คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Chapter 9 :: Medicine
Chapter 9
Medicine
ครืน...
รถทั้งห้าคันขับเข้ามาในโรงเรียนโดยที่มีเด็กผู้ชายสองคนยืนเปิดประตูรอไว้ นัยน์ตาคมมองผ่านกระจกมองหลังแล้วก็เห็นเด็กสองคนกำลังล็อคประตูทางเข้าด้วยโซ่ตรวนก่อนจะวิ่งกลับมาหาปาร์คกาฮีที่เพิ่งลงจากรถ
“มึงว่าอีเจ๊นั่นแปลก ๆ ป่ะวะ?” จงอินถามขณะมองไปยังหญิงสาวที่กำลังยืนคุยกับนักเรียนชายกลุ่มหนึ่งอยู่
“ทำไมวะ เจ๊แกก็สวยดีออก หรือมึงว่าไม่?”
“กูไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นป่ะห่า มึงนี่หน้าขนสัด เห็นผู้หญิงเป็นไม่ได้รีบตอบตกลงเลยนะมึง ไม่ถงไม่ถามความสมัครใจพวกกูสักคำ จะตายห่ากันหมดเพราะความหน้าม่อของมึงนี่แหละ” จงอินผลักหัวคนข้าง ๆ จนเงนไปติดกระจกในขณะที่เซฮุนนั่งเงียบ ๆ มองอี้ฟาน ชานยอล และแบคฮยอนที่เพิ่งเดินลงจากรถอีกคัน
นักเรียนกลุ่มนั้นช่วยกันขนของที่ท้ายกระบะอย่างรู้งาน การแบกกระสอบข้าวสารไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เด็กผู้ชายถึงสองคนต่อการแบกข้าวหนึ่งกระสอบ
“มึงกลัวเจ๊แกหลอกเรามาฆ่าหรือไง”
“ใครจะรู้ ไอ้เด็กที่ชื่อเทานั่นก็ทำท่าหวงของอย่างกับหมา แล้วจู่ ๆ อีเจ๊เสือกแสดงความมีน้ำใจชวนพวกมึงทั้งครึ่งโหลให้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้กูชักจะหวั่น ๆ อยู่ว่ะ”
“คิดมากเกินไปมั้ง” เซฮุนพูดเรียกความสนใจจากคนที่นั่งอยู่เบาะหน้าให้หันกลับมามอง
“เงียบปากไปเลยเด็กน้อย ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน”
“ต่อให้คุณกังวลแล้วยังไง ในเมื่อคุณขับรถเข้ามาแล้ว” เซฮุนพูดเสียงเรียบทำเอาคนขับพูดไม่ออก
“เออ ถูกของมัน มึงจะคิดมากไปทำไมวะ”
ก๊อก ๆ
ทั้งสามคนหันไปมองประตูฝั่งคนขับแล้วก็เห็นแบคฮยอนยืนเคาะประตูอยู่ คนตัวเล็กกวักมือเรียกให้ลงไปด้วยกันพวกเขาถึงได้ยอมไสตัวออกจากรถได้ จงอินยังคงดูหวั่นใจ เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ ลานกว้างแล้วก็พบตึกห้าชั้นอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นเด็กสาวกลุ่มหนึ่งเดินถือตะกร้าผ้าออกมา
“นี่คือหอพักชาย พวกเราทุกคนอาศัยอยู่ในตึกนี้กันทั้งหมด” ปาร์คกาฮีพูดเรียกสติคนที่กำลังสังเกตการณ์รอบ ๆ โรงเรียน จงอินเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ เธอแล้วชี้ไปที่ประตูที่พวกเขาเพิ่งขับเข้ามาเมื่อครู่
“มีคนเฝ้าประตูนั่นไหม?”
“ไม่มีหรอก นั่นคือประตูหลังโรงเรียน ใช้สำหรับเป็นทางเข้า-ออกอย่างเดียวน่ะ”
“แล้วประตูหน้าล่ะ” ประโยคนี้ทำให้หญิงสาวหยุดฝีเท้าลง เธอหันไปมองคนข้าง ๆ พร้อมกับยิ้มอย่างมีความหมาย
“เราไม่ได้ใช้ประตูฝั่งนั้นมานานพอสมควรแล้วล่ะค่ะ” พอได้ยินคำตอบจงอินก็ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทำไมถึงไม่ใช้ประตูหน้าโรงเรียนทั้งที่น่าจะกว้างกว่าประตูหลัง?
“พวกคุณอยู่กันยังไง” จงอินถามขณะที่พวกเขากำลังเดินไปที่ตึกด้วยกัน ทุกคนดูสนใจกับสิ่งที่ปาร์คกาฮีกำลังพูดจนกระทั่งลู่หานยกมือบังแสงบางอย่างที่กำลังส่องหน้าเขา
ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นมองดาดฟ้าแล้วก็พบใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างบนนั้นพร้อมกับกระจกในมือ ดูเหมือนว่าเจ้านั่นกำลังสนุกกับการส่องแสงสะท้อนใส่หน้าเขาเสียด้วยสิ
“เล่นเหี้ยไรวะ” ลู่หานพึมพำแล้วเบี่ยงหน้าหลบก่อนจะหันกลับไปอีกครั้งแล้วก็พบว่าเด็กที่อยู่บนดาดฟ้าหายไปแล้ว...
“ก่อนหน้านี้โรงเรียนเรามีนักเรียนอยู่ราว ๆ สี่ร้อยคน เป็นหญิงสองร้อยเจ็ดสิบ เป็นชายอีกสองร้อยสามสิบสี่ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์โรคระบาดทุกอย่างก็แย่ลง นักเรียนล้มตายจำนวนมาก ฉันไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย”
“ตอนนี้พวกคุณเหลือกันอยู่เท่าไหร่”
“สี่สิบห้าคน ถ้ารวมฉันกับครูอีกคนก็เป็นสี่สิบเจ็ด”
“เยอะชิบหาย” ลู่หานหลุดปากพูดออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง นี่อยู่กันเป็นสังคมย่อม ๆ ได้เลยนะเนี่ย
“สี่สิบห้าคนที่มีชายสามสิบเก้า หญิงอีกหกคน” เธอปรายตามองไปยังกลุ่มเด็กสาวที่กำลังช่วยกันซักผ้ากองโต ตามสัญชาติญาณของผู้ชาย แน่นอนว่าจงอินและลู่หานกำลังมองหาคนที่หน้าตาน่ารักที่สุด
“แล้วเรื่องอาหารล่ะ อยู่กันเยอะแบบนี้คงต้องออกไปหาของมาตุนไว้พอสมควรเลยใช่ไหมครับ?” ชานยอลถาม กาฮียิ้มให้กับอีกฝ่ายก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ
“ใช่ เดี๋ยวนี้เราออกไปหาอาหารมาตุนไว้ทุก ๆ สี่วัน ถ้าเป็นเมื่อเดือนที่แล้วก็...อาทิตย์ละครั้ง”
“ก็แน่ล่ะ คนอยู่เยอะขนาดนั้น”
“ต้องขอโทษแทนจื่อเทาด้วยนะคะที่เขาเสียมารยาทกับพวกคุณ”
“ไม่เป็นไรครับ เราเข้าใจ” อี้ฟานตอบ อยู่กันเยอะขนาดนี้คงไม่แปลกที่เทาจะหวงกระสอบข้าวบนเรือขนาดนั้น ไหนจะต้องหาเสบียงมาเพิ่มเติมให้กับคนอีกเกือบครึ่งร้อย แต่ดูเหมือนว่าลู่หานจะเป็นคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจ
“ถ้าให้พักที่ชั้นสี่จะสะดวกกันหรือเปล่าคะ? ขึ้นลงลำบากหน่อย พอดีว่านักเรียนของเราอยู่ชั้นล่างกันหมดแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ เรายังไงก็ได้อยู่แล้ว”
“งั้นก็ดีค่ะ เทา...ช่วยพาแขกไปส่งที่ห้องพักหน่อยนะ เดี๋ยวครูจะไปคุยกับครูฮโยรินสักหน่อย”
“ครับ” เด็กหนุ่มโค้งหัวก่อนที่ปาร์คกาฮีจะเดินไปทำธุระตามที่บอกไปเมื่อครู่ พอหันกลับไปที่รถก็พบกับเด็กกลุ่มเดิมที่กำลังแบกกระสอบข้าวสารกันอย่างขะมักเขม้น
“ตามมา” เจ้าบ้านพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ เทาเดินขึ้นบันไดนำไป ระหว่างทางขึ้นก็หันไปเห็นขวาน ไม้เบสบอลวางอยู่เป็นจุด ๆ
กระทั่งขึ้นมาถึงชั้นสี่ ทั้งชั้นเป็นทางเดินยาวที่มีเพียงแค่แสงจากดวงอาทิตย์เท่านั้นที่ให้ความสว่างกับทางเดินยาว เด็กหนุ่มตัวผอมสูงเดินไปหมุนลูกบิดประตูออกพร้อมกับดันเข้าไปข้างใน
“อยู่กันห้องละสองคนคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
“ขอบคุณนะครับ”
“ว่าแต่อาวุธที่วางไว้ตามทางนั่นคืออะไรเหรอ?” สุดท้ายแบคฮยอนก็เก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ เทาหันกลับไปมองบันไดที่พวกเขาเพิ่งเดินขึ้นมาก่อนจะหันกลับมามองคนตรงหน้าอีกครั้ง
“เราวางไว้แบบนั้นชั้นละสามจุด ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินพวกเราจะได้รับมือกับพวกมันได้ทัน”
ได้ฟังแล้วก็พยักหน้าเข้าใจ โรงเรียนนี้รอบคอบกว่าที่คิดไว้พอสมควร เห็นทีว่าเขาต้องคุยกับไอ้เด็กนี่อีกเยอะ แต่ก่อนอื่นคือต้องแบ่งห้องพักให้ทุกคนก่อน
“เอาล่ะ ได้เวลาเลือกรูมเมทแล้ว”
“ผมขออยู่กับเซฮุนได้ไหม?” เป็นแบคฮยอนที่ปริปากก่อนขณะที่ลู่หานอ้าปากเตรียมจะพูด ยิ่งเห็นมันทำหน้าแห้งแล้วก็นึกขำอยู่ในใจ
“ได้สิ นายอยู่ห้องนี้แล้วกัน ใกล้บันไดดี แล้วคุณสองคนล่ะ?”
“ผมยังไงก็ได้” ชานยอลตอบ
“งั้นอี้ฟานอยู่ห้องเดียวกับชานยอล ส่วนมึงอยู่กับกู คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?” จงอินถามลู่หานที่ยืนทำหน้าเซ็งอยู่ เจ้าตัวได้แต่พยักหน้าส่ง ๆ ก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายเข้าไปในห้องตัวเอง
ตอนนี้เหลือเพียงแค่จงอินกับเทาเท่านั้นที่ยืนอยู่ข้างนอกห้อง ทั้งคู่มองหน้ากันแค่ชั่วอึดใจก่อนที่ร่างหนาจะยิงคำถามที่เขาอยากรู้ออกไป
“รอยไหม้บนสนามหญ้าหลังโรงเรียนนั่นคืออะไร คงไม่ใช่จุดทำอาหารหรอกใช่ไหม?”
“เปล่า ตรงนั้นเคยเป็นที่เอาไว้เผาคนตาย”
“เผางั้นเหรอ?”
“ใช่ เผาก่อนที่พวกจะเปลี่ยนเป็นตัวแพร่เชื้อ พวกมันไม่มีวันตาย ต้องใช้วิธีเผามันเท่านั้น”
“ว่าไงนะ?” จงอินขมวดคิ้วพลางมองไปยังใครอีกคนที่ทำหน้าคิดไม่ตก
“พวกเราใช้วิธีเผาในการกำจัดพวกมันน่ะ”
“ฮืออออออ”
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซ”
เคร๊ง เคร๊ง เคร๊ง!!!
เสียงครางฮือของเหล่าผีดิบชายหญิงจำนวนมากที่กำลังพยายามพังรั้วเข้ามา ร่างหนามองไปยังโซ่ตรวนเส้นใหญ่ที่ล่ามประตูไว้อีกทั้งรั้วยังโครงเครงแบบนั้น ไม่อยากจะจินตนาการภาพตอนที่พวกมันพังรั้วเข้ามากันเป็นโขยงเลย คงตั้งหลักกันไม่ทันแน่ ๆ
“ถ้าขืนไม่ทำอะไรสักอย่าง รั้วนั่นต้องพังแน่ มันกันไว้ได้อีกไม่นานหรอก”
“ใช่ นั่นคือสิ่งที่ฉันกังวลมาตลอด” เทาลอบถอนหายใจเบา ๆ
“แล้วตอนไปที่ท่าเรือพวกนายกำจัดมันด้วยวิธีไหน จุดกองไฟรอแล้วผลักมันเข้าใส่น่ะเหรอ?” จงอินถามพร้อมกับเหล่มองคนข้าง ๆ อย่างมีชัย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าหวงจื่อเทามันดูฉลาดเกินเด็ก แต่ที่ไหนได้...รอดมาแบบถู ๆ ไถ ๆ ทั้งนั้น
“เรายิงให้มันเสียหลัก แล้วก็ช่วยกันโยนลงทะเล”
“หนักกว่าที่กูคิดอีก” แทบจะกุมขมับกับคำตอบของเทา ร่างหนาถอนหายใจแล้วมองไปยังหน้าเรียบเฉยของคนข้าง ๆ
“หรือนายมีวิธีที่ดีกว่านั้น?”
“แน่นอน ทีเด็ดมันอยู่ตรงนี้ครับน้องหนู” จงอินยิ้มมุมปากแล้วเดินไปหยุดอยู่หน้ารั้วที่กั้นระหว่างหอพักชายกับลานอเนกประสงค์ เขาดึงมีดพกออกมาจากสนับขา โยนมันขึ้นบนอากาศแล้วจับด้ามมีดเอาไว้ด้วยท่าทางชำนาญก่อนจะแทงเข้าที่กลางหัวผีดิบตัวแรกที่เกาะอยู่ติดกับรั้ว มันร้องครวญครางและร่วงลงไปกองกับพื้นในที่สุด
จื่อเทาเบิกตากว้างเมื่อเห็นแขกใหม่แสดงความสามารถให้ได้เห็นและคนอื่น ๆ ที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ ก็เช่นกัน ทุกคนต่างไม่เชื่อสายตากับสิ่งที่จงอินกำลังทำอยู่เพราะพวกเขาคิดมาตลอดว่าการฆ่าพวกแพร่เชื้อได้มีวิธีเดียวคือการเผามันด้วยไฟเท่านั้น
“ต้องทำลายที่หัวเท่านั้น!”
“ฮืออออออ....”
จงอินหอบเล็กน้อยแล้วเดินกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าเทาพร้อมกับยักคิ้วให้ เสียงปรบมือของนักเรียนหลายคนที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ ทำให้เจ้าตัวยืนยิ้มกว้างจนปากจะฉีกถึงใบหู
“แม่งฉายเดี่ยว ห่านี่แจ้งเกิดไม่เรียกกู” ลู่หานพึมพำขณะมองเพื่อนซี๊ผ่านหน้าต่างชั้นสี่ หายใจฟึดฟัดเพราะความหงุดหงิดที่สุมอยู่ในใจแล้วก็เดินไปค้นกระเป๋าเป้ที่สะพายมาด้วย ค้นหาของอยู่แค่ครู่เดียวก็เจอซองกระดาษแข็งที่อยู่ในช่องเล็กพร้อมกับไฟแช็ค หยิบติดมือขึ้นมาแล้วเดินออกจากห้องเพื่อหาที่ผ่อนคลาย
หันซ้ายหันขวาอยู่ในทีแล้วก็ถอนหายใจอีกรอบ จะไปสูบบุหรี่ตรงไหนดี? ทำไมวันนี้มันมีแต่เรื่องให้หงุดหงิดเต็มไปหมด ตั้งแต่เรื่องที่แบคฮยอนอยากอยู่ห้องเดียวกับไอ้เด็กกรงหมานั่น แล้วไหนจะทางเดินยาวนี่ที่จู่ ๆ ก็ดูน่าโมโหขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
ถ้าจะสูบตรงนี้ก็กลัวจะถูกเจ้าบ้านด่าเข้า แล้วสถานศึกษาแบบนี้จะมีที่ไหนให้เขาได้ระบายความเครียดได้อีก?
“...”
มองบันไดทางขึ้นแล้วก็นึกอะไรออก ลู่หานเดินขึ้นไปข้างบนจนถึงชั้นสูงสุดก่อนจะผลักประตูชั้นดาดไฟเข้าไป แต่ก้าวขาไปได้แค่ก้าวเดียวก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงดังแกร๊บ...
“โอ๊ะโอ...”
ลู่หานก้มลงมองพร้อมกับยกรองเท้าสนีกเกอร์ขึ้นเหนือพื้นแล้วก็พบกับแว่นกรอบดำที่เผลอเหยียบเข้าเต็ม ๆ จนขาเบี้ยว พอเลื่อนระดับสายตาขึ้นอีกนิด...ก็เห็นเด็กผู้ชายในชุดเอี๊ยมกำลัง ๆ ก้ม ๆ เงย ๆ คลำหาอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งนั่นคงไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากแว่นที่เขาเหยียบเข้า
ร่างโปร่งนั่งยอง ๆ พร้อมกับหยิบแว่นขึ้นมาดู แว๊บแรกถึงกับต้องหรี่ตาลงเมื่อมองผ่านทะลุเลนส์ข้างขวาที่ยังปกติหากแต่เลนส์ข้างซ้ายนั้นมีแตกร้าว เด็กหนุ่มหน้าหวานเงยหน้าขึ้นกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะเพ่งมองเขา
“...ใครน่ะ แอลโจเหรอ”
“เปล่า หล่อกว่านั้น” แทนที่จะตอบคำถามไปตามความเป็นจริงแต่คนขี้เล่นกลับนึกสนุก ลู่หานอมยิ้มแล้วปาดมือผ่านระดับสายตาคนตรงหน้าจนคนตัวเล็กกว่าปัดมือออกอย่างรำคาญ
“แล้วนั่นใคร ชอนจีใช่ไหม? นายเห็นแว่นฉันหรือเปล่า ช่วยฉันหาหน่อยสิ เมื่อกี้ฉันจะเช็ดเลนส์แต่มันดันตกพื้นน่ะ” เด็กหนุ่มว่าเป็นตุเป็นตะ ลู่หานเม้มปากจนเป็นเส้นตรงก่อนจะจับมืออีกฝ่ายให้แบออกแล้ววางแว่นที่เขาเพิ่งเหยียบเมื่อครู่ลงไป
“โทษที ฉันเผลอเหยียบมันเมื่อกี้” เด็กหนุ่มรีบใส่แว่นเข้าไปแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย คนตัวเล็กเบิกตาโพลงเมื่อพบว่าคนที่กำลังคุยด้วยนั้นไม่ใช่เพื่อนร่วมชั้นที่คอยมาเปลี่ยนเวรเฝ้ายามแต่อย่างใด
“คุณ?”
“ยังใส่ได้อีกเหรอ ทั้งแตกทั้งเบี้ยวซะขนาดนั้น” ลู่หานถามแล้วเอื้อมมือไปข้างหน้าแต่อีกฝ่ายกลับเบี่ยงตัวหลบ
“ถ้าไม่มีมัน ผมก็มองอะไรไม่เห็น”
“พูดแบบนี้รู้สึกผิดเลยนะเนี่ย”
“มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก ผมทำมันแตกตั้งแต่วันแรกที่เกิดเรื่องแล้ว” เด็กหนุ่มงึมงำเบา ๆ แล้วถอดแว่นออกมาขยับขาอยู่ในทีก่อนจะลุกขึ้นยืน
“งั้นก็ดี จะได้ไม่รู้สึกผิด”
“แต่ที่ขามันเบี้ยวก็เพราะคุณ”
“...”
“ผมพูดเล่นน่ะ” เด็กหนุ่มยิ้มแล้วเดินกลับเข้าไปกลางลานกว้างของดาดฟ้า ลู่หานมองตามเด็กคนนั้นก่อนจะยักไหล่แล้วคาบมวนบุหรี่ออกจากซอง จุดไฟแช็คแล้วเดินตามเข้าไปและไม่ลืมที่จะปิดประตูให้
“คุณขึ้นมาทำอะไร...อ้อ...ผมรู้แล้ว” ยังไม่ทันถามจบก็ได้คำตอบเมื่อหันไปเห็นแขกใหม่พ่นควันสีหม่นลอยขึ้นบนอากาศ สีหน้าปริ่มสุขติดทะเล้นนั่นทำให้เด็กหนุ่มเบือนหน้าไปทางอื่นเพราะไม่ชอบกลิ่นบุหรี่
“แล้วนายล่ะขึ้นมาทำอะไร”
“ผมเป็นเวรเฝ้าตอนกลางวัน” พูดจบก็ยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่อง ทั้งที่มองเห็นแค่ข้างเดียวแต่เด็กคนนั้นก็ยังพยายาม
“ชื่ออะไรน่ะเรา?”
“มินซอก”
“หื้ม?”
“คิมมินซอก”
“เปาจื่อ”
“...”
“แก้มนายเหมือนซาลาเปา ชื่อเปาจื่อดีกว่านะ ฉันตั้งให้”
“อะไรของคุณ อยู่ดี ๆ มาตั้งชื่อให้คนอื่น”
“นายไม่ชอบชื่อนี้ก็ไม่เป็นไร ฉันชอบคนเดียวก็พอแล้ว เนอะเปาจื่อ” ลู่หานยิ้มกวนขณะที่ใครอีกคนขมวดคิ้วขณะมองมาที่เขา
ไม่คิดเลยว่าการขึ้นมาบนดาดฟ้าแล้วจะมีอะไรช่วยบรรเทาความหงุดหงิดให้เขาได้นอกจากบุหรี่ เด็กเนิร์ดหน้าตาหงิม ๆ คนนั้นถึงจะไม่มีผลต่อจิตใจเท่าแบคฮยอน แต่ก็พอช่วยแก้ขัดกันได้
แต่เดี๋ยว...
ทำไมเขาต้องเอาไปเปรียบเทียบกับแบคฮยอนด้วยล่ะ?
“จะไม่ถามบ้างเหรอว่าฉันชื่ออะไร?”
“ผมรู้ว่าคุณอยากบอก ผมก็เลยไม่ถาม”
“โห ไม่ธรรมดานะเนี่ย...พี่ชื่อลู่หานนะครับ จะเรียกพี่ลู่สุดหล่อก็ได้”
“สูบมวนนี้เสร็จแล้วจะลงไปเลยใช่ไหม”
“ทำไม อยากให้อยู่เป็นเพื่อนเหรอ?”
“เปล่า ผมต้องการสมาธิ”
“อะไรกัน แค่ยืนมองวิวทิวทัศน์ของโลกที่เปลี่ยนไปแล้วแค่นี้ถึงกับต้องใช้สมาธิเลยเหรอ มีคนมาอยู่เป็นเพื่อนแทนที่จะดีใจ ดูพูดเข้าสิ ฟังไม่ได้เล้ย”
“...”
“ทำไม จะไล่ให้ลงไปเหรอ งั้นทำใจนิดนึงนะ เพราะฉันจะสูบทั้งซองเลยล่ะ”
“ตามใจ” มินซอกยักไหล่แล้วส่องกล้องทางไกลต่อ อะไรกันเจ้าเด็กนี่...เล่นปิดบทสนทนากันแบบนี้เลยเรอะ
ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวพร้อมกับกระแสลมเย็นตอนก้อนเมฆสีเทากำลังเคลื่อนตัวเข้ามา เว้นระยะห่างไว้พอแค่นั้นก่อนที่ร่างโปร่งจะหันไปเห็นกระจกที่วางอยู่บนรั้วที่มินซอกยืนเท้าศอกอยู่เลยนึกอะไรขึ้นได้
“โอ๊ย! ตีหัวผมทำไมเนี่ย?” เด็กหนุ่มกุมหัวตัวเองแล้วหันไปเลิกคิ้วมองร่างโปร่ง
“นายนี่เองสินะที่ส่องกระจกใส่หน้าฉันตอนนั้น” ลู่หานหยิบกระจกขึ้นมาระดับหัวไหล่ มินซอกมองกระจกสลับกับใบหน้าอีกฝ่ายแล้วก็พูดไม่ออก
“ไหนพูดมาซิ ว่าส่องฉันทำไม?” ไม่พูดอย่างเดียว ลู่หานโน้มใบหน้าลงไปใกล้ ๆ ราวกับขู่ให้คนตัวเล็กพูดออกมา มินซอกคว้ากระจกจากลู่หานมาแล้วก้าวถอยหลังไปทีละก้าว
“ผมส่องเล่น ๆ แล้วมันดันไปโดนคุณเอง”
“เหรอ? เหตุผลฟังไม่ขึ้นเลยนะเปาจื่อ~”
“ผมขอโทษก็ได้”
“ขอโทษแล้วมันหายเหรอหื้ม?” ลู่หานยังคงเดินเข้าหาแม้ว่ามินซอกจะเดินถอยหลังออกไปทีละก้าวก็ตาม
“แล้วจะให้ผมทำยังไง?”
“เรียกฉันว่าพี่ลู่สิ แล้วก็แทนตัวว่าเปาจื่อ ถ้าทำแบบนั้นจะยอมหายโกรธก็ได้”
“...” มินซอกหยุดชะงักแล้วมองคาดโทษคนตรงหน้า
“‘เปาจื่อขอโทษ พี่ลู่อย่าโกรธเปาจื่อเลยนะ~’ ไหนลองพูดแบบนี้ซิ”
“...”
“ถ้าพูดแล้วคุณจะถอยไปห่าง ๆ ผมไหม?”
“หื้ม?”
“ผมหมายถึงว่า...ถ้า...โธ่เว้ย!” มินอกหายใจฮึดฮัดพร้อมกับทึ้งหัวตัวเองจนแว่นแทบร่วงลงพื้นเพราะขามันเบี้ยว
“จะยอมคุยดี ๆ ด้วยเลยเอ้า!” ลู่หานชูนิ้วชี้กลางนางขึ้นมาราวกับให้คำปฏิญาณ มินซอกหรี่ตามองร่างโปร่งแล้วก็กลืนน้ำลายลงคอราวกับพยายามทำใจ
“เปา...เปาจื่อขอโทษ” เสียงเบาหวิวแต่น่าแปลกที่เรียกรอยยิ้มจากคนที่กำลังหงุดหงิดเต็มอกได้ ขี้บุหรี่เกือบครึ่งร่วงลงพื้นทั้งที่ยังไม่ได้ผ่านการสูบเข้าปอด นัยน์ตาเพ่งมองไปยังคนตัวเล็กที่กำลังจะปริปากพูดประโยคต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
“พี่ลู่...อย่าโกรธ...เปาจื่อเลยนะ”
“อา~”
“...”
“น่ารักจัง~”
มินซอกเบิกตาโพลงเมื่อร่างของเขาถูกใครอีกคนรั้งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด กลิ่นบุหรี่ลอยเตะจมูกชวนขยะแขยงแต่น่าแปลกที่อ้อมกอดของคนตรงหน้ามันให้ความอบอุ่นจนทดแทนกันได้ เพราะเขาไม่เคยได้กอดกับใครใช่ไหม? หรือเป็นเพราะอากาศก่อนฝนตก หรือเป็นเพราะเขาตัวเล็กกันแน่?
“ปล่อยน่า!” มินซอกดันอกอีกฝ่ายออกแต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มก็ยังคงแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของผู้ชายที่ชื่อลู่หานอยู่ดี ร่างโปร่งหัวเราะแล้วทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นและไม่ลืมที่จะใช้รองเท้าบี้มันให้ดับ
“ขอบใจนะ รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย” ลู่หานเอื้อมไปยีหัวมินซอกจนยุ่งเหยิงไปหมดเพราะหมั่นเขี้ยว คนตัวเล็กกว่าปัดมือออกอย่างรำคาญหากแต่คนขี้แกล้งกลับเอาแต่ยิ้มอยู่อย่างนั้น
“คุณจะนอนฝั่งไหน?”
“ถ้าถามแบบนี้ งั้นผมเลือกฝั่งขวาแล้วกันครับ” ชานยอลตอบแล้วทั้งคู่ก็วางของลงบนเตียงของตัวเอง อี้ฟานเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วก็พบกับชุดนักเรียน ชุดพละ และชุดลำลองจำนวนหนึ่ง ซึ่งมันคงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะห้องที่เขาพักอยู่ในตอนนี้มันเคยเป็นห้องพักของนักเรียนมาก่อน
“ผมไม่เห็นคุณพูดถึงเรื่องบ้านภรรยาของคุณเลย” ชานยอลถามขณะรื้อเสื้อผ้าในกระเป๋าออกมาแขวนไว้กับที่แขวนเสื้อ
“ผมไม่รู้จะพูดทำไมน่ะ” อี้ฟานตอบสั้น ๆ เขาหยิบไม้แขวนเสื้อที่ว่างอยู่ออกมาแล้วปิดตู้เสื้อผ้าตามเดิมก่อนจะแขวนเสื้อของตัวเองบ้าง
“เมื่อก่อนผมเป็นคนชอบพูดถึงเรื่องเก่า ๆ พอผมพูดถึงมัน เพื่อนผมก็จะสวนกลับมาว่า ‘แกแก่แล้วสินะอี้ฟาน ถึงได้เอาแต่พูดเรื่องเก่า ๆ แบบนี้น่ะ’ ” อี้ฟานยิ้มเมื่อนึกถึงเมื่อก่อน
“ถ้ามันเป็นเรื่องดี มันก็น่าพูดถึงอีกครั้งไม่ใช่เหรอครับ?”
“อืม คุณพูดถูก” ทั้งคู่ยิ้มทั้งที่ยังคงหันหลังให้กันและกัน “แต่ที่ผมไม่พูดถึงเรื่องนั้นเพราะไม่อยากให้ทุกคนรู้สึกแย่ไปกว่านี้น่ะ”
“ทำไมล่ะครับ?” ชานยอลเดินกลับไปนั่งที่เตียงของเขาในขณะที่อี้ฟานยังคงยุ่งอยู่กับการแขวนเสื้อผ้า
“ถ้าพูดถึงบ้านภรรยาผม แบคฮยอนก็ต้องนึกถึงแบคโฮ ผมกลัวว่าใครสักคนจะโทษตัวเองว่าที่บ้านถูกบุกรุกเพราะไม่มีใครอยู่นอกจากแบคฮยอนกับเซฮุน” อี้ฟานเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะหันหลังยืนพิงผนังห้องแล้วมองหน้าชานยอลที่นั่งอยู่บนเตียง “เหมือนกับผม...ที่รู้สึกแบบนั้นมาตลอด”
“...”
“โรคระบาด การตาย การลาจาก ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวของมันทั้งนั้น ถึงจะไม่เข้าใจแต่ที่ผมทำได้ก็คือยอมรับมัน”
“คุณคิดว่าโลกจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือเปล่า?” ชานยอลถาม อี้ฟานทำหน้าครุ่นคิด เขาเดินไปหยุดอยู่ข้างหน้าต่างพร้อมกับทอดสายตาออกไปข้างนอก
“ผมหวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น”
“ทุกคนอยู่ได้ด้วยความหวังนี่นะ” ชานยอลยิ้มก่อนจะก้มลงมองแหวนแต่งงานที่นิ้วนางข้างซ้าย
“ก่อนหน้านี้คุณวางแผนชีวิตไว้ยังไงเหรอชานยอล?”
“ผมเหรอ? ก็ไม่ต่างอะไรจากคนอื่นหรอกครับ แค่แต่งงาน มีครอบครัว โฮจองบอกผมว่าเธออยากได้ลูกสักสามคน เป็นชายสองหญิงหนึ่ง ผมได้แค่หัวเราะตอนที่ฟังเธอเล่า” อี้ฟานผินหน้าหันไปมองอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มเมื่อพูดถึงภรรยา แม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มเศร้าก็ตาม
“แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่เราจะมีลูกได้ตรงตามที่เธอต้องการน่ะ” ชานยอลหัวเราะเบา ๆ
“ภรรยาผมอยากได้ลูกชาย เธอคิดชื่อไว้ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่ากำลังตั้งท้อง แต่สุดท้ายเราก็ได้ลูกสาว ถึงจะไม่เป็นตามความคาดหมายแต่ที่สุดในของชีวิตเธอก็คือซิงซิง”
“นั่นชื่อลูกสาวคุณเหรอ?”
“อื้ม ภาษาจีนแปลว่าดวงดาวน่ะ”
ทั้งคู่ต่างเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ราวกับว่าเขาทั้งสองกำลังใช้เวลาในตอนนั้นนึกถึงวันเวลาแห่งความสุขที่เคยมี นึกถึงคนที่รักสุดหัวใจ เพราะมันคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เขายิ้มได้ในช่วงเวลาอันโหดร้ายแบบนี้
“คุณว่าผู้ชายจะรักกันได้ไหม?”
“หืม?”
“เปล่าครับ” ชานยอลยิ้มบาง ๆ แล้วดึงรูปถ่ายออกมาจากกระเป๋าเงินที่พกติดตัวมาตลอดแม้ว่าในสถานการณ์ปัจจุบันเครดิตการ์ดหรือเงินสดเป็นฟ่อนก็เป็นเพียงแค่เศษกระดาษเท่านั้น นิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามดวงหน้าหวานในรูปอย่างเบามือ แม้ว่าจะผ่านไปเป็นเดือนแล้ว แต่ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะไม่นึกถึงผู้หญิงคนนี้...
“...”
“อ้าวแบคฮยอน มาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ?” ร่างสูงละสายตาจากรูปถ่ายแล้วหันไปมองประตูที่มีคนตัวเล็กยืนอยู่ตรงนั้น แบคฮยอนยิ้มเจื่อน ๆ ดูเลิกลั่กจนผิดปกติแล้วยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ
“อ๋อ...คือ...คุณกาฮีให้มาตามคุณสองคนน่ะ เธอบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ขอโทษที่ไม่ได้เคาะประตูนะครับ” คนตัวเล็กยิ้มให้อี้ฟานก่อนจะหันไปมองชานยอลที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นแบคฮยอนก็เป็นคนหลบสายตาไปเสียก่อน
“ขอบคุณนะ แล้วห้องคุณเป็นยังไงบ้าง ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม?” อี้ฟานถามด้วยความเป็นห่วง แบคฮยอนพยักหน้าก่อนจะปิดประตูให้แล้วเดินกลับไปที่ห้องตัวเองโดยที่ไม่หันไปมองชานยอลอีกเลย
ปัง...
เซฮุนหันไปมองที่ประตูแล้วก็เห็นแบคฮยอนเดินกลับเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าที่ต่างออกไป คนตัวเล็กยืนพิงประตูอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีท่าทีจะเดินเข้ามาชวนคุยเหมือนก่อนหน้านี้จนน่าประหลาดใจ
“แบคฮยอน?”
“อือ”
“เป็นอะไร?”
“เปล่า”
“อย่าโกหกสิ”
“...”
“นี่”
“...” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นแล้วก็เห็นเซฮุนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน คนตัวเล็กเดินกลับมาที่เตียงแล้วทิ้งตัวลงนอนราวกับคิดไม่ตก
“ใครว่าอะไรให้หรือเปล่า?”
“ไม่มีหรอก”
“แล้วเป็นอะไร เมื่อกี้ยังดี ๆ อยู่เลยนี่”
“...ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่รู้สึกเสียใจมากเลย”
“หืม?” เซฮุนเลิกคิ้วมองแล้วเดินไปนั่งขอบเตียง เขย่าไหล่อีกฝ่ายอยู่สามครั้งแล้วแบคฮยอนก็ยอมหันกลับมามองหน้ากัน
“เซฮุน”
“ว่าไง” เซฮุนยิ้มบาง ๆ ขณะมองอีกคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ
ทั้งที่อายุเท่ากัน แต่แบคฮยอนกลับดูเปราะบางและน่าปกป้องมากกว่าเขา
“เคยใจเต้นกับผู้ชายด้วยกันไหม?”
“...” ร่างบางชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถาม แต่ที่แย่กว่านั้นคือการที่ใบหน้าของคิมจงอินลอยเข้ามาในหัวเขาเนี่ยแหละ...
“ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ”
“ไม่รู้...ฉันสับสนมากเลย”
“...”
“ฉันไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจสักอย่าง ตอนแรกฉันกลัวเขามาก คิดว่าคงถูกเขาเกลียดไปแล้ว คิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีทางคุยกันดี ๆ ได้...แต่วันหนึ่งเขากลับทำดีกับฉัน หลายครั้งที่ฉันเผลอรู้สึกดี”
“ชานยอลเหรอ?”
แบคฮยอนนิ่งไปชั่วอึดใจ ร่างเล็กหันมาสบตาคนเป็นเพื่อนแล้วพยักหน้าช้า ๆ ราวกับไม่กล้าตอบคำถามนี้สักเท่าไหร่
“ที่ฉันขออยู่ห้องเดียวกับนาย เพราะฉันรู้สึกอยากอยู่กับเขา...”
“เอ๋?” เซฮุนขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
“ยิ่งอยากอยู่ใกล้เขาเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งกลัว ทั้งที่ตอนแรกคิดว่ามันคงเป็นความรู้สึก...ฉันจะพูดยังไงดี...ฉันเคยคิดว่าเขามีอะไรเหมือน ๆ กับพี่แบคโฮ...แต่...”
“ใจเย็น ๆ ก่อนนะ ตอนนี้มีแค่ฉันกับนายเท่านั้น” เซฮุนวางมือลงบนแขนแบคฮยอนราวกับจะให้อีกฝ่ายผ่อนคลายขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แบคฮยอนหยัดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วถอนหายใจเบา ๆ
“ฉันมันบ้าที่คิดเข้าข้างตัวเองว่าที่ชานยอลมาทำดีด้วยเพราะเขามีใจให้”
“ทำไมล่ะ?”
“ทั้งที่จริงแล้วมีแค่ฉันที่คิดไปเองคนเดียว...”
“อ่า...”
“เมื่อกี้ฉันเห็นเขานั่งดูรูปถ่ายของภรรยาของเขา นั่งอาลัยอาวรณ์แหวนแต่งงาน...พอเห็นแบบนั้นแล้วฉันก็รู้สึกเจ็บ...นั่นมันหมายความว่าฉันชอบเขาหรือเปล่าเซฮุน?”
เซฮุนเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะยิ้มบาง ๆ ให้คนตัวเล็ก ร่างบางบีบจมูกรั้นอย่างหมั่นเขี้ยวแล้วแสร้งยิ้มออกมาให้กำลังใจ
“ของแบบนี้จะถามคนอื่นได้ยังไง มีแต่นายเท่านั้นนะที่รู้ดีที่สุด”
“...”
“ให้เวลามันเป็นคำตอบสิ”
“คำตอบอะไร คำตอบว่าฉันชอบเขาหรือเปล่าน่ะเหรอ? ถ้าใช่แล้วจะเป็นยังไง? ในเมื่อเขาไม่มีใจ แบบนั้นฉันคงแย่”
“แล้วนายบังคับใจตัวเองได้เหรอ ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว...ก็แค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็นสิ”
“...”
“ค่อย ๆ คิด...อย่ากดดันตัวเองนะ” เซฮุนบีบไหล่คนตัวเล็กเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ฉันจะลงไปข้างล่าง นายอยากไปด้วยกันไหม?”
ภายในห้องโถงกว้างที่เคยเป็นห้องนั่งเล่นสำหรับหอพักชายมีนักเรียนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นเพื่อยืนฟังคำบอกเล่าจากครูสาวซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้นำในตอนนี้ รอบข้างมีตะเกียงและเทียนเท่านั้นที่ให้แสงสว่างทั้งห้อง
“ถึงจะรู้จุดอ่อนแล้ว แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเข้าไปแทงมันเข้าที่หัว” ปาร์คกาฮียืนกอดอกพูดโดยที่มีอี้ฟาน ชานยอลและเซฮุนเข้าร่วมด้วย
“ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจ...อย่าลังเล คุณต้องเข้าถึงตัวมันก่อนที่มันจะเข้าถึงตัวคุณ” อี้ฟานพูด
“หมายความว่ายังไงเหรอครับ?” เด็กนักเรียนคนหนึ่งถามขึ้นมา
“หมายความว่าคุณไม่ควรลังเลที่จะสู้ เริ่มก่อนได้เปรียบ”
“เราจะไม่ใช้ปืนในการกำจัดพวกมันถ้าไม่จำเป็น ใช้มีด ขวาน ท่อนเหล็ก หรือของมีคมอื่น ๆ จะดีกว่า” ชานยอลเสริม
“รั้วก็ใกล้จะพังแล้ว ทางที่ดีเราควรจะเริ่มลงมือกำจัดมันกันตั้งแต่ตอนนี้”
“ค่ะ ฉันจะให้นักเรียนแบ่งกลุ่มกันไปที่รั้ว เราพอจะมีชะแลงกับท่อนเหล็กอยู่บ้าง” ปาร์คกาฮีรับคำก่อนที่ทุกสายตาจะหันไปมองหญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องโถงกว้าง
“แย่แล้วค่ะครูกาฮี!” ปาร์คกาฮีเข้าไปยืนคุยกับผู้หญิงอีกคนซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นครูห้องพยาบาลเพราะชุดกาวน์ที่เธอสวมทับตัวนอก สีหน้าร้อนรนของเธอนั้นทำให้ครูคุมหอลำบากใจอยู่ไม่น้อย เธอก้มลงมองนาฬิกาข้อมือแล้วก็เสยผมขึ้นอย่างหัวเสีย
“เกิดอะไรขึ้นกับซึนวานเหรอครับครู?”
“เขาอาการไม่ดีขึ้นเลยจ๊ะ...คนอื่น ๆ ก็ด้วย...”
“เราต้องไปหายา...แต่ว่าตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว คงไม่ดีแน่ถ้าเราจะออกไปข้างนอกในเวลาแบบนี้” กาฮีลดสีหน้าลง เธอดูเป็นกังวลกับเรื่องนักเรียนของเธอมาก
“ถ้าเป็นยาลดไข้ ที่ห้องพยาบาลก็น่าจะมีใช่ไหมครับ?” ทุกคนหันไปมองชานยอลเป็นตาเดียวกัน “ยาที่ห้องพยาบาลพอจะมีเหลืออยู่หรือเปล่า?”
“แน่นอนค่ะ มันเหลือเยอะมากด้วย แต่ว่า...” ครูห้องพยาบาลหันไปมองหน้าปาร์คกาฮี “ห้องพยาบาลอยู่ที่อาคารสาม และถ้าจะไปให้ถึงตึกนั้นก็ต้องผ่านลานอเนกประสงค์ หอพักหญิงและโรงอาหารก่อนถึงจะเจอตึกนั้น...”
“แล้วระหว่างทางก็เต็มไปด้วยพวกแพร่เชื้อ” เทาพูดเสริม
“...”
“ผมอาสาไปเอามาให้” เซฮุนยกมือขึ้น ทุกคนแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นใครคนหนึ่งอาสาสมัครไปเสี่ยงตายข้างในรั้วนั่น...
ข้างในรั้วที่ใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่ามันน่าสยดสยองมากแค่ไหน...
“ถ้าหมอนั่นไปคนเดียวคงไม่รอดแน่” เทามองไปยังเด็กหนุ่มตัวผอมบางที่ยืนอยู่อีกฝั่ง “ฉันรู้จักที่นี่ดีที่สุด เพราะงั้นฉันจะไปกับนายแล้วกัน”
“ดีเลย” เซฮุนยิ้มแล้วมองหาใครอีกคนที่ยังไม่โผล่หัวเข้ามา ในเวลาแบบนี้คนที่เขานึกถึงเป็นคนแรกก็คือผู้ชายป่าเถื่อนคนนั้นที่เอาตัวรอดเก่งกว่าใคร ๆ
“เดี๋ยวผมไปตามหาจงอินแปปนึงนะครับ” เซฮุนกระซิบบอกก่อนที่ชานยอลจะพยักหน้ารับ ร่างบางแทรกตัวออกมาจากตรงนั้นอย่างยากลำบาก ถึงจะเป็นโถงกว้าง แต่ถ้าบีบนักเรียนเกือบครึ่งร้อยให้เข้ามาอยู่ข้างในด้วยกันก็อึดอัดพอสมควร
เซฮุนส่องไฟฉายไปตามทางเดินยาวที่รอบข้างมีประตูปิดอยู่ ห้องพักชั้นหนึ่งที่ถูกจับจองไว้หมดและส่วนใหญ่เป็นห้องของผู้หญิงทั้งนั้น
“อ...อ๊ะ...อ๊ะ!”
ฝีเท้าหยุดยืนกับที่เมื่อได้ยินเสียงประหลาดลอดออกมาจากประตูทางด้านขวามือ เซฮุนหันไปมองประตูบานนั้นแล้วยืนตั้งใจฟังอยู่เกือบครึ่งนาที
ในเวลาแบบนี้ เสียงแบบนี้ เขาไม่ได้ใสซื่อขนาดที่จะไม่รู้ว่ามันคือเสียงอะไร...
เซฮุนหมุนลูกบิดเข้าไปอย่างเบามือที่สุด ประตูเปิดออกได้เพียงน้อยนิดก็เห็นแสงสว่างจากเทียนไขพร้อมกับหญิงสาวร่างท่อนบนเปลือยเปล่าที่กำลังขย่มอยู่บนตักของใครคนหนึ่งและนั่นคือคนที่เขากำลังตามหาอยู่ เสียงครางกระเส่าแห่งความสุขสมไม่ได้ปลุกอารมณ์ของโอเซฮุนเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้มีแค่กระโปรงมินิสเกิร์ตเท่านั้นที่ปกปิดส่วนเชื่อมต่อระหว่างเขาทั้งคู่เอาไว้
“อื้ม...จงอินคะ...ดีจัง...”
เสียงครวญครางชัดเต็มสองหูจนเขาแทบอยากจะปิดประตูเสียเดี๋ยวนั้นถ้าเกิดว่าผู้ชายที่ถูกนั่งคร่อมทับอยู่ไม่หันมาสบตากับเขาเสียก่อน
ไม่ได้คิดไปเอง...ไม่ใช่แน่ ๆ ...ตอนนี้คิมจงอินกำลังมองมาทางนี้ราวกับรู้ว่าเขากำลังดูอยู่ ร่างหนากระตุกยิ้มมุมปากแม้ว่าดวงตาคู่นั้นจะฉ่ำเยิ้มเพราะความสุขสมก็ตาม
เซฮุนปิดประตูให้เบาเสียงที่สุดแล้วรีบเดินกลับไปในห้องโถงกว้าง เขาแทรกตัวไปหยุดยืนอยู่ข้างชานยอลอย่างเช่นทีแรกท่ามกลางความสงสัยของร่างสูงและแบคฮยอนที่ยืนมองอยู่
“หาจงอินกับลู่หานเจอไหม?”
“ไม่เจอน่ะ” เซฮุนตอบทั้งที่ไม่หันไปมองคนข้าง ๆ
“ไม่เป็นไรหรอก ให้เขามีเวลาส่วนตัวบ้าง ส่วนเรื่องไปห้องพยาบาลผมกับอี้ฟานจะไปกับคุณเอง” ชานยอลพูด
“ก็คงจริง ในเวลาแบบนี้เขาคงอยากใช้เวลาส่วนตัวมากกว่าไปวิ่งฟันคอตัวกินคนที่ไหน”
“อะไรนะ?”
“เปล่า” เซฮุนปฏิเสธ จู่ ๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ไม่สิ...มันมีสาเหตุชัด ๆ เลยต่างหาก สาเหตุมันมาจากผู้ชายคนนั้น ที่ทำหน้ากวนประสาทราวกับสะใจที่เห็นเขาอยู่ตรงนั้น
คิดว่าอยากดูนักหรือไง?
“งั้นฉันฝากด้วยนะคะ” กาฮีพูดแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าอี้ฟาน เธอวางปืนพกลงบนมือแกร่งแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย “เผื่อกรณีฉุกเฉิน คุณอาจต้องใช้มันในเวลาจำเป็น”
“ขอบคุณครับ” ร่างสูงโค้งหัวตามมารยาทแล้วหันไปพยักหน้าเรียกชานยอลและเซฮุน
“ครูฮโยรินครับ ครูยังอยากได้กล้องจุลทรรศน์อยู่หรือเปล่า?” เทาหันไปถามหญิงสาวที่ยืนอยู่ทางออกประตูอีกฝั่ง เธอพยักหน้าเป็นคำตอบแล้วเทาก็ยิ้มให้
“แต่ถ้าลำบากก็ยังไม่ต้องก็ได้นะ ครูกลัวว่าเธอจะเป็นอันตราย”
“ไม่เป็นไรครับ แล้วผมจะเอามาให้”
ถึงจะประหลาดใจว่าในสถานการณ์แบบนี้ครูห้องพยาบาลจะเอากล้องจุลทรรศน์ไปทำไม แต่ก็ได้แค่เก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจเท่านั้น ทุกคนทยอยกันออกไปข้างนอก บางคนได้รับมอบหมายให้ไปฆ่าผีดิบข้างรั้ว บางคนแยกไปดูแลคนป่วยกับครูฮโยริน
ทั้งสี่คนที่อาสาไปห้องพยาบาลเดินตามปาร์คกาฮีออกไปเพื่อเตรียมตัวกับภารกิจเสี่ยงตายอีกครั้ง แบคฮยอนยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตัดสินใจดึงชายเสื้อร่างสูงไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะหันกลับมา
“ชานยอล...”
“ครับ?”
“คุณ...จะกลับมาใช่ไหม?” สีหน้าของแบคฮยอนเหมือนคนที่พร้อมจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ ร่างสูงยิ้มก่อนจะวางมือลงบนหัวอีกฝ่ายแล้วย่อตัวลงเพื่อให้ระดับความสูงเท่ากัน
“ถ้าผมไม่กลับมาที่นี่ แล้วผมจะไปที่ไหนได้อีกหื้ม?” ปิดท้ายด้วยการยีหัวคนตัวเล็กเบา ๆ แบคฮยอนยังคงแสดงสีหน้าเหมือนในทีแรกแม้ว่าทั้งสี่คนจะเดินไปแล้ว...
TBC
ตอนนี้ไม่ได้ไฝว้เลย
ตอนหน้าไปวิ่งหนีซอมบี้กันนะตัวเอง
ในที่สุดฉันก็โยงมินซอกมาหาพี่ลู่จนได้... #ความติ่งไม่เคยปราณีใคร
555555555555555 ขอบคุณทุกคอมเมนท์ ทุกโหวต ทุกแท๊ก #ficzombie
ในทวิตเตอร์นะคะ เลิฟ ๆ เลย <3
ความคิดเห็น