทุบกระจกและปีนป่ายกระโปรงหน้า แต่กลับเป็นรถบรรทุกคันใหญ่ที่พุ่งตรงมาทางนี้และไม่มีท่าทีว่าจะเหยียบเบรก
ชานยอลเด้งตัวไปข้างหน้าจนหัวโขกกับพวงมาลัยอย่างแรงทันทีที่รถของเขาถูกชนด้วยรถบรรทุกที่คนตัวเล็กขับอยู่ เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่ชายหนุ่มใช้เวลาไปกับการสะบัดหัวไล่ความมึนงง รถบรรทุกสีขาวก็ขับถอยหลังไป พร้อม ๆ ร่างผีดิบด้านหน้าที่ถูกบดขยี้จนขาดครึ่ง ซึ่งนี่คือโอกาสทองที่เขาจะขับหนี
ชายหนุ่มเข้าเกียร์และเหยียบคันเร่ง เขาเห็นแล้วว่าตอนนี้แบคฮยอนจอดลงที่ทางโค้งและเปิดประตูรออยู่ ชานยอลเหยียบเบรกและรีบลงจากรถ พร้อมกระโดดถีบผีดิบที่ขวางทางไปให้พ้น
ขายาววิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วทั้งหมดที่เขามี ก่อนจะปีนขึ้นไปบนที่นั่งคนขับทางด้านซ้ายโดยไม่ลังเลที่จะเหยียบคันเร่งเดินหน้า
“พระเจ้า... เมื่อกี้ผมเกือบเป็นบ้าตายเพราะกลัวว่าถุงลมรถคุณมันจะทำงาน” แบคฮยอนมองคนตัวสูงเพื่อเก็บรายละเอียด ชานยอลไม่โดนกัด... ไม่มีรอยแผลอะไรนอกจากหน้าผากที่เป็นรอยแดง
“ถือว่าเป็นโชคของผมใช่ไหม?” ชายหนุ่มหอบหายใจ พลางหันไปยิ้มให้กับคนตัวเล็กที่มีสภาพไม่ต่างกัน “ขอบคุณที่ช่วยเปิดทางให้ผม”
“ด้วยความยินดี...”
เสียงนาฬิกาปลุกประสานสัญญาณกันขโมยยังคงดังอย่างต่อเนื่อง รถบรรทุกสีขาวเร่งความเร็วขับชนสิ่งกีดขวางออกมาโดยไม่สนใจเสียงหวีดร้องซึ่งไล่ตามมาจากทางด้านหลัง รวมไปถึงซากศพมีชีวิตที่ยืนอยู่บนท้องถนน
คราบเลือดกับชิ้นเนื้อติดเป็นวอลเปเปอร์รถ เขาพยายามเลี่ยงเส้นทางที่มีพวกมันอยู่เยอะ ซึ่งก็คือจุดที่มีเสียงนาฬิกาปลุก กระทั่งมาถึงจุดที่เลี่ยงไม่ได้ รถบรรทุกขับฝ่าวงล้อมผีดิบมากมายไปอย่างเชื่องช้า แต่หัวใจของคนที่อยู่ในรถกลับเต้นเร็วแรงจนแทบจับจังหวะไม่ได้
กี่นาทีกันที่ทั้งคู่ต้องลุ้นว่าจะรอดจากวงล้อมหรือไม่ มันอาจจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็ยาวนานเหลือเกินสำหรับความกลัวทั้งหมดที่ต้องเผชิญกับตัวกินคนจำนวนมาก
“เราสองคนนี่บ้าบิ่นกันจริง ๆ”
เขาหันไปมองคนตัวเล็กที่ยิ้มขำทั้งสีหน้าอิดโรย จึงเอื้อมมือไปยีศีรษะทุยเบา ๆ แล้วหันไปให้ความสนใจถนนเบื้องหน้าหลังจากขับผ่านพ้นฝูงนรกออกมาได้แล้ว แบคฮยอนเอนหัวซบกับไหล่กว้างอย่างเหนื่อยอ่อน โดยไม่นึกถึงทิฐิหรือความกังวลใด ๆ ที่เคยเป็นกำแพงต่อเราสองคนอีก
กลุ่มชายชุดดำเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น บ็อบบี้เสยผมขึ้นค้างไว้กลางศีรษะพร้อมสบถคำหยาบคายออกมาซ้ำ ๆ ขณะที่ซงมินโฮกับนัมแทฮยอนยืนอึ้งโดยที่พูดอะไรไม่ออก
‘สองคนนั้นเป็นใครกันแน่?’
นั่นคือคำถามแรกที่ผุดเข้ามาในความคิดของเขา
นัยน์ตาคมจับจ้องไปยังทั้งสองคนที่ลงมาจากรถบรรทุกในสภาพอิดโรย ก่อนที่ปาร์คชานยอลจะโยนแฟร์อันสุดท้ายออกมาข้างหน้าเพื่อย้ำให้คนเหล่านี้ประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีก บ็อบบี้และคนที่เหลือรีบเข้าไปเปิดท้ายรถเพื่อเช็กสิ่งของว่าเสบียงมีอยู่จริงหรือไม่ ก่อนคำตอบจะเป็นเสียงเฮฮาของเด็กหนุ่มอารมณ์ขัน
ชานยอลและมินโฮสบตากันอย่างหยั่งเชิง ขณะที่แทฮยอนและบ็อบบี้เข้าไปดูอาการแบคฮยอน กอดคอพร้อมพูดจาหยอกล้อ ทั้งที่ปาร์คชานยอลจะหนีไปก็ได้... แต่หมอนั่นเลือกที่จะกลับมาพร้อมสิ่งของที่แม้แต่คนในกลุ่มเขายังไม่รู้เลยว่ามันมีจริงอย่างที่คนในละแวกนี้ลือไว้หรือเปล่า
บยอนชานยอลและบยอนแบคฮยอนกล้าเดินเข้าหาความตายโดยไม่มีอาวุธ และกลับมาได้โดยไม่สูญเสียใครไปสักคน ซึ่งมันทำให้ซงมินโฮนึกถึงประโยคหนึ่งที่อีกฝ่ายพูดกับเขาก่อนออกมาว่า...
‘และคุณจะได้เห็นว่าผมมีทางเลือกให้ตัวเองอยู่เสมอ’
TBC
เป็นตอนที่เขียนแล้วเหนื่อยมาก เหนื่อยแรง เกือบหมื่นคำ เป็นไงบ้างคะ บู๊สะใจไหม พฮึก ขอบคุณกิ๊งกับติ๋มที่ช่วยคิดไอเดีย คิดฉากในตอนนี้นะคะ ไปกินข้าวละ หิวมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จะติดเทรนด์อีกปะอยากรู้ มาอัพไวเกิน
#พี่เล่ยด่าว่าไร #งงกัน #เปโกะเป็นคนแปลจีนให้
ความคิดเห็น