ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZOMBIES HARD CREEPER | KAIHUN CHANBAEK FT.EXO

    ลำดับตอนที่ #10 : Chapter 9 :: Medicine

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 20.38K
      266
      18 ม.ค. 57

    © Tenpoints!

     

     

     

     
     

     

    Chapter 9

    Medicine

     

     

     

     


     

    ครืน...

    รถทั้งห้าคันขับเข้ามาในโรงเรียนโดยที่มีเด็กผู้ชายสองคนยืนเปิดประตูรอไว้ นัยน์ตาคมมองผ่านกระจกมองหลังแล้วก็เห็นเด็กสองคนกำลังล็อคประตูทางเข้าด้วยโซ่ตรวนก่อนจะวิ่งกลับมาหาปาร์คกาฮีที่เพิ่งลงจากรถ

    มึงว่าอีเจ๊นั่นแปลก ๆ ป่ะวะ? จงอินถามขณะมองไปยังหญิงสาวที่กำลังยืนคุยกับนักเรียนชายกลุ่มหนึ่งอยู่

    ทำไมวะ เจ๊แกก็สวยดีออก หรือมึงว่าไม่?

    กูไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นป่ะห่า มึงนี่หน้าขนสัด เห็นผู้หญิงเป็นไม่ได้รีบตอบตกลงเลยนะมึง ไม่ถงไม่ถามความสมัครใจพวกกูสักคำ จะตายห่ากันหมดเพราะความหน้าม่อของมึงนี่แหละ จงอินผลักหัวคนข้าง ๆ จนเงนไปติดกระจกในขณะที่เซฮุนนั่งเงียบ ๆ มองอี้ฟาน ชานยอล และแบคฮยอนที่เพิ่งเดินลงจากรถอีกคัน

    นักเรียนกลุ่มนั้นช่วยกันขนของที่ท้ายกระบะอย่างรู้งาน การแบกกระสอบข้าวสารไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เด็กผู้ชายถึงสองคนต่อการแบกข้าวหนึ่งกระสอบ

    มึงกลัวเจ๊แกหลอกเรามาฆ่าหรือไง

    ใครจะรู้ ไอ้เด็กที่ชื่อเทานั่นก็ทำท่าหวงของอย่างกับหมา แล้วจู่ ๆ อีเจ๊เสือกแสดงความมีน้ำใจชวนพวกมึงทั้งครึ่งโหลให้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้กูชักจะหวั่น ๆ อยู่ว่ะ

    คิดมากเกินไปมั้ง เซฮุนพูดเรียกความสนใจจากคนที่นั่งอยู่เบาะหน้าให้หันกลับมามอง

    เงียบปากไปเลยเด็กน้อย ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน

    ต่อให้คุณกังวลแล้วยังไง ในเมื่อคุณขับรถเข้ามาแล้ว เซฮุนพูดเสียงเรียบทำเอาคนขับพูดไม่ออก

    เออ ถูกของมัน มึงจะคิดมากไปทำไมวะ

     

     

    ก๊อก ๆ

    ทั้งสามคนหันไปมองประตูฝั่งคนขับแล้วก็เห็นแบคฮยอนยืนเคาะประตูอยู่ คนตัวเล็กกวักมือเรียกให้ลงไปด้วยกันพวกเขาถึงได้ยอมไสตัวออกจากรถได้ จงอินยังคงดูหวั่นใจ เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ ลานกว้างแล้วก็พบตึกห้าชั้นอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นเด็กสาวกลุ่มหนึ่งเดินถือตะกร้าผ้าออกมา

    นี่คือหอพักชาย พวกเราทุกคนอาศัยอยู่ในตึกนี้กันทั้งหมดปาร์คกาฮีพูดเรียกสติคนที่กำลังสังเกตการณ์รอบ ๆ โรงเรียน จงอินเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ เธอแล้วชี้ไปที่ประตูที่พวกเขาเพิ่งขับเข้ามาเมื่อครู่

    มีคนเฝ้าประตูนั่นไหม?

    ไม่มีหรอก นั่นคือประตูหลังโรงเรียน ใช้สำหรับเป็นทางเข้า-ออกอย่างเดียวน่ะ

    แล้วประตูหน้าล่ะ ประโยคนี้ทำให้หญิงสาวหยุดฝีเท้าลง เธอหันไปมองคนข้าง ๆ พร้อมกับยิ้มอย่างมีความหมาย

    เราไม่ได้ใช้ประตูฝั่งนั้นมานานพอสมควรแล้วล่ะค่ะ พอได้ยินคำตอบจงอินก็ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทำไมถึงไม่ใช้ประตูหน้าโรงเรียนทั้งที่น่าจะกว้างกว่าประตูหลัง?

    พวกคุณอยู่กันยังไงจงอินถามขณะที่พวกเขากำลังเดินไปที่ตึกด้วยกัน ทุกคนดูสนใจกับสิ่งที่ปาร์คกาฮีกำลังพูดจนกระทั่งลู่หานยกมือบังแสงบางอย่างที่กำลังส่องหน้าเขา

    ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นมองดาดฟ้าแล้วก็พบใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างบนนั้นพร้อมกับกระจกในมือ ดูเหมือนว่าเจ้านั่นกำลังสนุกกับการส่องแสงสะท้อนใส่หน้าเขาเสียด้วยสิ

    เล่นเหี้ยไรวะ ลู่หานพึมพำแล้วเบี่ยงหน้าหลบก่อนจะหันกลับไปอีกครั้งแล้วก็พบว่าเด็กที่อยู่บนดาดฟ้าหายไปแล้ว...

    ก่อนหน้านี้โรงเรียนเรามีนักเรียนอยู่ราว ๆ สี่ร้อยคน เป็นหญิงสองร้อยเจ็ดสิบ เป็นชายอีกสองร้อยสามสิบสี่ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์โรคระบาดทุกอย่างก็แย่ลง นักเรียนล้มตายจำนวนมาก ฉันไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย

    ตอนนี้พวกคุณเหลือกันอยู่เท่าไหร่

    สี่สิบห้าคน ถ้ารวมฉันกับครูอีกคนก็เป็นสี่สิบเจ็ด

    เยอะชิบหาย ลู่หานหลุดปากพูดออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง นี่อยู่กันเป็นสังคมย่อม ๆ ได้เลยนะเนี่ย

    สี่สิบห้าคนที่มีชายสามสิบเก้า หญิงอีกหกคน เธอปรายตามองไปยังกลุ่มเด็กสาวที่กำลังช่วยกันซักผ้ากองโต ตามสัญชาติญาณของผู้ชาย แน่นอนว่าจงอินและลู่หานกำลังมองหาคนที่หน้าตาน่ารักที่สุด

    แล้วเรื่องอาหารล่ะ อยู่กันเยอะแบบนี้คงต้องออกไปหาของมาตุนไว้พอสมควรเลยใช่ไหมครับ? ชานยอลถาม กาฮียิ้มให้กับอีกฝ่ายก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ

    ใช่ เดี๋ยวนี้เราออกไปหาอาหารมาตุนไว้ทุก ๆ สี่วัน ถ้าเป็นเมื่อเดือนที่แล้วก็...อาทิตย์ละครั้ง

    ก็แน่ล่ะ คนอยู่เยอะขนาดนั้น

    ต้องขอโทษแทนจื่อเทาด้วยนะคะที่เขาเสียมารยาทกับพวกคุณ

    ไม่เป็นไรครับ เราเข้าใจ อี้ฟานตอบ อยู่กันเยอะขนาดนี้คงไม่แปลกที่เทาจะหวงกระสอบข้าวบนเรือขนาดนั้น ไหนจะต้องหาเสบียงมาเพิ่มเติมให้กับคนอีกเกือบครึ่งร้อย แต่ดูเหมือนว่าลู่หานจะเป็นคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจ

    ถ้าให้พักที่ชั้นสี่จะสะดวกกันหรือเปล่าคะ? ขึ้นลงลำบากหน่อย พอดีว่านักเรียนของเราอยู่ชั้นล่างกันหมดแล้ว

    ไม่เป็นไรครับ เรายังไงก็ได้อยู่แล้ว

    งั้นก็ดีค่ะ เทา...ช่วยพาแขกไปส่งที่ห้องพักหน่อยนะ เดี๋ยวครูจะไปคุยกับครูฮโยรินสักหน่อย

    ครับ เด็กหนุ่มโค้งหัวก่อนที่ปาร์คกาฮีจะเดินไปทำธุระตามที่บอกไปเมื่อครู่ พอหันกลับไปที่รถก็พบกับเด็กกลุ่มเดิมที่กำลังแบกกระสอบข้าวสารกันอย่างขะมักเขม้น

    ตามมา เจ้าบ้านพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ เทาเดินขึ้นบันไดนำไป ระหว่างทางขึ้นก็หันไปเห็นขวาน ไม้เบสบอลวางอยู่เป็นจุด ๆ

    กระทั่งขึ้นมาถึงชั้นสี่ ทั้งชั้นเป็นทางเดินยาวที่มีเพียงแค่แสงจากดวงอาทิตย์เท่านั้นที่ให้ความสว่างกับทางเดินยาว เด็กหนุ่มตัวผอมสูงเดินไปหมุนลูกบิดประตูออกพร้อมกับดันเข้าไปข้างใน

    อยู่กันห้องละสองคนคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?

    ขอบคุณนะครับ

    ว่าแต่อาวุธที่วางไว้ตามทางนั่นคืออะไรเหรอ? สุดท้ายแบคฮยอนก็เก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ เทาหันกลับไปมองบันไดที่พวกเขาเพิ่งเดินขึ้นมาก่อนจะหันกลับมามองคนตรงหน้าอีกครั้ง

    เราวางไว้แบบนั้นชั้นละสามจุด ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินพวกเราจะได้รับมือกับพวกมันได้ทัน

    ได้ฟังแล้วก็พยักหน้าเข้าใจ โรงเรียนนี้รอบคอบกว่าที่คิดไว้พอสมควร เห็นทีว่าเขาต้องคุยกับไอ้เด็กนี่อีกเยอะ แต่ก่อนอื่นคือต้องแบ่งห้องพักให้ทุกคนก่อน

    เอาล่ะ ได้เวลาเลือกรูมเมทแล้ว

    ผมขออยู่กับเซฮุนได้ไหม? เป็นแบคฮยอนที่ปริปากก่อนขณะที่ลู่หานอ้าปากเตรียมจะพูด ยิ่งเห็นมันทำหน้าแห้งแล้วก็นึกขำอยู่ในใจ

    ได้สิ นายอยู่ห้องนี้แล้วกัน ใกล้บันไดดี แล้วคุณสองคนล่ะ?

    ผมยังไงก็ได้ ชานยอลตอบ

    งั้นอี้ฟานอยู่ห้องเดียวกับชานยอล ส่วนมึงอยู่กับกู คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม? จงอินถามลู่หานที่ยืนทำหน้าเซ็งอยู่ เจ้าตัวได้แต่พยักหน้าส่ง ๆ ก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายเข้าไปในห้องตัวเอง

    ตอนนี้เหลือเพียงแค่จงอินกับเทาเท่านั้นที่ยืนอยู่ข้างนอกห้อง ทั้งคู่มองหน้ากันแค่ชั่วอึดใจก่อนที่ร่างหนาจะยิงคำถามที่เขาอยากรู้ออกไป

    รอยไหม้บนสนามหญ้าหลังโรงเรียนนั่นคืออะไร คงไม่ใช่จุดทำอาหารหรอกใช่ไหม?

    เปล่า ตรงนั้นเคยเป็นที่เอาไว้เผาคนตาย

    เผางั้นเหรอ?

    ใช่ เผาก่อนที่พวกจะเปลี่ยนเป็นตัวแพร่เชื้อ พวกมันไม่มีวันตาย ต้องใช้วิธีเผามันเท่านั้น

    ว่าไงนะ? จงอินขมวดคิ้วพลางมองไปยังใครอีกคนที่ทำหน้าคิดไม่ตก

     

     

     

    พวกเราใช้วิธีเผาในการกำจัดพวกมันน่ะ

     

     

     


     

     

     



     

    ฮืออออออ

    กร๊าซซซซซซซซซซซซซ

     

     

    เคร๊ง เคร๊ง เคร๊ง!!!

     

     

    เสียงครางฮือของเหล่าผีดิบชายหญิงจำนวนมากที่กำลังพยายามพังรั้วเข้ามา ร่างหนามองไปยังโซ่ตรวนเส้นใหญ่ที่ล่ามประตูไว้อีกทั้งรั้วยังโครงเครงแบบนั้น ไม่อยากจะจินตนาการภาพตอนที่พวกมันพังรั้วเข้ามากันเป็นโขยงเลย คงตั้งหลักกันไม่ทันแน่ ๆ

    ถ้าขืนไม่ทำอะไรสักอย่าง รั้วนั่นต้องพังแน่ มันกันไว้ได้อีกไม่นานหรอก

    ใช่ นั่นคือสิ่งที่ฉันกังวลมาตลอด เทาลอบถอนหายใจเบา ๆ

    แล้วตอนไปที่ท่าเรือพวกนายกำจัดมันด้วยวิธีไหน จุดกองไฟรอแล้วผลักมันเข้าใส่น่ะเหรอ? จงอินถามพร้อมกับเหล่มองคนข้าง ๆ อย่างมีชัย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าหวงจื่อเทามันดูฉลาดเกินเด็ก แต่ที่ไหนได้...รอดมาแบบถู ๆ ไถ ๆ ทั้งนั้น

    เรายิงให้มันเสียหลัก แล้วก็ช่วยกันโยนลงทะเล

    หนักกว่าที่กูคิดอีก แทบจะกุมขมับกับคำตอบของเทา ร่างหนาถอนหายใจแล้วมองไปยังหน้าเรียบเฉยของคนข้าง ๆ

    หรือนายมีวิธีที่ดีกว่านั้น?

    แน่นอน ทีเด็ดมันอยู่ตรงนี้ครับน้องหนู จงอินยิ้มมุมปากแล้วเดินไปหยุดอยู่หน้ารั้วที่กั้นระหว่างหอพักชายกับลานอเนกประสงค์ เขาดึงมีดพกออกมาจากสนับขา โยนมันขึ้นบนอากาศแล้วจับด้ามมีดเอาไว้ด้วยท่าทางชำนาญก่อนจะแทงเข้าที่กลางหัวผีดิบตัวแรกที่เกาะอยู่ติดกับรั้ว มันร้องครวญครางและร่วงลงไปกองกับพื้นในที่สุด

    จื่อเทาเบิกตากว้างเมื่อเห็นแขกใหม่แสดงความสามารถให้ได้เห็นและคนอื่น ๆ ที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ ก็เช่นกัน ทุกคนต่างไม่เชื่อสายตากับสิ่งที่จงอินกำลังทำอยู่เพราะพวกเขาคิดมาตลอดว่าการฆ่าพวกแพร่เชื้อได้มีวิธีเดียวคือการเผามันด้วยไฟเท่านั้น

    ต้องทำลายที่หัวเท่านั้น!”

    ฮืออออออ....

    จงอินหอบเล็กน้อยแล้วเดินกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าเทาพร้อมกับยักคิ้วให้ เสียงปรบมือของนักเรียนหลายคนที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ ทำให้เจ้าตัวยืนยิ้มกว้างจนปากจะฉีกถึงใบหู

    แม่งฉายเดี่ยว ห่านี่แจ้งเกิดไม่เรียกกู ลู่หานพึมพำขณะมองเพื่อนซี๊ผ่านหน้าต่างชั้นสี่ หายใจฟึดฟัดเพราะความหงุดหงิดที่สุมอยู่ในใจแล้วก็เดินไปค้นกระเป๋าเป้ที่สะพายมาด้วย ค้นหาของอยู่แค่ครู่เดียวก็เจอซองกระดาษแข็งที่อยู่ในช่องเล็กพร้อมกับไฟแช็ค หยิบติดมือขึ้นมาแล้วเดินออกจากห้องเพื่อหาที่ผ่อนคลาย

    หันซ้ายหันขวาอยู่ในทีแล้วก็ถอนหายใจอีกรอบ จะไปสูบบุหรี่ตรงไหนดี? ทำไมวันนี้มันมีแต่เรื่องให้หงุดหงิดเต็มไปหมด ตั้งแต่เรื่องที่แบคฮยอนอยากอยู่ห้องเดียวกับไอ้เด็กกรงหมานั่น แล้วไหนจะทางเดินยาวนี่ที่จู่ ๆ ก็ดูน่าโมโหขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

    ถ้าจะสูบตรงนี้ก็กลัวจะถูกเจ้าบ้านด่าเข้า แล้วสถานศึกษาแบบนี้จะมีที่ไหนให้เขาได้ระบายความเครียดได้อีก?

    ...

    มองบันไดทางขึ้นแล้วก็นึกอะไรออก ลู่หานเดินขึ้นไปข้างบนจนถึงชั้นสูงสุดก่อนจะผลักประตูชั้นดาดไฟเข้าไป แต่ก้าวขาไปได้แค่ก้าวเดียวก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงดังแกร๊บ...

    โอ๊ะโอ...

    ลู่หานก้มลงมองพร้อมกับยกรองเท้าสนีกเกอร์ขึ้นเหนือพื้นแล้วก็พบกับแว่นกรอบดำที่เผลอเหยียบเข้าเต็ม ๆ จนขาเบี้ยว พอเลื่อนระดับสายตาขึ้นอีกนิด...ก็เห็นเด็กผู้ชายในชุดเอี๊ยมกำลัง ๆ ก้ม ๆ เงย ๆ คลำหาอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งนั่นคงไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากแว่นที่เขาเหยียบเข้า

    ร่างโปร่งนั่งยอง ๆ พร้อมกับหยิบแว่นขึ้นมาดู แว๊บแรกถึงกับต้องหรี่ตาลงเมื่อมองผ่านทะลุเลนส์ข้างขวาที่ยังปกติหากแต่เลนส์ข้างซ้ายนั้นมีแตกร้าว เด็กหนุ่มหน้าหวานเงยหน้าขึ้นกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะเพ่งมองเขา

    ...ใครน่ะ แอลโจเหรอ

    เปล่า หล่อกว่านั้น แทนที่จะตอบคำถามไปตามความเป็นจริงแต่คนขี้เล่นกลับนึกสนุก ลู่หานอมยิ้มแล้วปาดมือผ่านระดับสายตาคนตรงหน้าจนคนตัวเล็กกว่าปัดมือออกอย่างรำคาญ

    แล้วนั่นใคร ชอนจีใช่ไหม? นายเห็นแว่นฉันหรือเปล่า ช่วยฉันหาหน่อยสิ เมื่อกี้ฉันจะเช็ดเลนส์แต่มันดันตกพื้นน่ะ เด็กหนุ่มว่าเป็นตุเป็นตะ ลู่หานเม้มปากจนเป็นเส้นตรงก่อนจะจับมืออีกฝ่ายให้แบออกแล้ววางแว่นที่เขาเพิ่งเหยียบเมื่อครู่ลงไป

    โทษที ฉันเผลอเหยียบมันเมื่อกี้ เด็กหนุ่มรีบใส่แว่นเข้าไปแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย คนตัวเล็กเบิกตาโพลงเมื่อพบว่าคนที่กำลังคุยด้วยนั้นไม่ใช่เพื่อนร่วมชั้นที่คอยมาเปลี่ยนเวรเฝ้ายามแต่อย่างใด

    คุณ?

    ยังใส่ได้อีกเหรอ ทั้งแตกทั้งเบี้ยวซะขนาดนั้น ลู่หานถามแล้วเอื้อมมือไปข้างหน้าแต่อีกฝ่ายกลับเบี่ยงตัวหลบ

    ถ้าไม่มีมัน ผมก็มองอะไรไม่เห็น

    พูดแบบนี้รู้สึกผิดเลยนะเนี่ย

    มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก ผมทำมันแตกตั้งแต่วันแรกที่เกิดเรื่องแล้ว เด็กหนุ่มงึมงำเบา ๆ แล้วถอดแว่นออกมาขยับขาอยู่ในทีก่อนจะลุกขึ้นยืน

    งั้นก็ดี จะได้ไม่รู้สึกผิด

    แต่ที่ขามันเบี้ยวก็เพราะคุณ

    ...

    ผมพูดเล่นน่ะ เด็กหนุ่มยิ้มแล้วเดินกลับเข้าไปกลางลานกว้างของดาดฟ้า ลู่หานมองตามเด็กคนนั้นก่อนจะยักไหล่แล้วคาบมวนบุหรี่ออกจากซอง จุดไฟแช็คแล้วเดินตามเข้าไปและไม่ลืมที่จะปิดประตูให้

    คุณขึ้นมาทำอะไร...อ้อ...ผมรู้แล้ว ยังไม่ทันถามจบก็ได้คำตอบเมื่อหันไปเห็นแขกใหม่พ่นควันสีหม่นลอยขึ้นบนอากาศ สีหน้าปริ่มสุขติดทะเล้นนั่นทำให้เด็กหนุ่มเบือนหน้าไปทางอื่นเพราะไม่ชอบกลิ่นบุหรี่

    แล้วนายล่ะขึ้นมาทำอะไร

    ผมเป็นเวรเฝ้าตอนกลางวัน พูดจบก็ยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่อง ทั้งที่มองเห็นแค่ข้างเดียวแต่เด็กคนนั้นก็ยังพยายาม

    ชื่ออะไรน่ะเรา?

    มินซอก

    หื้ม?

    คิมมินซอก

    เปาจื่อ

    ...

    แก้มนายเหมือนซาลาเปา ชื่อเปาจื่อดีกว่านะ ฉันตั้งให้

    อะไรของคุณ อยู่ดี ๆ มาตั้งชื่อให้คนอื่น

    นายไม่ชอบชื่อนี้ก็ไม่เป็นไร ฉันชอบคนเดียวก็พอแล้ว เนอะเปาจื่อ ลู่หานยิ้มกวนขณะที่ใครอีกคนขมวดคิ้วขณะมองมาที่เขา

    ไม่คิดเลยว่าการขึ้นมาบนดาดฟ้าแล้วจะมีอะไรช่วยบรรเทาความหงุดหงิดให้เขาได้นอกจากบุหรี่ เด็กเนิร์ดหน้าตาหงิม ๆ คนนั้นถึงจะไม่มีผลต่อจิตใจเท่าแบคฮยอน แต่ก็พอช่วยแก้ขัดกันได้

     

     

    แต่เดี๋ยว...

    ทำไมเขาต้องเอาไปเปรียบเทียบกับแบคฮยอนด้วยล่ะ?

     

     

    จะไม่ถามบ้างเหรอว่าฉันชื่ออะไร?

    ผมรู้ว่าคุณอยากบอก ผมก็เลยไม่ถาม

    โห ไม่ธรรมดานะเนี่ย...พี่ชื่อลู่หานนะครับ จะเรียกพี่ลู่สุดหล่อก็ได้

    สูบมวนนี้เสร็จแล้วจะลงไปเลยใช่ไหม

    ทำไม อยากให้อยู่เป็นเพื่อนเหรอ?

    เปล่า ผมต้องการสมาธิ

    อะไรกัน แค่ยืนมองวิวทิวทัศน์ของโลกที่เปลี่ยนไปแล้วแค่นี้ถึงกับต้องใช้สมาธิเลยเหรอ มีคนมาอยู่เป็นเพื่อนแทนที่จะดีใจ ดูพูดเข้าสิ ฟังไม่ได้เล้ย

    ...

    ทำไม จะไล่ให้ลงไปเหรอ งั้นทำใจนิดนึงนะ เพราะฉันจะสูบทั้งซองเลยล่ะ

    ตามใจ มินซอกยักไหล่แล้วส่องกล้องทางไกลต่อ อะไรกันเจ้าเด็กนี่...เล่นปิดบทสนทนากันแบบนี้เลยเรอะ

     

    ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวพร้อมกับกระแสลมเย็นตอนก้อนเมฆสีเทากำลังเคลื่อนตัวเข้ามา เว้นระยะห่างไว้พอแค่นั้นก่อนที่ร่างโปร่งจะหันไปเห็นกระจกที่วางอยู่บนรั้วที่มินซอกยืนเท้าศอกอยู่เลยนึกอะไรขึ้นได้

    โอ๊ย! ตีหัวผมทำไมเนี่ย?เด็กหนุ่มกุมหัวตัวเองแล้วหันไปเลิกคิ้วมองร่างโปร่ง

    นายนี่เองสินะที่ส่องกระจกใส่หน้าฉันตอนนั้น ลู่หานหยิบกระจกขึ้นมาระดับหัวไหล่ มินซอกมองกระจกสลับกับใบหน้าอีกฝ่ายแล้วก็พูดไม่ออก

    ไหนพูดมาซิ ว่าส่องฉันทำไม? ไม่พูดอย่างเดียว ลู่หานโน้มใบหน้าลงไปใกล้ ๆ ราวกับขู่ให้คนตัวเล็กพูดออกมา มินซอกคว้ากระจกจากลู่หานมาแล้วก้าวถอยหลังไปทีละก้าว

    ผมส่องเล่น ๆ แล้วมันดันไปโดนคุณเอง

    เหรอ? เหตุผลฟังไม่ขึ้นเลยนะเปาจื่อ~”

    ผมขอโทษก็ได้

    ขอโทษแล้วมันหายเหรอหื้ม? ลู่หานยังคงเดินเข้าหาแม้ว่ามินซอกจะเดินถอยหลังออกไปทีละก้าวก็ตาม

    แล้วจะให้ผมทำยังไง?

    เรียกฉันว่าพี่ลู่สิ แล้วก็แทนตัวว่าเปาจื่อ ถ้าทำแบบนั้นจะยอมหายโกรธก็ได้

    ... มินซอกหยุดชะงักแล้วมองคาดโทษคนตรงหน้า

    เปาจื่อขอโทษ พี่ลู่อย่าโกรธเปาจื่อเลยนะ~’ ไหนลองพูดแบบนี้ซิ

    ...

    ถ้าพูดแล้วคุณจะถอยไปห่าง ๆ ผมไหม?

    หื้ม?

    ผมหมายถึงว่า...ถ้า...โธ่เว้ย!” มินอกหายใจฮึดฮัดพร้อมกับทึ้งหัวตัวเองจนแว่นแทบร่วงลงพื้นเพราะขามันเบี้ยว

    จะยอมคุยดี ๆ ด้วยเลยเอ้า!” ลู่หานชูนิ้วชี้กลางนางขึ้นมาราวกับให้คำปฏิญาณ มินซอกหรี่ตามองร่างโปร่งแล้วก็กลืนน้ำลายลงคอราวกับพยายามทำใจ

    เปา...เปาจื่อขอโทษ เสียงเบาหวิวแต่น่าแปลกที่เรียกรอยยิ้มจากคนที่กำลังหงุดหงิดเต็มอกได้ ขี้บุหรี่เกือบครึ่งร่วงลงพื้นทั้งที่ยังไม่ได้ผ่านการสูบเข้าปอด นัยน์ตาเพ่งมองไปยังคนตัวเล็กที่กำลังจะปริปากพูดประโยคต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ

    พี่ลู่...อย่าโกรธ...เปาจื่อเลยนะ

    อา~”

    ...

    น่ารักจัง~”

    มินซอกเบิกตาโพลงเมื่อร่างของเขาถูกใครอีกคนรั้งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด กลิ่นบุหรี่ลอยเตะจมูกชวนขยะแขยงแต่น่าแปลกที่อ้อมกอดของคนตรงหน้ามันให้ความอบอุ่นจนทดแทนกันได้ เพราะเขาไม่เคยได้กอดกับใครใช่ไหม? หรือเป็นเพราะอากาศก่อนฝนตก หรือเป็นเพราะเขาตัวเล็กกันแน่?

    ปล่อยน่า!” มินซอกดันอกอีกฝ่ายออกแต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มก็ยังคงแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของผู้ชายที่ชื่อลู่หานอยู่ดี ร่างโปร่งหัวเราะแล้วทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นและไม่ลืมที่จะใช้รองเท้าบี้มันให้ดับ

    ขอบใจนะ รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย ลู่หานเอื้อมไปยีหัวมินซอกจนยุ่งเหยิงไปหมดเพราะหมั่นเขี้ยว คนตัวเล็กกว่าปัดมือออกอย่างรำคาญหากแต่คนขี้แกล้งกลับเอาแต่ยิ้มอยู่อย่างนั้น

     

     


     

     

     

     




     

    คุณจะนอนฝั่งไหน?

    ถ้าถามแบบนี้ งั้นผมเลือกฝั่งขวาแล้วกันครับ ชานยอลตอบแล้วทั้งคู่ก็วางของลงบนเตียงของตัวเอง อี้ฟานเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วก็พบกับชุดนักเรียน ชุดพละ และชุดลำลองจำนวนหนึ่ง ซึ่งมันคงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะห้องที่เขาพักอยู่ในตอนนี้มันเคยเป็นห้องพักของนักเรียนมาก่อน

    ผมไม่เห็นคุณพูดถึงเรื่องบ้านภรรยาของคุณเลยชานยอลถามขณะรื้อเสื้อผ้าในกระเป๋าออกมาแขวนไว้กับที่แขวนเสื้อ

    ผมไม่รู้จะพูดทำไมน่ะ อี้ฟานตอบสั้น ๆ เขาหยิบไม้แขวนเสื้อที่ว่างอยู่ออกมาแล้วปิดตู้เสื้อผ้าตามเดิมก่อนจะแขวนเสื้อของตัวเองบ้าง

    เมื่อก่อนผมเป็นคนชอบพูดถึงเรื่องเก่า ๆ พอผมพูดถึงมัน เพื่อนผมก็จะสวนกลับมาว่า แกแก่แล้วสินะอี้ฟาน ถึงได้เอาแต่พูดเรื่องเก่า ๆ แบบนี้น่ะอี้ฟานยิ้มเมื่อนึกถึงเมื่อก่อน

    ถ้ามันเป็นเรื่องดี มันก็น่าพูดถึงอีกครั้งไม่ใช่เหรอครับ?

    อืม คุณพูดถูก ทั้งคู่ยิ้มทั้งที่ยังคงหันหลังให้กันและกัน แต่ที่ผมไม่พูดถึงเรื่องนั้นเพราะไม่อยากให้ทุกคนรู้สึกแย่ไปกว่านี้น่ะ

    ทำไมล่ะครับ? ชานยอลเดินกลับไปนั่งที่เตียงของเขาในขณะที่อี้ฟานยังคงยุ่งอยู่กับการแขวนเสื้อผ้า

    ถ้าพูดถึงบ้านภรรยาผม แบคฮยอนก็ต้องนึกถึงแบคโฮ ผมกลัวว่าใครสักคนจะโทษตัวเองว่าที่บ้านถูกบุกรุกเพราะไม่มีใครอยู่นอกจากแบคฮยอนกับเซฮุน อี้ฟานเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะหันหลังยืนพิงผนังห้องแล้วมองหน้าชานยอลที่นั่งอยู่บนเตียง เหมือนกับผม...ที่รู้สึกแบบนั้นมาตลอด

    ...

    โรคระบาด การตาย การลาจาก ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวของมันทั้งนั้น ถึงจะไม่เข้าใจแต่ที่ผมทำได้ก็คือยอมรับมัน

    คุณคิดว่าโลกจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือเปล่า? ชานยอลถาม อี้ฟานทำหน้าครุ่นคิด เขาเดินไปหยุดอยู่ข้างหน้าต่างพร้อมกับทอดสายตาออกไปข้างนอก

    ผมหวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น

    ทุกคนอยู่ได้ด้วยความหวังนี่นะ ชานยอลยิ้มก่อนจะก้มลงมองแหวนแต่งงานที่นิ้วนางข้างซ้าย

    ก่อนหน้านี้คุณวางแผนชีวิตไว้ยังไงเหรอชานยอล?

    ผมเหรอ? ก็ไม่ต่างอะไรจากคนอื่นหรอกครับ แค่แต่งงาน มีครอบครัว โฮจองบอกผมว่าเธออยากได้ลูกสักสามคน เป็นชายสองหญิงหนึ่ง ผมได้แค่หัวเราะตอนที่ฟังเธอเล่า อี้ฟานผินหน้าหันไปมองอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มเมื่อพูดถึงภรรยา แม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มเศร้าก็ตาม

     แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่เราจะมีลูกได้ตรงตามที่เธอต้องการน่ะ ชานยอลหัวเราะเบา ๆ

    ภรรยาผมอยากได้ลูกชาย เธอคิดชื่อไว้ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่ากำลังตั้งท้อง แต่สุดท้ายเราก็ได้ลูกสาว ถึงจะไม่เป็นตามความคาดหมายแต่ที่สุดในของชีวิตเธอก็คือซิงซิง

    นั่นชื่อลูกสาวคุณเหรอ?

    อื้ม ภาษาจีนแปลว่าดวงดาวน่ะ

    ทั้งคู่ต่างเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ราวกับว่าเขาทั้งสองกำลังใช้เวลาในตอนนั้นนึกถึงวันเวลาแห่งความสุขที่เคยมี นึกถึงคนที่รักสุดหัวใจ เพราะมันคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เขายิ้มได้ในช่วงเวลาอันโหดร้ายแบบนี้

    คุณว่าผู้ชายจะรักกันได้ไหม?

    หืม?

    เปล่าครับ ชานยอลยิ้มบาง ๆ แล้วดึงรูปถ่ายออกมาจากกระเป๋าเงินที่พกติดตัวมาตลอดแม้ว่าในสถานการณ์ปัจจุบันเครดิตการ์ดหรือเงินสดเป็นฟ่อนก็เป็นเพียงแค่เศษกระดาษเท่านั้น นิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามดวงหน้าหวานในรูปอย่างเบามือ แม้ว่าจะผ่านไปเป็นเดือนแล้ว แต่ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะไม่นึกถึงผู้หญิงคนนี้...

    ...

    อ้าวแบคฮยอน มาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ? ร่างสูงละสายตาจากรูปถ่ายแล้วหันไปมองประตูที่มีคนตัวเล็กยืนอยู่ตรงนั้น แบคฮยอนยิ้มเจื่อน ๆ ดูเลิกลั่กจนผิดปกติแล้วยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ

    อ๋อ...คือ...คุณกาฮีให้มาตามคุณสองคนน่ะ เธอบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ขอโทษที่ไม่ได้เคาะประตูนะครับ คนตัวเล็กยิ้มให้อี้ฟานก่อนจะหันไปมองชานยอลที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นแบคฮยอนก็เป็นคนหลบสายตาไปเสียก่อน

    ขอบคุณนะ แล้วห้องคุณเป็นยังไงบ้าง ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม? อี้ฟานถามด้วยความเป็นห่วง แบคฮยอนพยักหน้าก่อนจะปิดประตูให้แล้วเดินกลับไปที่ห้องตัวเองโดยที่ไม่หันไปมองชานยอลอีกเลย

     

     


     

     

     

     



     

    ปัง...

    เซฮุนหันไปมองที่ประตูแล้วก็เห็นแบคฮยอนเดินกลับเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าที่ต่างออกไป คนตัวเล็กยืนพิงประตูอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีท่าทีจะเดินเข้ามาชวนคุยเหมือนก่อนหน้านี้จนน่าประหลาดใจ

    แบคฮยอน?

    อือ

    เป็นอะไร?

    เปล่า

    อย่าโกหกสิ

    ...

    นี่

    ... แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นแล้วก็เห็นเซฮุนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน คนตัวเล็กเดินกลับมาที่เตียงแล้วทิ้งตัวลงนอนราวกับคิดไม่ตก

    ใครว่าอะไรให้หรือเปล่า?

    ไม่มีหรอก

    แล้วเป็นอะไร เมื่อกี้ยังดี ๆ อยู่เลยนี่

    ...ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่รู้สึกเสียใจมากเลย

    หืม? เซฮุนเลิกคิ้วมองแล้วเดินไปนั่งขอบเตียง เขย่าไหล่อีกฝ่ายอยู่สามครั้งแล้วแบคฮยอนก็ยอมหันกลับมามองหน้ากัน

    เซฮุน

    ว่าไง เซฮุนยิ้มบาง ๆ ขณะมองอีกคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ

    ทั้งที่อายุเท่ากัน แต่แบคฮยอนกลับดูเปราะบางและน่าปกป้องมากกว่าเขา

    เคยใจเต้นกับผู้ชายด้วยกันไหม?

    ... ร่างบางชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถาม แต่ที่แย่กว่านั้นคือการที่ใบหน้าของคิมจงอินลอยเข้ามาในหัวเขาเนี่ยแหละ...

    ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ

    ไม่รู้...ฉันสับสนมากเลย

    ...

    ฉันไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจสักอย่าง ตอนแรกฉันกลัวเขามาก คิดว่าคงถูกเขาเกลียดไปแล้ว คิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีทางคุยกันดี ๆ ได้...แต่วันหนึ่งเขากลับทำดีกับฉัน หลายครั้งที่ฉันเผลอรู้สึกดี

    ชานยอลเหรอ?

    แบคฮยอนนิ่งไปชั่วอึดใจ ร่างเล็กหันมาสบตาคนเป็นเพื่อนแล้วพยักหน้าช้า ๆ ราวกับไม่กล้าตอบคำถามนี้สักเท่าไหร่

    ที่ฉันขออยู่ห้องเดียวกับนาย เพราะฉันรู้สึกอยากอยู่กับเขา...

    เอ๋? เซฮุนขมวดคิ้วไม่เข้าใจ

    ยิ่งอยากอยู่ใกล้เขาเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งกลัว ทั้งที่ตอนแรกคิดว่ามันคงเป็นความรู้สึก...ฉันจะพูดยังไงดี...ฉันเคยคิดว่าเขามีอะไรเหมือน ๆ กับพี่แบคโฮ...แต่...

    ใจเย็น ๆ ก่อนนะ ตอนนี้มีแค่ฉันกับนายเท่านั้น เซฮุนวางมือลงบนแขนแบคฮยอนราวกับจะให้อีกฝ่ายผ่อนคลายขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แบคฮยอนหยัดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วถอนหายใจเบา ๆ

    ฉันมันบ้าที่คิดเข้าข้างตัวเองว่าที่ชานยอลมาทำดีด้วยเพราะเขามีใจให้

    ทำไมล่ะ?

    ทั้งที่จริงแล้วมีแค่ฉันที่คิดไปเองคนเดียว...

    อ่า...

    เมื่อกี้ฉันเห็นเขานั่งดูรูปถ่ายของภรรยาของเขา นั่งอาลัยอาวรณ์แหวนแต่งงาน...พอเห็นแบบนั้นแล้วฉันก็รู้สึกเจ็บ...นั่นมันหมายความว่าฉันชอบเขาหรือเปล่าเซฮุน?

    เซฮุนเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะยิ้มบาง ๆ ให้คนตัวเล็ก ร่างบางบีบจมูกรั้นอย่างหมั่นเขี้ยวแล้วแสร้งยิ้มออกมาให้กำลังใจ

    ของแบบนี้จะถามคนอื่นได้ยังไง มีแต่นายเท่านั้นนะที่รู้ดีที่สุด

    ...

    ให้เวลามันเป็นคำตอบสิ

    คำตอบอะไร คำตอบว่าฉันชอบเขาหรือเปล่าน่ะเหรอ? ถ้าใช่แล้วจะเป็นยังไง? ในเมื่อเขาไม่มีใจ แบบนั้นฉันคงแย่

    แล้วนายบังคับใจตัวเองได้เหรอ ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว...ก็แค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็นสิ

    ...

    ค่อย ๆ คิด...อย่ากดดันตัวเองนะ เซฮุนบีบไหล่คนตัวเล็กเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ฉันจะลงไปข้างล่าง นายอยากไปด้วยกันไหม?

     

     



     

     

     

     


     

     

    ภายในห้องโถงกว้างที่เคยเป็นห้องนั่งเล่นสำหรับหอพักชายมีนักเรียนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นเพื่อยืนฟังคำบอกเล่าจากครูสาวซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้นำในตอนนี้ รอบข้างมีตะเกียงและเทียนเท่านั้นที่ให้แสงสว่างทั้งห้อง

    ถึงจะรู้จุดอ่อนแล้ว แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเข้าไปแทงมันเข้าที่หัว ปาร์คกาฮียืนกอดอกพูดโดยที่มีอี้ฟาน ชานยอลและเซฮุนเข้าร่วมด้วย

    ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจ...อย่าลังเล คุณต้องเข้าถึงตัวมันก่อนที่มันจะเข้าถึงตัวคุณ อี้ฟานพูด

    หมายความว่ายังไงเหรอครับ? เด็กนักเรียนคนหนึ่งถามขึ้นมา

    หมายความว่าคุณไม่ควรลังเลที่จะสู้ เริ่มก่อนได้เปรียบ

    เราจะไม่ใช้ปืนในการกำจัดพวกมันถ้าไม่จำเป็น ใช้มีด ขวาน ท่อนเหล็ก หรือของมีคมอื่น ๆ จะดีกว่า ชานยอลเสริม

    รั้วก็ใกล้จะพังแล้ว ทางที่ดีเราควรจะเริ่มลงมือกำจัดมันกันตั้งแต่ตอนนี้

    ค่ะ ฉันจะให้นักเรียนแบ่งกลุ่มกันไปที่รั้ว เราพอจะมีชะแลงกับท่อนเหล็กอยู่บ้าง ปาร์คกาฮีรับคำก่อนที่ทุกสายตาจะหันไปมองหญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องโถงกว้าง

    แย่แล้วค่ะครูกาฮี!” ปาร์คกาฮีเข้าไปยืนคุยกับผู้หญิงอีกคนซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นครูห้องพยาบาลเพราะชุดกาวน์ที่เธอสวมทับตัวนอก สีหน้าร้อนรนของเธอนั้นทำให้ครูคุมหอลำบากใจอยู่ไม่น้อย เธอก้มลงมองนาฬิกาข้อมือแล้วก็เสยผมขึ้นอย่างหัวเสีย

    เกิดอะไรขึ้นกับซึนวานเหรอครับครู?

    เขาอาการไม่ดีขึ้นเลยจ๊ะ...คนอื่น ๆ ก็ด้วย...

    เราต้องไปหายา...แต่ว่าตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว คงไม่ดีแน่ถ้าเราจะออกไปข้างนอกในเวลาแบบนี้ กาฮีลดสีหน้าลง เธอดูเป็นกังวลกับเรื่องนักเรียนของเธอมาก

    ถ้าเป็นยาลดไข้ ที่ห้องพยาบาลก็น่าจะมีใช่ไหมครับ? ทุกคนหันไปมองชานยอลเป็นตาเดียวกัน ยาที่ห้องพยาบาลพอจะมีเหลืออยู่หรือเปล่า?

    แน่นอนค่ะ มันเหลือเยอะมากด้วย แต่ว่า... ครูห้องพยาบาลหันไปมองหน้าปาร์คกาฮี ห้องพยาบาลอยู่ที่อาคารสาม และถ้าจะไปให้ถึงตึกนั้นก็ต้องผ่านลานอเนกประสงค์ หอพักหญิงและโรงอาหารก่อนถึงจะเจอตึกนั้น...

    แล้วระหว่างทางก็เต็มไปด้วยพวกแพร่เชื้อ เทาพูดเสริม

    ...

    ผมอาสาไปเอามาให้ เซฮุนยกมือขึ้น ทุกคนแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นใครคนหนึ่งอาสาสมัครไปเสี่ยงตายข้างในรั้วนั่น...

     
     

     

    ข้างในรั้วที่ใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่ามันน่าสยดสยองมากแค่ไหน...

     
     

     

    ถ้าหมอนั่นไปคนเดียวคงไม่รอดแน่ เทามองไปยังเด็กหนุ่มตัวผอมบางที่ยืนอยู่อีกฝั่ง ฉันรู้จักที่นี่ดีที่สุด เพราะงั้นฉันจะไปกับนายแล้วกัน

    ดีเลย เซฮุนยิ้มแล้วมองหาใครอีกคนที่ยังไม่โผล่หัวเข้ามา ในเวลาแบบนี้คนที่เขานึกถึงเป็นคนแรกก็คือผู้ชายป่าเถื่อนคนนั้นที่เอาตัวรอดเก่งกว่าใคร ๆ

    เดี๋ยวผมไปตามหาจงอินแปปนึงนะครับ เซฮุนกระซิบบอกก่อนที่ชานยอลจะพยักหน้ารับ ร่างบางแทรกตัวออกมาจากตรงนั้นอย่างยากลำบาก ถึงจะเป็นโถงกว้าง แต่ถ้าบีบนักเรียนเกือบครึ่งร้อยให้เข้ามาอยู่ข้างในด้วยกันก็อึดอัดพอสมควร

    เซฮุนส่องไฟฉายไปตามทางเดินยาวที่รอบข้างมีประตูปิดอยู่ ห้องพักชั้นหนึ่งที่ถูกจับจองไว้หมดและส่วนใหญ่เป็นห้องของผู้หญิงทั้งนั้น

    อ...อ๊ะ...อ๊ะ!”

    ฝีเท้าหยุดยืนกับที่เมื่อได้ยินเสียงประหลาดลอดออกมาจากประตูทางด้านขวามือ เซฮุนหันไปมองประตูบานนั้นแล้วยืนตั้งใจฟังอยู่เกือบครึ่งนาที

    ในเวลาแบบนี้ เสียงแบบนี้ เขาไม่ได้ใสซื่อขนาดที่จะไม่รู้ว่ามันคือเสียงอะไร...

    เซฮุนหมุนลูกบิดเข้าไปอย่างเบามือที่สุด ประตูเปิดออกได้เพียงน้อยนิดก็เห็นแสงสว่างจากเทียนไขพร้อมกับหญิงสาวร่างท่อนบนเปลือยเปล่าที่กำลังขย่มอยู่บนตักของใครคนหนึ่งและนั่นคือคนที่เขากำลังตามหาอยู่ เสียงครางกระเส่าแห่งความสุขสมไม่ได้ปลุกอารมณ์ของโอเซฮุนเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้มีแค่กระโปรงมินิสเกิร์ตเท่านั้นที่ปกปิดส่วนเชื่อมต่อระหว่างเขาทั้งคู่เอาไว้

    อื้ม...จงอินคะ...ดีจัง...

    เสียงครวญครางชัดเต็มสองหูจนเขาแทบอยากจะปิดประตูเสียเดี๋ยวนั้นถ้าเกิดว่าผู้ชายที่ถูกนั่งคร่อมทับอยู่ไม่หันมาสบตากับเขาเสียก่อน

    ไม่ได้คิดไปเอง...ไม่ใช่แน่ ๆ ...ตอนนี้คิมจงอินกำลังมองมาทางนี้ราวกับรู้ว่าเขากำลังดูอยู่ ร่างหนากระตุกยิ้มมุมปากแม้ว่าดวงตาคู่นั้นจะฉ่ำเยิ้มเพราะความสุขสมก็ตาม

    เซฮุนปิดประตูให้เบาเสียงที่สุดแล้วรีบเดินกลับไปในห้องโถงกว้าง เขาแทรกตัวไปหยุดยืนอยู่ข้างชานยอลอย่างเช่นทีแรกท่ามกลางความสงสัยของร่างสูงและแบคฮยอนที่ยืนมองอยู่

    หาจงอินกับลู่หานเจอไหม?

    ไม่เจอน่ะ เซฮุนตอบทั้งที่ไม่หันไปมองคนข้าง ๆ

    ไม่เป็นไรหรอก ให้เขามีเวลาส่วนตัวบ้าง ส่วนเรื่องไปห้องพยาบาลผมกับอี้ฟานจะไปกับคุณเอง ชานยอลพูด

    ก็คงจริง ในเวลาแบบนี้เขาคงอยากใช้เวลาส่วนตัวมากกว่าไปวิ่งฟันคอตัวกินคนที่ไหน

    อะไรนะ?

    เปล่า เซฮุนปฏิเสธ จู่ ๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ไม่สิ...มันมีสาเหตุชัด ๆ เลยต่างหาก สาเหตุมันมาจากผู้ชายคนนั้น ที่ทำหน้ากวนประสาทราวกับสะใจที่เห็นเขาอยู่ตรงนั้น

     

     

     

    คิดว่าอยากดูนักหรือไง?

     

     


     

     

     

     


     

     

     

    งั้นฉันฝากด้วยนะคะ กาฮีพูดแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าอี้ฟาน เธอวางปืนพกลงบนมือแกร่งแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย เผื่อกรณีฉุกเฉิน คุณอาจต้องใช้มันในเวลาจำเป็น

    ขอบคุณครับ ร่างสูงโค้งหัวตามมารยาทแล้วหันไปพยักหน้าเรียกชานยอลและเซฮุน

    ครูฮโยรินครับ ครูยังอยากได้กล้องจุลทรรศน์อยู่หรือเปล่า? เทาหันไปถามหญิงสาวที่ยืนอยู่ทางออกประตูอีกฝั่ง เธอพยักหน้าเป็นคำตอบแล้วเทาก็ยิ้มให้

    แต่ถ้าลำบากก็ยังไม่ต้องก็ได้นะ ครูกลัวว่าเธอจะเป็นอันตราย

    ไม่เป็นไรครับ แล้วผมจะเอามาให้

    ถึงจะประหลาดใจว่าในสถานการณ์แบบนี้ครูห้องพยาบาลจะเอากล้องจุลทรรศน์ไปทำไม แต่ก็ได้แค่เก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจเท่านั้น ทุกคนทยอยกันออกไปข้างนอก บางคนได้รับมอบหมายให้ไปฆ่าผีดิบข้างรั้ว บางคนแยกไปดูแลคนป่วยกับครูฮโยริน

    ทั้งสี่คนที่อาสาไปห้องพยาบาลเดินตามปาร์คกาฮีออกไปเพื่อเตรียมตัวกับภารกิจเสี่ยงตายอีกครั้ง แบคฮยอนยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตัดสินใจดึงชายเสื้อร่างสูงไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะหันกลับมา

    ชานยอล...

    ครับ?

    คุณ...จะกลับมาใช่ไหม? สีหน้าของแบคฮยอนเหมือนคนที่พร้อมจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ ร่างสูงยิ้มก่อนจะวางมือลงบนหัวอีกฝ่ายแล้วย่อตัวลงเพื่อให้ระดับความสูงเท่ากัน

    ถ้าผมไม่กลับมาที่นี่ แล้วผมจะไปที่ไหนได้อีกหื้ม? ปิดท้ายด้วยการยีหัวคนตัวเล็กเบา ๆ แบคฮยอนยังคงแสดงสีหน้าเหมือนในทีแรกแม้ว่าทั้งสี่คนจะเดินไปแล้ว...

     

     

     

     

     

     

     










     


     

    TBC

     

     

     

     

    ตอนนี้ไม่ได้ไฝว้เลย

    ตอนหน้าไปวิ่งหนีซอมบี้กันนะตัวเอง

    ในที่สุดฉันก็โยงมินซอกมาหาพี่ลู่จนได้... #ความติ่งไม่เคยปราณีใคร

     555555555555555 ขอบคุณทุกคอมเมนท์ ทุกโหวต ทุกแท๊ก #ficzombie

     ในทวิตเตอร์นะคะ เลิฟ ๆ เลย <3

     

     
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×